คณะธุดงค์ของหลวงพ่อพบพระอภิญญา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 16 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]

    ต่อไปองค์ที่ 2 องค์ที่ 2 นี้ไม่มีอะไรหรอก พอไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าทำปืน องค์นี้เอาไม้มาถากทำเป็นรูปปืนไว้เยอะแยะ พิง ๆ ไว้ในถ้ำ ไปถึงก็แต่งตัวแบบฆราวาสนี่แหละ วันนี้ ไม่เล่ามาก หลวงพ่อปานถามว่าทำปืนทำไม บอกว่าต่อไปประเทศชาติเกิดสงครามก็เอาไม้นี่แหละแบกไปที่ตักศิลา ไปชุบ ๆ เข้าแล้วมันจะเป็นเหล็กแล้วเอามายิงข้าศึก ท่านถามว่าไม่บาปรึ บอกว่าไม่เกี่ยว บาป ไม่บาปไม่เกี่ยว พระชาวบ้านไม่เกี่ยวนี่ มันเรื่องของพระป่า หลวงพ่อปานบอกว่า พระป่านี่ขี้โกหก มันจะมีแบบมีแผนอะไร เอาไม้มาถากเป็นปืนแล้วมาชุบเป็นเหล็ก แล้วเอายิงชาวบ้านได้ แบบแผนประเภทนี้มัน ไม่มี มันหาตัวอย่างไม่ได้ หาแบบฉบับที่ไหนไม่ได้ โกหกพกลม พระในป่าหาสัจจะความจริงอะไรไม่ได้ เป็นอันว่าทะเลาะกัน หลวงพ่อปานก็เลยบอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน มาแสดงกันให้ปรากฏ เอากันให้เห็นชัด เอากันให้ชัดเถอะ จะว่าปืนกระบอกไหนให้เป็นเหล็ก ไหนทำให้ดูซิ แล้วมันจะยิงได้อย่างไร ไอ้กระบอกก็ไม่มีรู ท่านเลยบอก เอา มาไปด้วยกัน ไปเมืองตักศิลา ไอ้เมืองตักศิลานี่มันอยู่ไหนฉันก็ไม่รู้ มาทุกคนไปด้วยกัน ไปเมืองตักศิลา ที่นั่นมีบ่อน้ำทิพย์สำหรับชุบเป็นเหล็ก ได้เป็นเหล็กกล้า ถ้าต้องการเป็นเหล็กกล้าไปชุบที่นั่นชุบได้ถ้าเหล็กไม่ดีนะ ท่านก็แบบปืน ท่านแบกไปกระบอกหนึ่งไม่ยักเอาไปหมด หลวงพ่อปานบอกทำไมไม่เอาไปให้หมด ท่านบอกว่าไม่ได้ เวลาเกิดสงครามเอาไว้ใช้ ท่านบอกว่ามาเดินตามข้ามาไปเมืองตักศิลา แล้วท่านก็ออกเดินเราก็เดินตาม นึกว่ามันจะไปยังไงตักศิลา นี่มันเชียงตุงแล้วท่านจะไปตักศิลา เดินประเดี๋ยวเดียวไม่ถึง 15 นาที ถึงแล้ว และเห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่ง ก็เอาปืนชุบลงไปมันกลายเป็นเหล็กออกมายิงไป ปุง ปุง เอ๊ะ ก็แปลกเหมือนกัน แต่ลูกเลิกไม่มีหรอก ถามว่าไหนเมืองตักศิลา ท่านบอกว่า นี่แหละ มองไปมองมาเอ๊ะ มันแดนเมืองกำแพงเพชร ท่านบอกว่านี่แหละเมืองตักศิลาสมัยพระพุทธเจ้า มันคือกำแพงเพชรนี่แหละ เอาเข้านั้น หรือความจริงประเทศไทยก็มีความเกี่ยวข้องกับสมัยพระพุทธเจ้าเหมือนกัน สมัยโบราณโน้นนะที่เขาไปเรียนศิลปศาสตร์เมืองตักศิลา ท่านบอกว่าเมืองกำแพงเพชรนี่แหละ เป็นอันว่าสิ่งที่ท่านทำก็เป็นเรื่องของอภิญญา ทำให้ดูไม่ใช่จะไปรบกับใคร แล้วเวลาพักอยู่กับท่าน ๆ ก็สอนกรรมฐานให้ดี
    ต่อมาพบกับอีกองค์ ๆ นี้หลวงพ่อปานเรียก พระทั้งขี้ค้างคาว ท่านนั่งกรรมฐาน นั่งสมาธิจนกระทั่งขี้ค้างคาวท่วมขึ้นมาถึงเอว ขี้ค้างคาวมันท่วมเต็มถ้ำตลอดถ้ำ ไม่ใช่ท่วมนิดท่วมหน่อย มันท่วมตลอดถ้ำขึ้นมาถึงเอวเลย มันท่วมเอวขึ้นมาเลย แต่ว่าพระองค์นั้นท่านไม่ลืมตาเลย เนื้อเหลืองอ้วน อยู่ในถ้ำ ต้องคลานเข้าไป เหม็นขี้ค้างคาวเกือบแย่ เข้าไปหลวงพ่อปานไปสะกิด ๆ เรียกท่าน ๆ ลืมตาขึ้นมาดูทีแล้วก็หลับตาไปอีก เป็นอันว่าไม่ยอมพูดด้วยเลย นี่เป็นอันว่าองค์นี้ใช้ไม่ได้เลย อาศัยไม่ได้ ได้แต่หลับตาอย่างเดียว หลวงพ่อปานบอกมาหลายหนแล้ว นี่ตั้งแต่ฉันธุดงค์มาตั้งแต่หนุ่ม ๆ มาเห็นทีไรก็นั่งหลับตาแบบนี้ ถามหลวงพ่อปานว่าแบบนี้ไม่ตายหรือครับ ท่านบอกว่า ท่านอยู่ด้วยอำนาจธรรมปีติ เรื่องของพระอริยเจ้านี่เป็นเรื่องลำบากนะลูกนะ ว่าอย่างนั้น เรื่องของพระอริยเจ้าเป็นสิ่งเกินวิสัยที่เราจะเข้าใจได้ พวกเธอจงอย่าเอาจิตใจเข้าไปวัดกับพระอริยเจ้า สิ่งใดที่ยังสงสัยยังไม่รู้อย่าคัดค้านเข้านะมันจะเป็นบาปเพราะเราเองไม่ใช่สัพพัญญูวิสัย มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นสัพพญูวิสัย สามารถจะรู้อะไรได้หมด พวกเธอจงจำไว้นะ
    หลังจากนั้นก็พากันกลับวัด แล้วบรรดากองทัพลิงทั้งหลาย 30 ตัวก็มาแยกกันที่สระบุรี กลับวัดคราวนั้นก็ปรากฏเข้ามาถึงวัดวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 พอดี นับเอาก็แล้วกันออกจากวัดตั้งแต่แรมเดือนอ้าย กลับถึงวัดขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 มันจะเป็นกี่เดือนกี่วันก็ช่าง หัวไม่ได้โกนเป็นอันว่าผมไม่โกน มันยาวสวยเหลือเกิน พอเข้าวัดเท่านั้น หมาที่เคยให้ข้าวกินมันจำไม่ได้ มันวิ่งไล่โฮกฮากทีเดียว แต่เจ้าหมาจำกลิ่นเก่ง พอใกล้มันได้กลิ่นมันกระดิกหางเข้าหาหลวงพ่อปาน ท่านก็เลยบอกว่า เราไปธุดงค์กันแค่หมาแปลกใช้ได้นะ ไอ้การธุดงค์นี่ต้องไปกันให้หมาแปลก ถ้าหมายังไม่แปลกก็ไม่ควรจะกลับวัด
     

แชร์หน้านี้

Loading...