ความหมายแท้จริงของการทาน "เจ"

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย tsukino2012, 30 พฤษภาคม 2013.

  1. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    [​IMG]

    ความหมายแท้จริงของการทาน "เจ"

    การกินเจ หรือ ที่เรียกว่า ชิงโข่ว แปลว่า บริสุทธิ์บริบูรณ์ทั้ง ๗ ทวาร
    คือ ตา หู จมูก ปาก ลิ้น กาย ใจ ต้องสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพียงบริสุทธิ์แค่พฤติกรรมกับวาจา
    แต่ต้องบริสุทธิ์ถึงจิตใจ ถึงจะเรียกว่าบรรลุจุดประสงค์ของการกินเจที่แท้จริง
    ในปัจจุบัน มีผู้ปฏิบัติมากอยู่ที่ปฏิบัติแบบตามๆกันมา ไม่ได้เข้าใจในจุดประสงค์ที่แท้จริง
    เข้าใจไปกันว่า การกินเจคือการกินแต่ผักเท่านั้น กินไข่ไม่ได้ กินนมจากสัตว์ไม่ได้
    จริงๆแล้วการกินเจนั้นห้ามกินเฉพาะอาหารที่เบียดเบียนชีวิตหรือไปฆ่าเขา
    และก็ห้ามกินผัก ๕ ชนิดเท่านั้น และก็ไม่ได้ห้ามกินอาหารที่มีกลิ่นฉุนกลิ่นแรง


    ๑.กินเจไม่ได้ให้กินแต่ผัก
    คือห้ามกินอาหารที่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต ละเว้นได้ เท่ากับเราช่วยชีวิตสัตว์โลกไว้ และงดเว้นการสร้างกรรมไปในตัว
    ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะทุกชีวิตมีจิตวิญญาณ ควรมีเมตตาต่อกัน หากเรายังกินอาหารที่ใส่เนื้อสัตว์
    ก็จะมีคนไปจับหรือเลี้ยงไว้ เพื่อรอเวลานำมาฆ่า แล้วนำมาขายเรา เราซึ่งเป็นผู้ซื้อเท่ากับผู้บงการ
    ชี้นิ้วสั่งให้เขาตายหากเราไม่ซื้อ เขาก็ไม่เอามาขาย เขาก็ไม่ต้องตาย สุดท้ายกลายเป็นการสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว


    ๒.ไม่ได้ห้ามกินเนื้อสัตว์
    คนเราก็มักจะเข้าข้างตนเองเพราะอดทนต่อความอยากไม่ไหวด้วยการกล่าวเพื่อให้ตนเองรู้สึกดีรู้สึกว่าไม่ผิด
    ว่าเราไม่ได้เห็นเขาฆ่า ไม่ได้สั่งเขาฆ่า มันตายอยู่ก่อนแล้ว ไปซื้อตัวที่ตายแล้วคงไม่เป็นไร
    ความจริงแล้วมันผิดอยู่เต็มๆ ตายอยู่ก่อนแล้วสามารถกินได้ คือ ถ้าปลามันตายตามธรรมชาติ( อาจจะแก่ตาย )
    และลอยมาตามน้ำ เราเจอ ก็เอามากินได้ ไม่เป็นกรรมอะไร กินเจกินปลาได้ กินเนื้อสัตว์ได้
    ถ้าเขาตายเองตามธรรมชาติ ไม่ได้ไปถูกเบียดเบียนหรือถูกฆ่า เขาก็ไม่ได้จองเวรกับใคร
    แต่เมื่อมีคนเอามาขายในตลาด ไปเบียดเบียนเขามา เอาเขามาฆ่า เขาตายเมื่อยังไม่ถึงเวลา
    กลายเป็นเจ้ากรรมนายเวร ถึงแม้เขาจะตายก่อนเรามาซื้อ แต่กรรมรู้ว่าใครเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องตายบ้าง
    กินมากๆเข้าเปิดช่องส่งผลให้เป็นสารพัดโรค พระธรรมคำสอนเขายังว่า การทำบุญทำทานวัตถุทานต้องบริสุทธิ์
    ไม่ได้ไปขโมยเขามา ไม่ได้ไปเบียดเบียนเขามา มิฉะนั้นการทำบุญแทนที่จะได้แต่ผลกรรมดี
    กลายเป็นสร้างกรรมชั่วแทน ยกตัวอย่าง เราทำบุญทำตักบาตรก็เพื่อหวังทำนุบำรุงศาสนา
    อยากถวายทานแก่เนื้อนาบุญที่ดี ที่ทำนุบำรุงศาสนาจริงๆ ถามว่าในทุกวันนี้มีพระสงฆ์สักกี่รูป
    ที่เข้ามาในศาสนาเพื่อบำเพ็ญเพียรเพื่อละกิเลส เพื่อเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลจริงๆ
    หลักธรรมคำสอนมีไว้ในปิฎก ผู้ที่หวังมรรคผล ต้องเจริญรอยตามหลักไตรสิกขาเป็นพื้นฐาน
    คือการเจริญ ศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งทั้งหมดมี ๘ ข้อที่ต้องปฏิบัติ รวมเรียกว่ามรรค ๘
    และสองข้อในนั้นคือ สัมมากัมมันตะ กับสัมมาอาชีวะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมาก แต่เรามักมองข้ามไป
    สัมมากัมมันตะ คือส่วนของการละปาณาติบาต ไม่เพียงเว้นจากการทำลายชีวิต
    แต่ยังกระทำการช่วยเหลือเกื้อกูลอีกด้วย ถ้าเรายังพอใจในการทานเลือดทานเนื้อของเขา
    เราจะเป็นผู้มีความเกื้อกูลแท้จริงมิได้ และสัมมาอาชีวะ คือส่วนของการ ละมังสวณิชชา
    คือ เว้นจากการค้าขายเนื้อสัตว์ เพราะการค้าขายเนื้อสัตว์ไม่จัดเป็นสัมมาอาชีวะ
    ในเมื่อญาติโยมที่ไปซื้อเนื้อสัตว์มาจาก ผู้ค้าที่ไม่เป็นสัมมาอาชีวะ วัตถุทานย่อมไม่บริสุทธิ์
    เอาไปทำอาหารถวายมันก็เป็นอาหารบาป ไปถวายพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามสายอริยมรรคท่านอาจไม่รับ
    เพราะท่านรู้ว่าวัตถุทานนั้นได้มาอย่างไร หรือท่านอาจจะรับแต่อาจจะไม่ฉัน อานิสงส์มันก็ไม่เกิด
    ส่วนพระท่านที่ยินดีรับ ก็เล็งให้เห็นว่าเป็นพระที่ไม่ได้ปฏิบัติตามสายอริยมรรค ถือเป็นเนื้อนาบุญที่ไม่ดี
    ตัวบุญที่ได้ก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกทั้งอานิสงส์ที่ช่วยทำนุบำรุงศาสนาก็จะไม่ได้
    หากสมณะนั้นเข้ามาในศาสนาเป็นไปเพื่อความสุขสบายส่วนตน


    ๓.ไข่ และ นมวัวนมแพะ กินได้
    ไข่สมัยก่อนนั้นมีเชื้อผสมมา ปล่อยไว้ก็เกิดเป็นตัวได้ ถือเป็นสิ่งที่จะมีชีวิต มีวิญญาณ ถึงกินไม่ได้
    เอามากินถึงมีโทษ เพราะเขาอดเกิด ก็เหมือนมนุษย์เราที่ทำแท้งนั่นแหละโทษหนัก
    แต่สมัยนี้ไข่ที่ขายกันตามท้องตลาด เป็นไข่ลม ไม่ได้ผสมมา คือแม่ไก่จะไข่ออกมาเองตามธรรมชาติทุกๆวัน
    โดยไม่ได้ผสมพันธุ์ ฟักไปไข่พวกนี้ก็ไม่มีตัวเป็นเพียงสารอาหารเท่านั้นที่อยู่ในเปลือก
    ไม่สามารถกำเนิดเป็นชีวิตได้ ไข่ไก่นี้ทิ้งไว้ก็เน่า เอามากินได้เพื่อให้ได้สารอาหาร
    ไม่มีโทษเพราะไม่เป็นการเบียดเบียน ไม่ได้ไปฆ่าแม่ไก่แย่งไข่ ส่วนนมจากสัตว์
    เมื่อนมมันมีเยอะ มันคับเต้ามันก็เจ็บ ถึงต้องบีบออกมาบ้าง ในเมื่อเราไม่ได้ฆ่าวัวฆ่าแพะ
    เพื่อเอานมมันมากิน เราก็ย่อมกินนมมันได้ไม่เกิดโทษ


    ๔.หอยนางรม มีชีวิตกินไม่ได้
    ในอดีตมีเรื่องเล่าขององค์หญิงเหมี่ยวซาน ซึ่งเป็นพระโพธิ์สัตว์ จะอดตายกลางทะเล
    ภาวนาว่าหากสิ่งมีชีวิตใดยอมยกสังขารให้เรากินเพื่ออยู่รอด จะอุทิศส่วนบุญให้ไปเกิดเป็นคน
    หย่อนไม้ลงไปก็มีหอยนางรมติดมา หอยนางรมอยากเกิดเป็นคน เลยยอมตายเพื่อองค์หญิง
    แต่ไม่ได้หมายความว่าคนเราทั่วไปจะกินได้ เราไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์
    ที่จะมีกำลังบารมีอุทิศให้หอยไปเกิดเป็นคนได้ สิ่งมีชีวิตใดๆก็ตาม ย่อมรักชีวิต ไม่มีใครที่อยากจะตาย
    ฉะนั้นซอสที่มีส่วนผสมหรือมีสารสกัดจากหอยนางรมก็ไม่สมควรกิน เพราะเท่ากับเราเบียดเบียนชีวิต


    ๕.ผัก ๕ อย่าง ต้องห้าม เพราะอะไร???
    ผัก ๕ ชนิดที่คนกินเจ ต้องระเว้นคือ กระเทียม ต้นหอมหัวหอมทุกชนิด กระเทียมโทนจีน
    กุยช่ายและดอกกุยช่าย ใบยาสูบ ให้เว้นเพื่อรักษาสุขภาพให้อยู่นานๆ
    เพราะผักเหล่านี้มีผลทำให้อวัยวะภายในเสื่อมไว คือตายไว
    กระเทียมนั้นมีสารกระตุ้นให้หัวใจทำงานหนักและไปกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้เมื่อทานไปมากๆ
    ทำให้รักษาศีลยากสำหรับนักบวช ต้นหอม หัวหอม กระเทียมโทน มีผลทำให้ไตทำงานหนัก
    กินมากๆเท่ากับทำลายไต ทำให้ไตหมดอายุการใช้งานไวขึ้น กุยช่ายและดอกกุยช่าย
    มีผลต่อตับ ทำให้ตับเสื่อมสภาพไว และใบยาสูบ จัดเป็นสิ่งเสพติดที่จะไปทำลายปอด
    ผักดังกล่าวนั้น ส่งผลทำลายอวัยวะภายใน จริงๆแล้วก็ไม่ได้ทำลายโดยตรง
    แต่ส่งผลให้ทำงานหนักแล้วก็เสื่อมสภาพไวกว่าที่ควรจะเป็น เหมือนกับซื้ออุปกรณ์คอมมาใช้
    อย่างพวกเครื่องเขียนแผ่นซีดี ก็มีจะมีจำนวนครั้งในการเขียนแผ่นซีดีอยู่ ถ้านานๆเราเขียนสักที
    ก็อยู่ใช้งานได้นาน แต่ถ้าเราใช้งานถี่ๆไม่นานก็พัง แต่หากวันไหนเราเผลอหรือจำเป็นที่ต้องทานผักพวกนี้
    ก็ไม่ต้องตกใจไม่ได้เป็นบาปเป็นกรรมอะไรหรอกครับ แค่จะตายไวขึ้นเฉยๆ


    ๖.ผักผลไม้ที่มีกลิ่นแรง กินได้ครับ
    ไม่ว่าจะเป็น สตอ ทุเรียน กินได้หมด กาแฟก็ดื่มได้ ถึงจะมีกาเฟอีนแต่ก็มีการควบคุมสารเสพติดอยู่แล้วสามารถดื่มได้


    ๗.กินโปรตีนเกษตร
    อยู่ที่เจตนาของการกิน ถ้าเรากินโปรตีนเกษตร เพื่อให้ได้สารอาหาร ใจบริสุทธิ์ก็กินได้ปรกติ แต่หากกำลังกิน
    แล้วจินตนาการว่ามันคือเนื้อหมูเนื้อไก่ จิตไม่บริสุทธิ์ ถือว่ายังกินเจได้ไม่บริสุทธิ์


    ๘.แยกจานกับคนไม่กินเจ
    ไม่จำเป็นต้องแยก เพราะจานไม่ได้มีผลต่ออาหาร แต่ถ้าทะเลาะกันเรื่องแบ่งแยกจาน จิตสกปรกล่ะ ถือว่าเป็นเจที่ไม่บริสุทธิ์


    อ่านมาถึงตรงนี้อยากจะบอกว่า แก่นแท้ของการกินเจ คือการรักษาศีลให้บริสุทธิ์
    ทั้งภายนอกและภายใน การทานเจคือการทานอาหารที่ไม่เบียดเบียนชีวิต เท่ากับรักษาศีลข้อเบียดเบียนไปด้วย
    และปฏิบัติร่วมกับการรักษาศีลสำรวมระวังทางกาย วาจา และใจ หากเรากินเจแต่ใจเรายังไม่บริสุทธิ์
    ยังคิดแต่เรื่องอกุศลหม่นหมอง ก็จะหากุศลบุญใดจากการทานเจมิได้เลย การทานเจนั้นมิได้ทานเพื่อให้จิตบริสุทธิ์
    แต่ทานเพราะจิตบริสุทธิ์อยู่แล้ว มีเมตตาจิตอยู่แล้ว เมื่อไม่คิดอยากเบียดเบียน ถึงเลือกทานอาหารที่ละเว้น
    จากการเบียดเบียนนั่นเอง จิตเราที่คิดดีตรงนี้ที่เป็นกุศล ก็จะเกิดเป็นผลบุญให้กับเรา
    ผิดกับวัวกับควายที่กินพืชกินผักมาตลอด พวกมันกินเพราะเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีจิตคิดละเว้น ไม่ได้เกิดกุศลจิตใดๆ
    การกินพืชกินผักของสัตว์เหล่านั้นจึงไม่เป็นบุญ การที่มนุษย์บางคนละเว้นจากการทานและเบียดเบียนชีวิตสัตว์
    ย่อมแสดงถึงระดับจิตใจของเขา และควรอนุโมทนา พุทธองค์เองแม้จะไม่ได้บัญญัติห้ามทานเนื้อสัตว์
    แต่ก็ได้ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และห้ามค้าขายเนื้อสัตว์ สัตว์ที่ท่านทั้งหลายทาน ล้วนมาจากการฆ่าและการค้าทั้งสิ้น
    เช่นนั้นแล้วจะเป็นกรรมหรือไม่ รู้เช่นนี้แล้ว ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชน ควรตัดสินใจได้แล้ว
    ว่าเราควรจะเริ่มต้นทีละนิด หรือจะปล่อยให้เป็นไปเช่นเดิม แล้วก็อ้างความเห็นแก่ตัวของตนต่อไป
    ว่าเขาเป็นอาหาร ไม่มีคุณความดี ตายให้เรากินได้บุญมากกว่า เดี๋ยวแผ่เมตตาให้ไปเกิดเป็นคน
    ถามว่า แล้วความเมตตาเอาไปไว้ตรงไหน มนุษย์เป็นสัตว์ทางเลือก เรามีสิทธิ์ที่จะเลือก
    ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้ เพียงแต่จะเลือกเพื่อตนเอง หรือเพื่อส่วนรวมก่อนเท่านั้น





    [​IMG]


    รวมบทความ

    นั่งสมาธิแล้วได้อะไร(ประสบการณ์ตรงจากการบวชพระ1พรรษา)

    ก่อนปฎิบัติต้องทำความเข้าใจเรื่อง "ทาน ศีล ภาวนา รวมถึงการแผ่เมตตา และการอุทิศบุญ"

    วิธีฝึก วิธีคิด สำหรับผู้อยาก"บวชใจ"

    รักษาศีลให้บริสุทธิ์ที่สุดต้องรักษาให้ถึงใจ

    ความหมายแท้จริงของการทาน "เจ"

    วิธีฝึกจิต รับรู้สภาวะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2013
  2. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ผมว่า ใครอยากกินอะไรก็กินไป
    ยังไงก็ซากพืชซากสัตว์ทั้งนั้น ไม่มีสาระอะไรมาก
    กรรมฐานที่พระพุทธเจ้าให้พิจารณาอาหารก่อนกินก็มีอยู่

    ปล.เรื่องกินเจนี่แหละที่ทำให้พระพุทธศาสนามีความสับสนมากสำหรับคนนอก
    จริงๆแล้วน่าจะแยกนิกายออกไปเลยดีกว่าให้ชัดเจน
     
  3. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    จริงๆแล้ว ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องนิกายอะไรหรอกครับ

    อยากจะพูดเรื่องกรรมจากการทานเนื้อสัตว์

    กรรมจากการเบียดเบียนสัตว์มากกว่า

    แต่เพราะภูมิธรรมคนทั่วไป ไม่สูงพอที่จะเข้าใจ

    เลยใช้คำที่ เข้าใจกันถ้วนหน้า

    คือคำว่า เจ

    แต่จุดหมายก็เพื่อให้อ่านทำความเข้าใจ

    ว่าถึงแม้การกินสัตว์ที่ถูกฆ่าตายอยู่ก่อนแล้ว

    เพราะเราไม่ได้เป็นผู้ฆ่า ก็เลยอาจจะคิดว่าไม่บาป

    แต่เมื่อเราเอาเนื้อเขามากิน เท่ากับเรามีส่วนรู้เห็น

    เหมือนการทำแท้ง เราให้เงินเขาไปทำ

    ก็ย่อมบาปร่วมด้วย มีผลกรรมตามสนองชัดเจน

    เรากินอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์

    เพราะมีเราซื้อ เขาถึงต้องเลี้ยงไว้ฆ่า

    นังไงผลกรรมจากการกินเนื้อของเขาก็มีอยู่


    สำหรับสิ่งที่ต้องการที่จะบอกในโพสนี้

    คือ การทานเจ หรือมังสะ ก็ดี

    ไม่ใช่การกินแต่ผัก

    หลายคนกินเจ แบบขาดปัญญา

    รู้แค่่ว่า กินเจ คือ กินแต่ผัก

    เจ จริงๆ คือการทานอาหารละเว้นการเบียดเบียน

    ซึ่งได้ไปร่วมในเรื่องของแก่นแท้ของศีล ๓ ข้อ

    ที่เคยได้โพสไปในกระทู้เรื่อง บวชใจ ไว้แล้วนั่นเอง


    ไม่ได้มาโพสเพื่อให้เลิกทานเนื้อสัตว์กัน

    แค่จะบอกให้เห็นให้รู้ว่า มันเป็นกรรม

    ใครประสงค์จะเพิ่มกรรม สร้างกรรมไม่จบสิ้น

    ก็ทำไป ไม่ได้ห้าม

    ใครภูมิธรรมสูง คิดได้ ปฎิบัติได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี

    เพราะมนุษย์เรามักเอาความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง

    เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น โดยไม่ให้ตนเองรู้สึกผิด

    ทั้งที่ความจริง มันก็ผิด



    ที่พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอน ไม่สั่งให้งดเนื้อสัตว์

    เพราะผู้เข้ามาใน สมณะเพศ ย่อมแสวงหา

    หนทางเพื่อการหลุดพ้น ทุกท่านล้วนสำเร็จอรหันต์

    ไม่ต้องกลับมาชดใช้กรรม จากการกินเนื้อสัตว์

    แต่เราๆทุกคน คิดว่าตนเองไม่ต้องเกิดได้แล้วงั้นหรือ

    กินเนื้อสัตว์สะสมกรรมไว้ กลับมาเกิดใหม่

    ก็จะได้รับกรรมจากการเบียดเบียนสัตว์

    สุขภาพไม่แข็งแรง อายุสั้น เรื่องกฎแห่งกรรมนี้

    มีในปิฏก ค่อนข้างชัดเจน แต่อ่านแล้วไม่ค่อยพิจารณากัน

    ก็เลยไม่เข้าใจ
     
  4. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ถ้าได้อ่านดีดีให้หมด ให้เข้าใจ คุณจะมองออกว่า มันไม่ใช่เรื่องของนิกาย

    แต่เป็นแนวคิดแนวปฎิบัติ ของผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฏก จนเข้าใจแก่นแท้

    ในตำราเรียนกอาจะมีโจทให้เราตอบ เป็น ๒+๒=๔

    แต่ในชีวิตจริง ต้องสร้างโจทเองมากมาย

    ๒+๒=๔ ก็ได้ หรือจะเป็น ๓+๑=๔ ก็ได้อีก หรือ ๑๐-๖=๔

    สมาการคำตอบเดียวกัน ยังสามารถตั้งโจทได้มากมาย

    แนวการคิดการปฎิบัติ อาจดูหลากหลาย แต่ปลายทางหันไปที่เดียวกัน


    พุทธองค์ กำหนด คำตอบมาให้เรา เหมือนๆกัน

    และให้อิสระในการ แก้สมาการ ให้อิสระในการ ตั้งโจท

    มนุษย์ต่างมีความคิด ต่างภูมิธรรม ย่อมมีการสร้างสมาการ ตั้งโจม ที่ต่างกันได้หลากหลาย


    ถูกจริตก็นำไปใช้ ไม่ถูกจริตก็ไม่ได้บังคับ ผมก็แค่ยกสมาการหนึ่ง มาให้พิจารณากัน เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2013
  5. sitwuth

    sitwuth Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2012
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +50
    กินเจ กินพืชผัก คือไม่เกี่ยวกรรมกับสัตว์ ศีลข้อ 1 รวมความถึงต้องไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย เพราะการเกิดเป็นสัตว์ก็คือจิตวิญญาณของคน เปลี่ยนกายสังขารจากร่างคนเป็นอาศัยร่างสัตว์ เพื่อชดใช้กรรมที่เคยก่อกรรมไว้ ลองคิดดูง่ายๆ ถ้าเราต้องชดใช้โดยได้ร่างสัตว์แทนร่างกายเป็นคน เราถูกฆ่า เพื่อนำมาให้คนกิน เราลองคิดดูว่า ร่างของเรา(ในร่างสัตว์) ถูกนำไปปรุงอาหารให้คนอื่นกิน ถึงแม้คนเหล่านั้นที่ได้กิน ไม่ได้ฆ่าด้วยตนเอง แต่เราจะแค้นเพียงแค่คนฆ่าเรา(ในร่างสัตว์)เท่านั้นหรือ ถ้าตอบกันจริงๆ เราคงจะแค้นคนกินด้วย ก็เหตุผลก็คือเพราะมีคนกิน จึงมีคนฆ่าให้คนกิน เหตุคือมีคนกินก่อน ผลคือมีคนฆ่ามาให้กิน โดยผู้ฆ่าจะได้ประโยชน์คือผลตอบแทนเป็นค่าแรง, ค่าจ้าง ค่าขายเนื้อที่ถูกฆ่าไปให้คนอื่นกิน พูดเปรียบเทียบคล้ายๆ กับคนกินคือคนจ้างวานฆ่า โดยที่ไม่ได้เจรจาต่อรองกันก่อน เพราะคนฆ่ารู้ว่า เมื่อฆ่าสัตว์ก็มีคนซื้อไปกินนั่นเอง จึงคำพูดเปรียบเทียบที่ว่า บาปอยู่ที่คนทำ(ฆ่า) กรรมอยู่ที่คนกิน ถ้ามองในทางกลับกัน ถ้าไม่มีคนกิน ก็ไม่มีคนฆ่า
    อีกทั้งพระโพธิสัตว์กวนอิม เคยโปรดเมตตาให้พระโอวาทว่า คนกินเนื้อสัตว์อะไรเข้าไป เราก็ต้องชดใช้กรรมไปเกิดเป็นสัตว์ที่เราเคยกิน ให้คนอื่่นกินเรา(ในร่างของสัตว์)กลับเพื่อชดใช้กรรม นี่เรียกว่า กงกรรมกงเกวียน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2013
  6. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    [​IMG]

    ถูกต้องนะคร้าาาาาาาบบบบ

    คนเราชอบเอาความเห็นแก่ตัวมาอ้าง

    ว่าพวกสัตว์เกิดมาเป็นอาหารมั่งล่ะ

    ดิรัจฉานไม่มีคุณ ตายให้เรากิน ได้บุญมากกว่า

    ส่งเดชไปเรื่อย ๕๕๕ ตอบสนองความคิดที่ผิดของตนเอง
     
  7. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    ชอบประโยคนี้จังครับ

    กราบอนุโมทนากับท่าน จขกท. ด้วยนะครับ
    ผมเองก็ยังเชื่อเรื่อง โครงสร้างทางกายภาพของมนุษย์ที่ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร นะครับ แต่มนุษย์กลับหาช่องทางที่จะกินสัตว์ให้ได้ โดย อ้า.........โน้นนี้นั้น
    เสริม ด้วย
    เรื่อง ของท่านสุชาดาที่เกิดเป็นนกกะยาง แล้วรักษาศีล โดยไม่ยอมกินปลาเป็นๆๆ แต่กินปลาที่ตายเองตามธรรมชาติ(แต่โครงสร้างทางกายภาพของนกกะยาง ต้องกินเนื้อสัตว์ที่เล็กกว่าเป็นอาหาร)

    ปล. ความคิดส่วนตัวน่าาาาครับ ผิดพลาดประการใด อภัยด้วยครับ
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    J47 เคยกินเจได้นานเกิน 7 วันหรือไม่?
     
  9. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ผมถึงแนะนำให้แยกนิกายไงครับ
    เพราะว่า ถ้าเป็นทางเถรวาทนั้น การกินเนื้อสัตว์ยังไม่ถือว่าเป็นบาปเป็นกรรม
    ยังมีองค์ประกอบอื่นๆให้พิจารณา
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รู้เห็นว่าเขาฆ่ามาเพื่อตน

    จริงๆแล้วเรื่องการกินหรือไม่กินอะไรมันง่ายมาก
    เพราะการเลือกกินมันไม่ได้ลำบาก ยิ่งสมัยก่อนจะกินสัตว์ก็ต้องเลี้ยงต้องล่า
    ถ้าบาปกรรมขนาดนี้ คำถามก็คือ... ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ห้ามให้ชัดเจนว่าห้ามกินเนื้อสัตว์
    กลับตรัสถึงเงื่อนไข ในการกินการฉันที่บริสุทธิ์
    อย่าลืมว่าสมัยพระพุทธเจ้านั้น มีพระที่เป็นปุถุชนอยู่เยอะมาก
    ถ้าจะอ้างว่า ล้วนเป็นพระอรหันต์ไม่ต้องชดใช้กรรม แล้วจะห้ามโน่นห้ามนี่ทำไม...?
    วินัยของสงฆ์นั้นก็เรื่องหนึ่ง ศีลธรรมสำหรับฆาราวาสก็ไม่มีข้อไหนห้ามกินเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด


    แต่นั่นแหละครับ ที่ผมสงสัยก็คือ เรากำลังคุยกันอยู่ในวงของพระพุทธศาสนาหรือเปล่า...?
    เพราะการอ้างบาปกรรมนั้นมีในทุกๆศาสนา
     
  10. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090


    มนุษย์เป็นสัตว์ทางเลือกครับ สัตว์ดิรัจฉานเกิดมาใช้กรรม
    แต่มนุษย์เกิดมาใช้กรรม และสร้างกรรม
    เรากินพืชได้ เรากินเนื้อสัตว์ได้
    แต่การกินที่ต้องเบียดเบียน มีผู้เดือดร้อน
    ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ล้วนเกิดเป็นกรรม
    เท่านั้นเองครับ

    กินที่ตายตามธรรมชาติ ไม่ได้เบียดเบียน ก็เลยไม่มีกรรม
    แต่ถ้าตัวที่ขังไว้รอขายแล้วตายเอง ยังไงก็กรรมครับ
    เพราะมีผู้ซื้อ เขาถึงโดนขังเืพื่อรอฆ่าขาย
     
  11. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090


    "ถ้าเป็นทางเถรวาทนั้น การกินเนื้อสัตว์ยังไม่ถือว่าเป็นบาปเป็นกรรม"

    การกินเนื้อสัตว์ที่เป็น ปวัตมังสะ ไม่เห็นเขาฆ่า ไม่สั่งฆ่า ไม่ได้เป็นเหตุให้เขาฆ่า ไม่บาป แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่เป็นกรรม เรามีกายสังขาร ทำอะไร จะนั่งเดินนอนวิ่ง ล้วนเป็นกรรมทั้งสิ้น เหยียบมดตาย ต่อให้เป็นอรหันต์ ก็เป็นกรรม

    ถามว่ามีคนสั่งฆ่าคุณ คนโกรธคุณอาฆาตเฉพาะคนที่ฆ่า หรือคุณอาฆาตคนสั่งฆ่าด้วย และอาฆาตผู้มีส่วนรู้เห็นทั้งหมด

    การที่คุณไปซื้อเนื้อสัตว์ที่ตายอยู่แล้ว มันต่างอะไรกับการที่คุณไปบงการชีวิต
    ให้เขาตายเล่า เพราะมีพวกเราผู้ซื้อ เขาถึงเลี้ยงแล้วก็เอามาฆ่าเพื่อขาย

    บาปบุญมันเกิดที่จิต จิตเราไม่ได้คิดอกุศลเพราะว่า เราไม่ได้เป็นผู้ฆ่า
    เราก็เลยไม่บาป แต่กรรมจากการบงการให้เขาตาย เราต้องรับโทษ
    บาปกับบุญ มันมีเพียงหน้าที่เดียวคือ พาเราไปสวรรค์ หรือ นรก
    แต่กรรมจากการกระทำต่างๆ มันคือผลที่เราจะได้รับเมื่อเราตกไปยังที่นั้นๆ
    ถ้าไม่เข้าใจเรื่องบาปบุญต่างกับกรรมอย่างไร ให้ไปอ่านกระทู้ผม ที่ชื่อ ก่อนปฎิบัติต้องเข้าใจ เรื่อง ทาน ศีล ภาวนา

    สมัยพุทธกาล ผู้ตัดสินใจออกบวชล้วนมุ่งหวังผลคือ นิพพาน
    ต้องการสำเร็จอรหันต์ทั้งนั้น ไม่เหมือสมัยนี้ที่ พระแท้มีน้อย
    ทำเป็นอาชีพกันเสียมากกว่า พุทธองค์ท่านรู็ว่าตามนิสัยฆราวาส
    ที่ทานเนื้อสัตว์จนเห็นเป็นเรื่องปรกติ เป็นความเห็นแก่ตัวที่เคยชินไปแล้ว
    จึงไม่ทรงบัญญัติ เพราะจะเป็นการทรมานสังขาล
    และเล็งเห็นว่า จุดประสงค์เพื่อความพ้นทุกข์ ไปนิพพานได้ก็ไม่ต้องรับกรรม
    จากการกินเนื้อสัตว์เหล่านี้ และถึงแม้จะนิพพานไม่ได้
    ถ้าปฎิบัติตามวินัย มีจิตที่บริสุทธิ์ ก็ย่อมไม่ตกอบายไปชดใช้กรรม
    พุทธองค์แค่ไม่บัญญัติห้าม แต่ไม่ได้หมายความว่ามันถูกต้อง


    ถามว่าสมัยนี้ มีอาหารทางเลือกมากมายที่ ไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อสัตว์
    ถ้าพุทธองค์ยังอยู่ ก็อาจจะบัญญัติ วินัยขึ้นมาใหม่อีก อาจจะให้งดทานเนื้อสัตว์
    ก็เป็นได้ เพราะพระวินัย มันเพิ่มลด ตามยุคตามสมัย ตามสังคมที่เหมาะสม
    แต่ปัจจุบันเรายึดถือ พระวินัยเดิม ตั้งแต่สมัยพุทธกาล
    ทั้งที่พุทธองค์ทรงอนุญาติให้ปรับเปลี่ยนแก้ไข ตามยุคสมัยได้
    แต่ก็เหมือนดาบสองคม ถ้าแก้เอาสิ่งที่ดีออก หรือเพิ่มสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป
    ก็คงมีปัญหา ถ้าคุณไม่เข้าใจ ไปอ่านกระทู้ผมเรื่อง วิธีคิด วิธีฝึก สำหรับผู้อยาก "บวชใจ"

    ศีลธรรมของมนุษย์ มันเจือไปกับความเห็นแก่ตัว
    เรื่องการกินเนื้อสัตว์ เอาความเห็นแก่ตัวมาอ้างกันเสมอ
    ว่า สัตว์เป็นอาหารบ้างล่ะ
    สัตว์มันไม่มีคุณ ตายไป ให้เรากินเพื่ออยู่ ได้บุญมากกว่าบ้างล่ะ
    กิเลสหยาบๆของมนุษย์ข้อนี้ ที่ละกันได้ยาก
    ก็คือ การเบียดเบียนผู้อื่น
    ทุกวันนี้เลยเห็นกันชัด เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อตนเองสบาย


    ผมกำลังพูดถึง ศีล โดยยกการทานอาหารที่ไม่เบียดเบียนขึ้นมา
    เพราะเปรียบกับการรักษาศีล ข้อที่ ๑ ปาณาติปาตา
    และพูดถึงเรื่องของ บุญ และ บาป เรื่องของ กรรม เรื่องของโทษ
    เรื่องพวกนี้ ไม่มีเขียน ไม่มีบอกไว้ ในศาสนาพุทธอย่างนั้นหรือ
    ถึงทำให้คุณคิดว่าไม่ได้อยู่ในวงพุทธศาสนา

    คุณอยากทานเนื้อสัตว์เพื่อสร้างกรรมอย่างที่เป็นอยู่ก็เป็นเรื่องของคุณเอง
    ผมมีหน้าที่ชี้ให้เห็น บอกให้รู้ มิใช่มาบังคับ
    อยากสร้างบุญสร้างกุศล ก็อยู่ที่ตัวเราทำครับ
     
  12. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    ผมว่าแรงไปครับ การโต้แย้งกันโดยใช้เหตุผลนั้นสมควรอยู่ แต่ใครเห็นต่างจะไปไล่เขาไม่ถูกครับ พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วครับ
    ภิกษุฉันปลาและเนื้อได้ หรือท่านใดไม่ฉันก็ได้ ใครพอใจอย่างใดก็ทำอย่างนั้น แม้พุทธบริษัท หรือใครก็ตาม พระองค์ก็มิได้ทรงห้ามการกินปลากินเนื้อ (โดย คณะสหายธรรม)
     
  13. พงพัน

    พงพัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +478
    เรื่องความคิดความเข้าใจของคุณที่เที่ยวมาชี้มาแนะใหคนนั้นคนนี้ทำตามเนี่ยนะ ผมขอบอกเลยครับหรือถ้าคุณศึกษาพระไตรปิฏกมาก็จะทราบเองว่าใครเป็นคนแรกนั่นก็คือ"พระเทวทัต"ในสมัยพุทธกาล ความที่ต้องการจะเป็นศาสดาเสียเองจึงได้บัญญัติข้อวัตรปฏิบัติ ชนิดสุดโต่งขึ้นมาหลายข้อรวมทั้งข้อที่คุณใฝ่ฝันอยากปฏิับัติและชักชวนให้ใครต่อใครปฏิบัติ คงทราบอยู่หรอกนะครับว่า จุดหมายปลายทางของพระเทวทัตก็คือ"มหานรก"คือทำให้สงฆ์แตกแยกเพราะมีพระสงฆ์จำนวนนึงเห็นดีเห็นงามและติดตามไปด้วย พระพุทธเจ้าต้องไปตามกลับมา(ขออภัยจำไม่ได้) สมัยนี้ก็มีพระโพธิรักษ์กับสำนักสันติอโศกที่ปฏิบัติอยู่ผมขอให้คุณสังวรไว้ให้ดีมีตัวอย่างมาแล้ว และสมัยต่อๆมาก็ไม่เคยได้ยินพระสงฆ์วัดไหนๆจะมาเน้นเรื่องการกินเนื้อกินผัก แล้วมีส่วนบุญหรือเป็นบาปมีแต่สั่งสอนให้ญาติโยม"ละชั่วทำดี"แต่ไม่ได้ถึงขนาด"หลักสูตรเทวทัต" ถ้าว่าเป็นบาปเป็นบุญอย่างคุณว่ามาอันนี้ช้าง,ม้า,วัว,ควายได้บุญนำหน้าคุณไปชนิดกู่ไม่กลับแล้วเพราะมันกินมาตั้งแต่เกิดเลยอย่างที่หลวงปู่มั่นได้วิสัชนาเอาไว้จิงมะ เพราะไม่ว่าคุณหรือใครกินผักแค่ไหนอย่างไรก็ไม่นานเท่าพวกนี้แน่นอน ข้ออ้างในพระไตรปิฏกอะไรของคุณถ้ามีมาอ้างก็ให้มันชัดๆดีกว่ามั้ง แต่ที่แน่นอนที่สุดในประเด็นของคุณก็คือทำให้เกิดการแตกแยกทางความคิดในผู้ที่เชื่อส่วนจะเป็นมิจฉาทิฏฐิรึเปล่า ผมมิกล้าแต่ผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่ามีแนวโน้มลงเหวตามพระเทวทัต ความรู้น้อยๆอย่างผมขอเชื่อตามพระพุทธเจ้าดีกว่าคือไม่ได้สุดโต่งในการปฏิับัติซึ่งพระองค์ท่านก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่าการปฏิบัติแบบสุดโต่งนั้นไม่สามารถทำให้พระองค์บรรลพระธรรมไปได้ มองอย่างชาวบ้านนะผมสงสารผู้คนที่ปฏิบัติเยี่ยงนี้จริงๆคือสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตกินอยู่ แนวขวางโลกเพราะแถบบ้านผมนะมีอาหารเจกินปีละครั้งเองครับกินทุกวันต้องทำเองแน่นอน ถ้าไปเที่ยวกับเพื่อนๆในก๊วนก็น่าจะเป็นแกะดำให้เพื่อนๆขำและเวทนา เออแทนที่จะมาวัดกันที่ใครตัดใครละกิเลสหรือฝึกจิตไปได้ถึงขั้นไหนแล้วกลับไพร่ไปใส่ใจกับแค่กินผักกินเนื้อจะอ้างพระไตรปิฏกอยู่หน้าไหนตอนไหนก็ยังไม่มีเห็นชัด วาดฝันได้บุญกุศลขั้นนั้นขั้นนี้ ถ้ามาชักชวนกินเพื่อสุขภาพอะไรก็ว่ากันไป เอาญาติโยมท่านไหนถ้าเห็นดีเห็นงามกับการปฏิบัติเยี่ยงนี้ก็ขอให้ใช้หลักกาลามสูตรพิสูจน์ให้เกิดปัญญาเสียก่อนจะเชื่อมิฉะนั้นท่านอาจจะต้องสำนึกเสียใจ ตัวอย่างชัดแจ้งมีในพระไตรปิฏกแน่นอนก็คือ"พระเทวทัต"ต้นเรื่องผักและผลักให้พุทธศาสนิกชนยุคหลังๆสับสนกันได้ทุกปี ขนาดโดนธรณีสูบลงนรกไปตั้งสองพันกว่าปีแล้วความเชื่อเยี่ยงนี้ไม่ยักกะลงตามไปด้วย ลาละครับเจ้านาย
     
  14. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090

    คุณไม่ได้อ่านและทำความเข้าใจกับบทความของผมแล้ว พูดส่งเดช เอาไปโยงกับพระเทวถัต

    จุดประสงค์ของผม ไม่ได้บอกให้กินแต่ผัก ให้ละเว้นอาหารเบียดเบียน คือไม่ได้ไปก่อเวรทำร้ายให้เขาตาย ถ้าเขาตายเองตามธรรมชาติ โดนไม่ได้ไปเบียดเบียนหรือฆ่า ก็สามารถกินได้ ก่อนจะโวยวายจับแพะชนแกะ ช่วยอ่านให้เข้าใจก่อนครับ ไม่ใช่เห็นหัวเรื่องว่า เจ ก็ตัดสินไปแล้ว ใช้ปัญญาพิจารณาบทความผมสักนิด ผมไม่ได้ให้บัญญัติส่งเดชเหมือนพระเทวถัต

    ถ้าคุณได้อ่านทั้งหมด คุณควรจะเข้าใจ ผมไม่จำเป็นต้องขยายความซ้ำอีก
    อ่านโพสบนๆ ที่เป็นส่วน ขยายความ ก็น่าจะเข้าใจได้ชัด

    พวกดิรัจฉาน อย่างวัวควาย มันกินพืชเป็นปรกติ มันเป็นธรรมชาติของมัน
    มันกินเพราะมันกินได้แต่พืช จิตมันจะเกิดกุศลอะไรให้เป็นบุญ

    แต่ที่คนเราละเว้นการเบียดเบียน จิตเกิดกุศล ตัวบุญมันเกิดตรงนี้

    จะเป็นมิจฉามันก็ที่ความคิดคุณ มาตราฐานความคิดแต่ละคนคิดได้ต่างกัน
    ภูมิธรรมก็ต่างกัน

    คิดดีก็เป็นศรีแก่ตนเอง คิดไม่ดี มันก็โผล่ไม่ดีที่ตนเองนั่นแล

    อ่านไม่เข้าใจ อคติกับคำว่า เจ แสดงความเห็นขวางโลกออกมาได้
    ไม่ได้อ่าน ไม่ได้คิด แล้วอยากจะแสดงความคิดเห็น

    และผมก็ไม่มีสิทธิไปบังคับให้คุณกิน ใครจะกินก็กิน ใครไม่กินก็ไม่กิน

    กระทู้นี้ ชี้ให้พวกที่ขาดปัญญา ให้ผู้ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง
    ของการทาน เจ ว่าคืออะไร มัวแต่คิดว่าเป็นการกินแต่ผัก
    เขาปฎิบัติตามกัน ตนก็ปฎิบัติตามเขาอีกที
    การกินเจ ที่แท้ มันคือการรักษาศีล ทำตนให้บริสุทธิ์ทั้งภายนอกภายใน
    แทนที่จะอ่าน ก็ไม่อ่านกัน แล้วก็มาตอบคำถามแสดงความเขลาเบาปัญญา
    แสดงให้เห็นถึงภูมิธรรมและความอคติของตนเอง
     
  15. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    เบาๆ กันนิดครับ ใจเย็นหน่อย ยิ้มให้กันอีกนิด โลกจะสวยงาม
     
  16. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    เมื่อเราเตะบอลอัดกำแพง แรงสะท้อนจากลูกบอล
    จะสัมพันกับแรงเตะของตนเอง
    ถ้าเตะเบา บอลก็สะท้อนกลับไปเบา
    ถ้าเตะแรง บอลก็สะท้อนกลับไปแรง


    ใครพูดจาใช้คำอย่างไร
    ผมก็ใช้คำอย่างนั้นแหละครับ
    เพื่อให้เขารู้ ให้เขาเห็นโทษจากคำของเขาเอง
    เพราะคำที่ออกจากเขา เขามองไม่เห็นโทษ
    แต่พอคำของเขาออกมาจากคนอื่น
    จะเห็นโืทษจากคำนั้นชัด
     
  17. chiwawa

    chiwawa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +8
    ขออนุโมทนากับคุณtsukino2012ด้วยนะครับ
    ที่กรุณาเขียนบทความที่มีข้อคิดดีๆเกิดขึ้น
    และมีความอดทนต่อความเห็นของคุณพงพัน
    ที่แม้จะดูขลาดเขลาเบาปัญญาที่อ้างพระไตรปิฎกแบบข้างๆคูๆ
    แต่ก็พยายามชี้แจงเหตุผลให้เข้าใจอย่างยิ่ง
    จึงขออนุโมทนาด้วยนะครับ
     
  18. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    เคยตอบไปแล้วนะว่า.. กินรึไม่กิน มันก็แค่การกิน (เหอะๆ ไม่ถูกแต่หวยเนอะ ว่าต้องมีใครบางคนเข้ามาเม้น 555) ท่านคงจำไม่ได้เองนะ

    ครั้งที่แล้วตอบไม่หมด ครั้งนี้จะตอบให้ครบครับ จะได้ไม่คาใจท่านอินฯนะ
    ผมกินอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ปนเลย แม้แต่น้ำปลา ไข่ นมและผักฉุน 5 ชนิด ตั้งแต่ 15 เมษายน 2542 เช้าเที่ยงเย็น จนถึงปัจจุบันครับ โอเคไหมครับ ท่านอินฯ เหอะๆๆ ตอนนี้อายุ 20 ปีเต็มครับ ท่านอินฯ
     
  19. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    ที่พระเทวทัตโดน ธรณีสูบนั้นไม่ได้เกี่ยวกับที่พระเทวทัตขอพระพุทธเจ้า ๕ อย่างนิครับ
    พระพุทธเจ้าตรัสปฏิเสธเงื่อนไขของพระเทวทัตด้วยเหตุผลว่า "อย่าเลย เทวทัต ภิกษุใดปรารถนา ภิกษุนั้นจงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร รูปใดปรารถนาจงอยู่ในบ้าน รูปใดปรารถนาจงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร รูปใดปรารถนาจงยินดีกิจนิมนต์ รูปใดปรารถนาจงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร รูปใดปรารถนาจงยินดีคหบดีจีวร เราอนุญาตโคนไม้เป็นเสนาสนะ 8 เดือน เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยสามส่วน คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ (สงสัยว่าเขาฆ่าเจาะจงตน)" (เพราะไตรปิฎกเล่ม 7 ข้อ 384 หน้า 185)

    ที่โดนสูบเพราะ ได้ทำอนันตริยกรรมคือ ปล่อยช้างตกมันเข้าทำร้ายพระพุทธองค์, จ้างนายธนู 10 ผลัด ไปลอบยิงพระพุทธองค์ แต่ทุกครั้งไม่สามารถทำอะไรพระพุทธเจ้าได้ และกลับเป็นว่าผู้ที่ส่งไปทำร้ายเกิดศรัทธาในพระพุทธเจ้าจนหมดสิ้น ทำให้พระเทวทัตลงมือพยายามลอบปลงพระชนม์เองโดยการกลิ้งหินให้ตกจากหน้าผาเขาคิชกูฏใส่พระพุทธเจ้า แต่หินกลับกระเด็นหนีพระพุทธเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์ แต่สะเก็ดหินก็ทำให้พระพุทธองค์ทรงห้อเลือดเล็กน้อยที่ข้อพระบาท
    ครับ เดี๋ยวจะคลาดเคลื่อนไปกันใหญ่ครับ
     
  20. chiwawa

    chiwawa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +8
    เห็นด้วยครับที่มนุษย์มีสิทธิ์ที่จะเลือกทานได้
    ในฐานะที่มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ และเป็นผู้ครอบครองโลกนี้
    จึงควรมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ร่วมโลกเดียวกัน

    การที่มนุษย์บางคนละเว้นจากการทานและเบียดเบียนเนื้อสัตว์
    ย่อมแสดงถึงระดับจิตใจของเขา และควรอนุโมทนาด้วย
    โดยที่ไม่จำเป็นต้องนำข้อบัญญัติในพระไตรปิฎกใดๆมากล่าวอ้าง
    ทำให้เกิดข้อถกเถียงต่อไปไม่รู้จบ

    พระพุทธเจ้าแม้จะไม่ได้บัญญัติห้ามทานเนื้อสัตว์
    แต่ก็ได้ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และห้ามค้าขายเนื้อสัตว์
    แล้วสัตว์ที่ท่านทั้งหลายทาน ล้วนมาจากการฆ่าและการค้าทั้งสิ้น
    เช่นนั้นจะเป็นบาปหรือไม่?
    แต่บัญญัติของพระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นการณ์ในวันข้างหน้า
    ในต่างสถานที่ต่างกาลเวลา หากบัญญัติห้ามทานเนื้อ
    จะยังภาระและความยุ่งยากต่อญาติโยมในสถานที่อื่นๆ

    แต่ในวัฒนธรรมสังคมชาวอินเดียขณะนั้น
    ผู้คนส่วนใหญ่ทานมังสวิรัติมากกว่า ผู้คนทานเนื้อกันยังไม่มาก
    ทั้งเนื้อสัตว์ก็ยังหายาก ไม่ได้ผลิตกันเป็นอุตสาหกรรมดังเช่นปัจจุบันนี้
    พระพุทธเจ้าจึงเป็นผู้หนึ่งที่ทานมังสวิรัติด้วยเช่นกัน

    การที่ท่านจะอ้างบัญญัติในพระไตรปิฎก
    จึงขอให้พิจารณาเรื่องกาลเวลา วัฒนธรรม ความเหมาะสมด้วย
    และอย่าลืมว่า มนุษย์เป็นสัตว์ทางเลือก
    เรามีสิทธิ์ที่จะเลือก ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้
    เพียงแต่เลือกเพื่อตัวเอง หรือเพื่อส่วนรวมก่อนเท่านั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...