ข้อเขียนที่เก็บไว้ส่วนตัว แต่อยากให้อ่านกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย tidti2005, 25 สิงหาคม 2011.

  1. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    280352485_5546754862010265_8001011844223737690_n.jpg ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง อุปาทาปัจจะยา ภะโว ภะวะปัจจะยา ชาติ "เพราะความทะยานอยากจึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดภพภูมิ เพราะภพภูมิเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มีการเกิด" หากอยู่ด้วยกับความหลงเช่น หลงผิด หลงตัวเอง ก็อยู่ในข่ายของความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ต่อให้ทำกุศลมากเท่าใดก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ต้องกลับมาเวียนภพชาติเหมือนเดิมตามกรรมที่เคยทำเอาไว้ในอดีต
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,288
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หายไปนานเลยค่ะ
     
  3. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ขอขอบคุณเพื่อนญาติธรรมรวมทั้งเทพธิดาและเทพบุตร(FC)ที่ยังคงติดตามงานเขียนของผู้เขียนมาอย่างเหนียวแน่นครับ ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณเวปพลังจิตที่ยังคงเก็บเอกสาร(ข้อเขียน)ไว้โดยไม่ลบโพสออกเพราะขาดการโพสไปเป็นระยะเวลานาน
    การได้เจอะเจอกันในข้อเขียนของผู้เขียนก็ดีหรือเกี่ยวโยงในชีวิตประจำวันก็ดี ไม่ใช่เหตุบังเอิญ อาจจะเกี่ยวโยงกันมาจากอดีตชาติที่ต้องติดตามกันครับ ต้องขอขอบคุณอีกครั้งครับ

    สาเหตุที่ขาดหายไป เพราะมีเหตุหลากหลายปัจจัยหลายเรื่อง ส่วนหนึ่งก็ได้มีโอกาศได้บวชพราหมณ์ถือศีลปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นระยะๆ เพื่อดูจิตของตนเองและฝึกฝนจิตใจของตนเอง เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนวนอยู่ในอ่างไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าที่ควร

    ทำให้ได้ความรู้ได้ศึกษากับพระนักปฏิบัติหลายๆรูป ทำให้เริ่มรู้จริงรู้ด้วยตนเองในหลายๆเรื่อง โดยไม่ใช่รู้มาจากการอ่านแล้วจำเอา หรือรู้จากการบอกต่อๆกันมา แต่เป็นการรู้โดยการปฏิบัติด้วยตนเอง

    ช่วงที่ขาดหายไปจึงเป็นการเริ่มปฏิบัติและศึกษาหลักการตามรอยของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจัง พระนักปฏิบัติหลายรูปที่ผู้เขียนได้มีโอกาศได้ศึกษาได้เรียนรู้จากท่าน ก็จะสอนหลักปฏิบัติตามแนวทางของตนเองที่ได้ศึกษามาทำให้ได้เรียนรู้แตกต่างกันออกไปบ้าง

    แต่สุดท้ายแล้วผู้เขียนก็เข้าใจว่าก็ไปอยู่ที่จุดๆเดียวกันเหมือนๆกัน เช่นบางท่านสอนใช้สติจับยุบหนอ-พองหนอจนจิตนิ่งดีแล้วก็ข้ามไปพิจารณาวิปัสนาเลย,บางท่านสอนพุท-โธพิจารณาลมหายใจเข้า-ออกตามลมหายใจจนจิตหยุดนิ่งรู้สึกสบายกายใจจนจิตดับ จนเกิดแสงโอภาสเอาสติมาพิจารณาวิปัสสนาพิจารณากายสังขารเป็นลำดับต่อไป
    ,
    บางท่านสอนการเพ่งกสินดิน-น้ำ-ลม-ไฟเพื่อฝึกจิตให้มีกำลังก่อนถึงค่อยนำเอาจิตนั้นมาตั้งหลักพิจารณาวิปัสสนา

    จึงอยู่ที่จริตของตนเองว่าเหมาะสมหรือเข้ากับจริตหรือการบริกรรมอย่างไหน ที่ทำแล้วทำให้จิตใจนิ่งสงบ เข้าถึงฌานและพิจารณาวิปัสสนาญาณในลำดับต่อๆไปครับ

    ทั้งนี้ก็จะทะยอยเล่าเรื่องราวแปลกๆต่างๆในช่วงที่ออกบวชและสลับกับเรื่องคำสอนเป็นลำดับต่อๆไปครับ

    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2022
  4. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เรียนเพื่อนญาติธรรม เทพบุตรเทพธิดา ที่เข้ามาอ่านใหม่และเทพบุตรเทพธิดาที่ติดตามมาเก่า อาจจะแปลกใจ-สงสัย-อยากทราบว่า นามปากกา(ผู้เขียน) “ภควัณตัง”นั้นคือใคร มาจากไหน อยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม ก็ให้เข้าไปแอดขอเป็นเพื่อนได้ที่ FACEBOOKในชื่อ “Pakawat Rayong

    ก็จะมีข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้หายคลายข้อสงสัยบ้างครับแม้จะไม่ได้มีทั้งหมด รวมถึงมีรูปผู้เขียน(ไม่หล่อแต่เท่ห์นะจะบอกให้) รูปภรรยาทั้งเก่าและใหม่ในปัจจุบัน และชีวิตในปัจจุบันอยู่ที่ไหน ทำอะไรบ้าง ก็จะโพสลงในfacebookเป็นระยะๆ(ที่โพสสนุกๆไร้สาระก็มี)

    คิดว่าผู้เขียนเป็นเพื่อน-เป็นญาติ-หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ที่ต้องการให้เป็นคนหนึ่งก็แล้วกัน ไม่ต้องกลัวหลอกลวงให้บริจาคโน่นนี่นั่นและหลอกล่อใดๆทั้งสิ้นเพราะไม่ได้ต้องการเงินเหตุจากผู้เขียนมีตังส์เยอะแล้ว

    ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ไม่ต้องการเงินบริจาคสมทบทุนจากใครครับ แต่หากติดใจในงานเขียนจะเข้ามาดู(อ่าน)ก็เข้ามาที่เว็บ พลังจิต ที่นี่ที่เดียวไม่ได้ลงไว้ที่อื่น ในหัวข้อ

    เว็บบอร์ด- วิทยาศาสตร์ทางจิต-ลึกลับ-ข้อเขียนที่เก็บไว้ส่วนตัว แต่อยากให้อ่านกัน

    หรือพิมพ์ค้นหาในชื่อ

    ภควัณตัง

    ก็ได้ครับ

    จริงๆแล้วผู้เขียนก็เป็นบุคคลธรรมดาๆนี่แหละ ไม่ได้เป็นผู้วิเศษหรือสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพียงแต่ผลบุญพาวาสนาส่ง ให้ได้รับผลบุญที่กระทำมาในปัจจุบันและกาลก่อนให้ได้เสวยสุข(บ้าง)

    ในบั้นปลายของชีวิต มีโอกาสได้แต่งงานอีกครั้ง(สาเหตุหลักๆที่ทำให้หยุดงานเขียนชั่วคราวเป็นระยะเวลาหนึ่ง)กับลูกสาวมหาเศรษฐีแห่งเมืองมาเก๊า(Macao)ดินแดนแห่งธุรกิจการโรงแรม-ท่องเที่ยวและบ่อนคาสิโนอันเลื่องชื่อ

    ที่ผ่านมาผู้เขียนก็มีทั้งเศร้า-ทุกข์-สุข-เดินทางปะปนกันจนมั่วไปหมดทั้งบินไปฮ่องกง-มาเก๊า-ไทย-จีนแผ่นดินใหญ่-ลาสเวกัสรัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา เพื่อตรวจงานและดูแลธุรกิจในตระกูลของภรรยาวนเวียนอยู่แบบนี้

    หากจะให้เล่า(พิมพ์)ความเป็นไปทั้งหมดก็คงต้องเล่า(พิมพ์)กันยาวพอสมควรครับ ก็จะเล่าแบบย่อๆแล้วกัน แต่หากเพื่อนๆญาติธรรมอยากฟัง(อ่าน)แบบเจาะลึกก็จะเล่า(พิมพ์)ให้ได้อ่านกันครับ แต่ต้องบอก(โพส)มาก่อนว่าอยากจะอ่าน

    เกริ่นสั้นๆเป็นตัวอย่างคือ เธอ(ภรรยา)คนนี้เป็นลูกสาวอยู่ในตระกูลคนจีนอาศัยอยู่ที่เมืองมาเก๊า เธอติดสัญญาเก่ามาจากอดีตชาติ ที่เคยสัญญาเอาไว้ว่า

    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดชาติไหนเชื้อชาติไหน ภพไหนภูมิไหน ก็ขอให้ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปในทุกภพทุกชาติ

    (อย่าหาว่าผู้เขียนบ้าดูละครจนเพี้ยนนะ นี่มันเรื่องจริง และเหตุการณ์ของผู้เขียนมีมาก่อนละครที่ฮิตฉายในไทยและส่วนภรรยา(ชาวจีน)ฟังและพูดภาษาไทยไม่ได้)

    ดังนั้นคนที่เคยออกปากร่วมสัญญากันไว้พึงระวังให้ดี ถ้าเป็นไปได้ให้รีบพากันไปแก้(ถอน)คำสัญญาหรือคำสาบานด่วน ไม่อย่างนั้นจะเป็นไปในทำนองของชีวิตผู้เขียนที่กำลังเป็นอยู่

    ส่วนสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของเรื่องคือเธอ(ภรรยา)เกิดมาแล้ว ระลึกชาติได้ตั้งแต่เริ่มจำความได้ เธอจะพูดบอกครอบครัวเธออยู่เสมอว่า เธอเกิดมาเพื่อตามหาสามีตั้งแต่เริ่มพูดได้ ครั้งแรกๆครอบครัวเธอก็จะดุด่าว่าไม่ให้พูด พูดอะไรเพ้อเจ้อ ยังเด็กจะมีสามีได้ยังไง

    โดยที่ไม่มีใครสอนให้พูดและห้ามพูดอีก(มีพี่เลี้ยงดูแลอย่างดี) หากพูดก็จะถูกตี แต่เธอก็ยังไม่หวั่นกลัวคงพูดบ่อยๆว่าจะตามหาสามีให้เจอ ก็เลยทั้งโดนดุและโดนตีเรื่อยตลอดมา

    แม้กระทั่งเธอโตขึ้นจนถูกส่งไปเรียนผู้บริหารและธุระกิจการโรงแรมที่อังกฤษจนได้ปริญญาเกียรตินิยมกลับมา สามารถพูด-อ่าน-เขียนได้ถึง5ภาษาคือ อังกฤษ-ฝรั่งเศษ-จีน-เกาหลีและญี่ปุ่นเธอก็ยังคงพูดยืนกรานเหมือนเดิม คือเมื่อจบกลับมาบ้าน เธอจะเดินทางเสาะหาผู้เขียนให้เจอไม่ว่าจะอยู่ซอกมุมไหน

    ระยะหลังครอบครัวเธอจึงเริ่มสนใจจึงถามเธอว่า

    สามีหนูอยู่ที่ไหน

    เธอตอบแบบชัดเจนไม่ต้องคิดเลยว่า

    อยู่ประเทศไทย

    พ่อ-แม่เธอก็ยิ่งแปลกใจหนักขึ้นไปอีก เพราะตั้งแต่เธอเกิดมาไม่เคยพามาเที่ยวประเทศไทยเลยซักครั้ง มีแต่ญาติธุรกิจร่วมที่เคยมาทำธุรกิจในไทย

    และไม่เคยพูดคุยกันเกี่ยวกับประเทศไทยให้ได้ยินเลย แล้วเธอ(ภรรยาผู้เขียน)เก็บเอามาพูด(บอก)ว่ามีสามีอยู่ที่ไทยได้ยังไงและก็ไม่เคยเห็นเธอบินหรือเดินทางมาไทยซักครั้ง

    ทางครอบครัวเธอจึงเริ่มตั้งคำถามหลายๆคำถามเกี่ยวกับสามี(ทิพย์)ว่าลักษณะตัวตนเป็นอย่างไร สูง-ยาว-ขาว-เตี้ย-ทำงานอะไร-อยู่ตรงไหนของประเทศไทย เธอตอบครอบครัวเธอสั้นๆในขณะนั้นว่า

    ไม่ต้องไปตามหาแล้ว เดี๋ยวเขา(ผู้เขียน)ก็จะบินมาหาเอง

    ทำให้ครอบครัวยิ่งพากันงงหนักเข้าไปอีก ซึ่งพ่อ-แม่เธอมาเฉลยคำตอบที่หลังว่า สิ่งที่เธอตอบนั้นตรงทุกอย่าง เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาแม้กระทั่งการเดินทางมา(ไป)ของผู้เขียน

    (มีเรื่องที่ผู้เขียนรู้สึกตกใจมากในขณะที่เดินทางไปมาเก๊าในครั้งแรก คือโดนอุ้มขึ้นรถตู้ทึบจากในตัวสนามบินฮ่องกงในขณะเตรียมเดินทางกลับ โดนคลุมหัวปิดหน้าไม่ให้รับรู้ว่าถูกอุ้มเอาไปไหน ในใจผู้เขียนคิดในขณะนั้นคือโดนแก๊งส์ยากูซ่าของฮ่องกงจับตัวเพื่อเรียกค่าไถ่แน่ๆ

    คิดมโนต่อไปอีกคือเราต้องโดนไอ้แก๊งส์นี้ฆ่าตายแน่ๆเพราะเงินไม่มีค่าไถ่ตัวแน่นอน ขนาดเดินทางมายังต้องขอยืมตังส์พี่สาวซื้อตั๋วเครื่องบินมา จะเอาปัญญาที่ไหนไปให้ค่าไถ่ตัว จะวิ่งหนีก็จะหนีไปทางไหนคนพึ่งไปครั้งแรก

    หนทางมันมืดมิดไปหมด เงินติดตัวก็มีนิดเดียว แถมมีล่ามแปลให้ฟังในการข่มขู่พี่สาวว่า หากไปแจ้งตำรวจหรือขัดขืนร้องโวยวายคนที่ไปด้วยทั้งหมดจะถูกเก็บ(ฆ่า)ให้หมดทุกคน หากว่าจับ(อุ้ม)ผิดตัวจะปล่อยกลับโดยไม่ทำอันตรายใดๆ
    )

    ตอนนี้ในปัจจุบัน ไอ้พวกแก๊งส์5-6คนที่ไปคลุมหัวจับตัวผู้เขียนในสนามบินในครั้งนั้น มาเป็นการ์ดอารักขาให้ผู้เขียนกับคุณนาย เดินตามคุ้มกันซะงั้น เหตุเพราะทำตามคำสั่งเจ้านาย เออ....หนอ

    สิ่งที่เป็นที่ยอมรับของครอบครัวเธออย่างหนึ่งคือ การหยั่งรู้อนาคตพอสมควร ในครอบครัวก็จะมีปัญหาปรึกษา-สอบถามในเรื่องธุรกิจกับเธอบ่อยๆว่าต้องทำอะไร ยังไง อย่างไร แก้ไขแบบไหนถึงจะดี

    เธอก็จะทำนาย(บอก)ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้แบบนั้นแบบนี้ถึงจะดี เมื่อนำไปทำตามที่เธอบอกก็ประสพผลดีสำเร็จตลอดมา

    และจุดพีค (Peak) ของเรื่องคือ เธอสามารถทำนายคนในครอบครัวว่าจะเป็นอย่างไร ญาติคนไหนจะป่วย-เจ็บ-ตายเมื่อไหร่ วันไหน เธอทำนายได้หมด แล้วก็ถูกต้องทุกครั้งบวก-ลบไม่เกิน1-2วัน

    ทำให้บรรดาญาติผวาไปตามๆกัน ถึงขนาดบอกว่าเมื่อรู้ก็ไม่ต้องบอก(กลัวตาย)โดยที่เธอไม่ได้ศึกษาหรือเรียนหมอดูอะไรมาก่อน ผู้เขียนก็อดขำไม่ได้แถมรู้สึกว่าแปลกๆดี

    ธุรกิจในครอบครัว ก็จะให้เธอทำหน้าที่เป็นผู้บริหารหลัก บริหารตามที่เธอบอก ก็ประสพความสำเร็จเรื่อยมาไม่มีผิดพลาดหรือผิดพลาดน้อยมากในสิ่งที่เธอทำนายและบอกกล่าว

    จนมีเหตุการณ์หนึ่งที่พ่อเธอท้าทาย บอกว่าถ้าเป็นจริงภายในปีนี้ให้เธอแนะแนวทางหรือบริหารการจัดการให้ธุรกิจในตระกูลทำกำไรให้ได้225ล้านเหรียญฮ่องกงหรือประมาณ1,000ล้านบาทไทยถึงจะเชื่อว่าเธอพูดจริงในทุกๆเรื่อง

    ปรากฏว่าปีนั้นเมื่อสรุปยอดครบปี สามารถทำกำไรได้1,000ล้านบาทจริงๆจากธุรกิจการโรงแรม-บ่อนคาสิโนและอื่นๆใน5-6ประเทศ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์โรคโควิดระบาด

    ซึ่งเธอเคยบอกครอบครัวเธอก่อนหน้านั้นแล้วว่า จะทำอะไรให้รีบทำเพราะในอนาคตจะเกิดโรคระบาด

    ธุรกิจต่างๆจะทรุดหรือทรงตัว ผลกำไรจะลดลง จะเกิดสงคราม ซึ่งในตอนนั้นในครอบครัวก็ไม่ค่อยมีใครสนใจหรือเชื่อในคำทำนายของเธอมากนัก หาว่าเธอทำนายมั่วไม่น่าถูกต้อง มันจะเกิดได้ยังไง

    ระบบความทันสมัยก้าวหน้าแบบนี้ ทั้งเรื่องการรักษาและเทคโนโลยี่ใหม่ๆถึงจะเกิดก็รักษาให้หายได้อย่างรวดเร็ว คงไม่ยืดเยื้อต่อไป ผลปรากฏตามที่เรากำลังเผชิญกับโรคกันอยู่และเกิดสงครามยูเครนกับรัสเซียในขณะนี้ครับ

    อ่านมาถึงตรงนี้ต้องออกตัวก่อนว่าเธอไม่ใช่ผู้วิเศษและไม่ใช่เทวดาที่จะสามารถเสกอะไรได้ ผู้เขียนวิเคราะห์เอาเองว่าเธอเพียงแต่มีญานหยั่งรู้ในวงจำกัดเท่านั้น ทั้งในอดีตและในอนาคต

    แต่ก็ไม่ใช่ว่าหยั่งรู้อนาคตถึง20-30ปีล่วงหน้า อาจจะแค่1-10ปีเป็นอย่างมากและข้อสำคัญคือเธอไม่รับดูอนาคตให้ใครหากไม่ใช่คนในครอบครัวตนเอง

    การอยู่กับเธอ(สามี-ภรรยา) เสมือนผู้เขียนอยู่กับโลกของอดีตกาล มีโลกปัจจุบันที่ต้องดำเนินชีวิตขวางกั้นอยู่ตรงเฉพาะหน้าเท่านั้น เวลาไปเที่ยวด้วยกันไม่ว่าจะเป็นบางสถานที่ในจีนแผ่นดินใหญ่หรือในสถานที่ต่างๆที่ผู้เขียนไม่เคยไป

    เธอก็จะตั้งคำถามผู้เขียนอยู่บ่อยๆประจำๆว่า

    ตรงนี้จำได้ไหมว่าเราเคยทำอะไรกัน ตรงนั้นจำได้ไหม ตรงนี้เราเคยทำอย่างนั้นอย่างนี้ เลยจากตรงนี้ไปไม่ไกลเราเคยเดินเที่ยวด้วยกันตรงโน้น ตรงนั้นเคยเป็นตลาดเธอเคยซื้อปิ่นปักผมให้ จำได้ไหม

    ผู้เขียนก็จะตอบเสมอๆว่า

    จำไม่ได้จ๊ะ

    (ก็มันจำไม่ได้จริงๆนี่นา มาเที่ยวยังไม่เคยมาเลย จะจำได้ยังไง)

    สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกอึ้งเกี่ยวกับเธอ(ภรรยา)คือ เธอชี้ไปยังจุดสถานที่แห่งหนึ่งในประเทศจีนตามแผนที่(map)แล้วบอกผู้เขียนว่าสุสานเธออยู่ตรงนี้ หากขุดไปก็จะเจอตัวเธอเพราะเธอถูกฝังบรรจุไว้ที่นี่

    ลึกจากพื้นดินลงไปประมาณ50เมตร ข้างในฝังของมีค่าส่วนตัวเธอไว้เยอะทั้งชุดเครื่องทอง-กำไร-แหวน-เครื่องประดับและอื่นๆที่เป็นของๆเธอตอนมีชีวิตอยู่ที่สามารถเอาลงไปฝังได้

    แถมนั่งวาดให้ผู้เขียนดูว่าแหวน-กำไรมีลักษณะเป็นอย่างไร (ปัจจุบันผู้เขียนเอาแบบที่เธอเขียน(วาด)แล้วสั่งให้ช่างทองที่เมืองไทยทำเป็นชุดๆครับ มีทั้งหมดประมาณ50ชุดยังเสร็จไม่ครบ ดูเธอรู้สึกดีใจมาก)

    แต่ไม่ต้องบอกใครและไม่ต้องไปขุดเอามาใช้หรอกปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ เพราะปัจจุบันเรามีเยอะพอแล้ว ให้ถูกฝังไว้เป็นสมบัติของแผ่นดินตรงนั้นแหละ

    นี่คือชีวิตที่ผ่านมาและยังไม่ผ่านไป(ปัจจุบัน)อย่างคร่าวๆที่จะพอจะเล่า(เขียน)ให้เพื่อนญาติธรรมอ่านอย่างคร่าวๆยังมีอะไรที่ปลีกย่อยอีกเยอะพอสมควรที่ต่อจากที่เล่ามา จะว่าแปลกก็แปลก จะว่าวิถีชีวิตเล่นตลกก็คงตลก จะว่าบุญพาวาสนาส่ง กรรมเก่าดลบันดาล ชะตาฟ้าลิขิตอะไรก็ตามแต่

    ที่เป็นตัวผลักดันให้ผู้เขียนและภรรยาได้เจอและอยู่ร่วมกันอีกครั้งที่ไม่ใช่อดีตแต่เป็นปัจจุบัน(ทั้งๆที่ผู้เขียนมีภรรยาและลูกอยู่แล้ว แต่ก็ได้มีอันพลิกผันต้องไปอยู่กับเธอจนได้)

    โดยที่ภรรยาคนแรกเมื่อรับรู้เรื่องราวต่างๆดังที่ได้เล่ามาเธอก็ไม่ได้ทัดทานหรือขัดขวางแต่ประการใด แถมเข้ากันกับภรรยาคนใหม่อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยซะอีก แต่ผู้เขียนก็จะปลูกบ้านแยกออกจากกัน ไม่ได้พักอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในแต่ละครั้งที่มา

    บินกลับมาเมืองไทยแต่ละครั้ง(เครื่องjetส่วนตัว)สาวๆ2คนก็จะสนุกพากันออกไปช็อปปิ้ง-เสริมสวยกันแทบทั้งวัน หรือจะเข้าทางที่ว่า

    มีทองท่วมหัว เอาผัว(ฉัน)ไป(ครอง)เลย

    กระมัง เพราะกลับจากช็อปแต่ละที คุณนายใหญ่หอบของมาเต็ม2มือเลย....เฮ้อนะ

    จบดื้อๆ ถ้าอยากอ่านต่อว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป จากที่เล่าค้างไว้ ก็ช่วยโพสท้วงมาได้ครับก็จะเขียน(เล่า)ต่อว่าสุดท้ายลงเอยกันยังไง เพราะอีกคนเคยเป็นถึงระดับนางงามฮ่องกงแถมเป็นลูกสาวของอภิมหาเศรษฐีกับอ้ายกระจ๊อกกกก....กระจอก มันเทียบกันไม่ได้จริงๆระหว่างฟ้ากับเหว

    มันไปลงเอยกันอีท่าไหน หรือเปรียบเสมือนดวงดาวกับพื้นดินนั่นแหละ มันจะโคจรลงมาอยู่ด้วยกันได้ยังไง ยกเว้นเกิดอภินิหารนั่นแหละ

    ช่วงแต่งงานแล้วบินกลับมาเมืองไทยแรกๆมีเพื่อนสนิทสมัยเรียนมาเยี่ยมนั่งฟังเล่าถึงความเป็นมามันบอกว่าเรื่องชีวิตของมึงนี่มันนิย้าย.....นิยาย มันนิยายน้ำเน่าจริงๆหากไม่มารับรู้และเห็นด้วยลูกกะตา

    หากไม่มีใครท้วงผู้เขียนก็จะเปลี่ยนเรื่องไปเขียน(เล่า)ในสิ่งที่ผู้เขียนได้หายไปว่าไปพบเจออะไรมาบ้าง เพราะบางคนอาจจะเบื่อเรื่องประเภทแนวนี้ครับ แต่ขอยืนยันนั่งยันนอนยันว่า นี่คือเรื่องจริงของตัวผู้เขียนจริงๆครับ

    ใครจะหาว่านิยายก็ตามสะดวก อ่านเล่นๆสนุกๆเพลินๆไปแล้วกันครับ

    ..............ภควัณตัง...........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2022
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,288
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    มิน่าเล่าถีงไม่มีเวลามาเขียน !!
     
  6. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ประมาณนั้นครับ ขออภัยครับ
     
  7. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เวร-กรรม-คำสัญญา

    มกราคม 65 เป็นวันครบรอบ3ปีวันตาย(เสีย)ของแม่ผู้เขียน ก่อนหน้านั้น1ปีแม่ป่วยหนักต้องเข้ารพ.ผ่าตัดเนื้องอกที่มดลูก แม่เป็นคนที่อดทนมาก ถ้าไม่เจ็บเหลือเกินจะไม่ค่อยบอกอะไรเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ หรือสิ่งต่างๆที่คิดว่าจะต้องทำให้ลูกต้องเสียเงิน

    ทำให้บางครั้งแทนที่จะเสียเงินน้อยๆแต่กลับต้องเสียเงินมากกว่าเดิม อายุแม่ตอนนั้นคือ92ปี มีการตรวจพบก้อนเนื้อที่มดลูก จากการตรวจร่างกายประจำปีเมื่อ4-5ปีก่อนหน้าที่จะเข้ารับการผ่าตัดรักษา การผ่าตัดจึงมีความเสี่ยงมากเพราะอายุแม่เยอะ

    ถามว่าเมื่อตรวจพบตั้งแต่แรกๆทำไมไม่รีบรักษา การรักษาต้องใช้เงินค่อนข้างมากกับการรักษาโรงพยาบาลเอกชน เพราะระบบการรักษาแน่นอนย่อมดีกว่าและน่าจะปลอดภัยกว่าโรงพยาบาลของรัฐบาล และผู้เขียนก็ต้องการที่จะรักษาผู้เป็นแม่ ให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้เป็นลูกจะมีปัญญาสามารถจะทำให้ได้ จึงต้องใช้เวลาเก็บและรวบรวมเงินที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อในการนี้ ครั้งนั้นหมดค่ารักษาพยาบาลรวมๆไปประมาณเกือบๆ3ล้านบาทรวมพักฟื้นอีก1อาทิตย์ด้วย

    ช่วงที่พยาบาลต้องย้ายห้องเข็นเตียงแม่เข้าห้องผ่าตัด สิ่งที่ผู้เขียนเห็นทั้งๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็คือ สิ่งๆหนึ่งลักษณะรูปร่างคล้ายคน เพียงแต่ตั้งแต่บั้นเอวขึ้นไปจนถึงศรีษะไม่เหมือนคน มีผิวตามตัวลักษณะเป็นเกล็ดเล็กบ้างใหญ่บ้างเหมือนเกล็ดปลา

    บางตัวส่วนหัวมีลักษณะเป็นโหนกรียาว มีหนวดยื่นโผล่ออกมาทางข้างแก้มทั้ง2ข้างยาวประมาณ1คืบ บางตัวส่วนหัวมีลักษณะหน้ายื่นออกมาแหลม มีปากคล้ายๆปากปลาเล็กบ้างใหญ่บ้างมีฟันเป็นซี่เล็กๆอยู่ด้านใน มีดวงตากลมโตปูดโปน ส่วนบนหัวไม่มีเส้นผม บางตัวลักษณะมีเมือกขาวๆทั่วตัวเวลาเดินก็จะมีคราบน้ำเมือกไหลย้อยลงบนพื้นเรี่ยรายทาง ต่างพากันเดินตามเตียงที่เข็นแม่มากันเป็นพรวน(มีไม่ต่ำกว่า10ตัว)

    สิ่งที่ผู้เขียนเห็นอยู่ตรงหน้าซึ่งมีระยะห่างจากตัวผู้เขียนที่เดินตามขบวนรั้งท้ายมาประมาณ5-6เมตร เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกตกใจมากว่า.... นี่มันคือตัวอะไร ทำให้อดนึกคิดในใจไม่ได้ว่าไอ้พวกแปลกประหลาดเหล่านี้มันคือตัวอะไรแล้วพวกมันเป็นใคร มาเพื่อจุดประสงค์อะไร ถึงได้พากันเดินตามเตียงแม่ที่เข็นเตรียมเข้าห้องผ่าตัด และพากันเดินตามมาทำไม

    ทันทีที่ผู้เขียนนึกคิดกับคำถามในใจอยู่ในขณะนั้นนั่นเอง สิ่งที่พากันเดินล่วงหน้าผู้เขียนมาหนึ่งในนั้นเหมือนจะรู้หรือได้ยินคำถามที่ผู้เขียนรำพึงอยู่ในใจ ทั้งๆที่ผู้เขียนไม่ได้เอ่ยปากพูดมันชะงักแล้วหยุดเดินชั่วคราวพร้อมกับหันกลับหลังมามองดูผู้เขียน แล้วหันหน้ากลับไปพูดบอกเพื่อนๆ(มีหลายตัว)ที่กำลังพากันเดินเป็นขบวนมาว่า

    “ไอ้คนนี้มันมองเห็น”

    หลายตัวในนั้นพากันหยุดเดินแล้วหันกลับมาทางผู้เขียนพร้อมถลึงตาปูดโปนใส่ นัยตาจากใสๆกลายเป็นขุ่นแดงมีเมือกขาวปกคลุมอยู่บางๆ เหมือนตั้งท่าเตรียมพร้อมจะเข้ามาเอาเรื่องทำทีจะวิ่งเข้ามาขย้ำผู้เขียน พร้อมกันนั้นหนึ่งในนั้นก็หันกลับมาขยับปากแบนๆขู่ตอบผู้เขียนว่า

    “เรื่องของพวกกูมึงอย่ามาเสือก”

    ผู้เขียนนึกรู้ทันทีว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าและสามารถพูดโต้ตอบกลับมาได้นี้ คงไม่ใช่สิ่งอะไรที่ประเภทธรรมดาหรือภูตผีวิญญานสัมภเวสีทั่วไป จึงสามารถได้ยินความนึกคิดและโต้ตอบกลับมาได้ จึงพูดพึมพำเบาๆบอกตอบกลับมันไปว่า

    “ไม่เสือกได้ไง นี่มันแม่ผม”

    หนึ่งในนั้นมันหันหน้ากลับมาตวาดพูดต่อว่า

    “ต่อไปตายไปแล้วมันก็ไม่ใช่ของแม่มึง มึงอย่ามาเสือกเรื่องของพวกกู ถ้ามึงอยากเสือกก็ให้แม่มึงสร้างพระพุทธรูปเท่าตัวซิ แล้วอุทิศบุญให้พวกกู กูถึงจะยอมอโหสิกรรมไว้ชีวิตให้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาคุยกันมันต้องชดใช้กรรมให้พวกกู ที่อดีตเคยทำกับพวกกูไว้”

    ผู้เขียนนึกรู้ได้เลยว่านี่เองที่เขาเรียกกันว่า(เจ้ากรรมนายเวร)ที่คอยติดตามเรา ทั้งในอดีตและปัจจุบันผู้เขียนจึงตอบกลับไปว่า

    “ตกลงผมจะให้แม่ทำให้ แต่ต้องขอเวลาหน่อยนะให้แม่หายดีกลับไปเป็นปกติก่อน”

    หนึ่งในนั้นมันพยักหน้ารับรู้ พร้อมๆกับส่งเสียงแหลมเล็กลักษณะสั้นๆยาวๆตะโกนบอกพวกทั้งหมดที่กำลังเดินอยู่และที่หยุดอยู่กับที่ ปรากฏว่าพวกมันพร้อมใจกันหยุดเดิน ก่อนที่พยาบาลจะเข็นเตียงแม่ของผู้เขียนถึงบริเวณประตูทางเข้าห้องผ่าตัดพอดี เหมือนการเจรจาต่อรองกับสิ่งแปลกประหลาดจะทันเวลาพอดีไม่ขาดไม่เกิน

    อาทิตย์ต่อมาแม่ออกจากรพ.โดยสวัสดิภาพปลอดภัยทั้งๆที่หมอบอกว่าไม่รับประกันกับการเสี่ยงมีโอกาศแค่50/50เพราะแม่ผู้เขียนอายุมากแล้วนั่นเอง

    ผู้เขียนเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้แม่ฟังถามแม่ว่า เมื่อก่อนแม่เคยทำอะไรเกี่ยวข้องกับปลาบ้างหรือเปล่า แม่บอกว่าสมัยสาวๆเป็นแม่ค้าขายปลาสดประเภทปลาน้ำจืดอยู่ในตลาด (แม่ไม่เคยเล่าให้ผู้เขียนฟัง) ดูแม่ไม่ค่อยเชื่อถือเรื่องที่ผู้เขียนเล่า(ก็เหมือนกับหลายๆคนที่ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้)แถมบอกผู้เขียนว่า

    "ไอ้หนู เอ็งอย่างมงาย ตาเอ็งอาจจะตาฝาดไป เลยเห็นอะไรเรื่อยเปื่อย"

    แล้วแม่แกก็บอกผัดผ่อนเรื่องการสร้างพระเรื่อยมา จากที่ผู้เขียนพยายามทักท้วงถามบ่อยๆ ผ่านระยะเวลามา จนคิดว่าคงไม่มีอะไรแล้วมั้ง

    เหตุการณ์ก็ปกติดี1ปีผ่านไปย่างเข้าปีที่2 แม่บอกอยู่ๆก็หายใจติดขัดหายใจไม่ค่อยออก ผู้เขียนรู้สึกตกใจคิดว่าอาจจะเกิดจากผลข้างเคียงหลังจากผ่าตัดมาก็ได้ จึงโทรเรียกรถฉุกเฉินส่งเข้ารพ.ที่เก่า ส่งตรงเข้าห้อง ICU.หมอพยายามตรวจหาสาเหตุแต่ก็หาไม่เจอ

    ยิ่งเวลาผ่านไปแม่ก็มีอาการทรุดหนักเข้าไปอีก ถึงขนาดเพ้อมองเห็นอะไรต่างๆบอกกลัวแล้วๆ ผมขออนุญาตหมอเพื่อเดินเข้าไปดู ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผู้เขียนรู้สึกตกใจเหมือนครั้งก่อนคือ กลุ่มพวกเดิมที่เคยเดินตามตอนเข้าห้องผ่าตัดเมื่อครั้งก่อน

    พวกมันเข้ามารุมล้อมอยู่รอบเตียงแม่ ต่างพากันดึงสายน้ำเกลือ-ดึงสายออกซิเย่นออก เอามือที่มีลักษณะนิ้วแหลมยาวกดและบีบคอ มะรุมมะตุ้มที่เตียงแม่นอนอยู่กันนัวเนียวุ่นวายกันไปหมด แม่ดิ้นจนเตียงโยกตะโกนส่งเสียงร้องเรียกผู้เขียนเสียงลั่นว่า

    “ไอ้หนูช่วยแม่ที ช่วยไล่พวกมันออกไปที มันจะฆ่าแม่แล้ว”

    ภควัณตัง
     
  8. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ผู้เขียนพยายามใช้การพูดสื่อสารทางจิตโดยไม่ขยับปากพูดต่อรองไปว่า

    “ตกลงๆผมจะทำให้ แต่ขอร้องปล่อยแม่ผมก่อนเถอะ”

    แต่ไม่มีใคร(ตัวไหน)ฟัง ยังคงปฏิบัติทำอยู่เหมือนเดิม ผู้เขียนจึงเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียงกุมมือแม่เบาๆบอกว่า

    “แม่ใจเย็นๆอย่าดิ้นอย่าร้องนะ เดี๋ยวหนู(เวลาคุยกับแม่จะเรียกแทนตัวเองว่าหนู)บอกขอร้องพวกมันให้”

    พร้อมกันนั้นผู้เขียนก็หันไปบอก(ใช้จิตบอก)เหมือนเดิมว่า

    “ขอร้องเถอะอย่าทรมานแม่ผมเลย ขอเวลาให้อีกสักครั้งเถอะ”

    พร้อมกันนั้นผู้เขียนก็ใช้จิตระลึกถึงองค์พ่อพยาครุฑที่ผู้เขียนแขวนอยู่ที่คอ เพราะเคยมีร่างทรงใหญ่ท่านหนึ่งเคยทำนายทายทักผู้เขียนว่า มีสภาวะจิตที่เป็นทิพย์ของท่านพยาครุฑ สถิตแฝงอยู่ในดวงจิตของผู้เขียน คอยดูแลปกปักรักษาและคอยช่วยเหลือในเรื่องต่างๆโดยที่ตัวผู้เขียนเองไม่รู้ตัว เพราะไม่ได้สนใจหรือใส่ใจในเรื่องแบบนี้

    แนะนำว่าให้ผู้เขียนขึ้นครู(ครอบครู)เพื่อรับทรงเข้าร่างเต็มตัวเพื่อช่วยเหลือผู้คนและบำเพ็ญบารมี ซึ่งเรื่องแบบนี้ผู้เขียนก็ไม่ค่อยชอบอยู่แล้ว กับการทรงเจ้าเข้าผีอะไรต่างๆนาๆดังที่ได้เคยเขียนไว้ในโพสแรกๆ

    แม้จะจะมีจริงตามคำบอกหรือเข้าจริงหรือเข้าเท็จก็ตาม ผู้เขียนเคยพูดเปรยๆว่าถ้าหากมีสิ่งใดก็ตามแฝงอยู่ในตัวผู้เขียนจริง ก่อนที่จะให้ไปช่วยเหลือคนอื่นก็ให้ช่วยตัวผู้เขียน ให้มีหลักมีฐานฐานะร่ำรวยเป็นที่น่าเชื่อถือก่อนสิแล้วผู้เขียนถึงจะเชื่อ ไม่ใช่ตัวคนช่วยฐานะก็แย่แล้วยังจะไปช่วยคนอื่นอีก แล้วมันจะไปช่วยกันได้ยังไง

    คือก่อนจะยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นก็ให้ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ดีก่อน ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนก็จะนำมาเล่า(เขียน)อีกครั้งในภายหลังในตอนต่อๆไปครับ

    ผู้เขียนกลั้นใจน้อมรำลึกขอความช่วยเหลือพร้อมท่องคาถาองค์พ่อพยาครุฑตามที่พอรู้และได้ศึกษามา วิธีการหรือตัวบทคาถาอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นให้เลือกอีกแล้ว

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ

    โอมพญาครุฑจะเห็นผลหลีกไปให้พ้น
    พญาหนจะเดินทาง เคาะงอ เคาะงอ
    โอม คะรุทา โอม คะรุทา โอม คะรุทา
    ครุฑโธ ครุฑธา ปฏิเสวามิ

    พร้อมทั้งอธิฐานพูดกำกับลงไปว่า

    “ลูกขอบารมีองค์พ่อพยาครุฑ องค์พ่อท้าวเวชไชยยันต์ ได้โปรดไล่ไอ้ผีห่านรกพวกนี้ออกไปให้หมด”

    ทุกคน(ตัว)ชะงักหยุดพร้อมกันเหมือนติดเบรก ต่างกระจายตีวงถอยกรูดห่างออกจากเตียงทันที เหมือนโดนสิ่งใดสิ่งหนึ่งผลักออกให้แตกกระจายออกห่างจากเตียง

    สุดท้ายแม่หยุดอาการดิ้นรน หยุดร้องโวยวายจากไปอย่างสงบ มือกุมมือผู้เขียนไม่ปล่อยไม่ดิ้นรนร้องเหมือนตอนแรก พยาบาลเข้ามาเตรียมปั้มหัวใจ(CPR)ผู้เขียนบอกว่าไม่ต้อง เพราะผู้เขียนรู้ดีว่า ร่างกายแม่บอบบางเกินกว่าจะให้CPR หากปล่อยให้ทำอาจเป็นการทรมานหรือสร้างความเจ็บปวดซ้ำซ้อน

    และซี่โครงอาจหักเพราะกระดูกแม่ค่อนข้างเปราะจากเหตุการณ์ต่างๆก่อนหน้านั้นก่อนเข้าโรงพยาบาลที่พอสดุดอะไรนิดหน่อยแม่ก็กระดูกหักหรือแตกร้าว

    ผู้เขียนบอกให้แม่ท่องคำว่า
    “พุท-โธ”ให้นึกคำว่าพุท-โธให้เป็นอารมณ์ไว้ ก่อนที่ท่านจะหยุดหายใจและสิ้นใจไปอย่างสงบ ผู้เขียนน้ำตาร่วงพราวกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตในครั้งนี้

    นี่เองที่เป็นหนึ่งในคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า ทุกชีวิตหากยังคงเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารไม่สามารถหลีกหนีให้พ้นคำว่า
    "เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย" ได้จริงๆ เป็นสัจจะธรรมจริงๆกับสิ่งที่อยู่ต่อหน้า

    สิ่งที่ผู้เขียนเล่านี้คือประสพการณ์หนึ่งหรืออุทาหรณ์หนึ่งที่ในยุคนี้ไม่น่าจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้น จะบอกเพื่อนๆว่าคำว่า “เวร-กรรม” มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้เลยจริงๆ

    จากที่ผู้เขียนพยายามทักท้วงแล้ว แต่ผลของกรรมมันบังคับจงใจให้มองข้ามไปเสีย ไม่ให้คู่กรรมปฏิบัติตามให้คิดเป็นเรื่องขำ ตลก ไร้สาระไม่เชื่อถือไปเสียสิ้น ดวงจิตของกรรมมันจึงพาไปในเรื่องให้ชดใช้กรรมอย่างเดียว

    หลายคนประสพปัญหาชีวิตก็เพราะการส่งผลของกรรมนั่นเอง อาจจะเป็นกรรมที่สร้างขึ้นมาใหม่หรือกรรมเก่าในอดีตชาติหรืออดีตที่ล่วงมาแล้วในชาตินี้ หยุดและพยายามอย่าสร้างกรรมเพิ่มใหม่ให้พยายามชดใช้กรรมเก่า แม้จะไม่ได้มากแต่ก็ยังดีกว่าไม่คิดหยุดหรือทำอะไรเลย

    มีอีกหลายคนที่เข้าใจและรู้หรือทราบดีเรื่องเวร-กรรมมากกว่าตัวผู้เขียน อาจจะรู้โดยสัญชาตญาน รู้โดยการบอกต่อกันมา รู้โดยกำลังประสพกับการชดใช้กรรมอยู่ แต่ก็ยังไม่พยายามหยุดสร้างกรรม กลับสร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยไม่สนใจสิ่งใดและเอาความคิดของตัวเป็นหลักว่าคงจะไม่เป็นอะไร

    เพราะผลของกรรมบางครั้งอาจใช้ระยะเวลากว่าจะส่งผล อาจใช้เวลา1วัน-1ปี-10ปี-50ปีหรือใกล้จวนหมดอายุขัย จนคนสรุปคิดเอาว่าคงไม่มีอะไร จวบจนวาระดวงจิตสุดท้ายนั่นแหละ บุคคลพวกนี้จึงรู้จึงจะเข้าใจ แต่มันก็สายเกินไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วนั่นเอง

    เรื่องนี้ผู้เขียนไม่ได้บังคับให้ใครต้องมาคล้อยตามเชื่อดังเรื่องราวดังที่เล่ามา เพียงแต่เล่าให้ฟังเฉยๆใครไม่เชื่อถือหรือคิดว่างมงาย ไร้สาระก็อ่านเล่นผ่านๆไปครับ

    คิดเสียว่าอ่านเอาสนุกๆก็แล้วกัน อันนี้มันอยู่ที่วิจารณญาณและความเชื่อของแต่ละคนครับ มันบังคับความเชื่อกันไม่ได้ เพราะสิ่งที่เห็นประสพพบเจอมันเอามาพิสูจน์ไม่ได้ มันเป็น
    ปัจจัตตัง คือรับรู้หรือเกิดได้เฉพาะตัวบุคคลครับ เล่า(เขียน)ให้ฟังกันเฉยๆครับ



    ขออุทิศกุศลผลบุญทั้งหมดทั้งมวลจงมีแก่แม่(มารดา)ของผู้เขียนและเพื่อนๆสมาชิกรวมทั้งเทพบุตรเทพธิดาทุกๆท่านที่ติดตามอ่านข้อเขียนครับ


    ภควัณตัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...