คณิตศาสตร์ในพระพุทธศาสนา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Wisdom, 12 มกราคม 2006.

  1. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    คณิตศาสตร์ในพระพุทธศาสนา (ตอนที่ 1)
    </TD></TR><TR><TD height=7>
    </TD></TR><TR><TD>
    พระพุทธศาสนาสอนให้มนุษย์เข้าสู่กระแสแห่งการพ้นทุกข์ คือ พระนิพพานเป็นการพ้นจากวัฏสงสารโดยสิ้นเชิง มนุษย์มีนามและรูปประกอบกันเกิดเป็นพลังงานที่ไม่รู้จักความหมดสิ้นจนกว่าจะถึงพระนิพพาน นามรูปนี้อาศัยอยู่ในกายภาพของเอกภพ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับดาวและกาแล็กซีอยู่มีผู้กล่าวว่า "พระเจ้าเป็นผู้สร้างเอกภพ" คำถามที่ตามมาคือ "ใครสร้างพระเจ้า" ในทางศาสนาพราหมณ์ "พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก" คำถามที่ตามมาคือ "ใครสร้างพระพรหม" แท้จริงแล้วความไม่มีเป็นผู้สร้างทุกอย่างย้อนกลับมาพิจารณาเอกภพของเรา

    ไอน์สไตน์ ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพ พ.ศ.2460 (ผู้ไม่นับถือศาสนาใดเลยกล่าวว่าถ้าฉันจะนับถือศาสนา ฉันจะนับถือศาสนาพุทธ เพราะพุทธศาสนามีแนวความคิดในเชิงควันตัม) คิดว่า "เอกภพปิดหยุดนิ่งสม่ำเสมอเหมือนกันทุกทิศทุกทางไม่ขยายกว้าง" แต่ผลการคำนวณกลับตรงกันข้าม ถ้าเอกภพปิดจะเกิดการหดตัวแทนที่จะหยุดนิ่ง เพราะการมีมวลสารที่สม่ำเสมอมวลสารจะดึงดูดซึ่งกันและกัน ในสมัยนั้นไม่ยอมคิดว่าเอกภพหดตัวเชื่อว่าเอกภพมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ เพื่อแก้ปัญหานี้ ไอน์สไตน์จึงเพิ่มตัวแปรเอกภพเข้าไปในทฤษฎีสัมพันธภาพ โดยหวังว่าเอกภพไม่หดตัวหยุดนิ่ง ไอน์สไตน์จึงตั้งทฤษฎี "เอกภพไม่มีกำเนิด" สอดคล้องกับวัฎสงสารในทางพระพุทธศาสนา

    พ.ศ.2456 ฟรีดมานน์ นักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ชาวรัสเซียพบว่า เอกภพไม่คงที่คงจะต้องขยายออกหรือหดเข้าอย่างใดอย่างหนึ่ง
    พ.ศ.2472 ฮับเบิล นักฟิสิกส์ชาวสหรัฐสำรวจจักรวาลด้วยกล้องโทรทัศน์พบว่า เอกภพกำลังขยายออก ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์หลายท่านตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับการระเบิดใหญ่ (Big Bang) ขึ้น ซึ่งโดยหลักสมดุล เมื่อมีการขยายออกก็ย่อมจะต้องมีการหดเข้าเหมือนกับการโยนก้อนหินลงในน้ำที่มีจอกแหน เมื่อจอกแหนขยายออกเป็นวงกว้างแล้วก็จะย้อนกลับเข้ามาปิดสนิทดังเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้เอกภพย่อมมีจุดกำเนิด (singularity)
    พ.ศ.2591 กามอฟ นักฟิสิกส์ชาวรัสเซียกำลังคิดค้นเกี่ยวกับการเกิดธาตุ กลับบรรลุถึงข้อสรุปว่าเอกภพมีการระเบิดใหญ่ เพราะเอกภพส่วนใหญ่ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจน ในอะตอมจะประกอบด้วยโปรตอน และอิเล็กตรอน ทำให้เกิดนิวตรอน เมื่อเอกภพขยายตัวขึ้นนิวตรอนจะสลายตัวแบบเบตาออกเป็นโปรตอนและอิเล็กตรอน เมื่อโปรตอนและนิวตรอนทำปฏิกิริยากันเกิดเป็นดิวทิเรียม (ไฮโดรเจนหนัก) ดิวทิเรียมทำปฏิกิริยากับนิวตรอนเป็นไตรเทียมสลายตัวเป็นฮีเลียม 3 ฮีเลียม 3 ทำปฏิกิริยากับนิวตรอนเป็นอะตอมฮีเลียม ต่อจากนี้ปฏิกิริยานิวเคลียร์จะเกิดต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่เกิดธาตุหนักต่างๆ ไปเรื่อยๆ ในเอกภพ ซึ่งเอกภพนี้มีธาตุเบาสองธาตุคือ ไฮโดรเจน 75% และฮีเลียม 24% ส่วนธาตุอื่นๆ รวมกันอีก 1% และให้ข้อสรุปอย่างหนักแน่นว่า เอกภพจะต้องเกิดมาจากการระเบิดใหญ่เท่านั้น จึงกลายเป็นมาตรฐานของเอกภพในปัจจุบัน สิ่งที่น่าสนใจคือขณะที่เกิดการระเบิดใหญ่นั้น จะต้องมีความร้อนมากและจะต้องมีร่องรอยเหลืออยู่ และถ้าเอกภพเย็นลง เมื่อขยายตัว จะทำให้แรงที่เกิดจากการระเบิดใหญ่ขณะเย็นลงมีความยายคลื่นยาวขึ้น กามอฟประมาณว่าขณะนั้นความยาวคลื่นจะอยู่ในเขตไมโครเวฟ ซึ่งเทียบอุณหภูมิได้ 7 องศาเคลวินสมบูรณ์
    พ.ศ.2507 เพนเซียสและวิลสัน ชาวสหรัฐอเมริกาพบโดยบังเอิญว่าเอกภพนี้เต็มไปด้วยคลื่นไมโครเวฟขนาด 3 k นี่คือร่องรอยของการระเบิดใหญ่ตามที่กามอฟพยากรณ์ไว้
    จากทฤษฏีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ การค้นพบเอกภพกำลังขยายตัวและร่องรอยของการระเบิดใหญ่ ทำให้รู้ว่าเอกภพมีจุดเริ่มต้นแต่นี่ไม่ใช่สิ่งสิ้นสุดของปัญหาเอกภพ
    ปัญหาคือ จุดเริ่มต้นเอกภพมาอย่างไร เพราะอะไรฮอว์คิงและเพ็นโรสเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ว่า ตอนที่เอกภพกำเนิดนั้น อุณหภูมิและความหนาแน่นเป็นอนันต์ทั้งคู่ เนื่องจากจุดโดด (singularity)

    ในการศึกษาความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ศึกษาแต่เพียงทางกายภาพ ไม่ได้ศึกษาถึงจิตที่มีความมหัศจรรย์อย่างล้ำลึก ซึ่งสิ่งที่ก่อให้เกิดแกนหมุนของเอกภพและการหมุนนั้น คือแรงทั้งสี่ดังที่กล่าวมาแล้ว

    ในทางพุทธศาสนานั้นสิ่งนี้คือ วัฏสงสารซึ่งแฝงอยู่ด้วยนามและรูป รูปเป็นคูหาที่ให้จิตซึ่งเป็นนามธรรมอยู่ด้วยอวิชชา ทำให้เกิดการหมุนระหว่างนามกับรูปอยู่โดยตลอดเวลาไม่รู้จักหยุดนิ่งไม่รู้จักตายจนกว่าจิตที่เป็นธาตุรู้จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อนั้นนามและรูปไม่มีเหลือเลย

    ระบบสุริยะจักรวาลเป็นส่วนหนึ่งของกาแล็กซีทางช้างเผือก และกาแล็กซีทางช้างเผือกก็เป็นส่วนหนึ่งของเอกภพ กาแล็กซีทางช้างเผือกใช้เวลาหมุนรอบตัวเองกินเวลา 225 ล้านปี ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือกคือ 100,000 ปีแสง โดยที่ระบบสุริยะจักรวาลอยู่ห่างจากศูนย์กลางกาแล็กซีทางช้างเผือก 30,000 ปีแสง ( 1 ปีแสงมีระยะทาง 94605 x 10<SUP>12</SUP> กิโลเมตร)

    สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งทางกายภาพและทางจิตวิญญาณนั้น จะเคลื่อนไหวโคจรอยู่ตลอดเวลาไม่มีการหยุดนิ่ง โดยมีการโคจรซ้อนการโคจรอยู่หลายชั้นหลายเชิงนอกเหนือการคาดคิดของมนุษยชาติ

    ในระบบสุริยะจักรวาลนักคณิตศาสตร์รู้ว่าในเชิงกายภาพนั้น ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล

    ในส่วนของจิตวิญญาณนั้น พระพุทธศาสนารู้ว่าชมพูทวีปคือ โลกเป็นศูนย์กลาง เรียกว่าโลกธาตุและยังมีทวีปอื่นๆ อีกดังนี้
    <SMALL>1. โลกธาตุ หมายถึง ชมพูทวีป</SMALL>
    ชมพูทวีปเป็นศูนย์กลางของการปฏิบัติเพื่อให้ถึงซึ่งวิสุทธิจิต ความบริสุทธิ์แห่งจิตหรือจิตที่บรรลุแล้ว ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลยเหลือเพียงสติของญาณทัศนะ หรือการมองเห็นในสภาวะของสัจจะธรรมที่มีอยู่ในธรรมชาติอย่างถูกต้อง
    <SMALL>2. กาฬทวีป หมายถึง โลกของกาลเวลา</SMALL>
    กาฬทวีปเป็นโลกของกาลเวลาที่เป็นปัจจุบันหรือความเปลี่ยนแปลงในชมพูทวีป ซึ่งขึ้นอยู่กับการกระทำให้เกิดผลบุญบารมีและวิบากกรรม
    <SMALL>3. เทวินทวีป หมายถึง โลกเทวดา</SMALL>
    เทวินทวีปเป็นทวีปที่ล่องลอยอยู่เหมือนชมพูทวีปและดวงดาวต่างๆ ในกาแล็กซี แต่โลกเทวดามีกายละเอียดเป็นกายทิพย์ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไม่มีความละเอียดพอจึงค้นไม่พบ ยกเว้นแต่ผู้ที่มีจิตละเอียดจึงจะพบได้ จิตที่มีความหยาบกว่าความเป็นทิพย์ก็ไม่อาจพบได้
    <SMALL>4. โอปมาทวีป หมายถึง โอปาติกะหรือจิตวิญญาณในลักษณะกายทิพย์</SMALL>
    โอปมาทวีปลักษณะความเป็นกายทิพย์เช่นเดียวกับเทวินทวีป แต่อาศัยแฝงตัวอยู่ในชมพูทวีป หรือใต้ผิวโลก นอกจากนี้ยังล่องลอยอยู่ในขอบเขตของระบบสุริยะจักรวาล
    <SMALL>5. มหาราช ประกอบด้วย เทวโลก เทวพรหม โอลาโร (โลกพรหม) โอภาโส (อริยะพรหม) โลกุตตระ (พระนิพพาน)</SMALL>
    มหาราชอยู่ในอาณาบริเวณของพระเกตุ พระแก้ว พระจุฬามณี โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่โลกุตตระหรือโลกแห่งพระนิพพาน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  2. ผู้พ่ายแพ้ขันธ์ 5

    ผู้พ่ายแพ้ขันธ์ 5 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2004
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +64
    ไม่เห็นจะเป็นคณิตศาสตร์ตรงไหนเลย

    ขอบคุณขอรับที่เอาบทความดีๆอย่างนี้มาลง
    แต่...
    รู้สึกว่าเป็นการเอาตัวเลขทางฟิสิกส์และดาราศาสตร์มากล่าวถึงเท่านั้น และการอธิบายเรื่องของพุทธศาสนาก็เป็นแบบคนละส่วนไม่ได้มีคำพูดใดที่แสดงถึงความสัมพันธ์กันเลย และอีกจุดที่ข้าพเจ้ารู้สึกแหม่งๆก็คือ กาฬทวีป หมายถึง ทวีปของกาลเวลาซะอย่างนั้น อันที่จริงคำว่า กาฬ แปลว่า ดำ ไม่ใช่หรือขอรับไม่น่าจะเอามาเกี่ยวกันได้กับเรื่องของกาลเวลา
    แต่คณิตศาสตร์ในพุทธศาสนาในทัศนะของข้าพเจ้าต่างไปจากบทความข้างบนนี้ขอรับ เพราะบทความนี้บอกว่าคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องทางกายภาพเท่านั้น ออกตัวก่อนนะขอรับว่าไม่ได้ค้นพบอะไรที่พิเศษพิศดารอะไรทางคณิตศาสตร์ เพียงแต่ว่ามุมมองทางคณิตศาสตร์ถ้ามองให้ดีมองให้นาน จะเห็นว่ามันสมมูลกับกฎแห่งกรรม ขอบอกตรงนี้เลยขอรับว่า โลกทิพย์หรือโลกของเทวดาน่ะคณิตศาสตร์ก็บอกได้โดยหลักการและเหตุผล รวมถึงภาวะของสังขตธรรมและอสังขตธรรมด้วยขอรับ แต่คณิตศาสตร์รู้เพียงแต่ว่ามีภาวะอสังขตธรรมอยู่แต่ไม่รู้วิธีไปให้ถึงเท่านั้น ซึ่งก็มีเพียงแต่มรรคประกอบด้วยองค์ 8 นี่แหละครับที่เป็นทางเดียว

    ... ในระบบจำนวนเชิงซ้อนภาวะที่เรียกกันว่าโลกทิพย์เริ่มมีแล้วล่ะขอรับ เพราะ 1 + 1 ไม่จำเป็นต้องเท่ากับ 2 หรือ การเรียงลำดับการมาก่อนมาหลังใช้ไม่ได้ผลนั่นเอง....
    ใครที่มีความสนใจเรื่องการรู้แจ้งเห็นจริงทั้งทางโลก(แบบคณิตศาสตร์) และ ทางธรรม(แบบวิปัสสนากรรมฐาน) เชิญแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2006
  3. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    หนึ่งบวกหนึ่ง อาจจะไม่เท่ากับสองก็ได้

    ฅนทั่วไป มักจะรู้ได้โดยอัตโนมัติว่า "หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง" จนเป็นเรื่องปกติวิสัย และถือว่าเป็น "ธรรมชาติ" ของตัวเลข

    แต่ที่สงสัยคือเรื่องจำนวน "เวลา" ในทางพุทธ เช่น สงไขย์ อสงไขย์ กัปป์ ฯลฯ ว่าทำไมถึงกาลเวลาช่างยาวนานเสียเหลือเกิน !!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...