คลื่นความโน้มถ่วง : หน้าต่างบานใหม่สำหรับการศึกษาเอกภพ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย sron2006, 16 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. sron2006

    sron2006 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,202
    คลื่นความโน้มถ่วง หน้าต่างบานใหม่สำหรับการศึกษาเอกภพ ​


    [​IMG]

    ภาพกราฟฟิคในจินตนาการแสดงคลื่นความโน้มถ่วงจากการระเบิดในอวกาศถูกตรวจจับได้โดยดาวเทียม LISA

    นักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องมือศึกษาปรากฏการณ์ ต่างๆ บนท้องฟ้าเพื่อทำความเข้าใจ กำเนิดและวิวัฒนาการของเอกภพ พวกเขาใช้ทั้งกล้องโทรทัศน์ที่ใช้แสงสว่าง กล้องโทรทัศน์ที่ใช้คลื่นรังสีเอ๊กซ์ คลื่นรังสีอินฟาเรท คลื่นไมโครเวฟ หรือแม้กระทั่งคลื่นวิทยุ และข้อมูลจากคลื่นชนิดต่างๆ เป็นเสมือนหน้าต่างที่นำความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับจักรวาลมาให้เรา อย่างไรก็ตามคลื่นทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แต่การตรวจพบคลื่นชนิดใหม่ที่เรียกว่าคลื่นความโน้มถ่วงจะเปิดหน้าต่างบานใหม่สู่เอกภพ ในมุมมองที่เรายังไม่เคยเห็นมาก่อน

    คลื่นความโน้มถ่วงคืออะไร?
    คลื่นความโน้มถ่วง หรือ Gravitational wave เป็นคลื่นอีกชนิดหนึ่งที่แตกต่างจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อัลเบิร์ต์ ไอน์สไตน์ ได้ทำนายการมีอยู่ของมันโดยอาศัยทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General Relativity)ใช่แล้วครับ คลื่นความโน้มถ่วง คือมรดกอีกชิ้นหนึ่งจากอัจฉริยภาพของอัลเบิร์ตไอน์สไตน์ มันเป็นคลื่นของอวกาศและเวลาที่แพร่กระจายไปได้ทั่วเอกภพ

    [​IMG]
    กราฟฟิกแสดงคลื่นความโน้มถ่วงจากระบบดาวคู่​

    มนุษย์รู้จักแรงโน้มถ่วงมาตั้งแต่สมัยของ เซอร์ ไอแซก นิวตัน แต่ในปลายปี ค.ศ. 1915 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้เสนอทฤษฎีที่จะช่วยอธิบายว่า แรงโน้มถ่วงมีกลไกการทำงานอย่างไร สรุปความโดยย่อแล้ว ทฤษฎีของไอน์สไตน์อธิบายความโน้มถ่วงผ่านความโค้งของอวกาศและเวลา
    ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป อวกาศไม่ได้เป็นเพียงเวทีที่แข็งกระด้าง สำหรับให้เหตุการณ์ต่างๆ ในเอกภพ เกิดขึ้น และดำเนินไปเท่านั้น แต่มันยังร่วมแสดงด้วย มันเป็นตัวละครสำคัญในเอกภพของเรา การบิดโค้งของมันกำหนดการเคลื่อนที่ของสสาร และในขณะเดียวกันการมีอยู่ของสสารและพลังงานในจักรวาลก็กำหนดการบิดโค้งของเวลาและอวกาศ ทั้งหมดถักทอประสานเข้าด้วยกันอย่างน่าอัศจรรย์ วัตถุทุกชนิดที่เคลื่อนที่จะเปลี่ยนรูปทรงของกาลอวกาศที่อยู่รอบๆ มัน
    มวลสารที่เคลื่อนที่ด้วยความเร่ง จะทำให้เกิดการรบกวนในโครงสร้างของเวลาและอวกาศ โดยการรบกวนนี้จะแพร่กระจายออกไปด้วยอัตราเร็วแสง ในรูปของคลื่นที่เรายังไม่เคยตรวจพบมาก่อนจนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ เราเรียกมันว่า “คลื่นความโน้มถ่วง”

    คลื่นความโน้มถ่วงเกิดขึ้นได้อย่างไร
    โดยทฤษฎีแล้วมวลสารที่เคลื่อนที่ด้วยความเร่ง จะปลดปล่อยคลื่นความโน้มถ่วง แต่ปัญหาก็คือ โดยมากแล้วคลื่นความโน้มถ่วงเป็นสัญญาณที่มีความเข้มน้อยมากๆ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงมักจะสนใจเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงในจักรวาลของเราที่พวกเขาเชื่อว่าจะแผ่คลื่นความโน้มถ่วงที่สามารถตรวจจับได้ เหตุการณ์รุนแรงเหล่านี้อาจแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้สามกลุ่ม ได้แก่
    หนึ่ง การหมุนรอบของดาวที่มีมวลมาก เช่น ระบบดาวคู่ ไม่ว่าจะเป็น ดาวนิวตรอนสองดวงหมุนรอบกัน หรือแม้แต่หลุมดำสองดวงที่หมุนรอบๆ กัน สอง การระเบิดรุนแรงในอวกาศ เช่น ซุปเปอร์โนวา การชนกันของดาว หรือหลุมดำ การเกิดหลุมดำ การระเบิดรังสีแกมม่า เป็นต้น และ สาม เหตุการณ์การกำเนิดเอกภพหรือบิ๊กแบง ซึ่งจะปลดปล่อยคลื่นความโน้มถ่วงออกมา

    [​IMG]

    การจำลองการชนกันของหลุมดำ 2 ดวง ในเสี้ยววินาทีที่พวกมันกำลังจะชนกัน ภาพบน: แสดงวงโคจรและเงาของหลุมดำ ภาพกลาง : แสดงความบิดโค้งของเวลาและอวกาศ โดยมีลูกศรแสดงถึงทิศทาง ที่อวกาศถูกลากไป ในขณะที่สีจะบ่งบอกถึงการบิดโค้งของเวลา ภาพล่าง : แสดงรูปคลื่นความโน้มถ่วงที่ปลดปล่อยออกมา ​

    เครื่องมือที่สามารถตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วง จะทำหน้าที่เป็นเสมือนหูฟัง ให้เราได้ยินเสียงการสั่นสะเทือนของกาลอวกาศจากเหตการณ์เหล่านั้น เพื่อนำมาทำความเข้าใจกลไกต่างของธรรมชาติให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า แม้แหล่งกำเนิดคลื่นความโน้มถ่วงจะเป็นปรากฎการณ์ที่รุนแรง แต่สัญญาณที่เราคาดว่าจะตรวจวัดได้นั้ ช่าง “อ่อนเบา” เสียเหลือเกิน ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเพราะแหล่งกำเนิดคลื่นความโน้มถ่วงเหล่านั้นอยู่ห่างไกลจากเรามากนั่นเอง
    นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้เครื่องวัดที่มีความละเอียดมากกว่าหนึ่งในพันล้านส่วนของขนาดอะตอมเพื่อที่จะตรวจจับมัน และคว้าน้ำเหลวตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
    เราทราบอะไรบ้างเกี่ยวกับคลื่นความโน้มถ่วง
    คลื่นความโน้มถ่วง เป็นคลื่นของกาลอวกาศ เมื่อมันแพร่ไปในอวกาศมันจะทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของระยะทางในบริเวณนั้น เราบอกความแรงของคลื่นความโน้มถ่วงด้วย ความเครียด (strain)ของอวกาศที่คลื่นแพร่ผ่าน ซึ่งมันคืออัตราส่วนการเปลี่ยนแปลงของระยะทางที่เกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์เรียกแทนมันด้วยสัญลักษณ์ตัวอักษร h โดยตามทฤษฎีแล้วค่าของ h จะอยู่ที่ประมาณ สิบยกกำลังลบยี่สิบเอ็ด (10 -21) หรือ “หนึ่งในพันล้านล้านล้าน” (1/1,000,000,000,000,000,000,000) และคลื่นความโน้มถ่วงมีสมบัติ polarization ที่มีลักษณะการสั่นดังรูป
    [​IMG]

    การตรวจวัดคลื่นความโน้มถ่วงโดยตรงนั้นทำได้ยากมาก เพราะต้องตรวจวัดอัตราการเปลี่ยนแปลงของระยะทาง หรือค่า h ที่มีขนาดน้อยมากๆ ระบบดาวนิวตรอนคู่ที่หมุนรอบกันด้วยความถี่ 100 เฮิร์ต ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 100 เมกกะพาร์เซค จะมีค่า h ประมาณ หนึ่งในพันล้านล้านล้าน หรือ 10 -21

    การวัดคลื่นความโน้มถ่วง
    แม้ว่าการวัดคลื่นความโน้มถ่วงโดยตรงจะทำได้ยาก แต่เราสามารถพิสูจน์ได้ว่ามันมีอยู่จริง! โดยใช้การวัดแบบอ้อมๆ เช่น การตรวจวัดพลังงานที่สูญเสียไปในระบบดาวคู่ อย่างเช่นที่ค้นพบโดยรัสเซลส์ ฮัลส์ (Russell Alan Hulse) และโจเซฟ เทย์เลอร์ (Joseph Hooton Taylor) ซึ่งเป็นดาวนิวตรอน 2 ดวงที่โคจรรอบกันและกัน โดยอยู่ใกล้กันมากจนมีคาบการโคจรที่น้อยประมาณ 0.06 วินาที ดาวนิวตรอนดวงหนึ่งในระบบนี้มีลักษณะเป็นดาวพัลซาร์ (pulsar) ซึ่งส่งคลื่นมาเหล็กไฟฟ้าออกมาด้วยคาบที่สม่ำเสมอ การวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณสมบัติต่างๆของระบบดาวคู่ได้อย่างแม่นยำ ผลการติดตามและวัดคาบของระบบดาวคู่นี้เป็นระยะประมาณ 30 ปี พบว่าคาบการโคจรของมันลดลงอย่างต่อเนื่องจากการจากการที่มันแผ่คลื่นความโน้มถ่วง นักวิทยาศาสตร์พบว่าการลดลงนี้สอดคล้องกับการคำนวณโดยทฤษฎีสัมพัทธภาพแบบแป๊ะๆ ซึ่งการค้นพบนี้มีส่วนทำให้ รัสเซลส์ ฮัลส์ (Russell Alan Hulse) และโจเซฟ เทย์เลอร์ (Joseph Hooton Taylor) ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ประจำปี ค.ศ. 1993 อย่างไรก็ตามการตรวจวัดคลื่นความโน้มถ่วงโดยทางตรงยังคงเป็นความฝันลำดับต้นๆ ของนักวิทยาศาสตร์อยู่เสมอ

    LIGO เครื่องตรวจวัดคลื่นความโน้มถ่วงทางตรง

    เมื่อคลื่นความโน้มถ่วงเหล่านี้มาถึงโลก มันจะอยู่ในรูปแบบที่แสดงไว้ตรงส่วนบนของรูป พวกมันจะยืดระยะทางอวกาศไปในทิศทางหนึ่งและบีบอัดในอีกทิศทางหนึ่ง เกิดการยืดและ บีบอัดเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา (จากสีแดงในทิศทางขวา-ซ้าย ไปเป็นสีน้ำเงินใน ทิศทางขวา-ซ้าย และกลับมาเป็นสีแดงในทิศทางขวา-ซ้าย เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ) ขณะ ที่คลื่นเคลื่อนที่ผ่านเครื่องวัดที่แสดงไว้ตรงส่วนล่างของรูป
    [​IMG]
    รูปแสดงหลักการทำงานของเครื่องวัดคลื่นความโน้มถ่วง​

    เครื่องวัดประกอบด้วยกระจกบานใหญ่ 4 บาน (หนัก 40 กิโลกรัม และเส้น ผ่านศูนย์กลาง 34 เซนติเมตร) โดยแขวนไว้กับที่ยึดด้านบนตรงส่วนปลายแขนของ เครื่องมือสองแขนที่ตั้งฉากกันอยู่ คลื่นความโน้มถ่วงจะยืดแขนข้างหนึ่งในขณะที่ บีบอัดแขนอีกข้าง จากนั้นก็จะบีบอัดแขนข้างแรกและยืดแขนข้างที่สอง สลับกันไป เรื่อยๆ ระยะห่างที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างกระจกแต่ละบานจะถูกตรวจจับด้วยลำแสงเลเซอร์ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “อินเตอร์เฟอโรเมทรี” (Interferometry) ซึ่งมาสู่ ชื่อ LIGO ซึ่งย่อมาจาก หอสังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วงโดยเลเซอร์อินเตอร์เฟอโรเมทรี (The Laser Interferometry Gravitational Wave Observatory)
    [​IMG]
    ภาพเครื่อง LIGO ที่เมืองแฮนฟอร์ด รัฐวอชิงตัน แขนของเครื่องวัดแต่ละข้างยาวถึง 4 กิโลเมตร​

    LIGO เป็นโครงการร่วมมือนานาชาติมีนักวิทยาศาสตร์มากกว่า 900 คนจาก 17 ประเทศ สำนักงานใหญ่อยู่ที่มหาวิทยาลัยแคลเทค โดยมีเครื่องวัดคลื่นความโน้มถ่วงอยู่ในเมืองแฮนฟอร์ด มลรัฐวอชิงตัน และที่เมืองลิวิงสตัน มลรัฐหลุยเซียนา และแผนจะสร้างเครื่องที่ 3 ในประเทศอินเดีย นักวิทยาศาสตร์ใน อิตาลี ได้สร้างเคลื่อนลักษณะคล้ายกันนี้ที่เมืองปิ ส่วนนักฟิสิกส์ญี่ปุ่นกำลังสร้างเครื่องมือนี้ไว้ในอุโมงค์ ใต้ภูเขาแห่งหนึ่ง เครื่องวัดเหล่านี้จะทำางานร่วมกัน สร้างเป็นเครือข่ายขนาดยักษ์ทั่ว โลกเพื่อสำรวจเอกภพโดยใช้คลื่นความโน้มถ่วง
    [​IMG]
    อกจากโครงการ LIGO ยังมีโครงการ Laser Interferometer Space Antenna หรือ LISA ซึ่ง เป็น โครงการตรวจวัดคลื่นความโน้มถ่วง โดยใช้ยานอวกาศ 3 ลำ แต่ละลำอยู่ห่างกันประมาณ 5 ล้านกิโลเมตร​

    ประตูบานใหม่สู่ความเข้าใจเอกภพ
    ปัจจุบันนี้มนุษย์เรายังมีข้อมูลจากการทดลองและจากการสังเกตการณ์เกี่ยว กับด้านที่บิดโค้งของเอกภพเพียงน้อยนิด และนี่คือเหตุผลที่คลื่นความโน้มถ่วงมีความ สำคัญ เพราะว่าพวกมันเกิดจากอวกาศที่บิดโค้ง มันจึงเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดในการศึกษาอวกาศที่บิดโค้งแปรปรวน ที่เกิดจากการชนกันของดวงดาว การระเบิดซุปเปอร์โนว่า หรือแม้แต่การกำเนิดของเอกภพ
    ถ้าคุณเคยเห็นมหาสมุทรเฉพาะในวันที่ท้องฟ้าสดใส คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า ท้องทะเลที่คลุ้มคลั่งและคลื่นที่ถาโถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่งในวันที่มีพายุใหญ่นั้นเป็น อย่างไร
    คล้ายๆ กับความรู้เกี่ยวกับเวลาและอวกาศที่บิดโค้งที่เรามีในวันนี้ เรามีความ รู้เพียงน้อยนิดว่า เวลาและอวกาศจะมีพฤติกรรมอย่างไรภายใน “พายุ” นั่นคือ เมื่อ รูปทรงของอวกาศมีการสั่นอย่างบ้าคลั่ง เช่น สภานะภายในหลุมดำ หรือเหตุการณ์กำเนิดจักรวาลเป็นต้น

    [​IMG]
    ข้อมูลที่เราได้จากคลื่นความโน้มถ่วงจะทำให้เราเข้าใจเอกภพได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่ข้อมูลแสงสว่างและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าฉายเข้าไปไม่ถึง เช่น ที่จุดกำเนิดของเอกภพ หรือ บิ๊กแบง นักวิทยาศาสตร์หวังว่าความลับของการกำเนิดและวิวัฒนการจักรวาลจะซ่อนอยู่ในเสียงของกาลอวกาศที่เราจะฟังได้ผ่านคลื่นความโน้มถ่วง...

    ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล:vcharkarn.com/varticle/504278
     
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ถ้านักวิทยาศาสตร์นั้น ได้ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณประกอบด้วยค่ะ
    จะได้ความรู้ใหม่ที่หลากหลายนะคะ
    เพราะว่าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์โลกค้นกำลังศึกษาค้นพบอยู่นี้
    ส่วนลึกจริง ๆ แล้ว ทุกคนต้องการคำตอบที่เกี่ยวข้องกับตนเองทั้งนั้น
    ไมว่าจะเป็นแง่มุมใดแง่มุมนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่น
    เพราะจริง ๆ แล้วข้างในลึก ๆ ของนักวิทยาศาสตร์ทุกคนล้วนมีจิตวิญญาณ
    เช่นเดียวกัน เลยอาจมีแรงจูงใจให้สงสัยและค้นหาคำตอบ
    ว่าเกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไรนะคะ
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    มีข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจศึกษาค่ะ

    พลังอำนาจทางจิตวิญญาณ ของมนุษย์
    1.สติปัญญาความเฉลียวฉลาด
    2.ความรวดเร็วในการเคลื่อนที่เดินทาง
    3.แรงเหวี่ยงหนีแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของเอกภพ

    สามสิ่งนี้หมายถึงพลังอำนาจของจิตวิญญาณ
    หรือพลังบุญบารมีของจิตวิญญาณที่แต่ละคนไม่เท่ากัน
    โดยสามสิ่งนี้ ถ้ามีบุญบารมีสูง จิตบริสุทธิ์มากเท่าไร
    ทำให้จิตวิญญาณมีความรวดเร็วในการเคลื่อนที่
    หรือที่เรียกว่า การเคลื่อนที่เร็วกว่าแสง
    คือ ถ้าจิตวิญญาณมีแรงหนืดมากเท่าไร ก็เคลื่อนที่ไปช้าเท่านั้น
    ถ้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วก็มีแรงเหวี่ยงหนีแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงได้

    ก็คือ มีพลังอำนาจมากพอที่จะเหวี่ยงหมุนตัวเองให้หลุดไปจากแรงดึงดูด
    เหนี่ยวรั้งของโลก ระบบสุริยะ กาแล๊กซี่ทางช้างเผือก และ เอกภพอันไพศาลนี้

    ก็ให้คงหมายถึง การหลุดพ้นไปจากโลก พ้นโลก เหนือโลก หรือนัยยะหนึ่งคือ นิพพานนะคะ

    อ่านมาค่ะ เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ เผื่อใครจะมีมุมมองที่น่าค้นหาค่ะ
     
  4. loongken

    loongken Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +29
    เมื่อnewtonเห็นแอปเปิ้ลหล่นลงพื้น
    พูดกันว่ามันหล่น เพราะแรงดึงดูดของโลก
    แล้วตอนนี้ มันจะต้องเปลี่ยนเป็น เพราะแรงกดดันของคลื่นโน้มถ่วง ไหมนี่?
     
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    <IFRAME height=360 src="https://www.youtube.com/embed/On0HolqaETE?feature=player_detailpage" frameBorder=0 width=640 allowfullscreen></IFRAME>




    <IFRAME height=360 src="https://www.youtube.com/embed/Zv3nVrXUCKc?feature=player_detailpage" frameBorder=0 width=640 p <>allowfullscreen></IFRAME>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2016
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    คลื่นความโน้มถ่วงข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ ไม่ใช่อนุภาค แต่เป็นเนื้อเอกภพ
    บริเวณที่ไม่มีมวลสาร ก็เปรียบเป็นดั่งผืนผ้าใบ แบน ๆ
    แต่ถ้าหากมีมวลสารอยู่บริเวณนั้น ก็จะโค้งลง
    ซึ่งถ้ามีมวลมาก็โค้งมากตามไปด้วย
    บริเวณที่โค้งลงหมายถึงอวกาศและเวลา

    และประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ จุดกำเนิดบิ๊กแบง แผ่ขยายคลื่นความโน้มถ่วงออกมาด้วย

    เมื่อเกิดเวลาและอวกาศ ที่มีการบิดตัวและโค้งงอ ทำให้ทุกสรรพสิ่งในนั้นจะมีการหมุนสั่นสะเทือนเคลื่อนที่เลื่อนไหล ก็คือการปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัย ที่มีแรงดึงดูดแก่กัน

    และสิ่งที่อยู่นอกเหนืออวกาศและเวลา มีลักษณะแบนราบเป็นเส้นตรงไร้การบิดโค้งงอ ไร้กาลเวลาและอวกาศ ไม่มีเวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต

    แล้วสิ่งที่เร้นซ่อนอยู่นอกเหนือธรรมชาติล่ะ เพราะบริเวณที่แบนราบไร้การบิดโค้งงอ จึงไร้การสั่นสะเทือนเคลื่อนเลื่อนไหล จึงไร้แรงดึงดูด...คือไม่มีแรงดึงให้โค้งลง

    เหตุของการสรรสร้างการปรุงแต่งของทุกสิ่ง มาจากการสั่นสะเทือนเคลื่อนเลื่อนไหล เป็นการสรรสร้างปรุงแต่งให้มี คือ เกิดธรรมชาติที่เห็นอยู่

    ถ้าอย่างนั้นคลื่นความโน้มถ่วงที่เป็นเส้นตรง ที่เป็นเนื้อเอกภพ คือ.....

    และประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ สิ่งที่อยู่นอกเหนืออวกาศและเวลา คืออะไร?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    และถ้าหากสิ่งที่สั่นสะเทือนเคลื่อนเลื่อนไหล
    ที่ทำให้เกิดสังขาร กาลเวลา อวกาศ
    เป็นการปรุงแต่งในสิ่งที่ไม่มีให้มี
    และสิ่งที่มีอยู่เห็นอยู่เป็นมิติกายภาพ
    มีมิติพลังงานอีกมิติหนึ่งซ้อนทับอยู่
    ซึ่งมิติทั้งสองที่ซ้อนทับกัน
    คือความปรุงแต่งของสรรพสังขารทั้งปวง


    แรงดึงดูดและแรงโน้มถ่วง
    ดึงรั้งการปรุงแต่งสรรพสังขารทั้งปวงเอาไว้
    การเกิดการมี ย่อมอยู่ในแรงดึงแรงโน้มถ่วงนั้น

    การจะเห็นสิ่งที่ซ้อนเร้นที่สรรพสังขารทั้งปวงทับซ้อนเอาไว้
    จิตจะต้องมีความละเอียดขนาดไหน
    และต้องเข้าใจอย่างแจ้งของการปรุงแต่งอย่างไร
    เพราะในแรงดึงที่มีการปรุงแต่งได้ซ้อนทับไว้
    บนสนามพลังงานไร้การปรุงแต่งอีกที

    ใครที่เห็นแล้วช่วยยืนยันอีกทีนะคะ
    ว่าแดนสุญญตาเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือกาลเวลาและอวกาศ
    อยู่นอกเหนือสนามพลังงานจักรวาล
    ซึ่งเป็นสนามพลังงานที่ไร้แรงดึงของสิ่งใด ๆ
     
  8. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    แสดงว่า อวกาศที่เราคิดว่าว่างๆนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ว่าง
     
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    link มาให้อ่านกันค่ะ

    5 สิ่งธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเมื่ออยู่ในอวกาศ


    อย่่างกรณีแรกเปลวไฟที่จุดในสภาพที่ไร้แรงโน้มถ่วง ลักษณะของเปลวไฟที่เราคุ้นเคยกันคือพุ่งขึ้นด้านบนเพราะไฟขับลมร้อนให้พุ่งขึ้น แต่ถ้าเป็นสภาพไร้แรงโน้มถ่วง เปลวไฟจะพุ่งไปในทุกทิศทางเพื่อควานหาออกซิเจน

    ตามปกติของการต้มน้ำบนโลกแล้ว จะเกิดฟองอากาศเล็กๆ จำนวนมากลอยจากก้นภาพชนะขึ้นมาสู่ด้านบน แต่สำหรับในอวกาศแล้ว ความที่มันไม่มีแรงพยุงหรือการพาความร้อนก็ส่งผลอีกครั้ง ฟองอากาศจะจมอยู่นิ่งๆ

    เรามีการทดลองเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคุณในการไปเข้าห้องน้ำในครั้งหน้า ให้ทำนิ้วชี้กับนิ้วโป้งชนกันเป็นวงกลม จุ่มลงไปในน้ำ และพยามจับผิวน้ำขึ้นมาในวงกลมที่คุณสร้างขึ้นให้ได้ ทุกครั้งที่คุณพยายามน้ำจำนวนน้อยนิดที่คุณจับขึ้นมาได้ก็จะแพ้แรงโน้มถ่วง แล้วผิวหน้าของน้ำก็จะแตกออกทันที

    ต้นมอสก็เหมือนกับพืชชนิดอื่นๆ นั่นคือ มันโตในทิศทางตรงกันข้ามกับแรงโน้มถ่วง ดังนั้น หมายความว่าบนโลกนี้มอสจะโตเป็นเส้นยาวๆ ที่ไม่เรียงกัน ยื่นไปหาแสงสว่างและออกจากแรงโน้มถ่วง แต่เมื่อแรงโน้มถ่วงกลายเป็นศูนย์ แรงดึงจะหมดลงและมันจะโตเป็นทรงก้นหอยแปลกๆ แบบนี้
     
  10. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    แต่สัจธรรมความจริงอย่างหนึ่งก็คือ วัตถุที่มีมวลขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก
    แม้จะล่องลอยอยู่ท่ามกลางอวกาศที่ปราศจากแรงดึงดูดและไร้น้ำหนัก
    แต่มันก็จะยังคงมีน้ำหนักเหมือนเดิมนั่นเอง เพียงแต่ไม่มีแรงดึงดูดๆให้มันไปตกลงที่ไหน
    มันจึงลอยคว้างเหมือนกับว่าไม่มีน้ำหนัก แต่แท้ที่จริงแล้วน้ำหนักในตัวมันยังมีอยู่ครบถ้วน
    บริบูรณ์ จะเห็นได้ว่า กระสวยอวกาศทมี่มีน้ำหนักนับพันตันนั้นเราไม่อาจจะขับเคลื่อน
    มันด้วยจรวดที่มีขนาดเล็กเพียงด้ามปากกาได้ แต่กลับต้องใช้จรวดที่มีขนาดใหญ่
    และมีแรงขับดันมหาศาล จึงจะขับเคลื่อนกระสวยอวกาศได้
    ที่ว่าในอวกาศ ไร้น้ำหนัก จึงเป็นเพียงเพราะว่า มันไม่มีทิศทางของแรงดึงดูด จึงไม่รู้ว่า
    จะตกไปในทิศทางใดเท่านั้น
     
  11. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    แต่มันจะแตกต่างกันตรงที่ว่า โลกมีพลังอำนาจเป็นของตนเอง
    โลกสามารถรักษาความสมดุลของตนเองไว้ให้ปลอดภัยอยู่ได้
    ในระบบเอกภพ

    แต่กระสวยอวกาศที่ไม่มีพลังอำนาจในตนเองล่องลอยไปอย่างไร้ทิศทาง
    โดยไม่สามารถควบคุมทิศทางตนเองได้ สักวันก็ต้องไปชนกับสิ่งที่ล่องลอย
    ไปอย่างไร้ทิศทาง ทำให้เกิดการชนกันจนแตกระเบิดได้นะคะ
     
  12. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    คุณผิดแล้ว กระสวยอวกาศคือสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ก็ต้องมีเจ้าของ
    เขาคอยดูแลบังคับสิ ใครจะปล่อยให้ไปชนล่ะ ลำไม่ใช่บาทสองบาทนะ
    เหตุใดคุณจึงจินตนาการไปว่ากระสวยจะไม่มีผู้บังคับล่ะ

    :boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2016
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เข้าใจผิดค่ะ ไปนึกถึงว่าเป็นอุกาบาตนะคะ
     
  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    อุกาบาตเป็นขยะจักรวาล ที่่ล่องลอยไปในจักรวาลโดยไร้ทิศทางการควบคุม
    และสิ่งนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ถ้าโลกไม่มีพลังงานของตนเอง โลกก็อาจเสี่ยง
    ถูกอุกาบาตพุ่งชนได้นะคะ
     
  15. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    อุกกาบาต ไม่ใช่ขยะจักรวาล แต่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล และการคงอยู่ของอุกกาบาตก็มีผลต่อโลกและสิ่งมีชีวิต

    ตามความเชื่อคนโบราณ เวลามีดาวตกหมายถึง จะมีชีวิตกำเนิดในพื้นพิภพ ยิ่งถ้าเป็นบุคคลสำคัญ จะเป็นดาวตกดวงใหญ่และมีดาวตกบริวารดวงเล็กดวงน้อยตามมาช่วย

    ความเชื่อนี้ จริงหรือป่าวหนอ

    เมื่อแรกเริ่มเมื่อกลุ่มก๊าซร้อนๆ เริ่มดึงดูดกันและกันจนกลายเป็นพระอาทิตย์ และบางส่วนที่ร้อนน้อยกว่าดึงดูดกันเป็นดาวเคราะห์(เริ่มแรกเป็นของเหลวร้อนเหมือนกัน) บางส่วนเป็นจำนวนไม่น้อยกระเด็นออกไปนอกรอบระบบสุริยะจักรวาล กลายเป็นกลุ่มอุกกาบาตเป็นปริมณฑลทรงกลมครอบระบบสุริยะจักรวาล หมายถึงว่า ถ้าเราเดินทางจะไประบบสุริยะจักรวาลอื่น ยานของเราต้องผ่าน กลุ่มอุกกาบาต ไปก่อนไม่ว่าจะไปมุมองศาใด เหมือนอุกกาบาตเหล่านี้เป็นดุจเปลือกไข่ของระบบสุริยะ

    ในระหว่างดาวเคราะห์เย็นตัวลง ด้วยเวลาที่ยาวนาน แรงดึงดูดของระบบสุริยะได้ดึงดูด อุกกาบาต กลับมา อุกกาบาตขนาดเล็กกว่าก้อนดินที่มือเรากำได้ จนถึงขนาดที่ใหญ่เป็นกิโลเมตร จะค่อยถูกแรงดึงดูดกลับมาที่ศูนย์กลางแรงดึงดูด

    อุกกาบาตขนาดเล้ก ๆ เมื่อถึงชั้นบรรยากาศจะเสียดสีจนกลายเป็นฝุ่นธุลี ด้วยอุกกาบาตเหล่านี้ ไม่มีความร้อนเพราะเย็นตัวก่อนนานแล้ว เมื่อมาถึงโลก ชั้นบรรยากาศโลก ความร้อนของโลกถ่ายเทให้อุกกาบาตเหล่านั้น อุกกาบาตเล็กๆ น้อยๆ กลายเป็นฝุ่นธุลี ทั่วทั้งโลก มันทำให้ความร้อนโดยรวมลดลง ผ่านไปนับร้อยล้านปี มันปกคลุมโลก ทำให้โลกเย็นตัวลงที่เปลือกนอก แต่ด้านในเป็นของเหลวร้อนๆ อุกกาบาต กลายเป็นฝุ่นธุลี ธุลีกลายเป็นพื้นดิน และด้วยปฏิกริยา ที่อุกกาบาต หรือธุลีที่เสียดสีกับชั้นบรรยากาศ ทำปฏิกริยา กับมวลดิน มวลน้ำ มวลลม ความร้อน สายฟ้าจึงเกิดขึ้น สายฟ้าที่ฟาด เหมือนกับเทพใช้อาวุธป่นธาตุ ทำให้โมเลกุลมีความซับซ้อน สิ่งมีชีวิต จึงเริ่มมีขึ้น

    มีบางทฤษฎีว่า อุกกาบาตได้นำสารอินทรีย์จากนอกโลกมาด้วย รวมทั้งแบคทีเรียและไวรัส ลงมาด้วย สองสิ่งนี้มายำโลกจนเกิดสิ่งมีชีวิตมากมาย เป็นสัตว์ และคนเรา ในที่สุด

    โลกถูกล้างด้วยไฟเจ็ดครั้ง ก็หมายถึงอุกกาบาตชนโลกจนเกิดไฟท่วมโลก โลกถูกล้างด้วยน้ำ ก็เพราะอุกกาบาตตกในหมาสมุทร จนสึนามิล้างโลก

    โลกยังมีชีวิตก็เพราะฝุ่นธุลีที่ทับถม ดังที่บางตำนานกล่าวว่า เมื่อแผ่นดินสูงขึ้น 1 โยชน์ พระศรีอาริย์จะลงมา ในหลายสารคดี เมื่อโลกถูกทำลายด้วยไฟ สิ่งมีชีวิตเล็กเช่นแบคทีเรีย ไวรัส ที่อยู่ใต้ดินลึก จะค่อยๆ ขึ้นมาที่ผิวโลก เมื่อฝนฟ้าคะนองอีกครั้ง แบคทีเรียเหล่านั้น ไวรัสเหล่านั้น ก็จะออกมาทำปกิกิริยา จนเกิดชีวิตเซลเดียว หลายเซลอีกครั้ง จนเป็นสัตว์ และพืช

    ปล. ผมดูสารคดีหลายเรื่อง มายำกันในที่เดียวครับ เหมือนคำกล่าวโบราณ

    มาจากฝุ่นธุลี กลับเป็นฝุ่นธุลี และธุลีนั้น มีส่วนของอุกกาบาตเสียมากด้วย
     
  16. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792

    ต่อจากเรื่องอุกกาบาต

    ตามทฤษฎีแบบล่าสุด ถ้าเราไม่เชื่อทฤษฎีบิ๊กแบงค์แบบเดิมๆ แบบใหม่ๆ คือ อนันตจักรวาล จะถ่ายเทไปมาระหว่าง สสาร กับ พลังงาน ไม่มีที่ว่างใดเลยที่ ไม่มีสสาร และพลังงาน พิจารณาจากง่ายๆ ดวงอาทิตย์ในระบบหนึ่งแตกทำลายลง กลายเป็นซูเปอโนวา สสารของระบบสุริยะนั้น ถูกเร่งพลังงานจนมวลสารมีความเร็วแสงหรือเหนือแสง การแตกทำลายของพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ที่ระเบิดออก ทำให้สสารเร่งสภาพกลายเป็นคลื่นพลังงาน วิ่งทะลุทะลวงทุกสรรพสิ่ง ทุกทิศทาง เมื่อพลังงานเหล่านั้นลดลง (ไม่รู้ว่าใช้เวลากี่ล้านปี ) มันก็จะกลายจากคลื่นพลังงาน ลดลงเป็นสสารชั้นละเอียด อนุภาคละเอียด อนุภาคเหล่านี้แทรกอยู่ในเนื้อจักวาลนั้นแหละ เมื่ออยู่ในสภาพนิ่งอยู่ยาวนาน มันก็จะเริมมาดึงดูดกัน และเริ่มมีความหยาบขึ้น ในขณะที่เมือพระอาทิตยืระเบิดออก ก็จะมีแรงดึงดูดสู่ศุนยืกลาง ก็กลายเป็นหลุมดำ ไม่ใช่หลุมว่าง แต่เต็มไปด้วยสสารและพลังงานที่ถูกดึงดูดมาอัดกันที่หลุมดำ โดยนัยยะนี้ ความสืบเนื่องของโลกและจักรวาลแห่งนี้ จะต้องกลับมาอีก ก็ในเมื่อ แรงดึงดูดมันถึงจุดสูงสุด เมื่อถึงค่าหนึ่ง หลุมดำก็จะคลายสสารและพลังงานออกมา สู่ระบบ และเมื่อค่าของสสารและพลังงานในจุดหนึ่งในที่หนึ่ง ที่สืบเนื่อง กลุ่มก๊าซจะก่อขึ้น จะเกิดระบบสุริยะจักรวาลใหม่ เกิดแกแล้คซี่ใหม่

    โดยนัยยะนี้ ไม่มีที่ใด ไม่มีสสารและพลังงาน แดนอมตะ แดนสุญญตาที่ท่านหวัง ยังไม่มีค้นพบ แต่ว่าในเนื้อจักรวาลนี้ (อ่านมาอีกที แต่อธิบายยาก)
    โลกสุญญตาที่ท่านคาดหวัง อาจเป็น โลกแห่งปฏิสสาร ซึ่งไม่อาจเจอในจักรวาลเลย (คือ ตรวจสอบไม่พบและหาคำตอบไม่ได้ว่า เหตุใดจักรวาลต้องเป็นโลกสสาร ไม่ใช่โลกปฏิสสาร)

    ความดับสนิทที่ท่านว่า หรือแดนสุญญตาที่ท่านว่า ไม่ได้ตั้งลอยๆ หมายถึงว่า เมื่อสสารกับปฏิสสาร มาพบกัน มันหมายถึงมันจะหายไปเลยทั้งคู่

    ทั้งสองอย่าง โลกสุญญตาตามวิทย์แบบนี้ จึงไม่ใช่โลกที่ คนสสารอย่างเราจะก้าวไปได้ โดยไม่ทำลายสสาร หรือตัวตนแห่งโลกสสาร

    หากไปพิจารณาปฏิจจสมุปบาท จะเห็นสายสองสาย สายที่เกิด แก่ เจ็บตาย กับสายที่ดับการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

    โดยวิธีนี้ ต้องทำลายล้างสิ่งที่เป็นปัจจัยฝ่ายเกิด จึงถือว่า นิพพาน
    เหมือนที่สสาร จะทำลายไม่ให้กลับมา เป็นสสารพลังงาน ทำนู้นนี่นั้น แบบโลกสสาร มีสองทาง หนึ่ง ทำลายจนกลายเป็นปฏิสสาร สอง นำเอาปฏิสสารในปริมาณเท่ากัน มาหักล้าง สสารทั้งสสารและปฏิสสารจึงจะถูกทำลาย ไม่มีในโลก ไม่ต้องกลับมากลับไประหว่างสสารและพลังงาน ไม่ต้องไปเป็นนู้นนี่นั้นอีก

    ส่วนโลกของปฏิสสาร เราไม่อาจอธิบายโดยโลกของสสาร รู้แต่ว่ามันตรงกันข้ามกัน ส่วนโลกที่สสารและปกิสสารหักล้างกัน จนไม่มีเหลืออะไร ก็ไม่อาจบอกว่าดับสูญ แต่มันไม่เหลืออะไรในโลกสสาร และก็ตรวจจับโลกแห่งปฏิสสารไม่ได้ว่ามีจริงหรือเปล่า

    ตอนนี้ วิทย์สมัยใหม่ที่อ่านมาจึงยัง ช่วยอธิบายนิพพานไม่ได้ แดนสุญญตาไม่ได้

    ตอนนี้ เราก็ไม่ต้องรอ ความรู้ทางโลกวิทย์ แค่ทำใจให้ถึงอารมณ์นิพพานไปก่อน ซึ่งตราบใดยังไม่ตัดสายการเกิดแบบเด็ดขาด นิพพานที่พูดถึงก้แค่ คิดไปก่อน เข้าใจไปก่อน เท่านั้น แถมถ้าให้ผู้อยู่ในโลกปฏิสสารมาอธิบายให้คนในโลกสสาร ก็คงอธิบายไม่เข้าใจ เพราะรู้แต่ว่า มันแตกต่างกันจนมาเจอกัน มันทำลายกันหมด แล้วท่านจะให้อธิบายโลกที่หักล้างกันโดยจิตท่านอยู่แต่ในใต้มหาสมุทร แต่จะให้คนที่อยู่บนบกอธิบายให้ท่านฟัง ตัวเราท่านมีขันธ์ ๕ ในโลกฝั่งนี้ ไม่อาจใช้รับในอีกโลกฝั่งนู้นได้

    ปล. อธิบายได้มั่วมากใช่ไหมครับ คือ ผมอ่านสารคดี ดูสารคดีหลายเรื่อง และนานจนไม่ทราบจะอ้างอิงยังไง ทุกวันนี้ อ่าน Hawking ยังไม่ค่อยเข้าใจเลย อ่านมาสองรอบ ยังงง
     
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ใช่ค่ะอุกาบาตเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลค่ะ
    แต่เป็นในลักษณะของขยะจักรวาลนะคะ

    ถ้าเราพูดถึงขยะก็ต้องนึกถึงสิ่งที่ใคร ๆ ก็ไม่ต้องการ
    หรือเป็นสิ่งที่เสื่อมสภาพ หมดค่า หรือ ไร้ราคา ไปแล้ว
    อันนี้เราพูดกันในเชิงเปรียบเทียบนะคะ

    ทีนี้ถ้าเราได้เรียนรู้เรื่องระบบสุริยะจักรวาล เราก็จะรู้ว่า
    สุริยะจักรวาล ก็คือ การอยู่ร่วมในระบบเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน
    ต่างมีพลังอำนาจเป็นของตัวเอง ยึดเหนี่ยวโยงใยไปด้วยกัน
    เพื่อช่วยเหลือให้อยู่ร่วมกันในระบบเดียวกันได้
    ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนเอง ไม่มีใครเบียดเบียนกัน
    เพื่อให้ระบบเสียความสมดุล อันเป็นผลทำให้เกิดความเสียหาย
    ของระบบกาแล๊กซี่ หรือ ระบบสุริยะทั้งระบบ

    ก็เปรียบเสมือนพลังอำนาจของจิตวิญญาณ
    ที่มีพลังอำนาจในตนเอง เป็นประโยชน์แก่สิ่งอื่นด้วยกัน
    และสามารถนำพลังที่ตนเองมีอยู่สร้างประโยชน์ให้แก่ตนเองได้
    หรือ การหลุดพ้น ก็มาจากจิตวิญญาณ หรือ การมี"พลังจิต"
    ที่นำพาตนเองหลุดพ้นได้นะคะ

    ส่วนคำว่าขยะพลังงาน ก็เหมือน กับจิตวิญญาณที่ไร้พลังอำนาจในตนเอง
    ไม่มีพลังจิต หรือพลังอำนาจ ที่จะทำให้ตนเองทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม
    หรือ กระทำตนเหลวไหล เป็นอุปสรรคต่อสิ่งอื่น เหมือน อุกาบาตเข้ามา
    ชนโลก หรือ ทำลายโลก ให้แตกสลายลง นะคะ

    แต่ถึงอย่างไร ทั้งสองสิ่งนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลเหมือนกัน
    แต่ผู้ที่มีพลังอำนาจในตนเอง รักษาตนเองได้ และ นำพาตนเองไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้
    แต่ผู้ที่เป็นขยะไร้พลังอำนาจเป็นสิ่งที่ล่องลอยกระจัดกระจายไปมาอยู่ในจักรวาลนั้นนานแสนนาน
    น่าเศร้าใจแค่ไหน.....ถ้าเราต้องล่องอยู่อย่างนั้นตลอดกาล

    เป็นการเปรียบเทียบ กับ ธรรมชาติที่เราต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

    ว่า ผู้มีเป้าหมายอยู่ในสภาวะนิพพาน มีลักษณะเป็นอย่างไร เมื่อหลุดพ้น
    จากจักรวาลนี้ไปได้ และ

    กับวัตถุที่หมดสมรรถภาพล่องลอยและไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง จะมีลักษณะอย่างไร

    เกี่ยวกันไหมค่ะกับคำตอบนี้ ถือว่า เราคุยกันเรื่องจักรวาลกับสิ่งที่ใกล้ตัวของเรานะคะ ท่านณฉัตร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ดาว1.png
      ดาว1.png
      ขนาดไฟล์:
      93.4 KB
      เปิดดู:
      94
    • untitled.png
      untitled.png
      ขนาดไฟล์:
      62.2 KB
      เปิดดู:
      74
    • ดาว4.jpg
      ดาว4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.2 KB
      เปิดดู:
      94
    • อ.png
      อ.png
      ขนาดไฟล์:
      100.8 KB
      เปิดดู:
      106
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    โดยวิธีนี้ ต้องทำลายล้างสิ่งที่เป็นปัจจัยฝ่ายเกิด จึงถือว่า นิพพาน

    เหมือนที่สสาร จะทำลายไม่ให้กลับมา เป็นสสารพลังงาน ทำนู้นนี่นั้น แบบโลกสสาร มีสองทาง หนึ่ง ทำลายจนกลายเป็นปฏิสสาร สอง นำเอาปฏิสสารในปริมาณเท่ากัน มาหักล้าง สสารทั้งสสารและปฏิสสารจึงจะถูกทำลาย ไม่มีในโลก ไม่ต้องกลับมากลับไประหว่างสสารและพลังงาน ไม่ต้องไปเป็นนู้นนี่นั้นอีก

    ****************

    ความเห็นของ jityim


    ถ้าพลังงานในโลกนี้สองอย่างคือ

    1 มีพลังงานบวก และ 2.พลังงานลบ

    พลังงานบวก เสริม พลังงานบวก

    พลังงานลบ เสริม พลังงานลบ

    และ....

    พลังงานที่แตกต่างกัน นำมาหักล้างกัน

    เช่น พลังงานที่ถูกสร้างใหม่ที่เกิดขึ้นแล้ว
    ถ้าพลังงานใดเกิดขึ้นแล้วมันจะไม่หายไปไหน
    มันยังคงสภาพคุณสมบัติของมันไว้อย่างนั้น
    เราจะทำพลังงานนั้นไปหมดแตกกระจายหายไป
    โดยทำให้มันเป็นกลาง.........
    ศาสตร์ทฤษฎีพลังงานนี้เป็นไปได้ไหมค่ะ
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    jityim สนใจเรื่องกฎแห่งกรรม ในทฤษฏีนี้เป็นอย่างมากค่ะ
    เพราะ กฎแห่งกรรมทำให้เราวนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
    ทำให้จิตวิญญาณไม่บริสุทธิ์ ที่จะนำพาตัวเองให้หลุดพ้นได้นะคะ
     
  20. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    มาอ่านย้อนดู เหมือนผมเขียนไปแล้ว กล่าวแบบซับซ้อนรวมความเกินไป มันกลายเป็นเข้าใจผิดหลักวิทย์ฯ ที่อ่านมาไปซะได้

    ขอแก้ไข ขยายความเพิ่มเติมว่า

    หนึ่ง เมื่อสสารกับปฏิสสาร มาปะทะกัน มันจะหักล้างทำลายกันและกลายเป็นพลังงาน ไม่เหลือส่วนที่เป็นสสารหรือปฏิสสารที่มาชนกันเลย จึงกลายเป็นพลังงานมหาศาล

    สอง ปฏิสสาร ไม่มีให้พบเห็นในโลกปกติเลย หรือหาได้ยากมาก และน้อยมากที่จะสังเกตพบ นอกจากห้องทดลอง ซึ่งยังผลิตได้น้อยอยู่ จึงไม่ทราบว่าโดยธรรมชาติเหตุใดมีแต่สสาร จึงสงสัยต่อว่า ถ้าจักรวาลมีแต่ปฏิสสารจะเป็นอย่างไร ในเมื่อคุณสมบัติในระดับอนุภาคกับปฏิอนุภาคมันต่างกันมาก สมมุติมีสิ่งมีชีวิต ในโลกที่มีแต่ปฏิสสาร มันจะเป็นอย่างไร มันจะตรงข้ามกับโลกสสารอย่างเราทุกวันนี้หรือไม่

    จากสองข้อข้างบน

    ข้อหนึ่ง สสารกับปฏิสสาร มาพบคู่ตรงข้ามมันจะทำลายกัน ความเป็นสสารของมันทั้งคู่จะสลายกลายเป็น พลังงาน

    ถ้าการตรัสรู้ คือการดับขันธ์ ๕ หรือการที่ขันธ์ ๕ ดับ เรามาเจาะเฉพาะ มหาภูตรูป ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ธาตุหรือสสาร ที่มีมวลและปริมาตร ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ กลายเป็นพลังงาน เรามาเทียบกับ ปฏิจจสมุปบาท ถ้าฝ่ายเกิดเรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายดับทุกข์ เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ในเมื่อสสารกับปฏิสสารพบกัน มันดับมวลสาร(รูป) กลายเป็นพลังงาน ซึ่งไม่มีมวลและไม่กินที่(เหมือนฝ่ายนามธรรมที่ไม่กินที่) มันไม่สูญหายไปไหน คือ เป็นพลังงาน แต่สมวลสสารมันหายไป การที่เราปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ดับการเกิดได้ แม้จะดับจากโลกนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ดับสูญ หรือ ไม่มีอะไร เพราะขนาดมวลสาร แม้หายไปแต่ไม่ถือว่า หายไปโดยไม่มีร่องรอย แต่กลายเป็นพลังงานต่างหาก เพียงแต่นิพพานธาตุนั้น เรายังไม่อาจชี้ว่า เป็นเช่นพลังงาน เพราะเรายังไม่เข้าว่า นิพพานธาตุ คือ อะไรในทางวิทย์แค่นั้น ยังไม่อาจชี้ว่า คือ พลังงานระดับสูงที่แทรกไปในสรรพสิ่ง

    ข้อสอง ความที่ปฏิสสาร ไม่อาจพบเห็นได้ตามธรรมชาติ เราเลยคิดไปได้ว่า มีโลกที่ตรงข้ามกับเราไหม ที่เต็มไปด้วยปฏิสสาร ที่มันตรงข้ามกับโลกสสารที่เราอยู่ ในเมื่อในพระไตรปิฎกถ้าจำไม่ผิด มีกล่าวว่า ธรรมชาติที่อาโปธาตุ วาโยธาตุ เตโชธาตุ ปฐวีธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ เราเลยอาจจับพลัดจับพลูมาอธิบายแบบวิทย์ว่า ถ้าอาโป เตโช วาโย ปฐวี ธาตุ หมายถึงความเข้าใจเกี่ยวกับธาตุในสสารตามปกติ ธาตุที่เรียกว่า ปฏิสสารนี้แหละที่ อาโป เตโช วาโย ปฐวี ธาตุเหล่านี้ตามโลกสสาร ไม่อาจมาตั้งอยู่ได้ในโลกปฏิสสาร เพราะมาปุปมันดับทันที มันกลายเป็นพลังงานไปเลย แต่นี่ ก็ยังมีข้อบกพร่องในการอธิบายเพราะว่า ตามหลักวิทย์ บอกว่า ปฏิอนุภาค มันเหมือนอนุภาคแต่ว่ามันมีคุณสมบัติและการสปินตรงข้ามกัน จึงสงสัยว่า เดิมในอนุภาคต้องมีเตโช วาโย อาโป ปฐวีธาตุ แต่ธาตุเหล่านี้ จะยังคงถือว่าเป็นเตโช วาโย อาโป ปฐวี ธาตุอย่างไร หรือแม้เตโช วาโย อาโป ปฐวี ธาตุในปฏิสสารก็มีคุณสมบัติตรงข้าม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่อาจเรียกว่า เตโช วาโย อาโป ปฐวี แต่ต้องเติมคำว่า ปฏิ นำหน้าไปด้วย

    ถ้าอย่างนั้น โลกปฏิสสาร ซ้อนอยู่ที่ใด เป็นไปได้ไหมว่ามีอยู่โดยที่ โลกแห่งสสารไม่อาจเข้าไปข้องเกี่ยวได้ และนั้นจะทำให้โลกแห่งปฏิสสาร คือ นิพพานธาตุ เราจะไม่เรียกว่า โลก เพราะตรงข้ามกับ โลก ทุกประการ เหมือนที่ไม่อาจเรียก ปฏิเตโชธาตุในปฏิสสาร ว่า เป็น เตโชธาตุ นั้นเอง

    แต่ว่า ข้อมูลเกี่ยวกับ ปฏิสสาร ยังถือว่าน้อยมาก ตามคำอธิบายเค้าบอกว่า ไม่สามารถมีอยู่จริงได้ในธรรมชาติ หรือพบน้อยมาก โดยนัยยะนี้ เราก็อาจกล่าวได้ว่า ช่างสอดคล้องกับนิพพานธาตุ การที่จะนิพพานได้ เป็นเรื่องยากลำบากมาก หาได้น้อยมากที่จะพบพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ได้ในโลกนี้ และเป็นไปได้ว่า กระบวนการของปฏิสสาร อาจเป็นกระบวนการเดียวที่จิตทำงานแบบนั้น และเมื่อเกิดลักษณะแบบการเกิดปฏิสสาร เมื่อทำตาม ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท
    แล้ว มันเป็นธรรมที่ต้องทิ้งไว้ ไม่ต้องเอาไปในนิพพานธาตุ ก็หมายความว่า ปฎิสสารทำลายสสาร และหักล้างกันตรงนั้น ไม่ต้องนำเข้าสู่นิพพานธาตุ เช่นกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...