ความเป็นมา ของพระไตรปิฎก

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย aprin, 28 กรกฎาคม 2009.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๓.ข้อสังเกตบางประการและจุดที่ควรเน้น

    ๓.๑ ความเชื่อหรือค่านิยมที่ยึดถือกันอย่างหนึ่งของคนอินเดียโบราณ นอกจากวรรณะ ก็คือความเชื่อในเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าเมื่ออาบหรือกินแล้วจะทำให้บริสุทธิ์ จึงมีคนลงอาบน้ำ ในแม่น้ำคงคาประจำ โดยเฉพาะที่พาราณสีซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเมืองพระศิวะ และที่เมืองคยาซึ่งถือกันว่าเป็นเมืองพระวิษณุ (วิษณุบาท) แม้ก่อนตายก็สั่งให้ญาติมิตรนำศพไปเผาริมน้ำ แล้วลอยกระดูกและเถ้าถ่านคนที่ยากจนไม่มีฟืนเผาก็เอาศพลอยน้ำ แต่น่าประหลาดทั้งที่น้ำสกปรก แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นพิษแก่ผู้ดื่มกิน (เมื่อสมัยอังกฤษครองอินเดีย ได้มีผู้นำตัวอย่างน้ำไปวิจัย ปรากฏว่ามีความเป็นด่างอย่างแรงพอที่จะทำลายเชื้ออหิวาต์ให้หมดฤทธิ์) การที่พราหมณ์ชวนพระพุทธเจ้าไปอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ มิใช่เป็นการดูหมิ่นพระพุทธ เจ้า แต่ด้วยความปรารถนาดี พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ความบริสุทธิ์มิได้มีด้วยการอาบน้ำ ถ้าจะอาบจริงๆ ก็ให้อาบใจ คือ ปฏิบัติธรรมดีกว่า เป็นการปฏิเสธอย่างนิ่มนวล แต่พระเถรีรูปหนึ่ง (ปุณณิกาเถวี) ว่าเอาแรงๆ กับผู้มาชวนว่า "ถ้าความบริสุทธิ์มีด้วยการอาบน้ำจริง กบ เต่า นาก จระเข้ ปลา คงได้ไปสวรรค์กันหมดแน่ๆ" (ดูตำราพระพุทธศาสนาสำหรับ ม.๔ ของผู้บรรยาย)

    ๓.๒ มีศัพท์ที่ควรทราบในแง่วิชาการศัพท์หนึ่ง คือ "โอปปาติกะ" หรือ อุปปาติกะ ในมหาสีหนาทสูตร ได้ให้นิยามว่า ได้แก่ "เทวดา มนุษย์บางจำพวก วินิบาตบางจำพวก" ส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงโอปปาติกะ มักนึกถึงเทวดา สัตว์นรก ไม่นึกว่ามนุษย์ก็เป็นโอปปาติกะได้ และมนุษย์ประเภทไหนล่ะ

    ในอัฏฐกนาครสูตรได้ตอบข้อสงสัยนี้กล่าวว่า "...ภิกษุนั้นย่อมถึงความสิ้นแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมจะเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับมาโลกนั้นเป็นธรรมดา"

    ข้อความที่เน้นนั้นหมายถึงพระอนาคามี ถึงแม้จะไม่ระบุโดยตรงก็รู้ได้ เพราะพระอนาคามีละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ได้ (และในอรรถกถาบอกชัดว่า โอปปาติกะคือพระอนาคามี) เพราะฉะนั้น พระอนาคามี คือ โอปปาติกะ พระสูตรบางสูตรที่กล่าวว่า ผู้ไม่เชื่อมีโอปปาติกะ เป็นมิจฉาทิฐิ นักวิชาการบางคนไปเน้นแต่เรื่องผีสางเทวดา ที่จริงน่าจะหมายถึงว่า คนที่ไม่เชื่อว่ามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบระดับอนาคามี เป็นมิจฉาทิฐิ

    ๓.๓ ข้อเปรียบเทียบที่คมคายอย่างหนึ่ง คือ เปรียบปริยัติ (การศึกษาเล่าเรียน) ที่เรียนไม่ดีไม่ถูก เช่น เรียนเพื่อโก้ เพื่ออวดคนอื่น เพื่อให้เขาสรรเสริญว่าตนรู้มาก ยิ่งเรียนรู้ทิฐิยิ่งมาก มีแต่นำโทษมาให้ เหมือนจับงูพิษที่หางย่อมถูกงูแว้งกัดเอาถึงตายได้ (ในอรรถกถาธรรมบท เล่าเรื่องนักปริยัติตายไปเกิดเป็นปลาทองปากเหม็น หรือพระพหูสูตรูปหนึ่ง ชื่อ โปฐิละ ถูกพระพุทธเจ้าเรียกว่า "ใบลานเปล่า" แสดงว่าไม่ทรงสรรเสริญความรู้โดยไม่ปฏิบัติ) อีกแห่งหนึ่งในพระสูตรเดียวกันนี้ (คือ อลคัททูปมสูตร) เปรียบธรรมเหมือนแพ สำหรับพาคนข้ามน้ำ ตราบใดที่ยังข้ามไม่ถึงฝั่งแพก็จำเป็น แต่ถ้าถึงฝั่งแล้ว ใครแบกมันไปด้วย เพราะเห็นว่ามันมีประโยชน์เหลือเกินก็จะถูกหาว่าบ้า หรือทำไม่ถูกเรื่อง ธรรมก็เหมือนกัน เป็นเพียง "อุปกรณ์" ให้ผู้ปฏิบัติไปสู่เป้าหมายสูงสุด มิใช่ตัว "เป้าหมายเอง" ตราบใดที่ยังไม่บรรลุนิพพาน ธรรมะก็ยังจำเป็น แต่ถ้าบรรลุแล้วก็หมดความจำเป็น ข้อความตรงนี้เน้นด้วยว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งความดี (ธรรม)

    ๓.๔ วัมมิกสูตร เป็นตัวอย่างปริศนาธรรม (โกอาน) ซึ่งมีไม่มากในเถรวาท ปริศนามีว่า (๑) มีจอมปลวกหนึ่ง กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ (๒) พราหมณ์บอกให้ลูกศิษย์ชื่อสุเมธขุด (๓) สุเมธใช้จอบขุด (๔) พบลิ่มสลัก (๕) ถอดลิ่มสลักออกเจออึ่งอ่าง (๖) ขุดต่อไปเจอทางสองแพร่ง (๗) หม้อน้ำด่าง (๘) เต่า (๙) เขียงหั่นเนื้อ (๑๐) ชิ้นเนื้อ (๑๑) งูใหญ่ (๑๒) พราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์บอกให้เลิกขุด กล่าวว่าอย่าทำอะไรมัน จงปฏิบัติต่อมันให้ดี



    ไขความว่า

    (๑) จอมปลวก หมายถึงตัวเรา กลางคืนเป็นควัน หมายถึงเวลากลางคืนก็นอนคิดวางแผนว่าจะทำอะไรบ้าง กลางวันเป็นไฟ หมายถึงกลางวันก็ต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำตามแผนการที่คิดเอาไว้

    (๒) พราหมณ์ หมายถึงพระศาสดา ลูกศิษย์หมายถึงสาวกผู้ใคร่ธรรมที่ฉลาด (สุเมธ แปลว่าฉลาด)

    (๓) จอบ หมายถึง ปัญญา การขุด หมายถึงความเพียร

    (๔) ลิ่มสลัก หมายถึง อวิชชา ความโง่เขลา

    (๕) อึ่งอ่าง หมายถึง ความโกรธ ความเคียดแค้น

    (๖) ทางสองแพร่ง หมายถึง วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย

    (๗) หม้อน้ำด่าง หมายถึง นิวรณ์ ๕

    (๘) เต่า หมายถึงอุปาทานขันธ์ ๕

    (๙) เขียงหั่นเนื้อ หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ ความคิดคำนึง

    (๑๐) ชิ้นเนื้อ หมายถึง ความเพลิดเพลินยินดี (นันทิราคะ) ในรูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้นนั้น

    (๑๑) งูใหญ่ หมายถึงพระอรหันต์ พอถึงภาวะเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้อง "ขุด" อีกต่อไป เพราะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

    ๓.๕ สาระของการบวช หรือเป้าหมายของการบวชอยู่ที่ไหน ในจูฬสาโรปมสูตร ได้พูดถึงบุรุษต้องการแก่นไม้ แต่แทนที่จะเอาแก่นก็เอากิ่งและใบบ้าง สะเก็ดบ้าง เปลือกบ้าง กระพี้บ้าง ด้วยสำคัญผิดคิดว่าเป็นแก่น แล้วเปรียบเทียบกับกุลบุตรบางคน (หรือหลายคน) ออกบวช ตั้งใจ จะพ้นทุกข์ แต่ข้อปฏิบัติของเขาไม่ต่างอะไรกับบุรุษไม่รู้จักแก่นไม้

    - บางคนบวชแล้ว มีลาภสักการะ มีชื่อเสียง ก็อิ่มใจ พอใจ นึกว่าตนเป็นพระรวย พระดังดูถูกพระรูปอื่น คนชนิดนี้บวชมาได้เพียง "กิ่งและใบศาสนา"

    - บางคนไม่พอใจแค่ลาภสักการะ ชื่อเสียง พยายามรักษาศีลให้บริบูรณ์ พอใจในศีลกระหยิ่มว่าเราเป็นพระเคร่ง ดูถูกดูหมิ่นพระอื่นๆ ว่าไม่เคร่งเท่าตน เขาได้เพียง "สะเก็ดศาสนา"

    - บางคนไม่พอใจแค่ศีล พยายามปฏิบัติจนได้สมาธิ ดูถูกดูหมิ่นพระอื่นๆ เพราะความสมบูรณ์ด้วยสมาธิของตน เขาได้เพียง "เปลือกศาสนา"

    - บางคนไม่พอใจแค่นั้น พยายามปฏิบัติจนได้ญาณทัศนะ (การรู้เห็นตามความจริง) หรือปัญญา พอใจแค่นั้น ยกตนข่มเหงผู้อื่น เพราะปัญญาที่ได้นั้น คนนี้ได้เพียง "กระพี้ศาสนา"

    - บางคนไม่พอใจแค่นั้น พยายามปฏิบัติจนได้อาสวักขยญาณ (หมดอาสวะ), วิมุตติ (หลุดพ้นจากกิเลส) คนนี้เรียกว่าบวชมาแล้วได้ "แก่นศาสนา"



    สรุป

    ลาภสักการะ = กิ่งและใบศาสนา

    ศีล = สะเก็ดศาสนา

    สมาธิ = เปลือกศาสนา

    ญาณทัศนะ หรือปัญญา = กระพี้ศาสนา



    อาสวักขยญาณ หรือวิมุตติ (หลุดพ้นจากกิเลส) ที่ไม่กำเริบอีก = แก่นศาสนา

    ๓.๖ พระพุทธศาสนานั้นมิได้ละเลยคนที่ด้อยโอกาส ถือว่าทุกคนเป็น "เวไนย" (ผู้ที่ฝึกอบรมได้) มหาโคสิงคสาลสูตร ได้ให้ "คติ" เกี่ยวกับเรื่องนี้ ป่าโคสิงคสาละ ร่มรื่น สงบสงัดดีเหลือเกิน พระเถระหลายรูป มี พระสารีบุตร พระมหากัสสปะ เป็นต้น สนทนากัน พระสารีบุตรตั้งคำถามว่าป่าที่น่ารื่นรมย์ เหมาะที่พระเช่นใดจะอยู่ พระเถระแต่ละรูปเอาคุณสมบัติที่ตัวมีเป็นเกณฑ์วัด

    พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นผู้ถือธุดงค์เป็นวัตร สันโดษอยู่อย่างปอนๆ ก็บอกว่า พระที่มีลักษณะอย่างนี้ ควรอยู่ป่านี้

    พระอนุรุทธะ ผู้เป็นเลิศทางทิพยจักษุ ก็บอกว่า พระที่ได้ทิพยจักษุควรอยู่ป่านี้

    พระอานนท์เลิศทางพหูสูต ก็บอกว่า พระที่เป็นพหูสูต ควรจะอยู่ป่านี้

    พระเรวตะ ผู้ชอบหลีกเร้นเข้าฌานสมาบัติ ก็บอกว่าพระเช่นนี้ควรอยู่ป่านี้

    พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ควรที่พระสองรูปจะอยู่ด้วยกัน สนทนา "พระอภิธรรม" กันตลอดไม่หยุดพักเลย

    พระสารีบุตรไม่เห็นด้วยในทัศนะของท่าน ท่านว่าพระที่ยังจิตให้อยู่ในอำนาจได้ อยากจะเข้าสมาบัติเวลาใดก็ทำได้ทันที ควรจะอยู่ป่านี้

    (อ่านต่อฉบับหน้า)

    หน้า 31

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdPUzB5TkE9PQ
     
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    พระเถระทั้ง ๖ รูป ไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า ทัศนะของแต่ละท่านถูก "โดยปริยาย" แต่ไม่ถูกทั้งหมด เพราะแต่ละท่านวางเกณฑ์ไว้สูงเกินไป ผู้ที่มีความพร้อมอย่างนั้นจะอยู่ที่ไหนก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ป่าที่เป็นสัปปายะเช่นนี้ ควรที่พระธรรมดาๆ จะอยู่บำเพ็ญเพียรทางจิต "ภิกษุ (ปุถุชน) ในศาสนานี้ กลับจากบิณฑบาต ใช้เวลาหลังภัตแล้ว นั่งคู่บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่าจิตของเรายังไม่หมดความยึดมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะ ตราบใดเราจะไม่ทำลายบัลลังก์ (คือไม่ยอมลุก) ตราบนั้น ป่าโคสิงคสาลวันพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้"

    ๓.๗ พระพุทธเจ้าทรงเป็นยอดนักสอนคน (อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ) กลวิธีการสอนที่ทรงใช้บ่อย คือ ยกสภาวะแวดล้อมใกล้ตัวขึ้นมาเปรียบเทียบ จะเรียกว่าใช้เป็น "สื่อการสอน" ก็ได้ สิ่งหนึ่งที่เห็นบ่อยๆ ในอินเดีย คือ โค โคเป็นอุปกรณ์สำหรับนำมาสอนพระสาวกและประชาชนบ่อยครั้ง เช่น

    "คนโง่ย่อมแก่เปล่าเหมือนโคถึก เจริญแต่เนื้อหนังมังสา แต่ปัญญาหาเจริญไม่" (ธรรมบท)

    "เด็กเลี้ยงโคต้อนโคไปหากิน ชราและมรณะก็ไล่ต้อนอายุคนเช่นกัน" (ธรรมบท)

    "โคจ่าฝูงนำลูกฝูงข้ามแม่น้ำ ถ้าจ่าฝูงเดินคด ฝูงโคก็เดินคดตาม ผู้นำไม่ดี ประชาชนก็ไม่ดีไปด้วย" (สังยุตตนิกาย)

    ในมหาโคปาลสูตร ได้ยกเอาคุณสมบัติของเด็กเลี้ยงโคมาเป็นตัวอย่างแก่พระสาวก น่าสนใจคือ

    - นายโคบาลที่ดี ต้องรู้จักรูปพรรณของโค เปรียบกับพระรู้จักมหาภูตรูปและอุปาทายรูป

    - รู้จักลักษณะโค เปรียบกับพระรู้จักลักษณะพาลและบัณฑิต

    - รู้จักเขี่ยไข่ขาง (ขี้แมลงวันที่แผลโค) เปรียบพระที่รู้จักกำจัดความคิดฝ่ายอกุศล

    - รู้ปิดแผลโค เปรียบพระรู้จักสำรวมอินทรีย์ (ตา หู...)

    - รู้จักสุมควัน เปรียบกับพระรู้จักแสดงธรรมให้คนฟังโดยพิสดารได้

    - รู้จักท่าน้ำ เปรียบกับพระรู้จักเข้าไปปรึกษาหารือกับพระผู้รู้ธรรม

    - รู้จักน้ำดื่ม เปรียบกับพระรู้อรรถรู้ธรรม เมื่อมีผู้แสดงธรรมที่พระตถาคตประกาศแล้ว

    - รู้จักทาง เปรียบกับพระรู้จักอริยมรรคมีองค์แปด

    - รู้จักทำเล (โคจร) เปรียบพระที่รู้จักสติปัฏฐาน

    - รู้จักรีดนม เปรียบกับพระรู้จักประมาณในการรับปัจจัยสี่

    - รู้จักทะนุถนอมพ่อโคผู้นำฝูง เปรียบกับพระที่รู้จักแสดงความเคารพนับถือพระผู้ใหญ่ที่เป็นสังฆบิดร

    ๓.๘ พระธรรมเทศนาสอนเด็ก มีไม่มาก แต่วิธีการสอนเด็กของพระพุทธเจ้านั้นนับว่าน่าสนใจมาก พระองค์จะตั้งคำถามง่ายๆ พร้อมทั้งอุปกรณ์ประกอบให้เด็กคิด เช่น ตอนสอนเรื่องพูดเท็จ ทรงต้องการสอนว่า คนที่พูดเท็จประจำไม่มีความดีอะไรเหลือในตัว ทรงเอาขันตักน้ำแล้วเททิ้ง เหลือน้ำในขันหน่อยหนึ่ง...เทน้ำหน่อยหนึ่งทิ้งเสีย...คว่ำขันลง...หงายขันเปล่าขึ้น แต่ละขั้นตอนทรงถามนำให้เด็กคิด น่าจะนำมาประยุกต์สอนธรรมแก่เด็กอย่างยิ่ง

    ๓.๙ จากหลักฐานในพระสูตรน่าเชื่อว่า เดิมพระท่านฉันมื้อเดียว (เอกาสนํ เอกโภชนํ) แต่ไม่จำกัดเวลา ฉันเวลาไหนก็ได้ เวลาไปบิณฑบาตได้อาหารมาพอฉันแล้ว ก็หาที่ฉันเลย ฉันเสร็จก็เดินกลับวัด พระอุทายีไปบิณฑบาตเวลามืดค่ำ ชาวบ้านเห็นตกใจ นึกว่าผีหลอก บางคนก็ด่า (คำด่าน่าสนใจ ปิตา เต มาริ มาตา เต มาริ = พ่อมึงตาย แม่มึงตาย น่าจะตรงกับคำด่าแม่ของไทย) ฉันในเวลาวิกาล ในเวลากลางคืน (รตฺติ วิกาลโภชนํ ปชหถ) แสดงว่าเวลาวิกาลหมายเอาตั้งแต่มืดไป ก่อนมืดเป็นกาล ฉันได้ มีข้อน่าคิดในแง่วิชาการก็คือ

    คำ "วิกาล" มีใน ๒ สิกขาบท คือ "เข้าบ้านเวลาวิกาล ต้องบอกลาเพื่อนพรหมจรรย์ก่อน" และ "ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล" พระอรรถกถาจารย์ตีความไม่เหมือนกัน (ทั้งที่ศัพท์เดียวกัน)

    วิกาล ในเรื่องการเข้าบ้าน หมายเอาตั้งแต่มืดไปแล้ว

    วิกาล ในเรื่องฉันอาหาร หมายเอาตั้งแต่เที่ยงไป แต่ในพระบาลีท่านหมายเอา "ตั้งแต่มืดไป" เหมือนกัน เพราะเหตุนี้กระมังพระทิเบตจึงฉันข้าวเวลาเย็น

    ส่วนการฉันสองมื้อนั้น เนื่องมาจากนางวิสาขาทำข้าวยาคูไว้ถวายพระเวลาเช้า ก่อนออกบิณฑบาต พระรูปใดต้องการก็ไปฉันข้าวยาคูก่อน ต่อมาก็เลยกลายมาเป็นฉันอาหารมื้อเช้าไป (เรื่องนี้มีเล่าในอรรถกถาธรรมบท อาจเป็นเหตุการณ์ในลังกาสมัยผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ก็ได้)

    การบิณฑบาต มิใช่เพียงการไปขอข้าวชาวบ้านฉัน แต่เป็นการหาโอกาสแสดงธรรมแก่ชาวบ้านด้วย เพราะฉะนั้นจึงเรียกกันว่าเป็นการ "โปรดสัตว์" ขณะเดียวกันพระพุทธองค์ก็ทรงสอนว่า การบิณฑบาตที่จะบริสุทธิ์ควรทำอย่างไร เช่น สำรวมมิให้อกุศลเกิดในใจ ละกามคุณ นิวรณ์ เป็นต้น พูดง่ายๆ ว่า ให้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นการฝึกตนชนิดหนึ่งด้วย

    ๓.๑๐ พวกพราหมณ์ มักมีความเชื่อฝังหัวว่า คนเก่ง คนดี จะต้องมีบุคลิกดี นรลักษณ์ดี หาไม่แล้วจะไม่ยอมสนทนาด้วย บังเอิญว่าพระพุทธองค์ทรงมีคุณสมบัติเช่นนี้ครบถ้วน จึงสนทนากับพวกเขาได้สบายในหลายสูตร พราหมณ์มักจะส่งลูกศิษย์มาดู (หรือมาดูเอง) นรลักษณ์พระพุทธเจ้าก่อน จึงจะยอมสนทนาธรรมด้วย นรลักษณ์ที่สำคัญ คือ ลิ้นใหญ่ คุยหะซ่อนอยู่ในฝัก (โกโสหิตํ วตฺถุคุยฺหํ) จนพระพุทธเจ้าต้องแสดงให้ดู

    นอกจากนี้ ยังดูลายเท้าด้วย ดังเรื่องเล่าในอรรถกถาธรรมบท พราหมณีผู้เชี่ยวชาญ "ปาทศาสตร์" บอกไว้ว่า...

    "คนเจ้าราคะ เท้าเว้ากลาง รตฺตสฺส หิ อุกฺกุฏิกํ ปทํ ภเว

    คนเจ้าโทสะ เท้าหนักส้น ทุฏฺฐสฺส โหติ สหสานุปีฬิตํ

    คนเจ้าโมหะ เท้าจิกปลาย มูฬฺหสฺส โหติ อวกฑฺฒิตํ ปทํ

    คนหมดกิเลส เท้าเรียบเสมอ วิวฏจฺฉทสฺส อิทมีทิสํ ปทํ"

    ๓.๑๑ พระพุทธเจ้าเป็น "ศาสดาที่ไม่กระหายสาวก" ไม่คำนึงว่าใครจะนับถือหรือไม่ต้องการชี้ทางสว่างแห่งชีวิตแก่เขาเป็นที่ตั้ง พระสูตรหลายแห่งเล่าถึงสาวกคนสำคัญของศาสนาเชน เช่น สีหเสนาบดีที่มาสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใส อยากจะทิ้งศาสนาเดิมของตนมานับถือพระพุทธศาสนา แทนที่พระพุทธองค์จะรีบรับ กลับตรัสให้เขาคิดให้ดีก่อนตั้งสามครั้ง สร้างความประหลาดใจให้แก่สีหเสนาบดีมาก ถึงกับอุทานว่า "เมื่อสมัยเขามานับถือศาสนาเชนใหม่ๆ พวกเขาถือธงเที่ยวประกาศทั่วเมืองไพศาลีว่า คนสำคัญ เช่น เสนาบดีนับถือศาสนาเชนของเราแล้ว แต่พระพุทธองค์กลับตรัสเตือนว่า คิดดูให้ดีก่อน"

    ในหมู่พระสงฆ์สาวก พระพุทธองค์เป็น "ศูนย์รวมจิตใจ" เป็นกัลยาณมิตรที่ดี คอยประทานโอวาทแนะนำ มิใช่ "คุมอำนาจสั่งการ" ทรงเปิดโอกาสให้สาวกวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบพระองค์ได้ ดังใน วีมังสกสูตร และปวารณาสูตร เป็นตัวอย่าง ที่ทรงทำเช่นนี้เพราะต้องการให้สาวกนับถือเคารพพระองค์เพราะคุณธรรมมากกว่าติดในบุคคล (ดังกรณีเตือนพระวักกลิ เป็นต้น)

    ๓.๑๒ อัคคิวัจฉโคตตสูตร ให้แนวคิดว่า พระพุทธศาสนาอยู่กึ่งกลางระหว่างสัสสตทิฐิกับอุจเฉททิฐิอย่างไร ถ้ามีคนถามว่า พระอรหันต์ตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด พระองค์ไม่ตอบตรงๆ เพราะถ้าตอบว่า "เกิด" คนฟังก็จะคิดว่าอาตมันยั่งยืน นิรันดร ไม่ตาย ถ้าตอบว่า "ไม่เกิด" คนฟังก็จะคิดว่าอาตมันดับสูญไม่นิรันดร พระองค์จึงตรัสตอบด้วยอุปมาว่า

    "ถ้ามีเชื้อไฟอยู่ ไฟก็ลุกไหม้ เมื่อเชื้อหมดไป ไฟก็ดับ พระอรหันต์ท่านดับสนิทเหมือนไฟดับ" แต่จากอุปมานี้เอง พวกมหายานนำเอามาคิดในแง่อภิปรัชญา จนได้คำตอบว่า ไฟที่ดับไปแล้วยังคงอยู่ (exist) ฉันใด พระอรหันต์ดับไปแล้วก็ตอบได้เหมือนกันว่าคงอยู่ เพราะเหตุนี้ฝ่ายมหายานจึงบัญญัติความคิดเรื่องตรีกาย เชื่อว่าพระพุทธเจ้านิรันดรเป็นพัฒนาการเลยเส้นเดิมของเถรวาท

    ๓.๑๓ อังคุลิมาลปริตร ที่ชาวพุทธถือว่าเป็นบทมนต์ทำให้คลอดบุตรง่าย พระนิยมสวดในงานมงคลต่างๆ นั้น บางท่านอ้างว่ามีมาแต่สมัยพุทธกาล แต่ที่จริงแล้วในพระสูตรพูดถึงพระองคุลิมาลตั้งสัจจะกล่าวคาถานี้จริง หญิงมีครรภ์หายปวด คลอดลูกด้วยความปลอดภัยจริงแต่ไม่ปรากฏว่าถือเป็นมนต์ขลังเลย การถือขลังเรื่องปริตรต่างๆ เกิดขึ้นในสมัยหลัง (คงเกิดที่ประเทศลังกา) แต่บางครั้งผู้แต่งหนังสือมักจะเอามาพัวพันกับสมัยพุทธกาล

    หน้า 31

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdPUzB5TlE9PQ
     
  3. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>๑. โครงสร้างสังยุตตนิกาย สังยุตตนิกาย

    สคาถวรรค(๑๕) นิทานวรรค(๑๖) ขันธวารวรรค(๑๗) สฬายตนวรรค(๑๘) มหาวารวรรค(๑๙)

    เทวตาสังยุตต์ อภิสมยสังยุตต์ ขันธสังยุตต์ สฬายตนสังยุตต์ มัคคสังยุตต์

    เทวปุตตสังยุตต์ ธาตุสังยุตต์ ราธสังยุตต์ เวทนาสังยุตต์ โพชฌังคสังยุตต์

    โกสลสังยุตต์ อนมตัคคสังยุตต์ ทิฏฐิสังยุตต์ มาตุคามสังยุตต์ สติปัฏฐานสังยุตต์

    มารสังยุตต์ กัสสปสังยุตต์ โอกกันตสังยุตต์ ชัมพุขาทกสังยุตต์ อินทรียสังยุตต์

    ภิกขุนีสังยุตต์ ลาภสักการสังยุตต์ อุปปาทสังยุตต์ สามัณฑสังยุตต์ สัมมัปปธานสังยุตต์

    พรหมสังยุตต์ ราหุลสังยุตต์ กิเลสสังยุตต์ โมคคัลลานสังยุตต์ พลสังยุตต์

    พราหมณสังยุตต์ ลักขณสังยุตต์ สารีปุตตสังยุตต์ จิตตคหปติปุจฉาสังยุตต์ อิทธิปาทสังยุตต์

    วังคีสสังยุตต์ โอปัมมสังยุตต์ นาคสังยุตต์ อสังขตสังยุตต์ อนุรุทธสังยุตต์

    วนสังยุตต์ ภิกขุสังยุตต์ สุปัณณสังยุตต์ คามณิสังยุตต์ ฌานสังยุตต์

    ยักขสังยุตต์ คันธัพพกายสังยุตต์ อัพยากตสังยุตต์ อานาปานสังยุตต์

    สักกสังยุตต์ วลาหกสังยุตต์ โสตาปัตติสังยุตต์

    วัจฉโคตตสังยุตต์ สัจจสังยุตต์

    สมาธิสังยุตต์

    ๒.เนื้อหาสาระ

    (๑) สคาถวรรค

    ๒.๑ เทวตาสังยุตต์ ประมวลเรื่องเทวดา เทวดาที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ส่วนมากจะไปด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ไปทูลถามปัญหาข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ อีกอย่างหนึ่ง ตนคิดคำสุภาษิตหรือคติธรรมอะไรได้ ก็ไปกล่าวต่อพระพักตร์ ทำนองขอความเห็นจากพระพุทธเจ้า ถ้าพระองค์เห็นว่าเหมาะสมแล้วก็จะตรัสรับรอง ถ้าทรงเห็นว่ายังไม่สมบูรณ์ ก็จะตรัสที่ถูกต้องให้ฟังเทวตาสังยุตต์นี้แบ่งเป็นสูตรสั้นๆ รวม ๓๐ สูตร เป็นคาถาหรือบทกวีทั้งคำถาม คำตอบ มีร้อยแก้วปนบ้าง ส่วนมากไพเราะทั้งคำและความ จะขอยกมาเป็นตัวอย่างบางสูตร

    (๑) เทวดา

    กาลเวลาล่วงไป ราตรีผ่านไป อจฺเจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย

    วัยก็ผ่านไปตามลำดับ วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ

    เมื่อกลัวตาย เอตํ ภยํ มรเณ เปกฺขมาโน

    พึงทำบุญที่จะนำสุขมาให้ ปุญฺญานิ กยิราถ สุขาวหานิ

    พระพุทธเจ้า

    (เหมือนข้างต้น)

    พึงละโลกามิส มุ่งสันติ (นิพพาน) โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข

    (๒) เทวดา

    ตัดเท่าไร ละเท่าไร กติ ฉินฺเท กติ ชเห

    เจริญเท่าไร กติ จุตฺตริ ภาวเย

    ข้ามเท่าไร กติ สงฺคาติโค ภิกฺขุ

    จึงเรียก "ข้ามน้ำ" โอฆติณฺโณติ วุจฺจติ

    พระพุทธเจ้า

    ตัดออกห้า ละห้า ปญฺจ ฉินฺเท ปญฺจ ชเห

    เจริญอีกห้า ปญฺจ จุตฺตริ ภาวเย

    ข้ามห้า ปญฺจ สงฺคาติโค ภิกฺขุ

    เรียกว่า "ข้ามน้ำ" โอฆติณฺโณติ วุจฺจติ

    (๓) เทวดา

    อยู่ลำเนาไพร อรญฺเญ วิหรนฺตานํ

    สงบ ประพฤติพรหมจรรย์ สนฺตานํ พฺรหฺมจารินํ

    ฉันมื้อเดียว เอกภตฺตํ ภุญฺชมานานํ

    ทำไมผิวพรรณผ่องใสนัก เกน วณฺโณ ปสีทติ

    พระพุทธเจ้า

    ไม่หวนถึงอดีต อตีตํ นานุโสจนฺติ

    ไม่คิดพระวงอนาคต นปฺปชปนฺตินาคตํ

    มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ปจฺจุปฺปนฺเนน ยาเปนฺติ

    ผิวพรรณจึงผ่องใส เตน วณฺโณ ปสีทติ

    (๔) เทวดา

    คนมีบุตรเพลิดเพลินเพราะบุตร นนฺทติ ปุตฺเตติ ปุตฺติมา

    มีโคเพลิดเพลินเพราะโค โคมิโก โคหิ ตเถว นนฺทติ

    มีสมบัติเพลิดเพลินเพราะสมบัติ อุปธีหิ นรสฺส นนฺทนา

    ไร้สมบัติ หามีความเพลิดเพลินไม่ น หิ โส นนฺทติ โย นิรูปธี

    พระพุทธเจ้า

    คนมีบุตรเศร้าโศกเพราะบุตร โสจติ ปุตฺเตหิ ปุตฺติมา

    มีโค เศร้าโศกเพราะโค โคมิโก โคหิ โสจติ

    มีสมบัติ เศร้าโศกเพราะสมบัติ อุปธีหิ นรสฺส นนฺทนา

    ไร้สมบัตินั่นแหละไม่เศร้าโศก น หิ โส โสจติ โย นิรูปธี

    (๕) เทวดาถามว่า "กระท่อมท่านไม่มีหรือ รังท่านไม่มีหรือ ผู้สืบต่อท่านไม่มีหรือพันธะท่านไม่มีหรือ" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ไม่มี ในความหมายของฉัน มารดาคือกระท่อม ภริยาคือรัง บุตรคือผู้สืบทอด ตัณหาคือพันธะ สิ่งเหล่านี้เราละได้หมดแล้ว" เทวดาชมเชยว่า "ดีจริง ท่านไม่มีกระท่อม ไม่มีรัง ไม่มีผู้สืบทอด ไม่มีพันธะ"

    (๖) พระพุทธเจ้า

    จงเอาเยี่ยงเต่า หดหัวในกระดอง กุมฺโมว องฺคานิ สเก กปาเล

    ภิกษุระงับความตรึกตรองกุศล สโมทหํ ภิกฺขุ มโนวิตกฺเก

    ไม่ทะยานอยาก ไม่เบียดเบียนใคร อนิสฺสิโต อญฺญมเหฐยนฺโต

    ไม่ว่าร้ายใคร สงบเย็นจริง ปรินิพฺพุโต นูปวเทยฺย กญฺจิ

    (๗) เทวดา

    ยุ่งทั้งภายใน ยุ่งทั้งภายนอก อนฺโตชฏา พหิชฏา

    หมู่สัตว์ถูกตัวยุ่งพันนุงนัง ชฏาย ชฏิยา ปชา

    ท่านโคตมะ เราขอถาม ตํ ตํ โคตม ปุจฺฉามิ

    ใครจะสางเรื่องยุ่งนี้ได้ โก อิมํ วิชฏเย ชฏํ

    พระพุทธเจ้า

    คนมีปัญญา มั่นในศีล สีเล ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ

    เจริญสมาธิและปัญญา จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ

    ฉลาด ขยัน เห็นภัย อาตาปี นปโก ภิกฺขุ

    ย่อมสางเรื่องยุ่งนี้ได้ โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdPUzB5T0E9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2009
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๒.๓ โกสลสังยุตต์ ประมวลเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าโกศล ๒๕ สูตร พระเจ้าโกศลในที่นี้คือ พระเจ้าปเสนทิผู้ปกครองแคว้นโกศล ผู้ปกครองพวกศากยะ พระประยูรญาติของพระพุทธเจ้า พระเจ้าปเสนทิโกศลอยากเป็นญาติกับพระพุทธเจ้าโดยสายเลือด จึงขอนางขัตติยนารีศากยตระกูลมาเป็นมเหสี ในด้านศาสนานั้นพระองค์เป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธ เจ้ามาก ถือว่าเป็นพระญาติในทางธรรมทีเดียว ว่ากันว่าเวลาพบพระพุทธเจ้าพระองค์ก้มลงแทบพระยุคลบาท แล้วจุมพิตด้วยความอ่อนน้อม จนพระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ทำไมต้องแสดงความเคารพมากมายถึงขนาดนั้น พระองค์กราบทูลว่า เพราะพระพุทธองค์เป็น "ผู้ประดิษฐานพหูชนไว้ในกุศลธรรม" ได้ทำประโยชน์แก่โลกอย่างมหาศาล เวลาว่างพระเจ้าปเสนทิโกศลมักเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลถามปัญหาต่างๆ อยู่เสมอ มีเรื่องน่าสนใจหลายเรื่อง จะขอประมวลมาแต่พอสังเขป ดังต่อไปนี้

    (๑) ทหรสูตร พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถามว่าพระพุทธเจ้ายังหนุ่มแน่น ทำไมจึงได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณในขณะที่เจ้าลัทธิอื่นแก่ๆ ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ควรดูหมิ่น ๔ สิ่ง คือ

    - กษัตริย์เยาว์วัย - งูตัวเล็ก

    - ไฟน้อยนิด - ภิกษุหนุ่ม

    (๒) ชฎิลสูตร ครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลกำลังอยู่ในสำนักของพระพุทธเจ้า มีชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน นิครนถ์นุ่งผ้า ๗ คน ปริพาชก ๗ คนเดินผ่านมาพระเจ้าปเสนทิโกศลทำผ้าเฉวียงพระอังสะ ประคองอัญชลีไปทางนักพรตพวกนั้น แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า นักพรตพวกนั้นเป็นพระอรหันต์ หรือไม่ก็บรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่ง

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า มหาบพิตรเป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม มีโอรส มีชายา เป็นปุถุชนรู้ได้อย่างไรว่าคนพวกนี้เป็นอรหันต์ แล้วตรัสเตือนพระสติว่า

    - จะรู้ว่าใครมีศีลหรือไม่ ต้องอยู่ร่วมกันนานๆ

    - จะรู้ว่ามีความสะอาดหรือไม่ ด้วยการพูดจา

    - จะรู้ว่ามีปัญญาหรือไม่ ด้วยการสนทนา

    - จะรู้ว่ากำลังใจเข้มแข็งหรือไม่ ก็ต่อเมื่อตกอยู่ในอันตราย

    (สํโวหาเรน พระไตรปิฎกภาษาไทยแปลว่า "การงาน" แต่อรรถกถาต้องการให้แปลว่าการพูดจา)

    (๓) ปัญจราชสูตร สูตรนี้เกี่ยวกับโลกียวิสัย พระราชา ๕ องค์ ถกเถียงกันว่าอะไรเป็นยอดของกาม บางองค์ว่า รูป เสียง รส กลิ่น สัมผัส เมื่อตกลงกันไม่ได้จึงพากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

    คำตอบของพระพุทธองค์น่าประหลาดว่ามิได้ปฏิเสธเรื่องกาม (คงเป็นเพราะกำลังพูดถึงเรื่องชาวโลก ไม่ใช่หลักธรรมชั้นสูงเพื่อการพ้นทุกข์) พระองค์ตรัสว่า

    "ความพอใจ เป็นยอดแห่งกาม

    ลงคนได้พอใจในส่วนตัวแล้ว

    ไม่ว่ารูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ใด

    ก็นับว่า เป็นของยอดเยี่ยมสำหรับเขา"

    (๔) โทณปากสูตร พระสูตรนี้พระองค์ทรงบอกเคล็ดลับทำให้แก่ช้า หรือสูตรชะลอความแก่ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเสวยจุ รู้สึกอึดอัด อุ้ยอ้าย ไม่กระปรี้กระเปร่า พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงตรัสบอกเคล็ดให้เป็นคาถาว่า

    มนุษย์มีสติทุกเมื่อ มนุชสฺส สทา สตีมโต

    รู้ประมาณในการกิน มตฺตํ ชานโต ลทฺธโภชเน

    เวทนาย่อมเบาบาง ตนุกสฺส ภวนฺติ เวทนา

    อายุย่อมแก่ช้า สณิกํ ชีวติ อายุ ปาลยํ

    พระเจ้าปเสนทิโกศลรับสั่งให้มหาดเล็กท่องคาถานี้ให้ได้ แล้วท่องให้พระองค์ฟังทุกครั้งที่เสวยพระกระยาหารเพื่อเตือนสติให้เสวยน้อยลง ไม่นานพระองค์ก็ทรงทำได้ มีพระวรกายกระปรี้กระเปร่า ทรงระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าว่า "พระพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์เราด้วยประโยชน์ทั้งประโยชน์เฉพาะหน้าและประโยชน์ระยะยาว"

    (๕) ธีตุสูตร ครั้งหนึ่งเมื่อมหาดเล็กมากราบทูลว่าพระนางมัลลิกาอัครมเหสี มีพระประสูติกาลให้กำเนิดแก่พระธิดา พระเจ้าปเสนทิโกศล ไม่ทรงเบิกบานพระทัย เพราะทรงอยากได้พระโอรสมากกว่า

    พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง ได้ตรัสแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลในวันหนึ่งว่า

    สตรีบางคนก็ประเสริฐ (กว่าชาย) เสียอีก

    สตรีที่ฉลาด มีศีล

    นับถือแม่สามีดังเทวดา จงรักสามี

    ให้กำเนิดแก่บุตรที่แกล้วกล้า เป็นเจ้าคนนายคน

    บุตรของสตรีที่เป็นภริยาดีเช่นนี้

    สมควรครองราชสมบัติ

    ๒.๔ มารสังยุตต์ ประมวลเรื่องมาร มารที่มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า (และพระสาวก) นั้นมาหลายลักษณะ มาแกล้งเวลากำลังนั่งสมาธิก็มี แปลงเป็นภาพหรือสัตว์ที่น่ากลัวก็มี มาถามปัญหาลองภูมิปัญญาก็มี ขอยกมาเป็นตัวอย่างบางเรื่อง ดังนี้

    (๑) ตโปกัมมสูตร มารเข้าไปหาพระพุทธเจ้า กล่าวทำนองตำหนิพระพุทธเจ้าที่เลิกบำเพ็ญตบะว่า

    คนทั้งหลายบริสุทธิ์ด้วยตบะ ท่านเลิกตบะแล้วเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์

    สำคัญตนว่าบริสุทธิ์ ท่านพลาดจากมรรคาแห่งความบริสุทธิ์เสียแล้ว

    พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าเป็นมาร จึงตรัสสำทับว่า

    "เรารู้แล้วว่าตบะไม่เป็นประโยชน์ ดุจถ่อหรือแจว ไม่มีประโยชน์บนบก เราเจริญศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นทางตรัสรู้อย่างยอดเยี่ยม ดูกรมาร เรากำจัดท่านได้เสียแล้ว"

    (๒) ปฐมอายุสูตร มารกล่าวคาถาในสำนักพระพุทธเจ้า ทำนองอวดว่าความคิดของตนแหลมคม ความว่า....

    อายุของสัตว์ทั้งหลายยืนยาว คนดีไม่ควรดูหมิ่นอายุนั้น

    ควรทำเหมือนเด็กมุ่งแต่จะกินนม ความตายยังห่างไกล

    พระพุทธองค์ตรัสว่า...

    อายุของสัตว์ทั้งหลายน้อยนิด คนดีควรดูหมิ่นอายุนั้น

    ควรทำดุจคนถูกไฟไหม้ศีรษะ (ต้องรีบหาน้ำดับ) การที่จะไม่ตายเป็นไปไม่ได้

    (๓) สกลิกสูตร ขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังบรรทมด้วยสีหไสยา มารมากระซิบว่า ท่านนอนด้วยความเขลา หรือมัวเมาคิดกาพย์กลอนอยู่ ท่านอยู่ที่สงัดแต่ผู้เดียว ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะนอน ท่านหลับเชียวหรือนี่

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    เราไม่ได้นอนด้วยความเขลา หรือมัวเมาคิดกาพย์กลอน

    เราอยู่ที่สงัดผู้เดียว นอนรำพึงด้วยความเอ็นดูในหมู่สัตว์

    คนทั้งหลายมีลูกศร (คือกิเลส) เสียบอก โมหะครอบงำใจให้ลุ่มหลง ยังนอนหลับได้ เราปราศจากลูกศรเสียบอก

    ไฉนจะหลับไม่ได้เล่า เราก็มิได้หวาดหวั่น ถึงหลับที่ไหน

    ก็มิได้เกรงกลัว เรามองไม่เห็นความเสื่อมใดๆ มีความเอ็นดูในหมู่สัตว์ทั้งหลาย จึงนอนหลับ

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdPUzB6TUE9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2009
  5. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๔) สัตตวัสสสูตร สูตรนี้กล่าวว่า พญามารได้ตามพระพุทธเจ้ามา ๗ ปี คอยจ้องหาโอกาสพระองค์เผลอ ดึงกลับสู่โลกียวิสัยให้ได้ แต่ก็ไม่ได้ช่อง วันหนึ่งไปหาพระพุทธเจ้ากล่าวว่า

    ท่านมีความทุกข์โศกอะไรหรือ จึงมาอยู่คนเดียว เสื่อมจากสมบัติแล้วหรือ

    หรือว่าหาช่องทำชั่วช้าไม่ให้ใครรู้เห็น ทำไมไม่ไปสมาคมกับหมู่คนเล่า

    พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า

    เราขุดรากถอนโคนความโศกหมดแล้ว ไม่มีความชั่วจะต้องแอบทำ

    เราไม่เกี่ยวเกาะในภพ (ความมี ความเป็น) หมดกิเลสแล้ว

    นั่งเข้าฌานอยู่คนเดียว

    มารกล่าวว่า

    ถ้าใจของท่านยังข้องอยู่ใน "ตัวฉัน" "ของฉัน" สมณะเอย ท่านไม่มีทางพ้นมือเรา

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    สิ่งที่คนยึดมั่นถือมั่น เราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่คนทั้งหลายเขาว่า

    "เป็นฉัน" เราก็ไม่ยึดอย่างนั้น มารเอย จงรู้เถิด ท่านไม่มีทางตามเราทัน

    มารกล่าวตัดพ้อว่า

    เมื่อท่านรู้ทางไปนิพพานแล้ว ทำไมไม่ปลีกตัวไปตัวคนเดียวเล่า ชวนคนอื่นไปด้วย

    ทำไม

    พระพุทธองค์ตรัสว่า

    คนที่ถึงฝั่ง (พระนิพพาน) แล้ว ย่อมพ้นเงื้อมมือมาร

    มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องแสดงสัจธรรมเครื่องพ้นกิเลส

    มารกล่าวด้วยความเสียใจ ว่าตนได้ถูกพระพุทธเจ้ากำจัดเสียแล้ว มิต่างอะไรกับปูถูกหักก้าม ความพยายามของตนที่จะทำลายพระพุทธเจ้า เหมือนดังกาเห็นหินสีดุจมันข้น นึกว่าเป็นอาหารบินมาด้วยความยินดี เมื่อไม่ได้อาหารก็บินหนีด้วยความผิดหวัง

    ต่อมาธิดามารทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางราคา นางอรดี เห็นบิดาเสียอกเสียใจ จึงขันอาสามายั่วพระพุทธเจ้าต่างๆ นานา แต่ก็ไม่สามารถทำให้พระองค์ยินดี จึงกลับไปหาบิดา พญามาร เห็นดังนั้นจึงบอกพวกเธอว่า ฉันนึกแล้วว่าพวกเธอจะทำไม่สำเร็จ การรบกับพระสมณโคดม ยากยิ่งกว่าเอาก้านบัวหรือเอาเล็บโค่นภูเขา หรือเคี้ยวเหล็กกล้าให้แหลก

    ๒.๕ ภิกขุนีสังยุตต์ ประมวลเรื่องของภิกษุณี ส่วนมากเป็นเรื่องมารเข้าไปรบกวนภิกษุณี ขณะที่ท่านอยู่รูปเดียวในรูปแบบต่างๆ เช่น ชักชวนให้ไขว้เขวบ้าง ขู่ให้กลัวบ้าง ภิกษุณีได้โต้ตอบและขับไล่มารไป เป็นสูตรสั้นๆ รวม ๑๐ สูตร ขอยกมาเพียง ๔ สูตร

    (๑) อาฬวิกาสูตร มารบอกนางอาฬวิกาภิกษุณี ไม่มีทางออกจากทุกข์ได้ อย่าพยายามเลยกลับไปเสวยกามารมณ์อย่างเดิมเถิด นางภิกษุณีตอบว่า มีสิ ทางออกจากทุกข์นั้นฉันรู้ดี ท่านต่างหากไม่รู้จักทางนั้น กามทั้งหลายเปรียบด้วยหอกหลาวและผีร้าย ฉันหายินดีไม่

    (๒) โสมาสูตร มารกระซิบบอกนางโสมาภิกษุณีว่า นางเป็นสตรีมีปัญญาแค่สองนิ้ว (ปัญญาน้อย) ไม่มีทางจะลุถึงเป้าหมายที่ต้องใช้ความอดทนอย่างมากได้ นางโสมาภิกษุณีตอบว่า

    ไม่เกี่ยวกับเป็นสตรีหรือไม่ ขอให้จิตตั้งมั่นได้ญาณ เห็นธรรมโดยชอบเป็นใช้ได้ เมื่อถึงวาระนั้นแล้วไม่มีคำว่าสตรี หรือบุรุษ หรือคำว่าเรา

    (๓) วิชยาสูตร มารกล่าวชวนนางวิชยาภิกษุณี ให้มาร่วมการเสวยกามคุณด้วยกัน เพราะยังสาวอยู่ นางกล่าวตอบว่า

    รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอันน่ารื่นรมย์ เรามอบให้ท่านคนเดียว

    เพราะเราไม่ต้องการมัน เราเบื่อหน่ายรูปกายอันเหม็นเน่าแล้ว

    เราหมดกิเลสตัณหา เลยขั้นที่จะติดอยู่ในรูปธรรม นามธรรมแล้ว

    (๔) วชิราสูตร มารถามปัญหาลึกซึ้งผิดวิสัยสัตว์ระดับมารจะสนใจ คือ ปัญหาว่าใครสร้างสัตว์ ผู้สร้างอยู่ที่ไหน สัตว์เกิดที่ไหน ดับที่ไหน

    นางภิกษุณีกล่าวว่า

    ทำไมท่านยังมีความคิดว่ามี "สัตว์" ในกองสังขาร (สิ่งผสม ทั้งหลาย)

    ไม่มีคำว่า "สัตว์" เมื่อขันธ์ทั้งหลายประกอบกันเข้า เขาก็สมมติกันว่า

    "สัตว์" ความจริงสัตว์ไม่มี มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิด ทุกข์เท่านั้นที่ดับ

    นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ

    ๒.๖ พรหมสังยุตต์ ประมวลเรื่องเกี่ยวกับพรหม ที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ถามปัญหาบ้าง พรหมที่สนับสนุนให้คนประพฤติธรรมบ้าง พรหมที่มีความเห็นผิด ถูกพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลายแนะนำให้เกิดสัมมาทิฐิบ้าง มีทั้งหมด ๑๕ สูตร ยกมาเป็นตัวอย่างเพียงสูตรเดียว

    (๑) อายาจนสูตร สูตรแรกนี้เกี่ยวกับพรหม มาอัญเชิญพระพุทธเจ้า แสดงธรรมแก่ชาวโลก ข้อความซ้ำกับพระวินัยปิฎกเล่ม ๔ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสใหม่ๆ ทรงเห็นว่าธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นลึกซึ้งเกินกว่าคนที่มีกิเลสทั้งหลายจะเข้าใจ ทรงดำริจะไม่แสดงแก่ใคร สหัมบดีพรหมจึงมาอัญเชิญพระองค์ ในที่สุดทรงรับคำอัญเชิญ โปรดสังเกตพระพุทธเจ้าดำรัสแสดงเหตุผลที่ไม่อยากแสดงในชั้นต้น

    ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ ลึกซึ้ง อธิคโต มยายํ ธมฺโม คมฺภีโร

    เห็นยาก รู้ตามยาก สงบ ประณีต ทุทฺทโส ทุรานุโพโธ สนฺโต ปณีโต

    หยั่งไม่ได้ด้วยตรรกะ ละเอียด บัณฑิตเท่านั้นพึงรู้ อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโย

    หมู่สัตว์นี้ยินดีในอาลัย (กิเลส) สนุกในอาลัย อาลยรามา โข ปนายํ อาลยรตา

    หมกมุ่นในอาลัย การที่หมู่สัตว์ผู้ยินดี สนุก หมกมุ่น อาลยสมุทิตา อาลยรามายโข

    อยู่ในอาลัย จะเห็น (เข้าใจ) ธรรมะ คือ ปชาย อาลยรตาย อาลยสมุทิตาย

    ปฏิจจสมุปบาท (หรือ) อิทัปปัจจยตานี้ไปได้ยาก ทุทฺทสํ อิทํ ยทิทํ อิทปฺปจฺจยตา

    ปฏิจฺจสมุปฺปาโท


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB3TVE9PQ
     
  6. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    คำอัญเชิญของสหัมบดีพรหมก็มีเหตุผลน่าฟัง คือ "หมู่สัตว์ที่มีธุลีในดวงตาน้อย (มีกิเลสเบาบาง) ก็มีอยู่ ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม เขาก็จะเสื่อมจากธรรม ไม่มีโอกาสได้รู้"

    ในสูตรนี้ (เช่นเดียวกับในวินัยปิฎก) ทรงเปรียบหมู่สัตว์เหมือนดอกบัว ๓ ประเภท ไม่ใช่ ๔ ประเภท (ดอกบัวประเภทที่ ๔ เพิ่มเข้ามาในภายหลัง) นี้แสดงว่าทัศนะของพระพุทธองค์ไม่มีคนที่เรียกว่า "โปรดไม่ขึ้น" ทุกคนเป็น "เวไนย" (ฝึกได้ โปรดได้) ทั้งนั้น (ดูข้อสังเกตข้างท้าย)

    ๒.๗ พราหมณสังยุตต์ ประมวลเรื่องพราหมณ์ ตลอดระยะเวลาที่พระพุทธองค์ทรงประกาศศาสนา ผู้ที่เดือดร้อนมากที่สุดคือพวกพราหมณ์ เพราะหลักคำสอนของพระพุทธองค์สวนทางกับความเชื่อของเขา จึงมีพราหมณ์มาก้าวร้าว ด่าว่า หรือมาโต้วาทะหักล้างพระองค์เสมอ แต่ก็เอาชนะพระองค์ไม่ได้ ผลที่สุดก็นับถือพระองค์เป็นสรณะส่วนมาก ที่ไม่ทิ้งศาสนาของตน แต่ชื่นชมพระปรีชาสามารถของพระองค์ก็มีไม่น้อย ในสังยุตต์นี้จึงประมวลเรื่องเกี่ยวกับพราหมณ์ไว้ ๒๒ สูตรด้วยกัน ขอยกมาเฉพาะที่น่าสนใจ

    (๑) อักโกสสูตร พราหมณ์ภารทวาชะ โกรธแค้นพระพุทธเจ้า (บอกว่าโกรธที่ชวนพราหมณ์ภารทวาชโคตรไปบวช คงเกี่ยวข้องเป็นพี่น้องหรือญาติกัน) ไปด่าพระองค์มากมายจนเหนื่อย ก็ไม่ได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบจากพระองค์ พระองค์กลับชวนคุยด้วยไมตรี

    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า เคยมีแขกมาเยี่ยมพราหมณ์ที่บ้านบ้างหรือไม่ เมื่อเขาตอบว่ามี ตรัสถามว่า เอาของเคี้ยว ของบริโภค หรือน้ำดื่มต้อนรับเขาไหม พราหมณ์ตอบว่าต้อนรับตามธรรมเนียมของเจ้าของบ้าน ตรัสถามต่อว่า ถ้าเขาไม่ดื่มไม่กินของนั้นกลับไป ของนั้นจะตกเป็นของใครพราหมณ์ตอบทันทีว่า "ก็เป็นของผู้เป็นเจ้าของบ้าน" เสร็จแล้วพระพุทธองค์จึงตรัสว่า "เช่นเดียวกันนั่นแหละพรามหณ์ ท่านด่าเราเราไม่รับคำด่าของท่าน คำด่านั้นก็ตกเป็นของท่านสินะ"

    พระพุทธองค์ตรัสสอนต่อว่า

    "ผู้โกรธคนที่ด่าว่า เลวกว่าคนที่ด่าว่าเสียอีก คนที่ไม่โกรธคนที่ด่าว่า นับว่าชนะสงครามที่ชนะได้แสนยาก คนที่มีสติยั้งใจไม่ให้โกรธเวลาเขาด่า นับว่าทำประโยชน์ทั้งแก่ตนและแก่คนอื่นด้วย แต่คนเช่นนี้ คนที่ไม่เข้าถึงธรรม มักหาว่าเป็นคนโง่"

    (๒) สุนทริกสูตร สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ถามว่า พระพุทธเจ้าชาติอะไร

    พระองค์ตรัสตอบว่า ชาติอะไรไม่สำคัญ พุทธวจนะตอนนี้ไพเราะมาก

    อย่าถามถึงชาติกำเนิดเลย จงถามถึงความประพฤติเถิด มา ชาตึ ปุจฺฉ จรณญฺจ ปุจฺฉ

    ไฟไม่ว่าเกิดจากไม้อะไร ก็ลุกเป็นเปลวเหมือนกัน กฏฺฐา หเว ชายติ ชาตเวโท

    ถึงจะสกุลต่ำ แต่สงบ มีปัญญา หักห้ามใจจากการทำชั่ว นีจากกุลีโน มุนี ธิตีมา

    ก็เป็นคนดี อาชานิโย โหติ หิรีนิเสโธ

    (๓) กสิสูตร สูตรนี้เรียกว่าเป็นสูตร "การทำนาแบบพุทธ" ก็เห็นจะได้ มีพราหมณ์คนหนึ่งต่อว่าพระพุทธองค์เที่ยวเดินเพ่นพ่านไปทั่วขณะที่คนอื่นเขาไถนา ปลูกข้าวเลี้ยงชีวิต พระองค์ตรัสตอบว่า พระองค์ก็เป็นชาวนาเหมือนกัน พราหมณ์ย้อนถามว่า แอก ไถ โค เป็นต้น ของท่านอยู่ที่ไหน พระองค์ตรัสเป็นคาถา ความว่า

    ศรัทธาเป็นพืช ความเพียรเป็นฝน สทฺธา พีชํ ตโป วุฏฺฐิ

    ปัญญา เป็นแอกและเป็นไถ ปญฺญา เม ยุคนงฺคลํ

    หิริ เป็นงอนไถ ใจเป็นเชือก หิริ อีสา มโน โยตฺตํ

    สติเป็นผาลและปะฏัก สติ เม ผาลปาจนํ

    ตรัสต่อไปว่า การทำนาชนิดนี้จะต้องมีการสำรวมกาย วาจา รู้ประมาณในการกิน มีสัจจะ โสรัจจะ (ความสงบเสงี่ยม) บากบั่นไม่ท้อถอย การทำนาชนิดนี้มีผลเป็นอมตะ ทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง

    ๒.๘ วังคีสสังยุตต์ ประมวลเรื่องเกี่ยวกับพระวังคีสะ ท่านรูปนี้เป็นกวี มักกล่าวคาถาประพันธ์ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าอย่างไพเราะเพราะพริ้ง และได้รับคำชมเชยจากพระพุทธองค์เสมอ บทกวีของท่านจึงเป็น "กวีธรรมะ" แท้จริง มีทั้งหมด ๑๒ สูตร ยกมาเพียงบางสูตร

    (๑.) อานันทสูตร เมื่ออุปสมบทใหม่ๆ เพราะความเป็นกวีมีอารมณ์อ่อนไหวพระวังคีสะจึงถูกราคะกิเลสรบกวนบ่อยครั้ง วันหนึ่งขณะตามพระอานนท์ไปบิณฑบาต นึกถึงอารมณ์อันสุนทรีย์ขึ้นมา ถูกราคะครอบงำใจ จึงกล่าวบทกวีขอคำแนะนำจากพระอานนท์ว่า

    ผมถูกราคะแผดเผา กามราเคน ฑยฺหามิ

    จิตใจของผมเร่าร้อน จิตฺตํ เม ปริฑยฺหติ

    โปรดบอกวิธีด้วยเถิด สาธุ นิพฺพาปนํ พฺรูหิ

    กรุณาเถอะ ท่านโคตมะ อนุกมฺปาย โคตม

    พระอานนท์บอกวิธีแก้ คือ ไม่ให้กำหนดหมายว่าสวยงาม ให้พิจารณาตามหลักไตรลักษณ์เจริญอสุภะ และกายคตาสติเสมอ และราคะก็สงบ

    (๒.) สุภาสิตสูตร พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระ ซึ่งมีพระวังคีสะอยู่ด้วย ว่า วาจาที่เป็นสุภาษิต จะต้องมีองค์ประกอบ ๔ อย่าง เรียงตามลำดับความสำคัญ คือ

    พูดดี ไม่พูดชั่ว พูดเป็นธรรม

    พูดคำเป็นที่รัก พูดเป็นคำสัตย์จริง

    ทรงสรุปว่า การพูดดี ไม่พูดชั่วนั้น ปราชญ์ทั้งหลายสรรเสริญว่าสูงสุด

    พระวังคีสะเห็นด้วยกับพุทธดำรัส จึงประพันธ์คาถาด้วยปฏิภาณ เป็นการสรุปความตามที่พระองค์ตรัส ท้ายบทกวีได้บอกว่า ที่ว่าพูดดีไม่พูดชั่วนั้น หมายถึง พระดำรัสของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะพระองค์พูดสอนให้คนบรรลุนิพพานได้

    พระพุทธเจ้าตรัสวาจาใด ยํ พุทฺโธ ภาสตี วาจํ

    อันเกษม เพื่อลุถึงนิพพาน เขมํ นิพฺพานปตฺติยา

    เพื่อทำทุกข์ให้สิ้น ทุกฺขสฺสนฺตกิริยาย

    วาจานั้นประเสริฐสุด สาเว วาจานมุตฺตมา


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB3TWc9PQ
     
  7. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๒.๙ วนสังยุตต์ ประมวลเรื่องเกี่ยวกับป่า เป็นคำแนะนำแก่พระที่อยู่ป่าไม่ตั้งใจบำเพ็ญกิจของสมณะ เช่น เห็นแก่นอนบ้าง ปล่อยให้อกุศลวิตกครอบงำจิตบ้าง ผู้แนะนำส่วนมากเป็นเทวดาที่สิงอยู่ในป่า ถ้อยคำเตือนของเทวดาน่าสนใจมาก บางครั้งก็ว่าเจ็บๆ แสบๆ "แบบผู้ดี" ยิ่งคิดยิ่งแสบ มีทั้งหมด ๑๔ สูตร ขอนำมาเป็นตัวอย่างบางสูตร

    (๑) วิเวกสูตร พระรูปหนึ่งอยู่ป่ารัฐโกศล ปล่อยให้อกุศลวิตกครอบงำใจ เทวดาจึงมาเตือนว่า

    ท่านใฝ่วิเวกเข้ามาอยู่ในป่า วิเวกกาโมสิ วนํ ปวิฏฺโฐ

    แต่ใจไปอยู่เสียภายนอก อถ เต มโน นิจฺฉรติ พหิทฺธา

    ทำไมไม่ละความพอใจในคนเสีย ตวํ ชโน ชนสฺมึ วินสฺสุ ฉนฺทํ

    แล้วท่านจะปราศจากกำหนัดอยู่สบาย ตโต สุขี โหหิสิ วีตราโค

    นกเปื้อนฝุ่นสลัดธุลีออกจากปีก สกุโณ ยถา ปํสุกุณฺฑิโต

    พระก็ควรมีสติ เพียรสลัดกิเลสจากใจ วิธุนํ ปาตยติ สิตํ รชํ

    เช่นเดียวกัน เอวํ ภิกฺขุ ปธานวา สติมา ปาตยสิ สิตํ รชํ

    (๒) อุปัฏฐานสูตร พระอยู่ป่ารูปหนึ่งชอบนอนหลับกลางวันเทวดาจึงเข้าไปเตือนว่า

    ลุกขึ้นสิ มัวนอนอยู่ทำไม อุฏเฐหิ ภิกฺขุ กึ เสสิ

    ท่านยังมีกิเลสรุมใจ โก อตฺโถ สุปิเตน เต

    ดังถูกลูกศรเสียบอก มัวหลับไย อาตุรสฺส หิ เต นิทฺทา

    เมื่อบวชด้วยศรัทธา ก็ทำศรัทธา สลฺลวิทฺธสฺส รูปฺปโต

    ให้เจริญขึ้น อย่าเห็นแก่นอนเลย ยาย สทฺธาย ปพฺพชิโต อคารสฺมานคาริยํ

    ตเมว สทฺธํ พฺรูหิ มา นิทฺทาย วสํ คมิ

    (๓) กัสสปโคตตสูตร สูตรนี้เกี่ยวกับการสอนคน มีพระรูปหนึ่งไปสอนนายพรานมิให้ล่าสัตว์ เขาไม่สามารถทำตามได้ เทวดาจึงไปเตือนสติแก่เธอ

    พรานป่าผู้โง่เขลา คิริทุคฺครํ เฉติ

    ทรามปัญญา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ อปฺปญฺญํ อเจตสํ

    ภิกษุให้โอวาทผิดกาละ อกาเล โอวทํ ภิกฺขุ

    เราเห็นว่าไม่ใช่พระฉลาด มนฺโทว ปฏิภาติ มํ

    เขาฟัง แต่ไม่รู้เรื่อง สุณาติ น วิชานาติ

    เขามองดู แต่ไม่เห็น อาโลเกติ น ปสฺสติ

    ท่านสอนธรรมะ คนโง่เขาไม่เข้าใจ ธมฺมสฺมึ ภญฺญมานสฺมึ

    ต่อให้ท่านชูประทีปทั้งสิบดวง อตฺถํ พาโล น พุชฺฌติ

    เขาก็มองไม่เห็นอะไร สเจปิ ทส ปชฺโชเต

    เพราะเขาไม่มีตา ธารยิสฺสสิ กสฺสป

    เนว ทกฺขติ รูปานิ

    จกฺขุหิสฺส น วิชฺชติ

    (๔) ปทุมปุปผสูตร พระสูตรนี้พูดถึงพระดมดอกบัวในสระ เทวดาเห็นว่าทำไม่ถูกต้องจึงกล่าวหาว่าเธอเป็นขโมย เมื่อพระย้อนถามว่าเรามิได้ขโมยเอาอะไรติดมือไป จะหาว่าขโมยได้อย่างไร เทวดาตอบว่าท่านขโมยกลิ่นอย่างไรเล่า

    คนที่มีบาปหนา อากิณฺณลุทฺโธ ปุริโส

    แปดเปื้อนกิเลสเกินไป อติเวลํว มกฺขิโต

    เราไม่พูดถึง ตสฺมึ เม วจนํ นตฺถิ

    แต่จะขอพูดกับท่าน ตญฺจ อรหามิ วตฺตเว

    ท่านเป็นคนบริสุทธิ์ อนงฺคณสฺส โปสสฺส

    ใฝ่หาความสะอาดเป็นนิตย์ นิจฺจํ สุจิคเวสิโน

    บาปเท่าปลายขนทราย วาลคฺคมตฺตํ ปาปสฺส

    ก็ดูมหึมาดังก้อนเมฆ อพฺภามตฺตํว ขายติ

    ๒.๑๐ ยักขสังยุตต์ ประมวลเรื่องยักษ์ ยักษ์ที่ปรากฏในสังยุตต์นี้ดูเหมือนจะเป็นยักษ์ดีที่มีธรรมแทบทั้งนั้น มีบ้างที่ดุร้ายทำบาปปาณาติบาต เช่น อาฬวกยักษ์ แต่ส่วนใหญ่จะคอยสนับสนุนให้คนทำดี หรือห้ามมิให้คนทำชั่ว ยักขสังยุตต์มี ๑๒ สูตร สั้นๆ ขอนำมาบางสูตร

    (๑) อินทกสูตร สูตรนี้อินทกยักษ์ถามปัญหาลึกซึ้ง เกี่ยวกับพัฒนาการของชีวิตในครรภ์ พระพุทธเจ้าทรงวิสัชชนาให้ฟัง น่าประหลาดใจว่าตรงกับความจริงที่นักปราชญ์ปัจจุบันค้นพบไม่ผิดเพี้ยน ถามว่ารูปหาใช่ชีวะไม่ สัตว์นี้ได้ร่างกายมาแต่ไหน กระดูกและก้อนเนื้อมาจากไหน สัตว์อยู่ในครรภ์ได้อย่างไร

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    เบื้องแรกเกิดมี "กลละ" ก่อน ปฐมํ กลลํ โหติ

    จากนั้นเป็น "อัพพุทะ" กลลา โหติ อพฺพุทํ

    จากนั้นเป็น "เปสิ" อพฺพุทา ชายเต เปสิ

    จากนั้นเป็น "ฆนะ" เปสิ นิพฺพตฺตี ฆโน

    จากนั้นเป็น "ปุ่มห้าปุ่ม" ฆนา ปสาขา ชายนฺติ

    จากนั้นเป็น ผม ขน เล็บ เกสา โลมา นขาปิจ

    มารดากิน ดื่มอะไร ยญฺจสฺส ภุญฺชติ มาตา อนฺนํ ปานญฺจโภชนํ

    สัตว์ในครรภ์ยังชีพด้วยสิ่งนั้น เตน โส ตตฺถ ยาเปติ มาตุกุจฺฉิโต นโร

    (๒) สานุสูตร ยักษ์ตนหนึ่งรู้ว่าสามเณรสานุคิดสึก ไปหาโยมมารดาจะขอลาสึก ยังไม่ทันได้พูดกับโยม ยักษ์ก็เข้าสิงร่างสามเณร

    มารดาพูดขึ้นว่า

    เราได้ยินมาว่า ผู้ที่รักษาศีลอุโบสถ ประพฤติพรหมจรรย์ ยักษ์ (ผี) ไม่ตอแยด้วย เราได้ยินมาผิดแล้ว บัดนี้ยักษ์กำลังทำร้ายบุตรเรา

    ยักษ์ตอบว่า

    ท่านจงบอกสานุผู้ฟื้นขึ้นมาว่า อย่าคิดทำชั่วทั้งที่ลับและที่แจ้ง หาไม่เราจะไม่ละเว้น เมื่อสามเณรสานุฟื้นขึ้นมาเห็นมารดาร้องไห้ (เพราะทราบจากยักษ์ว่าตนกำลังคิดสึก) จึงถามว่าทั้งหลายมีแต่คนร้องไห้หาคนตายหรือคนจากไปไกล โยมเห็นฉันอยู่ ร้องไห้ทำไม มารดากล่าวเป็นนัยให้ทราบว่า

    คนที่ละกามแล้ว ยังจะกลับมาหากามอีก โยมร้องไห้หาคนนั้น

    เพราะถึงเขาจะมีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนตายแล้ว

    ลูกเอ๋ย เจ้าถูกเขายกจากเถ้ารึง (หลุมถ่านไฟร้อน) แล้วยังอยากตกลงไปอีกหรือ

    ถูกเขายกจากเหวแล้ว ยังอยากตกลงไปอีกหรือ

    เจ้าขนของหนีไฟแล้ว ยังจะเผามันทิ้งเองอีกหรือ

    สามเณรได้ฟังดังนั้น เลยเลิกคิดจะลาสิกขา


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB3TlE9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2009
  8. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๒.๑๑ สักกสังยุตต์ ประมวลเรื่องเกี่ยวกับท้าวสักกะ หรือพระอินทร์ ส่วนมากเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้านำมาเล่าให้สาวกฟังอีกทีว่าท้าวสักกะทำอะไร กล่าวอะไร อย่างไร มีทั้งหมด ๒๕ สูตร ขอนำมาเพียงบางสูตร

    (๑) สุภาสิตชยสูตร พระพุทธเจ้าทรงเล่าให้พระฟังว่า ครั้งหนึ่งท้าวเวปจิตติอสูรกับพระอินทร์ ท้าแข่งกล่าวคำสุภาษิตกัน ว่าคำของใครจะไพเราะกว่า มีเหตุผลกว่ากัน

    ท้าวเวปจิตติ กล่าวว่า

    คนพาลนั้น ถ้าไม่รีบปราบเสียแต่ต้น ยิ่งจะกำเริบใหญ่

    เพราะฉะนั้น นักปราชญ์ จึงควรกำราบคนพาลด้วยการลงทัณฑ์

    พระอินทร์ กล่าวว่า

    ผู้ที่คนอื่นโกรธแล้ว มีสติยับยั้งไม่โกรธตอบ

    เราเห็นว่านี่แหละ เป็นวิธีกำราบคนพาล

    ท้าวเวปจิตติ กล่าวอีกว่า

    เราเห็นโทษของการอดกลั้นมาแล้ว เมื่อใดคนพาลเห็นว่าเรานิ่งเฉยเสีย

    ก็จะยิ่งข่มขู่เหมือนโคที่แพ้วิ่งหนีไป ตัวที่ชนะยิ่งไล่ขวิด

    พระอินทร์ กล่าวแก้ว่า

    ผู้ใดแข็งแรง อดกลั้นคำล่วงเกินของผู้อ่อนแอ

    บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ความอดกลั้นของผู้นั้นเป็นยอด

    เพราะคนอ่อนแอจำต้องอดทนเป็นประจำอยู่แล้ว

    ความอดทนของคนอ่อนแอ ไม่นับว่าเป็นพลัง

    ผู้ที่โกรธคนอื่นเลวอยู่แล้ว แต่ผู้ที่โกรธตอบเลวยิ่งกว่าอีก

    ผู้ที่ไม่โกรธตอบผู้ที่โกรธตน ย่อมชนะสงครามที่ชนะได้แสนยาก นับว่าทำประโยชน์ทั้งแก่ตนและแก่ผู้อื่น

    ที่ประชุมอันประกอบด้วยพวกอสูรและเทวดาตัดสินว่า คำกล่าวของอสูรเป็นการชวนทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เป็นสุภาษิต ส่วนคำกล่าวของพระอินทร์ไม่ชวนทะเลาะเบาะแว้ง เป็นวาจาสุภาษิต จึงให้พระอินทร์เป็นผู้ชนะ

    (๒) ทุติยสักกนมัสสการสูตร และตติยสักกนมัสสการสูตร สูตรแรกที่พระพุทธเจ้าทรงเล่าให้สาวกฟังว่าท้าวมาตุลี สารถีของพระอินทร์เห็นพระอินทร์ก่อนเสด็จไปไหน จะประคองอัญชลีไหว้ จึงทูลถามว่า ทรงนมัสการใคร ท้าวสักกะบอกว่า ไหว้พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ และเสขบุคคล

    ดูกรมาตุลี เรานอบน้อมพระผู้มีพระภาค ผู้มีพระนามอันประเสริฐ เรานอบน้อมพระอรหันตขีณาสพ ผู้หมดราคะ โทสะ และอวิชชา เรานอบน้อมผู้ที่ยังไม่หมดราคะ โทสะ โมหะ และอวิชชา แต่ใฝ่ใจศึกษาอยู่ อย่างไม่ประมาท

    พระสูตรที่สอง (ตติยสักกนมัสสการสูตร) มาตุลีถามเช่นเดียวกัน ท้าวสักกะตรัสตอบว่า ไหว้พระสงฆ์

    พระสงฆ์เหล่านั้น เป็นปราชญ์ กล่าวคำสุภาษิต เป็นผู้สงบ

    ประพฤติสม่ำเสมอ ดูกรมาตุลี พวกเทวดายังโกรธพวกอสูร สัตว์เป็นอันมากโกรธกันและกัน แต่ท่านเหล่านั้นไม่โกรธใคร งดเว้นการเบียดเบียน เมื่อคนทั้งหลายเขายึดมั่นถือมั่น ท่านเหล่านั้นไม่ถือมั่นเราจึงสักการะพระสงฆ์เหล่านั้น

    (๒) นิทานวรรค

    ๒.๑๒ อภิสมยสังยุตต์ ประมวลเรื่องเกี่ยวกับการตรัสรู้ เป็นสังยุตต์แรกของวรรคที่สอง คือ นิทานวรรค ขอประมวลมาเฉพาะสูตรที่น่าสนใจ

    (๑) วิภังคสูตร ว่าด้วยการจำแนกปฏิจจสมุปบาท ในสูตรนี้ต่างจากมหานิทานสูตร ทีฆนิกาย (เล่มที่ ๑๐) ในมหานิทานสูตรแจกปฏิจจสมุปบาทถอยหลัง สาวไปไม่ถึงสังขารและอวิชชา พอพูดถึงวิญญาณแล้วก็วกกลับ และกลับไปกลับมาระหว่างวิญญาณและนามรูป ดังนี้

    วิญญาณ-นามรูป-นามรูป-วิญญาณ-ผัสสะ ฯลฯ (ไม่มีสฬายตนะ) แต่ในวิภังคสูตร นี้แจกครบเครื่อง ทั้งฝ่ายเกิดและฝ่ายดับ ดังนี้

    อวิชชา-สังขาร-วิญญาณ-นามรูป-สฬายตนะ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส = ทุกข์เกิด

    ดับอวิชชา-ดับสังขาร-...ดับชรามรณะ โสกะ ปริเทว ทุกข์โทมนัส อุปายาส = ทุกข์ดับ

    คำจำกัดความเป็นสิ่งที่นักศึกษาควรสนใจ "ชรามรณะ" หมายถึงแก่ตายจริงๆ ในความหมายที่เราทราบกัน "เกิด" หมายถึง เกิดเป็นรูปเป็นร่างกาย การได้ขันธ์ครบถ้วน "ตาย" หมายถึงการตายจริงๆ การแตกดับแห่งขันธ์หรือกาลกริยา ไม่ต้องตีความเป็นอย่างอื่น (โปรดดูข้อสังเกตข้างท้าย)

    (๒) อาหารสูตร ยกอาหาร ๔ อย่างมาแสดง คือ กวฬิงการาหาร (คำข้าว) ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร แล้วกล่าวว่าอาหารเหล่านั้นเกิดจากตัณหา แล้วนำเข้าหลักปฏิจจสมุปบาท ถอยหลัง จับจากตัณหา ดังนี้ ตัณหา-เวทนา-ผัสสะ-สฬายตนะ-นามรูป-วิญญาณ สังขาร-อวิชชา

    (๓) ผัคคุนสูตร มีพระโมลิยผัคคุนะ ทูลถามว่า "ใครเป็นผู้สัมผัส ใครเป็นผู้เสพอารมณ์ ใครเป็นผู้ทะเยอทะยาน" พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า "ตั้งคำถามไม่ถูกไม่ควรถามว่า "ใคร" แต่ควรถามว่า "เพราะอะไร" เป็นปัจจัย จึงมีสัมผัส (ผัสสะ) เพราะอะไรเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เป็นต้น (เพราะการยึดในตัวตน เรา เขา ไม่เข้าใจตามสภาวะที่เป็นจริง)" พระองค์จึงแสดงปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับ เริ่มตั้งแต่ผัสสะเป็นต้นไป ดังนี้

    ผัสสะดับ-เวทนาดับ-ตัณหาดับ-อุปาทานดับ-ภพดับ-ชาติดับ-ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส ดับ = ทุกข์ดับ

    สูตรนี้ (และอีกหลายสูตร) มีทางให้คิดว่า ทรงอธิบายการดับวงจรแห่งปฏิจจสมุปบาท โดยรวบยอดในปัจจุบันชาติไม่ข้ามภพข้ามชาติ (ดูข้างท้าย)

    (๔) ปัจจยสูตร สูตรนี้แสดงปฏิจจสมุปบาทอีกรูปแบบหนึ่ง คือ

    ชาติ เป็นปัจจัยให้เกิด ชรามรณะ

    ภพ " " ชาติ

    อุปาทาน " " ภพ

    ตัณหา " " อุปาทาน

    เวทนา " " ตัณหา

    ผัสสะ " " เวทนา

    สฬายตนะ " " ผัสสะ

    นามรูป " " สฬายตนะ

    วิญญาณ " " นามรูป

    สังขาร " " วิญญาณ


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB3Tmc9PQ
     
  9. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๕) กัจจายนโคตตสูตร ทรงแสดงว่าการเข้าใจปฏิจจ สมุปบาทเป็นสัมมาทิฐิ ปฏิเสธความเข้าใจที่ว่าสรรพสิ่งมีตลอดกาล (อัตถิตา) และสรรพสิ่งดับสูญตลอดกาล (นัต ถิตา)

    (๖) อเจลกสูตร แสดงว่าถ้าเข้าใจหลักปฏิจจสมุปบาท จะเข้าใจกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยสัมพันธ์ ปฏิเสธทั้งสัสสตทิฐิ และอุจเฉททิฐิ เช่น ในกรณีสุขและทุกข์ "ถ้าใครเข้าใจว่าทุกข์ตนทำเอง ก็เท่ากับบอกว่าผู้นั้นเสวยทุกข์ กลายเป็นสัสสตทิฐิ เมื่อเข้าใจว่าทุกข์ ตัวการอื่นทำให้ ก็เท่ากับว่า คนหนึ่งทำ อีกคนหนึ่งเสวยทุกข์ กลายเป็นอุจเฉททิฐิไป"

    (๗) นิทานสูตร พระอานนท์คิดว่า ปฏิจจสมุปบาทง่าย พระพุทธเจ้าทรงห้ามมิให้คิดเช่นนั้น ตรัสว่า ปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องลึกซึ้งหยั่งรู้ได้ยาก "อานนท์ เพราะไม่รู้ ไม่ตรัสรู้ ไม่แทงตลอดในธรรม (ปฏิจจสมุปบาท) หมู่สัตว์จึงเหมือนเส้นด้ายที่ยุ่ง เหมือนกลุ่มด้ายที่มีปม เหมือนหญ้ามุงกระต่าย และหญ้าปล้อง ย่อมหนีไม่พ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และ สังสาระ (การเวียนตายเวียนเกิด)"

    (๘) ปุตตมังสสูตร ตรัสสอนให้พระกำหนดรู้เรื่องอาหาร ๔ ชนิด ด้วยอุปมาอุปไมยน่าฟัง คือ

    - ให้กินอาหาร (กวฬิงการาหาร) เหมือนคนกินเนื้อบุตรของตนเอง เพื่อยังชีพขณะเดินทางกันดาร อย่าติดในรสอาหาร เมื่อกำหนดรู้กวฬิงการาหารอย่างนี้ เท่ากับรู้ความยินดีในกามคุณ

    - ให้ระวังผัสสะ (การกระทบระหว่างอายตนะภายในกับภายนอก) เหมือนโคไม่มีหนังระมัดระวังตัวจากการรบกวนของสัตว์และแมลง จะมาเจาะไชหรือกัด เมื่อทำได้อย่างนี้ก็เท่ากับรู้เท่าทันเวทนาทั้ง ๓ ได้

    - ให้ควบคุมมโนสัญเจตนา (เจตจำนง, ความคิด) อย่าตกเป็นทาสตัณหา เหมือนคนถูกลากลงสู่หลุมถ่านเพลิง ดิ้นรนเพื่อหนีให้พ้นความร้อน

    - ให้ควบคุมวิญญาณ (การรับรู้อารมณ์ผ่านประสาทสัมผัส) อย่าให้การรับรู้นั้นเป็นเหตุ ก่อทุกข์ เหมือนดังเช่นนักโทษถูกสั่งให้ทำโทษด้วยการเอาหอกร้อยเล่มแทงถึงแก่ชีวิต

    (๙) สุสิมสูตร สูตรนี้กล่าวถึง พระสุสิมะ ได้ทราบว่ามีพระหลายรูปพยากรณ์อรหัตในสำนักของพระพุทธเจ้า (คือ กราบทูลว่าตนได้บรรลุอรหัตแล้ว หลังจากได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของพระองค์) สงสัยจึงไปถามพระเหล่านั้นว่าจริงหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบว่าจริง พระสุสิมะจึงถามว่า "ที่พวกท่านว่าได้บรรลุอรหัตนั้น พวกท่านมีฤทธิ์ต่างๆ เช่น นิรมิตเป็นหลายคนได้เดินทะลุฝา ทะลุกำแพง ภูเขา ดำดิน เดินบนผิวน้ำ เหาะเหินเดินอากาศ ได้หูทิพย์ ตาทิพย์ รู้ใจคนอื่น เป็นต้นไหม" เมื่อพระเหล่านั้นตอบว่าไม่ได้คุณสมบัติอย่างที่กล่าวมา แต่พวกเราบรรลุด้วยปัญญา

    พระสุสิมะไม่เข้าใจ จึงไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ซักถามเธอว่า "ถ้าคนพิจารณาขันธ์ ๕ ทีละอย่างๆ ให้เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา รู้เห็นด้วยปัญญา เข้าใจหลักปฏิจจ สมุปบาท คนเช่นนั้นจะแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ จะมีหูทิพย์ ตาทิพย์ รู้ใจคนอื่นไหม" พระสุสิมะกราบทูลว่า "ไม่จำเป็น" เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนี้แล้ว พระสุสิมะจึงเข้าใจ (เท่ากับบอกพระสุสิมะว่า ผู้ที่หมดกิเลสได้ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนาล้วนๆ ไม่จำเป็นต้องมีอิทธิปาฏิหาริย์)

    (๑๐) นขสิขสูตร พระพุทธเจ้าทรงเอาปลายเล็บช้อนธุลีขึ้นมา แล้วตรัสถามว่า ฝุ่นที่ติดปลายเล็บพระองค์กับฝุ่นที่พื้นดินอย่างไหนมากกว่ากัน เมื่อเหล่าสาวกกราบทูลว่า บนพื้นดินมากกว่า จึงตรัสว่า เช่นเดียวกัน ทุกข์ที่พระอริยบุคคลละได้เพราะตรัสรู้ เพราะมีสัมมาทิฐิ มีมากกว่าที่ยังเหลืออยู่เป็นร้อยเท่าแสนเท่า "ภิกษุทั้งหลาย การตรัสรู้ธรรม การได้ธรรมจักษุ ให้สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่อย่างนี้แหละ"

    ๒.๑๓ ธาตุสังยุตต์ ประมวลเรื่องธาตุ ยกเว้นสูตรแรกที่กล่าวถึงเหตุเกิดวิตก ๓ นอกนั้นว่าด้วยคนที่มีธาตุเป็นพื้นเพจิตใจเหมือน กันย่อมคบหาสมาคมได้ง่าย เช่น คนทุศีลกับคนทุศีล คนมีศีลกับคนมีศีล ขอยกมาเพียงสูตรเดียว

    (๑๑) สนิทานสูตร ตรัสสอนพระว่า วิตก ๓ อาศัยเหตุจึงเกิด ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ

    คือ มีกามธาตุ (เป็นเชื้อ) ก็เกิด กามสัญญา (กำหนดหมายในกาม)

    จากกามสัญญา ก็เกิด กามสังกัปปะ (ดำริในกาม)

    จากกามสังกัปปะ ก็เกิด กามฉันท์ (ความใคร่ในกาม)

    จากกามฉันท์ ก็เกิด กามปริฬาหะ (ความร้อนรุ่มเพราะกาม)

    จากกามปริฬาหะ ก็เกิด กามปริเยสนา (การแสวงหากาม)

    ปุถุชนเมื่อแสวงหากาม ก็ประพฤติผิดทางกาย วาจา ใจ

    (เรื่องเกี่ยวกับพยาบาท และวิหิงสา ก็พึงทราบขั้นตอนเช่น เดียวกัน)

    ๒.๑๔ อนมตัคคสังยุตต์ ประมวลเรื่องสังสารวัฏว่า กำหนดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้มีด้วยกันทั้งหมด ๑๐ สูตรสั้นๆ เนื้อหาคล้ายกัน แต่ละสูตรก็สนับสนุนและอธิบายกันเองเพื่อให้แจ่มแจ้งขึ้น ขอยกตัวอย่างสูตรเดียว

    (๑) ปุคคลสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า สังสารวัฏนี้ยาวนานจนไม่รู้ได้

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังสารวัฏกำหนดเบื้องต้นเบื้องปลายมิได้" และตรัสว่า "ตราบใดที่ยังไม่รู้อริยสัจ ต้องท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏนี้ตราบนั้น" "เมื่อบุคคลใดเห็นอริยสัจ คือ ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และอริยมรรคมีองค์ ๘ ทางดับทุกข์ด้วยปัญญาอันชอบ เขาจะท่องเที่ยวในสังสารวัฏอย่างมาก ๗ ครั้ง (คือ เกิดอีก ๗ ชาติ) ก็จักทำที่สุดทุกข์ได้ เพราะสิ้นสังโยชน์ทั้งปวง"

    ๒.๑๕ กัสสปสังยุตต์ ประมวลเรื่องพระมหากัสสปะ ว่าด้วยพระพุทธดำรัสที่ตรัสชมปฏิปทาพระเถระรูปนี้ ทรงแนะ นำให้พระสงฆ์เอาแบบอย่าง เช่น สันโดษ ความไม่คลุกคลีกับคฤหัสถ์ รวมถึงข้อเสนอของพระมหากัสสปะ เพื่อให้พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับปรุงวัตรปฏิบัติของพระสาวกทั้งหลาย ขอยกมาบางสูตร

    (๑) จันทูปมาสูตร พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสาวกว่า พระมหากัสสปะ เปรียบประดุจดวงจันทร์ (อาจหมายถึงผุดผ่องด้วยศีลดังแสงจันทร์นวลใยก็ได้) เวลาเข้าไปยังสกุลทั้งหลาย ระวังจิตทำดังหนึ่งว่าเป็นผู้ใหญ่ต่อสกุล ไม่คะนองกาย วาจา กัสสปะไม่ยึดติดพัวพันในสกุล เหมือนแกว่งมือไปในอากาศ มือไม่ติดอากาศ ฉะนั้นพระมหากัสสปะเป็นยอดพระธรรม กถึก ที่แสดงธรรมอาศัยความกรุณา อนุเคราะห์อยากให้ผู้อื่นเข้าใจธรรม ไม่หวังอามิส ไม่หวังศรัทธาจากผู้ฟัง

    (๒) โอวาทสูตร พระมหากัสสปะเห็นพระ ๒ รูป ท้ากันว่าใครจะเป็นพหูสูตมากกว่ากันจะกล่าวธรรมได้มากและได้นานกว่ากัน เห็นว่าเป็นการแข่งดี มีทิฐิยึดมั่นที่ไม่สมควร จึงไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระสองรูปมาตักเตือนว่า พวกเธอได้รู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ตรัสไว้แล้วหรือ จึงกล้ามาท้ากันกล่าวธรรมเช่นนี้ (ธรรมของพระพุทธเจ้า มิใช่สิ่งที่ต้องเรียนรู้มากๆ แล้วมาอวดกัน เป็นเรื่องของการ นำมาปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์มากกว่า)

    (๓) สัทธัมมปฏิรูปกสูตร พระมหากัสสปะทูลถามพระ พุทธเจ้าว่า เมื่อก่อนสิกขาบทมีน้อย มีพระอรหันต์มาก แต่เดี๋ยวนี้สิกขาบทมาก ทำไมผู้สำเร็จอรหัตผลจึงมีน้อย

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะหมู่สัตว์เลวลง พระสัทธรรมกำลังเลือนหายไป สิกขาบทจึงมีมากขึ้น มีพระอรหันต์น้อยลง สัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นที่ใด พระธรรมก็เลือนหายไปเมื่อนั้น ทองเก๊เกิดขึ้นเมื่อใด ทองแท้ก็หายไปฉะนั้น พระพุทธ เจ้าตรัสต่อไปว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไปไม่ได้ มีแต่โมฆบุรุษในพระศาสนานี้เท่านั้น ที่เกิดมาทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป เหมือนเรือจมเพราะต้นหนไม่ดี สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสัทธรรมเสื่อมมี ๕ ประการ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่เคารพศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา และสมาธิ


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB3Tnc9PQ
     
  10. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๒.๑๖ ลาภสักการสังยุตต์ ประมวลเรื่องลาภสักการะ ชี้ว่าลาภสักการะทำให้คนเสียคน (โดยเฉพาะพระภิกษุ) จึงไม่ควรปล่อยให้ลาภสักการะครอบงำ มีการเปรียบเทียบพระภิกษุที่มัวเมาในเรื่องเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำคมคายน่าฟังมาก เช่น เปรียบผู้ติดลาภสักการะเหมือนเต่าถูกมัด เหมือนแกะถูกหนามเกี่ยว เหมือนถูกยิงด้วยลูกศร ขอยกมาสัก ๒ สูตร

    (๑) เอฬกสูตร (กังสฬกสูตร) พระพุทธเจ้าตรัสว่าแมลงฉู่ฉี่ กินขี้จนเต็มท้อง ข้างหน้ามันยังมีขี้กองใหญ่ มันอวดเพื่อนๆ ว่า กินจนเต็มท้องแล้วยังมีขี้กองใหญ่ข้างหน้าอีกเห็นไหม พระบางรูปในธรรมวินัยนี้ก็เช่นกัน ร่ำรวยอาหารบิณฑบาต จีวร เสนาสนะ และคิลานเภสัช กล่าวโอ้อวด เพื่อนพรหมจรรย์อื่นๆ และดูหมิ่นท่านเหล่านั้นว่า มีบุญน้อย มีศักดิ์น้อย สู้ตนไม่ได้ ดูหมิ่นกระทั่งผู้ทรงศีลเป็นที่รัก (สูตรนี้พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ ใช้ว่า มีฬฺหกสูตร ฉบับ แปลภาษาไทยใช้ว่า แมลงวัน ไม่น่าจะใช่)

    (๒) สิคาลกสูตร หมาขี้เรื้อนแก่ตัวหนึ่งอยู่บนบกก็ไม่สบาย อยู่โคนต้นไม้ก็ไม่สบาย อยู่กลางแจ้งก็ไม่สบาย จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็คันยุบยิบไปหมด ไม่ต่างอะไรกับภิกษุบางรูปถูกลาภสักการะและชื่อเสียงครอบงำ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายเช่นกัน

    ๒.๑๗ ราหุลสังยุตต์ ประมวลเรื่องพระราหุล สูตรที่แสดงธรรมสำคัญๆ แก่พระราหุลมีอยู่ในทีฆนิกายแล้ว ที่ประมวลในสังยุตต์นี้เป็นเพียงสูตรสั้นๆ ๒๐ สูตร พระพุทธ เจ้าตรัสสอนพระราหุลเรื่องจักษุ รูป วิญญาณ สัมผัส เวทนา สัญญา เจตนา ตัณหา และขันธ์ เป็นต้น ให้มองเห็นว่าแต่ละอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาอย่างไร

    ๒.๑๘ ลักขณสังยุตต์ ประมวลเรื่องเกี่ยวกับพระลักขณะ ผู้เป็นปัจฉาสมณะของพระมหาโมคคัลลานะ (คือเป็นผู้ติดตาม) ท่านทั้งสองรูปไปที่ไหน พระมหาโมคคัลลานะจะเห็นสิ่งที่พระลักขณะไม่เห็น พระมหาโมคคัลลานะจะยิ้มนิดๆ พระลักขณะถามท่านถึงสาเหตุที่ยิ้ม ท่านขอให้ไปถามต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้า ทั้งนี้ เพื่อจะได้มีพยานยืนยันในสิ่งที่ท่านเห็น สิ่งที่พระมหาโมคคัลลานะเห็นก็คือเปรตชนิดต่างๆ เมื่อเล่าถวายพระพุทธเจ้าแล้วพระองค์ตรัสบอกบุพกรรมของเปรตเหล่านั้นด้วย

    ๒.๑๙ โอปัมมสังยุตต์ ประมวลเรื่องเปรียบเทียบ สอนธรรมโดยยกอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย เช่น เปรียบอายุสังขารสิ้นไปเร็วกว่าคนวิ่ง เร็วกว่าพระจันทร์และพระอาทิตย์ เร็วกว่าเทวดาเหาะ เป็นต้น

    ข้อเปรียบเทียบที่น่าสนใจในสังยุตต์นี้ คือ

    "ตะโพนชื่ออานกะของกษัตริย์นามว่าทสารหะแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนอานกะหายไป แต่ยังเหลือโครงลิ่มฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในอนาคตก็ฉันนั้น เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึกซึ้ง มีอรรถลึก เป็นโลกุตตระประกอบด้วยสุญญตา จักไม่ปรารถนาจะฟัง ไม่ตั้งใจเรียนรู้ ต่อเมื่อมีคนกล่าวสูตรภายนอกกาพย์กลอนที่กวีแต่งมีอักษรวิจิตร พยัญชนะวิจิตร เป็นสาวกภาษิต กลับสนใจฟัง สนใจเรียนรู้เห็นว่าเป็นสิ่งควรศึกษา"

    ความจริงปรากฏแล้วว่า เดี๋ยวนี้พระสงฆ์ไม่สนใจพระ พุทธวจนะ กลับไปสนใจดิรัจฉานวิชา นอกพระพุทธวจนะมากขึ้นทุกวัน

    ๒.๒๐ ภิกขุสังยุตต์ ประมวลเรื่องเกี่ยวกับภิกษุ คือ เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ภิกษุทั้งหลายบ้าง ตรัสสอนให้เอาอย่างพระเถระที่มีคุณสมบัติน่าเลื่อมใสบ้าง ขอยกตัวอย่างมาบางสูตร

    (๑) ฆฏสูตร วันหนึ่งพระสารีบุตรเห็นพระมหาโมคคัลลานะมีสีหน้าผ่องใสเป็นพิเศษถามว่า ท่านอยู่ด้วยวิหารธรรมอันละเอียดหรือ วันนี้จึงมีสีหน้าผ่องใสนัก พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า อยู่ด้วยวิหารธรรมอย่างหยาบ แต่ได้ฟังพระธรรมเทศนา ของพระพุทธเจ้า ครั้นถูกซักว่า "พระพุทธเจ้าประทับอยู่ไกลมาก ท่านมหาโมคคัลลานะเหาะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าหรือ" ท่านมหาโมคคัลลานะ กล่าวตอบว่า ไม่ได้เหาะไปเฝ้า แต่ฟังด้วยทิพยโสต

    แล้วได้เล่าให้พระสารีบุตรฟังว่า ท่านได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า แค่ไหนจะเรียกว่าเป็นผู้พากเพียร พระพุทธ เจ้าตรัสว่า จะต้องเป็นคนที่ตั้งสัตยาธิษฐานอย่างแน่วแน่ว่า "เลือดเนื้อในร่างกายจะเหือดแห้ง เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที ตราบใดที่ยังไม่บรรลุผลที่พึงบรรลุได้ด้วยความเพียรของบุรุษ ความบากบั่นของบุรุษ จะไม่ยอมหยุดความพยายามเป็นอันขาด" อย่างนี้เรียกว่าผู้พาก เพียรจริง

    พระสารีบุตรกล่าวชมเชยว่า "ท่านมหาโมคคัลลานะเป็น ผู้มีฤทธิ์มากจริงๆ เมื่อเปรียบกันแล้ว ผมเองดุจก้อนหินเล็กๆ วางอยู่หน้าภูเขาใหญ่มิผิด คนมีฤทธิ์มากอย่างท่าน แม้ปรารถนาจะอยู่ตลอดกัป ก็ย่อมทำได้"

    พระมหาโมคคัลลานะกล่าวตอบว่า "ท่านสารีบุตรต่างหากที่เป็นพระสาวกรูปเดียวที่พระพุทธเจ้าตรัสชมเชยว่าไม่มีใครเด่นเท่าทางด้านปัญญา ศีล และอุปสมะ (ความสงบ) ถ้าจะเปรียบแล้ว ผมก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนเกลือเล็กๆ วางอยู่ข้างหม้อเกลือใหญ่"

    (๒) ภัททิยสูตร พระลกุณฏกภัททิยะ เป็นพระอรหันต์ร่างเล็กแคระไม่น่าดู เป็นที่ขบขันของผู้พบเห็น พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระว่า ท่านลกุณฏกะนั้น ถึงร่างจะเล็ก แต่เป็นพระอรหันต์ คุณสมบัติไม่เล็กเหมือนร่างกาย

    สัตว์ทั้งหลาย หงส์ นกกระเรียน นกยูง ช้าง ฟาน

    ย่อมกลัวราชสีห์ ไม่ใช่เพราะราชสีห์ตัวใหญ่ ฉันใด

    ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน คนร่างเล็กแต่มีปัญญา

    ย่อมเป็นใหญ่กว่ามนุษย์เหล่านั้น

    ไม่เหมือนพวกคนพาล ซึ่งถือร่างกายเป็นใหญ่

    (๓) ขันธวารวรรค

    ๒.๒๑ ขันธสังยุตต์ ประมวลเรื่องขันธ์ กล่าวถึงขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พร้อมด้วยรายละเอียดต่างๆ เป็นเทศนาของพระพุทธเจ้าบ้าง ของพระเถระ ผู้ใหญ่ เช่น พระสารีบุตรบ้าง และพระมหากัจจายนะเป็น ต้นบ้าง ขอยกมาเพียงบางสูตร

    (๑) ภารสูตร ว่าด้วยขันธ์ ๕ เป็นภาระหนัก ทรงแสดงด้วยการตั้งคำถามว่า อะไรคือภาระ (ของหนัก) ผู้แบกภาระ เครื่องถือมั่นภาระ การวางภาระ และทรงอธิบายว่า

    อุปทานขันธ์ ๕ คือ ภาระ บุคคลแต่ละคนที่มีชื่อโคตรต่างๆ กัน นี่แหละคือผู้แบกภาระตัณหาที่ทำให้เกิดภพใหม่ทั้ง ๓ ประเภท คือ เครื่องถือมั่นภาระ การละตัณหาได้เด็ดขาด คือ การวางภาระ

    (๒) พุทธสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทรงหลุดพ้นเพราะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพราะดับ เพราะไม่ยึด รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ พระภิกษุผู้หลุดพ้นด้วยปัญญาก็หลุดพ้นด้วยลักษณะอย่างเดียวกัน แต่อะไรเป็นข้อแตกต่างระหว่างพระพุทธเจ้ากับภิกษุผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB3T0E9PQ
     
  11. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    พระองค์ตรัสต่อไปว่า "ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำทางที่ยังไม่เกิดให้เกิด

    ยังชุมชนที่ยังไม่รู้จักมรรคาให้รู้จัก บอกทางที่ยังไม่มีใครบอก รู้จักทาง

    ประกาศทางให้ปรากฏ ฉลาดในทาง ส่วนสาวกทั้งหลายเป็นผู้ดำเนินตามทาง

    เป็นผู้ตามไปภายหลัง อันนี้และเป็นข้อแตกต่างกัน"

    (๓) ปัญจวัคคิยสูตร สูตรนี้ คือ "อนัตตลักขณสูตร" นั้นเอง แต่ในที่นี้เรียกอย่างนี้ เนื้อหาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสอนให้ปัญจวัคคีย์พิจารณาขันธ์ ๕ โดยความเป็น อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา นั้นเอง โดยทรงแยกประเภทประเด็นถามทีละอย่างๆ ให้ผู้ฟังพิจารณาตาม เพื่อให้ได้คำตอบในที่สุด

    เนื้อหานั้นเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ผู้ศึกษามักไม่ทราบว่ามีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกเล่มไหนบ้าง จึงนำลงไว้ ณ ที่นี้ (มีในพระวินัยปิฎก และในที่นี้)

    (๔) ปิณโฑลยสูตร พระพุทธเจ้าทรงขับไล่พระภิกษุสงฆ์เพราะเหตุเรื่องหนึ่ง (ไม่บอกว่าเรื่องอะไร แต่คงเป็นพระบวชใหม่ต่างถิ่นจะมาเฝ้าพระองค์ ทำเสียงเอะอะไม่สำรวม ดังกล่าวไว้ในสูตรๆ หนึ่ง) ท้าวสหัมบดี พรหมทราบเรื่อง จึงทูลอาราธนาให้อนุเคราะห์ เพราะ พระเหล่านั้น "เพิ่งบวชใหม่ เหมือนลูกโคน้อยๆ ไม่เห็นแม่จะรวนเร เหมือนพืชที่ยังอ่อนไม่ได้น้ำจะเฉาตาย"พระพุทธองค์ทรงรับคำอัญเชิญ และทรงให้ภิกษุเหล่านั้นเข้าเฝ้า ตรัสสอนว่า พวกเธอมาบวชอยู่ในพระธรรมวินัยนี้ จุดประสงค์เพื่อทำที่สุดทุกข์ ถ้ามากด้วยอภิชฌา มีความกำหนัดในกาม มีจิตพยาบาท มีความดำริชั่ว หลงลืมสติ ไร้สัมปชัญญะ ใจไม่เป็นสมาธิ จิตหมุนไปผิดทิศทาง ไม่สำรวมอินทรีย์ จะทำที่สุดทุกข์ได้อย่างไร คนที่มีลักษณะดังกล่าวมานี้

    "เรากล่าวว่าเขาเสื่อมจากโภคะแห่งคฤหัสถ์ ไม่ทำความเป็นสมณะให้บริสุทธิ์ อุปมาเหมือนดุ้นฟืนในที่เผาศพติดไฟทั้งสองข้าง ตรงกลางเปื้อนคูถ จะใช้เป็น ฟืนในบ้านก็ไม่ได้ ในป่าก็ไม่ได้"

    (๕) ปุณณมสูตร ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า อุปาทานขันธ์ ๕ คืออะไร พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า คือ รูปูปาทานขันธ์...วิญญาณูปาทานขันธ์ เธอทูลถามว่า อุปาทานขันธ์ ๕ มีอะไรเป็นมูลเหตุ ตรัสตอบว่า "มีฉันทะเป็นมูลเหตุ" เธอทูลถามต่อไปว่า แล้วอุปาทานกับอุปาทานขันธ์อันเดียวกันหรือต่างกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "ดูก่อนภิกษุ อุปาทานอันนั้น อุปาทานขันธ์ ๕ ก็อันนั้น หามิได้ (อย่างเดียวกันก็มิใช่)

    และอุปทานอื่นจากอุปทานขันธ์ ๕ นั้นก็มิใช่ (จะแตกต่างกันก็มิใช่)

    แต่ฉันทราคะ (ความกำหนัดด้วยความยินดี) ในอุปาทานขันธ์ ๕ นั้นแหละเป็นตัวอุปาทาน"

    (๖) ยมกสูตร พระยมกะอวดอ้างว่ารู้ทั่วถึงคำสอนของพระศาสดา มีทัศนะว่า พระอรหันต์ตายแล้วจะขาดสูญ ไม่เกิดอีก ภิกษุทั้งหลายห้ามมิให้พูดเช่นนั้นก็ไม่ฟัง พวกเธอจึงขอร้องให้พระสารีบุตรช่วยตักเตือน พระสารีบุตรจึงไปสนทนาด้วย โดยซักถามขันธ์ทีละอย่างว่า เที่ยงหรือไม่ เป็นสัตว์บุคคลหรือไม่ สัตว์บุคคลมีในขันธ์ ๕ แต่ละอย่างใช่หรือไม่ สัตว์บุคคลอื่นจากขันธ์ ๕ แต่ละอย่างหรือไม่ สัตว์บุคคลอื่นไม่มีในขันธ์ ๕ แต่ละอย่างใช่หรือไม่ เมื่อซักไปๆ ก็ค้นหาสัตว์บุคคลในขันธ์ทั้ง ๕ ไม่ได้

    พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า "ท่านยมกะ โดยแท้จริงแล้ว ท่านจะค้นหาสัตว์บุคคลในขันธ์ ๕ เหล่านี้ในปัจจุบันมิได้เลย ควรหรือที่ท่านจะยืนยันว่าพระอรหันต์ขีณาสพเมื่อตายแล้ว ย่อมขาดสูญพินาศ ไม่เกิดอีก"

    พระสูตรนี้ใช้คำว่า "ตถาคโต" นักปราชญ์โดยมากแปลว่าพระอรหันต์ แต่ในอรรถกถาแปลว่าสัตว์ทั่วๆ ไป อ่านความเห็นของยมกะและการซักค้านของพระสารีบุตรแล้วไม่น่าจะรับกันแต่ที่จริงแล้วถ้าใครเห็นว่าตายแล้วสูญไป ก็เท่ากับยอมรับว่าสิ่งที่มีมาแล้วนี้ดับไปเลย จะไม่มีอีกไปชั่วนิรันดร ก็ตกอยู่ในฝ่าย "อุจเฉททิฐิ" หรือ "นัตถิกทิฐิ" แม้พระอรหันต์หมดกิเลสแล้ว ตายแล้วก็ "ดับ" ไปเลย พูดภาษาสามัญก็ว่าไม่เกิดอีกก็ตาม แต่ถ้าใครพูดว่าพระอรหันต์ตายแล้วสูญก็ไม่พ้นอุจเฉททิฐิ เพราะเท่ากับว่าผู้พูดถือว่า พระอรหันต์เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์บุคคล ซึ่งมีอยู่ยังอยู่ หลังจากนั้นก็ตายสูญไปเลย คำซักค้านของพระสารีบุตรต้องการบอกว่าแท้ที่จริงแล้วสัตว์หรือคนไม่มี มีเพียงแต่ขันธ์ ๕ เท่านั้น เมื่อคนไม่มีมาตั้งแต่ต้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรตาย ไม่มีอะไรสูญ"

    (๗) วักกลิสูตร พระวักกลิอาพาธหนัก พระพุทธ เจ้าเสด็จไปแสดงธรรมโปรดตรัสถามว่าเป็นอย่างไร พระวักกลิกราบทูลว่า รู้สึกรำคาญที่ต้องนอนแซ่วอยู่อย่างนั้น พระองค์ตรัสถามว่า เธอติเตียนตัวเองโดยศีลหรือไม่ เมื่อเธอกราบทูลว่าไม่มีเลย จึงตรัสปลอบว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องรำคาญใจ พระวักกลิกราบทูลว่า ที่รำคาญเพราะไม่สามารถไปเฝ้าพระ พุทธองค์อย่างใกล้ชิด

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ประโยชน์อะไรด้วยกับการเห็นร่างกายอันเน่าเปื่อยนี้ วักกลิ ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม" แล้วทรงแสดงธรรมเรื่องความไม่เที่ยงแท้ของขันธ์ ๕ ให้ฟัง หลังจากนั้นพระวักกลิก็ทำอัตวินิบาตกรรม พระพุทธองค์ตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า พระวักกลิเป็นพระอรหันต์ปรินิพพานแล้ว (ดูข้างท้าย)

    (๘) เผณปิณฑสูตร ตรัสสอนภิกษุว่า ขันธ์ ๕ แต่ละอย่างว่างเปล่า หาสาระมิได้ โดยยกอุปมามาประกอบอย่างน่าฟัง คือ

    รูป เปรียบเหมือน กลุ่มฟองน้ำ (เผณปิณฺฑ)

    เวทนา เปรียบเหมือน ฟองน้ำ (อุทกปุพฺพุฬฺก)

    สัญญา เปรียบเหมือน พยับแดด (มรีจิ)

    สังขาร เปรียบเหมือน ต้นกล้วย (กทลิขนฺธ)/b>

    (๙) ปุปผสูตร พระสูตรนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระ องค์ไม่ทรงขัดกับ "บัณฑิตทั้งหลาย" ในสองเรื่อง คือ สิ่งที่บัณฑิตเขาว่าไม่มี สิ่งที่บัณฑิตเขาว่ามี พระองค์ก็ว่าไม่มี และมีเหมือนกันแล้วทรงไขว่า

    สิ่งที่ไม่มีนั้น คือ ไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ และไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่มี คือ มีรูป...วิญญาณที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเปลี่ยนแปลง


    http://www.khaosod.co.th/view_news....nid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB3T1E9PQ˹ѧ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2009
  12. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    อมาตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า พระองค์ทรงรู้ชัดซึ่งโลกธรรม (ในที่นี้หมายเอาขันธ์ ๕) แล้วทรงแสดงให้เป็นที่เข้าใจง่าย แต่ก็ยังมีคนโง่ ไม่รู้ ไม่เข้าใจ พระองค์ไม่รู้จะทรงทำอย่างไรกับอันธปุถุชนผู้โง่เขลา ไร้จักษุ ที่ไม่รู้ไม่เห็น

    ท้ายพระสูตรมีพระวจนะที่น่าจดจำมาก คือ

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบลก็ดี ปทุมก็ดี บุณฑริกก็ดี เจริญในน้ำ ขึ้นพ้นน้ำ แต่ไม่ติดน้ำ ฉันใด ตถาคตเกิดในโลก เจริญในโลก ย่อมอยู่เหนือโลก ไม่ติดโลกฉันนั้น"

    ๒.๒๒. ราธสังยุตต์ ประมวลเรื่อง พระราธะ พระเถระรูปนี้บวชเมื่อแก่ แต่เป็นพระที่เอื้อเฟื้อต่อสิกขา ว่าง่าย ราธ สังยุตต์มี ๑๐ สูตรสั้นๆ เป็นปัญหาที่ทูลถามพระพุทธเจ้า หรือไม่ก็เป็นพระธรรมเทศนาพระพุทธองค์แสดงแก่ท่านในโอกาสต่างๆ ขอนำมาแสดงเพียงสูตรเดียว

    (๑) มารสูตร พระราธะทูลถามว่าที่เรียกว่ามาร มารนั้น ได้แก่อะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มี มารจึงมี จงพิจารณาให้เห็นว่า รูป เป็นต้นนั้น เป็นมารเป็นความทุกข์ เป็นตัวทุกข์ พระเถระทูลถามต่อไปว่า

    "ความเห็นชอบนั้น มีประโยชน์อย่างไร" ตรัสว่า "มีประโยชน์ช่วยให้เบื่อหน่าย"

    "ความเบื่อหน่าย มีประโยชน์อะไร" "เพื่อให้คลายกำหนัด"

    "คลายกำหนัด มีประโยชน์อะไร" "เพื่อให้หลุดพ้น"

    "ความหลุดพ้น มีประโยชน์อะไร" "เพื่อนิพพาน"

    "นิพพาน มีประโยชน์อะไร"

    เมื่อราธะทูลถามถึงตอนนี้ พระพุทธองค์ตรัสปรามราธะว่า "เธอเลยธงไปแล้ว (ถามนอกขอบเขตหรือนอกประเด็น) เธอไม่อาจกำหนดที่สุดของปัญหาได้ (คือ ถ้าถามอย่างนี้ก็ถามกันไม่รู้จบ) กุลบุตรประพฤติพรหมจรรย์เพื่อเข้าถึงนิพพาน นิพพานเป็นจุดหมายสูงสุดของการประพฤติพรหมจรรย์"

    ๒.๒๓. ทิฏฐิสังยุตต์ ประมวลเรื่องเกี่ยวกับขันธ์ ๕ ว่าแต่ละอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างไรบ้าง เกี่ยวกับความเห็นว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยงบ้าง ความเห็นว่าสัตว์ตายแล้วเกิดหรือไม่เกิดบ้าง

    ๒.๒๔. โอกกันตสังยุตต์ ประมวลเรื่องผู้ก้าวพ้นภูมิปุถุชน ก้าวลงสู่ภูมิสัปปุริสชนที่ไม่กระทำกรรมเพื่อเข้าถึงกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน เปรตวิสัย หรือนรก สังยุตต์นี้มีสูตรสั้นๆ พูดถึงสัทธานุสารีบุคคล และธัมมานุสารีบุคคล (ได้แก่ ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค)

    ๒.๒๕. อุปปาทสังยุตต์ ประมวลเรื่องความเกิดขึ้นแห่ง ตา หู จมูก ลิ้น เป็นต้น ในความหมายทางธรรมแสดงว่า เมื่อใดเกิด ตา หู จมูก ลิ้น เป็นต้น เมื่อนั้นกระบวนแห่งความทุกข์ย่อมเป็นไป สังยุตต์นี้มีสูตรสั้นๆ ๑๐ สูตร เช่นเดียวกับโอกกันตสังยุตต์

    ๒.๒๖. กิเลสสังยุตต์ ประมวลเรื่องกิเลส ว่าด้วยความกำหนัดยินดีที่เกิดขึ้นในใจ เมื่อได้เห็นรูปที่น่าพอใจ ได้สัมผัสที่น่าพอใจ ได้เสวยเวทนาที่น่าพอใจ เป็นต้น มีทั้งหมด ๑๐ สูตรสั้นๆ

    ๒.๒๗. สารีปุตตสังยุตต์ ประมวลเรื่องพระสารีบุตร มีทั้งหมด ๑๐ สูตรสั้นๆ ส่วนมากเป็นเรื่องที่พระอานนท์ถามท่านว่า ทำไมท่านมีสีหน้าผ่องใสนัก ท่านอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร พระสารีบุตรตอบว่า เพิ่งออกจากการเข้าฌาน ระดับนั้น ระดับนี้ เป็นต้น

    มีสูตรที่น่าสนใจสูตรหนึ่ง ชื่อ สุจิมุขีสูตร (เป็นโกอานหรือปริศนาธรรม) ขอยกมาเพื่อศึกษา ดังนี้

    (๑) สุจิมุขีสูตร พระสารีบุตรเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤชห์ในเช้าวันหนึ่ง ได้อาหารพอฉัน แล้วก็นั่งฉันใกล้ข้างฝาแห่งหนึ่ง ปริพาชิกาชื่อสุจิมุขีเข้าไปหาท่าน กล่าวว่า

    "สมณะ ท่านก้มหน้าฉันอาหารหรือ"

    "เรามิได้ก้มหน้าฉัน" พระเถระตอบ

    "ถ้าอย่างนั้น ท่านแหงนหน้าฉัน"

    "เรามิได้แหงนหน้าฉัน"

    "ถ้าอย่างนั้น ท่านก็มองดูทิศใหญ่ฉัน"

    "เรามิได้มองดูทิศใหญ่ฉัน"

    "ถ้าอย่างนั้นก็มองดูทิศน้อยฉัน"

    "เรามิได้มองดูทิศน้อยฉัน"

    "สมณะ ถ้าอย่างนั้นท่านฉันอย่างไรเล่า"

    พระเถระกล่าวว่า "สมณพราหมณ์เหล่าใด เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ ด้วยดิรัจฉานวิชา คือ วิชาดูพื้นที่ สมณพราหมณ์เหล่านั้นเรียกว่า "ก้มหน้าฉัน" พวกสมณพราหมณ์ที่เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ คือ วิชาดูดาวนักษัตร เรียกว่า "แหงนหน้าฉัน" พวกสมณพราหมณ์เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพด้วยการรับส่งข่าวสาร เรียกว่า "มองดูทิศใหญ่ฉัน" พวกสมณพราหมณ์ที่เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพด้วยดิรัจฉานวิชา ด้วยการทายอวัยวะ เรียกว่า "มองดูทิศน้อยฉัน" แต่เรามิได้เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพเหล่านั้น แสวงหาภิกษาโดยธรรมแล้วจึงฉัน"

    ๒.๒๘. นาคสังยุตต์ ประมวลเรื่องนาค เล่าเรื่องนาค ๔ ประเภท คือ นาคที่เกิดจากไข่ ๑, นาคที่เกิดจากเถ้าไคล (ของโสโครก) ๑, นาคที่เกิดในน้ำ ๑, นาคที่เป็นโอปปาติกะ ๑, เป็นการตอบคำถามของภิกษุที่กราบทูลถาม (นาคที่แปลงเป็นมนุษย์มาขอบวชที่เล่าไว้ในพระวินัยปิฎก คงเป็นนาคประเภทโอปปาติกะกระมัง)

    ๒.๒๙. สุปัณณสังยุตต์ ประมวลเรื่องครุฑ กล่าวถึงครุฑ ๔ ประเภท ตามคำทูลถามของภิกษุสาวกเช่นเดียวกัน

    ๒.๓๐. คันธัพพกายสังยุตต์ ประมวลเรื่องคนธรรพ์ กล่าวกันว่าคนธรรพ์ คือ เทพที่สิงสถิตอยู่ ตามต้นไม้ที่มีกลิ่นราก แก่น กระพี้ สะเก็ด ใบ ดอก ผล รส กลิ่น ทรงเล่าให้พระสาวกฟังถึงสาเหตุที่มนุษย์บางจำพวกไปเกิดเป็นคนธรรพ์เหล่านั้น

    ๒.๓๑. วลาหกสังยุตต์ ประมวลเรื่องเมฆ กล่าวถึง เทพเมฆหนาว เทพเมฆร้อน เทพเมฆหมอก เทพเมฆลม เทพเมฆฝน

    ๒.๓๒. วัจฉโคตตสังยุตต์ ประมวลเรื่องวัจฉโคตรปริพาชก ปริพาชกทูลถามปัญหาต่างๆ เช่น ความเห็นว่าโลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด และสาเหตุที่ทำให้คนมีความเห็นเช่นนั้น

    ๒.๓๓. สมาธิสังยุตต์ ประมวลเรื่องสมาธิ ตอบปัญหาของภิกษุเกี่ยวกับบุคคล ๔ ประเภท คือ (๑) บางคนฉลาดในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในการเข้าสมาธิ (๒) บางคนฉลาดในการเข้าสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ (๓) บางคนฉลาดทั้งสองอย่างข้างต้น (๔) บางคนไม่ฉลาดทั้งสองอย่างข้างต้น

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB4TWc9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2009
  13. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๔) สฬายตนวรรค

    ๒.๓๔ สฬายตนสังยุตต์ ประมวลเรื่องอายตนะ ๖ ว่าด้วยความอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของอายตนะภายใน อายตนะภายนอก ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่สาวกในโอกาสต่างๆ รวมถึงการประทานพระโอวาทแก่ภิกษุผู้อาพาธหนัก เพื่อให้พิจารณาเห็นสัจจะแห่งชีวิต (น่าสังเกตว่าพระพุทธองค์ทรงให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ) จะขอประมวลมาเพียงสูตร ดังนี้

    (๑) โลกสูตร ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า ที่เรียกว่าโลกๆ นั้นได้แก่อะไร พระพุทธองค์ตรัสว่าที่เรียกว่าโลกเพราะจะต้องแตกสลาย จักษุแตกสลาย รูปแตกสลาย จักษุวิญญาณแตกสลาย จักษุสัมผัสแตกสลาย สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยแตกสลาย ฯลฯ ใจแตกสลาย ธรรมารมณ์แตกสลาย มโนวิญญาณแตกสลาย สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยแตกสลาย ที่เรียกว่าโลก เพราะจะต้องแตกสลายอย่างนี้

    (๒) สุญญสูตร พระอานนท์ทูลถามว่าที่ว่าโลกว่างๆ นั้น ว่างจากอะไร พระพุทธองค์ตรัสว่า ที่เรียกว่าโลกว่างๆ เพราะว่างจาก "ตัวฉัน" จักษุว่างเปล่า รูปว่างเปล่า จักษุวิญญาณว่างเปล่า จักษุสัมผัสว่างเปล่า สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยก็ว่างเปล่าจาก "ตัวฉัน" จาก "ของฉัน" ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ก็ว่างเปล่าจาก "ตัวฉัน" จาก "ของฉัน" ฉะนั้น จึงเรียกว่า โลกว่างเปล่า

    (๓) อุทกสูตร พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า อุทกดาบส รามบุตร อาจารย์เก่าของพระองค์คุยว่าตนรู้จบพระเวท เป็นผู้ชนะทุกอย่าง ขุดรากเหง้าของทุกข์ แต่ที่จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ภิกษุที่รู้การเกิดดับ คุณ โทษ และการสลัดออกซึ่งผัสสายตนะ ๖ ตามเป็นจริงแล้วหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น จึงจะเรียกว่าผู้ชนะทุกอย่าง ผู้ที่ละตัณหาซึ่งเรียกว่า คัณฑมูล (รากเหง้าแห่งทุกข์) ขุดรากถอนโคนไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไป จึงจะเรียกว่า ผู้ขุดรากเหง้าของทุกข์

    (๔) เวสาลีสูตร อุคคะคฤหบดี ทูลถามว่า อะไรเป็นเงื่อนไขให้สัตว์บางพวกไม่ปรินิพพานในปัจจุบัน บางพวกปรินิพพานในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด หากภิกษุเพลิดเพลินหมกมุ่นพัวพัน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์นั้น วิญญาณอันอาศัยตัณหาก็จะเกิดอุปาทานอันอาศัยตัณหาก็จะเกิด ผู้ที่มีอุปาทานย่อมไม่ปรินิพพานในปัจจุบัน ผู้ที่ปรินิพพานในปัจจุบัน พึงทราบโดยนัยตรงกันข้าม

    (๕) ภารทวาชสูตร พระเจ้าอุเทนตรัสถามพระปิณโฑลภารทวาชะว่า อะไรเป็นเงื่อนไขให้พระหนุ่มแน่น เยาว์วัย ผมดำสนิท ยังไม่หมดความรู้สึกทางกามารมณ์ ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ตลอดชีวิต พระปิณโฑลภารทวาชะตอบว่า เพราะปฏิบัติตามพระโอวาทของพระศาสดาว่า ให้คิดว่าสตรีที่อยู่ในวัยปูนพี่สาว น้องสาว เป็นพี่สาว น้องสาวของตน สตรีปูนลูกสาว เป็นลูกสาวของตน

    พระราชาทรงซักต่อไปว่า ธรรมดาจิตของคนมักโลเล บางครั้งอาจไม่คิดเช่นนั้นก็ได้ มีเงื่อนไขอีกหรือไม่ พระปิณโฑลภารทวาชะตอบว่า ให้พิจารณาร่างกายนี้ตั้งแต่ปลายเท้าจดศีรษะ อันมีหนังหุ้มโดยรอบ ให้เห็นความไม่สะอาดต่างๆ อยู่ในร่างกายนี้ ไม่ว่าจะเป็น ผม ขน เล็บ หนัง หรือส่วนอื่นๆ

    พระราชาตรัสว่า บางครั้งทั้งที่ทำในใจว่าไม่งาม แต่ยังเห็นว่ามันงาม จะมีเงื่อนไขอื่นอีกหรือไม่ พระเถระตอบว่า เวลาเห็นรูปด้วยตา อย่าถือเอาโดยนิมิต (คือ อย่ามองรวม) อย่าถือเอาโดยอนุพยัญชนะ (อย่ามองแยก) ให้สำรวมอินทรีย์ พยายามมิให้อกุศลธรรมครอบงำ เวลาได้ยินเสียง สูดกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส คิดมโนภาพ ก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน ภิกษุหนุ่มแน่นเยาว์วัย ผมดำสนิท ที่ยังไม่หมดความรู้สึกทางกามารมณ์ ปฏิบัติได้อย่างนี้จะสามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ตลอดชีวิต

    (๖) เวรหัญจานีสูตร นางเวรหัญจานีโคตร อยากสนทนาธรรมกับพระอุทายี จึงนิมนต์ท่านไปฉันที่บ้านตามคำแนะนำของมาณพผู้เป็นศิษย์ แต่ไม่แสดงความเคารพ นั่งบนอาสนะสูง สวมรองเท้า คลุมศีรษะ พระเถระไม่สนทนาด้วย บอกว่าเอาไว้วันหน้า ต่อเมื่อรู้สึกตัวผิด จึงนิมนต์ท่านไปฉันอีก แสดงความเคารพ นั่งอาสนะต่ำกว่า ไม่สวมรองเท้า ไม่คลุมศีรษะ นางถามพระเถระว่า เมื่ออะไรมี พระอรหันต์ทั้งหลายจึงบัญญัติว่า สุขและทุกข์ เมื่ออะไรไม่มี จึงบัญญัติว่าสุขและทุกข์ไม่มี

    พระเถระตอบว่า เมื่อจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน มี พระอรหันต์ทั้งหลายบัญญัติว่า สุขและทุกข์มี เมื่อจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ไม่มี จึงบัญญัติว่าสุขและทุกข์ไม่มี คำว่า "มี" "ไม่มี" ในทางธรรม หมายถึงเวลาที่อายตนะเหล่านั้น พร้อมที่จะทำหน้าที่ (เวลาธรรมดาถึงมันจะมีท่านก็ไม่นับว่ามี)

    (๗) ขณสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีนรกชื่อผัสสายตนิกนรก มีสวรรค์ชื่อผัสสายตนิกสวรรค์ โดยอธิบายว่า ถ้าเห็นรูป ได้ยินเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส คิดมโนภาพอะไรเห็นว่าไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ อย่างนี้เรียกว่า ผัสสายตนิกนรก ถ้าเห็นรูป ได้ยินเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส คิดมโนภาพอะไร เห็นว่ามันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจไปเสียหมด อย่างนี้เรียกว่า ผัสสายตนิกสวรรค์

    พระสูตรนี้แสดงว่า นรก สวรรค์ อยู่ที่ตา หู เป็นต้น คำพังเพยไทยว่า สวรรค์ในอกนรกในใจ

    (๘) กัมมสูตร ทรงแสดงกรรมเก่า กรรมใหม่ และทางดับกรรม ในแนวที่ต่างจากที่แสดงในที่อื่น คือ กรรมเก่า หมายถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กรรมใหม่ หมายถึง กรรมที่บุคคลกระทำทาง กาย วาจา และใจ ในบัดนี้ ทางดับกรรม คือ อริยมรรคมีองค์ ๘

    (๙) โกฏฐิกสูตร พระโกฏฐิกะถามพระสารีบุตรว่า ตาเกาะเกี่ยวรูป (แสงสี) หูเกาะเกี่ยวเสียง จมูกเกาะเกี่ยวลิ้น ลิ้นเกาะเกี่ยวรส กายเกาะเกี่ยวสัมผัส ใจเกาะเกี่ยวมโนภาพ หรือพระสารีบุตรย้อนถามว่า โคขาวกับโคดำ เขาเอาเชือกผูกติดกันไว้ อยากทราบว่าโคขาวติดกับโคดำหรือไม่ พระโกฏฐิกะตอบว่า หามิได้ เชือกเท่านั้นที่ทำให้โคดำกับโคขาวเนื่องกัน พระสารีบุตรจึงวิสัชนาว่า

    ตามิได้เกาะเกี่ยวรูป หูมิได้เกาะเกี่ยวเสียง จมูกมิได้เกาะเกี่ยวลิ้น ลิ้นมิได้เกาะเกี่ยวรส กายมิได้เกาะเกี่ยวสัมผัส ใจมิได้เกาะเกี่ยวมโนภาพ ความรักใคร่พอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มโนภาพ เหล่านั้นต่างหากที่เป็นตัวผูกสิ่งเหล่านั้นเนื่องกัน


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB4TXc9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2009
  14. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๑) คิลานสูตร จิตตคฤหบดีป่วยหนัก พวกเทวดาที่สิงสถิตตามสวนป่า และตามต้นไม้มาบอกว่า คนที่มีศีล มีกัลยาณธรรมเช่นท่าน แม้ปรารถนาเป็นพระจักรพรรดิในชาติหน้าก็ย่อมได้ คฤหบดีตอบว่า "แม้ราชสมบัติก็ไม่เที่ยงแท้ยั่งยืน จำต้องละไปในที่สุด" พวกญาติที่นั่งเฝ้าไข้อยู่นึกว่าท่านคฤหบดีเพ้อ จึงกล่าวว่าจงตั้งสติให้ดี อย่าเพ้อเลย คฤหบดีบอกพวกญาติว่าตนมิได้เพ้อเพียงแต่ปฏิเสธคำเชิญชวนของพวกเทวดาที่มาขอให้ปรารถนาราชสมบัติในชาติหน้า เพราะเห็นว่าราชสมบัติก็ไม่เที่ยงแท้ยั่งยืน จำต้องละไปในที่สุด (ยังมีสิ่งอื่นที่ดีกว่า)

    เมื่อพวกญาติขอให้สอนสิ่งที่ดีกว่านั้น จิตตคฤหบดีได้สอนพวกเขาว่า

    "สูเจ้าจงสำเหนียกศึกษาว่า เราจักประกอบด้วยศรัทธาอันไม่หวั่นไหวคลอนแคลน ในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์"

    ๒.๑๔ คามณิสังยุตต์ ประมวลเรื่องนายบ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) เป็นเทศนาที่แสดงแก่นายบ้านหลายคน เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่เป็นธรรมพื้นฐาน เช่น การใช้ สอยโภคทรัพย์ เรื่องศีล ๕ เป็นต้น ขอนำมากล่าวเพียงบางสูตร

    (๑) อสังขาสูตร นายบ้านคนหนึ่ง ชื่อ อสิพันธก บุตร เป็นสาวกของ นิครนถ์นาฏบุตร (มหาวีระ) กล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า อาจารย์เขาสอนว่า คนที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดในกาม พูดเท็จ ตกนรกไปอบายหมด กรรมใดที่มีมากๆ กรรมนั้นแหละจะนำคนไป

    พระพุทธเจ้าทรงย้อนถามเขาว่า ธรรมดาคนเราเวลาที่ทำกรรมชั่ว กับเวลาที่ไม่ทำกรรมชั่วอย่างไหนจะมากกว่ากัน เมื่อเขาทูลตอบว่า เวลาที่ไม่ทำกรรมชั่ว พระองค์จึงตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นอาจารย์ของท่านสอนว่า กรรมใดมีมาก กรรมนั้นก็จะนำคนไปนั้นไม่ถูก บุคคลที่ยกมากล่าวถึงนี้ก็ไม่ตกนรก ไม่ไปอบาย (เพราะเวลาที่เขาไม่ทำกรรมชั่วมีมากกว่า)

    พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่าพระองค์ตำหนิการทำปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจารโดยอเนกปริยาย สอนให้สาวกงดเว้นจากการทำบาปเหล่านั้น เหล่าสาวกของพระองค์ต่างคนต่างเคยผิดพลาดทำปาณาติบาต เป็นต้น คนละไม่มากก็น้อย แต่ตั้งใจงดเว้นเลิกละปาณาติบาต เป็นต้น เมื่อเจริญเมตตาเจโตวิมุติ และอุเบกขาเจโตวิมุติ บาปกรรมที่ทำไว้มากบ้าง น้อยบ้าง ก็จักหมดไปเอง

    ๒.๔๒ อสังขตสังยุตต์ ประมวลเรื่อง อสังขตะ (พระนิพพาน) ทรงให้คำจำกัดความว่า อสังขตะ ได้แก่ "ความสิ้นราคะ โทสะ โมหะ" แล้วทรงแสดงทางไปสู่อสังขตะหลายนัย เช่น สมถะและวิปัสสนา สมาธิที่มีทั้งวิตกและวิจาร สมาธิที่มีแต่วิตกไม่มีวิจาร สมาธิที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร อัปปณิหิตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ สุญญตสมาธิ สติปัฏฐาน เป็นต้น

    ๒.๔๓ อัพยากตสังยุตต์ ประมวลเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ตอบ ซึ่งได้แก่ปัญหาโลกเที่ยงหรือไม่ โลกมีที่สุดหรือไม่ สัตว์ตายแล้วเกิดใหม่อีกหรือไม่ เป็นต้น ที่นักปราชญ์มักถามกัน ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศท่าทีที่ชัดเจนต่อปัญหาเหล่านั้น ก็มีพระสาวกบางรูปให้ความสนใจอยู่เมื่อไม่กล้าถามพระพุทธเจ้าก็ไปถามพระเถระรูปอื่น เช่น พระสารีบุตร พระสารีบุตรตอบได้คำเดียวว่า "ปัญหาข้อนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์"

    (๕) มหาวารวรรค

    ๒.๔๔ มัคคสังยุตต์ ประมวลเรื่องมรรค พูดถึงมรรคมีองค์ ๘ ในรายละเอียดต่างๆ ขอยกมาพอเป็นตัวอย่าง

    (๑) อุปัฑฒสูตร พระอานนท์กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ความมีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดีนับว่าเป็นกึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ (หมายความว่าคนที่มาขอบวชแล้ว ถ้าได้กัลยาณมิตร ก็จะสำเร็จประโยชน์ไปกึ่งหนึ่งแล้ว) พระพุทธเจ้าตรัสห้ามมิให้คิดอย่างนั้น เพราะความมีมิตรที่ดี สหายที่ดี เพื่อนที่ดี นับว่าเป็น "ทั้งหมด" ของพรหมจรรย์ทีเดียว ภิกษุที่มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี ย่อมทำมรรคมีองค์ ๘ ให้เจริญได้

    (๒) พราหมณสูตร พระอานนท์เข้าไปบิณฑบาต เห็นรถม้าขาว สวยงาม คนลือว่าเป็นรถที่ประเสริฐสุดในเมือง พระอานนท์กลับจากบิณฑบาตเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ในธรรมวินัยของพระองค์ มียานอะไรที่ประเสริฐที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า มรรคมีองค์ ๘ นี้แหละประเสริฐสุด จะเรียกว่าพรหมยานก็ได้ ธรรมยานก็ได้ รถพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมก็ได้

    "รถคันนี้มีศรัทธากับปัญญาเป็นแอก มีหิริเป็นงอน มีใจเป็นเชือก มีสติเป็นสารถี มีศีลเป็นเครื่อง ประดับ มีญาณเป็นเพลา มีความเพียรเป็นล้อ มีอุเบกขากับสมาธิเป็นทูบ มีความไม่อยากเป็นประทุน มีความไม่พยาบาท ความไม่เบียดเบียนและวิเวกเป็นอาวุธ มีความอดทนเป็นเกราะ ย่อมเป็นไปเพื่อเกษมจากโยคะ อาศัยพรหมยาน (รถที่ประเสริฐ) นี้ นักปราชญ์ย่อมออกจากโลกได้ชัยชนะอย่าง แน่แท้"

    (๓) กัลยาณมิตตสูตรที่ ๑ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นย่อมมีแสงเงินแสงทองเป็นนิมิตมาก่อน ความมีมิตรที่ดีก็เป็นบุพนิมิตของอริยมรรคมีองค์ ๘ เช่นเดียวกัน

    (๔) โยนิโสมนสิการสัมปทานสูตรที่ ๒ พระองค์ตรัสว่า เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้นย่อมมีแสงเงินแสง ทองเป็นนิมิตมาก่อน ความมีโยนิโสมนสิการ (คิดอย่างรอบคอบ) ก็เป็นบุพนิมิตแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ เช่นเดียวกัน

    (๕) นทีสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถามพระสาวกทั้งปวงว่า แม่น้ำคงคาที่ไหลอยู่นั้นใครจะทำให้มันไหลกลับได้หรือไม่ เมื่อพระสาวกทั้งหลายกราบทูลว่าไม่ได้ จึงตรัสตอบไปว่าภิกษุผู้เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็เช่นกัน ไม่มีใครสามารถหวนกลับได้ เธอไม่มีทางลาสิกขาไปเป็นคฤหัสถ์เพราะจิตของเธอน้อมไป เอนเอียงไปโน้มไปสู่วิเวกเสียแล้ว

    ๒.๔๕ โพชฌังคสังยุตต์ ประมวลเรื่องโพชฌงค์ ๗ ในแง่มุมต่างๆ เช่น ผู้เจริญโพชฌงค์ เป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง โพชฌงค์ ๗ ไม่มีนอกพระพุทธศาสนา พระมหากัสสปะและพระพุทธเจ้าหายจากโรคาพาธเพราะ (ฟังสวด) โพชฌงค์ คนที่ไม่เจริญโพชฌงค์เรียกว่าคนโง่ ใบ้ จน เป็นต้น ในที่นี้ขอยกมาเพียงบางสูตร


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB4TlE9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2009
  15. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๑) กายสูตร ตรัสถึงอาหารที่หล่อเลี้ยงนิวรณ์ ๕ และ โพชฌงค์ ๗ ดังนี้

    การนึกแต่เรื่องสวยงาม (สุภนิมิต)

    เป็นอาหารของ กามฉันท์

    การนึกแต่เรื่องที่ทำให้ขุ่นเคืองใจ (ปฏิฆนิมิต)

    เป็นอาหารของ พยาบาท

    การนึกถึงแต่เรื่องไม่ยินดี-เกียจคร้าน-บิดขี้เกียจ-เมาอาหาร และเรื่องที่ทำให้ใจหดหู่

    เป็นอาหารของ ถีนมิทธะ

    การนึกถึงแต่เรื่องที่ไม่สงบแห่งจิต

    เป็นอาหารของ อุทธัจจกุกกุจจะ

    การพิจารณาโดยรอบคอบว่าธรรมใดดีหรือไม่ดี มีโทษหรือไม่มีโทษ เลวหรือประณีต

    เป็นอาหารของ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์

    การพิจารณาโดยรอบคอบในความดำริริเริ่ม พยายาม บากบั่น

    เป็นอาหารของ วิริยสัมโพชฌงค์

    การพิจารณาโดยรอบคอบซึ่งธรรม เป็นที่ตั้งของความอิ่มใจ

    เป็นอาหารของปีติสัมโพชฌงค์

    การพิจารณาโดยรอบคอบซึ่งความสงบกาย สงบจิต

    เป็นอาหารของ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์

    การพิจารณาโดยรอบคอบซึ่งสมาธินิมิต อัพยัคคนิมิต

    เป็นอาหารของ สมาธิสัมโพชฌงค์

    การพิจารณาโดยรอบคอบซึ่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการวางเฉย

    เป็นอาหารของ อุเบกขาสัมโพชฌงค์

    ๒.๔๖ สติปัฏฐานสังยุตต์ ประมวลเรื่องสติปัฏฐาน ๔ โดยนัยต่างๆ เช่น ผู้ตั้งมั่นในมหาสติปัฏฐานย่อมรู้คุณวิเศษ ผู้เจริญสติปัฏฐานชื่อว่า มหาบุรุษผู้เจริญสติปัฏฐานชื่อว่ามีตน เป็นเกราะ (หรือสร้างที่พึ่งแก่ตน) ผู้เจริญสติปัฏฐานชื่อว่ารักษาทั้งตนและผู้อื่น เป็นต้น ขอนำมาเพียงบางสูตร

    (๑) สกุณัคฆีสูตร นกมูลไถ ไปหากินในที่ที่มิใช่โคจร (ถิ่นหากินของตน) ถูกเหยี่ยวจับไปรำพันว่า สมควรแล้วที่เราถูกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไป เพราะเราไม่รู้จักหากินในถิ่นปิตุภูมิของตน เหยี่ยวถามว่า ที่ไหนล่ะที่เป็นถิ่นปิตุภูมิของเจ้า นกมูลไถกล่าวว่า ที่ๆ เขาไถนานั่นแหละ เหยี่ยวลำพองในพละกำลังของตน จึงปล่อยนกมูลไถลงไปยังน่าที่เขาไถไว้ นกมูลไถก็ยืนท้าให้เหยี่ยวโฉบลงมาด้วยความเร็ว กระแทกกับก้อนดินตายทันที

    พระพุทธเจ้าทรงยกอุปมาเรื่องนี้แล้วตรัสสอนว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าเที่ยวไปในที่ซึ่งมิใช่ถิ่นของตน มารจักได้ช่องทำลาย อันได้แก่ กามคุณ ๕ คือ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมย์อันน่าใคร่ น่าพอใจ ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด จงเที่ยวไปในถิ่นปิตุภูมิของตน คือ สติปัฏฐาน ๔ เถิด มารจักไม่ได้ช่องทำลาย"

    (๒) จุนทสูตร หลังจากพระสารีบุตรนิพพานแล้ว สามเณรจุนทะ ถือบาตรและจีวรของท่านไปหาพระอานนท์ เล่าเรื่องให้ฟัง พระอานนท์พาสามเณรจุนทะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า พระสารีบุตรนิพพานแล้ว ข้าพระองค์มืดแปดด้านไปหมดแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า สารีบุตรตายไป เธอเอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ ติดตัวไปด้วยหรืออานนท์ เมื่อพระอานนท์กราบทูลว่า ไม่ได้เอาไปด้วย แต่ว่าเมื่อสมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้อนุเคราะห์สั่งสอนธรรมให้คนได้รับรสพระธรรม น่าเสียดายที่ท่านจากไป

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถึงพระสารีบุตรจากไปแล้ว พระสงฆ์ส่วนใหญ่เปรียบเสมือนแก่น ก็ยังอยู่เหมือนไม้ใหญ่ ถึงเปลือกจะเน่าเปื่อยไป แก่นมันก็ยังอยู่ได้นาน ขอจงสร้างเกราะหรือสิ่งที่พึ่งแก่ตนเอง คือ เจริญสติปัฏฐาน 4 เกิด

    ๒.๔๗ อินทรียสังยุตต์ ประมวลเรื่องอินทรีย์ ๕ (ธรรมที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน) ในรายละเอียดต่างๆ เช่น ผู้รู้ชัดซึ่งอินทรีย์ ๕ นับว่าเป็นพราหมณ์ที่แท้ในความหมายของพระพุทธศาสนาในสังยุตต์นี้ นอกจากจะพูดถึงอินทรีย์ ๕ อย่าง ยังแจกอินทรีย์เป็นหลายประเภทด้วย คืออินทรีย์ ๓ อินทรีย์ ๕ อินทรีย์ ๖ ขอยกมาเพียงบางสูตร

    (๑) ชราสูตร พระอานนท์กราบทูลว่า เดี๋ยวนี้พระฉวีวรรณของพระองค์ไม่ผุดผ่องเหมือนก่อน พระตจุ (หนัง) เหี่ยวย่น พระวรกายค้อมไปข้างหน้า พระอินทรีย์ (ตา หู) แปรปรวน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นของธรรมดา อานนท์ ในความเป็นหนุ่มก็มีความแก่ ในความไม่มีโรคก็มีโรคในชีวิตมีความตาย

    (๒) ปุพพโกฏฐกสูตร พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระสารีบุตรว่าผู้ที่เจริญอินทรีย์ ๕ มากๆ แล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ (บรรลุพระนิพพาน) พระสารีบุตรกราบทูลว่า ท่านไม่เชื่อพระพุทธดำรัส "ผู้ไม่รู้ไม่เห็นไม่ทราบ ไม่กระทำให้แจ้ง ไม่พิจารณาด้วยปัญญา ย่อมเชื่อคนอื่น เขาพูดว่า อินทรีย์ทั้ง ๕ ที่บุคคลเจริญให้มากแล้วจะทำให้บรรลุอมตะ ข้าพระองค์รู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว กระทำให้แจ้งแล้ว พิจารณาด้วยปัญญาแล้ว จึงหมดความสงสัยว่า อินทรีย์ทั้ง ๕ อันบุคคลเจริญให้มากแล้ว ทำให้บรรลุอมตะ"

    ๒.๔๘ สัมมัปปธานสังยุตต์ ประมวลเรื่องสัมมัปปธาน ๔ คือ เพียรป้องกันบาปอกุศลเพียรละบาปอกุศล เพียรเจริญกุศลธรรม เพียรรักษากุศลธรรม กล่าวว่า สัมมัปปธาน ๔ นี้จะเจริญได้ดีต้องอาศัยพื้นฐาน เหมือนคนจะทำงานที่ต้องใช้แรง ทุกอย่างจะสำเร็จได้ต้องอาศัยแผ่นดิน (จะทำนา ทำไร่ สำเร็จ ก็ต้องมีที่นา มีไร่)

    ๒.๔๙ พลสังยุตต์ ประมวลเรื่องพละ ๕ (ธรรมที่เป็นพลัง) คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา กล่าวว่า พละ ๕ ทำให้บรรลุพระนิพพาน ละสังโยชน์เบื้องต่ำ สังโยชน์เบื้องสูง และบรรลุนิพพานได้

    ๒.๕๐ อิทธปาทสังยุตต์ ประมวลเรื่องอิทธิบาท ๔ (ธรรมให้บรรลุความสำเร็จ) คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา กล่าวถึงอิทธิบาท ที่เจริญมากแล้วทำให้เกิดฤทธิ์ต่างๆ ทำให้อายุยืน สามารถต่ออายุได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ดังที่ตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ทำให้ บรรลุเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ เป็นต้น จะขอนำมาแสดงเพียงบางสูตร

    (๑) พราหมณสูตร พราหมณ์ชื่ออุณณาภะ ถามพระอานนท์ว่า ประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร พระอานนท์ตอบว่า เพื่ะละฉันทะ พราหมณ์ถามว่า วิธีปฏิบัติทำอย่างไร พระอานนท์อธิบายว่า ต้องเจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วยสมาธิและปธานสังขาร (จิตเป็นสมาธิ ตั้งใจมิให้บาปอกุศลเกิดขึ้นในจิต ตั้งใจละบาปอกุศล ตั้งใจทำกุศลกรรมให้เจริญ ตั้งใจรักษากุศลธรรมที่เกิดมีแล้ว เรียกว่า ปธานสังขาร)

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB4Tmc9PQ
     
  16. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    พราหมณ์ถามว่า ในอิทธิบาทก็มีฉันทะใช่หรือไม่ การอาศัยฉันทะ ละฉันทะ ดูไม่น่าเป็นไปได้ พระอานนท์ตอบว่า ก็เหมือนคนมาวัด ตอนแรกก็พอใจว่าจะมาวัด ครั้นมาถึงแล้วความพอใจนั้นก็ระงับ มีความพยา ยามจะมาวัด มาถึงแล้วความพยายามก็ระงับ ตั้งใจจะมาวัด พอมาถึงแล้วความตั้งใจก็ระงับไป พิจารณาไตร่ตรองว่าจะมาวัด พอมาถึงวัดแล้ว ความพิจารณาไตร่ตรองนั้นก็ระงับไป พระอรหันตขีณาสพก็พึงทราบโดยนัยเดียวกัน เบื้องต้นก็มีความพอใจเพื่อบรรลุอรหัต เมื่อบรรลุแล้วความพอใจก็ระงับไป เบื้องต้นก็มีความเพียรเพื่อบรรลุอรหัต เมื่อบรรลุแล้วความเพียรก็ระงับไป เบื้องต้นก็มีความคิดเพื่อบรรลุอรหัต เมื่อบรรลุแล้วความคิดก็ระงับไป เบื้องต้นก็มีความตริตรองเพื่อบรรลุอรหัต เมื่อบรรลุแล้วความตริตรองก็ระงับไป

    (๒) อโยคุฬสูตร พระพุทธเจ้าทรงบอกพระอานนท์ว่า พระองค์สามารถไปพรหมโลกได้ด้วยใจ ด้วยอิทธิฤทธิ์ พระอานนท์ทูลถามว่า ไปทั้งกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูปนี้หรือ (คือ กายเนื้อที่มีธาตุ ๔ นี้) เมื่อพระองค์ตรัสว่า ใช่ จึงสงสัยว่าจะไปได้อย่างไร พระองค์ทรงอธิบายให้เธอฟังว่า ทรงตั้งกายไว้ในจิต ตั้งจิตลงที่กาย ก้าวลงสู่สุขสัญญา ลหุสัญญา (สำคัญหมายว่า เบาสบาย) แล้วร่างกายก็เบาลอยไปได้ ดุจเหล็กเผาไฟทั้งวันย่อมเบากว่าปกติ ดุจปุยนุ่น ปุยฝ้าย ลอยขึ้นในอากาศได้ง่ายฉะนั้น

    ๒.๕๑ อนุรุทธสังยุตต์ ประมวลเรื่องพระอนุรุทธ พระเถระรูปนี้เป็นพุทธอนุชาได้รับการยกย่องว่าเป็นเอต ทัคคะในทางผู้ได้ทิพยจักษุ ในสังยุตต์นี้เป็นประมวลเทศนาของท่านที่แสดงแก่สาวกรูปอื่นๆ เกี่ยวกับสติปัฏฐาน ๔ ท่านว่าท่านได้ "มหาอภิญญา" เพราะเจริญสติปัฏฐานภิกษุที่เจริญสติปัฏฐานมากๆ จะไม่ลาสิกขา และจะระงับทุกขเวทนาได้

    ๒.๕๒ ฌานสังยุตต์ ประมวลเรื่องฌาน คือการเพ่งอารมณ์จนจิตสงบ ได้ฌานที่ ๑ ถึงที่ ๔

    ๒.๕๓ อานาปานสังยุตต์ ประมวลเรื่องอานาปานสติ (สติกำหนดลมหายใจเข้าออก) กล่าวถึงวิธีเจริญอานาปานสติ อานิสงส์ ๒ (บรรลุอรหัตในปัจจุบัน หรือไม่ก็เป็น อนาคามี) และอานิสงส์ อื่นๆ อีก

    ๒.๕๔ โสตาปัตติสังยุตต์ ประมวลเรื่องพระโสดาบัน ว่าด้วยองค์คุณของพระโสดาบัน ๔ ประการ (ศรัทธา คือ ปสาทะ = ความเลื่อมใส ธัมมานุธัมมปฏิบัติ = ปฏิบัติธรรมตรงเป้าหมาย) โสตาปัตติยังคะ ๔ (สัปปุริสูปสังเสวะ = คบคนดี ลัทธัมมสวนะ = ฟังธรรม โยนิโสมนสิการ = คิดวิเคราะห์ ธัมมานุธัมมปฏิบัติ) เป็นต้น

    ๒.๕๕ สัจจสังยุตต์ ประมวลเรื่องสัจจะ หรืออริยสัจ ๔ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หรือ ปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า มีบันทึกไว้ในสังยุตต์นี้ มีสูตรที่น่าสนใจ ดังยกมาแสดงไว้ต่อไปนี้

    (๑) วัชชีสูตร ขณะประทับอยู่โกฏิคาม แคว้นวัชชี พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระสงฆ์ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่ตรัสรู้ ไม่แทงตลอดอริยสัจ ๔ เราและเธอทั้งหลายจึงแล่นไป ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏตลอดกาลยาวนานนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ คือ ทุกขอริยสัจ สมุทัยอริยสัจ นิโรธอริยสัจ นิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ

    (๒) สิงสปาวนสูตร ขณะประทับ ณ สิงสปาวัน (แปลกันว่าป่าสีเสียดบ้าง ป่าประดูลายบ้าง) ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมาแล้วตรัสถามว่า ใบไม้ในพระหัตถ์ของพระองค์กับใบไม้บนต้นไม้ อย่างไหนจะมากกว่ากัน เมื่อเหล่าสาวกกราบทูลว่า บนต้นไม้มากกว่าจึงตรัสว่า

    "เช่นเดียวกันนั่นแหละ ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ตถาคตรู้แล้วมิได้บอกพวกเธอมีอีกมาก เพราะเหตุไรเราตถาคตจึงไม่บอก เพราะไม่เป็นประโยชน์ มิใช่เบื้องต้นแห่พรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อความดับ ควรสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพาน สิ่งที่บอกเธอคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพราะมีประโยชน์ เป็นไปเพื่อนิพพาน"

    ๓.ข้อสังเกตบางประการและจุดที่ควรเน้น

    ๓.๑ ข้อความซ้ำ ถ้าอ่านพระไตรปิฎกทั้งหมดอย่างต่อเนื่องกัน จะสังเกตเห็นความซ้ำซ้อนมากมาย โดยเฉพาะเนื้อหาในสังยุตตนิกายนี้จะซ้ำซ้อนกับนิกายที่ผ่านมา และจะไปปรากฏในอังคุตตรนิกายและขุททกนิกายบางส่วน แม้คาถาในสคาถวรรคก็มีที่ซ้ำกับธรรมบท อุทาน และเถรเถรีคาถาบ้าง นี้คือเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้พระไตรปิฎกหนาหลายเล่มสมุด

    ๓.๒ พุทธกิจประจำวันของพระศาสนา พระอรรถกถาจารย์ท่านประพันธ์เป็นคาถาว่า

    ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ เช้าเสด็จออกบิณฑบาต (โปรดสัตว์)

    สายณฺเห ธมฺมเทสนํ เย็นทรงแสดงธรรม

    ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ ค่ำ ทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย

    อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ เที่ยงคืน ทรงแก้ปัญหาเทวดาทั้งหลาย

    ปจฺจูเสว คเต กาเล ใกล้รุ่ง ทรงทอดพระเนตรดูสัตว์ที่

    ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ควรโปรดและไม่ควรโปรด

    เอเต ปญฺจวิเธ กิจฺเจ พระมุนีผู้นี้ประเสริฐ ทรงยังกิจวัตรทั้ง ๕

    วิโสเธติ มุนิปุงฺคโว ประการให้หมดจดอย่างนี้

    จะเห็นว่าทรงมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก ตลอดระยะเวลา ๔๕ ปี ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกโดยมิได้ทรงคำนึงถึงความลำบากพระวรกาย ทั้งที่พระสุขภาพไม่ค่อยดี (ทรงมีโรค "ปักขันทิกาพาธ" ประจำ อันเป็นผลจากการทรงทรมานกายก่อนตรัสรู้)

    สังเกตว่า เวลาเทวดาหรือเทวบุตรมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จะไม่นั่งจะยืน ณ ที่ข้างหนึ่งทูลถามปัญหาเสร็จแล้วก็อันตรธานไป พระอรรถกถาจารย์ให้เหตุผลว่า

    โดยปกติเทวดาไม่อยากเข้าใกล้มนุษย์ เพราะมนุษย์มีกลิ่นเหม็น (มนุษย์ขี้เหม็น) ที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าเพราะกลิ่นศีลของพระองค์ และอยากทราบข้อธรรม จึงมา

    เทวดามี 3 ประเภท (เทวดาโดยสมมติ เทวดาโดยกำเนิด เทวดาโดยความบริสุทธิ์) พวกที่มาเข้าเฝ้าพระ พุทธเจ้า ท่านว่าได้แก่เทวดาพวกที่ ๒ คือ อุปปัตติเทพ เวลาเทวดาพวกนี้มา จะทำให้มีแสงสว่างปรากฏทั่วทั้งบริเวณด้วยรัศมี

    บางคนตีความว่า เทวดา ก็คือพระราชามหากษัตริย์ ที่หาเวลาว่างจากราชกิจตอนกลางคืนมาปรึกษาหารือกับพระพุทธองค์ แสงสว่างที่ว่านั้นคือคบเพลิงชูสว่างไสวเวลาเสด็จ ความจริงไม่ต้องตีความก็ได้ พระพุทธศาสนารับรองว่ามีเทวดาจริงอยู่แล้ว

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB4T1E9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2009
  17. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๓.๓ ข้อที่น่าสังเกตระหว่างภาษิตของเทวดา และพระพุทธองค์ คือ

    ทัศนะของเทวดา หรือเทวบุตร ส่วนมากจะเป็น "โลกียะ" คือมีความคิดเห็นหรือค่านิยมที่สามัญปุถุชนเขาคิดหรือมีกัน เช่น เห็นว่าคนสำคัญที่มีสมบัติพัสถาน มีมากก็มีความสุข ความเพลิดเพลิน

    ส่วนพระพุทธองค์ทรงมองแบบ "อริยะ" มองตามภาพความเป็นจริง ว่าคนเรายิ่งมีมากยิ่งทุกข์มาก เพราะสมบัติพัสถานเป็นเหตุ ให้คนยึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้นภาษิตของพระพุทธองค์จึงมักจะมีนัยตรงข้ามจากภาษิตของเทวดา

    แต่มีบางครั้งเหมือนกัน เทวดาก็ "คิดลึก" เข้าใจลึก เช่น ข้อ ๑๙,๑๓๐,๑๓๔ (ไม่ได้รวมไว้ในที่นี้) เป็นต้น

    บางครั้งถามปริศนาธรรมที่ลึกซึ้งเช่นข้อ ๔๕ "ภิกษุท่านไม่กินแล้วขอ กินแล้วไม่ขอ ท่านจงกินให้อิ่มแล้วค่อยขอเถิด อย่าให้เวลาผ่านไปเปล่า" ในทีนี้เทวดาเธอหมายความว่า "ทำไมไม่บริโภคกามให้อิ่มเสียก่อนค่อยออกบวชถือเพศบรรพชิตเที่ยวภิกขาจาร" บังเอิญพระสมิทธิผู้ที่เทวดาถาม เข้าใจความหมายของเธอ จึงได้โต้กลับมาอย่างเฉียบแหลมเช่นกัน

    ๓.๔ ในอรรกถาชื่อปปัญจสูทนี กล่าวว่าคนถามปัญหามีอยู่ ๕ ประเภท คือ

    ๑. ถามเพื่อต้องทราบในสิ่งที่ตนไม่ทราบ

    ๒. ถามเพื่อเทียบเคียงกับความรู้ที่ตนมีว่าตรงกันหรือไม่

    ๓. ถามเพื่อแก้ข้อสงสัยของตน

    ๔. ถามเพื่อขออนุมัติหรือคำรับรองยืนยันจากผู้ถูกถาม

    ๕. ถามเพื่อทดสอบดูว่าเข้าใจไหม ถ้าไม่เข้าใจจะบอกให้

    เทวดาที่ถามพระพุทธองค์ ส่วนมากก็ใช้คำถาม ๔ ประเภทข้างต้น ไม่ปรากฏว่าจะมีใครใช้ประเภทสุดท้าย

    ๓.๕ อินเดียสมัยพุทธกาล มีการปกครอง ๒ ระบบ คือ "ราชาธิปไตย" กับอีกระบบที่เรียกว่า "สามัคคีธรรม" มีมหาราชที่อุปถัมภ์พุทธศาสนา ๒ องค์ คือ พระเจ้าพิมพิสาร กับ พระเจ้าปเสนทิโกศล เรื่องราวของมหาราชองค์หลังมีมากกว่า จนรวมได้สังยุตต์หนึ่ง (เพราะพระเจ้าพิมพิสารด่วนสวรรคตไปก่อน) พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นผู้ปกครองของพวกศากยะราชสกุลวงศ์ของพระพุทธเจ้าด้วย การที่พระเจ้าปเสนทิโกศลมาเคารพนับถือพระพุทธองค์ นอกจากเพื่อผลทางการเมือง (แข่งบารมีกับพระเจ้าพิมพิสาร) แล้ว ส่งผลทางอ้อมทำให้ผู้นำรัฐน้อยใหญ่หันมาให้ความสำคัญและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาด้วย ตอนหลังกษัตริย์ทั้งสองเจริญสัมพันธไมตรีกัน อภิเษกสมรสกับพระขนิษฐาของกันและกัน

    พระขนิษฐาของพระเจ้าปเสนทิโกศล คือ โกศลเทวี พระราชมารดาของพระเจ้าอชาตศัตรู พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นตัวอย่างของพระมหากษัตริย์ผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างดีพระองค์หนึ่ง ทรงเอาใจใส่ดูแลความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ และเสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลขอคำแนะนำในเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ พระราชามีมเหสีที่เป็นพุทธสาวิกา และมีความฉลาดเป็นเลิศอีกนางหนึ่งชื่อ มัลลิกา นางมัลลิกาเป็นผู้ถวายคำแนะนำให้พระราชาเลิกการบูชายัญ (ที่มีการฆ่าอย่างใหญ่หลวง) ให้หันมาบำเพ็ญ "อสทิสทาน" แทน (เรื่องราวของพระมหากษัตริย์องค์นี้มีกล่าวไว้ในพระสูตรหลายแห่ง)

    ๓.๖ ข้อความในชฏิลสูตร ให้สติว่า การจะรู้ว่าใครบรรลุธรรมขั้นไหน ผู้นั้นจะต้องบรรลุธรรมขั้นนั้น หรือสูงกว่านั้น วิสัยปุถุชนผู้มีกิเลส หมกมุ่นในกามารมณ์ จะวินิจฉัยว่าใครบรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ หรือใครจะอวดว่า ตนบรรลุขั้นนั้นขั้นนี้ ก็ผิดความจริงอีก เพราะ "ผู้บรรลุธรรมย่อมไม่บอกใคร และผู้ที่บอกคนนั้นไม่ได้บรรลุ" ต่อคำถามของนัก "อรหันต์นิยม" ที่มักถามอยู่เสมอว่า เดี๋ยวนี้ยังมีอรหันต์หรือไม่ มีพุทธวจนะให้หลักการกว้างๆ ว่า "ตราบใดที่ยังมีผู้อยู่โดยชอบ (ปฏิบัติตามอริยมรรค) ตราบนั้นโลกย่อมไม่ว่างจากอรหันต์ทั้งหลาย" เพราะฉะนั้นคำถามมิใช่อยู่ที่ว่ามีอรหันต์หรือไม่ แต่ควรจะอยู่ที่มีผู้ปฏิบัติตามหลักอริยมรรคจริงๆ หรือไม่

    ๓.๗ ความคิดว่า พระราหูอมจันทร์ อมอาทิตย์ เกิดขึ้นเพราะคนสมัยก่อนไม่มีความรู้เรื่องดาราศาสตร์ พระสูตรสองสูตรนี้มีเนื้อหาสอดคล้องกันกับความรู้ความเข้าใจของคนสมัยก่อนโน้น เป็นความรู้ที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ บางท่านจึงตั้งข้อสังเกตว่า สองสูตรนี้แปลกปลอมเข้ามา (ที่น่าสังเกตคือ เป็นสูตร "บอกเล่า" มิใช่เป็นพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า)

    แต่ในอรรถกถาท่านแก้ว่า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ที่กล่าวถึงนี้เป็นเทพบุตรชื่อนี้ มิใช่เป็นดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์ จันทิมเทพบุตร และสุริยเทพบุตร เป็นเทพชั้นเดียวกับราหู คือเป็นพวกเดียวกับอสูรเวปจิตติ ในมหาสมยสูตรบอกว่า เทพทั้งสองนี้เป็นโสดาบัน เมื่อยอมรับสถาน ภาพของเทวดา เทวบุตรได้ เรื่องจันทิมเทวบุตร สุริยเทวบุตรก็ไม่น่ามีปัญหาว่ามีจริงหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่

    อย่างไรก็ตาม สาระที่ควรคำนึงในสูตรนี้อยู่ที่ "พุทธคุณ" หรือ "พุทธานุภาพ" อำนาจพุทธคุณย่อมขจัดอันตรายต่างๆ ได้แน่นอน ในธชัคคสูตรก็มีเนื้อหาสาระดุจเดียวกัน

    ๓.๘ มารมี ๕ ประการ คือ

    กิเลสมาร คือ กิเลสน้อยใหญ่

    ขันธมาร ได้แก่ ขันธ์ ๕ บางครั้งบางคราวทำความลำบากให้ได้

    อภิสังขารมาร คือ บาป บุญและอรูปฌาน เป็นต้น เป็นมารในระดับแตกต่างกัน

    เทวปุตตมาร คือ เทวดาอันธพาล ประเภทอิจฉาคอยทำลาย หรือขัดขวางความดีของคนอื่น

    มัจจุมาร คือ ความตาย โดยเฉพาะความตายที่ตัดรอนขณะทำความดีอยู่

    มารในสังยุตต์นี้ มีทางเป็นไปได้ทั้งกิเลสมาร และเทวบุตรมาร บางครั้งก็น่าจะเป็นเพียงความรู้สึกฝ่ายต่ำ ที่เกิดขึ้นในใจชั่ววูบของพระสาวกผู้กำลังบำเพ็ญคนเดียวในป่า พอรู้ตัวเกิดสติขึ้นมา ความรู้สึกนั้นก็หายไป เท่ากับมารหายไปทันใด ที่ว่ามารมาเร็วไปเร็วก็เพราะเหตุนี้ แต่บางครั้งก็น่าจะเป็นเทวบุตรมาร หรือเทวดาเกเรมาแกล้งจริง

    ในพระพุทธประวัติมี "มารผจญ" มารที่มาผจญมิใช่มารชั้นปลายแถว แต่เป็นพญามารชื่อ "วสวัตตี" ตามรังควานพระองค์มาถึง ๗ ปี (ตโปกัมมสูตร) สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ท่านทรงตีความว่า ได้แก่ อกุศลมูล ๓ นั้นเอง ส่วนธิดามาร ๓ ที่มาช่วยพญามาร เทียบได้กับกิเลสชั้นปลายแถว แต่สมเด็จฯ ท่านก็ทรงลังเลอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าเป็นกิเลสจริง ทำไมธิดามารมายั่วพระพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้ ซึ่งไม่น่าเป็นได้ ส่วนท่านพุทธทาสว่า ธิดามารนั้นเป็นความคิดคำนึงย้อนหลังถึงความร้ายกาจของกิเลสว่าร้ายแค่ไหน ซึ่งเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าหลังตรัสรู้ (เรื่องมารผจญ อ่าน "กองทัพมารหรือกองทัพงู" ในชุด "บัวบานกลางเปลวเพลิง" ของผู้บรรยายประกอบ)

    ๓.๙ เรื่องพรหมอัญเชิญแสดงธรรม นั้น ถ้าไม่ถือตามตัวอักษร ก็อาจตีความในแง่สัญลักษณ์ว่า "พรหม" หมายถึง พระมหากรุณาของพระพุทธองค์ ชั้นแรกทรงเห็นว่าธรรมที่ทรงบรรลุลึกซึ้งเกินไป เกรงจะไม่มีใครเข้าใจ จึงทรงดำริไม่สอนใครแต่เพราะพระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ ทำให้พระองค์ทรงนิ่งอยู่ไม่ได้ต้องตัดสินพระทัยเสด็จไปสอน


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB5TUE9PQ
     
  18. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    น่าสังเกตคำว่า "อตกฺกาวจโร" (ตรรกะหยั่งไม่ถึง รู้ไม่ได้ด้วยการใช้ตรรกะ) คือ การหาเหตุผลทางด้านตรรกศาสตร์ ไม่สามารถเข้าถึงพุทธธรรมได้ เพราะพระธรรมของพระองค์มิใช่ต้องมานั่งคิดหาความสมเหตุสมผลใดๆ เป็นเรื่องที่ต้องลงมือปฏิบัติจนเห็นผลด้วยตนเอง ดังในเกสปุตติยสูตร (กาลามสูตร) ก็ห้ามเชื่อตรรกะที่แปลกันว่า "อย่าเชื่อด้วยการเดา" นั้นไม่น่าจะตรง

    ๓.๑๐ อักโกสสูตร เป็นตัวอย่างของการวางตนเมื่อถูกคนอื่นด่าหรือว่าร้าย ดังทรงแสดงไว้หลายอย่าง (เช่น ในโอวาทปาติโมกข์ ตรัสสอนให้อดทน เผยแพร่พระศาสนาโดยสันติวิธี ในกกจูปมสูตรสอนมิให้โกรธ แม้กระทั่งผู้ที่เอาเลื่อยมาเลื่อยอวัยวะร่างกาย) ขณะเดียวกันก็แสดงปฏิภาณของพระพุทธเจ้าด้วย จนผู้ที่ด่าสงบสติอารมณ์และเปลี่ยนใจมานับถือในที่สุด ในอรรถกถาธรรมบท เมื่อพระอานนท์มากราบทูลให้หนีพวกอันธพาลที่ตามด่า พระองค์ตรัสว่าถึงหนีไปไหนก็ไม่พ้นคนด่า "เรื่องเกิดที่ไหนย่อมดับที่นั่น" หมายความว่าการแก้ปัญหาต้องแก้ที่ตัวปัญหา พระพุทธวจนะเกี่ยวกับเรื่องนี้น่าศึกษายิ่ง

    อหํ นาโคว สงฺคาเม เราจักอดทนต่อคำเสียดสีของคนอื่น

    จาปาโต ปติตํ สรํ เหมือนพญาคชสารในสนามรบ

    อติวากฺยํ ติติกฺขิสฺสํ ทนลูกศรที่ปล่อยจากคันธนู

    ทุสฺสีโล หิ พหุชฺชโน เพราะคนโดยมากมีสันดานชั่ว

    (พุทธวจนะธรรมบท เสฐียรพงษ์ วรรณปก แปล)

    ๓.๑๑ กัสสปโคตตสูตร ให้สติเกี่ยวกับการสอนธรรมะแก่ประชาชน ผู้สอนต้องคำนึงถึงความพร้อมของผู้ฟังและเงื่อนไขข้อขัดข้องอย่างอื่นด้วย มิใช่ว่ามีหน้าที่สอนก็สอน ไม่คำนึงถึงกาละเทศะ ในเรื่องนี้พระไปสอนนายพรานล่าเนื้อมิให้ฆ่าสัตว์ เท่ากับให้เขา "เลิก" อาชีพทันที ซึ่งเป็นไปได้ยาก ควรหาวิธีค่อยเป็นค่อยไป คำเตือนของเทวดาแหลมคมน่าคิดมาก มีผู้เล่าว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงตำหนิพระที่ไปเทศน์ด่าชาวประมงเรื่องปาณาติบาตเลยทีเดียว "มิใช่ธรรมะไม่ดี แต่การจะให้ธรรมะต้องรู้กาลควรไม่ควร" ถ้าศึกษากลวิธีในการสอนของพระพุทธเจ้า จะได้ข้อคิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ (อ่านพุทธวิธีสอนจากพระไตรปิฎกของผู้บรรยาย)

    ๓.๑๒ การพัฒนาการของชีวิต ที่ตรัสไว้ในอินทกสูตร เป็นเรื่องน่าสนใจ แพทย์ปัจจุบันยืนยันว่าตรงตามนั้นทุกประการ บางคนสงสัยว่าพระพุทธเจ้าทรงทราบได้อย่างไร หากเราคำนึงถึงการตรัสรู้ของพระองค์ จนทำให้พระองค์ได้พระนามว่า โลกวิทูและสัพพัญญู เราก็ไม่น่าจะสงสัยอะไร เพราะเรื่องนามธรรมลึกซึ้งกว่านี้หลายร้อยเท่าหลายพันเท่าพระองค์ยังรู้ได้ "สิ่งที่ตถาคตรู้นั้นมากดังใบไม้ในป่า แต่ที่รู้แล้วนำมาสอนพวกเธอมีนิดเดียวดังใบไม้ในกำมือ" (สีสปาวสูตร สังยุตตนิกาย)

    ในมหาตัณหาสังขยสูตร บอกจุดกำเนิดชีวิตไว้ว่า จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ ๓ คือ

    มารดาบิดาร่วมกัน มารดามีไข่สุกพร้อมที่จะผสม และคันธัพพะปรากฏ

    "คันธัพพะ" มีปัจจัยหรือองค์ประกอบ ๓ คือ

    กรรม ที่สัตว์ทำไว้เปรียบเสมือนที่นา

    วิญญาณ เปรียบเสมือนเมล็ดพืช

    ตัณหา เปรียบเสมือนยางเหนียวในพืช

    สรุปแล้วคนจะเกิดต้องประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งภายนอกและภายใน (ทั้งรูปธรรมและนามธรรม) นักวิชาการสมัยใหม่พูดถึงแต่ในแง่รูปธรรมอย่างเดียว ลักษณะพัฒนาการในขั้นตอนต่างๆ ท่านอธิบายดังนี้

    กลละ มีลักษณะใสสะอาดเหมือนหยาดน้ำมันงา มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เพราะเล็กมาก ท่านว่าเปรียบเสมือนเอาขนจามรีจุ่มน้ำมันใสแล้วสลัด ๗ ครั้ง ที่เหลืออยู่บนปลายขนจามรีนั้นแลเท่ากับขนาดกลละ

    อัพพุทะ เมื่อผ่านไปอีก ๗ วัน จะมีการเปลี่ยนแปลงคือสีข้นขึ้น

    เปสิ ผ่านไปอีก ๗ วัน สีจะแดงเรื่อเหมือนน้ำล้างเนื้อ

    ฆนะ ผ่านไปอีก ๗ วัน จะจับเป็นก้อน

    ปสาขา ผ่านไปอีก ๗ วัน จะมีปุ่มใหญ่งอกออกมา ๕ ปุ่ม ที่จะกลายเป็นศีรษะ แขน ๒ ขา ๒ ต่อจากนั้นก็จะงอกเป็นศีรษะ แขน ขา ในระยะนี้ก็อาศัยอาหาร ผ่านรกจากมารดาเจริญเติบโตตามลำดับ พอถ้วนทศมาสก็คลอดออกมา

    (พัฒนาการหลังจากการเกิด ปุ่มแขน ขาและศีรษะ ท่านพูดรวบรัด ถ้าอยากทราบรายละเอียดกว่านั้น โปรดอ่าน "วิมุตติมรรค" (ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ หน้า ๑๗๓)

    ๓.๑๓ ปฏิจจสมุปบาท เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอิทัปปัจจยตา, ปัจจยาการ (ชื่อหลังส่วนมากใช้ในอรรถกถา) ทรง แสดงสั้นๆ ว่า "เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ก็มี เพราะสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ" แสดงหัวข้อรายละเอียดเป็น ๑๒ ข้อ ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว และทั้ง ๑๒ ข้อนั้นมิได้หมายความว่าจะทรงยกมาแสดงครบชุดทุกครั้ง บางครั้งก็จับเอา "องค์" ใดองค์หนึ่งมาตรงกลางแล้วย้อนทวนจนถึงต้นสาย (อวิชชา) หรือสาวไปจนเจอปลายเหตุ (ชรามรณะ) ก็มี ส่วนมากในแง่ปฏิบัติมักทรงเริ่มต้นที่ "ผัสสะ" เพราะผัสสะเป็นประตูเปิดรับรู้โลกภายนอก

    การอธิบายปฏิจจสมุปบาท นักศึกษาไม่ควรจับแนวใดแนวหนึ่ง เพราะมีทั้งอธิบายแบบ "ข้ามภพข้ามชาติ" และแบบชั่วขณะจิตเดียว

    สำหรับสูตรแรกที่เอ่ยถึงปฏิจจสมุปบาท คือ มหานิทานสูตร ทีฆนิกาย (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐) ให้คำจำกัดความ "ชาติ" "ภพ" โดยไม่ต้องตีความดังนี้

    -ชาติ หมายถึง เกิดเป็นเทพ เป็นคนธรรพ์ เป็นยักษ์ เป็นสัตว์สี่เท้า เป็นสัตว์ปีก เป็นสัตว์เลื้อยคลาน

    -ภพ หมายถึง กามภพ รูปภพ อรูปภพ

    ส่วนในวิภังคสูตรนี้ให้จำกัดความไว้ครบชุด ขอยกมาดังนี้

    -ชรา คือ ความแก่ ภาวะความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเป็นเกลียว ความเสื่อมอายุความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ

    -มรณะ คือ ความเคลื่อน ภาวะความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่งชีวิตอินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ

    -ชาติ คือ ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลงเกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย ความได้อายตนะครบถ้วนในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ (โปรดดูที่อื่นอีก คือ มหาสติปัฏฐานสูตร เล่ม ๑๐ ข้อ ๑๙๔ ด้วย)

    ในพระไตรปิฎกเล่ม ๑๖ ข้อ ๑๔๖ ข้อ ๒๑๖ ข้อ ๑๐๗ เล่ม ๑๗ ข้อ ๑๗ มีข้อความส่อให้เห็นว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องของปัจจุบัน

    ๓.๑๔ เรื่องพระวักกลิ ในอรรถกถาธรรมบท ต่างจากพระสูตรในรายละเอียด คือ กล่าวว่าพระวักกลิติดใจในรูปโฉมของพระองค์ถึงกับตามไปเฝ้าดู จนพระองค์ตรัสขับไล่ เธอน้อยใจจะไปกระโดดเขาตาย พระองค์เสด็จไปช่วยไว้ทัน ในพระสูตรว่าเธอป่วยหนัก ท้ายที่สุดฆ่าตัวตาย พระพุทธองค์ตรัสว่าเธอปรินิพพาน (ตายพร้อมกับบรรลุอรหัต) ในอังคุตตรนิกายเรียกชื่อพระอริยบุคคลประเภทนี้ว่า "สมสีสี" มีอีกหลายรูปที่ตายทำนองนี้ เช่น พระโคธิกะ (เรื่องพระฉันนะ ก็มีนัยขัดแย้งกันเช่นเดียวกัน)

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB5TVE9PQ
     
  19. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>๑. โครงสร้างอังคุตตรนิกาย

    อังคุตตรนิกาย

    เอกนิบาต ทุกนิบาต (๒๐) ติกนิบาต จตุกกนิบาต (๒๑) ปัญจกนิบาต (๒๒) ฉักกนิบาต

    สัตตกนิบาต อัฏฐกนิบาต (๒๓) นวกนิบาต ทสกนิบาต (๒๔) เอกาทสกนิบาต

    ๒. เนื้อหาสาระ

    ๒.๑ เอกนิบาต แบ่งออกเป็น ๖ หมวด คือ

    (๑) เอกธัมมาทิปาลิ ว่าด้วยธรรมเอก เช่น จิตที่อบรมแล้วนำประโยชน์ให้มหาศาล จิตที่ไม่อบรมเปลี่ยนเป็นไปเพื่อความฉิบหายอย่างมหาศาล เป็นต้น

    (๒) เอกปุคคลปาลิ ว่าด้วยบุคคลที่เป็นเอก เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเอกบุคคลในโลก การปรากฏขึ้นแห่งสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นหาได้ยาก เป็นต้น

    (๓) เอตทัคคปาลิ ว่าด้วยความเป็นเลิศของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง ตามความรู้ ความสามารถ ความประพฤติ และความถนัดต่างๆ กันออกไป

    (๔) อัฏฐานปาลิ ว่าด้วยสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น เป็นไปได้ที่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยความเห็นชอบจะฆ่าบิดามารดา เป็นต้น

    (๔) อปราเอกธัมมาทิปาลิ ว่าด้วยธรรมเอกอีกหมวดหนึ่ง เพิ่มเติมจากที่ประมวลไว้ในข้อ (๑) ข้างต้น

    (๖) ปสาทกรธัมมาทิปาลิ ว่าด้วยธรรมที่ทำให้เกิดความเลื่อมใส เป็นต้น

    ที่น่าสนใจเอกนิบาตนี้คือ เอตทัคคะ หรือความเป็นเลิศทางด้านต่างๆ ของเหล่าสาวกของพระพุทธเจ้า ขอคัดลงมาไว้ ณ ที่นี้ เพื่อจะได้ทราบว่าแต่ละท่านได้มีบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างไรบ้าง

    เอตทัคคะฝ่ายภิกษุ

    ๑. พระอัญญาโกณฑัญญะ เลิศทางรู้ราตรี

    (รัตตัญญู = รู้ราตรี หรือมีประสบการณ์มาก)

    ๒. พระสารีบุตร เลิศทางมีปัญญามาก

    ๓. พระมหาโมคัลลานะ เลิศในทางมีฤทธิ์มาก

    ๔. พระมหากัสสปะ เลิศในทางกล่าว (ยกย่องการ) ขัดเกลา (ธูตวาทะ ยกย่องการถือธุดงค์)

    ๕. พระอนุรุทธะ เลิศในทางมีตาทิพย์

    ๖. พระภัททิยะ กาฬิโคธายบุตร เลิศในทางมีสกุลสูง

    ๗. พระลกุณฏกภัททิยะ เลิศในทางมีเสียงไพเราะ

    ๘. พระปิณโฑละ ภารทวาชะ เลิศในทางบันลือสีหนาท

    ๙. พระปุณณะมันตานีบุตร เลิศในทางแสดงธรรม

    ๑๐. พระมหากัจจายนะ เลิศในทางจำแนกธรรมโดยพิสดาร

    ๑๑. พระจูฬปันถก เลิศในทางนิรมิตกายอันสำเร็จด้วยใจ ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ

    ๑๒. พระมหาปันถก เลิศในทางฉลาดในวิฏฏะฝ่ายปัญญา

    ๑๓. พระสุภูติ เลิศในทางเป็นทักษิไณยบุคคล, อยู่อย่างไม่มีข้าศึก (อรณวิหาร)

    ๑๔. พระเรวตะขทิรวนิยะ เลิศในทางอยู่ป่า

    ๑๕. พระกังขาเรวตะ เลิศในทางเข้าฌาน

    ๑๖. พระโสณะโกลิวิสะ เลิศในทางปรารภความเพียร

    ๑๗. พระโสณะกุฏิกัณณะ เลิศในทางกล่าววาจาไพเราะ

    ๑๘. พระสีวลี เลิศในทางมีลาภมาก

    ๑๙. พระวักกลิ เลิศในทางน้อมใจไปตามความเชื่อ (สัทธาธิมุต)

    ๒๐. พระราหุล เลิศในทางใคร่ต่อการศึกษา

    ๒๑. พระรัฏฐปาละ เลิศในทางบวชด้วยศรัทธา

    ๒๒. พระกุณฑธานะ เลิศในทางจับฉลากเป็นองค์แรก

    ๒๓. พระวังคีสะ เลิศในทางมีปฏิภาณ

    ๒๔. พระอุปเสนะวังคันตบุตร เลิศในทางทำให้เกิดความเลื่อมใสทั่วไป

    ๒๕. พระทัพพะมัลลบุตร เลิศในทางจัดเสนาสนะ

    ๒๖. พระปิลินทวัจฉะ เลิศในทางเป็นที่รักของเทวดา

    ๒๗. พระพาหิยะทารุจิริยะ เลิศในทางตรัสรู้เร็ว

    ๒๘. พระกุมารกัสสปะ เลิศในทางกล่าวธรรมอันวิจิตร

    ๒๙. พระมหาโกฏฐิตะ เลิศในทางบรรลุปฏิสัมภิทา

    ๓๐. พระอานนท์เลิศในทางเป็นพหูสูต, มีสติ, มีคติ (มีหลักการสำหรับจำพุทธวจนะ) มีธิติ (ความอดทน หรือความเพียร) เป็นพุทธอุปฐาก

    ๓๑. พระอุรุเวลกัสสปะ เลิศในทางมีบริวารมาก

    ๓๒. พระกาฬุทายี เลิศในทางทำสกุลให้เลื่อมใส

    ๓๓. พระพักกุละ เลิศในทางมีอาพาธน้อย

    ๓๔. พระโสภิตะ เลิศในทางระลึกชาติได้

    ๓๕. พระอุบาลี เลิศในทางทรงจำพระวินัย

    ๓๖. พระนันทกะ เลิศในทางให้โอวาทแก่พระภิกษุณี

    ๓๗. พระนันทะ เลิศในทางสำรวมอินทรีย์

    ๓๘. พระมหากัปปินะ เลิศในทางให้โอวาทแก่ภิกษุ

    ๓๙. พระสาคตะ เลิศในทางฉลาดในธาตุไฟ

    ๔๐. พระราธะ เลิศในทางทำให้เกิดปฏิภาณ

    ๔๑. พระโมฆราช เลิศในทางทรงจีวรสีหม่น

    เอตทัคคะฝ่ายภิกษุณี

    ๑. นางปชาบดีโคตมี เลิศในทางรู้ราตรี หรือมีประสบการณ์มาก

    ๒. นางเขมา เลิศในทางมีปัญญามาก

    ๓. นางอุบลวรรณา เลิศในทางมีฤทธิ์

    ๔. นางปฏาจารา เลิศในทางทรงจำพระวินัย

    ๕. นางธัมมทินนา เลิศในทางแสดงธรรม

    ๖. นางนันทา เลิศในทางเข้าฌาน

    ๗. นางโสณา เลิศในทางปรารภความเพียร

    ๘. นางสกุลา เลิศในทางมีตาทิพย์

    ๙. นางกุณฑลเกสา เลิศในทางตรัสรู้เร็ว

    ๑๐. นางภัททากาปิลานี เลิศในทางระลึกชาติได้

    ๑๑. นางภัททากัจจานา (ยโสธรา) เลิศในทางบรรลุมหาอภิญญา

    ๑๒. นางกีสาโคตมี เลิศในทางทรงจีวรสีหม่น

    ๑๓. นางสิคาลมาตา เลิศในทางน้อมไปด้วยความเชื่อ (สัทธาธิมุต)

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB5TWc9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2009
  20. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เอตทัคคะฝ่ายอุบาสก

    ๑. ตปุสสะ และ ภัลลิกะ เลิศในทางถึงมรณะ (สอง) เป็นคนแรก

    ๒. อนาถบิณฑิกเศรษฐี เลิศในทางถวายทาน

    ๓. จิตตะคฤหบดี เลิศในทางเป็นพระธรรมกถึก

    ๔. หัตถกะ อาฬวกะ เลิศในทางสงเคราะห์บริษัทด้วยปัจจัย ๔

    ๕. มหานามะ ศากยะ เลิศในทางถวายของประณีต

    ๖. อุคคะคฤหบดี เลิศในทางถวายของที่ชอบใจ

    ๗. อุคตะคฤหบดี เลิศในทางอุปฐากพระสงฆ์

    ๘. สูระอัมพัฏฐะ เลิศในทางมีความเลื่อมใสไม่หวั่นไหว

    ๙. ชีวกโกมารภัจจ์ เลิศในทางเลื่อมใสในบุคคล (เลื่อมใสในคนที่ดีงาม)

    ๑๐. นกุลปิตาคฤหบดี เลิศในทางคุ้นเคยกับพระ พุทธเจ้า

    เอตทัคคะฝ่ายอุบาสิกา

    ๑. นางวิสาขามิคารมาตา เลิศในทางถวายทาน

    ๒. นางชุชชุตตรา เลิศในทางสดับตรับฟังมาก

    ๓. นางสามาวดี เลิศในทางอยู่ด้วยเมตตา

    ๔. นางอุตตรานันทมาตา เลิศในทางเข้าฌาน

    ๕. นางสุปปวาสาโกลิยธิดา เลิศในทางถวายของประณีต

    ๖. นางสุปปิยาอุบาสิกา เลิศในทางพยาบาล คนไข้

    ๗. นางนกุลมาตาคหปตานี เลิศในทางมีความคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้า

    ๘. นางกาติยานี เลิศในทางมีความเลื่อมใสไม่หวั่นไหว

    ๙. นางกาลีอุบาสิกา เลิศในทางเลื่อมใสเพราะฟังจากผู้อื่น

    ๑๐. นางสุชาดาเสนิยธิดา เลิศในทางถึงสรณะเป็นคนแรก

    ๒.๒ ทุกนิบาต ประชุมข้อธรรม ๒ อย่าง โดยนัยต่างๆ ขอนำลงมาไว้เพื่อประโยชน์แก่การศึกษา ดังต่อไปนี้

    (๑) ความเพียรที่ให้สำเร็จผลได้ยาก ๒ อย่าง

    ๑. ความเพียรของคฤหัสถ์เพื่อให้ได้ปัจจัย ๔

    ๒. ความเพียรของบรรพชิตเพื่อละกิเลสทั้งปวง

    (๒) สิ่งที่ทำให้เดือดร้อน ๒ อย่าง คือ

    ๑. กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตที่กระทำไว้

    ๒. กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ที่มิได้กระทำไว้

    (๓) ธรรมที่ทรงบัญญัติไว้เพื่อบรรลุผลที่ต้องการ ๒ ประการ

    ๑. ความไม่พอใจใน (การทำ) ความดี (อสนฺตุฏฐิตา กุสเลสุ ธมฺเมสุ)

    ๒. ความพากเพียรไม่หยุด (อปฺปฏิวาณิตา ปธานสฺมึ)

    (๔) ธรรมคุ้มครองโลก ๒ อย่าง

    ๑. ความละอายใจในการทำบาป (หิริ)

    ๒. ความเกรงกลัวผลของการทำชั่ว (โอตตัปปะ)

    (๕) พลัง ๒ อย่าง

    ๑. พลังคือการพิจารณา (ปฏิสังขานพละ)

    ๒. พลังคือการฝึกฝนตน (ภาวนาพละ)

    (๖) เหตุที่ทำให้พระสัทธรรม (พระศาสนา) เสื่อม ๒ อย่าง

    ๑. ยกบทพยัญชนะผิด

    ๒. อธิบายความหมายผิด

    (๗) คนพาล ๒ จำพวก

    ๑. ทำผิดแล้วไม่รู้ว่าตนผิด

    ๒. เวลาคนอื่นทำผิดแล้วขอขมา ไม่รับขมา

    (๘) คนกล่าวตู่พระตถาคต ๒ ประเภท

    ๑. คนคิดชั่วร้าย (จ้องหาทางจะทำลาย)

    ๒. คนที่ศรัทธาเลื่อมใส แต่ถือเอาผิด (เรียนผิด ปฏิบัติผิด)

    (๙) ภูมิของคนดี ๒ อย่าง

    ๑. รู้บุญคุณผู้อื่น (กตัญญุตา)

    ๒. ตอบแทนคุณผู้อื่น (กตเวทิตา)

    (๑๐) คน ๒ จำพวกวิวาทด้วยสาเหตุต่างกัน

    ๑. คฤหัสถ์วิวาทกันเพราะเรื่องกาม

    ๒. บรรพชิตวิวาทกันเพราะเรื่องทิฐิ (ความเห็น)

    (๑๑) บริษัท ๒

    นัยที่ ๑ บริษัทตื้น กับ บริษัทลึก

    นัยที่ ๒ บริษัทกาก กับ บริษัทหัวกะทิ

    นัยที่ ๓ บริษัทที่แนะนำได้ยาก กับ บริษัทที่แนะนำไม่ยาก

    (๑๒) สุข ๒ อย่าง

    นัยที่ ๑ สุขของคฤหัสถ์ (คิหิสุข) กับสุขของบรรพชิต (ปัพพัชชาสุข)

    นัยที่ ๒ สุขในกาม (กามสุข) กับสุขในการออกจากกาม (เนกขัมมสุข)

    นัยที่ ๓ สุขทางกาย (กายสุข) กับสุขทางใจ (เจตสิกสุข)

    (๑๓) คนพาล ๒ อย่าง

    ๑. ผู้นำภาระที่ยังไม่มาถึง

    ๒. ผู้ไม่นำภาระที่มาถึงแล้ว

    (๑๔) บุคคลหาได้ยาก ๒ จำพวก

    นัยที่ ๑ ผู้ทำอุปการะก่อน (บุพพการี) กับ ผู้รู้คุณแล้วตอบแทน (กตัญญูกตเวที)

    นัยที่ ๒ ผู้อิ่มแล้ว (ติตฺโต) กับ ผู้ยังคนอื่นให้อิ่มด้วย (ตปฺเปตา)

    ๒.๓ ติกนิบาต ประชุมข้อธรรม ๓ อย่าง ขอยกมาเป็นตัวอย่างดังนี้

    (๑) ลักษณะคนพาล ๓ อย่าง

    นัยที่ ๑ คิดชั่ว, พูดชั่ว, ทำชั่ว

    นัยที่ ๒ ตั้งคำถามโดยไม่แยบคาย, แก้ปัญหาโดยไม่แยบคาย, ไม่อนุโมทนาปัญหาที่เขาแก้แล้ว

    (๒) คุณสมบัติของพ่อค้าที่ดี

    ๑. ตาดี (จกฺขุมา)

    ๒. ฉลาด (วิธูโร)

    ๓. รู้จักคนกว้างขวาง (นิสฺสยสมฺปนฺโน)

    (๓) บุคคล ๓ จำพวก

    นัยที่ ๑ คนมีใจเป็นแผล, คนมีใจเหมือนสายฟ้า, คนมีใจเหมือนเพชร

    นัยที่ ๒ คนไม่ควรคบไม่ควรเข้าใกล้, คนควรคบควรเข้าใกล้, คนควรเข้าใกล้ ควรคบ ควรสักการะ

    นัยที่ ๓ คนปากเหม็น (คูถภาณี), คนปากหอม (ปุปฺผภาณี), คนปากหวาน (มธุรภาณี)

    นัยที่ ๔ คนตาบอด (อนฺโธ), คนตาเดียว (เอกจกฺขุ), คนสองตา (ทฺวิจกฺขุ)

    นัยที่ ๕ คนปัญญาคว่ำ, คนปัญญาเหมือนชายพก, คนปัญญามาก


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB5TXc9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...