คันปากอยากเล่าครับเกี่ยวกับ อภิญญาและสมอง ทางพุทธ กับ วิทยาศาสตร์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย bosslnwskr10, 28 เมษายน 2014.

  1. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    เล่าทีละอย่างนะครับ ............

    ถูกผิดลองมาแย้งกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2014
  2. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    โดยทั่วไปเกี่ยวกับสมอง

    การทำงานของสมองแต่ละส่วนที่หน้าที่ต่างกัน
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]



    การไหลเวียนของความคิด โดยการใช้คลื่นบรรจุไฟฟ้า
    ในทางวิทย ก็ใช้ คลื่นไฟฟ้าในการ อ่านความคิด


    [​IMG]

    ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีไปไกลถึงขั้นแฮคสมอง
    สามารถสั้งให้คนนู้นคนนี้ทำอะไรได้โดยที่เจ้าตัวไมไ่ด้สั่งการ เช่น ขยับนิ้ว เองโดยที่เจ้าตัวไมไ่ด้สั่ง
    อ้างอิงข้อมูลนี้มาจาก National geographic

    อ่ะ นอกเรื่องครับขอโทษ ขอเล่าถึงพื้นฐานก่อนนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2014
  3. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ทำไมฝึกอภิญญาถึงต้องนั่งสมาธิ
    ก็เพราะคนเรานั่น โดยทั่วไปสามารถใช้งานสมองได้เพียงแค่8-12เปอร์เซน


    [​IMG]

    แล้วการนั่งสมาธิก็คือการ เปิดสมองอย่าง1ในทางวิทย์
    อภิญญา เช่น เหาะเหินเดินอากาศทั้งหลาย ล้วนแต่อยู่ในส่วนที่ปิดตาย
    เมื่อเปิดออกจึงสามารถ ใช้ฤิทธิ์ทั้งหลายในทางพุทธได้

    แล้วเมื่อนั่งสมาธิแล้วฉลาดขึ้น นั้นก็เพระาเป็นการฝึกให้สมองเปิด
    สามารถจดจำสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้น
    [​IMG]
    เด็กที่ฝึกสมาธิมากๆจึงเรียนเก่ง


    ( ใส่รูปยากจัง )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2014
  4. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ในพระไตรปิฏกมักกล่ายบ่อยๆว่า
    พระโพธิสัตวที่มาเป็นฤาษี พอเห็นสตรีแก้ผ้า ฤิทธิ์เดชทั้งหลายที่มีจึงหมดลง
    [​IMG]
    เพราะ อำนาจในการควมคุมสมองนั้นน้อยลง

    การจะใช้ฤิทธิ์เดชแต่ละครั้งตั้งใช้สามาธิที่สูงมากๆถึงขั้นทรงญาณตัดขาดทางโลก
    แล้วเพ่งไปในสมาธิ์เพียงอย่างเดียว เมื่อเห็นสตรี จิตที่เพ่งในสมาธิจึงหมดลง
    หันไปสนใจสตรีมากกว่า ทำให้การทำงานของสมองน้อยลง
    จึงกลายมาเป็นคนธรรมดาทั่วไป ที่ไม่มีฤิทธิ์เดช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2014
  5. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    คนที่ได้ญาณทั้งหลาย มักกล่าวว่าคนทั่วไปว่าโง่
    นั้นไม่ใช่การดูถูก แต่เป็นการกล่าวความจริง
    ไม่ใช่การเทียบว่า ไม่รู้อะไรในโลกเลย
    แต่กล่าวว่า แม้แต่สมองตนยังเอามาใช้ไม่ได้


    แล้วรู้อย่างไรว่า คนเราใช้สมองน้อย
    ลองฝึกง่ายๆเช่น
    ลองหลับตา
    โซนประสาทการทำงานด้านหู
    [​IMG]

    และจมูกจะทำงานได้ดีขึ้นได้กลิ่นและ ได้ยินเสียงไกลขึ้น
    ความระมัดระวังมากขึ้นเริ่มสนใจสิ่งที่อยู่ข้างหลังมากกว่าตอนลืมตา

    (อาจจะมีคนมาค้านเลยขอใช้คำว่าส่วนใหญ่นะครับ
    เพราะผมก็เป็น)
    ลองฝึกทำ แล้วพอลืมตาก็พยายามใช้ประสาทหูและจมูกให้ดีเท่าตอนหลับตา
    ผมลองทำแล้ว ยากมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2014
  6. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    หากมีใครใส่วัดคลื่นสมองตอนที่พยายามใช้
    ฤิทธิ์ทั้งหลาย
    [​IMG]
    เครื่องวัดคลื่นสมองก็จะ ขีดไปทาง ที่ว่าเราเครียดมากเกินไป
    [​IMG]

    นั่นไม่ใช่เพราะว่าเราเครียดมาก แต่เป็นเพระาพยายามใช้สมองเกินกว่าที่ปกติ
    มันจึงขึ้นมาว่าเราใช้สมองมากเกินไป อาจจะทำให้เส้นเลือดสมองแตกได้
    แต่จริงไม่ใช่ มันแค่เป้นการใช้สมองส่วนที่ปิดตายเท่านั้น

    ภาพนี้ไม่เกี่ยวนะ ผมแถมเฉยๆครับ เครื่องอ่านใจ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2014
  7. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    โดยทั่วไป การใช้ฤิทธิ์เดช จึงไม่ใช่ว่าวิเศษอะไร
    แต่ถือเป้นเรื่องธรรมดา

    ขอพักแค่นี้ก่อนนะครับ :ppppppppp..(kiss)

    ขอบคุณที่อ่านนะครับ

    เดี่ยวมาใหม่ครับ
     
  8. ZIGOVILLE

    ZIGOVILLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +792
    ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล ถือว่าคุณเป็นคนที่มีสติปัญญามากทีเดียว และสามารถที่จะนำเอาประสบการณ์การปฏิบัติต่างๆมาศึกษาให้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ เราจะมาคุยกันเรื่องวิทยาศาสตร์นะครับ ถ้ามีเวลาว่างๆ ชิลด์ๆ คุณลองศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แล้วลองเอาข้อมูลมาแชร์กัน ถือว่าเป็นกิจกรรมยามว่างๆจากการบำเพ็ญเพียรละกัน
    1.เรื่องเวลา และความต่างของเวลา ในประเด็นที่ว่า ถ้ามีวัตถุใดๆที่มีความเร็วมากกว่าแสง วัตถุสิ่งนั้นจะสามารถหยุดเวลาและย้อนเวลากลับไปอดีต หรือไปสู่อนาคตได้ ลองศึกษาทฤษฎีหรือบทเขียนของ Clifford Johnson
    2.การเอาชนะกฎของแรงโน้มถ่วง
    3.ดาวเคราะห์ต่างๆ ในจักรวาลนี้เป็นดาวเคราะห์แฝด คือมีอย่างน้อย 2-3 ดวง จริงหรือไม่...ถ้าจริง ยังงั้นก็แสดงว่า จากพระไตรปิฎกที่ว่า จะมีดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอีกในอนาคตนั้นก็มีส่วนของความเป็นจริง และยังมีโลกอื่นที่มนุษย์ยังไม่สามารถค้นพบได้
    4.นักวิทยาศาสตร์หลายๆ ที่ศึกษาในเรื่องฟิสิกส์ควอนตั้ม เชื่อว่า วัตถุสิ่งใดๆในจักรวาลสามารถมีอยู่ได้ 2 ที่ในจักรวาลในเวลาเดียวกัน เช่น Alex Filippenko จริงหรือไม่ ถ้าทฤษฎีนี้จริง ฤทธิ์อภิญญาต่างๆนั้น หรือไม่ก็ยมกปาฏิหาริย์ของพุทธองค์ก็สอดคล้องได้ในทางวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อาจยังไม่เพียงพอ

    ส่วนผมเท่าที่ศึกษาและพิสูจน์ด้วยตัวเองและทฤษฎีต่างๆมาเบื้องต้น คำตอบทั้งหมดอยู่ที่ "จิต" ตัวเดียวนี่แหละ...
     
  9. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ขออภัย ข้าพเจ้าอาจจะแสดงความคิดเห็นไม่ตรงกับความต้องการของคุณ ข้าพเจ้าได้อ่านสิ่งที่คุณเขียนเป็นบางส่วน ก็รู้ว่า "คุณ ไม่ได้รุ้จริงรู้แจ้งอะไร เป็นเพียงยกเมฆ หรือเดาสุ่มเอาตามความเข้าใจของคุณ หรือจะเรียกว่า อวดอุตริฯก็ว่าได้ เพราะสิ่งที่คุณกล่าวไม่ถูกต้อง ขอรับ....

    อภิญญา ใน ทางพุทธศาสนานั้น เป็นเพียง ผลแห่งการวิปัสสนา หรือปฏิบัติธรรมในระดับชั้นอริยบุคคล ซึ่งย่อมเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับ สรีระร่างกายทุกส่วน ฯลฯ
    อีกทั้งตัวคุณเอง ก็ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับ หลักการทางพุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์ ที่เพียงพออันจะทำให้คุณสามารถเปรียบเทียบได้ ระหว่างความรู้ในทาง พุทธศาสนา กับ วิทยาศาสตร์

    หลักการหรือความรู้ ในทางพุทธศาสนา กับ หลักการทางวิทยาศาสตร์ เป็นไปในทิศทางเดียวกับ และเหมือนกัน เพียงแต่ หลักการทางพุทธศาสนานั้น ไม่ได้กล่าวถึงชื่อของอวัยวะต่างๆว่าทำหน้าที่อะไรบ้าง แต่กล่าวถึงโดยรวม อันเป็นผลของการทำงานแห่งระบบการทำงานของร่างกาย หมายความว่า
    วิทยาศาสตร์ จะจำแนกแยกแยะรายละเอียดต่างๆเอาไว้ ทั้งในแง่ของรูปธรรม และในแง่ของนามธรรม แต่ในทางพุทธศาสนา กล่าวโดยรวม เช่น
    ในทางพุทธศาสนา กล่าว ถึง ขันธ์ ๕ มี รูป สัญญา เวทนา สังขาร จิตวิญญาณ

    แต่ในทาง วิทยาศาสตร์ แยกแยะรายละเอียด ของ รูป สัญญา เวทนา สังขาร จิตวิญญาณ เป็นอย่างๆ เป็นเรื่อง เป็นอวัยวะ มีชื่อเรียกอวัยวะต่างๆเหล่านั้น พร้อมการทำงานของอวัยวะเหล่านั้น อย่างนี้เป็นต้น

    สมอง ก็เป็น อวัยวะ อย่างหนึ่ง ของ ขันธ์ ๕ ทำหน้าที่ ถ้าจะกล่าวในแง่ของ พุทธศาสนา สมอง ก็มี รูป มี สัญญา มี เวทนา มี สังขาร มีจิตวิญญาณ และ ในทางพุทธศาสนา ขันธ์ ๕ หมายรวมถึง ทุกส่วนของร่างกายมนุษย์ (ในที่นี้หมายเอาเฉพาะมนุษย์) อย่างนี้เป็นต้น

    ในทางวิทยาศาสตร์ สมอง เป็นเพียงอวัยวะ ที่สำคัญเป็นศูนย์รวมของระบบประสาทการทำงานต่างๆของร่างกาย ซึ่ง สมองก็ย่อมต้องทำงานร่วมกับอวัยวะอื่นๆของร่างกายเช่นเดียวกับ หลักการในทางพุทธศาสนา จะเรียกว่า ไม่มีข้อแตกต่างก็ว่าได้ เพราะความแตกต่างนั้น เป็นเพราะยุคสมัยมันแตกต่างกัน รายละเอียดปลีกย่อยจึงเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา

    อภิญญา คือ ความรู้ขั้นสูง ซึ่งเกิดจากการศึกษาเรียนรู้ มีความเข้าใจในหลักธรรมทั้งหลาย แห่งหลักพุทธศาสนา

    ความรู้ขั้นสูง ในทาง วิทยาศาสตร์ ก็เกิดขึ้นเช่นเดียวกับ อภิญญา ต่างกันตรงที่ อภิญญา หรือ ผลแห่งการปฏิบัติวิปัสสนานั้น มุ่งเน้นขจัดเอา กิเลส หรืออาสวะ ให้ออกจากร่างกาย เพราะ อาสวะหรือกิเลสเหล่านั้น เป็นสาเหตุแห่งความเสื่อมทั้งปวง ของขันธ์ ๕ ถึงแม้ว่า ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ จะมีความเสื่อมเป็นธรรมดา แต่จะรู้จักขจัดอาสวะหรือกิเลสได้ ความเสื่อมก็จะเสื่อมช้ากว่าคนปกติทั่วๆไป

    แต่ในทาง วิทยาศาสตร์ มุ่งเน้น เพื่อศึกษาหาความรู้อันก่อให้เกิดกิเลส อาสวะก็ได้ เพื่อศึกษาหาความรู้ อันก่อให้เกิดความสุขความสบายทางกายทางใจก็ได้ แต่ไม่ได้มุ่งเน้นให้หลุดพ้นจากกิเลส อาสวะทั้งปวง

    การทำงานทุกชนิด ต้องมีความตั้งใจ นั่นก็คือ สมาธิ และอำนาจจิต หรือ กำลังแห่งจิต ถ้าไม่มี สมาธิ ไม่มีอำนาจจิต หรือกำลังแห่งจิต ก็ย่อมไม่เกิดความฝักใฝ่ที่จะทำงานนั้นๆ เหมือนกัน ทั้งหลักพุทธศาสนา และ หลักวิทยาศาสตร์ แต่ต่างกันที่ผลแห่งการทำงานนั้นๆ คำว่า ต่างกันที่ผลแห่งการทำงานนั้นๆ ก็เพราะ

    หลักพุทธศาสนา มุ่งที่จะทำให้งานที่กระทำอยู่นั้น ขจัดกิเลส อาสวะให้ออกจาก หรือไม่ให้เกิดขึ้นภายในร่างกายและจิตใจ ฯลฯ

    แต่หลักวิทยาศาสตร์ มุ่งที่จะทำให้งานนั้นๆเป็นเพียงรู้และเป็นเพียงให้เป็นไปตามหลักความจริงตามธรรมชาติ เกิดประโยชน์หรืออาจเกิดโทษ โดยไม่ได้มุ่งเน้นที่สภาพจิตใจโดยตรง ฯลฯ


    อนึ่ง....ผลแห่งการปฏิบัติธรรมในระดับอริยะบุคคล หรือ อภิญญา ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด หรืออย่างที่คุณเข้าใจ เป็นเพียงข้าพเจ้าไม่สะดวกจะเปิดเผย และที่ข้าพเจ้ากล่าวไปนี้ ไม่ได้เป็นการโอ้อวด แต่คุณอยากเห็น ก็มาที่จังหวัดเชียงราย มาหาข่าวเอา ก็จะรู้ว่าจริงหรือไม่จริง..... และต้องทำความเข้าใจเอาไว้ว่า "ผลแห่งการปฏิบัติธรรมในระดับอริยะบุคคล หรือ อภิญญา นั้นอย่างน้อยที่สุดก็คือ "ฉัพพรรณรังสี".....ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2014
  10. octobernism

    octobernism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +150
    จากข้างบนครับ ในความคิดของผม อภิญญา นั้นน่าจะเกิดกับ ปุถุชน ผู้ได้ ฌาน 4 ก็ได้นะครับ
    ซึ่งจัดอยู่ในชั้น โลกียะ ยังไม้ได้เป็นอริยะ ก็มีครับ เช่นฤาษีต่างๆตามชาดก

    แสดงความเห็นด้วยเฉยๆครับ ไม่ได้มุ่งหวังขัดแย้ง
    ผมกลัวแค่คนอ่านจะเข้าใจว่า ผู้มีฤทธิ์ ทางอภิญญาบางอย่าง
    จะกลายเป็นอริยะชนผู้ประเสริฐในทางพุทธศาสนา ไปเสียหมด ซึ่งไม่ใช่ครับ.....
     
  11. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    อภิญญา คือ ความรู้ขั้นสูง ซึ่งเกิดจากการศึกษาเรียนรู้
    สำหรับผมนะ อภิญญาคือความเข้าใจมิใช่ความรู้
    ความรู้ใครๆก็รู้ได้
    แต่หากยังไม่เข้าใจก็ไม่สามารถปฏิบัติได้แน่นอน
    อันอื่นมันยาวไม่อยากตอบแล้ว :p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2014
  12. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ใช่ครับ มันก็แค่ของเล่นของผู้ทรงศีลครับ
    ศีล สมาธิปัญญา ตามลำดับครับ

    มิใช่ทางนิพพาน พระเทวทัศก็ทำได้ แต่ยังตกนรกเลยครับ
    ไม่จำเป็นต้องเป้นผู้ประเสร็จก็ทำได้ครับ

    เพราะในตอนพุทธกาล
    ตอนปฏิบัติพร้อมกัน พระอานนบรรลุโสดาบัน แต่พระเทวทัศได้ญาณ4
    เท่าที่อ่านนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2014
  13. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ที่จริงเมื่อก่อรผมเฉยๆกับวิทยาศาสตร์นะครับ
    แต่แฟนผมเข้าถงขั้นคลั่งเลยล่ะครับ - -"

    อ่านมาให้ฟังหมด ทั้งทฤษฏีต่างๆ ทั้งผิดทั้งถูก ลองผิดลองถูกกัน
    (ผมไม่ได้เป็นคนทำนะ แต่อ่านของคนที่ทำน่ะครับ)

    จนรู้สึกว่ามีประโยชน์มากๆแล้วหลายอย่างที่ว่าเพ้อเขา ทำได้จริงเลยน่าสนใจน่ะครับ

    มีช่วงหนึ่งที่ชาวพุทธชอบมาด่ากันว่า อภิญญา= การเพ้อ ปาหี่ ด่าๆๆๆๆๆ
    แต่เมืองนอกเขาเอาพระไตรปิฏกฉบับจริง ไม่ทราบเอามาจากใหนนะครับ
    เห็นได้ยินว่าเขาไม่เอาของฉบับไทยนะครับ
    (ล้วงเกินพระไตรปิฏกขอขมาด้วยครับ)
    แล้วไปศึกษา ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ดูว่าเขาจะทำอะไรได้ใหม
    แต่ไม่คิดว่าหลายๆอย่าง นอกจขากเขาจะรู้แล้ว ยังจะเข้าใจถึงขั้น
    ประดิษเป็นของต่างๆ ออกมาได้ครับ

    ตกใจเหมือนกัน ทำเอาผมคิดว่า ถ้าไม่ตามพวกนี้ เราคงโง่มากซินะครับ
    ก็เลย เริ่มหันมาสนใจน่ะครับ

    และถ้าเป็นไปได้ถ้ามีเงินพอ
    ผมอยากประดิษแขนกลน่ะครับ ( ถึงขั้นต้องยอมตัดแขนก็ยอมเอ้า )

    [​IMG]
    ที่จริงเขาก็ทำกันได้แล้วล่ะครับ


    แปลผมไม่ได้บ้าการตูนจนแยกโลกความจริงไม่ออกนะครับ

    [​IMG]
    [​IMG]
    แต่าหากมีคนด่าว่าเพี้ยน ก็ถือว่าชมแล้วกัน
    เพราะคนเหล่านี้ เราถึงได้มีชีวิตสบายถึงทุกวันนี้....
    คับ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2014
  14. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    1เรื่องของกาลเวลา ไอสไตน์ ก็เป็นผู้คิดค้น แต่ทำไม่สำเร็จเพราะตายก่อน
    แล้วก็มีคนเอาศึกษาต่อ แต่ก็ไม่มีใครสำเร็จ
    แล้วก็มีคนออกมาค้านเป็นนักวิทยาศาสตร์เหมือนกัน เขากล่าวว่า ไอสไตย์ไมไ่ด้รู้ทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องทำลายมิติ กาลเวลาก็เป็นไปไม่ได้
    ส่วนตัวผมก็ไม่เชื่อเต็มร้อย ว่าทำได้ แต่หากใครทำได้จริงผมก็จะรอดู
    2การเอาชนะแรงโน้มถ่วง
    รู้สึกมีแล้วนะครับ ผมก็เคยคิดเรื่องนี้ตอนเด็กๆนะครับ
    ว่าโลกเรามีแรงดึงดูด แล้วแรงดึงดูดก็เป็นเหมือนแม่เหล็ก หากเราเอาด้านเดียวกัน วางใกล้ๆกันมันจะผลักออก มีก๊าซหลายตัวเหมือนกันที่ผลักออกนอก
    ถ้าอย่างงั้นตัวเราหรือของบนโลกส่วนใหญ่มันมีค่าเป็นคนละตัวกันแรงแม่เหล้ก มันเลยดูดเราให้อยู่บนโลก อย่างงั้นใช่ใหม อันนี้ผมคิดมีแต่ทฤษฏีนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2014
  15. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    3 นี้คือเอกภพ ในทางวิทเชื่อว่า เอกภพมีแค่1 หมายถึงทั้งระบบสุริยะจักรวาล
    ถ้าออกไปจากเอกภพนี้แล้วคือไม่มีอะไรอีก

    เอกภพ (Universe) คืออะไร ?
    เอกภพ เป็นที่ว่างที่มีอาณาเขตกว้าง ใหญ่ไพศาลจนไม่สามารถกำหนดขอบเขตได้ ในเอกภพประกอบไปด้วยหลายๆ กลุ่มดาว หรือเรียกว่า กาแลคซี่ (Galaxy) ภายในกาแลคซี่ประกอบไปด้วยดวงดาวมากมายหลายร้อยล้านดวง ทั้งดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ฝุ่นและกลุ่มเนบิวลา เช่นเดียวกับกลุ่มดาวที่โลกเราอยู่คือ กาแลคซี่ทางช้างเผือก(Milky Way) สาเหตุที่เราเรียกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก เนื่องจากเมื่อเรามองจากโลกไปยังกาแลคซี่ดังกล่าวเราจะมองเห็นท้องฟ้าเป็น ทางขาวคล้ายเมฆพาดยาวบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน นักวิทยาศาสตร์คาดว่าทางช้างเผือกนี้มีดวงดาวอยู่ประมาณแสนล้านดวง สำหรับระบบสุริยะจักรวาลเป็นส่วนหนึ่งของทางช้างเผือก มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง มีดวงดาวต่าง ๆ หรือเทห์ฟากฟ้า ดวงดาวทุกดวงจะมีความเกี่ยวพันกันอยู่กับดวงดาวดวงหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ดวงจันทร์กับโลก โลกกับดวงอาทิตย์ เทห์ฟากฟ้าที่ประกอบกันอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล ได้แก่ ดาวเคราะห์ ดาวบริวาร ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง ดาวตก อุกกาบาต เป็นต้น





    นักวิททยาศาตร์ก็กล่าวว่า เป็นไปไมไ่ด้ที่ในเอกภพจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆใมนเอกภพ

    แต่ที่เดินทางไปไมไ่ด้เพราะ

    ระยะทางไกลมาก ประมาณล้านปีแสงก็เป็นไปได้ ซึ่งแสงใช้เวลาล้านปี ถ้าเราใช้ความเร็วแสงต้องใช้เวลาล้านปี แล้วเมือ่ไหร่จะถึง- -"
    ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถประดิษของที่สามารถเดินทางได้ความเร็วเท่าแสง
    แสงเร็วเท่าไหร่
    ก็ประมาณ7 วิก็รอบโลกครบ 1 รอบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2014
  16. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    รูหนอน
    [​IMG]

    แต่เขาก็ไมไ่ด้ท้อเขาเชื่อว่า ถ้าหากจะเดินทางไปหากันได้ ต้องใช้รูหนอน( WORM HOLE )
    ซึ่งจะสามารถย่นระยะทางไปได้
    ถ้าทฤษฤีนี้ถูกจริง คนจะสามารถไปหากันที่มีสิ่งมีชีวิต บนดาวดวงอื่นได้อื่นได้

    (เรื่องเอกภพมีแค่ 1 ผมไม่เชื่อว่ามีแค่นั้น ผมว่ามีมากกว่านั้น เพราะมันคือ อนันตะไม่สิ้นสุด แต่ไม่อยากคิดต่อละ แค่เอกภพก็ไม่ไหวแล้ว)


    ส่วนอย่างที่ 4ก็ลองๆดูกันไปก่อนนะครับ ผมก็อยากเห็นเหมือนกันครับ
    เพราะได้ยินว่า เขาจะเปิดมิติ ของหลังความตายด้วย คือทำให้คนสามารถเห็นสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณได้

    รอๆดูกันต่อไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2014
  17. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    เอาแค่เรื่องง่ายๆ เรื่องย่นระยะทางก็พอแล้ว รถยนตร์ เรือ เครื่องบิน ฯลฯ ก็เหมือนกับไทม์แมชชีน วิ่งไปหาอนาคตโดยใช้เวลาอันน้อยนิด
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เห็นกระทู้นี้แล้วอยากจะขอร่วมแสดงความเห็นด้วยครับ..
    แต่ความรู้ส่วนตัวทางวิทยาศาสตร์ขอออกตัวก่อนนะครับ
    ว่ามีน้อยถึงน้อยมากครับ..
    .แต่จะขอกล่าวเฉพาะในส่วนที่พอทราบเพียงน้อยนิด..
    .เพื่อพูดในทางวิทยาศาสตร์เพื่อร่วมพิสูจน์ให้มองออกมาเป็นรูปธรรมนะครับ
    .ส่วนตัวเห็นด้วยกับคุณ
    octobernism ในมุมว่าอภิญญา(ทั้งภายในและภายนอก)ยกเว้น อาสวักขยญาณ นะครับ..
    ที่จะมีในบุคคลที่ได้ชื่อว่าอริยะบุคคล..นอกนั้นไม่เกี่ยวกับว่าจะดีหรือ
    ไม่ดี.บางคนเคยมีของเก่า.แล้วมาค้นพบแนวทางเล็กน้อยก็ไปได้โลด
    ซึ่งไม่ใช่เครื่องชี้วัดเลยว่าจะเป็นคนดีได้..และอีกมุมที่เห็นด้วยกับ
    คุณ ZIGOVILLE คือประเด็นเรื่องความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์
    ปัจจุบันนี้อาจเป็นไปได้ว่ากำลังค้นพบ..สิ่งต่างๆ..และมุมของคุณ bosslnwskr10
    ก็เห็นด้วยในการนำเสนอประเด็นทำนองนี้นะครับ..

    เอาว่าขอพูดในส่วนที่นำไปสู่เรื่องของอภิญญา ๕ นะครับ.
    เท่าที่ส่วนตัวทราบคือ.ระดับคลื่นความถี่สมองของมนุษย์ปกติ

    (แต่คลื่นที่ จี๊ดๆเป็นไฟฟ้านะครับ)
    จะอยู่ ๑๓ Hz ---> ๕๐ Hz
    ขณะในขณะลืมตาจะอยู่ที่ ๓๐ Hz ---> ๕๐ Hz
    พวกที่มีพรสวรรค์จะอยู่ที่ ๓๐ Hz ---> ๖๐ Hz

    (คือ คนที่ประจุไฟฟ้าส่วนเกินในเลือดสูงกว่าปกติ)
    และสมาธิ ก็คือ ขบวณการ ลด ละ ดับคลื่นความถี่ของสมองเพื่อสร้าง
    เหตุปัจจัยให้ถึงพร้อม..ที่นี้การมาฝึกสมาธินั้นพอเราเริ่มหลับตา
    ระดับคลื่นสมองจะลดลงมาก่อนจะเหลือ ๗ ---> ๑๑ Hz เราเรียกว่า เบต้า
    จากนั้นก็จะลดคลื่นสมองลงมาเหลือ ๓ ---> ๗ Hz เราเรียกว่า เทรร่า.

    (ในช่วงนี้ยังมีการปรุงแต่งได้ คงพอจะเดาได้ว่าทางปฏิบัติเรียกว่าอะไร)..
    แต่ถ้าคลื่นสมองลงมาถึง ๑ ---> ๓ Hz เราจะเรียกว่า เดลต้า.
    (ในช่วงนี้จะตัดหลับ ช่วงนี้จะไม่มีผลต่อการพัฒนาทางจิต)
    และคลื่นสมองในระดับ ๐.๕ --->๑ เราเรียกว่า คอสมิค..
    (ในช่วงนี้คือ ถ้าไม่ตาย ก็ บุคคลที่จะเป็นผู้ไม่มีกิเลสได้จะต้องผ่าน
    ทุกคนและต้องผ่านด้วยการใช้วิปัสสนากรรมฐานร่วมด้วยครับ
    เพราะจะมีการขยายคลื่นความถี่แตกกิ่งก้านสาขาไปเรื่อยๆไป
    เชื่อมกับสัญญาต่างและก็ไม่ยึดติด.และมันจะเกี่ยวข้องกับการ
    สะสมพลังงานที่เพียงพอในการแปรธาตุด้วยนั่นหละครับ
    พอเข้าใจนะครับ..)
    และเอาไว้เท่านี้ก่อนนะครับ..พอนึกออกยังครับว่ามันจะเกี่ยวกับ
    เรื่องอภิญญาได้อย่างไร..พูดง่ายๆก็คือถ้าเข้าใจเรื่องคลื่นความถี่
    แล้วรู้จักการขยายสัญญาโดยใช้คลื่นความถี่กับประจุไฟฟ้าได้นั้นหละครับ..
    และการจะเข้าสู่มรรควิธีได้ก็คือการไม่ยึดติดในสัญญานั่นๆ

    ส่วนการจะนำไปสู่พลังงานที่เป็นรูปธรรมได้.ต้องข้ามเรื่องภาพ เชื่อม
    เข้าสู่คลื่น.ร่วมกับประจุไฟฟ้า.บวกกับขบวณการในเร่งให้เกิดอนุภาคต่างๆ
    ถึงจะเกิดเป็นพลังงานที่สัมผัสได้เป็นรูปธรรมได้.คงมองเห็นความ
    แตกต่างของอภิญญาภายใน
    (คือรับรู้ เข้าใจด้วยตัวเองแต่คนอื่นๆไม่สามารถ
    เห็นได้ รับรู้ได้ ยังไม่พ้นเรื่องภาพ)กับอภิญญาภายนอก
    (คือทำให้บุคคลอื่นๆสัมผัสได้นั่นเอง
    คือข้ามเรื่องภาพเข้าสู่คลื่นเข้าสู่เรื่องพลังงานครับ)
    และเห็นความสัมพันธ์ของทั้ง ๒ ส่วนนี้นะครับ..
    และคงพอจะคาดคะเนอะไรๆได้หลายๆเรื่องนะครับ
    กับครูบาร์อาจารย์หลายๆท่าน.ทำไมถึงคงสภาพ แปรสภาพต่างๆได้.และถึงมีกระดูกเป็นแก้วได้.

    ปล.จิตทำงานเมื่อเห็นเส้นสาย จิตทำงานเมื่อเห็นแสง
    จะใช้งานได้ฯลฯ ยกตัวอย่างการสื่อคือการทำให้เหล็ก concentrate
    ที่เหลือไปหาทริคกันเอาเองครับ..

    ความรู้ด้านนี้ส่วนตัวน้อยครับ..แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง ขอบคุณครับ
     
  19. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ต่อไปขอเล่าเกี่ยวกับ พื้นที่ใต้ดินนะครับ

    มีหลายคนกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเป็น นักวิทยาศาสตร์
    คำกล่าวของท่านนั้นต้องตอบมาในแบบของวิทยาศาสตร์ได้
    ก็น่าจะสมควรนแก่การอ้างในเชิงวิทย์ได้นะครับ
    เพราะยังไงศาสนาพุทธก็คือศาสนาแห่งความจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2014
  20. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    Kola Superdeep Borehole หรือ KSDB
    ภาษารัสเซียเรียกว่า โคลสกาย่า สเวียร์กกลูโบกาย่า สกวาชิน่า คือหลุมที่เกิดจากการขุดเจาะโดยมนุษย์ที่ลึกที่สุดในโลก โดยมันลึกลงไปใต้โลกกว่า 12 กิโลเมตร
    [​IMG][​IMG]
    อดีต-ปัจจุบัน


    ที่นี้พอเจาะ9 กิโลเมตรครึ่ง พวกเขาก็เจอกับสวรรค์ เพราะชั้นหินที่นี่เต็มไปด้วยทองคำและเพชร
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]โดยความหนาแน่นของทองคำในชั้นหินที่นี่คือ 80 กรัมต่อตัน[/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]

    แต่ที่หยุดขุดเพราะยิ่งลึกความร้อนสูงมาก
    จนต้องยกเลิกเพระาเครื่องจักรทำงานต่อไมได้ ขุดได้ทั้งหมด12 กิโลเมตร เนื้อเรื่องอีกเยอะแต่ข้อข้ามทั้งหมดนะครับ
    เพราะผมสนใจเรื่อง


    [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]มี ข่าวลือว่าที่โครงการนี้ มีอันจะต้องหยุดไป ไม่ใช่เพราะเรื่องที่ขาดเงินทุนสนับสนุน แต่เป็นเพราะยิ่งเจาะลึกลงไป ก็ยิ่งเจอกับเรื่องประหลาดเหนือธรรมชาติมากยิ่งขึ้น บางคนก็บอกว่าการเจาะลงไป เป็นเสมือนกับการปลดปล่อยปีศาจร้ายให้ขึ้นมาจากขุมนรก[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]บ้างก็ว่า ที่ความลึกกว่า 10 กิโลเมตร มีการได้ยินเสียงร้องโหยหวล ที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ดังขึ้น[/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]มา จากหลุม นอกจากนั้น พวกเขาก็ยังพบการระเบิดอยู่ภายในหลุม แต่หลังจากการหยุดขุดเจาะไป 2 - 3 วัน พวกคนงานก็ไม่พบเรื่องแปลกประหลาดอะไรอีก
    [/FONT]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...