คำทำนายภัยพิบัติที่แม่นยำ และการปกป้องภัยพิบัติ ของพระมหาโพธิสัตว์ยุคกึ่งพุทธกาล

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย ลุงมหา, 15 กันยายน 2011.

  1. ไฟฉาย

    ไฟฉาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +112
    ตามอ่านมานาน ไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดไม่ได้จริงๆ แต่ก็ดีครับได้ความรู้จากอาจารย์หลายท่าน ถ้าไม่มีกระทู้แบบนี้ก็ยังคงไม่รู้ต่อไป ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ
     
  2. bordintu

    bordintu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    673
    ค่าพลัง:
    +951

    จะบอกให้มั้ยว่าทำไมเค้าถึงมีโพสน์กันแบบนั้นลุงมาจะได้เข้าใจนะ
    1. อะไรที่ทำให้ลุงมหาเชื่อได้ขนาดนั้นว่าอาจารย์พูดอะไรก็เชื่อหมดทุกอย่าง นั่นน่ะแหละที่สงสัยกัน พูดว่าเป็น.................ก็แปลว่าเป็นจริงๆงั้นหรือ พูดว่าเห็นมากกว่าพระอรหันต์ มีทศพลญาณก็เชื่อเลยงั้นหรือ เอาอะไรมาพิสูจน์ คนเค้าอยากรู็กันตรงนี้ ถ้าหากอ้างว่าอาจารย์บอก ก็จะมีคนถามว่าก็อาจารย์ท่านบอกแล้วมันยังไงล่ะ มันต้องใช่เหรอ หรือมันมีอะไรที่พิสูจน์ได้เรื่องลงมาเกิด เรื่องมีทศพลญาณ แค่นั้นล่ะครับที่สงสัยกัน

    ถ้ามีจริงก็แสดงให้เห็นก็เท่านั้นเอง แสดงในสิ่งที่ยังไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหนทำได้ เพราะสูงกว่าเหนือกว่าต้องทำได้มากกว่า ดีกว่า คนถึงจะเชื่อและศรัทธาครับ

    2. คิดเองหรือมีคนบอกว่าท่านต่างกันประมาณ 9 กัป เอามาจากไหนอยากรู็แค่นั้น ถ้าคิดเองเอาหลักฐานที่ไหนมาคิด ถ้ามีคนบอกเค้าก็อ้างอิงจากอะไรแค่นั้นล่ะครับ

    สุดท้ายอย่าไปเที่ยวว่าคนอื่นเค้าที่เค้าไม่เชื่อ เพราะพระพุทธเจ้าสอนเรื่องหลัก กาลามสูตร 10 อย่าง ก่อนเชื่ออะไรใครรวมถึงตถาคตเอง ควรพิสูจน์ก่อน เข้าใจรึยังครับ ถ้าทำให้คนอื่นเข้าใจได้มันก็จบ มีทศพลญาณทำได้อยู๋แล้ว พระที่ท่านไม่มีทศพลญาณท่านยังมีบารมี มีอภิญญาที่ด้อยกว่าทศพลญาณ แต่ก็ยังสามารถแสดงให้คนเชื่อและศรัทธาได้โดยไม่อวดอุตริจนเกินงาม

    แล้วนี่เล่นอ้างขนาดนั้นว่าท่านเป็น.............และมีทศพลญาณ สิ่งที่ทุกคนที่ไ่ม่เห็นด้วยต้องการคือ การพิสูจน์ออกมาว่าจริง คนอื่นเห็นได้ สัมผัสได้ ก็เท่านั้นล่ะครับ เช่นเดินบนน้ำสิ ย่นระยะทางสิ หยิบของแบบไม่มีหมดออกมาจากย่ามสิ ฝนตกแต่ไม่เปียกสิ อ่านใจคนอื่นๆได้แล้วพูดออกมาสิ หรือทำนายล่วงหน้าแบบละเอียดทั้งวัน เวลา สถานที่ เป็นการเฉพาะเจาะจงในระยะเวลาอันใกล้เพ้อสามารถพิสูจน์ได้ การพิสูจน์ไม่ใช่ให้เค้าไปฟังไปดูคลิปที่ท่านพูดเพราะแค่คำพูดใครก็พูดได้ครับ จบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2011
  3. ธีรยุทธ

    ธีรยุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +750
    เรียน คุณลุงมหา และทุกท่านครับ

    ก่อนอื่นต้องขอ อนุโมทนากับทุกท่านด้วยนะครับ ท่านทั้งหลายต่างก็มี ภูมิรู้ ภูมิธรรม ที่ผมได้อ่านและติดตามแล้ว อดที่จะชื่นชมและดีใจอย่างบอกไม่ถูก ใจชื่นขึ้นมา เมื่อได้เห็น กองทัพธรรมทั้งหลาย ต่างก็ได้แสดงความรู้ความสามารถ ทางธรรมได้เหมือนกับว่า พุทธศาสนา พร้อมที่จะประกาศให้ชาวโลกได้รู้อย่างเต็มกำลังครับ

    คุณลุงมหาครับ ขอแสดงความเห็นส่วนตัวนะครับ ในแต่ละกัป ก็จะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมา ถือว่าน้อยมาก 1 พระองค์บ้าง2 พระองค์บ้าง 3 พระองค์บ้าง 5 พระองค์บ้าง แต่ว่า สาวกของพระองค์นั้น มีมากมายนับไม่ถ้วน ฉันใดก็ฉันนั้นครับ สายใยบารมี ที่ได้อธิฐานทำร่วมกันมา น้อยคนที่จะเข้าใจ บางทีธรรมะ ตรงไปตรงมา ก็ถูกมองว่าเป็นอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง สายใยแห่งพระโพธิสัตว์ ย่อมมีน้อยกว่า สายใยแห่งพระสาวก ที่ได้เคยอธิฐานไว้แต่ปางก่อนครับ ผมว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้หลายท่านทั้งหลายเข้าใจ ถึงเหตุที่กำลังเกิดอยู่ ณ ตอนนี้ครับ หลังจากเหตุเกิด พอผลตามมา คงกระจ่างในอีกไม่ช้าครับ.
    ก็ยังติดตาม อ่านกระทู้ของลุง และท่านทั้งหลายอยู่เสมอครับ
    ดีบ้าง ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาครับ
    ธีรยุทธ
     
  4. ธีรยุทธ

    ธีรยุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +750
  5. ณ เขาควง

    ณ เขาควง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +304
    มีโอกาส ต้องไปร่วมทำบุญด้วยอย่างแน่นอน แต่อย่าใช้วิธีการชวนเหมือนลุงมหา นะครับ ชวนแบบนี้ ผมไม่ทำบุญด้วยคนหนึ่ง แต่บอกบุญลักษณะอย่างนี้ ยังน่าทำบุญกว่ามากมายครับ
     
  6. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    ขออธิบายขยายความครับ

    ขออนุญาตครับ
    จริงครับที่ท่านโจ้ เขียนไว้ถูกต้องแล้วครับ
    แต่ที่ท่านอาจารย์ทิพากร ท่านว่าไว้นั้นนานมาแล้ว
    ทั้งท่านผู้ถามก็ไม่ได้อยู่ในเขตของพิ้นที่ภาคใต้ด้วย

    และเมื่อการสร้างพระใหญ่ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทำให้การป้องกันแก้ไขภัยพิบัติ ทำไม่ได้เต็มที่
    ก็เลยลดระดับการแก้ไขป้องกันลงมาโดย
    ท่านอาจารย์ทิพากร ท่านช่วยแก้ไขให้ตามกำลังบุญบารมีของท่าน
    และญาติธรรมที่ร่วมทำบุญหรือร่วมอนุโมทนาบุญ แก้ไขเป็นกลุ่มเป็นบุคคล

    เมื่อการสร้างพระใหญ่ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น ท่านอาจารย์ทิพากร ก็ได้เมตตาลงไปแก้ไข ภัยที่ภาคใต้ให้เดือนละครั้ง

    ติดต่อกันมาหลายเดือนแล้ว ตามตารางเปิดบุญที่ให้ไว้ในเว็บพระใหญ่ชัยภูมิ

    ขออธิบายขยายความเรื่องการพยากรณ์ภัยพิบัติ หรือ การดูเหตุการณ์ในอนาคตของท่านอาจารย์ทิพากร

    ส่วนมากท่านอาจารย์จะเข้าไปที่จิตของผู้ถาม แล้วย้อนดูอดีต อนาคตที่จิตของผู้นั้น
    ท่านก็จะมองเห็นอดีต อนาคต รวมถึงภัยพิบัติที่จะเกิดจากตรงนั้น
    ซึ่งจะดูได้ละเอียด แน่นอน ชัดเจนที่สุด
    เมื่อผู้ถามไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ไม่ได้อยู่ในภาคใต้
    ท่านอาจารย์ก็จะบอกรวมๆไว้ก่อน

    อีกวิธีหนึ่งก็คือ การที่ท่านไปถามเหล่าทวยเทพเทวดาในเขตนั้นๆ
    ซึ่งท่านต้องส่งจิตไปถาม

    รวมถึงวิธีที่จะแก้ไขภัยพิบัติ แบบบุคคล หรือแบบหมู่คณะด้วย หรือของทั้งประเทศไทยด้วย

    การที่ท่านบอกออกไปแล้วไม่ตรงตามนั้น เพราะเหตุที่เกิดทีหลังมีเหตุการณ์อื่นมาแทรก ทำให้ผลที่เกิดจริงเปลี่ยนไป

    ดังเช่น การสร้างพระใหญ่ล่าช้ากว่ากำหนด บวกกับ ญาติธรรมทางภาคใต้ร่วมทำบุญด้วยจำนวนผู้ร่วมบุญน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

    เพราะการจะแก้ไขภัยพิบัตินั้น ต้องใช้กำลังของบุญกุศลของคนหมู่มาก
    ไปขออโหสิกรรม จากเจ้ากรรมนายเวร ให้ลดหรือให้อโหสิกรรมให้
    กลุ่มของเจ้ากรรมนายเวร ที่ลดหรืออโหสิกรรมให้ ต้องมีกำลังมากพอ
    ที่จะไปต้านไปลดกำลังของกลุ่มเจ้ากรรมนายเวรกลุ่มที่ไม่ได้รับการอโหสิกรรมด้วย

    กลุ่มพลังบุญกุศล ต้องมีพลังมากพอที่จะไปต้านพลังของกลุ่มที่จองเวรจองกรรม

    เมื่อพลังของกลุ่มจองเวรจองกรรมมีมากเท่าใด ภัยพิบัติที่เกิดก็จะรุนแรงตามกำลังนั้น

    เมื่อพลังบุญกุศลมีมากเท่าใด การป้องกันแก้ไข ภัยพิบัติให้ลดลงไป จนถึงไม่เกิดภัยพิบัติเลย ก็เป็นไปตามพลังบุญกุศลนั้น
    ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอาศัยพลังบุญบารมีของพระพุทธองค์ หรือ อย่างต่ำสุดก็พระโพธิ์สัตว์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จึงจะทำได้

    เมื่อเริ่มสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ ก็มีการวางศิลาฤกษ์ที่วัดสระหงษ์เมื่อวันมาฆะบูชา ปี พ.ศ.2552

    เมื่อมีการเปลี่ยนใจไม่ให้ใช้พื้นที่ในการสร้าง
    ท่านอาจารย์ทิพากร ก็เลยต้องมาทอดผ้าป่าซื้อที่ดินเอง ในวันที่ 26 ธันวาคม 2552
    ซึ่งก็ล่าช้าออกไปอีก ประมาณ 9 เดือน

    ท่านอาจารย์ได้บอกไว้ว่า ถ้าสร้างเสาร์ฐานราก ได้ครบ 250 ต้น ภายในเดือนเมษายน 2553 ภัยพิบัติจึงจะไม่เกิด
    และบ้านเมื่องจึงจะเป็นที่ๆน่าอยู่ที่สุดในโลก

    เมื่อการสร้างเสาร์ฐานรากไม่ทันดังกล่าว ภัยพิบัติก็ยังเกิดขึ้นได้

    เมื่อชาวพุทธส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า ท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ คือ พระโพธิ์สัตว์ยุคกึ่งพุทธกาล

    เมื่อชาวพุทธส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า การสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ เป็นการสร้างบุญสร้างกุศลวิธีเดียว ที่จะสามารถ แผ่กุศลผลบุญ
    ให้เหล่าเจ้ากรรมนายเวร ลดโทษให้ อโหสิกรรมให้

    เมื่อพลังของกุศลผลบุญน้อย พลังของการจองเวรจองกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย มีพลังมากกว่า

    จึงได้เกิดภัยพิบัติใหญ่ๆขึ้นได้

    ตัวอย่างเช่น ภัยพิบัติความไม่สงบในภาคใต้ หรือน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่เชียงใหม่ยันกรุงเทพ

    การทำบุญของชาวพุทธแบบเดิมๆนั้น ไม่สามารถต้าน ลดภัยพิบัติได้
    เพราะกำลังของพระอริยะเจ้าใดๆ
    ไม่เพียงพอที่จะมารู้มาเห็นมาต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวร
    มาต่อรองกับ วิญญาณเร่ร่อนทั้งหลาย เป็นกลุ่มใหญ่ๆได้

    กำลังของพระอริยะเจ้า ไม่เพียงพอที่จะมารู้มาเห็น
    มาขอความร่วมมือจากเทพเจ้าเหล่าเทวาผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายให้ร่วมมือช่วยเหลือได้

    แม้แต่พระอริยเจ้าทั้งหลายในเมืองอยุธยา ก็ยังไม่สามารถ ติดต่อกับ บูรพกษัตริย์ไทยของอยุธยาได้

    ท่านผู้ใดมีบารมีมากพอ ก็ขอให้ลองถามองค์สมเด็จพระนเรศวรดูว่า ทำไมน้ำจึงท่วมใหญ่ในปีนี้

    ขอสรุปว่าไม่ว่าคำทำนายใดๆ ก็สามารแปลเปลี่ยนได้ ตามเหตุการณ์ที่แทรกเข้ามา ก่อนที่เหตุการณ์จริงจะเกิดขึ้น
    ซึ่งท่านอาจารย์ทิพากรก็ให้สัมภาษณ์ ไว้แล้วในหนังสือเล่มที่ท่านเอ่ยถึง

    ใครจะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่บุญวาสนาบารมีของแต่ละท่านเอง
    ขอให้ดูเอาพิจารนาเอานะครับ

    ส่วนหลายๆท่านที่เพียรพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของผมเอง
    และที่ลามปามไปถึงท่านอาจารย์ทิพากรนั้น

    ถ้าท่านอยากทำอะไรมันก็เรื่องของท่าน

    ส่วนท่านที่เพียรพยายามตามหา พญาธรรมมิกราชนั้น
    แม้ว่าผมยังไม่ได้เจอท่าน แต่ศิษย์ผู้น้องของผมก็ได้เจอท่านแล้ว
    ตามที่เขาเล่าบอกผมไว้

    ท่านผู้นี้ หายใจเข้า หายใจออก มีแต่วิธีแก้ทุกข์เข็ญของชาวประชาผู้ยากไร้
    ชีวิตของท่านยิ่งกว่านิยายใดๆที่เราๆท่านๆเคยได้อ่านมา

    หลักการของท่านคือ

    ให้ผู้ด้อยโอกาสมีสิทธิ์เข้าถึงเงินทุน งดดอกเบี้ยในการกู้ระยะต้นๆ กู้ดอกเบี้ยต่ำ ขยายการใช้คืนให้ยาวพอ
    พิจารนาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างเดียว โดยไม่สนใจสถานะทางการเงินใดๆ
    ท่านบอกว่าให้ก็คือให้ โดยไม่สนใจเบล็คลีสใดๆ

    ทำการเกษตร แบบสหกรณ์ แบบการเกษตรแผนใหม่ พื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่ ให้เกษตกรมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ทุกรูปแบบไม่มีขีดจำกัด

    รวบรวมคนดีมีศีลธรรม(เทพในร่างมนุษย์) เปิดโอกาสให้ได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ มาร่วมงาน

    ปัจจุบันท่านก็มีเงินมากกว่า มหาเศรษฐี อันดับต้นๆของไทยหลายๆท่านรวมกัน ท่านยังมีโปรเจ็คงานในต่างประเทศ ที่พร้อมจะทำเงินอีกมาก

    ที่เคยอ่านเจอในเว็บนี้ ก็มีส่วนถูกที่ว่า
    ท่านเป็นคนไทย ที่เติบโตในต่างประเทศ หาเงินมากมายมหาศาลมาจากต่างประเทศ

    แต่ที่น่าแปลกใจ น่าสนใจ น่าตื่นตะลึง กลับเป็นคู่ชีวิตของท่าน
    สตรีผู้เมตตาปรานีท่านนี้ ถึงกับ รู้วิธี

    หลบ เลี่ยง แก้ กัน พร้อมทั้งการปรับสมดุลย์ สรรพวิชาทั้งหลายอย่างน่าอัศจรรย์

    ศิษย์น้องของผม ผู้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ครูบาอาจารย์มากมาย ทั้งฝายธรรมยุต ฝ่ายมหานิกาย หมอธรรม ปู่ฤๅษีน้อย ปู่ฤๅษีใหญ่ รวมถึงผู้มีฤทธิ์สายพญานาคทั้งหลาย ไม่เว้นแม้แต่หมอโบราณต่อกระดูกชั้นสูง

    ศิษย์น้องของผมท่านนี้ แม้แต่หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต หรือ ครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ
    ต่างบ่นต่างระอา ว่าถ้าไม่มีเยื่อใย ตัดขาดไปนานแล้ว

    ล่าสุดไปฝากตัวเป็นศิษย์ภิกษุชราชาวเขมร
    แล้วท่านฝากลูกศิษย์มาบอกว่า ท่านรับเป็นศิษย์คนที่สามของท่านแล้ว
    วิชาของท่านไม่ต้องเรียน ไม่ต้องเขียน ไม่ต้องอ่านท่องจำใดๆ
    โหลดโดยตรงแบบจิตถึงจิตกันเลย

    ขณะที่ศิษย์น้องของผมท่านนี้ วิชาตีกัน จนสับสนวุ่นวาย
    ก็มาเล่าให้ผมฟังว่า แก้ได้แล้ว บอกว่า สตรีท่านนี้แก้ให้

    เมื่อผมซักไซ้ไล่เรียงถามดู ผมถึงกับตลึงจังงัง

    จะไม่ให้ผมตลึงจังงังได้อย่างไร ก็ศิษย์น้องของผมบอกว่า
    ท่านบอกวิธีแก้ไขให้แล้วให้ไปแก้เอาเอง

    สตรีผู้เมตตาการุณท่านนี้ เหตุใด ท่านจึงรู้เคล็ดลับของสรรพวิชาทั้งหลาย
    ที่แม้แต่ผม ก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

    เมื่อท่านทั้งสองหาศิษย์น้องของผมจนเจอ การที่ผมจะเจอท่าน ก็ไม่ยากแล้ว

    ท้ายนี้ก็ขอบอกข่าวมงคลแก่ศิษย์ฝ่ายธรรมยุติทั้งหลายได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วย

    เมื่อหลายปีก่อน ก็ประมาณสิบปีได้
    ขณะที่กำลังพูดโทรศัพท์อยู่กับครูบาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุติ ที่ผมสนิทมากที่สุดท่านหนึ่ง
    ท่านก็บอกว่ามีครูบาอาจารย์จะพูดด้วย พอผมรับสายท่านก็บอกตรงๆเลยว่า

    คอมพิวเตอร์ที่ใช้ออกอากาศ ที่สถานีวิทยุเสียงธรรมที่วัดป่าบ้านตาดเสีย
    ส่งไปซ่อม ช่างบอกว่า ซ่อมจนเมนบอร์ดเปื่อยแล้ว ซ่อมอีกไม่ใหว
    ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่สถานเดียว

    ผมก็เลยกราบเรียนว่า กำลังขับรถอยู่ อีกไม่เกินห้านาที จะถึงตู้ เอทีเอ็ม จะรีบโอนปัจจัยไปให้
    ท่านก็เมตตาบอกว่า โอนแล้วก็ไม่ต้องโทรมาบอก ไม่อยากรบกวนมาก

    เมื่อผมโอนเงินไปแล้ว ค่าซื้อเมนบอร์ดใหม่
    จึงขอบอกข่าวแก่ศิษย์ธรรมยุติทั้งหลาย ร่วมถึงท่านที่มีจิตเป็นบุญเป็นกุศลทุกๆท่าน
    ได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วย จะได้มีปัญญา จะได้เดินปัญญาเป็นเหมือนผมบ้าง
    เมื่ออยากรู้อะไรจะได้พิจารนาเอาเหมือนผมบ้าง

    จะได้ไม่ต้องไปคาดไปคั้น ไปถามใครเขา เดี๋ยวคนเขาจะรู้ว่ามีปัญญาอยู่เท่าไร

    ขออนุโมทนาบุญร่วมกับผู้มีจิตเป็นบุญเป็นกุศลทุกๆท่าน

    ขออนุโมทนา

    ขอบพระคุณครับ

    ลุงมหา

     
  7. ยัย fame

    ยัย fame เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2011
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +104
    อยากร่วมบริจาคสัก 10 ล้านดอง
     
  8. ยัย fame

    ยัย fame เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2011
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +104
    เป็นเงินเวียดนามนะ เก็บไว้ไม่ได้ใช้........
     
  9. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    ๑.ความเข้าใจในธรรม ๒.การตำหนิ ติเตียนผู้อื่น ๓.การแสดงความคิดเห็นต่อต้านผู้ทำความดี

    ขออนุญาตครับ

    วันนี้ขอเล่าเรื่องสามเรื่อง คือ

    ๑.ความเข้าใจในธรรม
    ๒.การตำหนิ ติเตียนผู้อื่น
    ๓.การแสดงความคิดเห็นต่อต้านผู้ทำความดี

    ๑.ความเข้าใจในธรรม
    สมาชิกส่วนมากในเว็บนี้มักจะชื่นชม เพื่อนสมาชิกที่นำเสนอ ธรรมของครูบาอาจารย์บ้าง ธรรมที่ตนรวบรวมเรียบเรียงตามความเข้าใจของตนบ้าง
    หรือไม่ก็ชื่นชอบ ท่านที่ตอบปัญหาธรรมที่เข้าท่า เข้าทางบ้าง ท่านที่ตอบปัญหาธรรมที่เข้ากับจริตของผู้ถาม เข้ากับจริตของผู้อ่านบ้าง

    ธรรมของท่านผู้เขียนก็ดี ธรรมของผู้ตอบก็ดี ธรรมของผู้ถามก็ดี ธรรมของผู้อ่านก็ดี ต่างก็พากันเข้าใจว่า ตนเป็นผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรมสูงพอ มากพอ
    ที่จะมาเขียน มาถาม มาตอบ แต่ละท่านก็มักจะปกปิด ภูมิรู้ ภูมิธรรมของตน ไม่อยากให้ใครรับรู้
    ว่าตนนั้น ปฏิบัติตามแนวทางของครูบาอาจารย์สายไหน มีครูบาอาจารย์ท่านใดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
    ตนปฏิบัติไปตามลำดับขั้นตอนอย่างไร ตนปฏิบัติไปถึงไหน ตนปฏิบัติผ่านอะไรมาบ้าง ครูบาอาจารย์ของตนรับรองว่าอย่างไร
    ตนปฏิบัติสมาธิชั้นสูงครบถ้วนหรือยัง ตนมีความสนใจในการปฏิบัติไปในแนวไหน สายปัญญา สายฤทธิ์ หรือทั้งสองสายรวมกัน
    ตนปฏิบัติแบบครองศีลละเอียดครบถ้วนตลอดเวลา หรือตนปฏิบัติแบบครองศีลละเอียดเฉพาะเวลาปฏิบัติเท่านั้น
    ตนผ่าน หรือ เคยผ่าน การรักษาจิตตลอดเวลาที่ร่างกายยังตื่นอยู่หรือยัง ถ้าผ่านแล้วท่านปฏิบัติท่านผ่านแบบไหน
    แบบค่อยๆระวังรักษาจิตทีละเล็ก ที่ละน้อย เริ่มตั้งแต่ครั้งละนาที ไปเรื่อยๆ จนมีสติระวังรักษาจิตอยู่ตลอดเวลาที่ยังตื่นอยู่ ยกเว้นตอนนอนหลับ ได้หรือยัง
    ถ้าได้แล้วผ่านแล้ว ท่านใช้เวลาในการปฏิบัติตั้งแต่เริ่มต้นการระวังรักษาจิต จนมีสติครบถ้วนสมบูรณ์เป็นระยะเวลานานเท่าไร กี่ปี กี่เดือน

    หรือท่านเป็นแบบ ผู้ปฏิบัติง่าย รู้เร็ว ผ่านขั้นตอนนี้ โดยไม่ได้ลำบากอะไรเลย แบบจิตสว่างโพล่งขึ้นมา แล้วรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาไปเลยโดยไม่ต้องไปสะสมทีละเล็กทีละน้อย

    ท่านเดินปัญญาเป็นหรือยัง ท่านเริ่มแบบไหน ท่านทำได้อย่างไร

    อย่างนี้ไม่ค่อยมีท่านผู้ใดอยากจะบอกผู้อื่น มักจะอ้างว่าเดี๋ยวเขาจะว่าเราโอ้อวด
    ก็เลยเกิดมีท่านผู้เก่งกล้าสามารถ เที่ยวไปตอบปัญหาธรรมไปทั่ว โดยหลงตนว่าเป็นพวกบิ๊กเนม เป็นพวกขาใหญ่ในเว็บ

    แม้ว่าคำตอบนั้นๆจะไปลอก ไปจำคำตอบของครูบาอาจารย์มา แต่เนื่องจากตนไม่ได้ปฏิบัติผ่านภูมิรู้ ภูมิธรรมเหล่านั้นมา
    คำตอบเลยเบาโหวง หารายละเอียด หาความหนักแน่น หาเหตุ หาผลไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นแค่ เขาเล่าว่า เขาบอกว่า

    เมื่อตัวเองไม่ได้ไปรู้ไปเห็นเอง ก็เลยบอกเหตุ บอกผล บอกรายละเอียดปลีกย่อยอะไรไม่ได้

    เหมือนทีท่านอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโณ ท่านถามกลับอยู่บ่อยๆว่า

    “แล้วมันทำอย่างไรละ”

    เหมือนเพื่อนร่วมรุ่นของผมบางท่าน เคยเรียนเก่งมากๆ สอบได้อันดับต้นๆมาตลอด
    แต่เวลาออกไปทำงานกลับไม่ประสพผลสำเร็จเท่าที่ควรจะเป็น เมื่อผมถามเหตุถามผล เขาก็ตอบตรงๆว่า ตอนเรียนนั้นใช้แต่ความจำอย่างเดียว

    แต่เวลาทำงานกลับต้องใช้ทั้งความคิดใช้ทั้งปัญญาเป็นหลัก เขาคุ้นเคยแต่ตอบปัญหา ตอบโจทย์
    เลยตั้งปัญหา ตั้งโจทย์ไม่เป็น ก็เลยพลอยคิดไม่เป็น คิดไม่ออก เลยแก้ปัญหาไม่ได้

    โดยเฉพาะปัญหาที่ยากๆ ยากในระดับที่ต้องเอาคำตอบในจิต ในใจออกมา
    เมื่อคำตอบมันไม่ออกมา ก็เลยไม่รู้ หาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้

    เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งท่านผู้เขียน ท่านผู้อ่าน ตลอดจนท่านผู้ตอบ ก็เลยพากันหลงใหลได้ปลื้มว่า
    เขียนแล้ว มีคนอ่าน เขียนแล้วมีคนตอบ เขียนแล้วมีคนติดตาม เขียนแล้วมีคนชื่นชมยินดี
    ก็เลยพากันเขียน พากันถาม พากันตอบ พากันติดตาม ชื่นชมยินดี ยกยอกันไปมา

    โดยลืมพิจารณา ธรรมที่สูงขึ้นไปที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สอนว่า

    “ธรรมใดๆ ที่ได้จากการอ่านก็ดี ที่ได้จากการฟังก็ดี
    เป็นธรรมที่รู้มาจากกระดาษ รู้มาจากสัญญาความจำ
    ล้วนเป็นสิ่งโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น”

    “ถ้าธรรม เหล่านั้น ไม่ได้รู้มาจากการปฏิบัติ”

    (ท่านอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโณ)

    ทำไมท่านอาจารย์ปู่ท่านจึงบอก ท่านจึงสอนออกมาอย่างนี้
    ก็เพราะว่า การที่ธรรมจะเข้าไปในจิตในใจ ของผู้คนที่รู้ธรรม เห็นธรรมได้นั้น
    ท่านนั้นๆต้องผ่านการปฏิบัติอย่างเอาจริง เอาจัง ต่อเนื่อง เสม่ำเสมอ มาเป็นเวลานานพอสมควร
    จนท่านผู้นั้น ผ่านสมาธิชั้นสูง แล้วเข้าไปในปัญญาขั้นต้น โน่นละครับ จึงจะรู้ธรรม เห็นธรรมได้

    เพราะฉะนั้น ท่านที่เข้าใจว่า ตนเองรู้ธรรม เห็นธรรม ที่ไม่ได้ปฏิบัติมา หรือที่ท่านปฏิบัติมายังไม่ถึงระดับ ปัญญาขั้นต้น

    ก็เป็นแค่ ธรรมระดับ ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิเท่านั้น

    เมื่อไรที่ท่านเขียน ท่านตอบ ท่านอ่าน ธรรมในระดับที่สูงกว่านั้น ก็เป็นธรรมที่ท่านเอามาจาก ธรรมกระดาษ ธรรมสัญญาความจำ ธรรมที่ท่านไปรู้ ไปฟังมาเท่านั้น
    เมื่อภูมิรู้ ภูมิธรรมของท่านไปไม่ถึง จึงทำให้ท่านไม่เข้าใจละเอียดลึกซึ้งพอ
    แทนที่ท่านจะมุ่ง จะเร่งปฏิบัติ เพื่อไปให้ถึงระดับอย่างน้อยปัญญาขั้นต้น แล้วค่อยมาเขียน มาตอบ มาถาม ปัญหาธรรม

    เพื่อจะได้เผื่อแผ่ไปให้ผู้อื่นบ้าง ส่วนมากกลับหลงใหลได้ปลื้ม กับคำยกยอปอปั้น ก็เลยเที่ยวไปสรรหาธรรมที่ท่านเข้าใจว่า
    เป็นธรรมดีๆ จากแหล่งต่างๆ มาโพ้สถ์ มาเขียน มาตอบ มาเผยแผ่ในท่านสมาชิกได้ดู ได้อ่าน วนเวียนกันอยู่อย่างนี้

    ถึงแม้ว่ามันพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ก็น้อยเต็มที ทั้งกับท่านผู้เขียน ทั้งกับท่านผู้อ่าน

    เพราะธรรมเหล่านั้น ไม่มีทางที่จะเข้าไปในจิต ในใจของผู้ใดได้ ก็เพราะว่าแค่ได้เขียน แค่ได้อ่าน แค่ได้ชื่นชมยินดี ก็เท่านั้นเอง
    เป็นได้แค่ธรรมกระดาษ ธรรมสัญญาความจำ ที่ลืมเมื่อไรก็หมดค่าเมื่อนั้น ระลึกถึงไม่ได้เมื่อไรก็หมดค่าเมื่อนั้น

    เมื่อสมาชิกส่วนมากเป็นแบบนี้ก็ไม่สามารถ อุ้มชูช่วยเหลือกันได้ ก็เลยกลายเป็นเตื้ยอุ้มค่อมต่อไป

    ที่หนักไปกว่านั้น บางท่านก็ปฏิบัติเพียงเล็กน้อย กลับเดินทางผิด ไปยุ่งกับเรื่องที่ครูบาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุติถือเป็นข้อห้ามขั้นเด็ดขาด

    คือเส้นทาง ดอกไม้พญามาร ก็คือเส้นทางที่ ปฏิบัติไปแล้ว ไปรู้ไปเห็น เทวะบุตร เทวดา ไปเจอครูบาอาจารย์ชั้นเทพ ชั้นพรหม
    มาลงทรงบ้าง มาอบรมสั่งสอนบ้าง มาบอกเหตุการณ์ในอนาคตบ้าง ก็เลยนึก ก็เลยคิดว่าตัวเองรู้จริงๆ เห็นจริงๆ

    รู้เห็นยังไม่พอ ยังเที่ยวไปบอกไปเล่าให้คนอื่นฟังอีกต่างหาก

    ครูบาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุติท่านก็ได้แต่ยิ้มขำๆเท่านั้นเอง ดอกไม้พญามารๆๆ

    ท่านผู้ใดไม่เข้าใจคำนี้ ก็ขอให้ไปอ่านประวัติ คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ ศิษย์เอกของท่านอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโณ ดูเอาเองว่า
    การหลงใหลในการไปดู เทวะบุตร เทวดา นรก สวรรค์ ทำให้เกิดผลเสียอย่างไร


    2.การตำหนิติเตียนผู้อื่น
    ต่อจากหัวข้อที่แล้ว เมื่อท่านสมาชิกส่วนใหญ่ปฏิบัติยังไม่ถึง ก็เลยรู้แต่ธรรมที่โกหกหลอกลวง ธรรมกระดาษ หรืออย่างมากก็เป็น ธรรมขั้น ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ เท่านั้น
    ก็เลยเกิดการ นำเอา ภูมิรู้ ภูมิธรรมของตน ในขั้น ธรรมที่โกหกหลอกลวง ธรรมกระดาษ หรืออย่างมากก็เป็น ธรรมขั้น ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ของตน
    เที่ยวไปวัด ไปเปรียบเทียบ กับธรรม ของผู้อื่น ก็เลยข้ามขั้นไป ตัดพ้อ ต่อว่า ตำหนิ ติเตียนหัวเราะ เยาะเย้ย ผู้อื่น

    ก็น่าเห็นใจ น่าสลดหดหู่แทนท่านผู้นั้นๆ

    บางท่านก็นำเอา ภูมิรู้ ภูมิธรรมของตน ในขั้น ธรรมที่โกหกหลอกลวง ธรรมกระดาษ หรืออย่างมากก็เป็น ธรรมขั้น ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ของตน
    เที่ยวไปวัด ไปเปรียบเทียบ กับธรรม ของผู้อื่นยังไม่พอ ยังลามปามไปถึงครูบาอาจารย์ของเขา

    นึกว่า หลงว่าตัวเองเป็นอัศวินผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนาหรืออย่างไร ถึงขนาดเอาตัวของตัวเองไปแลกกับการปิดทางสวรรค์ของตนเอง โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
    เพียงแค่อยากเอาใจใครบางคน บางกลุ่มบางพวก อยากให้ตนเองมีชื่อที่ใครๆก็จำได้ ใครๆก็รู้จัก แล้วท่านเข้าใจไหม ปิดทางสวรรค์คืออะไร
    เมื่อปิดทางสวรรค์แล้วยังจะเหลือทางไหนให้ไปได้อีกบ้าง

    ๓.การแสดงความคิดเห็นต่อต้านผู้ทำความดี

    ท่านอาจารย์ทิพากร ท่านได้บอก ท่านได้เตือน ชาวพุทธทั้งหลายว่า

    เมื่อเห็นคนเขาสร้างพระปฏิมา เมื่อเห็นเขาทำคุณงามความดี ไม่ว่าจะสร้างด้วยอะไร ก็ขอให้โมทนา สาธุการร่วมกับเขาไปเถอะ จะได้บุญมาก บุญน้อยก็ไม่เป็นไร

    แต่อย่าได้ไปแสดงความไม่เห็นด้วย อย่าได้ไปพูด ไปแสดงอาการต่อต้านเขา
    อันเป็นการปิดทางสวรรค์ของตนเอง

    ขออนุโมทนาบุญร่วมกับญาติธรรมผู้มีจิตเป็นบุญเป็นกุศลทุกๆท่าน

    ขออนุโมทนา

    ขอขอบพระคุณครับ

    ลุงมหา

     
  10. yaipoo

    yaipoo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +98
    หนังสือหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเคยบอกไว้ว่าพระนเรศวร คือในหลวงมาเกิดแล้วแล้วทำไมอาจาร์ยของลุงต้องเปิดบุญให้มาเกิดด้วยคะ ยังมีอีกองค์พระเอกาทศรถด้วยก็มาเกิดแล้วด้วย อันนี้รู้เองค่ะ สงสัยตรงนี้แหละค่ะ
     
  11. yaipoo

    yaipoo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +98
    ขออนุญาตินำข้อความคุณชยุตมานะคะ

    สวัสดีครับคุณ "โปเซดอน" และคุณ "Light worker"

    ผมขออนุญาตแชร์ไอเดียด้วยคนได้ไหมครับ

    อันดับแรก ก่อนอื่นเลย กรุณาอย่าเรียกผมและคุณ mead
    ว่าเป็นอาจารย์หรืออะไรเลยนะครับ..อ่านแล้วขนลุกซู่เลยครับ
    เพราะรู้สึกกระดากอายมากๆหนะครับ เพราะว่ามันไม่ใช่เลย

    พวกเราทั้งหลายในนี้ ไม่ว่าผม คุณ mead คุณโซ่ คุณเดรด
    หรือพวกคุณเองก็ด้วย ในความคิดของผม
    ล้วนแต่เป็นนักเรียนด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ
    พวกเราคือนักเรียน ที่กำลังเรียนรู้บทเรียนแห่งชีวิต บนโลกใบนี้อยู่หนะครับ

    และสมมุติว่า แม้ว่าบางบทเรียน ผม หรือบางคน
    อาจจะเรียนไปได้หลายบทกว่าคนอื่นบางคนแล้ว
    แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ผมและคนบางคนที่ว่านั้น
    จะอยู่ในระดับชั้นที่สูงกว่าคนอื่นๆหรอกนะครับ

    เพราะว่าบทเรียนบทอื่นๆ หรือวิชชาอื่นๆ คนอื่นๆเขาก็ไปได้ไกลกว่าเราก็มี
    และที่สำคัญแล้ว ในโลกแห่งความเป็นจริงระดับปรมัตถ์ที่ไร้กาลเวลาแล้ว
    วิวัฒนาการของจิตวิญญาณ ไม่มีจุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุด
    ไม่มีลำดับว่าจะต้องเป็นตรงนี้ก่อน แล้วค่อยไปตรงโน้น
    ในแบบที่มีลำดับเป็นเส้นตรงแบบที่มนุษย์โลกเข้าใจหนะนะครับ
    อันนี้ อ้างอิงจากท่านอาจารย์โนวา อนาลัยหนะนะครับ

    เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเราเห็นใครดีกว่าเรา เก่งกว่าเรา หรือวิวัฒน์ไปได้ไกลกว่าเรา
    ในแง่ใดแง่หนึ่งแล้ว นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้น
    อยู่เหนือกว่าเรา หรือสูงกว่าเรา หรือประเสริฐกว่าเราเสมอไป
    ...ซึ่งในทางกลับกันก็ด้วยนะครับ...

    เพราะว่าตามนัยยะของข้อความจากรูปธรรมชีวิตจากต่างมิติทั้งหลายแล้ว
    มันมีอยู่อีกหลายประเด็นที่จะต้องนำมาพิจารณาด้วย และนั่นแหละคือสิ่งที่เราไม่รู้
    เพราะว่าเราไม่อาจมองข้ามพ้นมายาการของมิติที่ 3 นี้ไปรู้ได้หนะครับ

    ประเด็นที่ว่าเหล่านี้ก็คือ

    ขอเริ่มต้นจากเรื่องนี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ คือ
    "พันธะสัญญาทางจิตวิญญาณ" ของพวกเราแต่ละคน
    ที่ไม่เหมือนกันแน่ๆหละ และแต่ละคนก็ทำขึ้นมาเอง
    ก่อนที่จะลงมาเกิดบนโลกใบนี้ ซึ่งถ้าให้ผมอธิบายย่อๆ
    ผมก็อยากจะขอยกตัวอย่างหนึ่งให้ฟังครับ

    คือในหนังสือที่ชื่อ "อานุภาพรัก" มีบทหนึ่งที่กล่าวถึง
    "The Drunken man" หรือ "ชายขี้เมา"
    ในโลกนี้ ในมิตินี้ ในชีวิตนี้ เขาเกิดมามีชีวิตแบบขี้เมาไปวันๆ
    ก็เพราะว่าเขามีพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณมาว่า
    เขาจะมาทำตัวอย่างให้เพื่อนที่ลงมาเกิดพร้อมเขา
    แต่เป็นทนายความฐานะดีและขี้เหนียว ได้รู้จักสงสารเขา และมีเมตตากรุณา
    เพื่อช่วยยกระดับจิตวิญญาณของเพื่อนเขาคนนี้ อะไรแบบนั้นหนะครับ
    ทั้งๆที่จิตวิญญาณเดิมแท้ของชายขี้เมาคนนั้น แท้จริงแล้ว
    ก็คือรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่างผู้ที่มีวิวัฒนาการไปไกลมากๆแล้วรูปธรรมหนึ่งนั่นเอง

    เพราะฉะนั้น แม้ว่าในสายตาของมนุษย์โลก
    ที่ถูกพรางกั้นไว้ด้วยม่านมายาแห่งมิติที่ 3 อยู่นี้
    จะมองเห็นใครต่อใคร เป็นคนดี หรือ คนชั่ว
    ในสายตาของพวกเราเองไปอย่างไรก็ตาม
    แต่แท้ที่จริงแล้ว มันอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไปก็ได้

    เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านทั้งหลายจึงพร่ำบอกอยู่เสมอว่า
    อย่าเที่ยวไปตัดสินชี้ถูกชี้ผิดใครเขา
    ด้วยความคิด และความเห็นของเราเองเพียงอย่างเดียว


    เพราะว่ายังไงๆเสีย เราทุกคนต่างก็กำลังสวมแว่นสายตากันคนละสีอยู่
    ดังนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้ ที่จะไปบังคับให้คนอื่นๆมามองเห็นโลกสีเดียวกับของเรา
    เพราะว่าแว่นสายตาของเขามันคนละสีกับเรา

    แต่เราก็ไม่ผิดหรอกนะ เพราะว่าเราคิดแบบนั้นจริงๆ
    เราเห็นว่าโลกมันเป็นสีนั้นจริงๆ เราก็เลยพูดออกมา คิดออกมา
    และทำออกไปแบบนั้น ตามความคิดที่เราคิดว่าเราทำถูกแล้ว
    เฉกเช่นเดียวกันครับ คนอื่นๆ เขาก็คิดว่าเขาทำถูกแล้ว ไม่ต่างจากเราหรอกครับ

    เพราะฉะนั้น ตราบใดที่พวกเราแต่ละคน ยังไม่ได้เอาแว่นสายตาของพวกเรา
    ไป Calibrate ให้ถูกต้องเสีย ให้ใสสว่าง กระจ่างแจ้ง เสียก่อน
    พวกเราก็ยังไม่อาจที่จะมองเห็นโลกตามที่มันเป็นจริงได้อยู่ดี

    ปัจจัยที่สองก็คือ จิตวิญญาณเดิมแท้ของทุกๆสรรพชีวิต
    ล้วนมีคุณค่า ล้วนมีพลังอำนาจ และมีความประภัสสรเสมอเหมือนกันหมด

    ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว "ล้วนมาจากจุดกำเนิดเดียวกันทั้งหมด" ซะด้วย
    อันนี้ตามนัยยะของต่างมิติทั้งหลายหนะนะครับ

    เพราะฉะนั้นแล้ว ความแบ่งแยกที่ทำให้เราเห็นว่าเป็น "เรา" เป็น "เขา" อยู่นี้
    มันคือมายาการพรางตาเราเอาไว้เท่านั้นครับ
    ดังนั้น ท่านถึงว่า เราทำร้ายเขา ก็เท่ากับเราทำร้ายตัวเราเองนั่นแหละ
    ซึ่งคำพูดนี้ไม่ใช่การเปรียบเทียบแต่ประการใดเลย
    แต่คือคำพูดที่มีความหมายตรงไปตรงมาอย่างนั้นจริงๆครับ

    ก็คือว่า นอกจากจิตวิญญาณของมนุษย์จะมาจากจุดกำเนิดเดียวกันแล้ว
    หลายๆคน ซึ่งอาจจะเป็นล้านคน อาจจะมาจาก "ตัวตนรวม" เดียวกันด้วยซ้ำไป
    ซึ่งเจ้าตัวตนรวมที่ว่านี้ ในทางพุทธเราอาจจะไม่เคยกล่าวถึงเลย
    แต่มันก็คือตัวตนที่แท้จริงของเรา คือจิตวิญญาณที่แท้จริงของเรา
    ที่อยู่ในมิติที่สูงกว่านั่นเอง..

    เพราะว่าพวกเราคือสิ่งมีชีวิตหลากมิติ
    เราไม่ได้มีแค่ตัวตนนี้ ชื่อนี้ หรือร่างกายนี้ แต่เพียงเท่านี้เท่านั้น

    ถ้าจะอธิบายเรื่องนี้ต่อไปมันก็จะยาวหนะนะครับ เอาเป็นว่า
    กาลเวลาที่เป็นเส้นตรงไม่มีอยู่จริง ทุกๆภพชาติที่เราเกิดไปแล้ว
    และทั้งภพชาติในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ล้วนมีอยู่เป็นอยู่พร้อมกันหมด
    แต่ทั้งหมดนั่นก็คือ "เรา" ทั้งนั้น โดยที่มี "เราที่แท้จริง" และยิ่งใหญ่กว่า สูงกว่า
    เป็นเจ้าของทุกๆภพชาติย่อยๆนั้นอีกทีหนึ่ง ซึ่ง "เรา" ข้างบนนั่น
    จะรู้จะเห็น จะรู้สึก และ ฯลฯ ความเป็นไป ความรู้สึก และ ฯลฯ
    ของ "เรา" ย่อยๆในแต่ละภพชาตินี้ทั้งหมด
    ไปพร้อมๆกับ "เรา" ย่อยๆทั้งหมดนี้ด้วย

    ดังนั้น ก็ไม่แน่ว่า คนที่คุณกำลังด่าอยู่ปาวๆนั่น หรือกำลังเอาปืนไล่ยิงอยู่นั่นหนะ
    อาจจะเป็นหนึ่งในตัวตนย่อยๆ ของตัวตนรวมเดียวกับคุณเองก็ได้

    และอันที่จริงแล้ว มนุษย์โลกทุกๆคน ก็คือ "เซล" เซลหนึ่งของร่างกายของโลก
    ดังนั้น ถ้าเซลใดเซลหนึ่ง ไปทำร้ายเซลอื่นๆเข้า
    มันก็ย่อมจะไปกระทบต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมของโลกด้วย
    และถ้าโลกมีอันเป็นไปในแง่ลบแล้ว
    คิดหรือว่าเซลย่อยๆทั้งหลายนั้นจะลอยนวลอยู่ได้

    ผมขอขยายความตรงนี้หน่อยนะครับว่า เราคือเซลของโลกอย่างไร
    ในแง่กายภาพหละ ใช่อยู่แล้ว แต่กลัวท่านไม่ get
    เลยจะขออธิบายในแง่ของ "พลังงาน" เอาไว้ด้วย

    ความจริงก็คือ โลกใบนี้ มีโครงข่ายพลังงานห่อหุ้มอยู่
    และโครงข่ายนี้ ก็ทำหน้าที่เชื่อมต่อพลังงานกับทุกสรรพสิ่งที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ด้วย
    พลังงาน..หมายรวมถึง..พลังงานความร้อน, พลังงานความคิด,
    พลังงานจิต, พลังงานที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึก และ ฯลฯ ทั้งหมด

    ดังนั้น ทุกครั้งที่มนุษย์สร้างพลังงานอะไรขึ้นมาก็ตาม
    มันก็จะถูกถ่ายทอดต่อไปยังโครงข่ายพลังงานนี้ของโลกเสมอ
    และมันก็จะไปรวมกับพลังงานอื่นๆ ที่สะสมอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
    แล้วก็กลายไปเป็น "พลังงานแห่งจิตสำนึกมวลรวม" ของคนทั้งโลก

    ซึ่งถ้าเป็นพลังงานบวกก็ดีไป เพราะมันจะทำให้เกิดสิ่งดีๆตามมา
    เช่น ความอุดมสมบูรณ์ของโลก สภาพภูมิอากาศที่ดี ที่สบายๆ
    อะไรแบบนั้นเป็นต้น

    แต่ถ้ามันเป็นพลังงานด้านลบหละ อย่างที่เป็นมานานหลายพันปีที่ผ่านมา
    ที่มวลหมู่มนุษยชาติ เอาแต่ทำสงครามกัน รบราฆ่าฟันกัน
    ไม่ยกเว้นประเทศไหนเลย เช่น ดูอย่างประวัติศาสตร์จีนสิครับ
    แต่ไหนแต่ไรมา ก็ทำแต่สงครามทั้งนั้น ทำมาตลอด
    เกาหลีเป็นไง ตามละครที่เราได้ดูกัน เราได้ข้อคิดอะไรบ้างไหม

    ไทย-พม่าเป็นไงบ้างครับ, พวกลัทธิล่าอาณานิคมทางตะวันตกอีกหละ
    USA ที่ไปแย่งชิงดินแดนของชนเผ่าพื้นเมืองชาวอินเดียนแดงอีกหละ
    มิหนำซ้ำยังไปเกียดชังชนพื้นเมือง และเหยียดสีผิวพวกเขาอีก

    ทางอิสลามเป็นไงบ้างครับ ตะวันออกกลาง ภาคใต้ของไทย
    และแอฟริกาอีกหละ..แล้วแบบนี้ พลังงานบวกหรือลบที่มันจะถูกสะสม
    อยู่ใน "โครงข่ายพลังงานของจิตสำนึกมวลรวม" มากกว่ากัน

    แล้วมีมนุษย์หน้าไหนรอดพ้นจากภัยพิบัติที่เกิดถี่ขึ้นๆ
    เพราะต้องชำระล้างพลังงานด้านลบเหล่านี้ออกไป
    เพราะว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนยุคแล้วบ้างไหม

    อย่าเพิ่งคิดว่า แค่เราคนเดียว ที่คิดเกลียดชังใครสักคนเพียงคนเดียว
    เพียงชั่วแป๊บเดียวนี่ จะไม่มีผลกระทบอะไรต่อ
    พลังงานของจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลกนะครับ

    เพราะว่า..ท่านจะดูถูก หรือ ดูหมิ่น พลังจิต
    และพลังความคิดของท่านเองไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
    เพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีพลังอำนาจมากกว่าที่เราคิดมากมายนัก!
     
  12. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    สิ่งที่รู้จริงเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ถูกเห็น ไม่จริง

    ขออนุญาตครับ

    ในโลกทิพย์ ในโลกวิญญาณนั้น ต่างไม่มีตัวตนที่แน่นอน
    ผู้มีอภิญญาผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย ต่างก็สามารถ กำหนดรวมธาตุ แยกธาตุได้
    ทำให้ท่านนั้นๆสามารถกำหนดรูป ร่างกายเป็นอะไร เป็นอย่างไรก็ได้
    ไปไหนมาไหนก็ได้

    ดังที่ท่านอาจารย์หลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโต ท่านได้เล่าให้ฟังว่า
    ท่านจะรับกิจนิมนต์ต่างๆแทนองค์หลวงปู่ใหญ่ เมื่อมีผู้รู้เคล็ดและมีบุญบารมี
    จุดธูปอัญเชิญนิมนต์องค์หลวงปู่ใหญ่ไว้ องค์ท่านก็จะมาสั่งหลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโต ไปแทน องค์ท่านจะบอกรายละเอียด ว่าไปใหน วันไหน เวลาไหน
    ไปงานอะไร ให้กำหนดรูปเป็นอะไร เช่นเป็นพระ เป็นปู่ฤๅษี นุ่งห่มแบบไหน
    อายุมากน้อยเท่าไร

    ถ้าเป็นองค์หลวงปู่ใหญ่เอง ท่านมักจะมาในรูปแบบเณร เพราะคนจะไม่ค่อยสนใจ
    และท่านจะไปเฉพาะงานของศิษย์สายตรงเท่านั้น

    แต่ถ้าเป็นหลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโต ไปแทน แม้ท่านจะสามารถหยิบจับอะไรก็ได้ แต่ท่านบอกเคล็ดว่า ท่านไม่สามารถมองสบตาใครโดยตรงได้

    และอีกอย่างในโลกทิพย์ โลกวิญญาณนั้น ท่านสามารถเล่น โดยกำหนดกาย
    โดยบอกว่าใครเป็นใครก็ได้ ไม่ผิดเหมือนโลกมนุษย์ เพราะท่านไม่มีกายอยู่แล้ว

    แม้องค์หลวงปู่ใหญ่เองเวลาท่านไปพบเจอพระสายธรรมยุติ ท่านก็จะบอกว่า
    องค์ท่านคือ องค์พระอัครสาวกเบื้องขวา พระมหาโมขคัลลานะ
    เพื่อความศรัทธา ความง่าย ในการติดต่อเรื่องราวต่างๆ

    ดังนั้น การที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกเรื่องราวต่างๆ เราต่างเคารพในคำบอกของท่านเหล่านั้น

    อย่าได้สงสัยใดๆ และอย่าได้เอาเรื่องราวเหล่านี้ มาถกมาเถียงกัน ให้เปล่าประโยชน์

    เพราะครูบาอาจารย์ท่านมาบอกมาเล่า ก็แสดงว่าท่านรู้ท่านเห็นเช่นนั้นจริงๆ
    แต่สิ่งที่ท่านเห็นจะเป็นอย่างไร
    ไม่ใช่เรื่องที่คนรุ่นหลัง อย่างเราจะเอามาถกมาเถียงกัน

    แต่เหตุที่ท่านอาจารย์ทิพากร ท่านบอกมา ผมก็นำมาบอกต่อ เพื่อให้หาวิธีร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมใหญ่เท่านั้นเอง

    ผมก็คอยดูว่า เรื่องอยุธยา จะออกมาในรูปไหน เพื่อติดตามดูว่า กฏเกณฑ์ต่างๆทางโลกทิพย์ โลกวิญาณนั้น
    อันไหนผ่อนผันได้ อันไหนไม่ได้ จะใช้อะไร ทดแทนอะไรได้บ้าง

    มีบางอย่างที่ท่านอาจารย์ทิพากรได้บอกออกมา ทั้งกับผมสองต่อสอง
    และที่ท่านบอกต่อหน้าคนเป็นจำนวนมาก

    ผมก็ไม่ได้บอกออกไป ผมจะรอให้มีผู้ศึกษาจริงๆ จังๆถามมาเองก่อน
    ผมถึงจะบอกไปให้

    อีกอย่างที่ครูบาอาจารย์สอนกันต่อๆมา คือเรื่องจริต มีแต่พระพุทธองค์เท่านั้นจึงแก้ไขจริตได้
    ดังนั้นการที่ท่านผู้ใดจะละกายสังขาร แล้วมาจุติใหม่ จริตก็ต้องมีบางส่วนที่คล้ายกันเหมือนเดิมอยู่บ้าง
    คุณก็พิจารนาเอาเองว่า องค์ท่านทั้งสองมีส่วนใหนที่เหมือนกันบ้าง
    องค์กษัตริย์นักรบกู้ชาติผู้เข็มแข็งเด็ดขาด กับองค์กษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตา นั้นเหมือนกัน ต่างกันอย่างไร

    เรื่องราวต่างๆ ในโลกใบนี้ มันก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละบุคคล
    เพียงแต่ท่านต้องหมั่นศึกษาให้มากไว้ หมั่นพิจารนาให้มากไว้

    แต่ว่าการที่จะได้มีโอกาส ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ต่างๆมันก็ยากอยู่แล้ว
    ยิ่งต่างคณะ ต่างหมู่ ต่างเหล่า ต่างสายก็ยิ่งยากขึนไปอีก

    เมื่อมีโอกาสเข้าพบเข้าหามาก ก็จะเห็นความแตกต่าง เห็นความเหมือนได้เอง

    เพียงแต่ว่า ท่านจะรู้ไหมว่า ท่านอยู่สายไหน กำลังทำอะไรอยู่ แล้วท่านกำลังจะไปไหน

    ก็คงจะมีแต่ผู้ที่รู้มาก เห็นมาก เข้าใจมาก จึงจะมองออกบอกออกมาได้
    ว่าเรื่องราวต่างๆนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร

    เพราะปัญญานั้นในความเห็นของผมก็คือ เห็นอะไรก็รู้ เห็นอะไรก็เข้าใจเท่านั้นเอง เพราะคำตอบมันจะผุดขึ้นมาๆ โดยเราไม่ต้องไปคิดไปทำอะไรเลย

    ขออนุโมทนาในน้ำใจไมตรีของท่าน
    ขออนุโมทนาบุญร่วมกับญาติธรรมทุกๆท่าน
    ขออนุโมทนา
    ขอขอบพระคุณครับ
    ลุงมหา

     
  13. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    ขออนุญาตวิจารณ์ครับ

    ขออนุญาตวิจารณ์ครับ

    ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจก่อนว่า

    ที่ครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่า ยุคนี้จะเป็นยุคที่ อภิญญา จะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายนั้น

    ก็ถูกของท่านครับ เพียงแต่ว่า ยุคนี้ เป็นยุคที่ เทวดา เป็นผู้ดูแล พระพุทธศาสนา ดังที่เทพเบื้องบน บอกออกมาว่า

    พุทธทำนายที่ถูกต้องคือ

    พระสงฆ์ ดูแลพระพุทธศาสนา 2500 ปี
    เทวดา ดูแลพระพุทธศาสนา 1000 ปี
    ผู้มีฤทธิ์ ดูแลพระพุทธศาสนา 1500 ปี

    ครบ 5000 ปี พอดี

    ที่ว่าเทวดา ดูแลพระศาสนา นั้น ก็คือ เทวดาที่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์
    ร่วมกับเทวดา อื่นๆทั้งหลาย
    ดังนั้น อภิญญาจะเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายก็คือ อภิญญาของพระโพธิสัตว์และเหล่าเทวดาทั้งหลายนะครับ

    ไม่ใช่อภิญญาของมนุษย์ หรือของผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย

    เพราะยุคของผู้มีฤทธิ์คือ ตั้งแต่ พ.ศ.3500 โน่นละครับ จนจบพุทธกาล

    ผมก็กำลังรอดูว่า ท่านที่กำลังเล่นอภิญญาทั้งหลาย ที่ท่านเกิดในยุคนี้
    ท่านจะฝ่าฟัน อุปสรรคในใจของท่านเอง เข้าร่วมกับ สายบุญพระโพธิสัตว์
    ได้ยากง่าย มากน้อยขนาดไหน

    หรือท่านจะตั้งจิต อธิฐานให้ได้เกิดอีกที่ ในยุค ผู้มีฤทธิ์ พ.ศ. 3500 - พ.ศ. 5000 ก็คิด ก็พิจารนาเอานะครับ

    ศิษย์ผู้น้องของผมนั้น ท่านผู้นี้ท่านชอบ เรื่องฤทธิ์เรื่องอภิญญาอย่างยิ่ง
    งานการไม่ค่อยจะทำหรอกครับ เพราะมีผู้อื่นทำให้อยู่แล้ว

    ท่านจะวิ่งซอกแซกซอนหาครูบาอาจารย์ ต่างๆ แรกๆก็ขอให้ทำมาค้าขายดี
    ต่อมาก็อยากมีแฟน คนนั้น คนนี้
    ต่อมาก็อยาก อายุยืนยาว
    ต่อมาก็อยากรักษาคนป่วย
    ต่อมาก็อยากช่วยให้ผู้คน ทำโน่น ทำนี่ สำเร็จตามความมุ่งหวัง
    ต่อมา.....

    จนท่านผู้นี้วิ่งไปวิ่งมา ผ่านไป ก็เกือบๆจะครบ 30 ปี มีครูบาอาจารย์ต่างๆนับไม่ถ้วน ทั้งพระสงฆ์องค์เจ้า ธรรมยุติ มหานิกาย ปู่ฤๅษีน้อย ปู่ฤๅษีใหญ่
    หมอธรรม หมอแผนโบราณ หรือแม้แต่ครูบาอาจารย์พราหม ที่เคยอยู่ในวังท่านก็ยังมี

    ผ่านไปนานขนาดนี้ ผมก็เคยถามท่านว่า ทำไมไม่ใช้วิชาที่ว่าออกมาบ้าง
    ท่านก็บอกว่า เบื้องบนยังไม่อนุญาต ให้รอไปก่อน

    แม้บางครั้งท่านจะถูกคนไม่รู้ทำร้ายด้วยไสยเวทต่างๆ ท่านก็ไม่ได้โกรธ ได้เกลียดไครแต่ประการใด

    ท่านทั้งไม่เคยโกรธ ไม่เคยเกลียด ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายใคร

    จนปู่ฤๅษีใหญ่บอกว่า มันซื่อ จนเซ่อ เหมือนท่าน สมัยยังหนุ่มๆ

    ไปไหนไปได้ เข้าไหนเข้าได้ ครูบาอาจารย์ต่างก็เมตตา ต่างก็ระอา ระคนเอ็นดู
    บอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้ จาระไนไม่หมด

    ถ้าเมื่อไรท่านผู้นี้ มีโอกาสได้ใช้วิชาที่ท่านร่ำเรียนมา ผมว่าหาคนเทียบได้ยากมากๆ
    แต่ดูๆท่านจะเอนเอียงไปทางหมอรักษาคนซะมากกว่าอย่างอื่น

    ครูบาอาจารย์ท่านต่างๆ ก็ทั้งรักทั้งเอ็นดู ทั้งขวางหูขวางตา

    ผมก็เล่าเรื่อยเปื่อย เพื่อจะสรุป เพื่อจะบอกว่า ผู้ที่จะสามารถเรียนวิชาด้านนี้
    ต้องมีคุณสมบัติ อยู่สองข้อ คือ ซื่อจนเซ่อ และ ไม่มีความคิดที่จะทำร้ายใคร

    ท่านทั้งหลายที่ชอบด้านนี้ พอจะมีคุณสมบัติที่ว่าบ้างไหมครับ

    ขออนุโมทนาร่วมกับญาติธรรมทุกๆท่าน ทั้งสายฤทธิ์ สายปัญญา สายอภิญญา ทั้งหลาย

    ขออนุโมทนา

    ขอขอบพระคุณครับ

    ลุงมหา


     
  14. ณ เขาควง

    ณ เขาควง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +304
    ผมขอตอบบ้างละกันนะครับ ลุงมหา

    ขอชมก่อนครับ ว่าลุงมหาตอบค่อนข้างดีครับ แทบจะสมบูรณ์แบบเลยที่เดียวครับ กับคำตอบ ได้อรรถ ได้ธรรมพอสมควร

    สำหรับตัวผม ผมไม่ได้รู้จักกับอาจารย์ทิพพากร อย่างเป็นส่วนตัว การที่ท่านสร้างพระใหญ่นั้นผมอนุโมทนาด้วยครับ ผมเพิ่งชมคนที่ผู้รู้จักอยู่คนหนึ่งหนึ่งที่เขาสร้างเสาฐานราก

    สิ่งที่ผมตำหนิ ลุงมหา ตอนอื่นนั้นเพราะเห็นว่า ลุงมหา จะพาคนออกทะเลไปกันใหญ่ ด้วยประเด็นคือ

    1. จะมาบอกว่า พระโพธิสัตว์ จะมายิ่งใหญ่กว่าพระอรหันต์ อันนี้ เป็นไปไม่ได้ ผมรับไม่ได้ ไม่ใช้แค่พระอรหันต์นะครับ พระมหาโพธิสัตว์องค์ไหนๆ (ขณะที่ยังเป็นพระมหาโพธิสัตว์) ยังเทียบกับพระโสดาบันไม่ได้ครับ ข้อนี้ผมรับไม่ได้

    2. จะมาบอกว่า อาจารย์ท่านได้ ทศพลญาณ (อันนี้ผมแค่ฟังจากลุงมหาเท่านั้น ไม่ได้ฟังจากปากท่านอาจารย์) อันนี้ ก็ต้องดำหนิอย่างแรง ที่ท่านกำลังยกตนเสมอพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว ระวังบาปหนัก

    3. การออกมาบอกว่า ถ้าใครไม่มาสร้างพระใหญ่แล้วจะเกิดเหตุเภทภัยต่างๆ ก็รับไม่ได้ ท่านก็เพิ่งพูดเอง ว่าบุญมี 3 อย่างคือ ทาน ศีล ภาวนา การสร้างพระใหญ่ก็แค่เรื่องของทาน ซึ่งเป็นลำดับต้นๆ เท่านั้น แต่ผมไม่เถียงนะครับว่า การสร้างพระใหญ่ไม่ได้บุญ การสร้างพระใหญ่ตามที่ท่านอาจารย์ทิพพากร เชิญชวนนั้นได้บุญใหญ่ จริง แต่ศาสนาของพระพุทธเจ้าประกอบด้วยเหตุและผล เน้นให้คนใช้ปัญญาพิจารณา อย่าไปชี้ไปในทางเดียวกันทั้งหมดว่า คนไม่สร้างจะเกิดเหตุเภทภัย หากเป็นเช่นนั้น อาจารย์ต่างๆ สายหลวงปู่มั่น ที่ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจำนวนมาก ไม่ต้องโดนเภทภัยไปด้วยรึ ครับ

    กระทู้แรกที่ ลุงมหาตอบมาในวันที่ 14/1/2555 กระทู้แรกนั้น เนื้อหาสมบูรณ์มากครับ ขอชมด้วยใจจริง

    แต่สิ่งที่ผ่านมา ผมต้องขอตำหนิ เพื่อไม่ต้องการให้ลุงมหาเดินทางผิด

    รึลุงมหา บรรลุคุณธรรมชั้นใดรึครับ ลองบอกผมบ้างซิครับ เผื่อผมจะได้ตาสว่าง ในภูมิธรรมของลุงมหาบ้าง

    ขอบคุณครับ
     
  15. สติพุทธ

    สติพุทธ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +9
    เห็นดว้ยกับคุณ ณ เขาควง
     
  16. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    พระโพธิสัตว์ การป้องกันภัยพิบัติทั้งสี่ การย้ายจุดศูนย์กลางพระพุทธศาสนา

    ขออนุญาตครับ

    ก่อนอื่นขอให้ท่านพิจารนาข้อคิดข้อเขียนของท่านเองด้วย
    ที่ท่านเขียนมานั้น ท่านเข้าใจหรือไม่ ว่าท่านอื่นๆที่มีภูมิมีปัญญา ที่เข้ามาอ่านท่านจะเข้าใจว่าอย่างไร
    ถ้าท่านไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นเรื่องของท่านเอง

    ขอตอบเท่าที่อยากจะตอบก็แล้วกันนะครับ

    พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านอาจารย์ปู่ทวด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    ท่านได้อบรมสั่งสอนไว้เป็นบรรทัดฐาน ที่ถูกถ่ายทอดต่อมาโดย
    ท่านอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโณ
    ท่านอาจารย์ปู่ทวดท่านสอนว่า

    "พระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีบุญบารมีมาก เป็นผู้ที่จะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ต้องให้ความเคารพในท่านด้วย"

    ส่วนท่านอาจารย์ทิพากรนั้น ทั้งท่านทั้งผมก็ไม่เคยบอกว่า พูดว่า เหมือนที่ท่านยกมานะครับ

    ท่านอาจารย์ทิพากรท่านบอกว่า


    "ถ้าอยากพ้นภัยพิบัติ ให้มาร่วมสร้าง ร่วมทำบุญกับพระใหญ่ไว้ก่อน"

    เมื่อท่านไปตีความหมายเช่นนั้นก็เป็นเรื่องของท่านเอง

    ที่ท่านพาสร้างพระใหญ่นั้น ก็มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่า


    เพื่อปกป้องภัยพิบัติทั้งสี่
    แต่ที่ผมจะบอกต่อไปนี้กลับยากกว่า หนักหนาสาหัสกว่า คือ

    ท่านจะย้ายจุดศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา จากชมพูทวีป มาที่ประเทศไทย มาที่ชัยภูมิ มาที่พุทธสถานพระใหญ่ชัยภูมิ

    อันนี้สิจึงเป็นงานที่ไม่มีท่านผู้ใดกล้าคิดกล้าทำ
    เพราะมันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่จะมีท่านผู้ใดกล้าคิดกล้าทำ
    เพราะรายละเอียดปลีกย่อยนั้นสุดจะบรรยาย

    เรื่องทศพลญาณนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างบุญบารมีครับ
    กว่าจะได้แต่ละอันท่านอาจารย์ต้องสร้างบารมีเป็นกัป เป็นมหากัป
    ดังนั้นการที่สร้างบารมีมาเป็น 16 อสงไข กับเกือบจะครบเศษแสนมหากัป
    ท่านจะได้อะไรบ้างก็พิจารนากันเอาเอง

    ท่านอาจารย์นั้นท่านเป็นศิษย์ของพระพุทธองค์ มีบารมีระดับ รับใช้พระพุทธองค์ ตลอดพรรษาที่สิบ
    แม้ในชาตินี้ท่านก็ได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระพุทธองค์โดยตรง
    ที่ท่านกล่าวหานั้นก็เป็นเรื่องของท่านเอง

    เรืองภูมิธรรมของผมเองนั้น แม้ครูบาอาจารย์สายธรรมยุติของผมเอง ท่านก็ไม่ได้สอนอะไร ท่านบอกว่า

    "เมื่อปฏิบัติเอง ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ยังมาถึงนี่ได้ ก็ขอให้ปฏิบัติเองต่อไป ไม่ต้องไปถามใครอีก"

    ถ้าท่านคิดว่าท่านมีภูมิรู้ภูมิธรรมพอที่จะตำหนิผมได้ ก็แล้วแต่ท่าน เพราะมันเป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของผม

    ขออนุโมทนาบุญร่วมกับญาติธรรมผู้มีจิตเป็นบุญเป็นกุศลทุกๆท่าน
    ขออนุโมทนา
    ขอขอบพระคุณครับ
    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2012
  17. ณ เขาควง

    ณ เขาควง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +304
    แหมรู้สึกว่า การได้ต่อกร กับลุงมหา ก็น่าสนุกเหมือนกันนะครับ

    ก่อนอื่น ผมต้องบอกก่อนครับ ว่า พระโพธิสัตว์นั้น หากบำเพ็ญบารมี มาเต็มภูมิแล้ว บารมีล้นเลยทีเดียวครับ แต่จะมาจัดอันดับให้อยู่เหนือกว่า พระอริยบุคคลนั้น มันเป็นไปไม่ได้

    ผมไม่เคยกล่าวหาพระโพธิ์สัตว์ ไม่ดี หรือไม่มีบารมี หรือไม่น่าสักการะนะครับ ผมกำลังชี้ให้สังคมเห็นว่า ต่อให้พระโพธิ์สัตว์มีบารมีมากแค่ไหน แต่ศาสนาของพระพุทธเจ้า สอนให้เรียงลำดับการสักการะ ไว้ที่ใครขจัดกิเลสได้มากกว่า

    พระโพธิ์สัตว์ ต่อให้บำเพ็ญเพียร บำเพ็ญบารมี มามากมายแต่ไหน แต่หากยังไม่บรรลุพระอริยะบุคคล ก็เทียบกันไม่ได้ครับ

    ท่านเคยได้ยินไหมคำดังต่อไปนี้
    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง)
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ( ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมว่าเป็นที่พึ่ง )
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ( ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง )

    เหล่านี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า นี่คือ ไตรสะระณะคม (แปลว่า การเข้าถึงที่พึ่ง 3 ประการ) เอ รึว่า ตำรามันผิดนะ รึว่า คำว่าไตรสะระณะคม มันผิด มันต้องเรียกว่า จะตุสะระณะคม ที่แปลว่า การเข้าถึงที่พึ่ง 4 ประการ รึมันต้องมีคำว่า โพธิสัตตัง สะระณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอเข้าถึงพระโพธิ์สัตว์ว่าเป็นที่พึ่ง) เอ ท่านมหาเก่ง ลองบอกหน่อยซิ ว่าควรอยู่ลำดับไหน ลำดับอยู่เหนือกว่า คำว่า สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ หรือไม่นะ ก็น่าจะอยู่ก่อนนะ เพราะท่านว่า พระโพธิ์สัตว์เหนือกว่า พระอริยะสงฆ์

    แล้วอีกคำ คำว่า พระรัตนตรัย อืม ลุงมหา น่าจะเคยได้ยินนะ และน่าจะแปลออกเป็นอย่างดี ถ้าลุงมหาเป็น มหาจริงๆ ไม่ได้แอบอ้างเอานะ
    ผมแปลให้ก็ได้ แปลว่า แก้ว 3 ประการ ประกอบด้วย
    1. พระพุทธ
    2. พระธรรม
    3. พระสงฆ์

    อืม สงสัยว่า พระไตรปิฏก อาจจะผิดหรือเปล่าน้า เพราะเห็นท่านต่อว่า เรื่องตำราด้วยนี่นา

    ความจริง มันควรมี พระโพธิ์สัตว์ด้วยนะ ใช้ไหมละท่านมหา เอ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น พระโพธิ์สัตว์ ควรอยู่ลำดับไหนละครับท่านมหา ควรเป็นลำดับ 3 หรือเปล่า แล้วเอาพระสงฆ์ไปอยู่ลำดับที่ 4 เลยไหมก็ท่านว่าพระโพธิ์สัตว์เหนือกว่านี่นา แล้วควรเปลี่ยนชื่อเรียกซะใหม่ว่า พระรัตนจตุระ แปลว่า แก้ว 4 ประการเลยดีกว่าไหม
    และถ้าท่านเห็นด้วย สงสัยต้องเผาตำรา ที่มีคำนี้ทิ้งให้หมดเลยนะท่านมหา อืม ผมก็ว่าในพระไตรปิฏก นี่ก็มีด้วยนะ แต่ไม่มีพระโพธิ์สัตว์แทรกอยู่ตรงไหนนะ ในระหว่างคำเหล่านี้นะ อืม รึลุงมหาว่าพระไตรปิฏกผิดด้วย หากเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ถูกต้องที่สุดในโลกนี้ สงสัยจะมีเฉพาะคำพูดของลุงมหา เท่านั้นแล้วละมั่งครับ

    และผมก็ขออนุโมทนาคนที่สร้างพระใหญ่ด้วยเช่นกัน จะได้มีไว้เพื่อให้ชาวพุทธได้สักการะ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยให้มากๆ

    และสุดท้าย ผมจะขอให้ทุกคนช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนา อย่าปล่อยให้ใครมาทำลายทั้งทางตรงและทางอ้อม แนวทางของพระพุทธเจ้านะคือแนวทางที่ถูกต้อง หากใครสงสัยว่า แล้วแนวทางไหนละที่ถูกต้อง ผม ขอบอกเลยครับ แนวทางของหลวงปู่มั่น นั่นคือ แนวทางของพระพุทธเจ้าทุกกระเบียดนิ้ว
    ท่านไม่เคย มุ่งก่อสร้างถาวรวัตถุใดๆ
    ท่านไม่เคย ให้หนีกรรม
    ท่านไม่เคย ให้ลูกศิษย์ลูกหามัวเมาในลาภสักการะ
    ท่านไม่เคย สอนให้ลูกศิษย์ลูกหา เรี่ยไรเงินมาสร้างอะไร เอาหน้า
    ท่านไม่เคย สอนให้ลูกศิษย์มัวเมา ในอิทธิฤทธิปาฏิหารย์
    ท่านไม่เคย สอนอะไรที่ขัดแย้งกับพระไตรปิฏก

    สิ่งที่ท่านเป็น อยู่ป่าเป็นวัตร
    สิ่งที่ท่านเป็น สอนให้ทุกคนมุ่งละกิเลส
    สิ่งที่ท่านเป็น สอนปฏิบัติบูชา ไม่ใช้อามิสบูชา (ปฏิบัติคือ ปฏิบัติภาวนาเพื่อเผากิเลส ส่วนอามิสบูชา คือการสอนให้ก่อสร้างโน้นนี่นั่น แล้วแสวงหาเอกลาภ)
    สิ่งที่ท่านเป็น มีจริยะวัตรที่งดงาม
    สิ่งที่ท่านเป็น ไม่ให้ลูกศิษย์แสดงฤทธิ์
    สิงที่ท่านเป็น ท่านอยู่กุฏิเก่าๆ ไม่หรูหรา

    หลวงปู่มั่นคือ แบบอย่างที่ดี ไม่มีทางหาแบบอย่างที่ดีอย่างนี้ได้ง่ายๆ ก่อนจะคิดอะไร เชื่ออะไร ให้ใช้ปัญญา ใช้เหตุผลพิจารณา ว่า สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมานั้น มีเหตุผลหรือเปล่า ให้สอนให้เราเกิดปัญญา หรือเขาสอนให้เราเชื่อเขาอย่างเดียว ถ้าแค่บอกให้เชื่อ แล้วเราใช้ปัญญาดูแล้วเห็นว่า ไม่ถูกต้องก็อย่าไปเชื่อ เพราะศาสนาของพระพุทธเจ้าประกอบด้วย เหตุและผล ไม่ได้สอนให้คนเชื่องมงาย ไร้สาระ

    หากใครที่คิดว่า เป็นพระโพธิ์สัตว์จริง มาเพื่อบำเพ็ญบารมีจริง ท่านก็ควรรู้ ว่าหน้าที่ของท่าน มีสองประการ
    1. ช่วยพระศรีอริยะเมตไตร ที่จะมาบังเกิด เพื่อกอบกู้พระศาสนาในกึ่งกลางพระศาสนานี้ (ยกเว้นว่าหากท่านคิดว่าท่านคือพระศรีอริยะเมตไตรซะเอง ก็ต้องเป็นผู้นำ แต่ก็ระวังหน่อยนะครับ กับคำว่า ดังบ่ดี ดีบ่ดัง จำไว้ จะได้ไม่ต้องตกนรกเพราะไปแอบอ้าง ผู้กอบกู้พระศาสนา ไม่ใช้มาเที่ยวโอ้อวด แสดงอิทธิปาฏิหารย์ ต่างๆนาๆ ใครชอบแสดงอิทธิปาฏิหารย์ ก็ท่านนั้นแหละที่ท่านต้องจัดการ เพราะไม่ใช้หนทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้
    2. สร้างสมบารมีของตัวท่านเอง ให้มากที่สุด

    อีกประการ ต่อให้พระศรีอริยเมตไตร มีบารมีขนาดไหนก็ตาม ท่านก็ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ท่านก็ต้องเคารพ สักการะพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อย่างสุดหัวใจ ไม่คิดยกตนเสมอพระอริยบุคคล ถึงแม้บารมีอาจจะมากกว่า แต่ความเคารพนับถือ พระพุทธองค์ให้วัดกันที่ กิเลส พระโพธิ์สัตว์อาจมีบารมีมากกว่าจริง แต่กิเลส ก็มากกว่าพระอริยะบุคคลด้วยเช่นกัน ดังนั้น อย่าหลงประเด็น ครับบรรดาพระโพธิ์สัตว์ทั้งหลาย อย่างมงาย อย่ามัวเมากิเลส อย่าหลงวัตถุ อย่ากลัวภัยพิบัติ ใครทำกรรมชั่วอะไรเอาไว้ ต่อให้มีอิทธิฤทธิเหาะหนีไปไหน ก็ไม่มีทางพ้นไปได้ และหากท่านมีแต่กรรมดี ต่อให้เกิดภัยพิบัติ สักแค่ไหน ท่านก็ไม่เป็นอะไร
    1. จงศรัทธาในคำสอนที่ว่า ว่าใครทำกรรมอะไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
    2. จงตั้งความเพียร หากเป็นพระโพธิ์สัตว์ก็หมั่นเพียรบำเพ็ญบารมีให้มากที่สุด หากไม่ได้บำเพ็ญมาก็ให้มุ่ง เดินหน้าตัดกิเลสทั้งปวงให้หมดสิ้นเสียในชาตินี้ ไม่ต้องรอพระศรีอารย์ (ท่านไม่ได้มาบรรลุในชาตินี้ ท่านมีภาระหน้าที่กอบกู้พระศาสนาในกึ่งพุทธันดรนี้เท่านั้น) ดังนั้น จงเร่งทำความเพียรเพื่อสิ้นกิเลสเสียในชาตินี้ดีกว่า
    3. จงใช้ปัญญา พิจารณาอย่างถ่องแท้ ว่า สิ่งใดๆ ที่เราได้ยินได้ฟัง ได้เรียน ได้ทราบมา มีเหตุผลหรือไม่

    และสุดท้ายที่ขอให้ข้อคิด
    1. พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้เหมือนกันหมดทุกพระองค์
    2. พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เหมือนกันหมดทุกพระองค์
    3. พระสงฆ์สาวก (หมายถึงอริยะสงฆ์) หากท่านไม่ได้ทำกรรมหนัก 5 ประการในชาตินี้ คือฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้พระพุทธเจ้าโลหิตห้อในชาตินี้ หรือไม่ได้ทำให้พระสงฆ์แตกแยกกัน ก็หมายความว่า ท่านสามารถเข้าถึงความเป็นอริยะได้ทุกคน (เพราะหากท่านบารมีไม่ถึงแล้ว ก็ไม่ได้มาเกิดในดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาเช่นนี้) ดังนั้น ให้ทุกคนเร่งทำความเพียรเสียในชาตินี้ ไม่ต้องรอพระศรีฯ ไม่ต้องกลัวภัยพิบัติ มุ่งหน้าหลุดพ้นเสียให้ได้ในชาติ จะรอพระศรีฯไปทำไม อีกนานนักที่ท่านจะมาตรัสรู้ เราเกิดอีกกี่หมื่นชาติก็ไม่รู้ท่านจึงจะมาบังเกิด ที่สำคัญคำสอนของท่านก็เหมือนกันเดะเลยกับพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ไม่ได้แตกต่างกันเลย แล้วจะอธิฐานให้ไปเจอท่านทำไม่ มุ่งหน้าตัดกิเลสเสียในชาตินี้เลย

    ขออวยพรให้ทุกท่านเพียรเผากิเลสได้สำเร็จทุกๆท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2012
  18. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    ความเชื่อของชาวพุทธแบบดั้งเดิม แบบช่วยแก้ไขภัยพิบัติ

    ขออนุญาตครับ

    ขอนำคำตอบคราวก่อนมาอ้างอิงให้ดูอีกที


    ข้อความข้างบนนั้น ท่านที่เป็นศิษย์สายธรรมยุติทั้งหลายต่างก็รู้ต่างก็เข้าใจ
    เพราะออกอากาศ ที่สถานีวิทยุเสียงธรรมของวัดป่าบ้านตาดอยู่บ่อยๆ


    ขออนุญาตครับ

    เมื่อการสร้างพระใหญ่ชัยภูมิยังสร้างไม่ถึงขึ้นองค์พระเพลา พระพุทธองค์ก็ยังไม่สามารถ แผ่พระมหาพุทธานุภาพได้

    (เพราะกำลังบุญกุศลของชาวพุทธยังไม่พอ ที่จะอัญเชิญพระมหาพุทธานุภาพได้)

    การแก้ไขภัยพิบัติ ก็ทำได้แค่ ตามที่ผมได้เคยเขียนไว้ ที่อ้างอิงข้างบน

    ถ้าท่านผู้ใดไม่เชื่อว่า กรรมเก่าสามารถแก้ไขได้ สามารถขออโหสิกรรมได้ สามารถเลื่อนกรรมออกไปได้

    ก็ขอให้ระลึกนึกถึงพระพุทธพจน์ที่ว่า

    "ถ้าเธอทั้งสองไม่ได้มาเจอเรา เธอทั้งสองก็คงจะจองเวรจองกรรมกันไปอีกนานแสนนาน"

    และขอให้ระลึกถึงคำสอนขององค์หลวงปู่ใหญ่ที่องค์ท่านสอนว่า

    "พระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว หรือเกือบจะเต็มแล้ว
    มีกำลังในการสงเคราะห์มนุษย์เทียบเท่าพระพุทธเจ้า"

    อันนี้ผู้เข้ารับการอบรมสั่งสอนจากท่านที่ป่าเมืองกาญบอกเล่าเอง

    แม้ท่านอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโณ ท่านก็บอกออกมาว่า
    องค์ท่านไม่มีกำลังพอที่จะแก้ไขภัยพิบัติใหญ่ๆได้(เหตุการณ์ไม่สงบและสึนามิที่ผ่านมาที่ภาคใต้)

    ครูบาอาจารย์บางท่านก็บอกว่า ถ้าคุณเขียนออกไป ต้องมี พยานด้วยนะ

    ซึ่งก็คงไม่มีครูบาอาจารย์ท่านใดกล้าออกมาบอกว่า ท่านได้ยินได้ฟังมาเพราะกลัวหมู่คณะจะต่อว่า

    แต่ผมก็ให้เหตุผลท่านว่า ด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์ปู่ ถ้าท่านทำได้ ท่านก็คงทำไปแล้ว


    สำหรับท่านที่ชอบคิดชอบพิจารนา ก็ขอให้คิดให้พิจารนาในหัวข้อที่พระพุทธองค์ได้ทรงทำนายเอาไว้ว่า

    "ศาสนาของพระองค์จะดำรงค์อยู่นานถึง 5000 ปี"

    "ในยุคกึ่งพุทธกาลจะมีพระมหาโพธิ์สัตว์
    จุติลงมาเพื่อนำศรัทธามหาชน
    ให้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอีกครั้ง"

    "ศาสนาของพระพุทธองค์จะเจริญรุ่งเรืองเฉกเช่น สมัยพุทธกาล"


    ท่านผู้มีปัญญาคงพอจะพิจารนาออกว่าอะไรเป็นอะไร

    ถ้าเรายังมีภัยพิบัติกันอยู่อย่างนี้
    ถ้าภัยพิบัติแก้ไขไม่ได้
    แล้วพุทธทำนายจะเป็นจริงได้อย่างไร


    ส่วนท่านที่พิจารนาไม่ออก อยากจะปฏิบัติตาม แนวทางการสอนของฝ่ายธรรมยุติ
    แต่เพียงอย่างเดียวมันก็เป็นเรื่องของท่านเอง

    แต่ถ้าท่านออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงต่อต้าน เอ่ยอ้างคำสอนของครูบาอาจารย์
    ก็ขอให้ท่าน ขอความเห็นจากครููบาอาจารย์ของท่านก่อนว่าสมควรหรือไม่

    เพราะการต่อต้านการสร้างพระปฏิมาใดๆนั้น ขั้นต่ำ

    "ปิดทางสวรรค์"

    ส่วนการต่อต้านการแก้ไขภัยพิบัติของพระโพธสัตว์นั้น

    "อาจจะถึงขั้นแก้ไขไม่ได้"

    ก็ขอให้พิจารนาเอาเอง

    (ต้องขออภัยที่ไม่อยากจะบอกเล่ามากไปกว่านี้)

    ครูบาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุตินั้น ท่านย่อมเข้าใจได้ว่า ท่านอาจารย์ปู่ทวด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่องค์ท่านระดับ

    "ปรารถนาพุทธภูมิ"

    ท่านยังมีบุญบารมีระดับที่ท่านอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว ท่านเรียกของท่านว่า

    "ลวดลายของพุทธภูมิ"

    ที่ท่านบอกว่า

    "เรื่องเปรต เรื่องผี เรื่องเทวบุตร เรื่องเทวดา การรู้การเห็นของท่าน เป็นเรื่องปรกติธรรมดา"

    ครูบาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุติท่่านต้องเข้าใจอยู่แล้วว่า
    องค์หลวงปู่มั่นยังขนาดนี้
    แล้วพระโพธิสัตว์จะขนาดไหน


    ผมก็กำลังเฝ้าดูว่า ครูบาอาจารย์พระเจ้า พระสงฆ์ ท่านจะมีส่วนช่วยงานของพระโพธิสัตว์ ช่วยงานการแก้ไขภัยพิบัติบ้างไหม

    แต่แม้ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ช่วยอะไร

    แต่ญาติธรรมทั้งหลายที่มาช่วยแล้ว
    ล้วนเป็นผลงานการอบรมสั่งสอนของพระเจ้าพระสงฆ์ทั้งหมดทั้งสิ้น


    เว้นแต่เพียงเล็กน้อยที่เป็นคนต่างศาสนาเท่านั้นเอง

    ส่วนท่านที่ไม่เข้าใจ ก็ขอให้ถามครูบาอาจารย์ของท่านเอาเอง

    จึงขอสรุปว่า

    ท่านจะเป็นชาวพุทธแบบดั้งเดิม ปฏิบัติตามแนวการสอนของครูบาอาจารย์ไป

    หรือท่านจะเป็นชาวพุทธหัวก้าวหน้า แบบญาติธรรมพระใหญ่ ที่เป็นชาวพุทธที่ดีอยู่แล้ว ยังมาช่วยพระโพธิสัตว์สร้างพระใหญ่ชัยภูมิ เพื่อแก้ไขภัยพิบัติอีกด้วย

    และยังสร้างพุุทธสถานพระใหญ่ชัยภูมิเพื่อย้ายจุดศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาจากชมพูทวีป มาที่ประเทศไทย

    ย้ายมาตามชาวพุทธในสุวรรณภูมิ ที่ได้หลบหนีการตามล่าตามล้างของคนนอกรีตมาที่นี่เป็นพันๆปีแล้ว

    ที่องค์หลวงปู่มั่น ท่านบอกเล่าว่า

    พวกเรานี่ละเป็นเชื้อชาติเผ่าพันธ์เดียวกับพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน

    แม้ท่านจะอ้างอย่างไร ความเคารพ นอบน้อม ที่ท่านอาจารย์ทิพากร
    มีต่อพระรัตนตรัยนั้น วีดีโอ ก็บอกอย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว

    ส่วนความเป็นศิษย์ฆราวาสของฝ่ายธรรมยุติ ของสายวัดป่าบ้านตาดของผมนั้น

    รูปหล่อลอยองค์ หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโณ เนื้อทองคำรุ่น๑
    องค์ "มหาจักรพรรดิ์" โค๊ตหมายเลข ๑๘
    และองค์ "มหาโภคทรัพย์" โค๊ตหมายเลข ๖
    ก็อยู่เป็นขวัญตาขวัญใจอยู่ที่ผมนี่ละครับ

    ส่วนท่านที่จะอ้างโน่น อ้างนี่ ตามความเข้าใจของตน เพื่อขัดขวาง

    งานของพระศาสนา
    งานของพระโพธิสัตว์
    งานของพระศาสดา


    ก็ขอให้พิจารนาเอาเอง

    ขออนุโมทนาร่วมกับญาติธรรมผู้มีจิตเป็นบุญเแป็นกุศลทุกๆท่าน
    ขออนุโมทนา
    ขอขอบพระคุณครับ
    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2012
  19. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    ขอเรียนเชิญ ญาติธรรมชาวพุทธ ร่วมสร้าง หลวงพ่อทันใจ เพื่อป้องกันภัยพิบัติ

    ขอเรียนเชิญ ญาติธรรมชาวพุทธ ร่วมสร้าง หลวงพ่อทันใจ เพื่อป้องกันภัยพิบัติ

    ขออนุญาตครับ

    ด้วยความเข็มแข็งของญาติธรรมพระใหญ่ชัยภูมิสายภาคตะวันออก
    ที่ร่วมมือกันอย่างแข็งขัน ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
    สลับกันจัดงานกิจกรรมต่างๆของพระใหญ่ชัยภูมิในเขตภาคตะวันออกอย่างต่อเนื่อง
    และขอขอบพระคุณศูนย์ใกล้ ไกล ที่ได้เมตตา ช่วยเหลือเกื้อกูลสนับสนุนตลอดมา


    จนสามารถที่จะยัน ภัยพิบัติต่างๆเอาไว้ได้

    (ต้องขออภัยที่ไม่สามารถบอกมากกว่านี้ เพราะท่านอาจารย์ทิพากร ท่านบอกผมคนเดียว ไม่ได้บอกต่อหน้าญาติธรรมทั่วๆไป)

    ทั้งๆที่ชายทะเลฝั่งตะวันออกนี่ละครับที่ล่อแหลมต่อภัยพิบัติมากที่สุด
    และถ้าเกิดขึ้นมาจริงๆแล้ว ความเสียหายนั้น ระดับทำให้ประเทศไทยล้มทั้งยืนและซึมยาวได้เลย


    ต้องขอขอบพระคุณศูนย์ต่างๆและญาติธรรมทั้งหลายไว้นะโอกาศนี้

    ขอเรียนเชิญ ญาติธรรมชาวพุทธ ร่วมสร้าง หลวงพ่อทันใจ เพื่อป้องกันภัยพิบัติ


    เปิดบุญบารมี-สร้างหลวงพ่อทันใจ ณ วัดสำเภา
    บ้านสระคลอง ตำบลหนองเหียง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี

    วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


    1. เปิดบุญบารมี-สร้างหลวงพ่อทันใจ ณ วัดสำเภา
    บ้านสระคลอง ตำบลหนองเหียง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี

    ละติจูด : 13°28'24.75"เหนือ
    ลองจิจูด : 101°12'49.69"ตะวันออก


    ห่างจากตลาดพนัสนิคม 4.9 กิโลเมตร (ห่างจากสะพาน 1.3 กิโลเมตร)

    ห่างจากสี่แยกเนินหิน ถนน 331 (เทศบาลหนองเหียง)= 7.9 กิโลเมตร


    (ตามแผนที่ดาวเทียมที่แนบมา)

    เวลา 08.00 เป็นต้นไป เชิญร่วมทำบุญ บูชาแผ่นทองดวงชะตาเพื่อเขียนชื่อ-สกุล วัน/เดือน/ปี/เกิด
    ร่วมอนุโมทนา/อธิฐานจิต พระบรมสารีริกธาตุ พระเกศ พระอุระหลวงพ่อทันใจ

    เวลา 09.00 น.เริ่มพิธีกวนข้าวทิพย์

    เวลา 14.00-15.00 น.เปิดบุญบารมีโดยท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์

    สอบถาม

    คุณวันทนา 087-536-6716 ,086-622-3266
    คุณ นุช 081-589-3632
    คุณ โอ 082-216-5751


    2.เปิดบุญบารมี ณ ศูนย์ทัพยาบารมี

    ซอย เฉลิมพระเกียรติ 22 ถนนพัทยาสาย 3 อำเภอเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี

    เวลา 18.09 น.


    สอบถาม คุณจ๊ะ 086-330-4919 081-410-5041

    ขอเรียนเชิญญาติธรรมชาวพุทธผู้มีจิตเป็นบุญเป็นกุศลร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน

    ขออนุโมทนาบุญร่วมกับญาติธรรมทุกๆท่าน

    ขออนุโมทนา

    ขอขอบพระคุณครับ

    ลุงมหา

    ดูรูปเพิ่มที่นี่นะครับ

    http://phrayaichaiyaphum.net/webboard/index.php?topic=593

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2012
  20. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    ตารางเปิดบุญ สร้างหลวงพ่อทันใจ เพื่อแก้ไขภัยพิบัติ ภาคตะวันออก

    ขออนุญาติครับ

    ตารางเปิดบุญฉบับเพิ่มเติมแก้ไขใหม่ วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2555

    1. เปิดบุญบารมี ณ โรงเรียน จุฬเทพ ต.นาเกลือ บางละมุง จ.ชลบุรี
    อยู่ตรงข้ามวัดช่องลม
    เวลาเปิดบุญประมาณ 10:00 น.
    (ท่านอาจารย์ทิพากร เดินทางมาถึง ประมาณ 09:30 น.)
    สอบถาม 086-3304919

    2.เปิดบุญบารมี เปิดศูนย์ระยอง 3 (ศูนย์เมตตาธรรม)
    ตลาดสดสะพานสี่ ตรงข้ามวัดสะพานสี่
    ต.มาบยางพร อ.ปลวกแดง จ.ระยอง
    เปิดบุญเวลาประมาณ 13:00 น.

    สอบถาม คุณผาสุข ประดิษฐ์จา(จุ๊ก) 084-865-7806 คุณทัศนีย์ นาวงศ์(เจ้หมวย) 089-099-9517
    คุณอุทิตย์ ประดิษฐ์จา(แม๊ก) 090-77678 คุณอัครพงษ์ มีมุข(โบ้) 086-903-1027
    คุณเกสร สุขเจริญ(มะปราง) 089-661-8630

    3. เปิดบุญบารมี-สร้างหลวงพ่อทันใจ ณ วัดจอมพลเจ้าพระยา
    (วัดโรงน้ำตาล) ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง

    เวลา 08.00 เป็นต้นไป เชิญร่วมทำบุญ บูชาแผ่นทองดวงชะตาเพื่อเขียนชื่อ-สกุล วัน/เดือน/ปี/เกิด
    ร่วมอนุโมทนา/อธิฐานจิต พระบรมสารีริกธาตุ พระเกศ พระอุระหลวงพ่อทันใจ

    เวลา 09.00 น.เริ่มพิธีกวนข้าวทิพย์

    เวลา 14.00-15.00 น.เปิดบุญบารมีโดยท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์

    สอบถามคุณวันทนา 087-5366716

    ขออนุโมทนาร่วมกับญาติธรรมทุกๆท่าน

    ขออนุโมทนา
    ขอขอบพระคุณครับ
    ลุงมหา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...