ความหลงในสงสาร โดย สุทัสสา อ่อนค้อมตอนที่9-12

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 4 ธันวาคม 2009.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    * ตอนที่ ๙ วิปลาส *

    --------------------------------------------------------------------------------
    พระครูจรัญ :กระผมอยากทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ท่านส่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปปราบเขมรขอรับ
    พระ ภิกษุเจ้าตาก :เราได้สั่งให้สหายเราและน้องชายนำทัพไปปราบจลาจลในเขมรและให้ลูกชายเราไป ด้วยอยู่ทางนี้ก็นัดแนะกันว่าให้พระยาสรรค์จับเราซึ่งใช้อุบายเป็นคนวิกล จริตพอดีกับเวลานั้นพระสงฆ์ประพฤติเสียหายกันมากเราเรียกพระทั้งหลายเข้ามา แล้วประกาศว่า เราเป็นพระโสดาบัน และถามพระทั้งหลายว่าพระที่เป็นปุถุชนจะไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันได้ หรือไม่ ถ้ารูปไหนตอบว่า ไม่ได้ก็ถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนต่อหน้าประชาชน การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อให้คนทั้งหลายเห็นวาเราเป็นคนสัญญาวิปลาสผิดจาก มนุษย์ธรรมดาสามัญไม่น่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อีกต่อไป
    พระบัวเฮียว :พระเถรเจ้าสั่งให้เฆี่ยนพระ แล้วไม่บาปหรือขอรับ
    พระ ภิกษุเจ้าตาก :เราไม่ได้สั่งให้เฆี่ยนพระ แต่ให้เฆี่ยนคนโกนหัวห่มผ้าเหลืองหมายความว่าคนที่เราเฆี่ยนไม่ใช่พระ คือเราให้หานักโทษประหารมาโกนหัวแล้วก็ให้นุ่งผ้าเหลือง มิได้มีการบวชแต่อย่างใดอย่างที่บอกเราต้องทำเพื่อความอยู่รอดของชาติบ้าน เมือง ต่อมาทางอยุธยามีเรื่องขึ้นแต่ไม่ร้ายแรงเท่าไร เราสั่งให้พระยาสรรค์ยกกองทัพไปปราบเสร็จแล้วให้ยกกลับมากรุงธนบุรีและล้อม พระราชฐานไว้ และจับเราบวชเสียซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตรมแผนกระนั้นก็ปรากฏว่ามีนายทหารที่ จงรักภักดีและมีฝีมือจะต่อสู้ เราต้องประกาศมิให้สู้เพราะบุญวาสนาของเราหมดแล้ว บ้านเมืองควรเป็นของสองพี่น้องเขาพระยาสรรค์บังคับให้เราบวช แล้วกักบริเวณไว้ที่พระอุโบสถวัดอรุณฯ
    แต่ ต่อมาพระยาสรรค์คิดกำเริบเสิบสาน อยากเป็นใหญ่ หลงใหลตำแหน่งนำเงินที่เราเก็บไว้ไปแจกจ่าย ซื้อพรรคพวกให้สนับสนุน และตั้งตนเป็นกษัตริย์สหายของเราทราบข่าว นำทัพกลับมาตั้งอยู่ที่ “วัดสะแก” พวกทหารแลข้าราชบริพารอัญเชิญให้เถลิงราชสมบัติ สหายเราสระผมที่วัดและแต่งกายให้ดีเตรียมตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดิน วัดนี้จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดสระเกศ” เมื่อมาถึงกรุงธนบุรี สหายเราในฐานะพระเจ้าแผ่นดินก็สั่งประหารชีวิตพระยาสรรค์ที่ทำการเกินพอดี และสั่งประหารชีวิตเราโดยการทุบด้วยท่อนจันทน์ สหายคนที่หน้าตาเหมือนเรา (หลวงอาสาศึก) รับอาสาตายแทน คนที่รู้ความจริงในเรื่องนี้มีเพียง ๒ คนคือสหายของเราและน้องชายของเขา เพราะได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว วันั้นตรงกับวันที่ ๕เมย. ๒๓๒๕
    หลัง ประหารชีวิตเสร็จ ในเวลากลางคืนสหายของเราก็ส่งเราไปนครศรีธรรมราชโดยออกไปทางราชบุรี พักที่ปากท่อก่อนคนที่ติดตามเราไปชื่อเจ้าพัฒน์ซึ่งต่อมาคือเจ้าพระยาพัฒน์ ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชนอกจากนี้เจ้าพัฒน์ยังได้พาชายาคนสุดท้ายของเรา ซึ่งตั้งท้องอ่อนๆไปด้วยเมื่อไปถึงเจ้าพัฒน์ได้พาเราไปอยู่วัดๆหนึ่งเรา ตั้งใจบวชไม่สึกจึงขอให้เขารับชายาของเราเป็นภรรยาเขาและขอให้รับบุตรใน ครรภ์เป็นบุตรของเขาด้วย แต่เจ้าพัฒน์จงรักภักดีจึงปฏิเสธที่จะรับชายาของเราไปเป็นภรรยา เขาเลี้ยงดูชายาของเราอย่างดีที่สุดต่อมาชายาของเราได้ให้กำเนิดบุตรชาย เจ้าพัฒน์ก็ประคบประหงมเลี้ยงดูอย่างดีบุตรคนนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เจ้าพระยานครศรีธรรมราชสืบต่อจากเจ้าพระยาพัฒน์ในสมัยร.๓ ซึ่งทรงทราบว่าเป็นบุตรของเรา แต่ก็ยังทรงแต่งตั้งเท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่ารางวงศ์มิได้มีเรื่องบาดหมาง กับเราบุตรผู้นี้ก็คือต้นตระกูล “ณ นคร” และยังมีบุตรธิดาที่เกิดจากภรรยาคนก่อนๆซึ่งต่อมาคือต้นตระกูล “ณ นครราชสีมา” และ “อินทรกำแหง” ด้วย
    สหาย ของเราและน้องชายของเขาได้บำรุงเลี้ยงเราเป็นอย่างดีแต่งตั้งเจ้าพัฒน์เป็น เจ้าพระยาเพราะเห็นว่าเขาจงรักภักดีต่อเราทั้งที่ไม่รู้ถึงแผนการณ์อันแยบยล ที่เรากับสหายคิดขึ้นหากสหายของเราคิดไม่ดี หรือที่คนสมัยนั้นพากันกล่าวหาว่าเขาเป็นกบฏเขาก็ต้องสั่งประหารชีวิตเจ้า พัฒน์ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเสี้ยนหนามของเขาแต่นี่เขาแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาให้ ครองเมือง จะได้ช่วยดูแลความปลอดภัยให้แก่เราสหายผู้นี้มีบุญคุณต่อเรามาก ราชวงศ์ของเขาจึงเจริญรุ่งเรืองมาทุกยุคทุกสมัยนี่คือความจริงซึ่งไม่ตรงกับ ที่ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้

    * ตอนที่ ๑๐ ละสังขาร *

    --------------------------------------------------------------------------------
    พระ ภิกษุเจ้าตาก : เมื่ออยู่เมืองนครได้ ๒ ปีก็อยากจะมาอยู่เมืองเพชรบุรี ในตอนแรกเจ้าพัฒน์ไม่อยากให้เรามาแต่เมื่อเรายืนยันที่จะมา เจ้าพัฒน์จึงให้คนติดตามมา ๒ คน และให้อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งเราได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในถ้ำ ไม่นานนักก็ “ตัดความหลงในสงสาร” ได้เพราะหลวงพ่อใบป่าเมตตาสอนกรรมฐานอย่างใกล้ชิด
    หลวงปู่เทพโลกอุดร :วันที่พระยาตากบรรลุธรรมสูงสุดคือวันที่เขาละสังขาร
    พระ ภิกษุเจ้าตาก :ขณะที่เราดูดดื่มอยู่ในวิมุติสุข ก็ถูกชายฉกรรจ์ ๒ คนใช้ไม้คมแฝกฟาดที่ศีรษะครั้นเห็นเราไม่เป็นอะไรเพราะกำลังอยู่ในภาวะแห่ง ความหลุดพ้นเขาทั้งสองก็กระหน่ำไม้คมแฝกลงไปอีกอย่างนับไม่ถ้วน เสร็จแล้วก็พากันหนีไปคงจะคิดว่าอย่างไรเสียเราก็คงไม่รอดชีวิตไปได้เพราะ ถูกตีหนักถึงปานนั้นคนดูแลเราก็ถูกฆ่าปิดปากทั้ง ๒ คน
    พระบัวเฮียว :ทำไมหลวงพ่อไม่ช่วยพระเถรเจ้าเล่าครับ
    หลวงปู่เทพโลกอุดร :เรื่องของกรรมไม่มีใครช่วยได้ พระยาตากสร้างกรรมไว้มากจึงต้องรับผล
    พระ ภิกษุเจ้าตาก :คนร้ายเป็นคนของฝ่ายที่คิดจะเอาความดีความชอบจากพระเจ้าแผ่นดินเป็นความ จริงที่ว่าความลับไม่มีในโลกเพราะในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าคนที่ถูกสำเร็จโทษ ไม่ใช่เราเลยกลัวว่าสหายของเราจะรู้เรื่องนี้ จึงพยายามสืบหาเราจนพบ สหายของเรายังมิทันลงโทษกรรมก็ลงโทษพวกเขาเสียก่อน ก็อย่างที่บอกแล้วว่าเกิดกบฏซ้อนกบฏวุ่นวายไปหมดฆ่ากันเองตายตกกันไปตามกัน

    * ตอนที่ ๑๑ กู้พระพุทธศาสนา ๑*

    --------------------------------------------------------------------------------
    พระ บัวเฮียว :กระผมยังอยากฟังพระเถรเจ้าเล่าเรื่องการกู้ชาติตอนที่เกี่ยวกับพระพุทธ ศาสนาขอรับเมื่อต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตทั้งด้านการเมืองและการศาสนา ท่านมีวิธีการอย่างไรจึงสามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้
    พระ ภิกษุเจ้าตาก :แม้บ้านเมืองจะระส่ำระสายเพียงไรเราก็มิได้ทอดทิ้งพระพุทธศาสนาอันเป็นสม บัตืคู่ชาติบ้านเมืองของไทยมาโดยตลอดเพราะเมื่อขึ้นครองราชย์ เราได้ฟื้นฟูพระศาสนาอย่างหนัก เพราะถูกกระทำย่ำยีจากพม่าซึ่งนอกจากจะทำลายถาวรวัตถุต่างๆ แล้ว ยังเผาพระไตรปิฎกจนวอดวายหมดซึ่งเท่ากับพระธรรมถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงเรา ต้องลงไปเมืองนครศรีธรรมราชเพื่อขอยืมพระไตรปิฎกมา บรรทุกใส่เรือขนมาที่ธนบุรีทางโน้นก็คงไม่เต็มใจนักหรอก แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเราซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินเราสั่งให้นำพระไตรปิฎกมา คัด(ลอก)ที่วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) อยู่ ๑ปีเต็ม จึงได้นำไปคืนจากนั้นก็ให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกรวมทั้งคัมภีร์วิสุทธิ มรรคด้วย
    พระครูจรัญ :พระราชกรณียกิจของพระเจ้าตากที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาสรุปได้ดังนี้
    ๑.) ทรงชำระพระอลัชชี (ภิกษุผู้ละเมิดพุทธบัญญัติ) ซึ่งในเวลานั้นมีอยู่จำนวนมากที่เป็นพวกเจ้าพระฝางก็มี ทรงประกาศให้พระสงฆ์หัวเมืองฝ่ายเหนือมาดำน้ำพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน สบงจีวรกองพะเนิน ผู้ใดทนได้ก็โปรดให้อุปสมบทใหม่โดยพระเถระจากธนบุรี ผู้ใดทนไม่ได้ก็ให้สึกออกมาแล้วให้สักข้อมือ ใช้ทำงานหนักผู้ใดกล่าวเท็จว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์กลับสารภาพว่าตนเป็น ปาราชิกก็โปรดให้นำตัวไปประหาร

    พระ ภิกษุเจ้าตาก :การดำน้ำพิสูจน์ความบริสุทธิ์เป็นการไม่ยุติธรรมเพราะพระที่ปาราชิกแต่ สามารถดำได้ตามเวลาที่กำหนดก็มีพระที่บริสุทธิ์แต่ไม่สามารถดำได้ตามเวลาก็ มี แต่ไม่ทราบจะใช้วิธีใดที่ดีกว่านี้ตอนนั้นยังไม่พบหลวงพ่อในป่า ถ้าหากมิได้บวช คงต้องรับกรรมสาหัสเป็นแน่
    หลวง ปู่เทพโลกอุดร : การบวชมิได้เป็นสาเหตุเดียวเพราะถ้าบวชแล้วมิได้ปฏิบัติจนถึงขั้นสามารถตัด ความหลงในสงสารได้พระยาตากก็ต้องรับกรรมหนักหนาสาหัสอย่างที่พูดมา
    พระ ครูจรัญ : เรื่องที่ ๒ทรงให้รวบรวมพระไตรปิฎก คัดลอกจากนครศรีธรรมราช ไว้หลายจบแล้วพระราชทานให้อารามใหญ่ๆ คัมภีร์ใดขาดตกบกพร่อง ทรงให้ไปแสงหาถึงเขมรตอนเสียกรุง วัดและบ้านเมืองถูกเผา ทรงหวั่นเกรงว่าพระไตรปิฎกจะสูญหายโปรดให้สืบหาต้นฉบับพระไตรปิฎกตามหัว เมืองต่างๆเท่าที่จะหาได้มาคัดลอกเอาไว้เพื่อสร้างพระไตรปิฎกฉบับหอหลวงขึ้น
    พระภิกษุเจ้าตาก : แต่การสร้างพระไตรปิฎกยังไม่แล้วเสร็จมีเหตุให้ผลัดแผ่นดิน แต่สหายของเราก็รับงานนี้ไปสานต่อจนสำเร็จ
    พระ ครูจรัญ : เรื่องที่ ๓ ทรงจัดสังฆมณฑล โปรดให้ประชุมพระเถระเท่าที่มีในราชอาณาจักรที่สัดบางหว้าใหญ่ ทรงเลือกพระเถระที่ทรงคุณธรรม แต่งตั้งขึ้นเป็นพระสังฆราชได้แก่พระอาจารย์ศรีจากเมืองนครศรีธรรมราช พระอาจารย์ศรีเป็นชาวอยุธยาและทรงคุ้นเคยกันมาก่อน พระศรีหนีไปนครฯ และทรงแต่งตั้งพระราชาคณะรูปอื่นๆนิมนต์ให้อยู่ตามวัดต่างๆ สั่งสอนคันถธุระและวิปัสสนาธุระต่อไป

    * ตอนที่ ๑๒ กู้พระพุทธศาสนา ๒*

    --------------------------------------------------------------------------------
    พระ ภิกษุเจ้าตาก : ในสมันร.๑สมเด็จพระสังฆราชมีพระนามว่า “ศรี” เป็นองค์เดียวกับพระสังฆราชสมัยกรุงธนบุรีมีคนเข้าใจผิดอยู่มากว่าเป็นคนละ องค์กัน
    พระครูจรัญ : สมัยรัตนโกสินทร์สมเด็จพระสังฆราชศรีถูกปลดจากตำแหน่งคนคิดกันว่าสาเหตุ เนื่องจากได้กราบบังคมทูลถามพระเจ้าตากว่าผู้ที่เข้าเฝ้าโดยมิได้ปลดอาวุธมี โทษสถานใด เพราะขณะนั้นเจ้าพระยาสุรสีห์ (พระอนุชาของ ร.๑) เข้าเฝ้าโดยมิทันปลดอาวุธด้วยเข้าใจผิดคิดว่าทรงกวักพระหัตถ์เรียก จึงขึ้นจากเรือมาเฝ้าขณะนั้นพระสังฆราชศรีกำลังสนทนาธรรมกับพระเจ้าอยู่หัว ที่ท่าน้ำเห็นเจ้าพระยาเข้าเฝ้าในลักษณะนั้น จึงกราบบังคมทูลถามพระเจ้าตากตรัสถามเจ้าพระยาสุรสีห์ ท่านก็ตอบว่ามีโทษประหารชีวิตและกราบทูลให้ประหารชีวิตตนเสียตรัสถามอีกว่า ถ้าไม่ประหารชีวิตจะต้องถูกลงโทษสถานใด ท่านก็ตอบว่าต้องถูกเฆี่ยน ๑๐๐ที ตรัสถามอีกว่าถ้าไม่เฆี่ยน ๑๐๐ ที จะต้องถูกเฆี่ยนกี่ทีท่านก็ตอบว่าต้องถูกเฆี่ยน ๘๐ ที จนที่สุดกราบทูลว่าเฆี่ยน ๖๐ ที จึงทรงเฆี่ยนเมื่อเฆี่ยนได้ ๒๐ ที ก็หยุด เหตุใดไม่ทรงเฆี่ยนต่อขอรับ
    พระ ภิกษุเจ้าตาก :เราเฆี่ยนไม่ลง สหายของเราและน้องชายของเขามีบุญคุณต่อเรามากนึกถึงตอนที่พาโยมมารดาของเรา มาที่จันทบุรีด้วยเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้คนเล่าลือไปว่า เมื่อสหายของเราขึ้นครองราชสมบัติจึงสั่งให้ปลดพระสังฆราชเพราะทรงเชื่อพระ อนุชาแท้จริงเป็นการใส่ร้ายเจ้าพระยาสุรสีห์เราขอยืนยันว่าเจ้าพระยาสุรสีห์ เป็นคนมีจิตใจดีมีเมตตา และที่สำคัญเขารักพระพุทธศาสนาอย่างที่เรารัก ถึงพี่ชายเขาก็เช่นกัน
    ก่อน ที่จะสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชศรีเมืองธนบุรีมีสมเด็จพระสังฆราชอยู่ก่อนแล้ว คือสมเด็จพระสังฆราชดี ที่ผู้คนเลื่อมใสแต่ต่อมาภายหลังเราทราบว่าตอนกรุงแตกครั้งที่ ๒พระอาจารย์ดีเคยบอกที่ซ่อนทรัพย์ผู้อื่นแก่พม่า เมื่อถูกขังอยู่จึงถูกถอดตำแหน่งพระสังฆราช
    พระบัวเฮียว :ทำไมพระอาจารย์ดีต้องบอกที่ซ่อนทรัพย์ผู้อื่นให้แก่พม่าด้วยขอรับ
    พระ ครูจรัญ : ในช่วงกรุงแตกพม่าเที่ยวยึดทรัพย์สมบัติสิ่งของหลวงของราษฎรทั้งทรัพย์ซึ่ง ราษฎรฝังซ่อนไว้ตามวัดวาบ้านเรือน เอาราษฎรที่จับได้ไปชำระซักถามแล้วล่อลวงให้ลวงล่อกันเอง ใครเป็นโจทก์ของที่ซ่อนทรัพย์ของผู้อื่นได้ก็ปล่อยตัวไปส่วนผู้ที่เป็นเจ้า ของทรัพย์ ถ้าไม่บอกให้โดยดี พม่าก็เฆี่ยนตีและทำทัณฑกรรมต่างๆเร่งเอาทรัพย์จนถึงล้มตายก็มีมีเรื่อง ปรากฏขึ้นเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแต่งตั้งพระอาจารย์ดีครั้งกรุงเก่าเป็น สมเด็จพระสังฆราชองค์แรกภายหลังได้ความว่าพระอาจารย์ดีเคยบอกที่ซ่อนทรัพย์ ผู้อื่นให้แก่พม่าเมื่อเวลาถูกขังอยู่พระอาจารย์ดีเลยถูกถอดออกจากที่พระ สังฆราช (พูดกับพระภิกษุเจ้าตาก)กระผมอ่านตามตัวอักษรที่ปรากฏในประชุมพงศาวดารภาค ที่ ๖ เลยนะขอรับ อ่านด้วยกสิณ
    หลวง ปู่เทพโลกอุดร :เราได้มอบไม้เท้าให้ศิษย์ชาวพม่าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองคำ อำเภอภายากจังหวัดเชียงตุง วันหนึ่งศิษย์ของเธอจะไปวัดนี้
    พระครูจรัญ :ศิษย์คนไหนครับ
    หลวง ปู่เทพโลกอุดร : ไม่ใช่พระบัวเฮียวศิษย์ของเธอคนนี้เขาจะมาช่วยเธอสอนกรรมฐานแทนพระบัวเฮียว ขณะนี้เขาอายุ ๑๐ ขวบยังไม่รู้จักเธอและเธอยังไม่รู้จักเขา อีก ๕ ปี เขาจะมาบวชเณรที่วัดป่ามะม่วงสามเณรรูปนี้จะช่วยเธอได้มาก ปี ๒๕๓๗ เขาจะธุดงค์ไปพม่าและจะได้เห็นไม้เท้าของเรา
     

แชร์หน้านี้

Loading...