คาถา บูชาเสด็จเตี่ย (กรมหลวงชุมพร) - เอื้ออังกูร

ในห้อง 'รวมบทสวดมนต์และคาถา' ตั้งกระทู้โดย torphak, 1 กุมภาพันธ์ 2021.

  1. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
     
  2. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    upload_2022-10-30_11-30-14.jpeg
    สวยยัง? เอียงซ้าย... เอียงขวา งามแท้ ไปไหนน่ะเหรอ หากาแฟกินน่ะซี้...
     
  3. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  4. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    635167.jpg

    "โตโน่" ฟิตพกเสด็จเตี่ยลุยข้ามโขง เผยกระแสน้ำเชี่ยว แม่ปลื้มเป็นสะพานบุญ

    วันที่ 21 ต.ค. 65 เวลา 13.09 น. ณ ลานพญาศรีสัตตนานาคราช ต.เมือง อ.เมือง จ.นครพนม คณะทีมงานของ “โตโน่” ถือฤกษ์ดีทำพิธีบวงสรวงองค์พระธาตุพนมพร้อมห่มผ้าพระธาตุเพื่อขอขมาเปิดทางให้ภารกิจการว่ายน้ำข้ามลำแม่โขงลุล่วงไปด้วยดี โดยนักแสดงหนุ่ม “โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” และ “แม่น้อย” คุณแม่ของโตโน่ ทั้งแฟนสาว “ณิชา ณัฏฐณิชา” คณะทีมงาน พร้อมเพื่อนดาราสาวอีก 7 คน รวมถึงส่วนปกครอง อ.พธาตุพนม ตลอดจนคณะสงฆ์จากวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ร่วมทำพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคล

    สำหรับพิธีบวงสรวงวันนี้ เป็นการถวายเครื่องสักการะบูชาแก่พญาสัตนาคา 7 สี ที่ปกปักรักษาพระธาตุพนม โดยนำผลไม้ 9 อย่าง ธัญญาพืช 9 อย่าง และของหวาน 9 อย่าง รวมถึงของคาวเป็นไข่ต้ม ทำพิธีบายศรีพรหมเทพ อัญเชิญเทพเทวดา ขอบารมีประทานพรมงคล ก่อนจะร่วมกันนำผ้ามาห่มรอบองค์พระธาตุ โปรยข้าวตอกดอกไม้ และให้พระพรมน้ำมนต์

    หลังจากทำพิธีเสร็จสิ้น “โตโน่” ได้คว้าอาหารเอาฤกษ์เอาชัยเป็นไข่ไก่ต้มจำนวน 1 ใบ พร้อมปลอกเข้าปากต่อหน้าองค์พระธาตุพนม

    ทั้งนี้ โตโน่ได้โชว์พระเครื่องคู่กาย คือ เหรียญกรมหลวงชุมพรที่ห้อยคอแขวนไว้ติดตัวตลอดเวลามาหลายปี และในวันที่ว่ายน้ำก็จะแขวนติดตัวไปด้วย รวมถึงเครื่องรางของขลังทุกอย่างที่ทุกคนให้มา เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและเป็นความเชื่อความศรัทธาส่วนตัว ที่จะคุ้มครองปกปักษ์รักษา
    โตโน่ ได้เปิดใจถึงความรู้สึกต่อสื่อมวลชนว่า สำหรับความรู้สึกในตอนนี้ชื่นใจและมีกำลังใจมาก ตนมีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของคนนครพนม ตนหวังให้คนไทยได้เห็นถึงความรัก ความมีน้ำใจ ของคนไทยและคนลาวและวันนี้ตนได้ขอพรให้ทุกคนรักและสามัคคีกันตนมองว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว ส่วนความพร้อมตนมีเต็มที่และขอยอมรับไม่เคยว่ายไกลแบบนี้ และเราก็ไม่สามารถคุมสภาพอากาศได้แต่จะทำให้ดีที่สุด จะนึกถึงพลังที่ทุกคนส่งมาให้

    ที่มา : https://www.amarintv.com/news/detail/152831

     
  5. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    672_n.jpg?_nc_cat=111&ccb=1-7&_nc_sid=730e14&_nc_ohc=ISZjIBmrpBIAX8L6H2x&_nc_ht=scontent.fbkk3-5.jpg
    หลังฉันภัตตาหารแล้ว
    หลวงพี่แกงไก่เล่าให้หมู่คณะฟังว่า

    “เมื่อคืนนี้ ผมจำวัดแล้วต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา ช่วงเวลาประมาณตี ๓ ผมได้ยินเสียงในใจ เป็นเสียงพระอาจารย์คม อภิวโร เรียกผมว่า
    “แกงไก่ครับ แกงไก่ครับ”
    ผมตื่นขึ้นมาแล้วรีบกำหนดภาวนา มีสติเต็มที่ ผมได้ยินเสียงพระอาจารย์คมดังก้องในใจผมต่อไปว่า
    “ให้เร่งดูภายในใจ
    อย่าไปมัวดูข้างนอก
    มัวดูความไม่ดีคนอื่น มันเป็นเรื่องไร้สาระ

    ให้ดูข้างในตัวเอง
    ความสกปรกเลอะเทอะภายในใจยังมีอีกมาก
    ไม่อยากจะว่ามาก เพราะยังติดโลกธรรมอยู่”

    ท่านอบรมอยู่หลายอย่าง หลักใหญ่คือ
    “ให้พิจารณาอย่าติดในโลกธรรม ๘

    ได้ลาภ เสื่อมลาภ
    ได้ยศ เสื่อมยศ
    ได้สุข ได้ทุกข์
    สรรเสริญ นินทา

    อะไรทั้งปวงเป็นของมายาไม่แน่นอน
    ให้มีสติพิจารณาเทียบโลกเทียบธรรม”

    เท่าที่จำเนื้อหาได้ประมาณนี้ ผมฟังจนเสียงนั้นเงียบไป ผมก็กำหนดภาวนาพิจารณาธรรมะต่ออีกสักพักจึงจำวัดอีกรอบ

    ผมมั่นใจว่าไม่ใช่ฝันแน่ๆ เพราะตื่นมาตอนเช้าก็ยังจำได้ค่อนข้างแม่น แล้วก็มาเปิดอ่านธรรมะในเฟสบุ๊ควัดป่าธรรมคีรี ทราบจากหลวงพี่ว่า เช้าวันนี้ท่านสั่งให้ลงเรื่องโลกธรรม ผมก็คิดในใจว่า ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่คิดไปเองแน่ๆ ตรงเผงขนาดนี้ พลังธรรมท่านคงมาสอนผม มาเมตตาดุเตือนสติธรรมปัญญาธรรมผม”

    เล่าถวายเพื่อน้อมกราบบูชาธรรม
    พระอาจารย์คม อภิวโร ด้วยเศียรเกล้า

    จากใจลูกน้อย
    พระวิสุทธิ์ ชินวโร (หมอแกงไก่)
    ผู้ที่ได้รับเมตตาดูแลจากท่านอย่างหาประมาณมิได้
    ………………………………………………………………………

    หมายเหตุ : พระวิสุทธิ์ ชินวโร หรือหลวงพี่แกงไก่
    อดีตทันตแพทย์วิสุทธิ์ วิสุทธิชัยกิจ
    อาจารย์สอนเขียนบทภาพยนตร์
    และที่ปรึกษาบทภาพยนตร์

    ปริญญาตรี
    ทันตแพทยศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยม)
    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    ปริญญาโท
    Master of Creative Media (Film and Television) RMIT University ประเทศออสเตรเลีย

    คุณหมอแกงไก่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จทางโลกคนหนึ่ง แต่เมื่อได้เป็นศิษย์พระอาจารย์คม อภิวโร ติดตามไปปฏิบัติธรรมจนค่อนข้างสนิทแล้ว พระอาจารย์คมเมตตาบอกกับคุณหมอแกงไก่ว่า

    “…เจ้าไก่เอ้ย รีบลาออกจากงาน รีบไปลาแฟนแล้วมาบวชซะ ชีวิตจะหักกลาง ไม่ตายโหงก็ต้องนอนเจ็บอยู่บนเตียงใครก็ช่วยไม่ได้ มันเป็นกรรมลูกเอ้ย รีบมาบำเพ็ญเอาบุญใหญ่หนีบาปที่เขากำลังไล่ตามอยู่ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม กรรมท่านไม่ได้ง้อให้ใครเชื่อ มาซะก่อนที่จะไกลสุดมือเอื้อม อะไรที่เราช่วยได้เราก็ช่วย เคยมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ถ้ามาช้าเกินกำหนดเวลาใครหน้าไหนก็ช่วยไม่ทันโว้ย

    ไม่ใช่ตาย ๆ ไปแล้วก็จบ มันมีภพชาติหลังความตาย มีอบายภูมิเป็นที่ไป ตราบใดที่เรายังมีชีวิตเรายังมีสิทธิ์ปิดอบายภูมิเข้าถึงธรรมได้ ชีวิตเป็นของมีค่ามากนะ…”

    ๑ ปีถัดมา
    คุณหมอแกงไก่จัดการภาระรอบตัวเรียบร้อยจึงมาขอบวช พระอาจารย์คมไม่อนุญาตให้บวช ท่านขอให้เป็นผ้าขาวฝึกตนไปก่อน โดยให้เหตุผลว่า

    “ไก่เป็นคนเก่งทางโลกมาก อัตตาสูง ถอดเขี้ยวถอดเล็บเก็บหัวโขน ละอัตตาอยู่เป็นผ้าขี้ริ้ว ฝึกให้จิตเขายอมเป็นผ้าเช็ดเท้าไปก่อน ถึงเวลาจะบอกให้บวชเอง”

    อีก ๒ ปี ถัดมา
    คุณหมอแกงไก่จึงได้อุปสมบท

    ทุกอย่างดูคล้ายจะปกติสุข จนย่างเข้าพรรษาที่ ๓ หลวงพี่แกงไก่ป่วยเป็นโรคประหลาด ได้รับทุกขเวทนาทางกายมาก จนต้องนั่งรถเข็น ตรวจหาสาเหตุอย่างไรก็ไม่พบ ทั้งโยมแม่และโยมน้องชายของหลวงพี่แกงไก่ที่ล้วนเป็นอาจารย์แพทย์หนักใจมาก

    หลวงพี่แกงไก่เล่าให้หมู่คณะฟังว่า

    “ผมจำได้ พระอาจารย์คมเคยเตือนผมว่า

    ให้เร่งภาวนาอย่าประมาท กรรมเป็นของมองไม่เห็น ลึกลับซับซ้อนและมีอำนาจมาก เวลาบาปเก่าติดตามมาส่งผล ผมจะรับแค่เพียงหนึ่งในสี่เพราะผลบุญกุศลที่ทำมาและบารมีครูบาอาจารย์ช่วยไว้ แม้จะลดไปสามส่วนแล้วแต่ถึงกระนั้นก็ต้องนอนเตียงผู้ป่วย นั่งรถเข็นเจ็บปวดทรมานจนอยากจะฆ่าตัวตายวันละหลายรอบ

    ตอนนั้นผมเเข็งแรงดี ผมไม่เชื่อเลย นึกว่าท่านหลอกหรือพูดเล่น จนวันนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว ทุกอย่างปรากฏเป็นจริงตามที่ท่านว่าไว้ไม่ผิดเลยสักอย่างเดียว ขอหมู่เพื่อนอย่าประมาทเรื่องกรรม เรื่องจิตตานุภาพของครูบาอาจารย์ ทำเล่นได้เล่น ทำจริงได้จริง ทำดีได้ดีมาก ทำชั่วได้ชั่วมาก“

    ………………………………………………

    คณะศิษย์วัดป่าธรรมคีรีได้กราบขออนุญาตหลวงพี่แกงไก่เผยแผ่ประวัติเป็นธรรมทานแล้ว หลวงพี่แกงไก่อนุญาตตามนั้น แม้หลวงพี่แกงไก่จะไม่ค่อยสะดวกในการเขียนเพราะทุกขเวทนามาก แต่ท่านก็ตั้งใจจะพยายามเขียนเรื่องราวของท่านเองให้คณะศิษย์พระอาจารย์คม อภิวโร และท่านผู้ติดตามทางเฟสบุ๊ค วัดป่าธรรมคีรี ได้รับทราบเป็นธรรมทานเตือนสติต่อไป โปรดรอติดตามกันนะครับ

    พระอาจารย์คม อภิวโร เมตตาสอนว่า

    “อย่าคิดว่าชาตินี้ไม่เคยทำบาปแล้วจะสบาย
    เราไม่รู้ว่าทำอะไรไว้บ้างในชาติก่อน

    ฟิตสติ ฟิตปัญญา อย่าประมาท
    ฝึกจิตใจให้พร้อมยอมรับทุกสถานการณ์

    ขณะที่มีชีวิตอยู่ยังมีโอกาสเข้าถึงธรรม
    ละชั่ว ทำดี ชำระจิตให้ขาวรอบเสมอ”

    …………………………………………………

    กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    ที่มา : facebook วัดป่าธรรมคีรี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2022
  6. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
     
  7. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  8. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    upload_2022-10-30_20-17-6.jpeg

    กิเลส (บาลี: กิเลส; สันสกฤต: क्लेश เกฺลศ) หมายถึง สภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมอง
    วจนัตถะ
    กิเลเสนฺติ อุปตาเปนฺตีติ = กิเลสา แปลว่า ธรรมชาติใดย่อมทำให้เร่าร้อน เศร้าหมอง ธรรมชาตินั้นชื่อว่า กิเลส

    กิลิสฺสติ เอเตหีติ = กิเลสา แปลว่า สัมปยุตธรรม คือ จิต เจตสิก ย่อมเศร้าหมอง เร่าร้อน ด้วยธรรมชาติใด ฉะนั้นธรรมชาติที่เป็นเหตุแห่งความเศร้าหมองเร่าร้อนของสัมปยุตนั้น จึงชื่อว่า กิเลส

    กิเลสวัตถุ
    ในวิภังคปกรณ์ระบุว่า กิเลสวัตถุ 10 ได้แก่

    1. โลภะ ความอยากได้
    2. โทสะ ความคิดประทุษร้าย
    3. โมหะ ความหลง
    4. มานะ ความถือตัว
    5. ทิฏฐิ ความเห็นผิด
    6. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
    7. ถีนะ ความหดหู่
    8. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
    9. อหิริกะ ความไม่ละอายบาป
    10. อโนตตัปปะ ความไม่เกรงกลัวบาป
     
  9. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  10. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2022
  11. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
     
  12. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    upload_2022-10-31_20-59-53.jpeg
    หวัดดี วันฮาโลวีน ดีล่ะนอนอยู่บ้านไม่มีอันตรายใดใด แต่อย่าขัดใจคนข้างๆ เท่านั้นเอง
     
  13. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
     
  14. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  15. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    lot1.jpg

    Loykatong1.jpg
    ชาติไทยมีประเพณีอันดีงามตกทอดสืบต่อกันมาแต่ครั้งโบราณกาล ตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่ระบุว่า ในสมัยสุโขทัยมีประเพณีที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิ ประเพณีทางด้านศาสนา ชาวสุโขทัยเป็นพุทธมามกะที่มีศรัทธาและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ชาวสุโขทัย นับแต่พระมหากษัตริย์จนถึงชาวบ้านทั่วไปจะไปวัดทำบุญทำทานรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ไปฟังพระธรรมเทศนาที่กลางดงตาลในเมืองสุโขทัย เมื่อถึงเทศกาลเข้าพรรษาในเดือน 8 ชาวสุโขทัยมีการถือศีล ทำบุญ ทำทาน กุลบุตรที่มีอายุพอสมควรก็ออกบวชเป็นภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาชั่วระยะเวลาเข้าพรรษาตามประเพณีนิยม และเมื่อถึงเทศกาลออกพรรษาในเดือน 11 ก็มีการ ทอดกฐินถวายปัจจัย เช่น ถวายพนมเบี้ย พนมหมาก พนมดอกไม้ ถวายหมอนนั่ง หมอนนอน เป็นต้น การทอดกฐินนี้กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาเดือนหนึ่ง ในเทศกาลออกพรรษาก็มีการละเล่นต่างๆ เช่น เล่นดอกไม้ไฟ หกคะเมน ไต่ลอดบ่วง รำแพน เล่นดนตรี ขับร้อง เต้นระบำรำฟ้อน เครื่องดนตรีในสมัยนั้นมี ฆ้องวง กลองประเภทต่างๆ อาทิ กลองมโหระทึก แตร สังข์ ระฆัง กังสดาล ฉิ่งฉาบ บัณเฑาะว์ พิณ และซอ เป็นต้น

    ชาวสุโขทัยนั้น นอกจากนับถือศาสนาพุทธแล้ว ยังนับถือศาสนาพราหมณ์ด้วย เพราะในสมัยนั้นมีทั้งวัดวาอาราม โบสถ์วิหาร และเทวสถานอยู่ทั้งในเมืองและนอกเมือง เมื่อผู้ใดต้องการประกอบพิธีมงคลพิธีใดพิธีหนึ่ง มักประกอบพิธีทั้งทางพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ คือมีการนิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระปริตร และเชิญพราหมณ์มาอ่านพระเวท
    งานประเพณีลอยกระทงของไทยนั้น มีมาแต่โบราณโดยมีคติความเชื่อว่าเป็นการบูชา และขอขมาพระแม่คงคาเป็นการสะเดาะเคราะห์ และบูชาพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ หรือเป็นการบูชารอยพระบาทเป็นต้น นิยมทำกันในวันเพ็ญเดือน 12 ของทุกๆ ปี ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำตามแม่น้ำ ลำคลองขึ้นสูง และอากาศเริ่มเย็น

    Loykatong2.jpg



    Loykatong3.jpg

    บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือน กล่าวไว้ว่า การลอยพระประทีป ลอยกระทงนี้ เป็นนักขัตฤกษ์ที่รื่นเริงทั่วไปของชนทั้งปวง ทั่วกัน ไม่เฉพาะแต่การหลวง แต่จะนับว่าเป็นพระราชพิธีอย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่มีพิธีสงฆ์ พิธีพราหมณ์อันใดเกี่ยวข้องเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่า ตรงกับคำที่ว่า ลอยโคมลงแช่น้ำเช่นกล่าวมาแล้ว แต่ควรนับถือว่าเป็นราชประเพณีซึ่งมีมาในแผ่นดินสยามแต่โบราณ ตั้งแต่พระนครยังอยู่ฝ่ายเหนือ เมื่อตรวจดูในกฎมนเฑียรบาลซึ่งได้ยกมาอ้างในเบื้องต้น ต่อความที่ว่าพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคมลงน้ำไป มีข้อความต่อไปว่า "ตั้งระทาดอกไม้ในพระเมรุ 4 ระทา หนัง 2 โรง" การเรื่องนี้ก็คงจะตรงกันกับที่มีดอกไม้เพลิงที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามและที่ชลาทรงบาตร

    บูชาหอพระในพระบรมมหาราชวัง ต่อนั้นไปก็ว่าด้วยการลอยพระประทีปที่ว่าในกฎหมายนี้มีเนื้อความเข้าเค้าเรื่องนพมาศ ซึ่งว่า ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ซึ่งเป็นพระสนมเอก แต่ครั้งพระเจ้าอรุณมหาราช คือพระร่วง ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินสยาม ตั้งแต่กรุงตั้งอยู่ ณ เมืองสุโขทัย ได้กล่าวไว้ว่าในเวลาฤดูเดือนสิบสองเป็นเวลาเสด็จลงประพาสในลำน้ำตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน พระอัครมเหสีและพระสนมฝ่ายใน ตามเสด็จในเรือพระที่นั่งทอดพระเนตรการนักขัตฤกษ์ ซึ่งราษฎรเล่นในแม่น้ำตามกำหนดปี เมื่อนางนพมาศได้เข้ามารับราชการ จึงได้คิดอ่านทำกระทงถวายพระเจ้าแผ่นดิน เป็นรูปดอกบัวและรูปต่างๆ ให้ทรงลอยตามสายน้ำไหล และคิดคำขับร้องถวายแด่พระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระดำริจัดเรือพระที่นั่งเทียบขนานกันให้ใหญ่กว้าง
    หนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์บรรยายถึงลักษณะของกระทงที่นางนพมาศประดิษฐ์ถวายสมเด็จพระร่วงเจ้า ดังนี้
    "… การพระราชพิธีจองเปรียง ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นวันนักขัตฤกษ์ชักโคม ลอยโคม นางนพมาศ ได้ประดิษฐ์โคมลอย ตกแต่งเป็นรูปดอกกระมุทมาน กลีบรับแสงพระจันทร์ ใหญ่ประมาณเท่ากระทงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลาย แล้วก็เอาผลพฤกษา ลดาชาติมาแกะจำหลักเป็นรูปมยุระคณาวิหคหงส์ ให้จับจิกเกสรบุปผชาติอยู่ตามดอกกระมุท เป็นระเบียบเรียบร้อยวิจิตรไปด้วยสีย้อมสดสว่างควรจะทอดทัศนายิ่งนัก ทั้งเสียบแซม เทียน ธูป และประทีปน้ำมันเปรียงเจือด้วยไขข้อพระโค…"
    ดอกกระมุท หรือ โกมุท เป็นดอกบัวประเภทบัวเผื่อน บัวผัน ที่ขยายกลีบบานในเวลากลางคืน กลางวันหุบ ระแทะ คือ ล้อเกวียน
    นอกจากการลอยกระทงแล้ว ในศิลาจารึกหลักที่ 1 บรรทัดที่ 14 ยังได้กล่าวถึงการเผาเทียนเล่นไฟว่า
    "…เมืองสุโขทัยนี้มีสี่ปากปตูหลวง เที้ยรย่อมคนเสียดกัน เข้ามาดูท่านเผาเทียนเล่นไฟเมืองสุโขทัยนี้มีดั่งจักแตก…"
    ท่านผู้รู้หลายท่านสันนิษฐานว่างานดังกล่าวนั้นน่าจะเป็นการเผาเทียน เล่นไฟ ในงานเทศกาลลอยกระทงนั่นเอง เพราะมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก จากข้อความในศิลาจารึกตอนนี้นายนิคม มุสิกคามะ ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเมื่อปี พ.ศ.2520 ได้เสนอให้จังหวัดสุโขทัยจัดงานพลิกฟื้นประวัติศาสตร์ประเพณีลอยกระทงขึ้นให้เป็นงานระดับชาติ เพื่อแนะนำจังหวัดสุโขทัย ให้ชื่องานตามคำในศิลาจารึกว่า "งานเผาเทียน เล่นไฟ" จุดเน้นที่เป็นหัวใจของงานนี้ คือ การฟื้นฟูประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ พลุ ตะไล ไฟพะเนียง ดอกไม้ไฟชนิดต่าง ๆ จังหวัดสุโขทัย กรมศิลปากร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงได้ร่วมกันจัดงานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เป็นประจำทุกปีจนถึงปัจจุบัน
    พิธีและกิจกรรมในภาคกลางวันจะมีขบวนแห่นางนพมาศ และการออกร้าน จัดนิทรรศการ ส่วนในเวลากลางคืนจะมีการจุดประทีปโคมไฟตามโบราณสถาน 3 วัน 3 คืน มีการลอยกระทง และจุดดอกไม้ไฟอย่างสวยงามทั่วท้องน้ำและตระพังต่าง ๆ ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย มีการจัดประกวดกระทง การแสดงแสงเสียงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงสุโขทัย ณ บริเวณวัดมหาธาตุ ตลอดจนการแสดงนาฏศิลป์ และมหรสพต่าง ๆ
    ในงานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ จังหวัดสุโขทัยได้จัดให้มีพิธีเผาเทียนแบบโบราณ โดยเชิญชวนให้ประชาชนทั้งหลายร่วมพิธีซื้อตะคัน เผาเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดแล้วนำไปวางบนฐานหรือระเบียงโบสถ์ วิหาร พระเจดีย์ โบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ทำให้เกิดแสงสว่างระยิบระยับนับร้อยนับพันดวง เป็นบุญกุศลที่ได้ร่วมแรงศรัทธาพร้อมกัน หากใครจะนำตะคันกลับบ้านเพื่อเป็นที่ระลึกนึกถึงงานเผาเทียนเล่นไฟที่สุโขทัยก็ได้


    ที่มา : http://www.info.ru.ac.th/province/sukhotai/loykatong1.htm
     
  16. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  17. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    upload_2022-11-3_21-2-22.jpeg
    ลำบากใจ..ช่วงนี้ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว มีแต่คนติดต่อให้ประกวดช่วงวันลอยกระทง
     
  18. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  19. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    ที่มา : youtube เรื่อยๆมาเรียงๆ
    กรมหลวงชุมพร
    www.youtube.com/watch?v=xrNm0nh2OlQ
    เพลง "กรมหลวงชุมพร" คำร้อง/ทำนอง หนุ่ย นพดล เรียบเรียง ธีระพงษ์ ศักดิ์แก้ว ขับร้อง ดร.มยุรีย์ ทิพย์ญาน
     
  20. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283

แชร์หน้านี้

Loading...