ความลับของจักวาลในพระไตรปิฏก

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย Sittirat, 30 กรกฎาคม 2006.

  1. Sittirat

    Sittirat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +821
    [​IMG]

    ความลับของจักวาล

    ขนาดของจักรวาล
    จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร)
    ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น (ของจักรวาลนั้น) ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

    ขนาดหนาของแผ่นดิน ในจักรวาลนั้น
    แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ
    คือน้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดความหนาของลมรองน้ำ
    ลมอัน (พัดดัน) ขึ้นฟ้า (โดยความหนา) มีประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ นี่เป็นความตั้งอยู่พร้อมมูลแห่งโลก

    ขนาดภูเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) และต้นไม้ประจำทวีป
    อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มี
    ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น
    ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ
    ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป
    (ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ
    ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ (จาตุ)มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา และยักษ์อาศัยอยู่

    ภูเขาหิมวาสูง ๕๐๐ โยชน์ ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากัน) ประดับไปด้วยยอดถึง ๘๔,๐๐๐ ยอด
    ต้นชมพู (หว้า) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ ลำต้นสูง ๕๐ โยชน์ และกิ่ง (แต่ละกิ่ง)
    ก็ยาว ๕๐ โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของ
    ต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่า ชมพูทวีป
    ก็แลขนาดของต้นชมพูนี้ใด ขนาดนั้นนั่นแหละเป็นขนาดของต้นจิตรปาฏลี (แคฝอย) ของพวกอสูร
    ต้นสิมพลี (งิ้ว) ของพวกครุฑ ต้นกทัมพะ (กระทุ่ม) ในอมรโคยานทวีป ต้นกัปปะในอุตตรกุรุทวีป
    ต้นสิรีระ (ซึก) ในบุพพวิเทหทวีป ต้นปาริฉัตตกะ ในดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้นแล ท่านโบราณจารย์จึงกล่าวไว้ว่า
    (ต้นไม้ประจำภพและทวีป คือ) ต้นปาฏลี ต้นสิมพลี ต้นชมพู ต้นปาริตฉัตตะของพวกเทวดา
    ต้นกทัมพะ ต้นกัปปะ และต้นที่ ๗ คือ ต้นสิรีสะ ดังนี้

    ขนาดภูเขาจักรวาล
    ภูเขาจักรวาล หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็เท่ากันนั้น
    ภูเขาจักรวาลนี้ตั้งล้อมโลกธาตุทั้งสิ้นนั้นอยู่

    ขนาดของภพและทวีป
    ในโลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ภพอสูร มหานรกอเวจี และชมพูทวีปก็
    เท่ากันนั้น อมรโคยานทวีป ๗,๐๐๐ โยชน์ บุพพวิเทหทวีปก็เท่านั้น อุตตรกุรุทวีป ๘,๐๐๐ โยชน์ อนึ่ง ในโลกธาตุนั้น
    ทวีปใหญ่ๆ ทวีป ๑ ๆ มีทวีปน้อยเป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐
    สิ่งทั้งปวง (ที่กล่าวมานี้) นั้น (รวม) เป็นจักรวาล ๑ ชื่อว่า โลกธาตุอัน ๑ ๑ในระหว่างแห่งโลกธาตุ
    ทั้งหลายมีโลกันตนรก (แห่งละ ๑)

    ๑. มหาฎีกาว่า จักรวาล ก็คือโลกธาตุ โลกธาตุได้ชื่อว่า จักรวาล ก็เพราะมีภูเขาจักรวาล ซึ่งสัณฐานดังกง
    รถล้อมอยู่โดยรอบเท่านั้นเองไม่ใช่จักรวาลอัน ๑ โลกธาตุอัน ๑
    ๒. ท่านว่าจักรวาลหรือโลกธาตุนั้นมีมากนัก ช่องว่างในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาลต่อกัน มีโลกันตนรก ๑
    ทุกแห่งไป โดยนัยนี้ คำว่า โลกันตนรก ก็แปลว่า นรกอันตั้งอยู่ในช่องระหว่างจักรวาล ๓ อันนั่นเอง
    ------------------
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า
    จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย
    นั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ (นับกันได้ในสมัยนั้น) มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ
    โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล
    ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย "ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"
    กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว นรกขุมต่างๆ เทวโลก และพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง
    กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"
    กำเนิดชีวิตในจักรวาลอื่น ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังถกเถียงกันอยู่ว่ามีหรือไม่มี ? และยังคงไม่มีใครสามารถสร้างเครื่องมือติดต่อค้นหาเพื่อตอบคำถามนี้ได้ แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แน่นอนมากว่าสองพันปีแล้วว่า "มี"

    นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า "ดวงอาทิตย์ มีเส้นผ่าศูยน์กลางประมาณ ๑,๔๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร หรือโตกว่าโลกประมาณ ๑๐๙ เท่า มีน้ำหนักประมาณ ๒ x ๑,๐๓๐ กิโลกรัม (หรือ ๒๐ ตามด้วย ๐ จำนวน ๓๐ ตัว) เนื้อตัวทั้งหมดของดวงอาทิตย์เป็นธาตุไฮโดรเจนซึ่งเป็นธาตุเบา เผาไหม้ตัวเองด้วยปฏิกิริยา เทอร์โมนิวเคลียร์ จากภายในใจกลางออกมาไม่ใช่เผาไหม้เฉพาะพื้นผิว สิ้นมวลของตัวเองวินาทีละ ๔ ล้านตัน เผาไหม้อย่างนี้มาแล้ว ๕,๕๐๐ ล้านปี และจะเผาไหม้อย่างนี้ต่อไปอีก ๕,๕๐๐ ล้านปี" เมื่อเป็นเช่นนี้ลองคิดดูว่าวันหนึ่งมีกี่วินาที ? ต่อให้ดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม น่าจะย่อยยับหมดสิ้นภายในวันเดียว แต่ดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นก็ยังอยู่ยืนยาวมานานนับพันๆล้านปี โดยยังมีขนาดเท่าเดิม " นี้คือความมหัศจรรย์ที่ยังคงเหนือการพิสูจน์
    อีกอย่างหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์คาดคะเนว่า "เวลาอันยาวนานในอนาคต ดวงอาทิตย์จะขยายตัวบวมขึ้นจนมีขนาดโตถึงวงโคจรของโลก แล้วกลืนกินโลกและดาวเคราะห์วงในทั้งหมด และเมื่อเวลายาวนานอีกต่อไปก็จะค่อยๆยุบตัวลงกลายเป็นดาวแคระ คือจะมีขนาดเล็กลงเท่าโลกแต่มีความร้อนจัด ดาวฤกษ์บางดวงก็ยุบตัวลงเป็นดาวนิวต$19;อนท$37;่มีขนาดเส้นผ่าศูยน์กลางเพียง ๒๕-๓๐ กิโลเมตร และดาวฤกษ์บางดวงก็ยุบตัวลงเป็นหลุมดำ"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ในอนาคตอันยาวไกลในสุริยะจักรวาล จะมีดวงอาทิตย์เกิดขึ้นเองเพิ่มขึ้นทีละดวงๆ จนครบ ๗ ดวง แล้วเผาไหม้โลกและดาวเคราะห์บริวารทั้งหมด นรกทุกขุม สวรรค์ทุกชั้น และพรหมโลกชั้นต่ำๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์ทั้ง ๗ ดวงนั้น ก็พินาศไปด้วย แล้วก็จะมีแต่ความมืดมิดจนนานแสนนาน ก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่อีก" (สุริยะสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ หน้า ๘๓)

    นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย คือปุถุชนผู้ที่ยังมีกิเลสตัณหา ตั้งทฤษฎีมาจากการคาดคะเน การนึกคิด การเดา การสันนิษฐาน การค้นคว้าทดลอง การสังเกตจดจำ การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เป็นจำนวนมาก แต่ทฤษฎีเหล่านั้นก็ยังไม่ตายตัว พร้อมที่จะถูกลบล้างได้ตลอดเวลา

    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือบุคคลพิเศษ วิเศษ เป็นอัจฉริยะมนุษย์ เป็นบุคคลเอกที่ไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นผู้สิ้นกิเลสตัณหา เป็นผู้มีญาณวิเศษรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นผู้ตรัสรู้ เป็นผู้รู้แจ้งโลก ดังนั้นพระสูตรหรือทฤษฎีต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว จึงตายตัวไม่มีใครลบล้างได้
    -----------------------------
    ลักษณะของจักรวาล คือ มีเขาสิเนรุเป็นแกนกลาง มี เขาสัตตบริภัณฑ์ คือ เขาล้อมรอบ ๗ ชั้น ซึ่งมี สีทันดรมหาสมุทร คั่นอยู่ในระหว่าง ตั้งเป็นรูปร่างขึ้นไว้ก่อน ภูมิสวรรค์อยู่พ้นทวีปทั้งหลายซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ เช่น ชมพูทวีปซึ่งมีอินเดียเป็นศูนย์กลาง จึงอยู่พ้นป่าหิมพานต์ พ้นภูเขาหิมวันตะหรือ หิมาลัย พ้นมหาสมุทรแห่งทวีปทั้งปวง แล้วถึงภูเขาสัตตบริภัณฑ์ ตั้งต้นแต่ภูเขาสุทัสสนะ จนถึงภูเขาอัสสกัณณะ จึงเป็นอันถึงสวรรค์ชั้นที่ ๑ เพราะยอดเขาสัตตบริภัณฑ์เหล่านี้เองเป็นที่อยู่ของท้าวมหาราช ๔ องค์กับบริวาร นับเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๑ เรียกว่า จาตุมหาราชิก

    ท้าวมหาราช ๔ องค์นี้ แบ่งกันครอบครอง ดั่งนี้
    ๑)ด้านทิศตะวันออกของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าวธตรัฏฐะ มีพวกคนธรรพ์เป็นบริวาร (ถัดออกไปเป็นปุพพวิเทหทวีป)
    ๒)ด้านทิศใต้เป็นที่อยู่ของ ท้าววิรุฬหก มีพวกกุมภัณฑ์เป็นบริวาร (ถัดออกไปเป็นชมพูทวีป) พวกกุมภัณฑ์นี้ ท่านอธิบายว่าได้แก่ ทานพรากษส
    ๓)ด้านทิศตะวันตกของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าววิรูปักข์ มีพวกนาคเป็นบริวาร (ออกไปเป็น อมรโคยานทวีป)
    ๔)ด้านทิศเหนือของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าวกุเวร มีพวกยักษ์เป็นบริวาร (ถัดออกไปเป็นอุตตรกุรุทวีป)

    ท้าวมหาราชที่ ๔ ครองอยู่ ๔ ทิศของเขาสิเนรุ มีกล่าวถึงใน อาฏานาฏิยสูตร หน้าที่ของท้าวมหาราชที่ ๔ และบริวารตามที่ได้กล่าวไว้ คือเป็นผู้รับด่านหน้าของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อป้องกันพวกอสูรซึ่งเป็นศัตรูของเทพชั้นดาวดึงส์จะยกมาตีเอาถิ่นสวรรค์ชั้นนั้น แต่ใน สุตตันตปิฎก ติกนิบาต ได้มีแสดงหน้าที่ให้เป็นผู้ตรวจ ซึ่งเป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์อีกด้วย แสดงเป็นพระพุทธภาษิตมีความว่า ในวัน ๘ ค่ำแห่งอมาตย์บริษัทของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๔ ค่ำแห่งปักข์ บุตรทั้งของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๕ ค่ำแห่งปักษ์ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตรวจดูโลกเองว่าพวกมนุษย์พากันบำรุงบิดามารดา บำรุงสมณพราหมณ์ เคารพนบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล รักษาอุโบสถ ทำบุญกุศล มีจำนวนมากด้วยกันอยู่หรือ เมื่อตรวจดูแล้ว ถ้าเห็นว่ามีจำนวนน้อย ก็ไปบอกแก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ซึ่งประชุมกันใน สุธรรมสภา พวกเทพชั้นดาวดึงส์ เมื่อได้ฟังดั่งนั้นก็มีใจหดหู่ว่า ทิพยกายจักลดถอย อสุรกายจักเพิ่มพูน แต่ถ้าเห็นว่าพวกมนุษย์พากันทำดี มีบำรุงมารดาบิดาเป็นต้น เป็นจำนวนมาก ก็ไปบอกแก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์เหมือนอย่างนั้น พวกเทพชั้นดาวดึงส์ก็พากันมีใจชื่นบานว่า ทิพยกายจักเพิ่มพูน อสุรกายจักลดถอย ๑

    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีหน้าที่เป็น จตุโลกบาล คือ เป็นผู้คุ้มครองโลกทั้ง ๔ ทิศ ตามที่เชื่อถือกันมาเก่าก่อนพระพุทธศาสนา แต่เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ธรรมเป็นโลกบาล คือ คุ้มครองโลกไว้ ๒ ข้อ คือ หิริ ความละอายใจ ที่จะทำชั่ว โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว เพราะเหตุนี้ จึงไม่กล่าวให้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ทำหน้าที่คุ้มครองโลกโดยตรง จะไม่กล่าวถึงเลยก็จะขัดขวางต่อความเชื่อของคนทั้งหลายจนเกินไป จึงกล่าวเปลี่ยนไปให้มีหน้าที่เที่ยวตรวจดูโลกมนุษย์ ว่าได้พากันทำดีมากน้อยอย่างไร แล้วก็นำไปรายงานพวกเทพชั้นดาวดึงส์ พวกเทพชั้นนั้นได้รับรายงานแล้วก็เพียงแต่มีใจชื่นบานหรือไม่เท่านั้น เห็นได้ว่าท่านผู้รวบรวมร้อยกรองเรื่องนี้ไว้ในพระสุตตันตปิฎก ต้องการจะรักษาเรื่องเก่าที่คนส่วนมากเชื่อถือ ด้วยวิธีนำมาเล่าให้เป็นประโยชน์ในทางตักเตือนให้ทำดี เหมือนอย่างที่มีคำเก่ากล่าวไว้ว่า ถึงคนไม่เห็น เทวดาก็ย่อมเห็น คือ สดงจตุโลกบาลที่เขาเชื่อกันอยู่แล้วในทางที่อาจเข้าใจเป็นธรรมาธิษฐาน ซึ่งเป็นข้อมุ่งหมายโดยตรง ถึงจะเชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริงและคอยมาตรวจดูโลกว่า ใครทำดีไม่ดีอย่างไรก็ไม่เสียหาย กลับจะดีเพราะจะได้เกิดละอายกลัวเกรงว่า จตุโลกบาลจะรู้จะเห็นว่าทำไม่ดี หรือไม่ทำดี เป็นอันหนุนให้เกิดหิริโอตตัปปะขึ้นได้ ผู้ที่ไม่ยอดเชื่อเสียอีกอาจจะร้ายกว่า เพราะไม่มีที่ละอายยำเกรง เว้นไว้แต่จะมีภูมิธรรมในจิตใจดีอยู่แล้ว หรือมีที่ละอายยำเกรงอย่างอื่นแทนอยู่ วันที่ท่านกล่าวว่าจตุโลกบาลมาตรวจดูโลก เดือนหนึ่งมีไม่กี่วัน ดูเหมือนจะน้อยไป แต่คงไม่หมายความว่าตรวจกรรมของคนเฉพาะวันนั้น วันอื่นไม่เกี่ยวข้องด้วย ควรเข้าใจว่า ตรวจดูรู้ย้อนไปถึงวันอื่นๆ ในระหว่างที่ไม่ได้ลงมานั้นด้วย ตัวของเราเองทุกๆคนนึกย้อนตรวจดูกรรมของตนเองภายใน ๗ วันยังจำได้ ไฉนโลกบาลจะไม่รู้กรรมที่ตนเองทำ แม้จะลืมไปแล้ว โลกบาลก็ต้องรู้ เมื่อเชื่อว่าโลกบาลมีจริง ก็ควรจะเชื่ออย่างนี้ด้วย จึงจะเป็นโลกบาลที่สมบูรณ์ สรุปลงแล้วทำความเข้าใจว่า โลกบาลมาตรวจตราดูที่จิตใจนี้เอง จะเกิดประโยชน์มาก.
    ตามหลักในการจัดภูมิต่างๆ สัตว์ดิรัจฉานเป็นอบายภูมิต่ำกว่าภูมิมนุษย์และสวรรค์ พระอาจารย์จึงกล่าวว่าในสวรรค์ไม่มีสัตว์เดียรัจฉาน การเกิด;ในสวรรค์ เกิดโดยอุปปาติก กำเนิดอย่างเดียว จึงน่ามีปัญหาว่า พวกนาคซึ่งเป็นบริวารของท้าวมหาราชจะจัดว่าเป็นภูมิอะไร นอกจากนี้ บริวารของท้าวมหาราชจำพวกอื่น เช่น พวกกุมณฑ์ ก็มีลักษณะพิกล ยักษ์บางพวกก็ดุร้าย เป็นผีเที่ยวสิงมนุษย์ก็มี ดูต่ำต้อยกว่าภูมิมนุษย์ แต่ก็อยู่ในสวรรค์ชั้นหนึ่งนี้ด้วย ตามที่กล่าวมานี้ น่าเห็นว่าเก็บเอามาจากเรื่องเก่าๆ จึงฟังไม่สนิทตามหลักการจัดภูมิต่าง ๆ ดั่งกล่าว
    --------------------------------
    ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่อินเดีย-เนปาล อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ ดังมีหลักฐานที่พระพุทธเจ้าแสดงดังนี้

    ทวีปต่างๆในจักรวาล
    ๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
    -มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก
    -แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง
    -ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป"
    -ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมาตรัสรู้ที่ทวีปนี้เท่านั้น
    -ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป" เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"

    ๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
    -มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
    -มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"

    ๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
    -มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์ มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
    -มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"

    ๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
    -มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)" ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว
    -ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า "เหนือ" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป"
    ----------------------------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2006
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    เนื้อหาดี แต่ การใช้สี อ่านได้ลำบากไปหน่อย เพราะว่าสีบาง สีที่ใช้มองแล้วต้องใช้กล้ามเนื้อสายตามาก
     
  3. Sittirat

    Sittirat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +821
    ถูกต้องนะคร๊าบบบบ......

    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือบุคคลพิเศษ วิเศษ เป็นอัจฉริยะมนุษย์ เป็นบุคคลเอกที่ไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นผู้สิ้นกิเลสตัณหา เป็นผู้มีญาณวิเศษรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นผู้ตรัสรู้ เป็นผู้รู้แจ้งโลก ดังนั้นพระสูตรหรือทฤษฎีต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว จึงตายตัวไม่มีใครลบล้างได้
     
  4. a5g1

    a5g1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +384
    (verygood) (bb-flower (verygood) (b-oneeye) (verygood) (bb-flower (b-oneeye) (verygood)
     
  5. nomu

    nomu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2006
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +22
    เหตุและผลคับไม่แปลกที่มีมุนษย์ต่างดาวมาเยี่ยม
     
  6. wong3210

    wong3210 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    553
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,392
    สมัยเด็กๆผมมีข้อสงสัยกับโลกใบกลมๆนี้มากมาย พอโตได้เรียนวิทยาศาสตร์ก็ได้เข้าใจในส่วนหนึ่งแต่ ก็ยังสงสัยอยู่ดี

    คือ - สงสัยเรื่องจักรวาลมันเป็นยังไง แล้วมีจักรวาลใหญ่ที่สุดแล้วนั้นหรือ ใหญ่กว่านี้ไมอีกหรอ

    - เรื่องโลก มีมนุษย์เราแค่นั้นหรอ แล้วผีมันอยู่โลกไหน ทำไมเค้ามาหลอกคนได้ นรกอยู่ใต้โลกเราถ้าขุดไปลึกๆ ก็จะเจออ่ะดิ สวรรค์ ถ้ามนุษย์อวกาศไปข้างบนฟ้า แล้วทำไมไม่มี ไปจนถึงดวงจันทร์แล้ว หรืออยู่ใกล้กว่าดวงจันทร์

    มีคำถามอีกมากมาย แต่ก็ไม่มีคำตอบ เพราะผมไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน เมื่อโตขึ้น จนม.๔ ผมก็ได้ไปอ่านพระไตรปิฏกฉบับประชาชน เพื่อทำรายงาน ก็ได้เห็นว่ามีกล่าวถึงจักรวาล กล่าวถึงโลกอื่น

    จุดนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมมาศึกษามากขึ้น ๆ ๆ จากเรื่องโลก ก็เป็นเรื่องชาดก เรื่องราว ซึ่งเสริม Imagine จากนั้น ก็เรื่อง กรรมฐาน๔๐ ญาณ ฌาน สมาบัติ อภิญญา พระอภิธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน

    จนถึงทุกวันนี้ผมก็เริ่มปฎิบัติมากขึ้น ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมพลิกชีวิตจริงๆ ศาสนาพุทธช่วยให้เปิดโลกความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุด ที่เป็นเหมือนโลกอีกโลกหนึ่งที่มีสิ่งลี้ลับมากมายให้เราค้นหา

    เมื่ออ่านพระสูตรนี้อีกครั้ง จึงทำให้ผมนึกถึงอดีตก่อนมาเริ่มศึกษาศาสนาพุทธครับ

    ขออนุโมทนาอย่างสูงกับ คุณ Sittirat ครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. surad

    surad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2006
    โพสต์:
    387
    ค่าพลัง:
    +1,287
    ตาลาย
     
  8. ปองจัง

    ปองจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +369
    ผมมีเรื่องจะเล่าครับ ถ้าใครไม่เชื่อก็อ่านเป็นนิทาน ไปก็แล้วกันนะครับ

    เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยคุยกับพระที่อยู่ในป่าองค์หนึ่ง แถวๆปากช่อง

    ท่านเมตตาเล่าให้ฟังหลายเรื่อง และมีบางตอนเกี่ยวกับจักรวาล ดังนี้ครับ

    ท่านเล่าว่า โลกมนุษย์นั้น ถือกำเนิดมาแล้ว 756 ล้านปี

    หล้งจากโลกมนุษย์กำเนิดได้ 230 ปี ก็มีมนุษย์ชุดแรกเกิดขึ้นครับ

    นอกจากนี้ท่านยังเล่าว่า UFO มีจริงครับ และบินมาโลกเราบ่อยๆ

    จุดประสงค์หนึ่งเพื่อสำรวจหาจุดที่ พระเจ้าจอมจักรพรรดิ์จะบังเกิดขึ้น

    ท่านบอกว่า พระเจ้าจอมจักพรรดิ์จะบังเกิดในเขต เขาดงพญาเย็นไปจนถึง ปทุมธานี...

    สุดท้าย ... ท่านบอกว่าโลกมนุษย์นั้น เป็นสนามทดสอบจิตใจ ว่าใครจะสอบผ่าน และสมควรจะส่งไปอยู่ภพภูมิใด

    ซึ่งจิตของมนุษย์ ถ้าฝึกให้ดีแล้ว ท่านบอกว่าจิตจะมีพลังสูงมาก เช่น จะสั่งให้โรคมันระงับ หรือฆ่าเชื้อโรคก็ย่อมได้ ( เชื้อโรคไม่มีจิต )

    แต่ที่ผ่านมาในปัจจุบันถือว่า มนุษย์ในสนามทดสอบส่วนใหญ่ มีจิตใจตกต่ำลงเรื่อยๆจนถึงขีดต่ำสุดแล้ว หากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป คงไม่ดีแน่ๆ

    ดังนั้นอย่างช้าภายในปี 2550 จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น...

    (f)
     
  9. kanlayanee

    kanlayanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +399
    คำตอบมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าบอกแล้ว มนุษย์เอ๋ย อย่ามัวสงสัยอยู่เลย เร่งปฏิบัติเถิด ข้อสงสัยมากมายในโลก และความรู้ทั้งหลายในโลก จงเลือกเพียงทางที่บังเกิดประโยชน์สูงสุดเถิด อย่ามัวเสียเวลาเลย พระพุทธองค์เฉลยไว้แล้ว เห็นป่ะล่ะ
     
  10. wudiman

    wudiman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,333
    อนุโมทนาครับ อจินไตย ครับคิดมากแล้วอาจเป็นบ้าได้ ดำเนินตามแนวทางพระพุทธะกันเถอะจะเกิดผล.............สาธุ!!!
     
  11. apple_meppo

    apple_meppo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +135
    อนุโมทนาคะ
     
  12. fenrir

    fenrir Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +33
    ขออนุโมทนาด้วยคะ ได้รู้ในเรื่องที่อยากรู้มากมาย ขอบคุณมากคะ
     
  13. kobporn

    kobporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +782
    พระพุทธเจ้า เป็นผู้บริสุทธิ์แล้วซึ่งกิเลส
    ขออยู่ใต้บวรพุทธศาสนาจนกว่าจะถึงนิพพาน สาธุ
     
  14. น้อมโลกธรรม

    น้อมโลกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +154
    ขอร่วมแสดงความคิดเห็นในฐานะสมาชิกใหม่ครับ

    เห็นว่ารายละเอียดเรื่องราวใดที่อยู่ในขอบข่ายที่วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ ขอให้เชื่อถือตามข้อมูลวิชาการทางวิทยาศาสตร์ เพราะหลักวิทยาศาสตร์ย่อมถือได้ว่าเป็นหลักทางพุทธศาสนาประการหนึ่ง โดยเป็นหลักสังขตธรรมอันเป็นกายภพและการเกิดในปัจจุบัน ซึ่งก็คือหลักฟิสิกส์และชีววิทยาตามลำดับ แต่ด้วยภูมิระดับของสังขารธรรมอันเป็น ภพ ชาติ นั้นย่อมมีความเป็นอนิจจังแปรปรวนอยู่(หลักฟิสิกส์ย่อมมีความแปรปรวนเป็นอนิจจังบ้าง หลักชีววิทยาก็ยิ่งแปรปรวนเป็นอนิจจังง่ายขึ้นอีก) แต่พุทธศาสนานั้นเน้นสอนที่หลักใหญ่อันจริงแท้แน่นอนพ้นอนิจจัง เป็นอสังขตธรรมที่เป็นสัจจะความจริงตลอดกาล เช่น พระไตรลักษณ์ พระอริยสัจธรรม พระปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น

    หากข้อมูลของจักรวาลในพระไตรปิฎกยังไม่สอดคล้องตามข้อมูลวิชาการทางวิทยาศาสตร์ หรือเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือหลักวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์อธิบายได้ ขอแสดงความเห็นว่าพุทธศาสนิกชนควรหนักแน่นในหลักพระกาลามสูตร ยังไม่ควรเชื่อตามเนื้อหาใดทันที แม้จะเป็นเนื้อหาที่สนองตอบต่อความอยากรู้ของเราได้ก็ตาม ขอให้รู้เท่าที่รู้ได้ อย่าได้ไปคอยยึดมั่นเชื่อสิ่งใดๆไปตามตัณหาความอยากรู้ ท่านย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ใช้ปัญญาของมนุษย์ในปัจจุบันตรงตามหลักพระศาสนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2007
  15. denchai

    denchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +145
    ประกาศข่าวบุญกุศล<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ขอเชิญชวนพุทธบริษัท<o:p></o:p>
    ร่วมทำบุญบริจาคหนังสือนักธรรมชั้นโท <o:p></o:p>
    ถวายแด่สามเณร จำนวน ๔๐ รูป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ช่วงเข้าพรรษานี้ กระผมได้มีโอกาสเข้าไปถวายความรู้แด่สามเณรผู้เรียนนักธรรมชั้นโท ที่สำนักเรียนวัดมรรคสำราญ พบว่าสามเณรขาดแคลนหนังสือแบบเรียนสำหรับนักธรรมชั้นโท จำนวน ๔๐ รูป จึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธา ทำบุญถวายหนังสือแบบเรียนนักธรรมชั้นโทแด่สามเณรจำนวนดังกล่าว<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    โดยสามารถจัดส่งหนังสือแบบเรียนมาได้ที่<o:p></o:p>
    ๑. นายเด่นชัย ชายทวีป (ผู้ถวายความรู้วิชา ธรรมวิภาค-กระทู้ธรรม(พุทธศาสนสุภาษิต) -อนุพุทธประวัติ) หรือ<o:p></o:p>
    ๒. นายณัฐพงษ์ เพียรสงวน (ผู้ถวายความรู้ วิชา ศาสนพิธี-วินัยมุข)<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ที่อยู่ โรงเรียนจันทวิทยาคม วัดมรรคสำราญ บ.ดอนหญ้านาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ๔๐๐๐๐<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ชุดหนังสือแบบเรียนนักธรรมชั้นโท ใช้ของโรงพิมพ์เลี่ยงเชียง มี ๕ เล่ม คือ<o:p></o:p>
    ๑. วิชาธรรมวิภาค ปริจเฉทที่ ๒ ราคา ๗๐ บาท<o:p></o:p>
    ๒. วิชาอนุพุทธประวัติ ราคา ๘๐ บาท<o:p></o:p>
    ๓. วิชาวินัยมุข (วินัยบัญญัติ) เล่ม ๒ ราคา ๓๕ บาท<o:p></o:p>
    ๔. วิชาศาสนพิธี เล่ม ๒ ราคา ๓๕ บาท<o:p></o:p>
    ๕. หนังสือ พุทธศาสนสุภาษิต เล่ม ๒ ราคา ๒๐ บาท<o:p></o:p>
    รวมราคาทั้งสิ้น ๒๔๐ บาท<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จึงประกาศมาเพื่อทราบและร่วมทำบุญตามกำลังทรัพย์กำลังศรัทธา โดยทั่วกัน และขอขอบพระคุณ อนุโมทนาน้ำจิตน้ำใจของผู้มีจิตศรัทธาล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้ ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย ขอจตุรพิธพรชัย คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ และ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ จงบังเกิดมีแก่ท่าน เทอญ ฯ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นายเด่นชัย ชายทวีป (พุทธศาสตรบัณฑิต-สาขาปรัชญา)<o:p></o:p>
    ผู้ประกาศข่าว<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หมายเหตุ -รับบริจาคทั้งหนังสือเก่าและใหม่ โรงพิมพ์ใดก็ได้<o:p></o:p>
    -ขอความกรุณาผู้มีจิตศรัทธาโปรดระบุชื่อที่อยู่ให้ชัดเจน<o:p></o:p>
    -โปรดวงเล็บมุมซองว่า "ขอถวายหนังสือแด่สามเณร"<o:p></o:p>
    -รายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 089-1864824 (นายเด่นชัย)<o:p></o:p>
     
  16. silik

    silik สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2007
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +24
    หนึ่งโยชน์ในจักรวาลไม่ใช่16 กิโลเมตร
    ใช้มาตรวัดคนละมาตรากันระหว่างมาตราวัด
    บนโลกกับในจักรวาล
     
  17. samusunn

    samusunn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    517
    ค่าพลัง:
    +878
    อนุโมทนากับความรู้ดีๆ ค่ะ

    เพิ่งจะรู้นะคะว่า เนื้อหาในพระไตรปิฎกเป็นอย่างนี้นี่เอง

    อนุโมทนาค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...