ความสงบ กับ ฌานสมาบัติ ตัวเดียวกันมั้ยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Tboon, 4 พฤศจิกายน 2016.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ฌานเนี่ยคือลักษณะจิตก่อ (ก่อภพ) มั้ย
    แต่สงบเนี่ย มันไม่เกี่ยวกับก่อหรือไม่ก่อ คือถ้าไม่ไปมีอุปทานกับมัน มันก็ไม่ก่ออะไร แค่รู้เห็นเย็นนิ่ง

    (ใช้คำว่า "อุปทาน" แบบบ้านๆที่แปลว่า คิดไปเอง)

    หวังว่าคำถามจะเป็นเหตุแห่งความสงบมากกว่าชวนฟุ้งนะครับ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ถ้าเอากิริยาทางนามธรรม ฌานเป็นลักษณะ
    การกด การข่ม และไต่ระดับฌานก็เป็นการกดการข่ม
    ในลักษณะที่ลดคลื่นความถี่ของจิต​ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่
    ในระดับไหนมันก็มีความสงบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอยู่แล้ว
    คำถามนี้คล้ายมาถามว่า กิ่งไม้นี้ใช่ต้นไม้หรือเปล่านั่นหละครับ

    และเนื่องด้วยมีการกด การข่ม หรือยังมีความพยายามเข้าไปกระทำ
    นั้นก็คือยังมีตัวเราไปกระทำอยู่ ยังมีรูปแบบ มีพิธีการ
    เมื่อมีตัวเราไปกระทำ ยังไงๆมันก็
    ก่อภพก่อชาติอยู่ดีครับ. ล้านเปอร์เซนต์ครับ แม้แต่ว่าเราจะคิดว่า
    มันสงบแล้วไม่มีอุปทานแล้วมันจะไม่ก่อภพก่อชาติ แต่ยังไงความ
    สงบในลักษณะนี้ มันก็เป็นแบบที่มีตัวเราเป็นผู้กระทำให้มันสงบ
    อยู่ดีนั่นหละครับต่อให้เราจะสงบถึงขั้นระดับที่ว่าว่างแล้ว
    แต่ในความว่างมันก็ยังมีดวงจิตอยู่ครับ(ความว่างมันบังตัวจิตอยู่พอนึกออกไหมครับ)
    ก็ต้องมาเดินปัญญาต่ออีกกว่าที่
    จิตที่มันอยู่ในความว่างมันจะรู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ได้
    อีกนั่นหละครับ จิตมันถึงจะไม่อยากเกิดได้ครับ
    ดังนั้นที่เราเข้าใจว่า มันสงบ ด้วยการแค่เห็น แค่รู้
    แล้วเย็นนิ่ง ทางกิริยา มันคือ ตัวจิตมันปรุงร่วมกับ
    ความคิดที่เกิดจากจิต แล้วสร้างร่วมกัน เพราะมันรู้ดี
    ว่านึกคิดอะไร จากสัญญาความจำได้เดิมที่มีอยู่ในจิตเรา
    และเรามักจะติดที่ พิธีการแบบที่ต้องเหมือนๆสัญญาในจิตเรา
    มันเลยสร้างสภาวะมาหลอกให้เราเข้าใจไปอย่างนั้นเอง
    และนอกจากนั้น พอเราเข้าใจสภาวะว่าต้องเป็นอย่างนี้
    เราก็จะเผลอไปคิดเชิงอกุศล ถ้าเห็นว่าภายนอก
    ไม่เป็นอย่างที่สัญญาในจิตเราที่มันเก็บมันคิดเอาไว้ ถึงเป็นที่มา
    ของการพูดว่า คนอื่นๆฟุ้ง อะไรอย่างที่คุณกล่าวมานั้นหละครับ
    คือเราจะคิดว่าฟุ้งแค่เห็นจากอายตนะ เราไม่ได้รู้สภาวะจิต
    เนื่องจากจิตมันมีตัววิญญานและมันปรุงกับจิตเราอยู่
    เราเลยเข้าถึงตรงนี้ไม่ได้นั่นเอง..
    เหมือนคล้ายๆ เรากำลังวิจารณ์คนที่กำลังแช่น้ำอยู่
    และเราก็กำลังแช่น้ำอยู่เช่นกัน
    ทั้งเราและเค้าที่แช่น้ำ ก็พยายามทำตัวนิ่งๆเพื่อให้น้ำมันนิ่ง

    แต่คนที่ยืนอยู่ริมน้ำแล้วดูเราแช่น้ำอยู่ก็จะเห็นว่าน้ำมันไม่ได้นิ่ง
    มันเป็นการพยายามทำให้น้ำเฉพาะที่อยู่รอบๆตัวเรามันนิ่ง
    โดยที่เราไมขยับเฉยๆ
    มันเห็นไม่เหมือนกันครับ
    พอเข้าใจนะครับ

    และเราก็ไปบอกว่า คนที่ยืนอยู่ริมสระไม่นิ่ง
    ความจริงตัวเรามันไม่นิ่ง
    ตั้งแต่เราเริ่มขยับปากแล้วครับ
    ไม่ต้องพูดเรื่องจิตนะครั พอจะเกทไหม

    ส่วนการแค่รู้เห็น เย็นนิ่ง มันเป็นเพียงอุบายอย่างหนึ่ง
    ที่จะตัดตัววิญญานการรับรู้ที่ออกจากจิตไม่ให้ส่งออก
    แล้วไปดึงสิ่งต่างๆที่รับรู้สัมผัสอายตนะภายนอก
    ทั้งหลายแล้วเผลอดึงมันให้เข้ามาร่วมกับจิตเฉยๆครับ...
    ตรงนี้มักจะใช้กับพวกที่ไปเน้นฝึกสัมผัสภายในทั้งหลาย
    เพราะต่อไปแล้วจะกลายเป็นว่า ยึดไปทุกเรื่อง
    จนกลายเป็นตัวเองได้อย่างไม่รู้ตัวนั่นหละครับ



    จิตถ้าเค้าจะสงบ ต้องสงบด้วยตัวมันเอง
    ถ้าจะวาง ต้องวางด้วยตัวมันเอง
    แต่จะว่าง ต้องว่างด้วยตัวมันเอง
    ซึ่งตัวเราไม่สามารถไปกำหนด กะเกณฑ์อะไรได้เลยครับ
    คือมันจะเป็นไปของมันตามธรรมชาติของมันเองครับ

    ไม่ใช่สงบ ไม่ใช่วาง ไม่ใช่ว่าง
    ด้วยตบะ ฌาณ ญาน สติ สมาธิ ปัญญา กำลังจิต
    พวกนี้ยังไงๆก็ยังมีตัวเราเข้าไปเป็นผู้กระทำครับ
    แต่สงบ วาง ว่าง ได้ด้วยตัวมันเองและเป็นธรรมชาติ
    จากการที่มัน คลายจาก ตบะ ฌาณ ญาน สติ
    ปัญญา สมาธิ กำลังจิต คือ ไม่มีตัวเราเข้าไปกระทำสิ่งต่างๆ
    เหล่านี้ครับ และเมื่อมันสงบ มันวาง มันว่าง
    จิตมันถึงจะคลายตัวเองได้ คือ ไม่เป็นวงกลม
    การที่จิตยังเป็นวงกลมอยู่ อย่างหล่อขั้นเทพยังไง
    ก็ไม่เกินชั้นพรหมครับ เพราะยังติดอะไรซักอย่างอยู่
    จิตมันถึงได้ก่อตัวนั่นเองครับ(พอนึกออกนะครับ)
    ยังไงก็ต้องวนเวียนอยู่ในไตรภพนี้ครับ

    นี่คือข้อแตกต่างว่า ทำไมคนนั้นจิตบางคนถึงสามารถทำอะไรพิเศษได้
    ทำไมจิตบางคนแม้เข้าใจว่าไม่มีอุปทาน เห็นว่ามันสงบแล้ว
    แต่ทำไมจิตถึงไม่มีความสามารถทำอะไรพิเศษได้นั่นหละครับ
    เพราะยังเผลอไปพยายามทำ เผลอไปมีตัวตนเข้าไปกระทำ
    อย่างที่คาดไม่ถึง และที่สำคัญคือเผลอไปยึดไม่ทิ้งการรู้ในอดีต
    ที่ผ่านมาแล้วดึงมันเข้ามาวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ ร่วมด้วย
    เป็นเหตุให้จิตมันเกิด มันสร้างตัว ฟอร์มตัวเองให้เราเข้าใจ
    ว่าเราสงบอยู่โดยไม่มีอุปทานอะไร
    สังเกตุง่ายๆถ้า เผลอยึด ปล่อยอะไรพวกนี้ไม่เป็น..
    แม้เรื่องที่ดี อย่างเมตตาซึ่งควรจะไม่มีพิธีการ รูปแบบต่างๆ
    เราก็ยังไปเผลอยึดได้ ถ้าเราเห็นว่า เมตตาไม่เป็นแบบที่เราคิด
    ไม่เป็นแบบที่เราเคยทำ ซึ่งมันจะทำให้เราแยกเยอะ แบ่งฝ่าย
    ตัววิญญานที่ส่งออกจากจิตเรา มันจะดึงเข้ามาในจิตจนสร้างการ
    ปรุงแต่งให้กับจิตของเราทันทีอย่างไม่รู้ตัวได้ครับ

    ตรงต้องอ่านดีๆหน่อยหนึ่งนะครับ ถึงพอจะเข้าใจได้นะครับ..
     
  3. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ครับก็มาเริ่มเข้าใจเรื่องการสร้างบารมี ว่ามันมีอยู่ มันต้องมีการบำเพ็ญเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นจิตจะเข้มแข็งขึ้นมาได้อย่างไร และการที่จิตจะเข้มแข็งจะตัดอะไรได้นี่ เป็นเรื่องพ้นการคิดนึก พ้นเจตนาไปแล้ว แต่กระบวนการที่จะเอื้อเพื่อให้ไปให้ถึงตรงนั้นก็พบด้วยตัวเองว่ามีอยู่

    คือลงมือทำแล้วเกิดผลทางใจขึ้นมา อย่างเช่น การฝึกหัดเสียสละ ฝึกละความเห็นแก่ตัว ทำบ่อยๆ มันก็จะค่อยขยายขอบวงของการรับรู้ความมีกิเลสออกไปมากขึ้นๆ คือเห็นตัวเองมากขึ้น เห็นกิเลสที่มีในตนเองมากขึ้น มีเรื่องต้องให้ได้พบได้ฉุกคิดและเห็นความมีกิเลสในตนเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งการจะเห็นได้ ก็จำจะต้องอาศัยการมีสตินี่เอง การฝึกเสียสละบ่อยๆ จึงเท่ากับเป็นการฝึกสติอย่างหนึ่งนี่เอง ผลทางใจคือ จิตใจเบิกบานชุ่มเย็น อันนี้ยกตัวอย่างครับ และผมก็มองว่ามันเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท ตั้งตนไว้ชอบ

    ทีนี้การเจริญวิปัสสนานี้ ก็เอาจากการฝึกเห็นกิเลสในตนบ่อยๆนั่นเอง ดูอาการผลักไสหน่วงเหนี่ยว จิตเกิดแล้วหลงกระทำโน่นนี่นั่นลงไป พอจิตคลายมันคนละเรื่อง เหมือนหนังคนละม้วน สำเหนียกในความมีอุปาทานยึดติดไป อย่าหมายเลยว่าเมื่อไหร่จะเห็นผล เจริญสติไปเรื่อย จบคือจบกิจ ไม่ใช่ว่าได้ขั้นนั้นขั้นนี้แล้วอะไรอย่างนี้ ผมไม่สนแล้ว ให้มันจบไปเลยนั่นแหละดีที่สุดครับ ถ้ามันยังมีอยู่ก็คืออุปาทานมันยังมีอยู่ ก็อย่างเก่าก็คือยังมีอุปาทานอยู่นั่นเอง ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไร

    เรื่องรู้เห็นเย็นนิ่งผมว่ามันเป็นผล ความสำคัญควรอยู่ที่พอใจหรือไม่พอใจ ยินดีหรือยินร้ายมีไหม ถ้าไม่มีก็ช่างมันดีกว่า อะไรจะผสมกับอะไร เพราะว่าก็แยกแยะได้อยู่แล้วมาตั้งแต่ต้น ว่ามันมีอะไรผสมหรือไม่ผสมอะไรอยู่น่ะครับ รู้เห็นเย็นนิ่งเป็นคำของครูบาอาจารย์และหลวงปู่ทองใบท่านใช้ครับ ผมแค่ยกมาเป็นตัวอย่าง ต้องขออภัยหากทำให้เข้าผิดไปครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2016
  4. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    คำว่า ในความว่างยังมีดวงจิตอยู่ ความว่างมันบังดวงจิตอยู่ จิตเกิดบนความว่าง คำเหล่านี้ เคยได้ยินจากที่หลวงพ่อเทศน์สอนอยู่เหมือนกันครับ คำว่าว่างที่หลวงพ่อพูดนี้ตามความเข้าใจผม (คนเดียว) คือพวกได้สมาบัติอะไรสักอย่างที่มันว่างไปหมด แต่ความว่างในนัยยะที่ผมจะนึกถึงคือ ว่างเปล่าจากการสำคัญมั่นหมาย อย่างเวลาเวทนามันเกิด เวทนามันไม่ได้กล่าวว่ามันเป็นอะไรเลย คนกล่าวคือสัญญาความจำได้กับสังขารความคิดมันปรุงว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ทีนี้พอมาเห็นทุกข์ตรงนี้ ก็ไม่ไปต่อบ้านต่อเรือนให้เขา อุปาทานมันก็หาย รู้จักครั้งแรกมันก็สะดุ้งสะเทือนหน่อย รู้สึกโล่งมากหน่อย พอหลังๆ ชักชินก็แบบรู้อยู่เห็นอยู่อะไรเป็นอะไร ก็แค่นั้นเอง เรื่องเล็งผลเลิศนี่ยังไม่มี แค่รู้ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคไปตามประสา แต่เวลาเกิดจริงไม่มีคำพูดหรอก ก็แค่รู้แค่เห็นแล้วก็จบ แค่นั้น
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ประเด็นต่อไปนี้ ถือว่าชวนคุณ Tboon
    คุยแบบเล่าสู่กันฟังแล้วนะครับ...
    สมมุติว่าทิ้งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราทิ้งในที่นี้คือว่างไว้ก่อนนะครับ
    ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะสิ่งที่เคยรับรู้มาทางอายตนะทั้ง ๖
    ที่ผ่านมาทั้งหมด ไม่ว่าจากแหล่งใดก็ตาม ที่เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม..

    ที่นี้ก็จะมาเหลืออยู่แค่กายกับจิตเราหละ...(ย้ำว่าเหลือแต่กายกับจิตนะครับ)
    จิตไม่ทิ้งกายแน่นอนถ้าร่างกายเรามันยังไม่พัง..
    จิตยังเกิดแน่นอนถ้ามันยึดร่างกาย..
    ทีนี้จะทำยังไงจะไม่ให้จิตเรามันเกิดเมื่อมันยังต้องอาศัยร่างกายนี้อยู่หละครับ
    เราถึงอาศัยการทำบุญ ทำทาน การอ่านตำรา การปฏิบัติต่างๆ
    ไม่ว่าหลักการใดๆก็ตาม ตลอดรวมทั้งการสร้างสติและเดินปัญญา
    ก็เพื่อเป็นอุบายให้จิตเรามันสงบหรืออยู่นิ่งในกายนี้ให้ได้ก่อนในเบื้องต้น..
    แต่มันก็จะนิ่ง ก็จะสงบอยู่อย่างนั้น แต่มันยังเกิดอยู่(คือยังก่อตัวเป็นวงกลมอยู่ครับ)
    แม้ว่าจะสงบ จะนิ่ง จะเฉยๆ มันก็ยังเป็นวงกลมอยู่ มันยังไม่คลายตัวเอง..
    ตรงนี้เป็นที่มาของคำว่า ในความว่างมันก็ยังมีดวงจิตอยู่
    บุคคลที่ค้นเข้าไปในดวงจิตด้วยสมาธิที่สงบลง
    จะได้เกิดสัมผัสและความสามารถอะไรต่างๆขึ้นมาได้
    มันก็ไม่ใช่ความสามารถจากไหนครับ มันก็เป็นความ
    สามารถเดิมที่จิตดวงนี้มันเคยทำได้มานั้นหละครับ นี่ประเด็นแรกนะครับ..
    แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ แม้มันรู้ แม้มันสามารถทำได้แต่ว่ามันไม่กว้าง
    ไม่ละเอียด ไม่ลึก หรือไม่ทะลุทะลวง เหตุก็เพราะว่า
    จิตมันยังติดไอ้ที่ทำให้ก่อให้เกิดเป็นวงกลมอยู่
    ไม่ว่าจะตัวที่ทำให้สงบไม่ว่าวิธีอะไร
    ไม่ว่าจะตัวที่ทำให้มันวางมันว่างไม่ว่าวิธีอะไร..

    การรู้การทำได้เลยมีเขตจำกัดอยู่แค่ตัวที่ทำเหล่านั้นที่ได้พูดมานั้นเองครับ
    ดังนั้น มันจะส่งผลต่อต่อจิต แม้ว่าจิตดวงนั้นจะมีความสามารถทำได้ รับรู้ได้
    แต่มันก็จะตะกุกตะกัก ไม่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ของจิต จึงยังมีการใช้กำลังมาก
    ส่งผลให้เหนื่อย ส่งผลต่อร่างกาย เรานั้นเอง เพราะจิตนั้นแม้ว่า สงบ วาง ว่าง
    ที่มันยังมีตัวกระทำและมันยังยึดกายนี้อยู่เพราะมันอยู่ในกายแบบยึดกาย
    มันจึงเป็นกิริยาแบบตะกุกตะกักอย่างที่เล่าให้ฟังมาครับ...

    โดยมากเราจะได้ยินว่า ให้พิจารณาตัดร่างกายก่อน แต่ว่าฟังดูเหมือนง่าย
    แต่สิ่งที่จะเกิดในเชิงกิริยากับตัวจิตมันกับไม่ง่ายครับ..
    เพราะจิตมันติดตัว เป้งๆ ตัวหนึ่งที่เรียกว่า ตัววิญญานการรับรู้
    และมันติดอย่างนี้มาตั้งแต่เรายังเด็กๆแล้วครับ เพราะกว่าเราจะโตขึ้นมาได้
    เราใช้ตัววิญญานการรับรู้ ผ่านอายตนะเรามาจนแทบเป็นส่วนหนึ่ง
    กับมันไปแล้วครับ​​
    พอเราเริ่มมาสนใจธรรมมะ เริ่มมาเรียนรู้ เริ่มมีครูบาร์อาจารย์
    แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะลืมทิ้งลืมตัดมัน คือ ตัววิญญานการรับรู้นี่หละครับ
    แม้เราจะรู้จากการฟัง การอ่าน ให้เรารู้ว่า ตรงไหน ควรละ ควรลด
    แต่มันก็ยังมีตัวไปรู้อยู่ดีครับ ตัวไปรู้ตัวนี้มันก็มาจากจิตอีกนั้นหละครับ
    ประเด็นนี้ ที่หลายคนอาจจะคาดไม่ถึง ซึ่งมันเป็นตัวที่ขวางการคลายตัว
    ของจิตเราเพื่อให้จิตเรามันกลับคืนสู่เนื้อหาเดิมแท้ของจิตเรานั่นเองครับ..

    ดังนั้นถ้าจะให้จิตเรามันคลายตัวได้(ย้ำว่า ยังพูดแค่กายกับจิตอยู่นะครับ)
    เราจำเป็นต้องตัดไอ้ตัววิญญานการรู้ ที่มันทำให้จิตเราเกิดให้ได้จากตัวจิต
    เราก่อนครับ ซึ่งการรู้จากภายนอกต่างๆมันทำได้แค่มันสงบ วาง ว่างแบบมีตัวกระทำ
    แต่เราจะต้องเริ่มตัดตอนที่จิต มันจะส่งตัววิญญานไปรู้ให้เป็นนิสัยครับ..
    คือ แค่เรียกชื่อถูกคือปรุงไปแล้วนะครับแบบครบวงจรทางด้าน
    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม(เพราะมันทำงานเร็วมาก
    เพราะเราใช้มันมาตั้งแต่เราพอจำความได้แล้วครับ)
    ดังนั้น ต้องไปไม่รู้ ไม่ว่าอะไร
    ที่มันอยู่ดีๆระลึกขึ้นได้ นึกขึ้นได้ ปรุงขึ้นได้ ทุกๆกรณีครับ
    คือต้องทิ้งให้หมด ปล่อยวาง ไปไปแทรกแซงอะไรมันด้วยครับ
    วิธีที่ได้ผลอย่างชั่วคราวคือการใช้การผลักให้มันออกจากจิตไปช่วยคราว
    ซึ่งพอช่วยได้ เหมาะสำหรับในกรณีสำหรับที่เราจะใช้งานด้านต่างๆ
    ทางนามธรรมเกี่ยวกับตัวจิตครับ...
    วิธีที่ได้ผลที่ดีที่สุด ก็คือ การยอมรับตามความเป็นจริง ด้วยใจที่เป็นกลาง
    ที่ไม่ไปแทรกแซงตัวจิตในทุกๆกรณีคือไม่ใช้ความรู้ในอดีต
    มาแทรก ไม่ใช่อำนาจ ตบะ ฌาน ญาณ สติ ปัญญา หรือกำลังจิตใดๆ
    ขณะที่จิตกำลังรับรู้ของมันอยู่ครับ และเราก็ปล่อยให้จิตมันรับรู้
    ของมันไปอย่างนั้นตามความเป็นจริงนะครับ เช่น โกรธจิตก็รู้ว่า
    อารมย์โกรธเป็นอย่างโน้นนี่นั้น การใช้วิธีการเป็นการข่มระงับชั่วคราว
    แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาโดยตรง ถ้าแก้โดยตรงต้องแก้ที่จิต
    ให้จิตมันรู้เห็นว่า อารมย์โกรธเป็นอย่างโน้นนี่นั้น
    ส่งผลโน้นนั้นนี่ จิตมันถึงจะทิ้งตรงนี้ไปได้
    ที่ส่วนตัวเคยเล่า ให้ฟังว่า จิตถ้ามันได้ทิ้งอะไรไปแล้ว
    ต่อให้เราพยายามนึก พยายามคิด มันก็จะไม่ขึ้นมานั้นหละครับ
    มาถึงตรงนี้ครับ
    ตัวจิตเรา ถึงจะมีโอกาสที่มันจะคลายตัวเองได้ด้วยตัวของมันเอง
    โดยธรรมชาติของมัน เพื่อกลับคืนสู่เนื้อหาเดิมแท้ของมันเอง
    แม้ว่ามันจะยังอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ตาม...

    เมื่อมันผลิกจากภายในออกไปภายนอกได้แล้วได้ด้วยตัวเอง
    โดยไม่ถูกจำกัดด้วยอะไรก็ตามที่ทำให้มันเป็นวงกลมอยู่เพียง
    แค่ไม่กี่วินาที ก็จะเกิดเครื่องรู้สัมผัสอะไรต่างๆมากมายขึ้นได้
    ของมันเองเป็นปกติอยู่แล้วตามเนื้อหาเดิมแท้จิตดวงนั้นๆครับ...
    ยกตัวอย่างเคยดูสตาร์วอร์ไหมครับ
    ตอนอาจารย์โอบีวัล บอกพัลวันว่า
    ให้จิตว่างก่อน ตอนที่พัลวัลจะบอกว่าข้ารู้สึกอย่างโน้นนี่นั้น
    หรือรู้สึกว่าเป็นโน้นนี่นั้น..
    นี้คือยังเป็นการว่างแบบมีตัวกระทำ
    ซึ่งเป็นแบบชั่วคราวและตะกุกตะกักครับ

    แต่ตอนที่อาจารย์โอบีวัลกับพัลวันกำลังคุยกัน
    ซึ่งทั้งสองคนมีหน้าที่อารักขาองค์หญิง
    ในขณะที่เฝ้าองค์หญิงอยู่ แล้วฝ่ายไม่ดีปล่อยตัวคล้ายๆตะขาบ
    เพื่อให้ไปทำร้ายองค์หญิง ขณะที่ตะขาบกำลังไปทำร้ายองค์หญิง
    แล้วทั้งโอบีวันและพัลวัล
    ก็รับรู้ได้ว่ากำลังมีเหตุร้ายกับองค์หญิง ทั้งๆที่กำลังคุยกัน
    เรื่องอื่นๆอยู่
    นี่คือ ลักษณะที่พยายามจะสื่อว่า มันเป็นไปของมันเอง
    และแบบอัตโนมัติของตัวจิตเอง เป็นไปตามเนื้อหา
    เดิมแท้ของจิตดวงนั้นเองครับ
    พอนึกภาพออกนะครับ


    ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมพระสงฆ์มีชื่อต่างๆ
    ท่านถึงมีเครื่องรู้อะไรที่ลึกซึ่งละเอียดและไวมากมายอะไรมากมายขนาดนั้น..
    เพราะว่า ด้วยจิตที่คลายตัวอย่างเป็นธรรมชาติของดวงจิตท่านเอง
    ได้เกือบตลอดทั้งวันเป็นปกตินั้นเองครับ..
    ฆารวาสอย่างเราๆได้ครั้งละไม่กี่วินาที ได้เป็นนาที
    เรื่องที่เรารู้ ก็แทบจะหาคนคุยได้แบบจำกัดกลุ่มแล้วครับ
    ปล.พอเข้าใจที่เล่าให้ฟังนะครับ คุณ Tboon (^_^)

     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ใช่ครับ จิตนี้ชอบท่องเที่ยวไปทั่ว เท่าที่เริ่มเห็น อย่างหยาบคือออกไปหาเที่ยวพักผ่อนที่โน่นที่นี่บ้าง เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง อย่างละเอียดเข้ามาก็อยู่กับที่นี่แหละ คือท่องโลกโซเชียล หาอ่าน สนใจอยากรู้เรื่องของโลกๆ เขามีอะไรไปถึงไหนกัน ละเอียดเข้าไปอีกก็ว่ากันไป แท้จริงก็คือกาม การติดเสพกามนั่นเอง กามไม่ใช่เฉพาะอร่อยสัมผัสเมากายเท่านั้น มันรวมทั้งการมัวเมาอร่อยทางใจด้วย กำลังตามรู้ตรงนี้อยู่เหมือนกัน ถ้าจะตัดเรื่องวิญญาณผมคงตัดตรงนี้ ตรงสนุกส่งส่ายไปทั่วนี่เอง
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    สงบ คือ วิเวก วิโมก ตบลงด้วย สันโดษ

    สันโดษ คืออะไร หากไปตอบว่า ไม่มี ไม่เกิด ก้
    แปลว่า ไม่รู้เรื่อง ดอกทองกี่ใบก้ไม่รู้ร้อน

    สันโดษ หากภาวนาถูก หากมีเมียอยู่ ก้มีอย่างเดิม
    หากจะมีเหตุให้ไม่มี ให้แยก ก้เปนไปด้วยธรรม ไม่
    ใช่ อึ๊ดชึ ตัด ไม่มี

    สิ่งที่ดอกทองใบสอนไม่ได้ คือ กามสัญญา พาดูไม่เปน

    กามสัญญาไม่เคยเหนมันเกิดดับ ก้งมโข่งในสมาบัติ1-8 แล้วละเมอว่า ปัญญามันจะเกิดเอง

    สัมมาทิฏฐิพร่องแต่ต้น สงบ ไม่รู้จัก สมาบัติชั่วกาลปวสาน ปัญญาไม่เกิดหลอก ได้แต่เดา

    แล้วประมาท อ้าง ก้คนนั้นคนนี้ ทำ

    เดี๋ยวผลอันชื่นใจ เปนพยานให้ตนได้ เกิดเอง

    จะเกิดได้ไง ตั้งต้น ก้ เอาจมูกคนอื่นอ้างว่า เขาก้ทำ

    ปล.ลิง คุยกับคนใส่เสื้อสีชมพูในงานเลี้ยงธรรมภูติ
    เจ้าพ่อ "สงบ ไม่รู้จัก ตัดว่างจับเอา"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2016
  8. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ถามกลับด้วยคำถามเดียวกันกับที่คุณเคยไปเตือนชาวบ้านเค้าไว้เรื่องที่ไปจาบจ้วงพระนะ เคยฟังธรรมพระท่านมาขนาดไหนแล้วครับ เคยไปนั่งใกล้ ๆ แล้วเข้าไปสนทนากับท่าน ถามท่านหรือยัง หลวงปู่ทำไมหลวงปู่สอนแบบนี้ ถ้ายังก็แปลว่าคุณประมาทแล้วก็ปรามาสพระท่าน แล้วไม่ต้องมาซักไซ้เอาอะไรกับผม เพราะผมไม่ใช่หลวงปู่ ต้องไปถามหลวงปู่เอาเอง
     
  9. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ผมว่าคุณคับแค้นใจพระท่านก็ตรงคำว่า "กามสัญญา" นี่แหละ มันไปกระทบกระเทือนกิจกรรมของคุณเข้าโดยบังเอิญมากกว่า โดนกามสัญญามันหลอกอร่อย แสดงธรรมเล่นลิ้นเป็นว่าเล่น ไม่เคารพธรรมจริง เสียดสีไปเรื่อย รึจะเถียงว่าไม่จริง จะได้ยกมาให้ดู ก็รับฟังพระท่านไว้เป็นไรไป เป็นเครื่องเตือนใจก็ได้นี่นา จะได้ลดๆเพราๆลงหน่อย ว่านั่นนะ มันกามสัญญา กามสัญญานะเว้ยเฮ้ย อย่าลืม ๆ
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กั๊กๆๆๆๆ ป๋ม ปฏิเสธได้แน่นอน ....และ หากเอาความเป็นจริง
    ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจการปฏิเสธด้วยซ้ำ

    ทำไมหละ

    ลำดับแรก ไม่มีเรื่อง พระ ในสิ่งที่ผมโพส แน่นอน 1000%

    แล้ว พระ มันลั่นออกไปจับ ด้วยจิตของใคร .....ตรงนี้ หากเป็น นักภาวนา
    ที่อ้างว่า " นิ่ง ว่าง สงบ " ที่อ้างไปถึง ตัวจิตมันจับความว่าง หรือ จิตขวาง
    ความว่าง หรือ ว่างขวางตัวจิต พูดซื่อๆ พยายามบอกว่า ตนสัมผัส อรูปฌาณ

    มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ ดอกทองใบ จะกลายเป็น พระ

    เว้นไว้แต่ อรูปฌาณ ที่ ละเมอ ไม่ล่วง รุปสัญญา ตามความจริง จึงทำให้
    คำว่า ดอกทองใบ แล่นไปโน้นนนน เห็นเป็น พระ !!!

    ทำไมเป็นแบบนั้น

    ก็บอกไปแล้วว่า อะไรก็ตามแต่ ที่เรียนมา ยังไม่เคยเรียนเรื่อง "สัญญา"

    ทั้งๆที่ มันเป็น ธรรมฐิติ เบื้องต้น ที่ต้องศึกษา ยกพิจารณาให้เกิดที่จิตเสียก่อน
    ก่อนจะภาวนา ทั้งสมถะ และ วิปัสสนา

    สัญญา ไม่เที่ยง

    กามสัญญา คืออะไร

    ก็พอใจในสัญญา สำคัญว่า สัญญาเป็นสิ่งวิเศษ ไม่เกิด ไม่ดับ


    ถ้าศึกษาธรรม กลัดกระดุมเม็ดแรกให้มันถูก สัญญาเที่ยง หรือไม่เที่ยง

    จะเห็นเลย ดอกทองใบ แล่นไปโน้นนนนน ไปเห็นเป็น พระ นี่คือ
    อาการ ทรงปริยัติธรรม ไว้ไม่ได้ .....โดนหลอกว่า ต้องอุปมา

    ถ้า สามารถทรงธรรมไว้ได้ สัญญาไม่เที่ยง จะด้วย ตรึกเอาไปก่อน
    หรือ มี สัมมาสติ ระลึกเห็น

    ดอกทองใบ มันจะดับ กลายเป็น ผัสสะ

    ถ้ามันยังแล่นไป เพราะจิตเจ้าของ ขาดสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ก็จะเห็น
    ยินดียินร้ายในสัญญาบางอย่าง มัน กัดเจ้าของ

    ไปเอา สัญญา ความพอใจในสัญญา ความไม่พอใจในสัญญา กามในสัญญา
    มาเผารนจิตตัวเอง แล้วไปโทษคนอื่น

    ถอสระอุย !!


    ปล. อนึ่ง พึงทราบว่า บุคคลในโลกนี้ บางจำพวก ทำงานเป็น ที่ปรึกษา
    ทำงานเป็นนักปริยัติ มหานิกาย .....การจี้ลงไปที่ สัญญาไม่เที่ยง บางคน
    จะทำไม่ได้ แถมปฏิเสธ แล้วยังเถียงว่า ชันธ์5 ตนต้องอุปทานใช้มัน ถึงจะรองรับธรรมไว้ได้ สันติ

    ปล.2 อ้าว ก็คนมันต้องกินต้องใช้ ต้องทำงาน ต้องต่อธรรมปริยัติ ทำไง ....ก็ สำรวมระวัง จิฮับ อินทรีย์สังวรณ์ ป่านนี้ไม่รู้จัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2016
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กามสัญญา

    แปล แบบ เดียรถีย์ เขย่งภาวนา ข้ามขั้น อย่างมากก็ได้แต่ คิ้วขมวด ได้แค่ฌาณ

    กามสัญญา พอใจในสัญญา พิจารณาเสียหน่อย จะเห็นเลย พวกได้ฌาณ1-8
    บางจำพวก ไม่เคยสัมผัส ปฐมฌาณ เลย เพราะ เข้าใจ สัญญาว่าเที่ยง
    [ ภาวนาไม่เป็น มันจะเห็น สัญญามันดับไม่ได้ โน้นไปโน้น ไปโคตรภูญาณ ก็ยัง
    บอกว่า เอ่อ สัญญามันไม่ได้ มันขวางอยู่ ภาวนารอมันดับ....ปัดโถ่ สัญญา มันดับของมัน
    ตลอดเวลา เป็น พยับแดด มันจะต้องไปรอ ญาณวิปัสสนาฮาอะไร มันดับ ]


    สมาธิ สมถะ ไม่รู้จัก ทำฌาณ1-8ได้ แสนล้านชาติ สมาธิ สมถะ ไม่รู้จัก
    ไม่เคยสัมผัส จะเอาอะไรไป วิปัสสนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2016
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    ธรรมะในศาสนาพุทธ
    อะไรมันจะพูดและฟังกันยาก
    ขนาดต้องโต้ต้องเถียงกันทุกทีไป...
    หากพระพุทธองค์มานั่งฟังอยู่ด้วย
    ท่านจะทรงติชมไหมว่า
    ใครพูดดี ฟังง่ายไพเราะ

    อ่านพระสูตรมาก็หลายสูตร
    ยังไม่ปวดกระบาลเท่า
    กับการได้มาฟังนักธรรมระดับ
    อรรถกถาจารย์ในกลางพุทธกาล
    เสวนากัน...ต้องมีเถียงกันตะพึด
    เพราะการใช้ภาษาเขียนที่ไม่เหมาะสมกับ
    พระวจนะเพื่อกำจัดทุกข์ให้เหล่าเวไนย
    แต่เวไนยก็พูดกันจน
    เป็นการเพิ่มทุกข์ขยายทุกข์ขัดหูขัดตาได้ทุกทีซิเอ้า

    แค่นี้ก่อน...เดี๋ยวรำคาญมากกว่านี้จะเสียภาพลักษณ์ลุงแมว
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    พิจารณา เอาเอง นะ ฮับ คุณเสื้อสีชมพูตัวดำๆ

    ปรารภคำใหญ่คำโตเอาไว้ ธรรมเป็นใหญ่

    ธรรมเป็นใหญ่ ก็อย่าให้ ใครหนาสันติ เข้ามา ยุแหย่ จนลืม เอาธรรมเป็นใหญ่

    ถ้าเอาธรรมเป็นใหญ่

    เป็นไปไม่ได้หลอก จะมีการ ปรามาสพระ

    ถ้าสังเกต คนบางคนหากเขามีแววการภาวนาดี ผมก็ นำเสนอให้
    เขาไปฟัง ธรรมบางเรื่อง บางตอน จากพระ เพราะว่า มันใช่

    แต่ส่วนอื่น จะใช่ไม่ใช่ แช่อาบัติ ปาราชิกหรือไม่ อันนั้น ไม่ยุ่ง อฐานะที่จะไปยุ่ง !!!


    แล้วถ้า พวก ส ใส่เกือก จะพิจารณา

    พึงทราบว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ อยู่ดีๆ จะถูกคำเสียดแทง
    มันไม่ได้เกิดขึ้นลอย ทุกอย่างมันมีเหตุ เหตุ มันก็มาจาก .....ของตน

    แต่ถ้า เอาเหตุนั้นออก คำเสียดแทงไม่มี ต่อให้เขียนศัพท์ตรงๆ ก็ย่อมชื่อว่า ไม่มี
     
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    ถ้าพูดแล้วทำให้ห้องสมาธิมีความร่มเย็นไม่ได้ก็
    น่าลองไปฝึกมาให้เปลี่ยนแปลงได้ก่อน
    แล้วจึงมาเขียนโชว์.....ห้องจะได้ทำคนที่สนใจ
    สมาธิเข้ามาอ่านแล้วสงบ ตื่น เบิกบาน กว่าไปห้องอื่นๆ
     
  15. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    และท่าจะทำเป็นแบไต๋ว่ามาจับผิดจับสังเกตอะไรกันก็ว่ากันไป ไม่เห็นมีอะไรเลย ผมเฉยๆ ผมไม่คิดไปไกลหรอก ดูเรื่องเดียวก็ตอบโจทย์หมดแล้ว

    จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    ผลอันเกิดจากจิตส่งออกนอก เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ

    ก็ดำเนินไปพิจารณาไปด้วยความไม่ประมาทสิ อะไรขึ้นชื่อว่าเป็นความประมาทบ้าง ก็สำเหนียกไปสิ กิเลสอยู่ตรงไหน อุปาทานอยู่ตรงไหน มาติอะไรมากมาย ยังไม่ได้บอกว่าจบกิจสักหน่อย รื้อบ้านยังไม่เสร็จ มาโวยอะไรคนเขากำลังทำการทำงานกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2016
  16. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขำ
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ก็ทำเป็น ขำ ไปนั่นแหละ มันมี ทางอื่นให้เลือก หรือ !! มันไม่มี มันอับจน จนปัญญา

    ตั้งกระทู้ถาม สงบ กับ ฌาณ ต่างกันตรงไหน

    ปากก็อ้างว่า จะเอาธรรมเป็นใหญ่ จะไม่ส่งจิตออกนอก ไปเห็นใครปรามาสใคร

    แล้วทำได้ไหม

    ทำไม่ได้ แต่ก็อ้างว่า นิ่ง อะเฉยๆ กอสระอู ทำได้

    ทำได้ ฮา อะไร สงบ กับ ฌาณ ต่างกันยังไง ไม่ส่งจิตออกนอก ป่านนี้ เห็นแล้ว
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    เขียนส่งไปอีก

    ไปไหนได้ไหม นอกจาก ขำ

    ทำไมไปคว้า ขำ

    มีขำเป็นแดนเกิด มีขำเป็นที่ไป

    ขำ หนะ มีเหรอเป็น สุคติ

    โดนมันหลอก หละไม่ว่า


    เว้นแต่ จะปรารภว่า ขำก็รู้ว่าขำ อันนี้ จะให้ผ่านเลย
     
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    55 เทศน์ได้มันจริง ธรรมมาสกระพือเลย
     
  20. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ต้นเหตุคือคำว่ากามสัญญา กามสัญญานี่พระท่านเทศน์ชัด เตือนให้เห็นโทษของการหลงในกามสัญญาว่าอย่าหลงเอามาเป็นปัญญาฟุ้งในปัญญาไปเรื่อย แต่การโพสต์ธรรมลงที่นี่มันไปกระเทือนกิจกรรมคุณใช่มั้ยล่ะ แค่นั้นแหละ ทีนี้ที่เหลือนั่นก็ลีลาของกิเลส แล้วแต่จะออกหัวออกก้อยต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...