ความเป็นมา ของพระไตรปิฎก

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย aprin, 28 กรกฎาคม 2009.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวพุทธก็คือ มหานิบาตชาดก (ชาดกที่ชุมนุมเรื่องใหญ่ หรือที่โบราณเรียกว่า ทศชาติ) มีทั้งหมด ๑๐ เรื่องด้วยกัน คือ

    ๑.เตมิยชาดก เรื่องพระเตมียกุมาร บำเพ็ญเนกขัมมบารมี (การออกจากกาม)

    ๒.มหาชนกชาดก เรื่องมหาชนก บำเพ็ญวิริยบารมี

    ๓.สุวัณณสามชาดก เรื่องสุวรรณสาม บำเพ็ญเมตตาบารมี

    ๔.เนมิราชชาดก เรื่องเนมิราชกุมาร บำเพ็ญอธิษฐานบารมี

    ๕.มโหสธชาดก เรื่องมโหสธ บำเพ็ญปัญญาบารมี อรรถกถาเขียน "มโหสถ"

    ๖.ภูริทัตตชาดก เรื่องภูริทัตนาคราช บำเพ็ญศีลบารมี

    ๗.จันทกุมารชาดก เรื่องจันทกุมาร บำเพ็ญขันติบารมี

    ๘.นารทชาดก เรื่องพระพรหมนารทะ บำเพ็ญอุเบกขาบารมี

    ๙.วิธุรชาดก เรื่องวิธุรบัณฑิต บำเพ็ญสัจจบารมี

    ๑๐.เวสสันดรชาดก เรื่องพระเวสสันดร บำเพ็ญทานบารมี

    วิธีจำง่ายให้จำคำย่อดังนี้

    เต. (เตมีย์) เน. (เนกขัมมะ)

    ช. (มหาชนก) วิ. (วิริยะ)

    สุ. (สุวรรณสาม) เม. (เมตตา)

    เน. (เนมิราช) อ. (อธิษฐาน)

    ม. (มโหสธ) ปัญ. (ปัญญา)

    ภู. (ภูริทัต) สี. (สีล)

    จ. (จันทกุมาร) ขัน. (ขันติ)

    นา. (นารทะ) อุ. (อุเบกขา)

    วิ. (วิธุร) สัจ. (สัจจะ)

    เว. (เวสสันดร) ทา. (ทาน)

    ๒.๑๑ นิเทศ เป็นนิพนธ์ของพระสารีบุตรเถระแบ่งเป็น ๒ คือ

    ๑.มหานิเทศ อธิบายความของพระสูตร ๑๖ สูตร ในอัฏฐกวรรค สุตตนิบาต เริ่มตั้งแต่กามสูตร ถึงสารีปุตตสูตร

    ๒.จูฬนิเทศ อธิบายความของพระสูตรอีก ๑๖ สูตร ในปารายนวรรค และขัคควิสาณสูตร ในอุรควรรค แห่งสุตตนิบาต

    ๒.๑๒ ปฏิสัมภิทาวรรค เป็นภาษิตของพระสารีบุตรเถระ อธิบายข้อธรรมที่ลึกซึ้งต่างๆ อย่างพิสดาร วิธีอธิบาย ถ้ามีพุทธภาษิตว่าด้วยเรื่องนั้น ก็นำมาตั้งแล้วอธิบายความอีกต่อหนึ่ง ถ้าไม่มีพุทธภาษิตอธิบายไว้โดยตรง ท่านก็จะตั้งบทขึ้นเอง แล้วขยายอย่างละเอียด

    ๒.๑๓ อปทาน เป็นคาถาประพันธ์แสดงประวัติในอดีตของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกที่สำคัญ เริ่มตั้งแต่พระสารีบุตรเถระ รวมประวัติพระเถระทั้งหมด ๕๕๐ รูป ต่อจากนั้นก็เล่าประวัติพระเถรีอรหันต์อีก ๔๐ รูป บางรูป (ประมาณ ๑๖ รูป) ไม่ปรากฏในที่อื่นประวัติไม่เป็นที่รู้จักกัน ยกเว้นในที่นี้

    ๒.๑๔ พุทธวังสะ เป็นคาถาประพันธ์ แสดงเรื่องของพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๔ พระองค์ ที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเคยได้เฝ้า และได้รับพยากรณ์ รวมทั้งประวัติของพระองค์เอง รวมเป็นพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์

    ๒.๑๕ จริยาปิฎก แสดงพุทธจริยาในอดีต รวม ๓๕ เรื่อง ซ้ำกับชาดกข้างต้น (ในข้อ ๒.๑๐) โดยแยกแสดงว่าเป็นการบำเพ็ญทานบารมี ๑๐ เรื่อง ศีลบารมี ๑๐ เรื่อง เนกขัมมบารมี ๖ เรื่อง เมตตาบารมี ๒ เรื่อง อุเบกขาบารมี ๑ เรื่อง รวม ๑๕ เรื่อง ตอนท้ายได้ประมวลไว้ว่า เรื่องไหนเป็นบารมี (บารมีหรือการบำเพ็ญความดีขั้นต้น) เรื่องไหนเป็นอุปบารมี (บารมีขั้นรอง หรือจวนจะสูงสุด) และเรื่องไหนเป็นเรื่องปรมัตถบารมี (บารมีขั้นสูงสุด)

    ๓.ข้อสังเกตบางประการและจุดที่ควรเน้น

    ๓.๑ ขุททกนิกายนี้ นักปราชญ์บางท่านตั้งข้อสังเกตว่าถูกเพิ่มเติมเข้ามาภายหลัง พระสุตตันตปิฎก เดิมแบ่งเป็น ๔ นิกายเท่านั้น เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ พระไตรปิฎกของฝ่ายสาวกยานอื่นๆ มีเพียง ๔ นิกาย ซึ่งเขาเรียกกันว่า "อาคม ๔" (ทีรฆาคม มัธยมาคม สังยุกตาคม และเอโกตตราคม) ไม่มีขุททกนิกาย จะมีก็เฉพาะนิกายสรวาสติวาทินเท่านั้นที่มี "กษุทราคม" แต่เนื้อหาก็ไม่เหมือน กับขุททกนิกายของเถรวาท มีบางเรื่องบางข้อเท่านั้นที่ตรงกัน นี่เป็นเพียงข้อสังเกตเท่านั้น เป็นเรื่องที่ผู้รู้จะพึงศึกษาวิเคราะห์ต่อไป

    ๓.๒ พึงกำหนดว่า ธรรมบท กับ อรรถกถาธรรมบท หรือที่เรียกชื่อเดิมว่า ธัมมปทัฏฐกถานั้นคนละอย่างกัน ชาวไทยมักเรียกว่า "ธรรมบท" เหมือนกัน ทำให้สับสนในแง่วิชาการและการอ้างอิง

    มีข้อพึงสังเกตดังนี้

    (๑) คาถาธรรมบท เป็นพุทธวจนะ แสดงหลักธรรมอันบริสุทธิ์ ส่วนอรรถกถาธรรมบทแต่งเสริมความ พร้อมทั้งยกนิทานมาประกอบ ทำให้เข้าใจตัวคาถาง่ายขึ้น แต่บางครั้งก็ทำให้ความตัวคาถาเดิมหดหายไป หรือเบี่ยงเบนไปจากจุดมุ่งหมายเดิม ยกตัวอย่างเช่น ในคาถาบทที่ ๑ พุทธวจนะตรัสว่า "ใจเป็นผู้นำทุกสิ่งทุกอย่าง ใจเป็นใหญ่ ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ ถ้าคนเรามีใจชั่วจะทำจะพูดก็พลอยชั่วไปด้วย เพราะพูดชั่วทำชั่วนั้นทุกข์ย่อมตามสนองเขา เหมือนล้อเกวียนหมุนตามรอยโค" เป็นการแสดงหลักธรรมล้วนๆ แต่อรรถกถาได้แต่งนิทานเรื่องพระจักขุบาลป่วยเป็นโรคตา ตาทั้งสองบอดสนิทในที่สุด พระ พุทธเจ้าทรงเล่าบุพกรรมของเธอว่า ชาติก่อนจักขุบาลเป็นหมอรักษาตาของสตรีนางหนึ่งหาย แต่สตรีนั้นแกล้งทำเป็นไม่หาย จึงเอายาอีกขนาน หยอดจนตาเธอบอด สิ่งที่อรรถกถาเน้นมาก คือ แนวความคิดเรื่องสังสารวัฏ กฎแห่งกรรม แง่ข้ามภพข้ามชาติ

    (๒) อรรถกถาได้สะท้อนภาพเกี่ยวกับพุทธจริยาวัตรชัดเจนกว่าตัวคาถา เมื่ออ่านอรรถกถาธรรมบทจบแล้ว จะเกิดมโนภาพชัดเจนเกี่ยวกับบุคลิกของพระองค์ เห็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์เป็นศูนย์รวมจิตใจของเหล่าพุทธบริษัท ช่วยชี้แนะแนวทางปฏิบัติและแก้ปัญหาต่างๆ อยู่เสมอ ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธองค์กับพระสงฆ์สาวก เป็นแบบ "พ่อกับลูก" มีความเรียบง่าย เป็นกันเอง พร้อมที่จะเข้าเฝ้าทูลถามความสงสัยต่างๆ ได้ตลอดเวลา

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB5TUE9PQ
     
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๓) ในอรรถกถาธรรมบท สะท้อนภาพธรรมสภา ซึ่งเรียกว่า "อุปัฏฐานศาลา" แปลกันว่า "หอฉัน" เข้า ใจว่าคงใช้เป็นที่ฉันอาหารและสถานที่ฟังธรรมด้วย เวลาเย็นพระจะมาประชุมถกเถียงกันในอุปัฏฐานศาลา มีตั้งแต่เรื่องพื้นฐานไปจนถึงหลักธรรมที่ลึกซึ้ง (แสดงว่าในระยะต้นที่พระองค์ทรงประกาศศาสนา สาวกทั้งหลายยังเข้าใจหลักธรรมไม่ทั่วถึง กัน) เช่น

    - พระอรหันต์ฆ่าสัตว์โดยไม่เจตนา บาปหรือไม่

    - พระอรหันต์ยังมีความรู้สึกในกามารมณ์เหมือนปุถุชนหรือไม่

    - โจรฆ่ามนุษย์เป็นจำนวนมาก ทำไมบรรลุอรหัตปรินิพพานได้

    - ศีล ๕ ข้อ ข้อไหนดีกว่ากัน

    - ความสุขอย่างไหนที่ดีที่สุด

    (๔) ความขัดแย้งในหมู่สงฆ์สาวก อรรถกถาธรรมบทบันทึกไว้ค่อนข้างชัดเจน เริ่มตั้งแต่ความมักใหญ่ใฝ่สูงของพระเทวทัต จนสร้างความแตกแยกขนานใหญ่ในสังฆมณฑล เรื่องนี้นอกจากการแสดงพระปรีชาสามารถในการแก้ปัญหาของพระพุทธองค์แล้ว ยังเน้นพระมหากรุณาต่อผู้ปองร้าย เช่น พระเทวทัตได้ชัดเจนด้วยความแตกแยกครั้งยิ่งใหญ่ อีกครั้งหนึ่ง คือ การทะเลาะวิวาทของพระสงฆ์เมืองโกสัมพี ในเรื่องนี้แสดงให้เห็นบทบาทของ "อุบาสิกา" มีส่วนในการผดุงรักษาพระพุทธศาสนาด้วย

    (๕) อรรถกถาธรรมบท บันทึกวิธีและเทคนิคการสอนของพระพุทธเจ้าไว้อย่างน่าศึกษายิ่ง เช่น พระกระสันอยากสึก (ซึ่งมีบ่อยครั้งที่สุด) แต่ละรูป พระพุทธองค์ทรงใช้วิธีการปลอบประโลมให้พวกเธอกลับยินดีในเพศพรหมจรรย์ แตกต่างกันอย่างไร กรณีภิกษุณีถูกข่มขืนตั้งครรภ์ ทรงใช้วิธีแก้ปัญหาอย่างไรจึงจะทำให้ความบริสุทธิ์ของภิกษุณีนั้น เป็นที่ยอมรับโดยไม่มีใครกินแหนงแคลงใจ ภิกษุหลงรูปสตรี หลงรูปพระพุทธองค์ ทรงใช้วิธีการอย่างไร ตลอดถึงพระภิกษุที่มีภูมิปัญญาต่ำ หลงๆ ลืมๆ ทรงทำอย่างไรให้เธอประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม วิธีการเหล่านี้หาอ่านและศึกษาได้จากอรรถกถาธรรมบทนี้ กล่าวได้ว่าอรรถกถาธรรมบทเป็นจดหมายเหตุบันทึกประวัติพุทธศาสนาไว้เกือบจะทุกแง่ทุกมุมที่ชาวพุทธไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง

    (๖) อุปมาอุปไมย เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข้อเด่นชัดของธรรมบท โดยเฉพาะในตัวคาถาคำอุปมาอุปไมยสั้น แต่ให้ภาพชัดเจน เข้าใจง่าย เช่น

    - ความทุกข์ติดตามคนทำชั่ว เหมือนล้อเกวียนหมุนตามรอยเท้าโค

    - ความสุขติดตามคนทำดี เหมือนเงาตามตัว

    - คิดร้ายคนบริสุทธิ์ บาปไม่พ้นตัว เหมือนซัดฝุ่นทวนลม ฝุ่นจะกลับเข้าหาตัว

    - ชรามรณะไล่ต้อนชีวิตคน เหมือนเด็กเลี้ยงโคต้อนโคไปหากิน

    - กิเลสตัณหาไม่ค้างใจพระอรหันต์ เหมือนหยาดน้ำตกจากใบบัว

    - บัณฑิตไม่หวั่นไหว เพราะคำนินทาและสรรเสริญ เหมือนภูเขาไม่สะเทือนเพราะแรงลม

    - คนมีราคะกิเลส ติดในรูป รส กลิ่น เสียง เหมือนลูกโคยังไม่หย่านม ติดแม่

    - ตัณหาที่ถอนไม่ได้หมดงอกงามได้อีก เหมือนต้นไม้ที่ยังไม่ถอนรากทิ้ง

    - คนไม่ประมาททิ้งคนประมาทไว้ห่างไกล เหมือนม้าฝีเท้าเร็วทิ้งม้าแกลบ

    - ผู้คัดค้านคำสอนของพระอริยเจ้าทำลายตนเอง เหมือนขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ผลกล้วยฆ่าต้นกล้วย

    - ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้คนเสียคน เหมือนหญ้าที่ทำให้นาเสียหาย

    - ความชั่วไม่มีอิทธิพลแก่คนไม่ทำชั่ว เหมือนมือไม่มีแผลจับต้องยาพิษได้

    - น้อยคนจะไปสวรรค์ เหมือนนกติดข่ายน้อยตัวจะหลุดรอดไปได้

    - สามัญชนตามพระอรหันต์เหมือนนกบินบนฟ้า ตามทันยาก

    - ทำชั่วและดีทีละเล็กละน้อยก็มีมาก เหมือนฝนตกทีละหยาดๆ ก็เต็มตุ่มได้

    - คนชั่วไม่เด่น เหมือนลูกศรที่ยิงเวลากลางคืน

    - คนโง่ไม่รู้รสพระธรรม เหมือนจวักไม่รู้รสแกง

    - ใจคนดิ้นรนด้วยอำนาจกิเลส เหมือนปลาถูกโยนขึ้นบกดิ้นรนหาน้ำ

    - บัณฑิตฝึกตนได้ เหมือนชาวนาไขน้ำเข้านา ช่างศรดัดลูกศร ช่างไม้ถากไม้

    - พระอรหันต์หนักแน่น ไม่โกรธใคร เหมือน แผ่นดิน

    - พระอริยสาวกเดิมก็มีกิเลส เหมือนดอกบัวสวยงามก็เกิดจากโคลนตม

    - ร่างกายแตกดับง่าย เหมือนหม้อดิน เหมือนฟองน้ำ เหมือนพยับแดด

    - สมัยหนุ่มสาวไม่ตั้งตัว แก่มาก็นั่งซบเซา เหมือนนกกระเรียนจับเจ่าอยู่ริมสระไร้ปลา

    (รายละเอียดโปรดดู ภาคผนวก พุทธวจนะในธรรมบท ของผู้บรรยาย)

    ๓.๓ นิทานเรื่องตาบอดคลำช้าง ให้แง่คิดว่าเวลามองอะไรอย่ามองแง่เดียว มุมเดียว ผู้ที่เห็นอะไรมุมเดียว และยึดมั่นถือมั่นว่าตนรู้เท่านั้นถูกต้อง ย่อมนำไปสู่การดูถูกเหยียดหยามคนอื่น และทะเลาะวิวาทกันกับคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับตน พระพุทธเจ้าทรงเตือนว่า แม้แต่เรื่องศีล เรื่องวัตร ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าถือศีลวัตรผิดไปจากจุดหมายของวัตร เช่น ยึดว่าปฏิบัติอย่าง (ที่ตนทำ) นี้เท่านั้น ถูกต้อง ปฏิบัติอย่างอื่นไม่ถูกต้อง อย่างนี้ไม่ควร เพราะจะกลายเป็น "สีลัพพตปรามาส" ได้

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB5TXc9PQ
     
  3. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ในธัมมสูตร พระพุทธเจ้าแสดงสุกกธรรม 2 ข้อ คือ หิริโอตตัปปะ ว่าเป็นคุณธรรมสามารถปกครองโลกได้ทั้งโลก ถ้าโลกขาดคุณธรรม 2 ข้อนี้ มนุษย์กับสัตว์จะไม่แตกต่างกัน "สัตว์โลกก็จะไม่มีป้า น้า ภรรยาของอาจารย์ หรือภรรยาของครู จักสำส่อน ไม่ต่างแพะ แกะ ไก่ สุกร สุนัขจิ้งจอก" เป็นคำพูดที่ให้เห็นภาพชัดเจนดีมาก ความหมายหนึ่งของคำว่า "ศาสนา" คือ การปกครอง น่าสังเกตว่า ยิ่งปกครองขยายวงกว้างออกไปมากเท่าไร คุณธรรมที่ใช้สำหรับการปกครองก็ยิ่งลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ คือ

    - ปกครองตนเองให้พึ่งตนเอง ใช้ นาถกรณธรรม ๑๐ ประการ

    - ปกครองประเทศให้อยู่เย็นเป็นสุขได้ ใช้ ราชธรรม ๑๐ ประการ หรือ อปริหานิยธรรม ๗ ประการ

    - ปกครองโลกทั้งโลก ใช้ สุกกธรรม ๒ ประการ

    ๓.๕ เรื่องนิพพาน อันเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิต มีการถือเอาใจความจากพระสูตรคนละแห่งแล้วมาถกเถียงกัน บางท่านกล่าวว่า สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง การดับกิเลสได้เป็นขั้นๆ ยังไม่หมดกิเลสโดยสิ้นเชิง ได้แก่ การดับกิเลสของพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ส่วนอนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงการดับกิเลสได้โดยสิ้นเชิง ได้แก่ พระอรหันต์ มิได้หมายถึงการดับกิเลสที่มีเบญจขันธ์เหลือ และการดับกิเลสที่ไม่มีขันธ์เหลือ ความจริงจะอธิบายนัยใดก็ถูกต้อง หรือจะอธิบายว่าพระอรหันต์นั้นท่านบรรลุทั้งสอุปาทิเสสนิพพาน และอนุปาทิเสสนิพพาน ในขณะที่มีชีวิตอยู่ก็ได้ ผู้ศึกษาพึงดูดีๆ ในพระสูตร ธาตุสูตร เล่มที่ ๒๕ ที่ยกมานี้และเล่มที่ ๒๓ ข้อ ๒ หน้า ๖)

    ๓.๖ นรกสวรรค์ พูดถึงบ่อยมากในพระไตรปิฎก บ่อยเสียจนไม่น่าคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือพูดผ่านๆ เท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ชี้ชัดว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องนี้จริง ยืนยันเรื่องนี้จริง แต่การพูดถึงนรกสวรรค์ของพระองค์เป็นเรื่องที่น่าวิเคราะห์ในแง่ที่ว่า พระองค์ มิได้ให้รายละเอียดชัดเจนสมกับที่พูดถึงบ่อย ข้อความที่ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าในพระสูตรก็คือ

    กายสฺส เภทา ปรมฺมรณา สุคตึ สุคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ

    หลังจากแตกกายทำลายขันธ์แล้ว เขา (ผู้ทำดีแล้ว) ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์

    กายสฺสเภทา ปรมฺมรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ อุปปชฺชติ

    หลังจากแตกกายทำลายขันธ์แล้ว เขา (ผู้ทำชั่ว) ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก

    นรกสวรรค์อยู่ที่ไหน มีสภาพอย่างไร ไม่พูดถึง จนทำให้คิดว่านรกสวรรค์นี้เป็น "สภาวะทางจิต" มากกว่านรกสวรรค์ที่เป็น "กายภาพ" แต่จะสรุปอย่างนี้โดย ตรงก็ไม่ได้ เพราะมีบางสูตรที่กล่าวถึงนรกสวรรค์ พอที่จะใหัคิดว่าสิ่งที่มีอยู่ทาง "กายภาพ" เช่น

    เล่มที่ ๒๔ ข้อ ๘๙ พูดถึงพระโกกาลิกะ สมุนพระเทวทัต ตายไปตกปทุมนรก เมื่อพระทูลถามว่าอายุของสัตว์ในปทุมนรกนี้ยาวนานเท่าไร ตรัสว่ายาวกว่านรกขุมอื่นๆ ๙ ขุม แต่นานเท่าไรสุดจะนับได้ด้วยการคำนวณของมนุษย์ แล้วให้ชื่อนรกไว้ทั้งหมด ๑๐ ขุม

    เล่มที่ ๑๔ ข้อ ๔๗๓-๔๗๕ กล่าวถึงนายนิริยบาลทำโทษสัตว์นรก เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน โดยบอกว่า นรกมี "สี่มุม สี่ประตู แบ่งส่วนเท่ากับมีกำแพงเหล็กล้อมรอบ ข้างบนครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นเป็นเหล็กลุกเป็นไฟ กว้าง ยาวร้อยโยชน์"

    เล่มที่ ๒๘ ข้อ ๙๒ ระบุชื่อ นรกเพิ่มอีก ๘ ขุม เล่มนี้ให้รายละเอียดมากกว่าในที่อื่น คือ ระบุคนทำบาปชนิดไหนจะได้รับโทษทัณฑ์ในนรกชนิดไหน

    เล่มที่ ๑๔ ข้อ ๕๑๒-๕๒๓ เล่าว่าคนตายจะถูกยมบาลถามว่าเวลาเห็นคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วคิดว่าวันหนึ่งตนก็จะเป็นเช่นนั้น แล้วคิดทำบุญหรือไม่ ถ้าตอบว่าไม่ก็จะถูกทำโทษต่างๆ ในนรก

    จากพระสูตรต่างๆ ที่ยกมาพอจะประมวลได้ว่า นรกสวรรค์น่าจะมีอยู่จริงในแง่ "กายภาพ" แต่ก็ไม่ชี้ชัดว่า "ตั้งอยู่" ณ ที่ใด

    ส่วนในแง่นามธรรมหรือสภาวะทางจิตนั้น มีปรากฏในเล่มที่ ๑๐ ข้อ ๙๑ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้พระดูว่า "ถ้าใครยังไม่เคยเห็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็ให้ดูพวกลิจฉวีนี่แหละ" เท่ากับบอกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือยมีความสุขเต็มที่ เช่น พวกเจ้าลิจฉวี นั้นก็คือสภาวะที่เรียกว่า ชาวสวรรค์ หรือ ผู้เกิดในสวรรค์

    ข้อความนี้จะชัดเจนขึ้นโดยไม่ต้องตีความ ในเล่มที่ ๑๘ ข้อ ๒๑๔ พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์ทรงเห็นนรกชื่อ "ฉผัสสายตนิกะ" กับสวรรค์ชื่อ "ฉผัสสาย ตนิกะ" ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของคนเรานี่แหละคือนรกและสวรรค์ ขณะใดที่เห็นรูป ได้ยินเสียง...อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ น่าเพลิดเพลินเจริญใจ ก็เรียกว่า "ขึ้นสวรรค์" ขณะใดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบรูป เสียง รส สัมผัส และมโนภาพที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจ มีแต่ความทุกข์ร้อนใจ ขณะนั้นเรียกว่า "ตกนรก"

    สรุป นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎก สามารถตีความได้ทั้ง 2 นัย คือ

    นรกสวรรค์ทาง "กายภาพ" และ นรกสวรรค์ที่เป็น "สภาวะทางจิต"

    โดยนัยนี้จะพูดว่า "สวรรค์ในอก นรกในใจ" ก็ถูก หรือพูดว่า สวรรค์ นรก เป็นภพภูมิหนึ่ง โดยเฉพาะก็ถูกเช่นกัน ถ้ายังไม่เห็นด้วยตนเองก็ไม่ต้องเถียงกัน เมื่อใดประจักษ์ด้วยญาณอันเป็นปัจจัตตังแล้ว ปัญหาจะหมดไปเอง การทะเลาะทุ่มเถียงกันก็จะหมดไปโดยอัตโนมัติ

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB5TkE9PQ
     
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    พระอภิธรรมปิฎก

    ๑. โครงสร้างพระอภิธรรมปิฎก

    พระอภิธรรมปิฎก

    สังคณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก ปัฏฐาน

    ๒. เนื้อหาสาระ

    อภิธรรม แปลว่า ธรรมยิ่ง ธรรมวิเศษ ธรรมเลอล้ำหรือหัวธรรม (เหมือนพูดกันว่าหัวน้ำหอม หัวน้ำนม หัวกะทิ เป็นต้น) หมายถึง คำสอนที่เป็นข้อสำคัญเป็นหลักใหญ่ เป็นเนื้อหาแท้ๆ ของพระพุทธศาสนา

    ปิฎก แปลว่า ภาชนะที่บรรจุหรือเก็บรวบรวม (เช่น ตะกร้า กระบุง ปุ้งกี๋) คัมภีร์ ตำราอภิธรรมปิฎก จึงแปลรวมกันว่า คัมภีร์ที่รวบรวมหลักคำสอนสำคัญ ที่เป็นเนื้อหาแท้ๆ ของพระพุทธศาสนา ท่านมักอธิบายโดยเทียบกับพระสูตร (สุตตันตปิฎก) ว่า

    พระสูตรเป็นคำสอนที่เกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ สถานที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงโดยปรารภบุคคลและเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทรงชี้แจง แนะนำให้พอเหมาะพอดีกับพื้นเพ อุปนิสัย สติปัญญา ความพร้อมผู้ฟังและให้โอกาสนั้น เนื้อหาของธรรมที่ทรงอธิบายก็มักเป็นเพียงความหมายแงˆใดแง่หนึ่งหรือบางส่วน บางด้านของข้อธรรมนั้นเท่าที่จะให้คนฟังเข้าใจและได้รับผลสำหรับ คราวนั้นๆ หลักธรรมก็ปะปนอยู่กับเรื่องราว ความเป็นไปเกี่ยวข้องในการเทศน์ เช่น มีตัวอย่างแทรกอยู่บ้าง มีคำเปรียบเทียบเป็นอุปมาอุปไมยบ้าง เป็นต้น

    ส่วนพระอภิธรรมนี้แสดงแต่เนื้อธรรมล้วนๆ แท้ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ สถานที่ใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อยกหลักธรรมใดขึ้นมาอธิบายก็อธิบายโดยสิ้นเชิง เช่น แจกแจงให้ละเอียดทุกแง่ทุกมุมครบถ้วนเต็มที่ตามหลักวิชาการ ให้จบไปเป็นเรื่องๆ ไม่คำนึงว่าใครจะอ่านใครจะฟัง

    รวมความว่า อภิธรรมปิฎก เป็นคัมภีร์รวบรวมและอธิบายหลักธรรมตามแนวหลักวิชาการ หรือโดยวิธีนักวิชาการ พูดอย่างง่ายๆ ว่า พระสูตรว่าด้วยหลักธรรมที่นำมาให้คนใช้ อภิธรรมว่าด้วยธรรม ในตำราของนักวิชาการ

    อภิธรรมแบ่งออกเป็น ๗ คัมภีร์ คือ สังคณี หรือธรรมสังคณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคล บัญญัติ กถาวัตถุ ยมก และ ปัฏฐาน

    คนโบราณกำหนดเป็นอักษรย่อ ให้จำง่าย เรียกว่า "หัวใจอภิธรรม" ได้แก่ สัง. วิ. ธา. ปุ. ก. ย. ป. และมักจะเรียกว่า พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เพื่อแยกไว้ต่างหากมิให้สับสนกับคัมภีร์อภิธรรมรุ่นหลัง เช่น อภิธัมมัตถสังคหะ เป็นต้น

    ในพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐของไทย ๔๕ เล่ม อภิธรรมปิฎกพิมพ์เป็นหนังสือ ๑๒ เล่ม มีสาระสำคัญโดยย่อ ดังนี้ :

    สังคณี

    สังคณี หรือธรรมสังคณี แปลว่า ประมวลนับ หรือตรวจ นับข้อธรรม คือ ยกหลักธรรมแม่บทขึ้นตั้งเป็นหัวข้อ ถามว่า หลักธรรมนี้ได้แก่อะไรบ้าง หรือประกอบด้วยข้อธรรมย่อยอะไรบ้างแล้วนับ คือ แสดงให้ดูว่าหลักธรรมนี้ในกรณีนี้ๆ ได้แก่ธรรมข้อนี้ๆ เช่น ตั้งหัวข้อว่า ธรรมพวกไหนบ้างเป็นกุศล แล้วตอบชี้แจงว่าในกรณีนี้ ในเวลาที่จิตเป็นอย่างนี้ มีธรรมชื่อนี้ ชื่อนี้...เป็นกุศล

    คัมภีร์สังคณีแบ่งออกเป็นตอนๆ ตอนต้นเสมือนบทนำของอภิธรรมทั้งหมด เรียกว่า "มาติกา" ต่อจากนั้นมีตอนที่เป็นตัวแท้ของธรรมสังคณีอีก ๔ ตอน

    มาติกา แปลว่า แม่บท หมายถึงหลักธรรมที่เป็นหัวข้อใหญ่ๆ ชุดหนึ่ง ซึ่งสามารถนำเอาข้อธรรมต่างๆ ทั้งหลายมาสรุปลงได้ทั้งหมด เช่น กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม เป็นมาติกาหนึ่ง โลกียธรรมและโลกุตตรธรรม เป็นมาติกาหนึ่ง เป็นต้น

    จะเห็นได้ว่า ธรรมทั้งหลายมีอยู่เท่าใดก็ตาม ย่อมสรุปลงในมาติกาแต่ละมาติกาได้ทั้งหมด มาติกาที่มีข้อใหญ่ ๓ หัวข้อเรียกว่า ติกมาติกา แปลว่า มาติกาชุดสาม (เช่น อกุศลธรรม กุศลธรรม และอัพยากตธรรม เป็นติกมาติกาหนึ่ง)

    มาติกาอย่างนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น ๑๖๔ มาติกา มาติกาเหล่านี้ยังจัดแยกได‰เป็น ๒ ประเภท คือ แม่บทแบบอภิธรรม เรียกว่า อภิธรรมมาติกา และแม่บทแบบพระสูตร เรียกว่า สุตตันมาติกา ขอยกตัวอย่างมาติกาที่น่าสนใจให้ดู ดังนี้ :

    ก. อภิธรรมมาติกา (๑๑๒ มาติกา)

    ๑. ติกมาติกา (๒๒)

    กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม

    อดีตธรรม อนาคตธรรม ปัจจุบันธรรม

    ฯลฯ

    ๒. ทุกมาติกา (๑๐๐)

    สังขตธรรม อสังขตธรรม

    รูปิธรรม อรูปิธรรม

    โลกียธรรม โลกุตตรธรรม

    สาสวธรรม อนาสวธรรม

    อุปาทินนธรรม อนุปาทินนธรรม

    ฯลฯ

    ข. สุตตันตมาติกา (๔๒ ทุกมาติกา)

    พาลธรรม บัณฑิตธรรม

    นาม รูป

    สัสสตทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิ

    ขันติ โสรัจจะ

    สติ สัมปชัญญะ

    สมถะ วิปัสสนา

    ฯลฯ

    อีก ๔ ตอนที่เหลือของธรรมสังคณี ก็คือคำอธิบายของมาติกาที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง โดยเฉพาะ ๒ ตอนแรกเป็นคำอธิบายของมาติกาแรก (คือ กุศล-อกุศล-อัพยากตะ) เพียงมาติกาเดียวเท่านั้น ตอนทั้ง ๔ นั้น เรียกเป็นกัณฑ์ๆ ดังนี้

    ๑. จิตตุปปาทกัณฑ์ ตอนว่าด้วยจิตและเจตสิก อธิบายโดยยกมาติกาแรก (กุศล อกุศล อัพยากตะ) จับขึ้นตั้งเป็นแม่บทและตรวจนับเจตสิกต่างๆ ที่เป็นกุศล อกุศล อัพยากตะ ซึ่งเกิดขึ้นกับจิตประเภทต่างๆ ในแต่ละกรณีๆ ไปตามลำดับ

    ๒. รูปกัณฑ์ ตอนว่าด้วยรูป ตรวจนับรูปประเภทต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นอัพยากตธรรม อยู่ในมาติกาแรกทั้งสิ้น ตรวจนับทีละประเภทๆ ไปตามลำดับ ว่าประเภทนั้นมีรูปอะไรบ้าง ประเภทนี้มีรูปอะไรบ้าง ตามลำดับจนหมด ท้ายสุดกล่าวถึงนิพพานหน่อยหนึ่ง ในฐานะที่เป็นอัพยากตธรรมอย่างหนึ่งด้วย

    ๓. นิกเขปกัณฑ์ อธิบายมาติกาทั้งหมดทั้ง ๑๖๔ มาติกา แต่อธิบายสั้นๆ อย่างที่เรียกว่า ให้คำจำกัดความไปตามลำดับจนครบทุกมาติกา

    ๔. อัตถุทธารกัณฑ์ (เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อรรถกถากัณฑ์) อธิบายหรือให้คำจำกัดความแก่อภิธรรมมาติกา ๑๒๒ ข้อใหญ่ อีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่อธิบายสุตตันตมาติกา วิธีการ อธิบายหรือให้คำจำกัดความในอัตถุทธารกัณฑ์ เป็นอีกแนวหนึ่งต่างจากนิกเขปกัณฑ์ ตัวอย่างเช่น อธิบายมาติกาว่าด้วยสังขตธรรม และอสังขตธรรม

    นิกเขปกัณฑ์ว่า :

    "ธรรมเหล่าไหนเป็นสังขตะ ธรรมเหล่าใดมีปัจจัย ธรรมเหล่านั้นแลเป็นสังขตะ"

    "ธรรมเหล่าไหนเป็นอสังขตะ ธรรมเหล่าใดไม่มีปัจจัย ธรรมเหล่านั้นแลเป็นอสังขตะ"

    (อภิ.สํ. ๓๔/๗๐๒/๒๗๗)

    อัตถุทธารกัณฑ์ว่า :

    "ธรรมเหล่าไหนเป็นสังขตะ กุศลในภูมิ ๔ อกุศลวิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤต ในภูมิ ๓ และรูปนั้นทั้งหมด, ธรรมเหล่านั้นเป็นสังขตะ ธรรมเหล่าไหนเป็นอสังขตะ นิพพาน ธรรมเหล่านั้นเป็นอสังขตะ"

    (อภิ.สํ. ๓๔/๙๐๗/๓๕๔)

    คัมภีร์สังคณีทั้งหมดนี้ รวมอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน คือ เล่มที่ ๓๔


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB5TlE9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2009
  5. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    วิภังค์

    วิภังค์ แปลว่า แจกแจงหรือจำแนกความ คือ อธิบายหลักธรรมสำคัญๆ เช่น ขันธ์ อายตนะ อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น โดยแยกแยะรายละเอียด กระจายออกให้เห็นทุกแง่จนชัดเจนจบเป็นเรื่องๆ อธิบายเรื่องใดก็เรียกว่าวิภังค์ของเรื่องนั้น เช่น อธิบายเรื่อง ขันธ์ ๕ ก็เรียกว่า ขันธวิภังค์ อธิบายเรื่องอริยสัจ ๔ ก็เรียกว่า สัจจวิภังค์ เป็นต้น

    ๑. ขันธวิภังค์ แจกแจงเรื่อง ขันธ์ ๕

    ๒. อายตนวิภังค์ แจกแจงเรื่อง อายตนะ ๑๒

    ๓. ธาตุวิภังค์ แจกแจงเรื่อง ธาตุ ๑๘

    ๔. สัจจวิภังค์ แจกแจงเรื่อง อริยสัจ ๔

    ๕. อินทรียวิภังค์ แจกแจงเรื่อง อินทรีย์ ๒๒

    ๖. ปัจจยาการวิภังค์ แจกแจงเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท

    ๗. สติปัฏฐานวิภังค์ แจกแจงเรื่อง สติปัฏฐาน ๔

    ๘. สัมมัปปธานวิภังค์ แจกแจงเรื่อง สัมมัปปธาน ๔

    ๙. อิทธปาทวิภังค์ แจกแจงเรื่อง อิทธิบาท ๔

    ๑๐.โพชฌังควิภังค์ แจกแจงเรื่อง โพชฌงค์ ๗

    ๑๑. มัคควิภังค์ แจกแจงเรื่อง มรรคมีองค์ ๘

    ๑๒. ฌานวิภังค์ แจกแจงเรื่อง รูปฌาน อรูปฌาน

    ๑๓. อัปปมัญญาวิภังค์ แจกแจงเรื่อง อัปปมัญญา ๔

    ๑๔. สิกขาปทวิภังค์ แจกแจงเรื่อง ศีล ๕

    ๑๕. ปฏิสัมภิทาวิภังค์ แจกแจงเรื่อง ปฏิสัมภิทา ๔

    ๑๖. ญาณวิภังค์ แจกแจงเรื่อง ญาณประเภทต่างๆ

    ๑๗. ขุททกวัตถุวิภังค์ แจกแจงเรื่อง เบ็ดเตล็ด คืออกุศล ธรรมต่างๆมากมาย

    ๑๘. ธรรมหทัยวิภังค์ แจกแจงเรื่อง แจกแจงเรื่องหัวใจ ธรรม คือ หลักธรรมสำคัญต่างๆ ที่ควรรู้

    วิธีอธิบายวิภังค์นี้ ดำเนินไปอย่างมีระเบียบ พูดไปทีละแง่ๆ เพื่อให้ได้ความหมาย และทราบรายละเอียดต่างๆ ปรากฏออกมาชัดเจนแทบทุกเรื่อง หรือแทบทุกวิภังค์ จะมีการอธิบายตามลำดับขั้นตอนคล้ายคลึงกัน คือ แบ่งเป็น

    ก. สุตตันตภาชนีย์ จำแนกความแบบพระสูตรหรืออธิบายตามแนวพระสูตร

    ข. อภิธรรมภาชนีย์ จำแนกความอภิธรรมหรืออธิบายตามแนวอภิธรรม

    ค. ปัญหาปุจฉกะ ภาคถามปัญหาคือตั้งคำ ถามให้วินิจฉัยเรื่องนั้นตามหลักมาติกาที่กล่าวแล้วในสังคณี เช่น ในขันธวิภังค์ จะถามว่าในขันธ์ ๕ กี่ขันธ์เป็นอกุศล กี่ขันธ์เป็นอพยากฤต กี่ขันธ์เป็นโลกียะ กี่ขันธ์เป็นโลกุตตระ อย่างไรก็ตาม วิภังค์ท้ายๆ มักไม่มี ภาคปัญหาปุจฉกะ

    วิภังค์ทั้ง ๑๘ อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มเดียวกันคือ เล่มที่ ๓๕

    ธาตุกถา

    ธาตุกถา แปลว่า แถลงเรื่องธาตุ (เป็นชื่อที่ตัดให้สั้น ซึ่งเต็มควรจะเป็นขันธายตนธาตุกถา แปลว่า แถลงเรื่องขันธ์อายตนะและธาตุ) เป็นคัมภีร์ว่าด้วยการสงเคราะห์ คือ นำเอาข้อธรรมต่างๆ มาจัดเข้าในขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ และธาตุ ๑๘ ว่าข้อไหนจัดเข้าได้ ข้อไหนจัดเข้าไม่ได้ จัดเข้าได้ในขันธ์ใด อายตนะใด หรือธาตุใด กี่อย่างจัดเข้าได้ กี่อย่างจัดเข้าไม่ได้ ข้อไหนประกอบกันได้ ข้อไหนประกอบกันไม่ได้ เช่น อิทธิบาทสงเคราะห์ได้ (คือจัดเข้าได้) ในขันธ์ ๒ อายตนะ ๑ ธาตุ ๑ สงเคราะห์ไม่ได้ (คือจัดเข้าไม่ได้) ในขันธ์ ๓ อายตนะ ๑๐ ธาตุ ๑๖ ดังนี้ เป็นต้น

    ข้อธรรมที่นำมาพิจารณาจัดเข้า ได้แก่ ธรรมต่างๆ ในมาติกาทั้งหลาย และข้อธรรมอื่นๆ อีก ๑๒๕ อย่าง คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ สัจจะ ๔ อินทรีย์ ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ ฌาน ๔ อัปปมัญญา ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต อธิโมกข์ มนสิการ

    ปุคคลบัญญัติ

    ปุคคลบัญญัติ แปลว่า การบัญญัติบุคคล หมาย ความว่าบัญญัติความหมายของชื่อที่ใช้เรียกบุคคลประเภทต่างๆ ตามคุณธรรมที่มีอยู่ในบุคคลนั้นๆ เช่น บัญญัติความหมายของคำว่า พระโสดาบันว่า "บุคคลอย่างไหนเป็นโสดาบัน บุคคลใดละสังโยชน์ ๓ แล้ว บุคคลนั้นเรียกว่า โสดาบัน"

    คำว่า เสขะ ก็ว่า "บุคคลอย่างไหนเป็นเสขะ บุคคล ๔ ที่ประกอบด้วยมรรค บุคคล ๓ ผู้ประกอบด้วยผล ชื่อว่าเป็นเสขะ"

    คำว่า ปัจเจกพุทธะ ก็ว่า "บุคคลอย่างไรเป็นพระปัจเจกพุทธะ บุคคลบางท่านในโลกนี้ย่อมตรัสรู้เองซึ่งสัจจะทั้งหลายในบรรดาธรรมที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่ไม่บรรลุความเป็นสัพพัญญู ในธรรมเหล่านั้นทั้งไม่ถึงความชำนาญในธรรมอันเป็นกำลังทั้งหลาย บุคคลนี้เรียกว่า พระปัจเจกพุทธะ" ดังนี้ เป็นต้น

    วิธีการอธิบายในปุคคลบัญญัติ ท่านเอาบุคคลประเภทต่างๆ มาจัดเรียงเป็นมาติกา คือ แม่บทก่อน ตามลำดับเลขจำนวน คือ หมวดบุคคล ๑ หมวดบุคคล ๒ หมวดบุคคล ๓ หมวดบุคคล ๔ หมวดบุคคล ๕ หมวดบุคคล ๖ เรื่อยไปจนถึงหมวดบุคคล ๑๐ จากนั้นจึงทำนิทเทส คือ ขยายความหรืออธิบายแสดงความหมายไปตามลำดับทีละประเภท จนครบถึง ๑๐ หมวด

    ธาตุกถาและปุคคลบัญญัติ เป็นคัมภีร์สั้นๆ รวม ๒ คัมภีร์ อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน คือ เล่มที่ ๓๖

    กถาวัตถุ

    กถาวัตถุ แปลว่า เรื่องสำหรับสนทนา เรื่องที่เป็นข้อพูดจา หรือเรื่องที่เอามาถกกัน เป็นคัมภีร์ที่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ผู้เป็นประธานแห่งการสังคายนาครั้งที่ ๓ เรียบเรียงขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๔ เพื่อแก้ทัศนะผิดพลาดทั้งหลายของนิกายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคนั้น (มีนิกายที่ถือผิดรวม ๑๗ นิกาย รวมกับเถรวาทด้วยกัน ๑๘ นิกาย) และชี้มติที่ถูกต้องอันเป็นการเชิดชูหลักคำสอนที่แท้จริงของพระ พุทธศาสนา ที่สืบมาในเถรวาท


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB5Tmc9PQ
     
  6. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เรื่องหรือหัวข้อที่นำมาถกหรือแถลงแก้ (เรียกว่า กถา) มีทั้งหมด ๒๑๙ กถา เรียบเรียงเป็นบทสนทนาถามตอบหรือปุจฉาวิสัชนากัน จัดเป็นวรรคหรือหมวดได้ ๒๓ วรรค ยกตัวอย่างเรื่องที่น่าสนใจในบรรดา ๒๑๙ เรื่องนั้น เช่น

    - พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้หรือไม่

    - กุศลมูลสืบต่ออกุศลมูลได้หรือไม่

    - พระเสขะรู้จิตของพระอเสขะได้หรือไม่

    - พระพุทธเจ้าเคยทรงดำรงพระชนม์อยู่ในโลกจริงหรือไม่

    - พระพุทธเจ้ากับพระพุทธเจ้าด้วยกัน ยังมียิ่งหย่อนกว่ากันหรือไม่

    - เทวดามีการประพฤติพรหมจรรย์หรือไม่

    - บุคคลส่งความสุขให้แก่กันได้หรือไม่

    กถาวัตถุอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๗

    ยมก

    ยมก แปลว่า คู่ คือ ตั้งคำถามย้อนกันเป็นคู่ๆ เป็นคัมภีร์ที่อธิบายธรรม ด้วยวิธีถามตอบ หรือปุจฉา วิสัชนา เพื่อให้มองเห็นความหมายและขอบเขตของธรรมนั้นๆ ได้ชัดเจน และเป็นวิธีทดสอบความรู้ความเข้าใจหลักธรรมที่ลึกซึ้งมาก คำถามที่ตั้งขึ้นมาทีละคู่ และมีเนื้อความย้อนกันเอง ตัวอย่างเช่น

    - ธรรมที่เป็นกุศลทั้งหมด เป็นกุศลมูลหรือ หรือว่าธรรมที่เป็นกุศลมูล (ทั้งหมด) เป็นกุศล

    - รูป (ทั้งหมด) เป็นรูปขันธ์หรือ หรือว่ารูปขันธ์ (ทั้งหมด) เป็นรูป

    - ทุกข์ (ทั้งหมด) เป็นทุกขสัจหรือ หรือว่าทุกขสัจ (ทั้งหมด) เป็นทุกข์

    - จิตของผู้ใดเกิดไม่ดับ จิตของผู้นั้นจักดับ จักไม่เกิดหรือ หรือว่าจิตของผู้ใดจักดับ จักไม่เกิด จิตของผู้นั้นจักไม่ดับ

    - กุศลธรรมเกิดได้แก่ผู้ใด อกุศลธรรมก็เกิดได้แก่ผู้นั้นหรือ หรือว่าอกุศลธรรมเกิดได้แก่ ผู้ใด กุศลธรรมก็เกิดได้แก่ผู้นั้น

    ในการถาม-ตอบ ถือหลักธรรมสำคัญๆ เป็นหลัก เมื่อจะอธิบายหลักธรรมใดก็ตั้งคำถามเป็นคู่อย่างข้างต้นนั้น แล้วตอบไปตามแนวคำถามนั้น ถามตอบจนเห็นว่าครบทุกแง่ทุกด้านแล้วจึงจบ เรียกว่ายมกหนึ่งๆ ตั้งชื่อตามหลักธรรมที่อธิบายในบทหรือตอนนั้น เช่น ถามตอบเพื่ออธิบาย เรื่องขันธ์ ๕ ก็เรียกว่า ขันธยมก จบยมกนี้แล้วก็ถามตอบหลักธรรมอื่นขึ้นยมกต่อไป มียมกอย่างนี้ ทั้งหมด ๑๐ ยมก คือ

    ๑.มูลยมก ว่าด้วย มูล เช่น อกุศลมูล

    ๒.ขันธยมก ว่าด้วย ขันธ์ ๕

    ๓.อายตนยมก ว่าด้วย อายตนะ ๑๒

    ๔.ธาตุยมก ว่าด้วย ธาตุ ๑๘

    ๕.สัจจยมก ว่าด้วย อริสัจ ๔

    ๖.สังขารยมก ว่าด้วย สังขาร ๓

    ๗.อนุสยมก ว่าด้วย อนุสัย ๗

    ๘.จิตตยมก ว่าด้วย การเกิดดับของจิตต่างๆ

    ๙. ธรรมยมก ว่าด้วย กุศล-อกุศล-อัพยากตธรรม

    ๑๐.อินทรียยมก ว่าด้วย อินทรีย์ ๒๒

    ยมก เป็นคัมภีร์ใหญ่คัมภีร์หนึ่ง มีความยาวกินเนื้อที่ในพระไตรปิฎก ๒ เล่ม คือ เล่มที่ ๓๘ และ ๓๙

    ปัฏฐาน

    ปัฏฐาน แปลว่าฐานทั่วไป หรือที่ตั้งอาศัยคือปัจจัยต่างๆ เป็นคัมภีร์แสดงเรื่องปัจจัย ๒๔ คือ แสดงให้เห็นว่าธรรมหรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงสัมพันธ์กัน โดยเป็นปัจจัยแก่กันด้วยปัจจัยอย่างหนึ่ง หรือหลายๆ อย่าง ในบรรดาปัจจัย ๒๔ ประการ

    ข้อธรรมที่นำมาพิจารณาเพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์อย่างนี้ ก็คือข้อธรรมในมาติกาทั้งหลายที่กล่าวกันมาแล้วข้างต้น ในตอนว่าด้วยคัมภีร์สังคณี ขอให้ดูปัจจัยบางข้อพร้อมด้วยตัวอย่างแสดงความสัมพันธ์อย่างกว้าง ดังนี้

    ๑.เหตุปัจจัย ปัจจัยโดยเหตุ เช่น เหตุ (คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรืออโลภะ อโมหะ อโทสะ) เป็นปัจจัยโดยเป็นเหตุปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลายที่ประกอบด้วย และแก่รูปทั้งหลายที่เกิดจากธรรมที่ประกอบด้วยเหตุนั้น

    ๒.อารัมมณปัจจัย ปัจจัยโดยความเป็นอารมณ์ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณธาตุ คือ ความรู้แจ้งทาง ตา หู เป็นต้น โดยอารัมมณปัจจัย

    ๓.อนันตรปัจจัย ปัจจัยโดยความต่อลำดับ เช่น กุศลธรรมที่เกิดเป็นปัจจัย โดยอนันตรปัจจัยแก่กุศลธรรมที่เกิดภายหลัง

    ๔.สหชาตปัจจัย ปัจจัยโดยเกิดร่วมกัน เช่น มหาภูตรูป เป็นปัจจัยแก่อุปาทายรูป โดยสหชาตปัจจัย

    ๕.อัญญมัญญปัจจัย ปัจจัยโดยอาศัยซึ่งกันและกัน เช่น นามขันธ์ทั้ง ๔ (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เป็นปัจจัยแก่กันโดยอัญญมัญญปัจจัย

    ๖.นิสสยปัจจัย ปัจจัยโดยเป็นที่อาศัย เช่น ขณะที่ปฏิสนธิ นามและรูปเป็นปัจจัยกันโดยนิสสยปัจจัย

    ๗.อุปนิสสยปัจจัย ปัจจัยโดยเป็นอุปนิสัย เช่น ปฐมฌาน เป็นปัจจัยแก่ทุติยฌานโดยอุปนิสสยปัจจัย

    ๘.กัมมปัจจัย ปัจจัยโดยกรรม เช่น กุศลกรรมและอกุศลกรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย

    ๙.อัตถิปัจจัย ปัจจัยโดยการมีอยู่ เช่น ตาเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณและธรรมที่ประกอบกับจักขุวิญญาณนั้น โดยอัตถิปัจจัย

    ๑๐.นัตถิปัจจัย ปัจจัยโดยภาวะที่ไม่มีอยู่ เช่น จิตและเจตสิกที่ดับไปใหม่ๆ เป็นปัจจัยแก่จิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นโดยเป็นนัตถิปัจจัย

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB5Tnc9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2009
  7. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    อย่างนี้เป็นการแสดงแบบหลักทั่วๆ ไป ต่อจากนี้ท่านจะแสดงความสัมพันธ์แบบเฉพาะกรณีที่ลึกซึ้งและซับซ้อนอีกมากมาย ขอยกตัวอย่างมาให้ดูอีกทั้งแบบหลักทั่วไป และแบบเฉพาะกรณีจากที่ต่างๆ หลายแห่ง ดังนี้

    - กุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่กุศลธรรม โดยอนุสยปัจจัย (เช่น อาศัยศรัทธาจึงให้ทาน จึงสมาทานศีล จึงบำเพ็ญฌาน จึงเจริญวิปัสสนา)

    - กุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย (เช่น ปรารภทานที่ได้ทำศีลที่ได้สมาทาน เกิดความยินดีเพลิดเพลิน ยึดเป็นอารมณ์หนักแน่นจนเกิดราคะ ทิฐิ : มีศรัทธา หรือศีล หรือปัญญา เป็นต้น แล้วเกิดมาคือถือตัวว่า ฉันดีกว่า เก่งกว่า หรือเกิดทิฐิเห็นว่าต้องประพฤติอย่างนี้เท่านั้นจึงถูกต้อง)

    - กุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่อัพยากตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย (เช่น มีศรัทธา จึงทำให้ตนลำบาก เดือดร้อน ได้รับทุกข์ด้วยการแสวงหา; กุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่วิบากของมัน เป็นต้น)

    - อกุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย (เช่น อาศัยโทสะจึงฆ่าสัตว์ พูดเท็จ พูดคำหยาบ)

    - อกุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่กุศลธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย (เช่น อาศัยความอยาก ความปรารถนา อาศัยมานะ อาศัยทิฐิ จึงให้ทาน จึงรักษาอุโบสถ จึงทำฌานให้เกิดขึ้น กล่าวคำหยาบไปแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของผรุสวาทนั้น จึงให้ทานรักษาศีล)

    - อกุศลธรรม เป็นปัจจัยแก่อัพยากตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย (เช่น เพราะราคะจึงทำตัวให้ลำบาก เดือดร้อน ได้รับทุกข์ ด้วยการแสวงหา, ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ เป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย หรือทุกข์ทางกาย เป็นต้น)

    - ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอารัมมณปัจจัย (เช่น ปรารภความดีที่ได้ทำไว้ เกิดความเพลิดเพลินอย่างยิ่ง)

    - โลกียธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกียธรรม โดยอาศัย อารัมมณปัจจัย (เช่น พิจารณากุศลธรรมที่เคยสั่งสมไว้, อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ)

    รวมความว่า เนื้อหาของคัมภีร์ปัฏฐาน ก็คือ การนำเอาข้อธรรมทั้งหลายในมาติกาของอภิธรรมทั้งหมด ๑๒๒ มาติกา มาแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ เป็นเหตุให้เป็นปัจจัยแก่กัน โดยปัจจัย ๒๔ ประการ

    การอธิบายแม้จะยากและซับซ้อน แต่ก็มีขั้นตอนและระบบที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบระบบ การจัดลำดับ และโครงการอธิบายเป็นอย่างไรจะไม่กล่าวในที่นี้ เพราะจะทำให้ฟั่นเฝือ

    ขอสรุปเพียงว่า ปัฏฐาน เป็นคัมภีร์ที่ใหญ่ มีเนื้อหามากและสำคัญมาก จึงได้ชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "มหาปกรณ์" แปลว่า ตำราใหญ่ หรือตำราสำคัญมาก กินเนื้อที่ในพระไตรปิฎกทั้งหมด ๖ เล่ม คือ เล่มที่ ๔๐ ถึง ๔๕ ซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายของพระไตรปิฎก ท่านกล่าวว่าถ้าผู้ใดเข้าใจปัฏฐานหรือมหาปกรณ์นี้ดีแล้ว ก็เท่ากับเข้าใจอภิธรรมปิฎกทั้งหมด

    พระอภิธรรมปิฎกเป็นปิฎกสุดท้ายในพระไตรปิฎก และถือกันว่ายากที่สุด มีจำนวนหนังสือ ๑๒ เล่ม (ในจำนวน ๔๕ เล่ม ของพระไตรปิฎกทั้งชุด) มีจำนวนหน้ากระดาษพิมพ์ฉบับภาษาบาลี ๖,๔๙๘ หน้า (ในจำนวนทั้งหมด ๒๒,๓๗๙ หน้าของพระไตรปิฎก)

    หมายเหตุ สรุปพระอภิธรรมปิฎกทั้งหมดที่ยกมาข้างต้น เป็นข้อเขียนของพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

    ๓.ข้อสังเกตเกี่ยวกับพระอภิธรรมปิฎก

    ๑.ศึกษาแง่ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา พระอภิธรรมปิฎกเป็นพัฒนาการในยุคหลังพระไตรปิฎกพูดถึงสังคายนาครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ เท่านั้น และสังคายนาทั้งสองครั้งเรียกว่า ธัมมวินยสังคีติ (สังคายนาพระธรรมวินัย) หรือ ธัมมวินยวิสัชนา (วิสัชนาพระธรรมวินัย) ไม่เรียกว่า "ติปิฎกสังคีติ" (สังคายนาพระไตรปิฎก) หรือ "ติปิฎกวิสัชนา" (วิสัชนาพระไตรปิฎก)

    ๒.ในแง่ภาษา ภาษาพระ ในพระอภิธรรมปิฎกเป็นภาษาเขียน ภาษาวิชาการที่เรียบเรียงเป็นขั้นเป็นตอน มิใช่ภาษาพูดเหมือนในพระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมข้อนี้แสดงว่าอภิธรรมปิฎกเพิ่มมาภายหลัง

    ๓.มีข้อถกเถียงกันว่า พระอภิธรรมปิฎกเป็นพระพุทธพจน์หรือไม่ "ทั้งสองฝ่ายปฏิเสธ และฝ่ายยอมรับว่าเป็นพุทธพจน์ ต่างก็ให้เหตุผลที่น่าฟังและเป็นไปได้ทั้งสอง ข้อถกเถียงนี้มีมานานแล้ว และรุนแรงขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ อันเป็นยุคทองของอรรถกถา

    ขอนำข้อคิดเห็นทั้งสองฝ่าย ดังนี้

    ๑.ฝ่ายที่ปฏิเสธพระอภิธรรมปิฎกให้เหตุผล ดังนี้

    (๑) ภาษาในอภิธรรมปิฎกเป็นสำนวนภาษารุ่นหลัง เป็นภาษาที่เรียบเรียงเป็นลักษณะวิชาการจัดอยู่ในประเภท "เวยยากรณะ" ไม่ใช่ภาษาพูดหรือสนทนา แบบภาษาในพระสูตรและพระวินัย

    (๒) ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสมหาปเทศ ๔ ให้สาวกเทียบเคียงหลักปฏิบัติว่าผิดหรือถูก โดยให้สอบสวนให้ถูกต้องลงรอยกับพระสูตรและพระวินัย ถ้าถูกต้องลงรอยกันได้ ให้ถือปฏิบัติ ถ้าไม่ถูกต้องลงรอยกันไม่ควรถือปฏิบัติในที่นี้มิได้ให้เทียบเคียงกับพระอภิธรรมปิฎกเลย

    (๓) ข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าตรัสอภิธรรมโดยยกเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปเทศนาโปรดพระพุทธมารดาที่ดาวดึงส์ เป็นเพียงคำกล่าวของพระอรรถกถาจารย์ (พระพุทธโฆสะ ผู้แต่งสมันตปาสาทิกา) เป็นหลักฐานรุ่นหลังมาก เรื่องนี้ไม่มีในพระสูตรและพระวินัย

    (๔) แม้คำว่า "อภิธมฺเม" ที่ปรากฏในพระสูตรบางแห่ง ก็มิได้หมายถึงพระอภิธรรมปิฎก เช่น ในกินติสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ คำว่า "อภิธมฺเม" พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า หมายถึง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ

    (๕) ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสมอบพระพุทธศาสนาไว้ในความรับผิดชอบของเหล่าสาวกว่า ธมฺโม จ วินโย จ หมายถึงพระธรรมกับพระวินัยเท่านั้น มิได้หมายถึงพระอภิธรรมเลย

    (๖) ในอภิธรรมปิฎกเอง ปรากฏคำว่า ยญฺจ โข ภควตา ชานตา ปสฺสตา แปลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ารู้อยู่ เห็นอยู่ และคำว่า วุตฺตญฺเจตํ ภควตา แปลว่า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ดังนี้ สำนวนเช่นนี้เป็นของพระสังคีติกาจารย์ มิใช่เป็นพุทธวจนะ

    (๗) นิกายสรวาสติวาทิน ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นิกายอภิธรรม เพราะถืออภิธรรมมาก ก็ถือว่าพระอภิธรรมปิฎกเป็นสาวกภาษิต มิใช่พุทธวจนะ

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB6TUE9PQ
     
  8. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๒. ฝ่ายที่ยอมรับพระอภิธรรมปิฎกให้เหตุผล ดังนี้

    (๑) เรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศนาพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดา มีหลักฐานปรากฏชัดในปรมัตถทีปนี และธัมมปทัฏฐกถา

    (๒) ในอังคุตตรนิกาย (๒๒/๓๓๑/๔๓๙) ข้อความตอนหนึ่งว่า เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา เถรา ภิกฺขู ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺตา มณฺฑลมาเฬ สนฺนิสินฺนา สนฺนิปติตา อภิธมฺมกถํ กเถนฺติ แปลว่า สมัยนั้นแลพระภิกษุผู้เป็นเถระจำนวนมาก กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว นั่งประชุมกล่าวอภิธรรมกถากันที่โรงธรรม

    ในพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ (๑/๕๔๓/๓๖๙) ข้อความว่า เย เต ภิกฺขู อาภิธมฺมิกา เตสํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ เต อญฺญมญฺญํ สากจฺฉิสฺสนฺตีติ... แปลว่า พระทัพพมัลลบุตร จัดเสนาสนะให้พระภิกษุที่เรียนอภิธรรมอยู่รวมกัน ด้วยคิดว่าท่านเหล่านั้นจักได้สนทนาอภิธรรมกัน

    ในพระวินัยปิฎก ภิกขุนีวิภังค์ (๓/๔๗๗/๒๕๔) กล่าวว่า ปญฺหํ ปุจฺเฉยฺยาติ สุตฺตนฺเต โอกาสํ การาเปตฺวา วินยํ วา อภิธมฺมํ วา ปุจฺฉติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส วินเย โอกาสํ การาเปตฺวา สุตฺตนฺตํ วา อภิธมฺมํ วา ปุจฺฉติ

    อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส วินเย โอกาสํ การาเปตฺวา สุตฺตนฺตํ วา อภิธมฺมํ วา ปุจฺฉติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส อภิธมฺเม โอกาสํ การาเปตฺวา สุตฺตนฺตํ วา วินยํ ปุจฺฉติ ปาจิตฺติยสฺส

    แปลว่า ภิกษุณีถามปัญหา ถ้าขอโอกาสถามพระสูตร แต่ไปถามพระวินัยหรือพระอภิธรรมต้องอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าขอโอกาสถามพระวินัย แต่กลับไปถามพระสูตร หรือพระอภิธรรม ต้องปาจิตตีย์ ถ้าขอโอกาสถามพระอภิธรรม แต่กลับไปถามพระสูตรหรือพระวินัย ต้องปาจิตตีย์

    ในขุททกนิกาย อปทาน (๓๒/๘/๖๓) มีข้อความว่า

    สุตฺตนฺตํ อภิธมฺมญฺจ วินยญฺจาปิ เกวลํ

    นวงฺคํ พุทฺธวจนํ เอสา ธมฺมสภา ตว

    แปลว่า พระสูตร พระอภิธรรม พระวินัย รวมพระพุทธวจนะ มีองค์ ๙

    ทั้งหมดนี้ เป็นธรรมสภาของพระองค์

    ในเถรีอปทาน (๓๓/๑๕๘/๓๐๙) กล่าวว่า

    กุสลาหํ วิสุทฺธีสุ กถาวตฺถุวิสารทา

    อภิธมฺมวินยญฺญูจ วสิปฺปตฺตามฺหิ สาสเน

    แปลว่า (นางเขมาเถรีกล่าวว่า) ข้าพเจ้าฉลาดในวิสุทธิ ๗

    และสามารถในกถาวัตถุ เป็นผู้รู้นัยแห่งพระอภิธรรม

    เป็นผู้ถึงความเชี่ยวชาญในพระศาสนา

    ยังมีตัวอย่างอื่นๆ อีกมากมาย คำว่า "อภิธมฺม" ในที่นี้หมายถึง พระอภิธรรมปิฎก นั้นเอง

    (๓) คำว่า ธมฺโม จ วินโย จ ที่แปลว่า พระธรรมและพระวินัยนั้น คำว่า ธรรม มิได้หมายเพียงพระสุตตันตปิฎกเท่านั้น แต่หมายรวมถึงพระอภิธรรมปิฎกด้วย

    (๔) ถ้าปฏิเสธพระอภิธรรมปิฎก เพราะเหตุเพียงคำว่า วุตฺตญฺเหตํ ภควตา เป็นต้น พระสูตรกับพระวินัยก็ควรปฏิเสธด้วย เพราะทั้งพระสูตรและพระวินัย ล้วนฟังมาจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น พระพุทธองค์มิได้ทรงขีดเขียนไว้ที่ไหน และในพระสูตรเองก็มีคำว่า "เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าสดับมาดังนี้" ในพระวินัยปิฎกก็มีคำว่า เตน โข ปน สมเยน ภาวตา โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค ...เหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดของพระสังคีติกาจารย์ทั้งสิ้น

    (๕) ยอมรับว่าในอภิธรรมปิฎก มีภาษิตของพระเถระอยู่คัมภีร์หนึ่ง คือ กถาวัตถุ ที่แต่งโดยพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ แต่พระโมคคัลลีบุตรก็แต่งตามพุทธาธิบาย

    การโต้แย้งหักล้างกันในเรื่องนี้มีมานานแล้ว และคงจะมีต่อไป การหักล้างกันด้วยวาทะบางครั้งก็รุนแรง ดังใน อัฏฐสาลินีอรรถกถาที่แต่งโดยพระพุทธโฆสาจารย์ พระแห่งสำนักอภิธรรมเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ได้ว่าผู้ปฏิเสธอภิธรรมเสียเจ็บแสบ

    "ผู้ปฏิเสธอภิธรรมย่อมเชื่อว่าปฏิเสธสัพพัญญุตญาณในชินจักรนี้ ชื่อว่าทำเวสารัชชญาณ ของพระศาสดาให้หมุนกลับ ทำให้บริษัทผู้ใคร่จะฟังเข้าใจผิด กั้นทำนบในอริยมรรค (กีดขวางอริยมรรค) เขาผู้ปฏิเสธพระอภิธรรม จัดอยู่ในพวกที่ก่อเหตุแตกร้าว ๑๘ จำพวก จำพวกใดจำพวกหนึ่ง เป็นผู้ควรลงอุกเขปนียกรรม นิยสกรรม และตัชชนียกรรมโดยแท้ คนเช่นนี้พวกเราควรลงปัพพาชนียกรรม เป็นต้น แล้วขับไล่ไสส่งว่า พวกเจ้าจงไปเป็นคนกินเดนเสียเถิด"

    ถ้อยคำรุนแรงเช่นนี้เข้าใจว่า พระพุทธโฆสาจารย์ ท่านมุ่งเป้าไปยังพระสงฆ์นิกายอื่นที่ไม่นับถือพระอภิธรรม เช่น นิกายเสาตรานติกะ ซึ่งไม่ยอมรับว่าพระอภิธรรมเป็นพุทธวจนะ ยอมรับเฉพาะ "มาติกา" เท่านั้น

    น่าประหลาดที่นิกายสรวาสติวาทิน ซึ่งมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า นิกายอภิธรรม เพราะนับถืออภิธรรมมาก กลับมีความเชื่อว่าพระอภิธรรมปิฎกเป็นบทนิพนธ์ของพระสาวกสำคัญ ๓ รูป มิใช่พระวจนะของพระพุทธเจ้า พระสาวกสำคัญ ๓ รูปนั้น คือ พระมหากัจจายนะ พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ

    (๔) เสถียร โพธินันทะ แสดงมติในเรื่องนี้ว่า

    "อภิธรรมปิฎกนี้ไม่ใช่พระพุทธภาษิตทั้งหมด จะเป็นพระพุทธภาษิตก็เฉพาะแต่บทมาติกา และข้ออธิบายบางแห่ง นอกนั้นเป็นอาจริยภาษิต ซึ่งอรรถาธิบายมาติกาอย่างพิสดารตามพุทธมติจึงไม่ควรถือว่าเมื่อไม่ใช่เป็นพระพุทธภาษิตทั้งหมด แล้วก็เฉยไม่นิยมนับถือ ความจริงพระอภิธรรมนั้นมิใช่อื่นไกลที่ไหน เนื้อแท้ก็เป็นธรรมะในพระสูตรนั่นเอง"

    ๕. พุทธทาสภิกขุได้ให้ความหมายของ "อภิธรรม" ว่า หมายถึง ส่วนที่ยิ่งใหญ่ก็ได้ ส่วนที่เกินก็ได้ ที่ว่าส่วนที่ยิ่งใหญ่นั้น อภิธรรมยิ่งใหญ่ไปในทางสำหรับโต้เถียงกัน ไม่ใช่ยิ่งใหญ่ในทางปฏิบัติ ที่ว่าเกินนั้น หมายความว่าเกินความจำเป็นที่มนุษย์จะต้องรู้หรือจะต้องปฏิบัติ มนุษย์เราจำเป็นต้องรู้แต่เรื่องที่ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์

    พุทธทาสภิกขุได้อ้างคำพูดของพระนักปราชญ์ตะวันตกท่านหนึ่ง คือ ญาณดิลก ว่า "ความแตกต่างระหว่างสุตตันตปิฎกกับอภิธรรมนั้น มิได้เกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่อง มันต่างกันแต่เพียงวิธีจัดคำ วิธีใช้คำ ส่วนใจความนั้นเพ่งเล็งถึงสิ่งเดียวกัน สุตตันตปิฎกพูดภาษาธรรมดาที่ชาวบ้านพูด ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้องตามปรัชญาบ้าง ไม่มากก็น้อย ส่วนคัมภีร์อภิธรรมปิฎกนั้น ใช้ภาษาทางปรัชญาอย่างบริสุทธิ์ ในความหมายชั้นปรมัตถ์" แล้วสรุปด้วยคำพูดที่ครอบคลุมที่สุดว่า

    "อภิธรรมปิฎกไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธพจน์"

    วิวาทะเกี่ยวกับเรื่องนี้มีมาก ยกมาเป็นตัวอย่างเพียงสองสามทรรศนะ สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นใครพูดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นปราชญ์ตะวันตกหรือตะวันออก ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน ต่างก็ลงรอยกันในประเด็นสรุปข้างท้ายนี้ คือ

    1. ที่พูดว่าอภิธรรมปิฎกมิใช่พุทธพจน์ทั้งหมด หรือใช่พุทธพจน์เฉพาะบทมาติกาก็ดี พระอภิธรรมไม่อยู่ในรูปพุทธพจน์ก็ดี ผู้พูดมิได้ปฏิเสธว่าพระอภิธรรมปิฎกมิใช่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพียงแค่ต้องการบอกว่าอภิธรรมปิฎก เป็นเรื่องที่ "แต่งเพิ่มเข้ามาภายหลัง"

    2. ทุกคนยอมรับว่าเนื้อหาในพระอภิธรรมปิฎก เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่าสอดคล้องตามหลักตัดสินพระธรรมวินัย 8 ประการแล้ว โดยประการทั้งปวง

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09TMHhNaTB3TVE9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2009
  9. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    พระไตรปิฎกสองนาที

    คำบรรยายพระไตรปิฏก

    พระไตรปิฎก คือคัมภีร์บันทึกคำสอนของพระ พุทธศาสนา แบ่งเป็น ๓ หมวด คือ

    ๑. พระวินัยปิฎก (พระวินัย) รวมศีลของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ ตลอดถึงพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาต่างๆ

    ๒. พระสุตตันตปิฎก (พระสูตร) รวมคำสอนของพระพุทธเจ้า และพระสาวกสำคัญบางรูป มีเรื่องราวประกอบ

    ๓. พระอภิธรรมปิฎก (พระอภิธรรม) รวมธรรมะที่รจนาเป็นหลักวิชาการล้วนๆ ไม่มีเรื่องราวประกอบ

    พระไตรปิฎกเกิดขึ้นหลังพุทธปรินิพพาน เดิมรวมเป็น "ธรรมวินัย" ต่อมาได้แบ่งเป็น ๓ ปิฎก โดย "ธรรม" แบ่งเป็น พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก "วินัย" เป็นพระวินัยปิฎกได้รับการถ่ายทอดต่อมาโดยการท่องจำ และได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ ที่ประเทศศรีลังกา ภาษาพระไตรปิฎกเดิมเรียก มาคธี (ภาษามคธ) ต่อมาเรียกภาษาบาลี หรือตันติภาษา

    พระไตรปิฎกภาษาบาลีมีทั้งหมด ๔๕ เล่ม จำนวนหน้า ๒๒,๓๗๙ หน้า ไม่นับดรรชนีค้นคำ ปัจจุบันมีพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ CD-ROM ผลิตโดยมหาวิทยาลัย มหิดลอีกด้วย

    พระไตรปิฎกห้านาที

    พระไตรปิฎก คือ คัมภีร์บันทึกคำสอนของพระพุทธ เจ้า ๓ หมวดใหญ่ๆ คือ

    ๑. พระวินัยปิฎก

    ว่าด้วยสิกขาบท หรือบทบัญญัติต่างๆ เกี่ยวกับภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ แบ่งยอยออกเป็น ๓ หมวด คือ

    ๑. วิภังค์ ส่วนที่ว่าด้วยสิกขาบทในพระปาติโมกข์ (ศีลสำคัญ) ของภิกษุสงฆ์ และภิกษุณีสงฆ์

    ๒. ขันธกะ ส่วนที่ว่าด้วยสังฆกรรม พิธีกรรม ความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ วัตรปฏิบัติและมารยาท เพื่อความงามของพระสงฆ์

    ๓. บริวาร สรุปความหรือคู่มือพระวินัยปิฎกทั้งหมด อธิบายในรูปคำถามคำตอบเพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้งในประเด็นต่างๆ

    ๒. พระสุตตันตปิฎก

    ว่าด้วยพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า (มีของพระสาวกบางส่วน) ที่ตรัสแก่บุคคลต่างชั้นวรรณะ และพื้นฐานความรู้ ต่างวาระโอกาส เป็นรูปคำสนทนาบ้าง คำบรรยายบ้าง เป็นรูปคาถาหรือบทกวีล้วนๆ บ้าง ร้อยแก้วล้วนๆ บ้าง ร้อยแก้วผสมร้อยกรองบ้าง แบ่งเป็น ๕ นิกายหรือหมวด คือ

    ๑. ทีฆนิกาย ประมวลพระสูตรขนาดยาว

    ๒. มัชฌิมนิกาย ประมวลพระสูตรขนาดปานกลาง

    ๓. สังยุตตนิกาย ประมวลพระสูตรที่เกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือธรรมะเรื่องเดียวกันไว้ในหมวดเดียวกัน เรียกว่า "สังยุตต์" หนึ่งๆ เช่นเรื่องเกี่ยวกับสัจจะรวมไว้ที่เดียวกัน เรียก "สัจจสังยุตต์"

    ๔. อังคุตตรนิกาย ว่าด้วยหลักธรรมที่จัดลำดับหมวด จากจำนวนน้อยไปหาจำนวนมาก เรียกว่า นิบาต เช่น เอกนิบาต (หมวดว่าด้วยธรรมหนึ่งข้อ) ทุกนิบาต (หมวดว่าด้วยธรรมสองข้อ)

    ๕. ขุททกนิบาต ประมวลเรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ ที่มิได้รวบรวมไว้ในสี่นิกายข้างต้น แบ่งเป็น ๑๕ ประเภท เป็นพระสูตรสั้นๆ ก็มี เป็นบทร้อยกรองก็มี โดยเฉพาะคาถาธรรมบท มีเนื้อหาไพเราะกินใจมาก เป็นคัมภีร์เดียวที่ได้รับการแปลถ่ายทอดเป็นภาษาต่างๆ มากที่สุด

    ๓. พระอภิธรรมปิฎก

    ว่าด้วยการอธิบายหลักธรรมต่างๆ ในรูปหลักวิชาล้วนๆ ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคล ธรรมที่นำมาอธิบายก็นำมาจากพระสูตรตางๆ นั้นเอง แบ่งเป็น ๗ คัมภีร์ คือ

    ๑. ธัมมสังคณี รวมข้อธรรมเข้าเป็นหมวดๆ แล้วแยกออกอธิบายเป็นประเภทๆ

    ๒. วิภังค์ แยกแยะธรรมในข้อ (๑) นั้นออกแสดงให้เห็นรายละเอียด เพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้ง

    ๓. ธาตุกถา จัดข้อธรรมต่างๆ มารวมในขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ และธาตุ ๑๘ ว่าข้อใดเข้ากันได้หรือไม่อย่างไร

    ๔. ปุคคลบัญญัติ บัญญัติเรียกบุคคลต่างๆ ตามคุณธรรมที่มี เช่นเรียก "โสดาบัน" เพราะเข้าถึงกระแสนิพพาน ละสังโยชน์ ๓ ได้

    ๕. กถาวัตถุ อธิบายทัศนะที่ขัดแย้งกันของนิกายต่างๆ ของพระพุทธศาสนา ในยุคแรกเน้นวาทะของเถรวาทว่าถูกต้อง คัมภีร์นี้พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระแต่งขึ้น

    ๖. ยมก ยกธรรมขึ้นเป็นคู่ๆ เช่น กุศลกับอกุศล แล้วอธิบายโดยวิธีถามตอบ

    ๗. ปัฏฐาน อธิบายปัจจัยหรือเงื่อนไขทางธรรม ๒๔ อย่าง ว่าธรรมใดเป็นเงื่อนไขของธรรมใด

    พระไตรปิฎกพัฒนามาจาก "ธรรมวินัย" ถ่ายทอดต่อมาโดยการท่องจำ จนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อ พ.ศ.๔๕๐ ภาษาพระไตรปิฎกคือภาษามาคธี (มคธ) ต่อมาเรียกภาษาบาลีหรือตันติภาษา พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีมีทั้งหมด ๔๕ เล่ม จำนวน ๒๒,๓๗๘ หน้า ๒๔.๕๗ ล้านตัวอักษร ปัจจุบันมีพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ CD-ROM ผลิตโดยมหาวิทยาลัยมหิดล

    ภาษาพระไตรปิฎก

    คนส่วนมากเข้าใจว่า ภาษาพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทก็คือ ภาษาบาลี หรือตันติภาษาเป็นภาษาเดียวกับ และ/หรือพัฒนามาจากภาษามาคธี ที่พระพุทธเจ้าใช้ในการประกาศพระศาสนา หลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พุทธวจนะได้ถูกถ่ายทอดปากต่อปากด้วยภาษาบาลีนี้ จนกระทั่งจารลงในใบลานเป็นลายลักษณ์อักษรและเก็บรักษามาจนบัดนี้

    อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงความเชื่อของพุทธศาสนิก ชนฝ่ายเถรวาท ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์อรรถกถาที่พระอรรถกถาจารย์แต่งขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๐ อะไรทำให้พระอรรถกถาจารย์เชื่อมั่นและยืนยันเช่นนั้นยังไม่กระจ่างชัด แต่เมื่อพิจารณาถึงประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทำให้ไม่แน่ใจว่าภาษาในพระไตรปิฎกจะเป็นภาษาเดียวกับภาษามาคธี หรือภาษาใดๆ ในประวัติศาสตร์ ชื่อของภาษาคือ ปาลิ (บาลี) ก็เป็นปริศนาสำคัญ ยังคงรอ "คำไข" ที่กระจ่างจากนักประวัติศาสตร์อยู่จนบัดนี้ว่า เป็นชื่อของภาษาใดภาษาหนึ่งหรือไม่ ถ้าไขปริศนานี้ได้ก็เท่ากับตอบปัญหาเกี่ยวกับภาษาพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทได้ด้วย

    ในที่นี้จะขอประมวลทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเสนอดังต่อไปนี้

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNaTB3TWc9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2009
  10. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ภาษาพระไตรปิฎก

    คำบรรยายพระไตรปิฏก

    บาลีมิใช่ชื่อของภาษาใดภาษาหนึ่ง

    ผู้มีทัศนะดังนี้ เช่น สุภูติเถระ ริส เดวิดส์ (Rhys Davids) วิลเลียม สเตเด (William Stede) เซอร์มอเนียร์ มอเนียร์-วิลเลียมส์ (Sir Monier Monier-Williams) เป็นต้น

    สุภูติเถระ ผู้รวบรวมอภิธานนัปปทีปิกาสูจิ ให้ความหมายของคำว่า ปาลิ (หรือปาฬิ) ไว้ ๓ นัยคือ

    ๑.ปาฬิธรรม หรือปริยัติธรรม ดังตัวอย่างว่า ปาฬิยา อตฺถํ อุปปริกฺขนฺติ

    (ภิกษุทั้งหลาย) ย่อมพิจารณาอรรถแห่งปาฬิธรรมหรือปริยัติธรรม

    ๒.ขอบ (เช่น ขอบสระ) ดังตัวอย่างว่า ตฬากสฺส ปาฬิ = ขอบแห่งสระ

    ๓.แถว แนว ระเบียบ ดังตัวอย่างว่า ปาฬิยา สิสีทึสุ = (ภิกษุทั้งหลาย) นั่งเรียงแถว

    ริส เดวิดส์ และวิลเลียม สเตเด ผู้รวบรวม Pali-English Dictionary ฉบับสมาคมปาลีปกรณ์ ให้ความหมายของคำว่า ปาลิ ไว้ ๒ นัย คือ

    ๑.แถว, แนว

    ๒.ธรรม, ปริยัติธรรม ตำราธรรมของพุทธศาสนาที่เป็นหลักดั้งเดิม ต่อมาภายหลังได้กลายมาเป็นภาษาหนังสือของพุทธศาสนิกชนในปัจจุบัน มีส่วนสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาษามาคธี

    เซอร์มอเนียร์ มอเนียร์-วิลเลียมส์ ผู้รวบรวม Sanskrit-English Dictionary ให้ความหมายของคำปาลิไว้ ๖ นัย คือ

    ๑.ขอบหู, ใบหู (ศัพท์แพทย์ของอาจารย์สุศรุตะ)

    ๒.ริม, ขอบ (ตรงกับนัยที่ ๒ องสุภูติเถระ)

    ๓.แถว, แนว, สาย เช่น รัตนปาลิ (ตรงกับนัยที่ ๓ ของสุภูติเถระ และนัยที่ ๑ ของเดวิดส์ และสเตเด)

    ๔.คู, สะพาน

    ๕.หม้อหุงต้ม

    ๖.มาตราตวงเท่ากับ ๑ ปรัสถะ

    จากหลักฐานทั้งสามนี้จะเห็นว่าไม่มีแห่งไหนที่ระบุชัดลงไปว่า ปาลิเป็นภาษาที่ใช้พูดกันภาษาใดภาษาหนึ่งโดยเฉพาะ และที่น่าสังเกตก็คือ พจนานุกรมสันสกฤต-อังกฤษดังกล่าว ได้ให้คำจำกัดความของคำว่าภาษาว่า "คำพูด, ถ้อยคำ (speech, language) โดยเฉพาะหมายเอาภาษาพื้นเมืองทั่วไป (ปรากฤต) ตรงกันข้ามกับภาษาพระเวทซึ่งภายหลังเรียกว่า สันสกฤต"

    ปรากฤต หรือภาษาพื้นเมืองของชาวอารยันในอินเดียสมัยกลาง แบ่งออกเป็น ๕ สาขา (ปญฺจวิธา ภาสา) คือ

    ๑.มหาราษฎรี ภาษาของชาวมหาราษฎร์

    ๒.เศารเสนี ภาษาของชาวสุรเสน

    ๓.มาคธี ภาษาของชาวมคธ

    ๔.ปราจยา ภาษาของชาวตะวันออก

    ๕.อวันตี ภาษาของชาวอวันตี

    ในจำนวนภาษาพื้นเมืองของอารยันสมัยกลาง ทั้ง ๕ สาขานี้ ไม่มี "ปาลิ" รวมอยู่ด้วย จากหลักฐานดังกล่าวพอสรุปได้ว่า ทั้งสุภูติเถระ มอเนียร์-วิลเลียมส์ สเตเด และเดวิดส์ ต่างเห็นลงรอยกันว่า คำว่า "ปาลิ" มิใช่ชื่อของภาษา ถ้าใช้ในความหมายทั่วไปแปลว่า ขอบ, แถว, แนว, คู, สะพาน, ใบหู, หม้อหุงต้ม, มาตราตวงชนิดหนึ่ง ถ้าใช้ในความหมายเฉพาะ หมายถึงตำราหลัก หรือตำราชั้นต้นที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า จะบันทึกด้วยภาษาอะไรหรืออักษรชนิดใดก็เรียกว่าปาลิ หรือบาลีทั้งนั้น

    ควรกล่าวแทรกไว้ตรงนี้ว่า ตำราทางพระพุทธศาสนานั้นมี ๔ ชั้น หรือระดับ คือ

    ๑.ตำราชั้นต้น หรือขั้นปฐมภูมิ เรียกว่าปาลิ

    ๒.ตำราชั้นสอง หรือขั้นทุติยภูมิ เรียกว่า อฏฺฐกถา หรือวณฺณนา

    ๓.ตำราชั้นสาม หรือชั้นตติยภูมิ เรียกว่า ฎีกา

    ๔.ตำราชั้นสี่ หรือชั้นจตุตถภูมิ เรียกว่า อนุฎีกา

    ส่วนระดับถัดจากนั้นไปอาจเรียกว่า อาจริยมติ เกจิอาจริยา เป็นความคิดเห็นส่วนตัวในบางเรื่องของอาจารย์รุ่นหลังๆ ไม่นับเข้าลำดับด้วย

    เหตุที่เรียกตำราชั้นต้นว่าปาลิ หรือบาลี เพราะมีความหมาย ๓ นัย คือ

    ๑.รักษาข้อความเดิมไว้ไม่ขาดตกบกพร่อง

    ๒.มีแบบแผนขอบเขตอันแน่นอนและแข็งแรงพอ ดุจขอบสระกั้นน้ำไว้ฉะนั้น

    ๓.มีการนำสืบต่อกันมาเป็นลำดับ ดุจของที่ส่งรับช่วงกันต่อไปฉะนั้น

    เค.อาร์. นอร์แมน (K.R. Norman) นายกสมาคมปาลีปกรณ์คนปัจจุบัน เห็นด้วยที่ว่าคำว่าปาลิมิใช่ชื่อของภาษา หากแต่เป็นตัว "พระไตรปิฎก" ของพุทธศาสนิกชนฝ่ายเถรวาท (ของฝ่ายอื่นไม่เรียกว่าปาลิ) ดังนี้

    "การที่คนทั่วไปในปัจจุบันใช้คำว่า "ปาลิ" ในความหมายที่เป็นชื่อภาษาของพระไตรปิฎก ฝ่ายเถรวาท แทนที่จะแปลว่า "พระไตรปิฎก" ตามความหมายเดิมนั้น ดูจะเนื่องจากความเข้าใจผิด ซึ่งอาจเกิดขึ้นมานานหลายศตวรรษแล้วก็ได้ ในพจนานุกรมภาษาบาลี พิมพ์เมื่อ ค.ศ.๑๘๗๕ ชิลเดอร์สกล่าวว่า คำแปลในภาษาอังกฤษซึ่งใช้ในความหมายใหม่นั้น อาศัยแบบอย่างจากภาษาสิงหล ซึ่งใช้คำนี้ในความหมายเดียวกัน การใช้คำนี้ในลักษณะดังกล่าวอาจจะสืบสาวไปถึงชาวยุโรปก่อนซิลเดอร์ส ซึ่งอาศัยงานเขียนของสิงหลเป็นพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม บูร์นูฟ นักวิชาการชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้สำรวจงานค้นคว้ายุคแรกๆ ทางด้านบาลีศึกษา ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขา พิมพ์เมื่อ ค.ศ.๑๘๒๖ ว่า บุคคลแรกที่เขาพบว่าใช้คำว่าปาลิในความหมายเป็นชื่อของภาษานั้น ได้แก่ เดอชิมอง ลาลูแบร์ ซึ่งมาเยือนเมืองไทยใน ค.ศ.๑๖๘๗-๑๖๘๘ และพิมพ์หนังสือพรรณนากรุงสยาม ใน ค.ศ.๑๖๙๓

    "ในพงศาวดารพม่าปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ยังกล่าวถึงปาลิในเนื้อความแวดล้อม ซึ่งน่าจะหมายถึงชื่อภาษา และดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนี้เพียงแต่กล่าวย้ำข้อความที่พบในงานก่อนหน้านั้น ดังนั้น บางทีพม่าอาจใช้คำนี้ในความหมายดังกล่าวก่อนหน้านั้นเสียอีก ไม่น่าเป็นไปได้ที่ความเข้าใจผิดพลาดเกี่ยวกับคำ "ปาลิภาสา" ว่าหมายถึง "ภาษาบาลี" แทนที่จะเป็น "ภาษาของพระไตรปิฎก" เกิดขึ้นใน ๓ ประเทศนี้โดยไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่สถานะความรู้ที่เรามีอยู่ตอนนี้ก็ไม่เอื้ออำนวยให้เราบอกได้ว่าความเข้าใจผิดดังกล่าวเกิดขึ้นที่ประเทศใดก่อน"

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNaTB3TXc9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2009
  11. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    บาลีเป็นภาษาหนึ่งอย่างแน่นอน

    ชาวพุทธสายเถรวาทมีความเชื่ออย่างนี้ทั้งนั้น มีหลักฐาน คือ คัมภีร์ทางศาสนามากมายอ้างประเพณี การสืบทอดพระพุทธศาสนาว่า พระพุทธ เจ้าทรงประกาศศาสนาอยู่ที่แคว้นมคธ ทรงใช้ภาษามาคธี หรือมาคธิกโวหาร สั่งสอนประชาชน "มาคธิกโวหาร" นี้เอง พระพุทธโฆสาจารย์พระอรรถกถาจารย์นามอุโฆษมีชีวิตอยู่ในพุทธศตวรรษที่ ๑๐ อธิบายว่าเป็น "สกานิรุตติ" คือภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัส เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว คำสอนของพระองค์ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมา ล่วงถึงพุทธศตวรรษที่ ๓ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่ ๓ และส่งสมณทูตไปประกาศพระศาสนายังต่างประเทศ พระมหินทเถระนำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานที่ลังกา ครั้นล่วงมาถึงพุทธศตวรรษที่ ๕ ในรัชสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย พระพุทธวจนะได้รับการจารึกลงเป็นลายลักษณ์อักษร

    ฝ่ายที่เชื่ออย่างนี้ เมื่อมีผู้แย้งว่า ภาษาบาลีมิได้ปรากฏในครั้งพุทธกาล เพิ่งมาปรากฏเรียกกันที่ประเทศลังกา หลังพุทธกาลเป็นเวลานาน พระพุทธ เจ้าเองพระอรรถกถาก็ว่าตรัสภาษามาคธี หรือมาคธิกโวหาร ดังอ้างมาแต่ต้น ไม่เห็นเกี่ยวกับภาษาบาลี แต่อย่างใด ก็จะอ้างตำนานสืบศาสนาอีกเช่นกันว่า ภาษามาคธีนั้น มีไวพจน์เรียกกันอยู่ ๒ คำ คือ (๑) มูลภาสา ภาษาดั้งเดิม (๒) ตันติภาสา ภาษาแบบ แผน และภาษาบาลีก็มีไวพจน์เรียก ๒ คำนั้นเช่นกัน จึงสรุปได้ว่า ภาษามาคธี ก็คือภาษาบาลี ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มูลภาสา หรือตันติภาสา นั่นเอง

    นักปราชญ์ตะวันตกก็มีหลายท่านที่ยอมรับมตินี้ อาทิ เจมส์ อัลวิส, จอร์จ เกียร์สัน, วินเตอร์ นิทซ์ อัลวิสถึงกับยืนยันว่า "มาคธีเป็นชื่อดั้งเดิมและถูกต้องของภาษาบาลีโดยไม่ต้องสงสัย" เกียร์สันกล่าวว่า "บาลีเป็นภาษาหนังสือของภาษามคธ" วินเตอร์ นิทซ์ กล่าวว่า "บาลีกับมคธเป็นภาษาเดียวกัน"

    เสถียร โพธินันทะ นักการศาสนาของไทยยืนยันด้วยความเชื่อมั่นว่า "ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าภาษามคธหรือบาลีที่พุทธบริษัทฝ่ายเถรวาทใช้จารึกพระไตรปิฎกนั้น เป็นภาษาที่พระพุทธองค์ตรัสอย่างแน่นอน ไม่มีข้อกังขาใดๆ"

    เหตุใดภาษามาคธีจึงกลายชื่อมาเป็นภาษาบาลี ฉลาด บุญลอย ผู้แต่งประวัติวรรณคดี บาลี ตอนที่ ๑ ให้ทัศนะหลังจากประมวลหลักฐานมาสันนิษฐานแล้ว ดังนี้

    (๑) เนื่องด้วยหลักภาษาและถ้อยคำสำนวนของวัฒนธรรมบาลี ซึ่งกล่าวกันในทางตำนานว่าเป็นภาษามาคธี หรือภาษาของชาวมคธสมัยเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่นั้น มีส่วนแตกต่างจากภาษามาคธีที่ใช้พูดกันอยู่ในปัจจุบัน เพราะระยะที่ผ่านมานานถึง ๒,๕๐๐ ปีเศษ ทำให้ภาษามาคธีที่ใช้ในวัฒนธรรมบาลีกลายเป็นภาษาโบราณไป ด้วยเหตุนี้แหละการจะถือว่าบาลีใช้ภาษามาคธีก็ไม่ถนัดนัก จึงเรียกเสียใหม่ว่า ภาษาบาลี เพื่อตัดปัญหายุ่งยากในการที่จะนำไปเปรียบเทียบกับภาษามาคธีสมัยใหม่

    (๒) เนื่องด้วยพระพุทธเจ้า เมื่อทรงเลือกใช้ภาษา "สุทธมาคธี" เป็นภาษาหลักในการประกาศศาสนาของพระองค์ให้เข้าถึงชนทุกชั้นวรรณะ ก็ได้ทรงปรับ ปรุงแก้ไขภาษาสุทธมาคธี ซึ่งชั้นเดิมเป็นภาษาปรา กฤตให้ดีขึ้น... เมื่อภาษามาคธีเป็นภาษาที่ดีและไพเราะขึ้น โดยอานุภาพพระพุทธเจ้าแล้ว ภาษามาคธีก็มี ชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บาลี" ซึ่งแปลว่า "เป็นแบบ แผน"

    มีข้อน่าคิดอยู่อย่างหนึ่ง คือ นักไวยากรณ์ฝ่ายบาลี แบ่งภาษามาคธีเป็น ๒ คือ สุทธิกมาคธี (มาคธีบริสุทธิ์) กับเทสิยา (มาคธีท้องถิ่น) นักไวยากรณ์ฝ่ายสันสกฤต เพิ่มอรรธมาคธี (กึ่งมาคธี) อีกชื่อหนึ่ง แต่ปราชญ์ตะวันตกกล่าวถึง มาคธีเก่า (old Magadhi) ด้วยมาคธีเก่าหรือมาคธีดั้งเดิมนี้แหละ ที่พระอรรถกถาจารย์เรียกว่า มูลภาสา (ภาษาดั้งเดิม) หรือภาษาบาลีที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ประกาศศาสนา

    จากร่องรอยของคำว่า "มูลภาสา" นี้เอง ทำให้น่าคิดว่า บาลีจะต้องเป็นภาษาดั้งเดิมของเผ่าอารยันที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยยังอยู่ภูมิภาคส่วนกลางของทวีปเอเชีย จนกระทั่งอพยพโยกย้ายเข้าไปยังแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ และขยายอาณาเขตเข้าไปยังลุ่มแม่น้ำคงคาและพรหมบุตร หรือถิ่นที่เรียกว่า มัธยมประเทศ จนถึงสมัยพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น ถ้าหากเชื่อว่าบาลีเป็นมูลภาสา (ภาษาดั้งเดิม) ของเผ่าอารยัน บาลีก็ต้องเป็นแม่ของภาษาอินโด-อารยัน ถิ่นโน้นบ้าง ถิ่นนี้บ้าง และถิ่นที่อ้างนั้นบางแห่งก็ห่างไกลกันลิบลับ เมื่อเป็นเช่นนี้ แทนที่จะคิดว่าภาษาบาลีมาจากภาษาอารยันถิ่นต่างๆ น่าจะเป็นว่าภาษาถิ่นต่างๆ มาจากภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาแม่หรือมูลภาสามากกว่า

    อีกประการหนึ่ง ถ้ายอมรับว่า บาลีเป็นภาษาดั้งเดิมของเผ่าอารยัน และเป็นภาษาแม่ของภาษาอินโด-อารยันอื่นๆ ก็แสดงว่าภาษาบาลีเก่ากว่าภาษาสันสกฤต และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาษาไวทิกะ (ภาษาพระเวท) เพราะในวรรณคดีบาลีชั้นต้นกล่าวถึงเพียงภาษาพระเวท หรือภาษาฉันทสะเท่านั้น ไม่กล่าวถึงภาษาสันสกฤต ทั้งคำบาลี ที่เรียกภาษาสันสกฤตว่า "สกฺกฏภาสา" ก็เพิ่งจะมาปรากฏหลังพุทธปรินิพพาน เมื่ออาจารย์ปาณินิ ได้แต่งไวยากรณ์แล้ว ชื่อว่า "สันสกฤต" (แปลว่า ทำใหม่ปรับปรุงใหม่) ก็ฟ้องอยู่แล้วว่า ภาษานี้เกิดภายหลังปรากฤต หรือภาษาเดิมอื่นๆ

    เมื่อเทียบกันดู ภาษาบาลีใกล้ชิดกับภาษาพระเวทมากกว่าภาษาสันสกฤต เช่น เยหิ เตหิ เยภิ เตหิ เหมือน เยหิสฺ เตหิสฺ เยภิสฺ เตภิสฺ ในภาษาพระเวท ไม่เป็น ไย : ไต : อย่างภาษาสันสกฤต และภาษาบาลีมี ตฺวาน ปัจจัย เช่นเดียวกับภาษาพระเวท ซึ่งภาษาสันสกฤตไม่มีดังนี้ เป็นต้น


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNaTB3TkE9PQ
     
  12. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ถิ่นกำเนิดภาษาบาลี

    เมื่อยอมรับว่า ภาษาบาลีก็คือภาษามาคธี ก็ไมีน่าจะมีปัญหาว่า ภาษาบาลีมีถิ่นกำเนิดที่ไหน เพราะชื่อ "มาคธี" (ภาษาที่พูดกันอยู่ที่แคว้นมคธ) ก็บ่งบอกถิ่นกำเนิดอยู่แล้วในตัว แต่เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้น ยังมีนักปราชญ์อีกหลายท่าน มีความคิดเห็นขัดแย้งกันอยู่ในเชิงวิชาการในที่นี้ จึงขอประมวลเพื่อศึกษาดังต่อไปนี้

    ๑. บูร์นูฟ (Burnouf) และ ลาสเซน (Lassen) ไม่ยอมรับว่าภาษาบาลีเป็นภาษาเดียวกับ (หรือมีราก ฐานมาจาก) ภาษามาคธี โดยให้เหตุผลว่า ภาษาทั้งสองมีความแตกต่างกันในลักษณะสำคัญหลายอย่างอาทิ

    - ในภาษามาคธีมี ล อย่างเดียว เสียง ร เดิมในภาษาสันสกฤตจะกลายเป็น ล หมด, แต่ในภาษาบาลีมีทั้ง ร และ ล ในบางกรณี ร อาจกลายเป็น ล ได้บ้าง แต่ก็มิใช่กฎตายตัว เช่น ลชฺชติ เอลณฺฎ ลุทฺท มาลุต กุมฺภีล

    - ในภาษามาคธีไม่มีเสียง ส เสียง ส ในภาษาสันสกฤต เมื่อเขียนเป็นมาคธีจะกลายเป็น ศ หมด แต่จะคงรูปเป็น ส ตามเดิมในภาษาบาลี

    - นัยกลับกัน ศ ในภาษาสันกฤตจะกลายเป็น ส ในภาษาบาลี แต่จะคงรูปเดิมในภาษามาคธี

    - ย ระหว่างสระทั้งสอง (intervocalic ya) จะคงรูปไว้ในภาษาบาลี แต่จะเปลี่ยนเป็นภาษาอย่างอื่นในภาษามาคธี เช่น แปลงเป็น ช หรือลบทิ้งเสีย เช่น อริย แปลงเป็น อริช หรือลบ ย ทิ้งเป็น อริอ (เขียนเป็นอักษรโรมัน จะเห็นชัดขึ้นดังนี้ ari - y - a = ari - j - a or ari - a)

    - อ การันต์ ปฐมาวิภัติ เอกพจน์ ทั้งปุงลิงค์ และนปุงสกลิงค์ ในภาษามาคธี จะลงท้ายด้วยเสียง เอ แต่ในภาษาบาลี ปุงลิงค์ เป็น โอ นปุงสกลิงค์ เป็น อํ นานๆ ครั้งจะปรากฏเสียง เอ บ้าง แต่มิใช่กฎตายตัว

    เมื่อภาษาทั้งสองนี้เข้ากันไม่ได้ในสาระสำคัญดังกล่าว นักปราชญ์ที่กล่าวนามมานี้จึงไม่เห็นด้วยกับความเชื่อที่ว่า ภาษาบาลีเป็นภาษาเดียวกับภาษามาคธี หรือมีวิวัฒนาการมาจากภาษามาคธี

    ๒. อีกพวกหนึ่งอาทิ เวสเตอร์การ์ด (Westergard) และ คูห์น (Kuhn) สันนิษฐานว่า ถิ่นกำเนิดภาษาบาลี คือ เมืองอุชเชนี โดยอ้างศิลาจารึกพระเจ้าอโศกมหาราชที่ค้นพบที่คีรนา (Girna Inscription) ว่า ภาษาที่ใช้ในศิลาจารึกละม้ายคล้ายคลึงกับภาษาบาลีในส่วนสำคัญๆ และตามประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาก็บ่งว่า พระมหินทเถระที่ลังกา ประสูติและเจริญเติบโตที่เมืองอุชเชนี ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า เมื่อท่านไปสืบศาสนาที่ลังกา ก็จักต้องประกาศเผยแผ่ด้วยภาษา "น้ำนม" (mother tongue) ของตน

    ๓. อาร์.โอ. ฟรังเก (R.O. Franke) มีความเห็นว่า ถิ่นกำเนิดของภาษาบาลีไม่ควรอยู่แคบๆ แค่เมืองอุชเชนี ควรจะเป็นบริเวณตั้งแต่ตอนกลางของเทือกเขาวินธัยไปจนถึงด้านตะวันตกแห่งเทือกเขาเดียวกัน สเตน โกโนว์ (Sten Konow) เห็นว่ากำเนิดภาษาบาลีอยู่แถบเทือกเขาวินธัย เช่นเดียวกัน ฟรังเกมีความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ภาษาบาลีมีความใกล้เคียงกับภาษาไปศาจี

    ๔. โอลเดนเบอร์ก (Oldenberg) นักปราชญ์เยอรมันมีความเห็นว่า ภาษาบาลีถือกำเนิดที่แคว้นกลิงครัฐ นักปราชญ์ท่านนี้ปฏิเสธพงศาวดารเรื่องพระมหินท์ไปสืบศาสนาที่ประเทศลังกาว่า ไม่มีความจริงทางประวัติ ศาสตร์ ตามความคิดเห็นของเขา พระพุทธศาสนาและพระไตรปิฎกไปสู่ลังกาโดยการติดต่อกันอย่างธรรมดาระหว่างเกาะลังกา กับแคว้นกลิงครัฐของอินเดีย ดังนั้น ภาษาพระไตรปิฎกจึงน่าจะเป็นภาษาของแคว้นกลิงครัฐมากกว่า ทั้งยังเห็นว่าภาษาบาลี มีลักษณะร่วมหลาย อย่างที่คล้ายกันกับภาษาในศิลาจารึก ที่ค้นพบที่ Khandagiri ในแคว้นกลิงครัฐ

    ยังมีอีกหลายทัศนะที่แตกต่างออกไป ยกมาเท่านี้พอเป็นตัวอย่างเพื่อแสดงว่ามติเกี่ยวกับกำเนิดภาษาบาลียังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ไม่ยุติลงได้ นักการศาสนาและนักประวัติศาสตร์ต่างก็ยกหลักฐานมาขัดแย้งกันคนละทางสองทาง ซึ่งล้วนมีเหตุผลน่ารับฟังทั้งนั้น

    ความยุ่งยากอีกประการหนึ่งก็เห็นจะอยู่ที่ชื่อของภาษานี้ ไม่ปรากฏว่าเป็นชื่อเรียกภาษาถิ่นใดๆ มาก่อนในสมัยพุทธกาล เพิ่งปรากฏใช้เมื่อพระพุทธศาสนาแพร่ไปสู่ลังกาแล้ว ขณะเดียวกัน พระอรรถกถาจารย์ท่านใช้คำนี้ในความหมาย ๒ ประการ คือ บางครั้งท่านใช้หมายถึงคัมภีร์ชั้นต้นของพระพุทธศาสนา คือ พระไตรปิฎก (ดังตัวอย่างเช่น ปาลิมตฺตํ อิธานีตํ นตฺถิ อฏฺฐกถา อิธ = ที่นำมานี้มีแต่พระไตรปิฎกเท่านั้น ไม่มีอรรถกถา เป็นต้น) แต่บางครั้งใช้เป็นชื่อของภาษา และในความหมายหลังนี้ท่านว่า บาลีเป็นภาษาเดียวกับมาคธี หรือมาคธิกโวหาร ที่เข้าใจว่าเป็นภาษาในพระพุทธเจ้าตรัส

    ที่น่าพิจารณาก็คือ พระอรรถกถาจารย์ท่านใช้คำแปลกดังนี้ สมฺมาสมพุทฺเธน วุตฺตปฺปกาโร มาคธิโก โวหาโร = ภาษามาคธี แบบ ที่พระพุทธเจ้าตรัส (ปการ = แบบ, ชนิด, อย่าง, สไตล์ คงหมายความว่าพระพุทธองค์ทรงใช้ภาษามาคธีแน่นอน แต่เนื่องจากพระองค์มิใช่ชาวมคธโดยกำเนิด สำเนียงของพระองค์อาจผิดเพี้ยนจากชาวพื้นเมืองมคธ และทรงใช้ศัพท์ ใช้คำอันเป็นอารามิกโวหาร บรรยายคำสอนของพระองค์เป็น แบบ หรือสไตล์ของพระองค์โดยเฉพาะ ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายในปัจจุบัน เวลาพระเทศน์โดยใช้ภาษาเดียวกันกับเรา เรายังเห็นว่าเป็นภาษามาคธีแบบที่พระพุทธ เจ้าตรัส จึงเป็นอีกแบบหนึ่งของภาษาของชาวมคธ มิใหนึ่งต่างหากที่มีวิธีการพูดและใช้คำศัพท์เฉพาะ ยากที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้น ช่มาคธีบริสุทธิ์ และได้กลายมาเป็นภาษากลางในการประกาศพระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางต่อมา


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNaTB3Tnc9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2009
  13. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,516
    ค่าพลัง:
    +9,769
    สาธุ สาธุ สาธุ
    ขออนุโมทนาดัง ๆ กับท่านอาจารย์ เสฐียรพงษ์ คุณ aprin
    ที่ทำให้การศึกษาพระไตรปิฎกที่มีหลายเล่มนั้น เข้าใจง่ายขึ้น มองเห็นภาพรวม สามารถเลือกที่จะอ่านตามหัวข้อที่สำคัญได้ เป็นประโยชน์มากครับ

     

แชร์หน้านี้

Loading...