ความสัมพันธ์ คิดไปเอง กับ อภิญญา

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย somkiatfem, 8 กรกฎาคม 2016.

  1. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ความสัมพันธ์ นึกคิดไปเอง กับ อภิญญา

    ผมอยากทราบว่า การนึกเอาถึงตอนที่เราหนาวมากๆ ในขณะที่เราอยู่ที่ร้อนๆ ถ้าจิตเรามั่นในฌาณที่ค่อนข้างดี ทำให้เราไม่ยึดติดกับอากาศร้อน หรืออาจจะทำให้เรารู้สึกเย็นบ้างขณะที่เรานึกถึงอดีตตอนอากาศหนาว สิ่งนี้จะมีความสัมพันธ์กับ อภิญญาอย่างไร หรือไม่ครับ เพราะว่าทราบว่า อภิญญาก็ใช้อารมณ์นึกคิดเอาพร้อมกันกำหนดกสิณภาพธาตุต่างๆประกอบ จริงๆถ้าเราไม่เพียงนึกภาพประกอบเเต่นึกถึงสภาวะต่างอาจจะทำให้จิตเข้าถึงฌาณดีขึ้นก็อาจจะเป็นได้เช่นนึกถึงความร้อนเย็น หรือรูปร่าง ความเเข็ง ขอบพระคุณครับ
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ การ "นึกเอาเอง" ไม่ใช่อภิญญา แต่เป็นการ "โกหกตัวเอง" ให้เชื่อในสถานการณ์ที่ "ไม่เป็นจริง" เป็น "ไสยศาสตร์" (ไสย = ไสยาสน์)(ไสยศาสตร์ = ศาสตร์แห่งการหลับไหล)

    +++ การที่ "ใช้อารมณ์นึกคิดเอาเอง" เป็น "ไสยศาสตร์" ไม่มีองค์ประกอบในทาง "พระพุทธศาสนา" แม้แต่น้อย

    +++ ยามที่ใช้ชีวิตอยู่ "ย่อมไม่มีสติ" "ย่อมสำคัญผิดว่าเป็นมรรคผล" "สภาวะธรรมที่เคยมีก็จะเสื่อม" "ยามตายจะตั้งสติไม่ได้" "ย่อมไปอบายตามกรรมของจิต"

    +++ อาการทางจิตและผลลัพธ์ของมัน คล้ายคลึงกับ "การปรามาสพระอริยะเจ้า" เพียงแต่ ดีกรีความเข้าข้นต่างกัน

    +++ จริง ๆ คำถามประเภทนี้ "ไม่ควรอยู่ในห้อง อภิญญา XP" เพราะเป็นคำถามประเภท "ถามไปเรื่อย ๆ แบบเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ" ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ "ประสพการณ์อภิญญา หรือ ประสพการณ์ในการฝึกกรรมฐาน" เลยแม้แต่น้อย

    +++ คำถามประเภทนี้ ไปถามในห้อง "อภิญญา - สมาธิ" จะตรงกับเจตนารมณ์ของ เวปพลังจิต มากกว่า

    +++ เจตนารมณ์ของห้อง อภิญญา XP นี้ ให้อ่านได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง

    http://palungjit.org/threads/ห้อง-อภิญญา-xp-มีไว้เพื่ออะไร-และ-ควรอ่านก่อนจะตั้งกระทู้ใหม่.57437/

    +++ เข้าใจว่าคุณ somkiatfem คงยังไม่รู้ว่า "ห้องนี้เป็นห้องอะไร" ตามลิ้งค์ที่คุณโพสท์มาชี้ว่า "คุณยังไม่รู้จักห้องที่คุณโพสท์อยู่" ตามลิ้งค์ข้างล่าง

    http://palungjit.org/10049834-post6.html

    +++ ส่วนถ้าหาห้อง "อภิญญา - สมาธิ" ไม่เจอ ก็ให้กดลงไปตามลิ้งค์ข้างล่างนี้

    อภิญญา - สมาธิ - PaLungJit.org
     
  3. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    " experience แปลว่า ประสบการณ์

    อภิญญา experience...รวมกัน มีความหมายว่า ประสบการณ์ทางด้านอภิญญา


    แต่ว่าคนส่วนมากไม่ได้ได้อภิญญากัน เลยเอาเอาเรื่องเกี่ยวกับผลการฝึกที่ใกล้เคียงกับอภิญญามาเล่าได้

    เช่น การฝึกมโนมยิทธิ สมาธินิมิต ตาทิพย์ หูทิพย์ ถอดจิต อิทธิฤทธิ์ และ อภิญญาต่างๆ ฯลฯ

    ตั้งแต่ระดับขั้นเริ่มต้นฝึกจนถึงระดับขั้นสูง.. เพื่อเป็นธรรมทาน เป็นกำลังใจให้แก่ผู้สนใจ

    อาจจะเป็นประสบการณ์ของตนหรือของคนอื่นก็ได้ "

    ส่วนต่อไปนี้คือคำถาม

    1 จากข้อความนี้ต่อไปนี้ "เลยเอาเอาเรื่องเกี่ยวกับผลการฝึกที่ใกล้เคียงกับอภิญญามาเล่าได้" มันไม่เกี่ยวข้องกับคำถามผมเลยหรอครับ ว่ามันใกล้เคียงหรือเเตกต่างกันอย่างไร คำถามของผมก็มีคำว่าอภิญญา มีอาการนึกคิดเหมือน มโนยิทธิ หรือการกำหนดจิตนึกคล้ายกสิณ ?

    2 เเล้วห้องที่สอนกี่ยวกับสมาธิแบบชิว ทำไมไม่ไปโพสใน ห้อง "อภิญญา - สมาธิ" เพราะมันก็มีคำว่าสมาธินะครับ อธิบายหน่อยครับ ?

    3"+++ การ "นึกเอาเอง" ไม่ใช่อภิญญา แต่เป็นการ "โกหกตัวเอง" ให้เชื่อในสถานการณ์ที่ "ไม่เป็นจริง" เป็น "ไสยศาสตร์" (ไสย = ไสยาสน์)(ไสยศาสตร์ = ศาสตร์แห่งการหลับไหล)" ผมถามว่า ......

    การนึกคิด มันก็คือการฝึกเบื้องต้นของมโนยิทธินะครับ เป็นภาพลอยมากกว่าอีก เเต่อาการกำหนดที่ผมบอกเช่นกำหนดอารมณ์หนาวให้ทรงตัวมันเป็นการทรงสมาธิมากกว่าอีก ไม่ใช้ภาพลอยมาแบบมโน(มีทั้งจริง เเละไม่จริงในเบื้องต้น เเต่ถาพที่ครูเเนะนำให้เห็นมันก็เกิดกุศลกับจิต จิตมีนิพพาน นิพพานนั้นก็จะเกิดเป็นวิหารให้กับจิตได้เช่นกัน นี้คือความดีที่พระพุทธเจ้าพยายามชี้ให้คนรู้ว่านิพพานมีนะ) ?

    4+++ การที่ "ใช้อารมณ์นึกคิดเอาเอง" เป็น "ไสยศาสตร์" ไม่มีองค์ประกอบในทาง "พระพุทธศาสนา แม้แต่น้อย" ถามว่า.....

    ผมหาในกูเกิ้ล ไม่ให้นินามนี้เลยนะครับคุณ ?

    5 เเล้วคุณธรรมชาติ เข้าใจถ่องแท้ถึงอภิญญาเพียงใดเเล้วครับ ผมขอถามว่าการนึกภาพกสิณ เวลาจะใช้ต้องกำหนดหรือไม่ เช่น ต้องการให้น้ำเย็น ต้องกำหนดไหมว่าอยาหให้น้ำเย็น vs กับเรื่องที่ผมบอกว่า เรานึก อาการหนาว(กสินลมเย็น) เเละมีความต้องการให้ ตัวเราเย็น ซึ่งการรับรู้ของกายแท้จริงก็คือ จิตนั้นเอง ดังนั้นเมื่อเรากำหนด รู้ อากาศเย็น จิตเราก็สัมผัสความเย็นไปเเล้ว ถ้าไม่เข้าใจผมยกตัวอย่าง เวลาเรานึกถึงอาหารที่ชอบ น้ำลายก็จะไหล คุณอธิบายหน่อยสิครับว่า มันไม่คล้าย ไม่เกี่ยว เลยหรือ เเล้วถ้าไม่เกี่ยว เเล้วกลไลของกสิณเป็นอย่างไรครับ ??
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ความสัมพันธ์ นึกคิดไปเอง กับ อภิญญา

    +++ MOD ช่วยลอง "พิจารณา" ดูด้วยนะว่า กระทู้นี้ควรอยู่ใน "หลุมดำ" หรือ ห้อง "อภิญญา XP"

    +++ ฝากให้พิจารณา ด้วยนะ รู้สึกว่า "ความคิดของบุคคลนี้" ไม่ค่อยจะปกติ

    +++ "บ้าอภิญญา" จนมีอาการ วิปลาส เป็นองค์ประกอบ

    +++ เอาอาการ "เพ้อเจ้อ นึกคิดเอาเอง มาเป็น อภิญญา"

    +++ เวปพลังจิต เป็น "เวปเพื่อพุทธศาสนา"

    +++ ควรพิจารณา "ด่วน" ด้วยนะครับ
     
  5. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ไม่ทราบว่าทำไมคุณไม่ตอบคำถามผมครับว่า ห้องสอนสมาธิแบบชิวๆ ทำไมมาโพสห้องนี้ครับ!!!!!!!! สติดีเพียงใดไม่ทราบนะครับ

    ทำไมคุณถึงมาความโกรธง่ายจังครับไม่ดีนะครับ จะเป็นตัวอย่างให้ลูกศิษย์ของคุณ นะครับ อย่าว่าใคร อย่ามีความโกรธ ทำทุกอย่างเพื่อความดี เเละสตินะครับ

    ควรใช้กำลังสติมากกว่านี้นะครับ เเละเวลาจะโพสสิ่งใดนะครับ

    พูดเรื่อยเปลื่อยนะครับไม่ตรงกับคำถามเลยนะครับ

    +++ "บ้าอภิญญา" จนมีอาการ วิปลาส เป็นองค์ประกอบ
    ///// วิปลาส??? 1+1=2 ??

    +++ เวปพลังจิต เป็น "เวปเพื่อพุทธศาสนา"

    /////เเล้วห้องนี้คือห้องอะไรครับ อภิญญาเปล่า เเล้วผิดตรงไหนครับ??

    +++ ควรพิจารณา "ด่วน" ด้วยนะครับ

    ////เห็นด้วยอย่างยิ่ง เดียวจะมีคนไปเรียนรู้จริตอะไรที่ไม่สามารถไปสู้พระอริยเจ้าได้ เพราะ พระอนาคามี ไม่มีความโกรธ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2016
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ กระทู้นี้ของ somkiatfem พยายาม "บิดเบือน พระพุทธศาสนา" ให้ออกไปในแนวทางว่าการ "นึกคิดไปเอง มีความสัมพันธ์กับ อภิญญา"

    +++ และหลัง ๆ มานี้ไม่ว่าจะเป็นคำถามอะไรก็ตาม ก็จะออกมาในทำนองนี้ทั้งหมด

    +++ และมี "อาการ" ที่จะพยายามเผยแพร่ลักษณะ "ความคิดแบบนี้" ออกสู่สาธารณะ

    +++ เห็นว่ามันเป็น "พิษภัย" ต่อการปฏิบัติธรรมในทางศาสนาพุทธ "อย่างรุนแรง"

    +++ ความพยายามที่จะเอา "ความเพ้อเจ้อ" มาเป็นหลักในการปฏิบัติ ไม่นานก็แพร่หลาย "ความวิปลาศ ฟั่นเฟือน" ออกไปเรื่อย ๆ

    +++ หากปล่อยไว้ "นานไป" จักนำพาให้ผู้คน "หลงทาง"

    +++ บุคคลนี้ "ไม่สามารถกล่าวตักเตือนได้" เพราะจะเกิดอาการ "เตือนปั๊บ เถียงปุ๊บ" ทันที

    +++ บุคคลนี้ "มืดมิดสนิทนาน" อยากดัง อยากสอน "ตามความเพ้อเจ้อแห่งตน" สมควรที่ เวปพลังจิต น่าจะ "ดูแล" ไว้บ้างนะ
     
  7. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ผมบิดเบือนตรงไหนครับเอาตำรามากางให้ดูหน่อยครับ

    ผมตั่งคำถามนะครับๆ ในส่วนอภิญญา เพราะผมยังเข้าไม่ถึง ไม่ได้ตั่งตัวเป็นอาจารย์
    เเล้วคำถามผมก่อนหน้านี้ทำไม ....

    ....ไม่ตอบผมสักทีละครับ ท่านอาจารย์ ช่วยตอบผมที่เถิอครับด้วยสติของอาจารย์ (ของผู้อื่นนะ ไม่เกี่ยวกับผม)
     
  8. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231

    ไสยศาสตร์ ก็เป็นศาสตร์แห่งความจริงเหมือนกัน ไม่ใช่แค่คิดไปเอง
    อย่ามากล่าวหาว่าไสยศาสตร์เป็นแค่เรื่องคิดไปเอง
    นายตำรวจ อย่างขุนพันธรักษ์ราชเดชนั้น เป็นอดีตนายตำรวจมือดี ที่ปราบปราม
    โจรผู้ร้ายที่หนังเหนียว
    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงไปศึกษาถึงเมืองนอกเมืองนา และเป็นถึงพระบิดาแห่งกองทัพเรือ
    ทรงได้ประจักษ์ถึงความอัศจรรย์ ของวิชาไสยศาสตร์ ที่ปืนยิงไม่เข้า
    จนถึงขั้นเสด็จไปศึกษาวิชาทางไสยศาสตร์ กับ หลวงปูู่ศุข วัดปากครองมะขามเฒ่า

    เพราะฉะนั้น อย่ามาใส่ไคล้ ว่าไสยศาสตร์ เป็นการนึกคิดไปเอง
    ไสยะ แปลว่า ประเสริฐ
    ฉะนั้น ไสยศาสตร์จึงแปลว่า ความรู้ที่ประเสริฐ ความรู้แห่งคุณวิเศษ
    หมายถึง ผู้ศึกษาตามศาสตร์นี้ดีแล้ว ก็จะเกิดคุณวิเศษขึ้น สามารถใช้คุณวิเศษได้
     
  9. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ในวิธีการฝึกอรูปฌาน โดยเฉพาะข้อ ๑ อากาสานัญจายตนะ (การเพ่งอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์) ผู้ฝึกจำต้องอาศัย การจินตนาการถึงอากาศไม่มีที่สิ้นสุดมาเป็นอารมณ์สำหรับฝึกฌานสมาบัติข้อนี้
    ไม่มีทางจะดูจากของจริงได้
    เพราะในชีวิตจริง มองไปทางไหนก็เจอแต่สิ่งกีดขวางทั้งนั้น
    มองไปบนท้องฟ้าก็เจอก้อนเมฆ มองลงข้างล่างก็เจอพื้นดิน
    มองไปรอบๆตัว ก็เจอผู้คน สิ่งก่อสร้าง ต้นไม้ สัตว์ และอื่นๆ ฯลฯ
    ถ้าอยู่ในอวกาศ ก็มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
    อย่างนี้จะเอาอากาศไม่มีที่สิ้นสุดที่ไหนมาเป็นอารมณ์ได้ ถ้าไม่อาศัยจินตนาการนึกคิดเอา
     
  10. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ในกรณีของ จขกท. ที่จะใช้วิธีนึกถึงความหนาวเพื่อสร้างจินตนาการในขณะที่อยู่ในที่อากาศร้อน
    หรือใช้จินตนาการถึงอากาศร้อน ในขณะที่ตนเองยืนอยู่ในอากาศหนาวนั้น
    เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่คงมีผลเฉพาะตนเองคนเดียว คนอื่นๆไม่ได้รู้สึกตามไปด้วย
    จึงไม่จัดเป็นอภิญญา
    การฝึกแบบนี้ ควรดูตัวอย่างพวกลามะของธิเบต ที่นั่งสมาธิกลางหิมะทั้งๆที่เสื้อผ้าเปียก
    โดยนั่งเพ่งสมาธินึกถึงความร้อน พอเวลาผ่านไป เสื้อผ้าที่เปียกก็แห้งได้
    แต่ควรเข้าใจว่า นั่นคือการอาศัยความร้อนในร่างกาย ไม่ใช่อภิญญา

    ถ้าอ่านตามประวัติพระอภิญญา เวลาจะแสดงฤทธิ์ เช่นเนรมิตสิ่งต่างๆนั้น จำต้องอาศัย
    การนึกคิดเป็นเบื้องต้น เช่นจะเสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ก็คงต้องจินตนาการถึงรูปกระต่ายก่อน
    ถ้าจะเสกเชือกให้เป็นงู ก็คงต้องจินตนาการถึงรูปงูก่อน
    จะเสกให้เป็นอะไรๆ ก็ต้องจินตนาการถึงสิ่งนั้นๆ
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    ใครมีพลังแห่งการดึงดูด ก็ผ่อนแรงตัวเองไปได้เยอะ
    เช่นกันนะฮะ ถึงแม้จะไม่สามารถบันดาลให้ใครดีใครร้ายได้
     
  12. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ใช้ครับผมคิดว่ามีความสัมพันธ์กันอยู่ถึงเเม้จะไม่ใช้สิ่งเดียวกัน

    ผมสงสารคนอื่นๆนะครับ ที่อาจจะยังพยายมไล่ขึ้นที่สูง เเต่บันไดที่เขาไต่นั้นมันยาวไม่ถึง
    ใครจะไต่ก็คงต้องดูให้ดีก่อนนะครับว่า บันไดนั้นดีพอที่เราจะอาศัยเเค่ไหน ถ้าจะเอาเเค่พื้นฐานก็พอใช้ได้
     
  13. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    พลังอภิญญาที่ฝึกฝนต่อยอดหรือเริ่มต้นฝึกกัน
    ที่เชี่ยวชาญกันแล้วก็ดี
    หรือพอจะได้กันก็ดี
    ที่พากันเอามาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคม
    ยังไม่ค่อยเห็นมีใครทำกัน
    หรือใช้แล้วจะเกิดอกุศลกรรม
    เพราะไปขัดขวางประโยชน์ผู้อื่น ที่กำลังได้เปรียบ
    และเอาเปรียบสังคมอยู่ อันนี้ไม่ทราบฮะ
     
  14. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    คงเป็นเพราะไร้กำลังจะไปแก้มากกว่า
    ปัญหาของตัวจิปาถะยังไม่มีปัญญาแก้ จะไปแก้ของใครได้
    หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าคนที่ไม่รู้ต้นเหตุของปัญหายิ่งแก้ยิ่งยุ่ง
    อภิญญากับบุญ เป็นสิ่งสำพันธ์กัน บุญน้อยอภิญญาก็ไร้กำลัง
    ถ้าบุญมากระดับพระเจ้าจักรพรรดิมาเกิด ไพร่ฟ้าประชาชีพลอยสุขกันทั่วหน้า
     
  15. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,089
    ค่าพลัง:
    +3,394
    ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา กันครับ นุ่มๆ นิ่งๆ เงียบๆ เบาๆ สบายๆ
     
  16. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เราไม่เก่งอภิญญานะ แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่า สมัยพุทธกาลผู้บรรลุธรรมโดยกรรมฐานกองอื่นนอกจาก40กองก้อมี เช่น พระอะไรนะที่ลูบคลำผ้าเป็นอารมณ์กรรมฐาน คือเราว่าถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนชีพอยู่ กรรมฐานที่แต่ละคนได้รับอาจมีแตกต่างกันไปให้ได้เห็นอีก ดังนั้นเวลาเข้าฌาน(จดจ่ออารมณ์เดียวเป็นหนึ่ง) คุณจะไม่รับรู้สภาวะภายนอกได้ คือค่อยๆลดระดับการรับรู้ไป
     
  17. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    พูดถึงเรื่องการใช้อำนาจพิเศษในการแก้ปัญหาชีวิต
    อย่างเช่น แก้ปัญหาทางการเงิน ผลปรากฏว่า ทำไม่ได้
    ก็แสดงว่าทุกอย่างมีกฏแห่งกรรมคอยกำกับไว้
    ทุกวันนี้ ตัวผมจึงต้องอาศัยบุญของคนอื่นด้วย
     
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    อ๊ะ..ถูกต้องแล้วคร้าบบบบ
     
  19. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231

    อยากให้แปลงบุญจากการนั่งสมาธิเป็นเงินได้
    ส่วนบุญที่เกิดจากการทำทานนั้นไม่ค่อยมี จนอยู่แล้ว ไม่อยากให้ทาน เปลือง :boo:
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ขอให้คำจำกัดความว่า อภิญญาในที่นี้ หมายถึง ความสามารถในการทำงานได้แบบพิเศษของตัวจิตไม่ว่าจะเป็นแบบที่รับรู้ได้ด้วยตัวเราเองหรือรับรู้ได้ด้วยตัวเอง
    และทำให้คนอื่นๆรับรู้ได้ด้วยนั้นนะครับ..
    และเอาว่า มันมีหลายขั้นตอนและการนึกคิดมันเกี่ยวข้องกัน
    อย่างไรให้ลองอ่านดูแล้วจะเข้าใจนะครับ


    การนึกคิด หรือการอ่านแล้วมานึกคิด วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์
    ก็ล้วนแล้วแต่เป็นแนวทางจิตให้จิตทั้งนั้นครับ..เพราะอะไรนั่นหรือ
    เพราะว่าจิต ปกติของทุกคนมันจะซื้อบื้ออยู่แล้วเป็นทุน และมันก็ชอบ
    ท่องเที่ยวส่งออกเป็นนิสัย และมันมักจะคิดไม่ค่อยดีครับ ย้ำว่าเรื่องปกตินะครับ


    การคิด วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ หรือ สังเคราะห์ อะไรต่างๆเราก็มักจะใช้
    กันปกติอยู่แล้วในการ เรียนหนังสือหรือการประกอบอาชีพหน้าที่การงาน....


    มาในส่วนการปฏิบัติ ในขั้นแรกๆ เราก็จำเป็นที่จะต้องนึกคิด
    ไม่ว่าจะทางด้านอารมย์ต่างๆ ด้านหลักการต่างๆ..เพื่อเป็นแนวทางเดินให้
    กับตัวจิตของเรา ย้ำว่าเป็นแนวทางเดิน แต่ว่า มันไม่ส่งผลเกี่ยวกับเรื่อง
    ของปัญญาทางธรรม และส่งผลในเรื่องการเข้าถึงผลสำเร็จของกรรมฐาน
    พิเศษต่างๆที่เรากำลังฝึกอยู่ ยกเว้นว่าเรา
    จะนึกคิดแล้ววางอารมย์ไว้(คือปล่อยวาง ไม่สนใจ เฉยๆไปเลย พูดง่ายๆ
    ว่าลืมๆมันไปเลย) มันก็จะ
    สามารถส่งผลได้สำหรับการระลึกเรื่องขึ้นมาวิปัสสนา ในโหมดที่สภาวะ
    อารมย์เป็นกลาง ณ ปัจจุบัน และไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง เพราะมันจะผุดขึ้น
    มาเองได้อัตโนมัติ แต่กรณีในการเดินปัญญา เราจะวางอารมย์ในเรื่อง
    เกี่ยวกับกิเลสที่เรายังอ่อนครับ..
    แต่ถ้าสำหรับเรื่องการใช้ความสามารถพิเศษในระดับของการเริ่มต้นนั้น
    การนึกคิดก็จะเป็นแนวทาง
    เดินให้จิตทำงานในลักษณะของการนึกคิดนั้นๆได้
    เมื่อตัวจิตมาถึงโหมดที่จิตมีความเป็นทิพย์และสามารถทำงานได้นั่นเองครับ...
    เช่น นาย ก ฝึกกสิณไฟอยู่แต่ยังไม่สามารถใช้งานกสิณไฟในด้านพลังงานได้
    นาย ก ก็จำเป็นจะต้องภาวนา ไฟๆ หรือ เตโช กสิณัง คำว่า ไฟๆ หรือ เตโช
    กสิณัง มันก็คือ การนึกคิดนั้นหละครับ นึกเป็นภาษาสมมุติยังไงครับ
    พอเข้าใจไหมครับ....และเมื่อถึงจุดที่ กำลังได้ วาระได้ จิตเริ่มทำงานได้
    นาย ก ก็จะสามารถเรียก พลังงานกสิณไฟขึ้นมาได้.และเมื่อนาย ก
    เรียกขึ้นมาได้ และใช้งานพลังงานกสิณไฟได้แล้ว....
    ในครั้งต่อมา นาย ก ก็ไม่จำเป็นจะต้องภาวนา คำว่า ไฟๆๆ หรือ เตโช กสิณังอีก
    เพราะเมื่อจิตทำงานได้แล้ว จิตก็จะเกิดความคุ้นเคยในความสามารถทำได้นั้นๆ
    ในครั้งต่อมา เมื่อนาย ก มีกิริยาทางกายอะไรที่จะเกี่ยวข้อง
    กับการใช้พลังงานกสิณไฟ
    ตัวจิตก็จะแสดงพลังงานกสิณไฟออกมาได้ทันที และจะเร็วกว่า ที่นาย ก
    จะนึกคำว่า ไฟๆหรือเตโช กสิณังครับ...
    ดังนั้น สรุปได้ว่า การนึกคิดมีส่วนสัมพันธ์กับอภิญญาอยู่ แต่เป็นในระดับ
    เริ่มต้น เพื่อเป็นแนวทางเดินให้จิตทำงานได้นั่นเอง
    ไม่ว่ากรรมฐานอะไร ก็มีความจำเป็นอยู่ครับ...


    ส่วนพอใช้งานได้แล้ว ตัวจิตจะทำงานเร็วกว่าที่เราจะนึกคิดเป็นภาษาสมมุติออก
    จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องไปนึกเป็นภาษาสมมุตินั้นเอง......




    แต่สำหรับผู้ที่ใช้ทางจิตได้แล้ว...ก็ยังติดในเรื่องการนึกคิด
    อยู่ได้เป็นปกติอีกเช่นกันครับ เค้าเรียกว่า ติดตัววิตกครับ
    แม้ว่า จิตจะทำงานได้แล้ว แต่ว่า ตัววิตกนี่หละครับที่มันทำ
    ให้ความสามารถในการทำงานได้ของจิตมันตกลง...
    เช่น ยกตัวอย่าง ตั้งแต่ระดับเริ่มต้น...แบบเทียบกับการใช้งานจริงๆนะครับ
    นาย ก นึกคิด เป็นคำว่า ไฟ หรือ เตโชกสิณัง และจิตสามารถทำงานได้
    คือ เรียกเป็นพลังงานกสิณขึ้นมาได้ แต่ว่า ก็จะรับรู้ได้ในเรื่องพลังงาน
    แต่ยังใช้งานไม่ได้...
    ต่อมา นาย ก ก็จะเรียกเป็นพลังงานขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องนึกคิด
    เช่น นาย ก เคยแบมือ แล้วภาวนา ไฟๆ แต่ไป แค่นาย ก แบมือ
    แล้วมองที่มือ พลังงานกสิณไฟ ก็จะขึ้นมาก่อนที่นาย ก จะนึกภาษาพูดขึ้นมา..


    ต่อมา นาย ก มาฝึกสมาธิเพิ่ม รู้จัก การดึง การดูด การส่ง การเพิ่มความหนา
    แน่นของพลังงานกสิณ นาย ก ก็จะสามารถใช้งานกสิณไฟได้ผลจริง..
    แต่การใช้งานได้ผลจริง(แยกดีๆตรงนี้เขียนใช้งานได้ผลจริง ก่อนหน้า
    เขียนว่าจิตสามารถทำงานได้อ่านดีๆก่อนนะครับตรงนี้)
    นาย ก ก็ยังจำเป็นที่จะต้อง นึกคิด คำภาวนาก่อนเช่นกัน..
    ดังนั้น จึงนำไปใช้งาน ส่วนจะใช้งานอะไร เช่น
    นาย ก จะใช้ในการรักษาอาการตัวร้อน ของนาย ข ยังไงๆ
    นาย ก ก็จะต้องนึกคำภาวนาเช่นกันครับ..เพื่อเป็นแนวทางเดินให้จิต
    นอกจากสามารถทำงานได้แล้ว ก็เพื่อเป็นแนวทางเดินให้จิตใช้งาน
    ได้ผลจริงๆอีกเช่นกันครับ...
    ตรงนี้พอจะมองออกเรื่องความสัมพันธ์เกี่ยวกับอภิญญาหรือยังครับ...
    และต่อจากตรงนี้อีก. เมื่อ นาย ก จิตมีความสามารถทำได้แล้ว และใช้
    งานจริงๆได้แล้ว. ต่อมาเมื่อ นาย ก จะใช้งานจริงๆให้ได้ผลอีก
    นาย ก ก็ไม่จำเป็นจะต้องภาวนาอีกแล้ว ยังไงหรือ
    เช่น เมื่อก่อนนาย ก จะรักษานาย ข นาย ก คว่ำมือลง บริเวณที่นาย ข
    เคยตัวร้อน ต่อมา นาย ก จะไปรักษา นาย ค นาย ง นาย จ
    นาย ก ไม่จำเป็น ที่จะต้องไปนึกคิดคำภาวนาอะไรอีก เพราะจิต
    จะทำงานได้เอง...มาถึงตรงนี้พอจะเข้าใจคำว่า แนวทางเดินให้จิต
    บ้างแล้วนะครับ...


    ที่นี้เมื่อ นาย ก เริ่มชำนาญขึ้น รักษาคนมากขึ้น ในขณะที่รักษานั้น
    นาย ก ก็จะเกิดเครื่องรู้ขึ้นได้เอง ว่าควรจะต้องลงในรายละเอียดอะไรบ้าง
    ในการรักษา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อน นาย ก รักษา นาย ข ค ง จ
    นาย ก ดูดความร้อนออกอย่างเดียว แล้วก็ได้ผล นาย ข ค ง จ รู้สึก
    ดีขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาที ปกติจะทำไม่เกิน ๒ นาทีอย่างมาก..


    นาย ก เกิดเครื่องรู้มาว่า พอรักษาเสร็จแล้ว ต้องอัด กสิณน้ำเข้าไปอีก
    เพราะนาย ก ทราบได้เองว่า แม้นาย ข ค ง จ จะรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ยังไม่รู้สึก
    ว่าเย็นสบายๆตัวอะไร การไปรู้ว่าต้องอัดกสิณน้ำเข้าไปตรงนี้นี่หละครับ...
    ก็จะกลายเป็น การนึกคิดในการที่ นาย ก จะเอาไว้ไปรักษา นาย ช ซ ฤ ฆ ครับ
    ผลที่ได้ก็จะดีขึ้นมากกว่า ที่นาย ก เคยรักษา นาย ข ค ง จ มาครับ...
    แต่นาย ก ก็จะยังคงใช้เวลาในการรักษาเท่าเดิมคือ ๒ นาที...


    ทีนี้ นาย ก มีประสบการณ์มากขึ้นอีก เพราะนาย ก เริ่มเอะใจว่า
    ๒ นาทีมันนานไปอีกหรือเปล่า เพราะอะไร ก็เพราะติดตัววิตก
    ตัววิตก ที่มันทำให้ความสามารถในการทำงานได้ของจิตมันตกลง
    นั้นมันเป็นยังไง มันก็คือ ตัวที่จิตมันไปรู้ว่า จะต้องทำอะไรอย่างไรนั้นหละครับ
    นี่หละครับ คือวิตก (ในกรณีนี้ก็คือ จิตมันไปรู้ว่าต้องอัดน้ำเข้าไปนั่นหละครับ)


    นาย ก ก็มีประสบการณ์ตรงนี้มากขึ้นอีก พอไปเจอ นาย ส ซึ่งมีอาการเหมือน
    คนอื่นๆที่นาย ก เคยรักษามา นาย ก ก็ทิ้งตัววิตก(คือตัวรู้ว่าจิตจะต้องทำอะไรบ้าง)
    และทำกิริยาอย่างเดิม นาย ก ก็จะพบ ว่า นาย ส อาการดีขึ้น เหมือน นาย
    ช ซ ฤ ฆ เลยแฮะ และก็รู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้ใช้กำลังจิตมาก รู้สึกว่าตัวเอง
    เหนื่อยน้อยลงไม่เหมือนที่เคยรักษา นาย ข ค ข ง จ มา และไม่เหมือนที่
    เคยรักา นา ช ซ ฤ ฆ มาครับ และกลับพบอีกว่า เมื่อก่อนต้องใช้เวลา ๒ นาที
    แต่พอทิ้งตัววิตกได้ กลับ ใช้เวลา แค่ไม่กี่ วินาทีหรืออย่างมากไม่เกินนาทีนั้นเอง...
    ที่พูดให้ฟังก็เป็นความสัมพันธ์ของการนึกคิดเกี่ยวกับอภิญญานั้นเองครับ
    ในระดับท้ายนี้ เป็นระดับที่เรียกว่าถือว่า คล่องตัว แต่ความหนาแน่ของกำลังงาน
    และใช้ได้ผลจริงสำหรับกรณีอะไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    ซึ่งก็ต้อง อาศัย การวนเวียนการรู้ของจิต เพื่อเสริมการทำงานได้ เมื่อทำงานได้
    มันก็จะกลายเป็นวิตกตัวหนึ่ง และเราก็จะต้องมาทิ้งตัววิตกในขั้นต่อๆมา
    ที่ตัวจิตมันเกิดเครื่องรู้ จนกระทั่งสุดท้าย ไปสู่ระดับที่จิตทำงานได้เลย
    ตามเนื้อหาเดิมของจิตดวงนั้น หรือที่เรียกว่า ระดับจิตธาตุนั่นหละครับ
    ซึ่งต้องอาศัย การตัดเรื่องการ ยึด ติด ใน ลาภ ยศ สุข สรรเสริญเอาครับ
    เพราะว่า ระดับจิตธาตุ มันฝึกเอาให้เข้าถึงไม่ได้นั่นเองครับ.....
    ก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไปตามวาระ ตามความเข้าใจแห่งตนเองครับ...
    ปล.ลองอ่านๆดูนะครับ..ถ้าจิตเริ่มทำงานได้แล้วและมีพัฒนาการต่อ
    ให้เก็บข้อความนี้ไว้นะครับ แล้วมาอ่านดูจะเข้าใจได้ลึกซึ้งเลยครับ
    กรรมฐานกองอื่นๆที่ออกในเรื่องพิเศษๆก็ประมาณตัวอย่างที่ยก
    ให้ดูเช่นกันครับ (^_^))


    ปล.ความสามารถพิเศษที่เกิดกับจิต มันจะพัฒนาได้
    ตามลำดับตามวาระของมันเองครับ แต่เราต้องจำให้มั่นว่า
    เรามีเพื่อเรียกของเก่า และมุ้งเน้นเพื่อประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆ
    ไม่ใชใช่เพื่อสร้างตัวเองครับและใช้ประโยชน์ในทางธรรมเท่านั้นครับ...
    มันถึงจะผลิกออกมาให้เราสามารถแสดงให้คนอื่นๆรับรู้ รับทราบ
    พิสูจน์ได้เหมือนที่เราทำครับ.หรือจะให้เค้าทำได้เลยก็ได้
    โดยไม่ต้องไปฝึกอะไรคับ แต่ควรเป็นไปตามวาระแห่งบุคคลนั้นๆ
    .ไม่งั้นนอกจากมันจะเข้าถึงผลสำเร็จ
    ในการใช้งานได้ช้า ผลที่ได้ไม่ดี
    เช่นเราใช้เวลารักษา ๒ นาทีแต่เราจะคิดว่าเราเก่งที่สุด((เข้าใจนะครับ))
    ทั้งๆท่านที่เก่งๆแค่เดินผ่านเราบอกให้เราหายเราก็หายแล้วครับ((นึกออกเนาะ))
    และมันจะกลายเป็นกิเลสที่หลอกให้เรา
    คิดว่าเราที่สุด หลอกให้เราถือเนื้อถือตัว ยกตนเองได้อย่าง
    ที่เราคาดไม่ถึง จะทำให้เราไม่สนใจในเรื่องที่ควรสนใจมากกว่า
    ก็คือเรื่อง การเดินปัญญาเพื่อลดละกิเลส แต่จะทำให้เราไปติด
    ในเรื่องของ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญได้อย่างใดอย่างหนึ่ง
    โดยที่เราไม่รู้ตัวได้ครับ พอเข้าใจที่พูดเนาะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...