คาร์ล จุง กล่าวถึงความบังเอิญ (synchronicity) ที่คุณควรต้องรู้

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย Katheryn, 15 พฤศจิกายน 2019.

  1. Katheryn

    Katheryn สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2019
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้น แล้วมันไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ มันคืออะไร? บางคนเรียกความบังเอิญนี้ว่า เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่นี่คือคำจำกัดความที่ดีที่สุดแล้วหรือ?

    คาร์ล จุง นักจิตบำบัดชื่อดังได้ให้คำจำกัดความ “เหตุบังเอิญที่ทรงคุณค่า” ว่าเรื่องบังเอิญ (synchronicity) มันคือปรากฏการณ์ที่มีความหมายบางอย่างที่บังเอิญเกิดขึ้นแล้วไปสอดคล้องกับสิ่งที่คุณกำลังครุ่นคิดอยู่ บางทีคุณอาจนอนหลับแล้วฝันถึงอัญมณีมีค่า แล้ววันถัดมา เพื่อนก็ให้อัญมณีนั้นแก่คุณ แปลกใช่ไหมล่ะ?

    บางทีคุณอาจซื้อบางสิ่งที่คุณชอบ แต่คุณไม่รู้เลยว่าเพื่อนรักของคุณซึ่งอยู่ในร้านอีกฟากของเมืองก็กำลังซื้อของชิ้นเดียวกันอยู่ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมเพรียงกัน มันอาจจะเป็นสัญญาณจากจักรวาลก็ได้

    ในบทความนี้เราจะอธิบายว่าคาร์ล จุงมีไอเดียการอธิบายเหตุบังเอิญ (synchronicity) ว่าอย่างไร ทำไมเขาถึงอธิบายเช่นนั้น แล้วเมื่อไหร่ที่คุณจะได้เจอเหตุบังเอิญเหล่านี้บ้าง

    รู้รึเปล่า มันเกิดขึ้นบ่อยมากกว่าที่คุณคิด แต่คุณต้องเปิดใจเพื่อที่จะได้มีประสบการณ์นี้

    คาร์ล จุงพูดเรื่องเหตุบังเอิญ (synchronicity) ไว้ว่าอย่างไร

    เริ่มแรก คาร์ล จุงคิดคำว่า “synchronicity” ขึ้นมา เพื่ออธิบายสิ่งที่อธิบายไม่ได้ เขามีคนไข้ที่ฉลาดอย่างเหลือเชื่อ เธอฉลาดซะจนไม่มีเวลามารับการบำบัดเอาซะเลย เธอเชื่อว่าความมีเหตุผลของเธอเพียงพอแล้วที่จะอธิบายความวิตกกังวลของเธอ

    วันหนึ่งคนไข้ของเขาก็ฝันถึงเครื่องประดับรูปแมลงศักดิ์สิทธิ์สีทอง ต่อมาเมื่อเธอเข้ารับการบำบัดกับคาร์ล จุง แมลงก็บินชนกระจกหน้าต่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยความสงสัยคาร์ลจุงจึงเปิดหน้าต่างและคว้าแมลงกลางอากาศ มันคือแมลงสการับ แมลงศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์ เมื่อยื่นให้คนไข้ดู เธอก็มองเห็นสิ่งที่เหนือไปจากเหตุผลที่เธอมี

    จุงกล่าวว่ากุญแจสำคัญของการเข้าใจเหตุการบังเอิญ “synchronicity” คือการมองข้ามความบังเอิญของมัน จริงอยู่ที่เหตุบังเอิญเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ต่อเมื่อเรามีความเข้าใจต่อเหตุการณ์บังเอิญที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นแหล่ะ เขาเรียกว่า synchronicity ได้เกิดขึ้นแล้ว

    ฟังดูเหมือนเรื่องจิตวิญญาณใช่ไหม? ถ้าเราไม่สามารถอธิบายบางอย่างได้ เราจะเรียกมันว่าอะไรดี

    ความบังเอิญ synchronicity คืออะไร?

    ความบังเอิญ synchronicity คือเมื่อสิ่งสองสิ่งเกิดขึ้น แล้วเห็นได้ชัดว่ามันมากกว่าการเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันอธิบายไม่ได้ ดังนั้น คนบางคนก็เชื่อว่ามันเป็นสัญญาณว่าพวกเขาเดินมาถูกทางแล้ว หรือเป็นสัญญาณว่าสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจทำนั้นถูกต้องแล้ว หรือบางทีพวกเขาอาจเชื่อว่ามันเกี่ยวกับการตัดสินใจที่ผิดพลาด(ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง) มันอาจเป็นสัญญาณจากพระเจ้าของคุณ จากจักรวาล จากสิ่งใดหรือบุคคลใดที่คุณนับถือ

    บุคคลทั่วไปค้นพบว่าเมื่อพวกเขาเรียนรู้ถึงความบังเอิญนี้ มันก็เหมือนกับว่าปรากฏการณ์นี้ยิ่งจะเกิดขึ้นในชีวิตพวกเขามากขึ้นไปอีก เหมือนเคสของปรากฏการณ์ Baader-Meinhof Phenomenon ที่เมื่อคุณเรียนรู้อะไรไป คุณก็จะเห็นมันอยู่ทั่วไปหมด นั่นก็เพราะความบังเอิญนั้น ขึ้นอยู่กับการถูกค้นพบโดยคุณ

    ใครก็ได้สามารถฝันถึงสร้อยคอรูปแมลงเต่าทอง เต่าทองสามารถบินชนกระจกหน้าต่างของนักบำบัดจิตได้ทุกวัน แต่ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนๆ เดียวกันในเวลาเดียวกัน นั่นแหล่ะคือความบังเอิญแบบ synchronicity เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่เกี่ยวเนื่องกันเลย

    ตัวอย่างของเหตุบังเอิญ Synchronicity

    Synchronicity มักเกิดขึ้นในช่วงที่เราเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ แปลว่าอาจเป็นช่วงโศกเศร้า เผชิญความตาย ตกอยู่ในห้วงความรัก หรืออารมณ์ที่ท่วมท้นแบบอื่นๆ นั่นแหล่ะเป็นช่วงเวลาที่มักจะได้เห็นเรื่องบังเอิญแบบนี้

    ตัวอย่างของเรื่องความบังเอิญ ก็เช่น นาฬิกาของผู้หญิงคนหนึ่งหยุดเดินซะเฉยๆ อย่างไรก็ตามเธอได้รับทราบว่าพ่อของเธอเสียชีวิตในเวลานั้นพอดี และเมื่อเธอกลับมาที่บ้าน นาฬิกาทุกเรือนในบ้านก็ได้หยุดเดินในเวลาเดียวกัน

    แล้วจะนำมาอธิบายเหตุการณ์ในชีวิตคุณได้อย่างไร

    มีเวลาในช่วงไหนในชีวิตคุณบ้าง ที่คุณมองเห็นสัญญาณ สี หรือบุคคลซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณเคยรู้สึกไหมว่าเรื่องบังเอิญไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแต่มีบางอย่างมากกว่านั้น ถ้าใช่ นั่นอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ synchronicity ก็ได้

    คาร์ล จุงโฟกัสเรื่องจิตไร้สำนึกและสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ถ้าคุณรู้สึกว่ามีบางอย่างเชื่อมโยงกัน แต่เหตุและผลบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะผิด บางทีมันอาจจะเป็นความบังเอิญที่มีความหมายก็ได้ ถ้ามีเหตุการณ์สองเหตุการณ์ในชีวิตที่ดูเหมือนว่ามันจะไปด้วยกัน นั่นแหล่ะความบังเอิญ แบบ synchronicity

    ความบังเอิญแบบ synchronicity แสดงออกอย่างไร

    ปัญหาเดียวของความบังเอิญก็คือ นักจิตบำบัดไม่สามารถอธิบายมันได้ คาร์ล จุง เองก็อธิบายมันไม่ได้เพราะมันเป็นคำเรียกของสิ่งที่อธิบายไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ความบังเอิญมักแสดงออกมาในบางลักษณะเช่น

    • เป็นเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้สองเหตุการณ์
    • มองเห็นสีหรือสัญญาณเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    • ความบังเอิญเกิดขึ้นเมื่อกำลังมีอารมณ์ที่ท่วมท้น
    • เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรือต่อเนื่องยาวนาน
    แต่ทำไมคุณไม่เคยเห็นความบังเอิญแบบ synchronicity มาก่อนเลย

    ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อน อาจเป็นเพราะคุณไม่เคยรู้จักมันมาก่อน คนมากมายที่เจอเหตุการณ์บังเอิญอันทรงความหมายนี้ ส่วนมากมักอยู่ในจุดที่ชีวิตของพวกเขากำลังต้องตัดสินใจครั้งใหญ่หรือมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ความบังเอิญไม่ได้มองข้ามคุณ แต่อย่างไรก็ตาม การประติดประต่อเรื่องราวก็เป็นเรื่องยาก หากคุณไม่ได้มองหามัน

    แล้วจะมองหาเรื่องบังเอิญ synchronicity ในชีวิตเราได้อย่างไร

    ยิ่งคุณมองหาจุดเชื่อมโยงระหว่างเรื่องบังเอิญได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะมองเห็น synchronicity ได้มากเท่านั้น กุญแจสำคัญนั้นง่ายมาก สิ่งที่จำเป็นจะต้องมีก็คือสติ เพราะบ่อยครั้งที่เราติดโทรศัพท์มือถือหรือเร่งรีบในชีวิต ถ้าเรารู้จักทำชีวิตให้ช้าลงและมีสติอยู่กับปัจจุบัน เรื่องบังเอิญก็จะเริ่มเกิดขึ้น และข้างล่างนี้คือการฝึกสติ เพื่อที่จะได้เห็นเรื่องบังเอิญแบบ synchronicity มากขึ้น

    • ใช้เวลาในการฝึกสมาธิ
    • เมื่อเดินหรือขับรถ จงวางมือถือและใช้ชีวิตอย่างมีสติ
    • มองหาจุดเชื่อมโยงในเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตคุณ
    • ประมวลอารมณ์ต่างๆ และมองดูว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นเมื่อคุณร้อนใจหรือตื่นเต้น
    • เมื่อเกิดเหตุการณ์บังเอิญ อย่ามองข้ามมันเร็วนัก
    10 ความบังเอิญแบบ synchronicity ที่คุณอาจเคยเจอมาก่อน

    ความจริงก็คือ พวกเราเคยเจอความบังเอิญมาก่อน แต่เราอาจจะไม่ได้ฉุกใจคิดในตอนนั้น มันเป็นเรื่องปกติมาก นี่คือ 10 สัญญาณที่คุณเคยพบเจอความบังเอิญมาก่อน

    1. ตัวเลขซ้ำๆ

    คุณเคยมองไปที่นาฬิกาแล้วเห็นเลข 11:11 บ้างไหม? ทำไมเวลาที่เราชำเลืองมองนาฬิกา เราจะมองเห็นตัวเลขซ้ำๆ อยู่บ่อยครั้ง นั่นก็เพราะเหตุบังเอิญแบบ synchronicity สัญญาณของความบังเอิญอย่างหนึ่งคือการเห็นตัวเลขซ้ำๆ

    2. การถูกจังหวะเวลา (Perfect timing)

    เหมือนตอนที่คุณติดไฟแดงแล้วไม่เจออุบัติเหตุ หรือตอนที่คุณสายแล้วแต่ดูเหมือนว่าคุณจะเจอไฟเขียวตลอดทางทำให้ไปได้ทันเวลา ไม่ว่าคุณจะไปที่ใดได้ทันเวลา หรือทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างถูกต้องอย่างที่มันควรจะเป็น การเจอเวลาที่ถูกจังหวะนี้คือความบังเอิญแบบ synchronicity

    3. ข้อความจรรโลงใจ

    คุณเคยรู้สึกเศร้ากับตัวเองแล้วทันใดนั้นก็มีใครบางคนเข้ามาพูดบางอย่างให้คุณยิ้มได้ไหม? ข้อความอันจรรโลงใจนั้นล่ะคือ ความบังเอิญแบบ synchronicity

    4. การได้สิ่งที่ต้องการตรงเป๊ะ

    คุณเคยอยากได้อะไรใจจะขาดแต่คุณไม่ได้บอกใครไหม? แล้วมีใครสักคนนำมาให้คุณ ถ้ามีใครบางคนมาให้บางอย่างกับคุณในแบบที่คุณกำลังต้องการโดยที่ไม่ได้เอ่ยปาก นั่นแหล่ะ ความบังเอิญแบบ synchronicity.

    5. บทสนทนาจากคนแปลกหน้า

    เมื่อคุณกำลังคิดถึงสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตคุณ มันก็น่าแปลกที่คุณจะได้ยินคนแปลกหน้ากำลังคุยอยู่ในเรื่องเดียวกัน และมันก็เกิดขึ้นตลอดเวลา ถ้ามันเกิดขึ้น มันคือสัญญาณของความบังเอิญแบบ synchronicity และเป็นข้อความถึงคุณ

    6. ชีวิตของคุณที่เล่นอยู่ตรงหน้า

    หนังหรือรายการโทรทัศน์ก็เป็นสัญญาณของความบังเอิญแบบ synchronicity ได้ คุณเคยดูรายการทีวีแล้วมันดูเหมือนกับชีวิตของคุณไหม? ถ้าใช่ นั้นอาจเป็นสัญญาณจากความบังเอิญแบบ synchronicity

    7. เห็นสิ่งที่กำลังมองหา

    พวกเราทุกคนต่างมีปัญหา แต่เมื่อมีบางอย่างมาหล่นที่หน้าตักเพื่อช่วยแก้ปัญหา นั่นแหล่ะคือความบังเอิญแบบ synchronicity บางทีคุณอาจกำลังมองหาบางอย่างเพื่อเอามาทำงานง่ายๆ เช่น เอามาล้างห้องน้ำให้สะอาดขึ้น จากนั้นในระหว่างที่คุณเล่นโซเชียลมีเดีย คุณก็เห็นสิ่งที่คุณกำลังมองหาพอดี

    8. คนช่วยเหลือ

    คุณเคยรู้สึกท่วมท้นไปด้วยอารมณ์จนกระทั่งวินาทีที่คุณจะยอมแพ้ กลับมีคนแปลกหน้ามาช่วยคุณบ้างไหม คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยและทำในสิ่งที่คุณต้องการ คือหนึ่งในความบังเอิญที่ดีที่สุด พวกเขาไม่มีทางรู้หรอกว่าคุณต้องการพวกเขาในเวลานั้น แต่พวกเขาก็อยู่ที่นั่น

    9. การพบเจอคนที่คุณกำลังคิดถึง

    เคยนั่งคิดถึงเพื่อนไหม? ใช่ คุณเคย แล้วคุณเคยคิดถึงพวกเขาและเจอพวกเขาในอีกไม่กี่นาทีต่อมาไหม? ความบังเอิญเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการเชื่อมโยงที่ทรงคุณค่า ราวกับว่าพวกเขาโผล่มาต่อหน้าต่อตา นั่นแหล่ะคือ ความบังเอิญแบบ synchronicity.

    10. บทเพลง

    เพลงอาจเป็นสัญญาณที่ยิ่งใหญ่ของความบังเอิญ คุณเคยฮัมเพลงแล้วเปิดวิทยุ เพื่อที่จะพบว่าเขากำลังเล่นเพลงเดียวกันอยู่ไหม นี่แหล่ะสัญญาณของความบังเอิญแบบ synchronicity.

    ที่มา https://www.facebook.com/thepisces11
     

แชร์หน้านี้

Loading...