ความสุขอันแท้จริง ( เทศน์อบรมฆราวาส )

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 11 สิงหาคม 2005.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR align=right><TD><TABLE borderColor=#993300 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" align=center bgColor=#ffcc99 border=0><TBODY><TR><TD>
    ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
    ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
    ข้อมูลเสียงแบบ(Win)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี

    เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ (บ่าย)
    ความสุขอันแท้จริง

    วันนี้เป็นวันมหามงคลของพี่น้องชาวจันทบุรีและจังหวัดใกล้เคียง โดยมี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ได้เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พระอาจารย์ฟัก สนฺติธมฺโม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ได้พร้อมเพรียงกันมารวมสถานที่นี่ เพื่อการสร้างมหากุศลผลอันยิ่งใหญ่แก่ชาติไทยของเรา ซึ่งมีความยุบยอบมานาน ต้องได้อาศัยกำลังของพี่น้องผู้รักชาติทั้งหลาย ได้รวบรวมกำลังมาช่วยชาติคราวนี้ ดังเห็นอยู่ต่อหน้าเวลานี้ก็ทองคำ ดังที่ได้อ่านผ่านไปแล้ว วันนี้ได้ทองคำถึง ๓๗ กิโล แล้วนี่ นับว่าได้มากมาย พี่น้องชาวจันทบุรีของเรารู้สึกว่ามีความเด่นดวงตลอดมา มาเทศน์กองผ้าป่าครั้งแรกก็ได้ทองคำน้ำหนัก ๕๐ กว่ากิโล มาครั้งที่ ๒ ก็ได้อีกตั้ง ๔๐ กว่า ๔๕ กิโลอย่างนี้แหละ แล้วมาครั้งนี้อย่างน้อยก็ ๓๗ กิโล แล้วนี่

    มีแต่ประกาศกังวานน้ำใจที่มีความรักชาติ ความเสียสละ ความพร้อมเพรียง ความสามัคคีกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ร่วมกันเป็นทองแท่งเดียว ทองคำที่ไม่คาดคิดว่าจะได้จำนวนมากขนาด ดังที่เรียนให้ทราบนี้ก็ได้มากตลอดมา ประกอบกับบรรดาพี่น้องชาวไทยที่รวมกันมาจากที่ต่าง ๆ มาอนุโมทนาสาธุการ ร่วมความรักชาติด้วยกัน ทองคำและดอลลาร์ของเราจึงมีจำนวนมาก วันนี้หลวงตารู้สึกมีความซาบซึ้งกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายเป็นอย่างมาก สมใจที่มีเจตนาที่จะช่วยชาติบ้านเมืองของเราอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มกำลังความสามารถ นับตั้งแต่วันได้ประกาศตนออกเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายเรื่อยมา ตั้งแต่ พ..๒๕๔๐-๒๕๔๑ มาจนกระทั่งบัดนี้

    ผลที่ปรากฏก็ดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาแล้ว จากการอ่านผ่านไปเมื่อสักครู่นี้ เป็นจำนวนมากสำหรับน้ำใจของพี่น้องชาวไทยเราที่แสดงออกคราวนี้ หลวงตาจึงรู้สึกมีความซาบซึ้งกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายที่มีความรักชาติเป็นกำลัง แสดงออกซึ่งน้ำใจเป็นความเสียสละ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีต่อกันเรื่อยมา เวลานี้สมบัติของเราที่ได้แล้วก็เป็นที่พึงพอใจเป็นลำดับลำดา นี่เพราะอำนาจแห่งความพร้อมเพรียงสามัคคีของเรา

    ความพร้อมเพรียงสามัคคีนี้เป็นกำลังอันใหญ่หลวงมาก เมื่อเข้าสู่จุดใด ความพร้อมเพรียงสามัคคีนี้จะเป็นมหามงคลแก่กิจการงานนั้น ๆ ตลอดไป ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็อาศัยความสามัคคีเป็นสำคัญ ทรงแสดงเรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นหลักใหญ่แห่งศาสนธรรมที่ประกาศสอนโลกเรื่อยมา เพราะฉะนั้นจงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจรักษาความพร้อมเพรียงสามัคคีนี้ไว้ เพื่อเป็นปึกแผ่นมั่นคงแก่ครอบครัวของเรา ส่วนรวมตลอดถึงชาติบ้านเมือง มีความพร้อมเพรียงสามัคคีฟังหัวหน้าเป็นสำคัญ หัวหน้าในเวลานี้ทางฝ่ายพุทธศาสนาก็คือหลวงตาเป็นหัวหน้า โดยอาราธนาธรรมของพระพุทธเจ้ามาเป็นผู้ชี้แจงแนวทางทุกแง่ทุกมุมตลอดการดำเนิน พาพี่น้องทั้งหลายดำเนินมาตลอดด้วยความเป็นธรรม ไม่มีคำว่าลำเอียงนี้เรียกว่าธรรม ผลก็ปรากฏเป็นที่พึงพอใจเรื่อยมาอย่างนี้แหละ จึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาพี่น้องทั้งหลายเป็นอย่างมาก และขอขอบคุณอนุโมทนาต่อไป ในความพร้อมเพรียงสามัคคีของพี่น้องทั้งหลายที่ได้ดำเนินมาแล้ว และจะสั่งสมความพร้อมเพรียงสามัคคีนี้ให้มีกำลังมากขึ้นไปเป็นลำดับ

    สำหรับหลวงตาเองได้พยายามเต็มกำลังความสามารถ นับตั้งแต่วันบวชมาในพุทธศาสนาก็ไม่ได้สนใจกับทางการบ้านการเมือง มีแต่หน้าที่การงานของพระโดยถ่ายเดียว ปฏิบัติหน้าที่การงานตามหลักธรรมหลักวินัยเรื่อยมา จนกระทั่งถึงวาระที่จะได้ช่วยพี่น้องทั้งหลาย ก็บันดลบันดาลในจิตใจเองให้เกิดความเมตตาสงสาร แล้วอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกาย ทั้ง ๆ ที่ร่างกายเวลานี้ก็ก้าวเข้า ๙๐ ปีนี้แล้ว ก้าวเข้ามาได้ ๓-๔ เดือนนี้แล้ว ร่างกายขนาดนี้ก็เป็นของยากอยู่ที่จะตะเกียกตะกายไปเทศนาที่นั่นที่นี่ แต่หลวงตาก็อุตส่าห์พยายามไปเทศน์ที่นั่นที่นี่เพราะเห็นแก่น้ำใจของพี่น้องชาวไทยเรา ซึ่งมีความรักชาติรักศาสนา รักความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตนในความเป็นผู้มีศีลมีธรรม ในความเป็นผู้พร้อมเพรียงสามัคคีกัน เช่นอย่างพานำพี่น้องทั้งหลายออกช่วยชาติบ้านเมือง ต่างท่านก็ต่างมีความเสียสละเต็มเม็ดเต็มหน่วยเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้

    วันนี้ทองคำก็ได้ตั้ง ๓๐ กว่ากิโลแล้ว นี่ก็คือน้ำใจของพี่น้องทั้งหลายทั้งนั้นแหละ คนเราถ้ามีแต่ความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เห็นแก่กอบแก่โกย เห็นแก่รีดแก่ไถแล้วจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว เมืองไทยทั้งประเทศนี้ก็ล่มจมไปได้ เพราะความเห็นแก่ตัวของบุคคลเพียงกลุ่มเดียวหรือกี่กลุ่มก็ตาม ถ้าลงเป็นความคิดที่ไม่ดี เป็นภัยต่อชาติแล้วเป็นได้ทั้งนั้นแหละ นี่เรามีความพร้อมเพรียงสามัคคี เจตนาอันดีงามต่อชาติไทยของเรา จึงได้อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกาย ทั้งพี่น้องทั้งหลาย ต่างคนต่างมีต่างคนต่างได้ มากน้อยรวมกันเข้าแล้วก็มากขึ้นเอง เช่นเดียวกับน้ำที่ตกลงมาทีละหยดละหยาด ไม่จำเป็นตกต้องลงมาเม็ดหนึ่งเท่ากับตุ่มกับไหหนึ่ง อะไรก็ตามตกทีละหยดละหยาด ตกไม่หยุดไม่ถอย ก็ทำท้องฟ้ามหาสมุทรให้เต็มด้วยน้ำได้

    นี่การบริจาคของพี่น้องทั้งหลายก็เหมือนกัน ต่างคนมีมากมีน้อยบริจาคตามกำลังของตน รวมแล้วก็เป็นทองคำที่สง่างามน่าปลื้มปีติยินดี ใครมองเห็นเข้าแล้วก็เกิดความซาบซึ้งปีติยินดี กับผลงานที่พี่น้องทั้งหลายแสดงออกมาให้เห็นทั่วหน้ากันอย่างนี้แหละ นี่เป็นฝ่ายฆราวาสก็อุตส่าห์พยายามอย่างนั้น ฝ่ายพระคือหลวงตาเองก็ได้อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกาย เทศนาว่าการนี้เรียกว่าทั่วประเทศไทย ทุกแห่งทุกหนตำบลหมู่บ้าน เทศน์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ไม่หยุดไม่ถอยตลอดมา ทั้งที่สังขารร่างกายก็ไม่อำนวยเลย แต่ก็ตะเกียกตะกายเพราะจิตใจมีกำลังเต็มไปด้วยความเมตตาเพื่อพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ จึงได้อุตส่าห์พยายามเทศน์เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้แหละ

    การเทศนาว่าการทุกวันนี้ ก็ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว จึงกรุณาทราบไว้ล่วงหน้าด้วยว่า การเทศนาว่าการถ้าขาดวรรคขาดตอนที่ตรงไหน กรุณาเลยทราบเลยว่าที่นั้น ความจำมันตัดขาดไปแล้วหลงลืมไปแล้ว แล้วตั้งใหม่ขึ้นมามีอยู่เรื่อย ๆ เวลานี้ ปีนี้แหละปีที่ความจำ คือความหลงลืม มันสับสนปนเปวกเวียนไปมาเรื่อย ๆ ไปเทศน์ที่ไหนมักเป็นเสมอ จึงขอความกรุณาจากพี่น้องทั้งหลายให้ทราบทั่วกันว่า ตรงไหนที่เป็นถ้อยเป็นความจับได้ ก็ให้นำถ้อยความอรรถธรรมอันนั้นไปเป็นคติเครื่องเตือนใจตนต่อไป อันไหนที่ตกขาดหายไปแล้วก็ปล่อยให้ไปเสีย นี่เรื่องของคนแก่เทศน์มันเป็นอย่างนั้น

    วันนี้คนก็มาจำนวนมากมายทีเดียว พระเจ้าพระสงฆ์ก็มีจำนวนมาก บรรดาประชาชนก็มาทุกแห่งทุกหน กรุงเทพมหานครก็ไม่ใช่จำนวนน้อยนะ มีอยู่นี้เต็มไปหมด จังหวัดอื่น ๆ ก็มาจำนวนมากเหมือนกัน เรียกว่างานของเราเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ เป็นงานที่เชิดชูชาติไทยของเราให้เป็นความสง่างาม ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย ไม่ให้เขาดูถูกเหยียดหยามชาติไทยของเราซึ่งเป็นไทมาดั้งเดิมได้ จึงต้องอุตส่าห์พยายามอย่างนี้แหละ นี่แหละเราเชิดชูชาติไทยของเรา

    เวลานี้หลวงตาก็ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้วว่า โดยออกประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วกันว่า การช่วยชาติคราวนี้ขอให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์ก็คงไม่ต่ำกว่า ๑๐ ล้าน อันนี้เราก็ไม่ปักใจมากนัก แต่ค่อนข้างแน่ใจว่าดอลลาร์นี้จะได้ถึง ๑๐ ล้าน เพราะทองคำมีน้ำหนักมากกว่า เวลานี้ก็ขาดอยู่ประมาณ ๔ ตันกว่า เราได้ไปแล้ว ๕ ตันกว่าแล้วเวลานี้ทองคำ ส่วนดอลลาร์ได้แล้วเวลานี้ ๗,๒๐๐,๐๐๐ กว่าดอลล์ไปแล้ว ก็จะค่อย ๆ คืบคลานขึ้นไป เมื่อเราได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน กับดอลลาร์ ๑๐ ล้านนี้แล้วก็เป็นความสง่างามแห่งชาติไทยของเรา และเป็นเครื่องหมายแห่งการช่วยชาติได้เป็นอย่างดี

    เพราะการช่วยชาติคราวนี้ต้องหมายถึงสิ่งสำคัญ ที่จะเป็นเครื่องประกาศว่าชาติไทยนั้น ช่วยชาติด้วยวิธีการใด นี่พวกเราทั้งหลายได้ช่วยชาติด้วยวิธีขวนขวายหาเงินและทองคำ เข้าสู่คลังหลวงของเรา ให้หนุนขึ้น ๆ จนกระทั่งคลังหลวงของเรามีความสง่างามเหลืองอร่าม ครอบประเทศไทยของเรา อย่างน้อยด้วยทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน และดอลลาร์ก็ได้ ๑๐ ล้านดอลล์ นี่เป็นความสง่างามครอบทั่วประเทศไทย ใครไม่กล้ามาดูถูกเหยียดหยามชาติไทยของเราแล้ว เพราะเราได้ตามจุดมุ่งหมายคือ น้ำหนักทองคำ ๑๐ ตัน และดอลลาร์ก็ได้ ๑๐ ล้านดอลล์ นี่ละเป็นความสง่างาม เราจะหาได้ในสมบัติเหล่านี้ ในเวลาจำเป็นที่เรากำลังช่วยชาติอยู่เพียงเท่านี้ นอกจากนั้นแล้วจะหาได้ยาก

    อยู่ ๆ ธรรมดา ๆ จะมีผู้นำทองคำ ดอลลาร์ เงินสด มามอบให้คลังหลวงของเรานี้ รู้สึกจะยากอยู่ แล้วเวลาผ่านจากนี้ไปแล้วก็เหมือนกัน พอเสร็จนี้ไปแล้วต่างคนก็ต่างพักเครื่องไปเรื่อย ๆ แหละ จะได้เวลาที่กำลังวิ่งเต้นขวนขวาย เพื่อชาติของเรานี้เท่านั้น คือให้ได้ทองคำจากการช่วยชาติคราวนี้ น้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์ก็ขอให้ได้ ๑๐ ล้านดอลล์ จะเป็นที่พอใจของพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ แม้หลวงตาบัวเองก็ได้ประกาศตนออกแล้วว่า ถ้าได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ดังที่ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วกันนี้แล้ว ใครจะมาตำหนิติเตียน หรือด่าทอต่าง ๆ ในเมืองไทยของเรานี้ หลวงตาจะผลักพี่น้องทั้งหลายออกไว้ข้างหลัง หลวงตาจะออกสนามแต่คนเดียว

    ใครจะว่าอะไรดูถูกเหยียดหยามอะไรมา มาดูถูกเหยียดหยามชาติไทยของเรา หลวงตาบัวจะเป็นผู้ออกรับข้าศึกสงครามปากของเขา ที่มาด่าทอพี่น้องชาวไทย ตลอดการดูถูกเหยียดหยาม ชี้หน้าด่าทอต่าง ๆ แต่ผู้เดียว คือหลวงตาเป็นผู้ประกาศแล้วว่าให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน แล้วก็ได้อย่างนั้นจริง ๆ ด้วย คือน้ำหนัก ๑๐ ตัน และดอลลาร์ก็ได้ ๑๐ ล้านนี้ด้วยแล้ว ใครจะมาว่าหลวงตาบัวจะเป็นผู้รับ รบข้าศึกสงครามปากของคนที่มาชี้หน้าด่าทอนั้นแต่ผู้เดียว ขอให้พี่น้องทั้งหลายอยู่เป็นสุข ๆ เพราะได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เราได้ประกาศไว้เรียบร้อยแล้วอย่างสมบูรณ์

    นี่ละจึงขอให้พี่น้องหลายได้ทราบทั่วกันว่าเวลานี้เป็นเวลาที่จำเป็นมาก ที่เราจะต้องอุตส่าห์ขวนขวายหาสมบัติอันล้นค่า คือทองคำนี้เข้าสู่คลังหลวงของเรา เมื่อสมบัติเข้าสู่คลังหลวงแล้วผลประโยชน์เป็นอย่างไรบ้างก็ดังที่ท่าน ม...ปรีดิยาธร เทวกุล ท่านได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากันแล้ว นี่ละ เอ้า ถ้าลงได้ทองคำได้เต็มนี้แล้วเราอยู่สบายทั่วหน้ากัน หลวงตาก็หายห่วง พอได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันแล้วจะไม่รบกวนพี่น้องทั้งหลายอีกต่อไป ดังที่เคยประกาศก้องและรบกวนตลอดมาอย่างนี้ จะอยู่แบบสงบเย็นใจสบายใจ แต่เมื่อพี่น้องทั้งหลายมีใจใสศรัทธาเพราะความรักชาติ จะเสียสละมาบริจาคทานอีก หลวงตาก็พอใจรับตลอดไปหรือจะได้มากยิ่งกว่าทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน กลายเป็นว่าได้ทองคำน้ำหนัก ๓๐ ตัน หลวงตายิ่งดีใจใหญ่เลย แต่ไม่ได้รบกวนพี่น้องทั้งหลายปล่อยให้เกิดขึ้นมาเอง เวลานี้เป็นเวลาที่ประกาศอยู่ในทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน จึงขอให้พยายามทุกผู้ทุกคนให้ได้ตามนี้ แล้วเราจะอบอุ่นแน่นหนามั่นคงในชาติไทยของเรา

    การซื้อการขายการไปมาหาสู่ การประกันตัวชาติไทยของเราจะขึ้นอยู่กับทองคำและดอลลาร์นี้ทั้งนั้น การหมุนตัวรอบประเทศไทยออกจากหลักใหญ่ที่มีเป็นเครื่องประกันตัวอยู่นี้เรียบร้อยแล้ว นี่ละเราจึงต้องเสาะแสวงหาเป็นอย่างมากทีเดียว ดังที่ท่าน ม...ปรีดิยาธร เทวกุล ท่านได้ชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้ว หลวงตาจึงไม่จำเป็นจะต้องชี้แจงอะไรอีกเพราะความรู้ของหลวงตาเป็นขี้ประติ๋ว ไม่ได้เหมือนความรู้ของท่านที่ได้ชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายทราบนะ ขอให้มีความภาคภูมิใจก็แล้วกันนะ

    งานของเราที่จันทบุรีนี้เป็นงานที่โด่งดังมาเป็นลำดับลำดา ทั้งนี้ก็อาศัยอาจารย์ฟัก อาจารย์ฟักนี้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง เป็นกำลังวังชาทุกด้านทุกทาง ทั้งความคิดเห็นต่าง ๆ ตลอดการวิ่งเต้นขวนขวายประสานงานอยู่กับอาจารย์ฟัก ต่อจากนั้นก็เรียงลำดับลำดากันไปเป็นลำดับทีเดียว นี่ก็เป็นบุญเป็นคุณ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพี่น้องชาวจันทบุรีเราได้องค์หนึ่งคืออาจารย์ฟัก เป็นที่ชอบเป็นความประสานยิ่งกว่าความยุแหย่ ก่อกวนให้แตกร้าวเป็นไหน ๆ อย่างนี้นิสัยท่านไม่มี มีแต่ความประสับประสาน สิ่งใดไม่ดีซ่อมแซมให้ดีขึ้นเป็นลำดับลำดา นี่ก็ชาติไทยของเรากำลังอยู่ในความที่จะซ่อมแซม เพราะชำรุดทรุดโทรมทั้งประเทศ ท่านก็อุตส่าห์พยายาม ทางภาคตะวันออกนี้จนกระจายไปหลายภาคทีเดียว ได้มารวมประสานกันในงานนี้มีจำนวนมาก

    เพราะฉะนั้นพระเจ้าพระสงฆ์จึงมาเป็นร้อย ๆ ในงานนี้ ก็เพราะอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภาร ท่านผู้เป็นหัวหน้าคืออาจารย์ฟักนั้นแล เป็นผู้ประสานให้ ท่านเหล่านั้นจึงพออกพอใจที่มาในงานนี้ ทั้งใกล้ทั้งไกลท่านอุตส่าห์มาเพราะมาด้วยน้ำใจของผู้มีน้ำใจ ติดต่อสื่อสารไปถึงและอุตส่าห์มาด้วยกันนี่แหละ อย่างพี่น้องทั้งหลายที่มารวมอยู่เป็นจำนวนมากนี้ก็เพราะ น้ำใจของท่านผู้เป็นหัวหน้าประสับประสาน บอกกล่าวเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ข่าวของมหากุศลให้ทราบทั่วหน้ากัน จึงได้พร้อมเพรียงกันมาบริจาคทานในคราวนี้

    การให้ทานนี้กรุณาอย่าได้เข้าใจว่า พี่น้องทั้งหลายบริจาคทานเป็นทองคำก็ดี ดอลลาร์ก็ดี เงินสดก็ดี เมื่อบริจาคทานเข้าสู่คลังหลวงแล้ว มีคลังหลวงเท่านั้นจะได้รับผลประโยชน์โดยถ่ายเดียว ส่วนพี่น้องทั้งหลายก็จะได้รับแต่ความอบอุ่นเย็นใจสบายใจเพียงเท่านี้ ยังมีอีกเพิ่มขึ้นมาอีก คือว่าสมบัติที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคนับตั้งแต่ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ลงไปเข้าสู่คลังหลวงเรียบร้อยแล้ว คลังหลวงก็เป็นคลังหลวงที่แน่นหนามั่นคง ทำพี่น้องชาวไทยเราให้มีความอบอุ่นทั่วหน้ากัน นี่เป็นด้านวัตถุ เกิดจากด้านวัตถุคือความแน่นหนามั่นคงของชาติไทยเรา ทีนี้เกิดจากด้านนามธรรมคือเจตนาที่เป็นกุศลซึ่งพี่น้องทั้งหลายบริจาคนั้น ทองคำเข้าสู่คลังหลวง บุญกุศลที่ท่านทั้งหลายบริจาคมากน้อยนี้ ไหลเข้าสู่จิตใจของผู้มีศรัทธา เราจึงได้ผลมหาศาลทั้ง ๒ ประการด้วยกัน คือ

    ประการหนึ่ง วัตถุทั้งหลายนี้ได้เข้าสู่คลังหลวง ให้เกิดความอบอุ่นทั่วประเทศไทย

    อันดับที่สอง ได้แก่ ทานมัย คือบุญสำเร็จจากการให้ทานทองคำ ดอลลาร์ เงินสดเข้าสู่คลังหลวง แล้วสะท้อนย้อนกลับมาเป็นมหากุศลต่อจิตใจของพี่น้องผู้บริจาคทั่วหน้ากัน เราจึงได้มหากุศลทั้ง ๒ อย่าง จึงขอให้พากันภาคภูมิใจ คราวนี้เป็นคราวที่เราสร้างมหากุศลแก่ชาติและจิตใจของเรา นอกจากนั้นยังจะได้เห็น ความพร้อมเพรียงสามัคคีความรักชาติแห่งคนไทยทั้งชาติ ได้กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต่างท่านต่างวิ่งเต้นขวนขวาย หามาได้มากได้น้อยจนเป็นกอบเป็นกำให้เห็นอยู่เวลานี้ นี่ก็คือน้ำใจแห่งความรักชาติของเรา

    วามรักชาติกับความรักษาชาติ กับความเสียสละเพื่อชาติ กับการบำรุงรักษาชาติกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน นี่เป็นสมบัติของพี่น้องชาวไทยเรา และเป็นความรับผิดชอบที่เราทุกท่าน จะได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติต่อชาติบ้านเมืองของตน หากว่าเกิดเรื่องราวอะไรไม่ดีงาม เราเป็นเจ้าของของชาติ เป็นเจ้าของของสมบัติในชาตินี้ ให้ต่างคนต่างมีความรับผิดชอบทั่วหน้ากัน ต่างคนต่างมีความพร้อมเพรียงสามัคคี อย่าพากันแตกแยกแยกย้ายไปที่ต่าง ๆ เห็นด้วยบ้างไม่เห็นด้วยบ้าง จะทำบ้างไม่ทำบ้าง แล้วสุดท้ายชาติไทยของเราก็จมไปลงทะเลหลวงโดยไม่ต้องสงสัย เพราะความไม่พร้อมเพรียง ความแตกจากความสามัคคีเป็นผลร้ายแก่ชาติไทยของเรา จึงให้มีความพร้อมเพรียงสามัคคี แล้วฟังหัวหน้าเป็นสำคัญ

    หัวหน้าอย่างปัจจุบันนี้ หลวงตานำธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นธรรมอันเลิศเลอมาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลาย แนะแนวทางทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้ดำเนินตามนั้น นี่เรียกว่าหัวหน้า จึงขอให้ฟังเสียงหัวหน้าที่มีธรรมเป็นเครื่องพาก้าวเดิน อันนี้เป็นของสำคัญมากทีเดียว ก่อนที่จะได้มานำพี่น้องทั้งหลาย หลวงตาได้คิดอ่านไตร่ตรองทุกแง่ทุกมุม เรื่องของกิเลสตัณหาเรื่องโลกเรื่องสงสาร หลวงตาไม่นำเข้ามาในโครงการการดำเนินเพื่อชาติไทยของเราเลย มีตั้งแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมล้วน ๆ ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก พูดตรงไปตรงมาเรียกว่าภาษาธรรม ภาษาโลกนั้นมีความปลิ้นปล้อนหลอกลวงต้มตุ๋น โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น เขาจะไปต้มกันให้ล่มจม หมดทั้งครอบครัวและโคตรแซ่นี้ก็เพราะอาศัยปากหวาน ๆ นั้นแหละ หาหลอกลวงที่นั่นหลอกลวงที่นี่ให้เขาตายใจ แล้วก็มีโอกาสอันดีมากที่จะต้องกอบโกยเอาสมบัติเงินทองของเขาด้วยกลมายาของตนเอง จนกระทั่งเขาล่มจมไปได้ นี้คือภาษาของกิเลส

    ไปที่ไหนไว้ใจกันไม่ได้เรื่องภาษาของกิเลส หวานฉ่ำทีเดียว กิริยามารยาทนิ่มนวลอ่อนหวาน การพูดการจาไพเราะพริ้งเหมือนหนึ่งว่าเทวดาบนสวรรค์ทุกชั้นสู้ไม่ได้ พวกนี้เป็นผู้ที่มีความนิ่มนวลอ่อนหวานแข่งเทวดาได้ นี่เป็นกิริยาภายนอกของเรื่องกิเลสตัวสกปรกหลอกลวงโลกมันแสดงอย่างนั้น หลอกอย่างนั้นสุดท้ายก็ทำคนที่หลงตามกลของมันให้ล่มจมลงไปได้นั้นแหละ นี่ภาษาโลกเป็นอย่างนั้นจึงไม่ค่อยไว้ใจกันได้อย่างง่ายดายเหมือนภาษาธรรม ภาษาธรรมนี้ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ตรงไปตรงมาเรียกว่าภาษาธรรม แล้วภาษาธรรมนี้ไม่เคยทำผู้หนึ่งผู้ใดให้ล่มจมฉิบหายแม้แต่รายเดียว

    ดังพระพุทธเจ้าของเราได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแต่ละพระองค์ ๆ เป็นแนวทางที่ถูกต้องดีงาม นำสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับลำดา ผู้ที่ยังไม่หลุดพ้นจากทุกข์ บุญกุศลที่ปฏิบัติตามธรรมนั้นก็ส่งผู้ที่บำเพ็ญนั้นให้ไปสู่สถานที่ดี คติที่เหมาะสมตลอดมาเรื่อยไปอย่างนี้เอง นี่ภาษาของธรรม อย่างภาษาของพระพุทธเจ้าตรัสออกมาคำใดเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ผู้ปฏิบัติตามธรรมที่สอนไว้แล้วนั้น เป็นความชอบธรรมถูกต้อง หากก้าวเดินไปตามจุดหมายป้ายทางที่ธรรมแสดงไว้แล้ว ย่อมถึงจุดที่หมายปลายทางได้ ไม่มีการต้มตุ๋นหลอกลวงเหมือนภาษากิเลส

    เพราะฉะนั้นเรื่องของกิเลสกับเรื่องธรรม จึงเป็นข้าศึกศัตรูกันมาตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว ต่อไปนี้ก็ยังจะมี คือภาษาของกิเลสเรื่องของกิเลสนั้นเป็นเรื่องอันหนึ่ง เรื่องของธรรมภาษาของธรรมนี้เป็นเรื่องอันหนึ่ง แต่อยู่ในจิตใจอันเดียวกัน คำว่ากิเลสพี่น้องทั้งหลายอย่าไปเข้าใจว่าต้นไม้ ภูเขา ดิน ฟ้า อากาศ หรือฟ้าแดด ดิน ลมที่ไหนเป็นกิเลสและเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม ธรรมแท้มีอยู่ที่จิตใจ เกิดขึ้นจากจิตใจ กิเลสแท้ก็เกิดขึ้นจากจิตใจของเรานั้นแหละแต่ละคน ๆ มีกิเลสและธรรมเกิดอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นทั้งสองอย่างนี้จึงรบรากันตลอดมา ถ้าผู้มีธรรมก็เรียกว่ารบรากับกิเลส ถ้าผู้ไม่มีธรรมก็ปล่อยให้กิเลสลากถูไป ถลอกปลอกเปิกตกนรกอเวจีทั้งเป็นทั้งตาย เมืองคนเมืองผี หาเหตุหาผลไม่ได้ นี่คือภาษาของกิเลส อำนาจของกิเลส

    อารมณ์ของกิเลสนั้นเกิดขึ้นที่ใจของเราเอง กรุณาทราบว่าอารมณ์ของกิเลสเป็นอย่างไร อารมณ์ของธรรมเป็นอย่างไร ทั้ง ๆ ที่เกิดขึ้นจากใจดวงเดียวกัน เพราะกิเลสก็ดีธรรมก็ดี เกิดที่ใจดวงเดียวกันนี้ อยู่ที่นี่ แสดงความดีความชั่วขึ้นจากใจที่นี่อย่างเดียวกันหมด ไม่ได้มีใน ดิน ฟ้า อากาศ โลกธาตุกว้างแสนกว้างไม่มีที่อยู่ของกิเลสและธรรม ที่อยู่ของกิเลสและธรรมอยู่ที่จิตใจของมนุษย์และสัตว์ทั่ว ๆ ไปนี้เหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้ธรรมก็คือว่า ชำระสังหารกิเลสซึ่งเป็นตัวภัยภายในพระทัยคือใจของพระพุทธเจ้า ให้สิ้นซากลงไปโดยสิ้นเชิง เหลือแต่ธรรมล้วน ๆ ได้แก่ความบริสุทธิ์พุทโธเต็มดวงมาประกาศธรรมสอนโลก เป็น โลกวิทู รู้แจ้งโลกทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึงขึ้นมา นี่เรียกว่า ธรรม

    อารมณ์ของกิเลส อารมณ์ของธรรม ถ้าท่านทั้งหลายยังไม่ทราบก็กรุณาทราบ อารมณ์ของกิเลสมันผลักดันให้มีความอยาก ความทะเยอทะยาน ความหิว ความโหย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจผลักดันให้อยากคิด อยากรู้ อยากเห็น อยากทดลองทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่เป็นฝ่ายต่ำ ๆ นี่เรียกว่าอารมณ์ของกิเลสมันฉุดลากจิตใจให้ไปยินดียินร้ายในสิ่งที่ไม่เป็นผลเป็นประโยชน์ และเป็นความเสียหายโดยลำดับลำดาไป นี่เรียกว่าอารมณ์ของกิเลส เช่น ความโลภ โลภจนกระทั่งเอาจนไม่มีเนื้อมีหนังติดตัว ตายไปก็ตามขอให้ได้โลภก็พอ อันนี้ละความโลภ ความอยาก ความอยากได้มากเลยเหตุเลยผล นี่ท่านเรียกว่ากิเลส ความโกรธ ราคะตัณหา มันโกรธ มันเคียดแค้นให้ผู้ใด ฆ่าฟันรันแทงจนเป็นเถ้าเป็นถ่าน นี่ท่านก็เรียกว่ากิเลสคือความโกรธ การทำลาย ราคะตัณหา คือความรัก ความทะเยอทะยานในกามกิเลส ไม่มีคำว่าพอ มีหญิงมีชายทั่วแดนโลกธาตุไม่พอกับเรื่องกามกิเลสนี้เลย

    สัตว์ตัวใดชอบทั้งนั้น ๆ ที่จะว่าพอแล้วเรามีผัวพอแล้ว เมียพอแล้วไม่มี มีเท่าไรเหมือนกับไฟได้เชื้อ พอมองเห็นรูปหรือได้ยินเสียงของเชื้อของกิเลสมันแสดงขึ้นเท่านั้น ไฟกิเลสนี้จะติดพัน ๆ ไปโดยลำดับ นี่เรียกว่ากิเลส ความรักที่เป็นกามกิเลสนี่ท่านเรียกว่ากิเลส มันเกิดมันผลักดันอยู่ที่หัวใจสัตว์ เพราะฉะนั้นผู้มีธรรมจึงต้องระงับสิ่งเหล่านี้ ธรรมคือการระงับสิ่งที่เป็นภัยภายในจิตใจ ความโลภ คนเราไม่ตายก็มีโลภเป็นธรรมดา ความโลภอยากได้นี้เป็นธรรมดาไม่เรียกว่าความโลภ ไม่เรียกว่ากิเลส แต่โลภจนไม่มีเขตมีแดน ไม่มีฝั่งมีฝา โลภจนไม่รู้จักพอดิบพอดี จนกระทั่งตายก็ยังโลภอยู่ นั่น ท่านเรียกว่ากิเลสโดยตรง

    ความโกรธก็เหมือนกัน จะโกรธใครก็พิจารณาตัวเองเสียก่อน ว่าการโกรธเขาเช่นนี้ผิดหรือถูกประการใด เราโกรธเขาเราโกรธได้ แต่เขาโกรธเราโกรธไม่ได้เพราะเหตุไร นี่คือกิเลสความเห็นแก่ตัว โกรธคนอื่นไม่พอใจคนอื่น แสดงออกได้เต็มหัวใจ แต่คนอื่นจะมาโกรธมาแสดงความเคียดแค้นต่อเรานี้ไม่ให้ทำ นี่คือกิเลสมันชอบแต่อย่างนั้น ความรักก็เหมือนกัน รักได้ดะไปหมด ไม่มีฝั่งมีฝาเรียกว่าความรัก ท่านเรียกว่ากามกิเลสเป็นประเภท ๆ นี้รวมแล้วส่วนใหญ่ ๆ ท่านเรียกว่ากิเลส กิเลสเหล่านี้เกิดขึ้นจากใจของเรา มันจะผลักดันใจของเราให้ดีดให้ดิ้นไปตามมัน แล้วสร้างความทุกข์ ความลำบากลำบนให้แก่ตนไม่มีวันจบสิ้นลงได้ตลอดไป ถ้าปฏิบัติตามมันแล้วเสียผู้เสียคน แม้จะเป็นมนุษย์เราอยู่นี้ก็ตาม ชื่อมีแต่เป็นมนุษย์เฉย ๆ แต่ความดีงามที่เป็นสารประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากกิเลสนั้นไม่มี มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้เจ้าของอยู่ในหัวอก นอกจากนั้นก็กระจายไปหาคนอื่นให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายไปตาม ๆ กัน นี่คืออารมณ์ของกิเลส ให้พากันเข้าใจเสียว่ากิเลสคืออะไร

    มันเกิดขึ้นจากใจของคนและสัตว์นั่นแหละ ให้ทราบว่ากิเลสมันมีลักษณะอย่างนี้ อาการอย่างที่ว่ามานี้ ผลักดันออกไปให้คิดให้ปรุงให้แต่ง ให้ดีดให้ดิ้นไปตามกิเลสที่มันต้องการอย่างไร ผิดถูกไม่คำนึง เรื่องกิเลสจะไม่คำนึงถึงเหตุถึงผล ผิดถูกดีชั่ว มีแต่จะเอาให้ได้อย่างใจอย่างเดียว ได้อย่างใจอย่างเดียว ผิดขนาดไหนก็ขอให้ได้ ไม่ได้คำนึงความผิดถูกชั่วดี นี่ท่านเรียกว่ากิเลส เป็นภัยของธรรมคือความพอดี

    ทีนี้อารมณ์ของธรรมนั้นเป็นอารมณ์ที่ระงับดับกิเลส กิเลสมันโลภมากธรรมก็ระงับไว้อย่าโลภมากเกินไปนะ คนที่ได้เพราะความโลภมากเป็นเศรษฐีกุฎุมพี เอาความสุขความเจริญมาอวดโลกเขาไม่เคยเห็นใครมี ใครจะโลภมากได้มามากขนาดไหนแล้วก็มีผิดหวัง ๆ อยู่กับการได้มา การได้มากับการเสียไปมันมีทางเปิดเข้าและเปิดออกได้ เปิดเข้ามาแล้วมันก็ไหลออกไปได้นั่นแหละ นี้ได้มาก็เสียไป ๆ มีธรรมระงับให้อยู่ในความพอดี สิ่งที่ได้มาก็อย่าลืมเนื้อลืมตัวจนเลยเถิด ที่เสียไปก็ให้รู้เหตุรู้ผลของมันว่าเสียไปเพราะอะไร นี้เรียกว่าธรรม ถ้ามันโลภมาก ๆ ก็ให้ระงับมันลงไปอยู่ในความพอดี เอามรณัสสตินี้บังคับเอาไว้ว่าคนเป็นมหาเศรษฐีก็ตาม มีความรู้จรดเมฆจรดฟ้าก็ตาม มันจะต้องตายด้วยกันถูกเผาด้วยฟืนด้วยไฟ มันไม่ได้เผาด้วยสมบัติเงินทองข้าวของ ไม่ได้เผาด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียงเรียงนามอะไรแหละ มันเผาด้วยไฟเหมือนกันเอามาคิดอย่างนี้ เรียกว่าธรรมระงับกิเลส

    ทีนี้เรื่องกิเลสเหล่านี้ก็ไม่พองตัว เพราะได้ระงับจากธรรมคือเป็นน้ำดับไฟ ความโกรธ เวลาโกรธเขาก็ให้ดูตัวเสียก่อน ไปโกรธเขาทำไม โกรธตัวเองก็เผาตัวเองแล้ว ไม่สบายในตัวเอง เคียดแค้นเป็นฟืนเป็นไฟเผาหัวอกตัวแล้ว ยังจะเอาไฟในหัวอกนี้ไปเผาคนอื่นให้เดือดร้อนไปตาม ๆ กันได้ยังไง มันไม่ถูก พอรู้ความโกรธที่มันเผาเจ้าของก่อนแล้วเราก็ระงับได้ ความโกรธนี้ก็ไม่เป็นไฟระบาดสาดกระจายไปหาคนอื่นก็ไม่เกิดความเสียหาย นี่ละให้พากันจำ เรื่องความรักก็ให้อยู่ในความพอดิบพอดีดังที่แสดงให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้ว ขอให้อยู่กันด้วยความมีศีลมีธรรม นี่แหละเรียกว่าธรรม

    มีธรรมอย่างฆราวาสกับพระนี้ต่างกันในความเป็นอยู่ พระนี้เรียกว่าตัดหมด เรื่องกามกิเลสทั้งหลายท่านตัดขาดหมดเป็นคนละโลกไปเลย แต่สำหรับฆราวาสท่านไม่ได้ตัด เมื่อท่านไม่ตัดแล้วท่านก็มีกรอบให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม ให้อยู่ในความพอดีพองาม มีความละอายบาปให้มี หิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม สร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามก ครั้นตายลงไปแล้ว ก็ความอาจหาญชาญชัยของตนที่สร้างแต่ความชั่วนั้นแหละ มันไปเผาตัวอยู่ในนรกอเวจี นรกอเวจีมีน้อยเมื่อไร ท่านกล่าวไว้ถึง ๒๕ หลุม เรายังเห็นว่าพระพุทธเจ้าโกหกอีกเหรอ เท่าที่ผ่านมาในตำรับตำราที่ท่านแสดงไว้พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้มากต่อมาก ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดเป็นศาสดาแหวกแนว สอนสัตว์โลกไม่เป็นไปตามความสัตย์ความจริงเลยอย่างนี้ไม่มี สอนไปตามความสัตย์ความจริง ผู้ปฏิบัติไปตามนี้แล้วจะหลุดพ้นจากทุกข์ไปเป็นลำดับลำดา

    ไม่เหมือนกิเลส กิเลสนี้ไม่ว่าผู้ใดปู่ ย่า ตา ยาย ลูกเต้าหลานเหลนของกิเลสเป็นสกุลต้มตุ๋นหลอกลวงโลกให้ล่มจมไปด้วยทั้งนั้น มีแต่ความเสียหายเต็มไปหมดในกิเลส ถ้าใครไปทำตามกิเลสแล้วจะล่มจม จึงขอให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมของพระพุทธเจ้า เราเกิดมานี้เราก็เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว สัตว์ทั้งหลายที่เขาเกิดเขาไม่มีโอกาสเป็นมนุษย์นี้มีมากต่อมากนะ มากกว่ามนุษย์ไม่ทราบว่าจำนวนเท่าไร คือมากต่อมากเขาไม่มีโอกาส เขาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ แต่นี่เรามีโอกาสเป็นมนุษย์แล้วให้สร้างทางแห่งความเป็นมนุษย์ เพื่อไปมรรคผลนิพพานด้วยความดีของเราตลอดไปนะ

    ทุกข์ยากก็ทุกข์เถอะ คนเราเกิดมาสร้างอยู่สร้างกินต้องวิ่งเต้นขวนขวาย มีมากมีน้อยขอให้ได้กินขอให้ได้ทาน อย่ามีแต่ความกินอย่างเดียว กิเลสเอาไปถลุงหมด ความดีภายในใจไม่มี มีแต่ธาตุขันธ์เอาไปกิน เอาลงไปในปากในท้อง กินอิ่มปากอิ่มท้องสบายไปวันหนึ่งเวลาหนึ่งเพียงเท่านั้น ครั้นต่อมาหิวอีกกินอีก จนกระทั่งถึงวันตายบุญกุศลแม้นิดหนึ่งไม่ติดใจเลย ใจไม่ได้มีบุญมีกุศลเพราะเจ้าของไม่สนใจสร้างบุญ นี่แหละคนนี้เป็นคนเหือดแห้งกันดารมากทีเดียว รอแต่ลมหายใจ นอกจากเหือดแห้งจากบุญจากกุศลแล้ว ยังสมบูรณ์พูนผลไปด้วยฟืนด้วยไฟ เกิดขึ้นจากบาปจากกรรมของตนที่สร้างที่ทำขึ้นมาเสียอีก คนนี้ไปอุดมด้วยฟืนด้วยไฟอยู่ในแดนนรก คนหนึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยอรรถด้วยธรรม ด้วยความสุขความเจริญอยู่ในแดนสวรรค์ นอกจากนั้นก็ถึงนิพพานได้ เพราะอำนาจแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

    จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายกรุณาทราบทั่วกันว่า กิเลสก็ดี ธรรมก็ดี เกิดที่ใจของเราทุกคน ให้สังเกตตัวเอง ถ้าความคิดใดไม่ดีจะเป็นภัยต่อตัวเองและส่วนรวมแล้ว ให้ระงับดับมันอย่าพามันทำ มันจะระบาดสาดกระจายเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กัน แล้วก็สร้างบาปสร้างกรรมในเวลานั้นอีกด้วย ให้ระมัดระวัง ให้สร้างแต่คุณงามความดีต่อกัน เห็นหน้ากันมีความยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะต่างคนต่างมีอรรถมีธรรมในใจ นี่เรียกว่าการสร้างบุญ ให้พากันสร้างบุญ

    ใจนี้ไม่เคยตาย ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เป็นมาอย่างนี้ แม้จะไปตกนรกตั้งกี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม การที่ว่าได้รับความทุกข์ในแดนนรกแต่ละหลุม ๆ นั้นยอมรับ ส่วนที่จะให้ใจนี้ฉิบหายไม่มี ทุกข์ขนาดไหนก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่เคยฉิบหายคือใจดวงนี้ เวลาชำระสะสางแล้วด้วยอำนาจแห่งคุณงามความดีของเรา ก็ค่อยสงบผ่องใสได้บริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงขั้นความบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์ทั้งหลาย ท่านถึงนิพพานเลย นั่น ถึงนิพพานก็ไม่สิ้นสูญใจดวงนี้ไม่มีคำว่าสูญ ตกนรกก็ไม่สูญใจดวงนี้ จนกระทั่งบริสุทธิ์เต็มที่แล้วไปถึงนิพพานก็ไม่สูญ นี่แหละท่านว่านิพพานเที่ยง ก็คือจิตดวงที่ไม่สูญนี้แหละเป็นผู้บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว เรียกว่าธรรมธาตุ อยู่ในแดนแห่งนิพพาน นี่แหละเป็นผู้เสวยความบรมสุขตลอดไป ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง ๆ ก็เพราะจิตดวงนี้ไม่ตาย มีความเที่ยงตรงอยู่ด้วยบรมสุขตลอดไป นี่คือการสร้างความดีให้ผลแก่เราอย่างนี้ ให้พากันอุตส่าห์พยายามสร้างคุณงามความดี

    เราเป็นฆราวาสวิ่งเต้นขวนขวายหลายด้านหลายทาง แต่ส่วนมากมันจะวิ่งเต้นขวนขวายไปเพื่อกิเลสตัณหาเสียนั้นแหละเราจึงผิดพลาดไป ให้วิ่งเต้นขวนขวายได้มาแล้วแบ่งใช้แบ่งสอยแบ่งกินแบ่งทาน อันนี้เรียกว่าเสมอต้นเสมอปลาย ร่างกายก็ได้รับความสุข จิตใจของเราก็ได้มีบุญมีกุศลติดตัวเอง เพราะการสร้างความดีจากการทำบุญให้ทาน คนนี้ไม่เสียที เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่เสียท่าเสียทีด้วยความเป็นมนุษย์ ออกจากนี้แล้วไปสวรรค์ พรหมโลก หรือผู้มีคุณงามความดีเต็มที่แล้วถึงนิพพานในชาตินี้ก็ไม่สงสัย ดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน ท่านสร้างความดีทั้งนั้นแหละ

    ดังที่พระท่านอยู่ในป่าในเขา เราไม่เคยเห็นพระที่ท่านอยู่ในป่าในเขาท่านอยู่อย่างไร ก็เราไม่เคยบวชเคยเรียน วิ่งเพ่นพ่าน ๆ หาอยู่หากินตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ วันหนึ่ง ๆ สืบทอดกันไปด้วยการตื่นนอนวิ่งเต้นขวนขวายถึงหลับ ๆ จนกระทั่งถึงวันตายแล้วไม่เคยได้เข้าไปชำระจิตใจบำเพ็ญภาวนาในป่าในเขา เหมือนพระท่านไปบำเพ็ญ เราก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าธรรมเป็นยังไง พระท่านเป็นยังไงกับฆราวาส โกนผมโกนคิ้วใครโกนก็ได้ผ้าเหลืองใครมาห่มก็ได้ ฆราวาสกับพระเหมือนกัน มันไม่ได้เหมือนสำหรับทางด้านจิตใจ

    การประกาศออกภายนอกก็คือว่าโกนผมโกนคิ้ว ประกาศตนว่าเป็นเพศของพระให้โลกทั้งหลายได้เห็นอย่างชัดเจน ครองผ้าเหลือง จิตใจก็งดเว้น จิตใจของพระกับจิตใจของฆราวาสเป็นคนละอย่างต่างกัน ฆราวาสเขามีความคลุกเคล้าด้วยกิจบ้านการเรือนทุกสิ่งทุกอย่าง มีอยู่ในกิจฆราวาสทั้งหมด แต่กิจการงานของพระนั้นมีแต่การชำระความชั่ว ระวังรักษาความดีให้ติดจิตติดใจตลอดไป อยู่ที่ไหนมีสติสตัง ทำความพากความเพียร เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ชำระจิตใจตัวก่อเรื่องก่อราวจากกิเลสที่มันฝังอยู่ในหัวใจมาดั้งเดิมนั้นแล ออกด้วยศีลด้วยธรรม คือสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม

    บำรุงจิตใจของตนด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วจิตใจจะมีความสง่างามขึ้นมา เวลาจิตใจได้รับการบำรุงรักษาอยู่อย่างนั้นตลอด ในสถานที่เหมาะสม กินก็กินน้อยเพียงหนเดียวพอแล้ว นั่น ฉันเพียงหนเดียวพอแล้ว ฉันก็ไม่ได้ฉันให้อิ่มมากนะ แบบอิ่มหมีพีหมาไปอย่างนั้นใช้ไม่ได้ ท่านฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไป วันหนึ่ง ๆ การอยู่การกินการใช้การสอยท่านไม่เป็นกังวล การอยู่สถานที่อยู่ก็มีประชาชนญาติโยมสร้างให้แล้วไม่เป็นภาระ การกินถึงเวลาไปบิณฑบาตเต็มบาตรมาท่านก็ไม่เป็นภาระหนักหน่วงอะไร หยูกยาทุกวันนี้เต็มไปหมด ที่ไหนมีแต่หยูกแต่ยา นี่ท่านอยู่สบาย ๆ มีแต่การดำเนินจิตตภาวนา ชำระจิตใจ

    จิตใจชำระมันอะไร คือ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาได้แก่กิเลส มันอยู่ที่จิตใจ ชำระความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหานี้ออกจากจิตใจของเราด้วยจิตตภาวนาทุกเวล่ำเวลา นี่ท่านก็สั่งสมเอาความดีงามขึ้นมาเรื่อย จิตใจที่เคยสกปรกโสมมก็ค่อยสะอาดขึ้นมา ด้วยการชำระซักฟอกขึ้นมา แล้วผลเด่นขึ้นจากนั้นก็เป็นความสงบสุขภายในจิตใจ มีไม่มีอะไรก็ตาม เงินทองข้าวของไม่มีเหมือนโลกเขาก็ตาม แต่ธรรมมีในหัวใจของท่าน ท่านไม่อดอยากขาดแคลนธรรม ท่านอยู่ที่ไหนท่านสงบเย็น

    นี่ละพระผู้มีธรรมท่านเย็น เวลาภาวนาเข้าไปจิตใจมีความสงบเย็นลงไปเท่าไร ยิ่งมีความสุข ๆ จากนั้นก็สงบเย็นแล้วก็แปลกประหลาดอัศจรรย์ มีความสว่างไสวขึ้นภายในจิตใจที่มีธรรมเป็นเครื่องชุบเลี้ยงหรือหล่อเลี้ยงจิตใจนั้นแล ท่านก็อยู่ด้วยความสงบเย็นใจ นี่ต่างกันอย่างนี้นะ ท่านผู้ชำระกิเลสจะมีธรรมขึ้นเรื่อย ๆ ธรรมจะเพิ่มกำลังขึ้นเรื่อย ๆ จากจิตที่เป็นความสงบแล้วก็เป็นสมาธิมีความแน่นหนามั่นคง จิตใจอิ่มพอกับอารมณ์ทั้งหลาย รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่าง ๆ ที่เคยเป็นข้าศึกต่อจิตใจนั้นอิ่มพอ ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายเพราะอำนาจแห่งอาหารเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจได้แก่สมาธิ มีความอิ่มในอารมณ์แล้วก็ไม่ยุ่งกับอะไร

    ทีนี้แยกออกไปพิจารณาทางด้านปัญญา แยกเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง ทั่วสกลกายของเราของโลกของสัตว์ทุกแห่งทุกหน พิจารณาเป็นอรรถเป็นธรรม เป็นสติปัญญาแยกแยะออกไป จิตใจก็ได้หดตัวเข้ามา หดเข้ามาเท่าไรยิ่งมีความสง่างาม มีความผ่องใสมากขึ้น ๆ นี่ท่านก็มีความสุขอยู่ในป่าในเขา นี่ละท่านผู้สั่งสมความสุขภายในใจ ท่านไม่ยุ่งกับอะไรแหละ มีตั้งแต่ความพากความเพียร พินิจพิจารณาตลอดเวลา

    จิตใจเมื่อได้รับการบำรุงส่งเสริมอยู่เรื่อย ๆ ก็มีความสง่างามขึ้นจนกลายเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ภายในใจ ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เคยเห็นไม่เคยรู้ แต่เวลานั้นได้เห็นได้รู้เป็นลำดับลำดามาแล้ว เพราะความพากเพียรโดยอรรถโดยธรรม จนกระทั่งจิตใจมีความสง่างามเป็นลำดับ กิเลสมีมากมีน้อยชำระซักฟอกออกเป็นลำดับเช่นเดียวกัน จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปจากจิตใจเพราะ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร มีความแก่กล้าหนาแน่นขึ้นโดยลำดับ ฟัดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ เป็นจิตที่บริสุทธิ์พุทโธเต็มดวงขึ้นมา ท่านอยู่ที่ไหนท่านเป็นมหาเศรษฐีธรรม นี่แหละมหาเศรษฐีธรรมคือธรรมภายในหัวใจด้วยการปฏิบัติของตัวเอง ไม่ใช่ธรรมในปริยัติ

    ที่จำได้แต่ชื่อแต่นามนั้นเป็นธรรมความจำ ธรรมภาคปฏิบัตินี้เป็นธรรมความจริง เป็นผลขึ้นมาจากการปฏิบัติ เราชำระซักฟอกได้มากน้อยเพียงไร จิตใจของเราย่อมมีความสะอาดสะอ้านขึ้นเป็นลำดับ สง่าราศี มีความแปลกประหลาดอัศจรรย์ ตัวเองอยู่ที่ไหนก็ภูมิใจ ๆ เพราะไม่มีอะไรบกพร่องขาดเขินแล้ว จิตใจอิ่มพอในอารมณ์ แน่ะ ใจก็สบายเรื่อย ๆ จนกระทั่งชำระซักฟอกหมดไปโดยสิ้นเชิง นั่น เรียกว่าจิตเลิศเลอ จิตบริสุทธิ์พุทโธแล้ว ไม่ต้องมาเกิดตายอีกเหมือนดังที่เคยเป็นมาแต่ก่อน ซึ่งโลกทั้งหลายนี้ตายกองกันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่ทราบว่าเขาว่าเราเป็นแบบเดียวกัน แต่จิตนั้นได้ถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วตัดสินใจลงได้ทันที โดยไม่ต้องไปถามผู้ใดก็ตาม รู้ประจักษ์ นี่ละท่านผู้บรรลุธรรมถึงขึ้นสุดวิมุตติพระนิพพาน ประจักษ์ในหัวใจเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอด ถึงนิพพานสุดยอดแล้ว นั้นละธรรม

    นี่ละการเสาะแสวงหาธรรม มีได้เช่นเดียวกับเราเสาะแสวงหาสมบัติทางโลกทางสงสาร ใครหาเงินได้เงิน หาทองได้ทอง หาอะไรได้ทั้งนั้น เพราะสิ่งในโลกมีอยู่ทั่วไป ใครเสาะแสวงหาทางไหนได้หมด ทีนี้ธรรมก็เหมือนกัน ธรรมมีหลายประเภท ใครเสาะแสวงหาทางไหน ๆ ได้ทั้งนั้น ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหาธรรมอันเลิศเลอได้แก่มรรคผลนิพพานจ้าขึ้นมาในหัวใจแล้วพอ ทีนี้การเวียนเกิดเวียนตายซึ่งแบกหามกองทุกข์ไปทุกภพทุกชาตินั้น ขาดสะบั้นลงไปในขณะที่จิตได้บริสุทธิ์วิมุตติพุทโธแล้ว เรียกว่าสิ้นสุดจากทุกข์ นี่คือการปฏิบัติธรรม ธรรมอันนี้เป็นธรรมของศาสดาองค์เอก มาสั่งสอนพวกเรา

    เราได้เกิดมาพบปะกับอรรถกับธรรมแล้วอย่าปล่อยวาง ให้วันคืนปีเดือนเสียไปเปล่า ๆ นะ เวลาจะหลับจะนอนก็พากันไหว้พระสวดมนต์ ทำจิตใจให้สงบเย็น เพราะจิตใจนี้ดีดดิ้นตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ถึงจะมาดับเครื่องได้ในขณะที่หลับ ถ้าไม่หลับมนุษย์เราตายง่ายมากนะ เพราะมันดับเครื่องไม่เป็น มีแต่ติดเครื่อง ๆ นี่เราดับเครื่องด้วยสมถะคือความสงบใจด้วยการภาวนาของเรา เวลาจะหลับจะนอนขอให้ภาวนาพุทฺโธ หรือธมฺโม หรือสงฺโฆ แล้วแต่ธรรมบทใดที่ถูกกับจริตนิสัยของเรา ให้เราพยายามทำจิตใจของเราให้สงบ จิตใจจะเย็นลงไปโดยลำดับ ความเห็นสุขนี้เห็นประจักษ์ใจนะ เราอย่าไปเอาข้างนอกมาเทียบมาเคียง คนนั้นมีสมบัติมากน้อยเพียงนั้นเพียงนี้ อย่าเอามาเทียบเคียงว่าเขามีความสุขมาก อันนั้นเป็นเพียงวัตถุแร่ธาตุต่าง ๆ เพียงเท่านั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นที่ใจ

    อย่างที่ท่านบำเพ็ญธรรมเกิดที่ใจของท่าน อยู่ที่ไหนท่านสบาย ๆ ไปหมด แล้วไม่มีความพลัดพรากจากกันเหมือนสมบัติภายนอกเลย สมบัติภายนอกเป็นสิ่งที่เสี่ยงทาย ได้มาวันนี้เสียไปวันนั้น ได้วันนั้นเสียไปวันนี้ อยู่กันด้วยความเสี่ยงทาย แต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมเรานี้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นแล้วอยู่ไหนแสนสบาย นี่อรรถธรรมของพระพุทธเจ้าสอนโลกให้ถึงขึ้นที่เลิศโลก มีอยู่กับเราทุกคนขอให้พากันอุตส่าห์พยายาม

    เวลาจะหลับจะนอนให้ภาวนาพุทโธ ๆ บ้างนะ เวลานี้ไม่ค่อยมีชาวพุทธเราการภาวนาไม่ค่อยมี มีแต่การให้ทาน รักษาศีลไป ก็ไม่มีความแน่นหนามั่นคง ถ้าไม่มีการภาวนาเป็นเครื่องสนับสนุน ถ้ามีภาวนาเป็นเครื่องสนับสนุนจิตใจก็ดื่มด่ำในธรรม การให้ทานก็หนักแน่นขึ้น รักษาศีล สร้างความดีต่าง ๆ หนักแน่นไปตาม ๆ กันหมด เพราะจิตใจเป็นผู้หนักแน่นในธรรมแล้ว ทำให้อย่างอื่นอย่างใดหนักแน่นไปด้วยกันหมด นี่แหละขอให้พี่น้องทั้งหลายได้อุตส่าห์พยายามนะ ให้มีการภาวนานะอย่าอยู่เฉย ๆ ท่านภาวนาอยู่ในป่าในเขาเป็นของเล่นเมื่อไหร่ แต่พระท่านไม่ได้เหมือนฆราวาสนี่นะ ไม่ว่าครั้งพุทธกาลไม่ว่าสมัยปัจจุบัน ท่านมีอรรถมีธรรมมากน้อยเพียงไรไม่ค่อยรู้กับท่านง่าย ๆ ละ จนกระทั่งว่าได้เข้าสนทนาปราศรัยกับท่านแล้วถึงจะค่อยรู้ขึ้นเป็นลำดับ

    เฉพาะอย่างยิ่งคือคณะหรือพวกปฏิบัติด้วยกัน เป็นพระด้วยกันปฏิบัติด้วยกัน เข้ามาถึงกันแล้วพูดแต่เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญาวิมุตติหลุดพ้นสว่างจ้าขึ้นภายในจิตใจ พูดออกไปนี้สนทนากันนี้กี่ชั่วโมง ลืมวันลืมคืนไปเพราะความเพลิดเพลินในผลงานของกันและกัน นี่คือภาคปฏิบัติทางด้านจิตใจ ท่านหาธรรมท่านก็เจอธรรม เจอธรรมกับเจอความสุขก็อันเดียวกัน กลมกลืนเข้าเป็นอันเดียวกัน

    นี่ท่านอยู่ในป่าในเขา เราจะไปคิดแต่ว่าท่านอยู่ในป่าในเขาเฉย ๆ ท่านไม่ได้อยู่ในป่าในเขาเหมือนสัตว์ป่านะ ท่านอยู่แบบพระ พระพุทธเจ้าก็อยู่ในป่าในเขาบำเพ็ญเพียรจนได้เป็นศาสดาออกมาจากป่าจากเขา สาวกทั้งหลายก็อยู่ในป่าในเขา บำเพ็ญในป่าในเขา สำเร็จมรรคผลนิพพานเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรานี้ ท่านก็ออกมาจากป่าจากเขานั้นละ ธรรมเลิศเลออยู่ที่ป่าที่เขา เพราะเป็นสถานที่บำเพ็ญสะดวกสบายไม่มีอะไรยุ่งกวน ท่านจึงได้อรรถได้ธรรมครองใจอย่างเงียบ ๆ นะ พระมีธรรมในใจเรียกว่าเศรษฐีธรรมก็ได้ เราก็ไม่ทราบกับท่านง่าย ๆ นะ ต่อเมื่อได้สนทนาปราศรัยกันเมื่อไรแล้ว จึงจะทราบว่าท่านมีธรรมอย่างนั้น

    นี่ละสมบัติของธรรมปรากฏขึ้นที่ใจของเราสง่างามตลอดเวลา สมบัติภายนอกมีเป็นบางกาล มีความเสี่ยงทายเป็นประจำได้นั้นมาอันนี้เสียไป ๆ วุ่นวายตลอด แต่ความมีธรรมในใจนี้สง่างามไปตลอด ๆ ยิ่งเร่งเท่าไรยิ่งมีความสง่างาม มองโลกนี้จ้าไปหมด เป็นยังไงท่านทั้งหลายเชื่อไหมพระพุทธเจ้าว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลก รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกใน นี่แหละศาสดาของเรา ถ้าเป็นเหมือนเราท่านจะเรียกว่าเป็นศาสดาได้ยังไง ก็ต้องต่างเราซิเป็นครูสอนโลก ความรู้ต้องเหนือโลกซิ โลกวิทู รู้แจ้งโลก โลกนอกโลกในรู้ตลอดทั่วถึง โลกในคือกิเลสตัณหาภายในพระทัยสิ้นซากไปหมดไม่มีเหลือเลย โลกนอกก็พิจารณากระจายดูเหตุการณ์ของสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมานี้ เกิดมาจากภพใดชาติใด ไปสร้างบุญสร้างกรรมอะไรถึงได้เกิดมา สัตว์ตัวนี้มันเกิดมานี้มันไปสร้างบาปสร้างกรรมอะไร ความดีความชั่วอะไรบ้าง แล้วมนุษย์ที่เกิดมาเต็มโลกเต็มสงสารนี้มันไปสร้างบาปสร้างกรรม สร้างบุญสร้างกุศลที่ไหนบ้าง ๆ ถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ประเภทต่าง ๆ กัน

    บางคนก็น่าชมเชยสรรเสริญ เป็นผู้มีวาสนาบารมี บางคนก็สักแต่ว่าเป็นรูปมนุษย์เท่านั้นเอง แต่เรื่องราวความสุขความเจริญไม่มีความหมายสำหรับมนุษย์ประเภทนั้น มันไปสร้างบาปสร้างกรรมอะไรมา มนุษย์เหมือนกันทำไมไม่เหมือนกัน อย่างนี้พระพุทธเจ้ารู้หมด ที่มาเกิดอยู่ในโลกอันนี้ ใครเกิดมาจากภพใดชาติใด กำเนิดของสัตว์ตัวใด มาเป็นมนุษย์ ท่านรู้ไปหมดเห็นไปหมด แม้ที่สุดลงไปกองอยู่ในนรก ไปตกอยู่ในนรก เอ้า ในนรกนี้หลุมนี้มีสัตว์นรกมากน้อยเพียงไร สัตว์นรกแต่ละตัว ๆ นี้ มันไปทำบาปทำกรรมประเภทไหนบ้าง มันถึงได้มาตกนรกอย่างนี้ทราบตลอดทั่วถึง สัตว์นรกตัวนี้ไปทำบาปทำกรรมอย่างนั้น ๆ แล้วมาตกนรกอย่างนี้ สัตว์นรกประเภทนั้นทำบาปทำกรรมอย่างนั้นมาตกนรกอย่างนี้ ๆ พระองค์ทราบหมดเลย นี่เรียกว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลก รู้โลกในก็รู้รู้โลกนอกก็รู้ นรกหลุมไหนที่พระพุทธเจ้าไม่รู้ไม่มี เปรต ผีประเภทต่าง ๆ เต็มทั่วแดนโลกธาตุทรงรู้ทรงเห็นหมด แต่มันสุดวิสัยเมื่อเป็นผลขึ้นมาแล้วก็ยอมให้เขารับไป ตามบาปตามกรรมของเขาที่สร้างมาเองนั้นแหละ เขาเสวยไปเอง

    นี่จึงเป็นเหมือนว่าไม่มีอะไรในโลก มันมีเต็มหัวใจด้วยกันทุกคน จะไม่มียังไง บาปกรรมเราทำทุกวัน บุญกุศลเราทำทุกวัน ใครทำบุญต้องได้บุญใครทำบาปต้องได้บาป ไม่ไปไหน ไม่หายไปไหนเลย ท่านแสดงไว้ว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ ว่ายังไงเรามีกรรมเป็นของของตน ทำลงไปแล้วจะให้ไปแบ่งหนักแบ่งเบาให้ผู้อื่นผู้ใดเอาไปช่วยนี้ไม่มี ทำบาปก็เป็นบาปของเราเต็มตัว ทำบุญเป็นบุญของเราเต็มตัว เพราะฉะนั้นเราจึงอย่าไปคิดว่าให้คนนั้นช่วยคนนี้ช่วย เราต้องช่วยตัวเสียตั้งแต่บัดนี้ที่ยังไม่ตาย ความสุขความเจริญจะเป็นที่สมหมายของเราทุกคน ๆ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ตั้งอกตั้งใจนะ

    การภาวนารู้สึกบกพร่องมาก สำหรับทางฆราวาสของเรานี้ไม่ค่อยมีกันเลย เสียทางตรงนี้นะ ทางพระก็ด้อยมากการภาวนา แต่กรรมฐานท่านไม่ด้อยท่านภาวนาของท่านเสมอ ท่านตักตวงเอาอรรถเอาธรรมเข้าสู่ใจ ไปที่ไหนสง่างามตลอดภายในหัวใจท่าน แต่ภายนอกก็เหมือนผ้าขี้ริ้วนั้นแหละ ผ้าขี้ริ้วห่อทองภายในใจของท่านสง่างาม เหลืองอร่ามภายในจิตใจ ทองคำสู้ไม่ได้นะ สู้จิตที่เลิศเลอไม่ได้ จึงพากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ

    ธรรมไม่ใช่เป็นของครึของล้าสมัย ธรรมเป็นธรรม กิเลสเป็นกิเลสเกิดอยู่ในหัวใจอันเดียวกัน ใครหมุนไปตามกิเลสคนนั้นจะได้รับความเดือดร้อนเสียหายตลอดไป ใครหมุนมาทางอรรถทางธรรมทางบุญทางกุศล ผู้นั้นก็จะเป็นบุญเป็นกุศลมีความสุขความเจริญตลอดไปเช่นเดียวกัน ถ้ายิ่งส่งเสริมในทางดีเท่าไรก็ยิ่งดีขึ้น ๆ จนถึงวิมุตติพระนิพพานได้ เอ้า ผู้ที่หมุนไปตามกิเลสเห็นว่ากิเลสเป็นของดิบของดีเท่านั้นหมุนไปตามมันจมนรกได้ไม่สงสัย จึงขอฝากธรรมะนี้ไว้กับบรรดาพี่น้องทั้งหลายได้นำไปพินิจพิจารณา วันนี้เราก็ได้ช่วยชาติบ้านเมืองของเราเต็มเม็ดเต็มหน่วย พี่น้องทั้งหลายได้มาบริจาคทองคำเหลืองอร่าม เป็นที่ซาบซึ้งอย่างถึงใจทีเดียว นี่ก็เป็นอันหนึ่ง แล้วภายในใจจึงขอฝากธรรมไว้กับพี่น้องทั้งหลายให้นำไปบำเพ็ญจิตตภาวนาเป็นกุศลมหากุศลขึ้นภายในใจของเราทุกคน ๆ ทุกเวลาที่เราบำเพ็ญนั้นแหละ

    การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่เวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...