ความหมาย และความสำคัญของวันวิสาขบูชา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Mr.Kim, 17 พฤษภาคม 2008.

  1. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    [​IMG]



    วั น วิ ส า ข บู ช า

    ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖ วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสา - ขบุรณมีบูชา "
    แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ " ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองครั้ง ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน ๗

    ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้
    คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง ๓ คราวคือ

    1. เป็นวันประสูติ

    เมื่อพระนางสิริมหามายาอัครมเหสีในพระเจ้าสุโททะนะ ทรงมีพระประสูติกาลคือ เจ้าชายสิทธัตถะ ณ ป่าลุมพินีวัน ซึ่งเป็นดินแดนระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ กับกรุงเทวทหะ ปัจจุบันเรียกว่า ตำบลรุมมินเด แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล ครั้งนั้นตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี

    2. เป็นวันตรัสรู้

    หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงถือเพศฆราวาสมา 29 พรรษา จนมีพระโอรสคือ พระราหุล แล้วทรงเบื่อหน่ายทางโลก จึงเสร็จออกบรรพชา ทรงประจักษ์หลักธรรมขึ้นในพระปัญญษ และได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย) ตรงกับวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ( ขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนม์มายุได้ 35 พรรษา หลังจากออกผนวช ได้ 6 ปี )

    3. วันปรินิพพาน

    หลังจากพระพุทธเจ้าองค์ทรงใช้เวลาทั้งหมดเผยแพร่พระศาสนาและสั่งสอนธรรมแก่ประชาชน จนพระชนมายุได้ 80 พรรษาก็เสร็จดับขันธปรินิพาน ณ สาลวโนทยาน แขวงเมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมือง กุสีนคระ) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ตรงกับวันอังคารขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ก่อนพุทธศักราช 1 ปี

    นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ที่เหตุการณ์ทั้ง 3 เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกัน นับเวลาหลายสิบปี บังเอิญเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6 ดังนั้นเมื่อถึงวันสำคัญ เช่นนี้ ชาวพุทธทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต ได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาพระพุทธองค์เป็นการพิเศษ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ของพระองค์ท่าน ผู้เป็นดวงประทีปของโลก

    องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก

    ที่มาจาก :http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=16088
     
  2. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr class="m14" valign="top"><td class="m14" align="center" width="50%">[​IMG]
    [​IMG]


    ''วิสาขบูชา''


    </td></tr><tr class="m10" valign="top"><td align="center" width="50%">
    </td></tr><tr valign="top"><td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="m12" align="right" width="100%">โดยศาสตราจารย์พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ (2547)

    </td></tr><tr><td class="m12" align="left" width="100%">วิสาขบูชา เป็นวันที่สำคัญที่สุดวันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนาเพราะ เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งบังเอิญมาตรงกัน คือวัน ๑๕ ค่ำ เดือนวิสาขะ (เดือน ๖) ซึ่งบาลีเรียกว่า "วิสาขะ"พุทธศาสนิกชนทั่วโลกจะจัดให้มีพิธีวิสาขบูชา เป็นพิเศษ โดยเฉพาะในประเทศศรีลังกาจะจัดงานฉลองวันวิสาขบูชายิ่งใหญ่กว่าทุกประเทศ มีการ ประดับโคมไฟทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองโคลัมโบ ความเป็นมาของวันวิสาขบูชา มีดังนี้

    เมื่อก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะต่อกัน พระนางสิริมหามายามเหสีของ พระเจ้า สุทโธทนะ ได้ประสูติพระโอรสพระองค์หนึ่ง ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับการขนานพระนามว่า "สิทธัตถะ"เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเจริญวัยจนมีพระชนม์ ๑๖ พรรษาแล้ว ก็ได้เสด็จเข้าสู่ พระราชพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธรา หรือพิมพา และทรงเสวยสุขอยู่จน พระชนม์ ๒๙ พรรษาก็ทรงมีพระโอรสองค์หนึ่ง พระนามว่า "ราหุล"

    เจ้าชายสิทธัตถะได้พิจารณาเห็นความเปลี่ยนแปลงของโลกของชีวิตทรงเห็นว่า ไม่มีอะไรที่เป็นสาระแก่นสารเลย ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทำให้พระองค์ทรง เบื่อหน่ายในโลกียสุข จึงได้เสด็จออกบวช โดยได้เสด็จไปศึกษายังสำนักอาจารย์ต่าง ๆ อยู่หลายปี แต่ก็ไม่ทรงบรรลุผลสำเร็จ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงหลีกไปแสวงหาทางตรัสรู้ด้วยพระองค์เองจนกระทั่ง พระชนม์ได้ ๓๕ พรรษา ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้ตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาหลังจากที่พระองค์ ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็ทรงใช้เวลาทั้งหมดที่มีอยู่ออกประกาศศาสนา ให้แพร่ไปทั่ว ชมพูทวีป พระองค์ทรงสอนมุ่งให้ประชาชนตั้งอยู่ในความสงบ ขยันขันแข็งในการ ทำมาหากินในทางสุจริต ฯลฯ เป็นเวลาถึง ๔๕ ปี ทรงสามารถวางรากฐานพระพุทธ-ศาสนา ได้อย่างมั่นคงทั่วประเทศอินเดีย จนกระทั่งมีพระชนม์ได้ ๘๐ พรรษา ก็ทรงดับขันธปรินิพพาน ที่ระหว่างต้นสาละคู่ แขวงเมืองกุสินารา ในวัน เพ็ญเดือนวิสาขะเช่นกัน

    โดยเหตุที่เหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิตของพระพุทธเจ้า ๓ ครั้ง คือ วันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพาน ได้มาประจวบในวันเดียวกันเช่นนี้ จึงนับว่าเป็นความมหัศจรรย์ยิ่ง เมื่อถึงวันสำคัญเช่นนี้ พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจึงได้พร้อมใจกันบูชาพระองค์ ฉะนั้นวันนี้จึงเรียว่า วันวิสาขบูชาพิธีวิสาขบูชาไม่อาจทราบได้ว่าเป็นพิธีที่นิยมกันมาแต่ครั้งใดปรากฏแต่ในคัมภีร์ มหาวงศ์ พงศาวดารลังกาว่า สมัยเมื่อพระพุทธศาสนารุ่งเรืองอยู่ในลังกาทวีปราวพุทธศักราช ๔๒๐ พระเจ้าแผ่นดินในช่วงนี้ล้วนเป็นเอกอัครศาสนู ปถัมภกที่ได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาตลอดมา ปรากฏพระนามที่ทรงทำพระราชพิธีวิสาขบูชาประจำปีเป็นการใหญ่หลายพระองค์ เช่น พระเจ้าภาติกราช

    ส่วนในประเทศไทย ประชาชนจะประกอบพิธีบูชาในวันเช่นนี้มาแต่เดิมหรือไม่ ไม่ปรากฏชัดในที่ใด จนถึงสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี จึงได้ความตามหนังสือที่นางนพมาศ แต่งไว้ว่า

    "ครั้นถึงวันวิสาขบูชาพุทธศาสน์ สมเด็จ พระเจ้าแผ่นดิน และพระราชวังข้างหน้า ข้างใน จวนตำแหน่งท้าวพระยา พระหลวง เศรษฐี ชี พราหมณ์ บ้านเรือน โรงร้านพ่วงแพชน ประชาชายหญิง ล้วนแต่แขวนโคมประทีปชวาลาสว่างไสวห้อยพวงบุปผชาติประพรมเครื่องสุคนธรส อุทิศบูชาพระรัตนตรัยสิ้นสามทิวาราตรี มหาชนชวนกันรักษาอุโบสถศีล สดับฟัง พระสัทธรรมเทศนา บูชาธรรม บ้างก็ถวายสลากภัตตาหารสังฆทานข้าวบิณฑ์ บ้างก็ยกขึ้น ซึ่งธงผ้าบูชาพระสถูปเจดีย์ บ้างก็บริจาคทรัพย์จำแนกแจกทานแก่ยาจกทลิทก คนกำพร้าอนาถาชราพิการ บ้างก็ซื้อถ่ายชีวิตสัตว์ จัตุบาทชาติมัจฉาต่าง ๆ ปลดปล่อยให้ได้ความสุขสบาย อันว่าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินและราชตระกูล ก็ทรงศีลบำเพ็ญการพระราชกุศลต่าง ๆ ในวันวิสาขบูชาพุทธศาสน์เป็นอันมาก เพลาตะวันชายแสง ก็เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยราชสุริยวงศ์นางในออกวัด หน้าพระธาตุ ราชอารามหลวงวันหนึ่ง ออกวัดราชบุรณะพระพิหารหลวงวันหนึ่ง ออกวัดโลกยสุธาราชาวาสวันหนึ่ง ต่างนมัสการ พระรัตนัตยาธิคุณ โปรยปรายผกาเกสรสุคันธรสสักการบูชา ถวายประทีปธูปเทียนเวียนแว่น รอบรัตนบัลลังก์ ประโคมดุริยางคดนตรีดีดสีตีเป่าสมโภช พระชินศรี พระชินราช พระโลกนาถ-สัตถารศ โดยมีกมลโสมนัสศรัทธาทุกตัวคน"๑

    และมีคำสรรเสริญว่า "อันพระมหานครสุโขทัยราชธานีถึงวันวิสาขนักขัตฤกษ์ครั้งใด ก็สว่างไปด้วยแสงประทีปเทียน ดอกไม้เพลิง แลสล้างสลอน ธงชายธงปฏาก ไสวไปด้วยพู่พวงดอกไม้กรองร้อยห้อยแขวน หอมตลบไปด้วยกลิ่นสุคนธรสรวยรื่น เสนาะสำเนียงพิณพาทย์ ฆ้องกลองทั้งทิวาราตรี มหาชนชายหญิงพากันกระทำกองการกุศล เสมือนจะเผยซึ่งทวารพิมานฟ้าทุกช่อขึ้น"๒

    แสดงให้เห็นว่า ในสมัยนั้น เมื่อถึงวันวิสาขบูชา ประชาชนชาวไทยนับตั้งแต่องค์
    พระมหากษัตริย์ลงมา จะพร้อมกันรักษาอุโบสถศีล สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา และประดับประดาบ้านช่องด้วยประทีปโคมไฟและดอกไม้ตลอดสามวันสามคืน ซึ่งเป็นการเพิ่มพูนศรัทธาปสาทะให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็นยิ่งขึ้น

    ครั้งถึงสมัยอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานว่าปฏิบัติกันอย่างไร จนมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลที่ ๒ เป็นต้นมา จึงได้มีพิธีวิสาขบูชาเป็นแบบแผนขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๐ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงปรึกษากับสมเด็จพระสังฆราช (มี) แล้วได้ทรงรื้อฟื้นพิธีวิสาขบูชาให้เป็นแบบแผนขึ้น มีพระราชกำหนดเรียกว่า "พระราชกำหนดพิธีวิสาขบูชา" ได้ทรงเกณฑ์ข้าราชการให้ร้อยดอกไม้มาแขวนไว้ในวัดพระศรี-รัตนศาสดารามวันละ ๑๐๐ พวงเศษ ทั้งได้ประกาศเชิญชวนให้ประชาชนรักษาศีลโดยทั่วกัน ให้ไปฟังเทศน์ และให้จุดประทีปโคมไฟทั้งในอารามและตามบ้านเรือนทั่วไป

    ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระองค์ได้ทรงจัดให้มีเทศน์ปฐมสมโพธิว่าด้วยเรื่องราวของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ พระองค์ได้โปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการฝ่ายในเดินเทียนและสวดมนต์ที่พระพุทธรัตนสถานอีกแห่งหนึ่ง

    ส่วนพุทธศาสนิกชนทั่ว ๆ ไป เมื่อถึงวันวิสาขบูชา นอกจากจะทำบุญ ถือศีลและฟังเทศน์แล้ว ตอนเช้าก็จะนำดอกไม้ธูปเทียนไปบูชาตามวัด บางทีก็ไปประชุมกันในโบสถ์ ถ้าโบสถ์แคบไปก็อยู่ข้างนอกโบสถ์บ้าง แล้วผู้เป็นหัวหน้าก็จะกล่าวคำบูชาพระ จบแล้วก็จัดแถวเดินประทักษิณพระอุโบสถ ๓ รอบ เรียกว่า "เดินเวียนเทียน" ในการเดินเวียนเทียนนี้ ต้องสำรวมรักษากิริยามารยาท อย่าเห็นแก่สนุกสนาน ตั้งจิตให้เป็นบุญเป็นกุศล ในรอบแรก ให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ โดยว่า อิติปิโส ภควา ฯลฯ พุทฺโธ ภควาติ. ในรอบที่ ๒ ให้ระลึกถึงพระธรรมคุณ โดยว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ฯลฯ ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิ</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  3. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,157
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +29,709
    วันนี้ ครบรอบวันมรณะภาพของหลวงปู่ครูบาวงศ์ ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม

    อ.ลี้ จ.ลำพูนด้วยครับ
     
  4. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้<O:p</O:p


     

แชร์หน้านี้

Loading...