คุยกันฉันท์เพื่อน - ( ๔๑) ^_^

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ชนินทร, 17 กันยายน 2009.

  1. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ⚜️สัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ⚜️๔/๔

    ถ้าไม่ใช่สัมมาสมาธิ มโนมยิทธิก็ใช้ไม่ได้
    เอาแค่ที่เราเล่าให้ฟังเฉยๆ มันไม่ได้ให้เธออยากทำหรอกนะ โดยเฉพาะเรื่องกสินจิต มันเป็นเรื่องที่เราเล่าให้ฟัง ทำไม่ทำเราไม่ได้ประสงค์ให้เธอต้องทำ แต่เราต้องเล่าทิ้งเอาไว้ เพราะว่ามันเป็นความรู้
    มันก็ไม่ง่าย มันมีเรื่องรายละเอียดอีกเยอะ ไอที่พูดให้ฟังน่ะมันแค่บันไดขั้นเดียว ยังอีกตั้ง ๙ ขั้น ขบวนท่ามันเยอะนะ
    จะรอดไม่รอดก็แล้วแต่เธอ แต่ฉันน่ะรอด ฉันเป็นคนพูด ฉันน่ะรอดไม่ต้องห่วง เธอทำได้ไม่ได้ ก็เรื่องของเธอปะไร ฉันพูดทิ้งไว้เฉยๆ
    แต่ก็ต้องพูดเอาไว้ เพราะว่าไม่แน่ใจในสังขาร เราไม่รู้เวลาของมันหรอกนะว่าเมื่อไหร่ มันยังพูดได้ เราก็เต็มที่กับสิ่งที่มันมีโอกาสให้พูด ถ้าหลังจาก..ข้างหน้าเราจะพยากรณ์ได้ยังไง
    รวมความแล้วก็คือว่า การปฏิบัติมันไม่ได้เป็นเรื่องที่เกินกำลังเธอ เธอทำมามาก เพียงแต่ว่าเธอต้องรู้จักคิดให้เป็น ข้ามมันตรงร่องตรงทางให้มันถูก ถ้ามันสะเปะสะปะ เธอจะเสียเวลาในการปฏิบัติ มันจับร่องจับรอยอะไรไม่ได้ ..ไอนั่นก็ดี ไอนี่ก็ดี ไอนั่นก็ทำ
    มันทำอย่างเธอไม่รู้ว่า มันเดินแล้วมันจะทำผลปรากฏจริงหรือเปล่า
    ฉันขอพูดเต็มปากเต็มคำ ขอยืนยันว่าที่พูดน่ะจริง ถ้าเธอไม่ดำเนินมาสัมมาสมาธิละก็ ไม่มีทาง ญาณอะไรก็ไม่เกิด
    ไอตอบมั่วๆ รู้มั่วๆ ฉันเห็นมาเยอะแยะไป ไอที่จริงๆน่ะมันหายากแท้ ฉันนี่ขอย้ำคำพูดของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเลยว่า ท่านเคยพูดกับพระในพระอุโบสถว่า
    “พวกคุณน่ะใครได้มโนมยิทธิบ้าง?”
    ท่านพูดเสียงแข็งอย่างนี้
    เงียบ..วันนั้นลมสักนิดก็ไม่ปรากฏมี คลื่นลมนิ่งสนิทเลย ทุกคนตัวมันหายไปไหนไม่รู้ มันความว่างเปล่า ไม่กระดิกตัวสักนิด ไม่มีใครกระดิกตัวสักคน ฉันสังเกต แล้วไม่มีใครพูดว่าได้ ไม่มีใครพูดนะ
    สักพักใหญ่ๆท่านบอก
    “เออ คนที่ได้จริงๆ พระอรหันต์เว้ย” ท่านพูดอย่างนี้
    มโนมยิทธิได้จริงๆก็คือ พระอริยะ การปฏิบัติในมโนมยิทธิ จึงต้องทำใจให้ถึงความเป็นพระอริยะ ศีลของเธอถ้าไม่ทรงตัว เธอเข้าเขตอริยะได้ตรงไหน.. ไม่ได้ ถึงจะเป็นอริยะชั่วคราว มันก็ต้องรักษาอารมณ์อย่างนี้เอาไว้ให้ได้ในการปฏิบัติ
    คำว่าชั่วคราว มันถือเอาประโยชน์อะไรไม่ได้ เพราะเธอได้ครั้งเดียว จิตมันจะจำ หลักของจิตมันจะเป็นอย่างนี้ จิตมีสภาพจำ มันเป็นหลักของจิตมันนะ
    พอมันจำปั๊บ ตอนหลัง ถ้าเธอพร่องในศีลปุ๊บ ภาพเหล่านี้ก็จะปรากฏเอง เธอคิดว่าเธอไปได้ทุกวัน จริงๆมันปรากฏเพราะจิตมันจำ
    ถ้าเธอไม่สังเกตในวัตรปฏิบัติของเธอว่า
    เธอทรงจาคะดี เธอมีพรหมวิหาร ๔ ดี
    เธอมีศีลบริสุทธิ์ดี เธอละนิวรณ์ ๕ ได้ดี
    เธอพิจารณาขันธ์ ๕ ได้ในสังโยชน์อย่างน้อย ๓ ประการได้ดีแล้ว
    เธอไม่ไล่ใคร่ครวญอย่างนี้ ก่อนที่เธอจะทำทรงสมาธิ ภาวนา”นะมะพะธะ”
    หรือจับภาพพระเป็นอารมณ์หรือส่งจิตไปตามที่ครูเขาเคยแนะนำให้เธอไป เธอไม่ขึ้นอย่างนี้ละก็..เพี้ยนทุกราย
    มันได้เฉพาะวันแรกที่เธอไปฝึกกับครูเขาเท่านั้น เพราะตอนนั้นมันใหม่สำหรับเธอ บางคนเขาทำใจได้ตรง วางอารมณ์ได้ถูก ความเป็นทิพจักขุญาณมันก็ปรากฏให้รู้ได้ พอสัมผัสได้ บางคนก็เห็นชัด ถ้าสมาธิเขาดีนะ
    บางคนก็มีความรู้สึกเฉยๆ ภาพไม่ปรากฏ แต่เขาเชื่อ เพราะใจมันตอนนั้น มันไม่มีคำว่าลังเลสงสัย คราวนี้จิตมันก็ไปติดในภาพ ติดในวิธีที่ไป
    ถึงเวลาตอนหลัง เธอก็ไปง่ายๆอย่างนี้ ปั๊บ..ไปปุ๊ป ไปแล้ว ยังภาวนาเปาะแปะๆ นู่นไปนิพพาน เผ่นพรึ่บ ไปนั่งวิมานแปล้เข้าแล้ว
    ฉันก็เห็นคนฝึกอย่างนี้มาเยอะมาก ไม่เห็นใครไปนิพพานจริงๆได้สักคน ไปนิพพานเก๊ซะหลายราย เขาเรียก”นิพพานอุปาทาน” เพราะจิตมันมีสภาพจำ มันก็ปรากฎภาพของมัน
    พอปรากฏภาพของมัน เธอจะคิดอะไร ถามอะไร คุยอะไร มันก็เป็นเรื่องของเธอแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่เธอได้เจอพระจริงๆเสียแล้ว
    เห็นไหมว่า การปฏิบัติมันทิ้งพื้นฐานของการทรงตัวเพื่อการเข้าถึงญาณไม่ได้ มันเป็นกฎเกณฑ์บังคับข้อปฏิบัติในตัว เธอจะปล่อยใจของเธอ เอาแต่ง่าย ทำอย่างนั้นเธอได้แล้วเธอก็ทำ ทำอย่างนั้นเธอได้ เธอก็ไป มันง่ายเกินไป ง่ายจนเธอลืมไปว่า สิ่งที่เป็นพื้นฐานความเป็นจริง เธอควรจะรักษาอย่างนี้เอาไว้
    มันอาจจะใช้เวลาไม่นานหรอก ไม่เกิน ๑นาทีหรอก ที่เธอจะต้องใคร่ครวญอย่างนี้ใคร่ครวญในทาน ในศีล ในพรหมวิหาร ๔ ของเธอ ในนิวรณ์ ๕ ประการของเธอ ทำอย่างนี้ให้ใจชองเธอมั่นคง แล้วเธอค่อยบริกรรม ภาวนา จับภาพพระ ภาวนา นะมะพะธะ
    ถ้าทรงตัวดีๆบ่อยๆ เข้า อีกหน่อย ก็จะไวขึ้น ๆ ใครไวขึ้น มันไม่ได้หมายความว่า เราทิ้งวัตรปฏิบัติในการวางรากฐานของใจเรา เพราะเธอไม่ใช่พระอรหันต์ แม้นพระอรหันต์ ท่านยังไม่ทำอย่างนี้เลยนะ จะบอกให้
    ท่านต้องพิจารณาขันธ์ ๕ ก่อนนะ ทุกครั้ง หลวงพ่อยังต้องทำ แล้วท่านยังพูดต่อว่า
    “เอ้ย เอ็งเชื่อไหมว่า ขนาดพระอนุรุทธยังโดนหลอกเลยว่ะ พระอานนท์ก็โดนเหมือนกันว่ะ”ท่านพูดอย่างนี้
    แล้วสุดท้ายก็บอก “ข้าก็โดนเหมือนกัน” นี่พระอรหันต์นะ ..ยังทิ้งอารมณ์พื้นฐานไม่ได้เลย
    ไม่ใช่ว่าจิตนี่มันพร้อมแล้ว สว่างไสวเป็นผลึกดีแล้ว ไม่มีกิเลสตัณหาแล้วใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ..ไม่จริง ฉันขอยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้
    มันจะต้องทำใจให้มันถึงสักนิดหนึ่ง เพียงแต่เวลาของท่าน มันแค่ลัดนิ้วมือเดียว แล้วท่านก็สงบ เพราะการที่ท่านไม่สงสัยเสียแล้ว แต่ก็ต้องคิดถึงขันธ์ ๕ พิจารณาขันธ์ ๕ เหมือนกัน ท่านถึงจะยกจิตของท่านไปนิพพาน
    จำไว้เป็นตัวอย่าง เธอจะฝึกแบบสะเปะสะปะทำเป็นเล่นๆ ไม่ได้ผลหรอกนะ เสียเวลาเปบ่า มันเป็นเหมือนว่า “จิตหลอกตัวเธอ แล้วเธอก็เชื่อ”
    ดีไม่ดี มันก็มารก็มาแทรกใจเธอ ทำให้เธอถูกก็ได้ เขาจะหลอกให้เธอหลงอยู่อย่างนั้นแหละ มันเป็นเรื่องง่าย ช่องว่างเธอมี มารแทรกได้
    แต่ถ้าเธอทำตามที่พระพุทธเจ้า หลวงพ่อวางลำดับในการปฏิบัติ มารก็เข้ามายุ่งไม่ได้ เพราะเทวดาจะคุ้มครองรักษาตัวเธอตั้ง ๔ องค์ มารเข้ามายุ่งไม่ได้ เห็นไหมล่ะ มันต่างกัน
    แต่ถ้าเธอทำเองปุ้ปปั้บๆไป เสร็จเขา เขาดลใจให้ภาพเห็นก็ได้ ชัดเจนก็ได้ แล้วก็ทำให้ถูกต้องเสียด้วย ไม่ใช่ไม่ถูก เธอคิดยังไงเป็นยังงั้นเลยก็ยังได้ เดินทะลุกำแพงยังได้เลย เพื่อนพระฉันเป็นมาแล้ว เดินทะลุกำแพงโบสถ์เป็นมาแล้ว สุดท้ายเพี้ยนไปเลย เรื่องนี้เรื่องจริงนะ เล่าสู่กันฟัง
    เธออย่าประมาทนะ ปฏิบัติ พยายามดึงอารมณ์ใจของเธอให้มันถูกต้องตามแบบตามแผน ตามที่ครูบาอาจารย์ หลวงพ่อท่านวางเอาไว้ อย่าให้มันเสื่อม ไม่ต้องใจร้อน ค่อยๆทำไป ทำมันไปเรื่อยๆ ถ้ามันถูกทางเสียแล้ว มันจะไม่พลาดหรอก ตอนหลังแล้วมันจะมั่นคง แล้วเมื่อเธอมั่นคงเสียแล้ว มันก็จะไม่ถอยหลังอีก มันคุ้มกว่า ดีกว่าเธอสะเปะสะปะของเธอเรื่อยๆไป
    ทำกี่ชาติ ทำกี่ครั้งกี่คราว เธอก็วนอยู่อย่างนี้ แล้วก็ถูกเขาหลอกใจเธอไปเรื่อยๆ
    หนักๆ คนบางคนมันหลง เที่ยวไปพูดให้คนอื่นเขายกยอตัวเอง เป็นอาจารย์บ้างล่ะ เที่ยวสอนชาวบ้านเขาบ้างล่ะ เพราะตัวเองรู้ไง ทายถูกเป๊ะ ๆอย่างนั้นใช่ไหมล่ะ
    หลวงพ่อว่า “ ไอขี้หมา ของเด็กเล่น” นี่หลวงพ่อพูดจริงๆน่ะ ไม่ใช่ฉันพูดเองนะ สมัยท่านมีชีวิตอยู่ที่บ้านสายลม
    เขาทำได้อย่างนี้ คนอยู่ข้างหลังยังรู้คิดอะไรเลย คล่องด้วยไม่ใช่ไม่คล่อง
    ท่านบอก “ไอขี้หมา ของเด็กเล่นลูก ยังก่อน”
    อย่าไปหลงว่าดี เพราะพื้นฐานมันแค่ความคล่องตัว มันหลอกเราได้
    ของเหล่านี้ เทวดา เธออย่าไปสู้กับเขา ผี เทวดานี่ อย่าไปสู้กับเขานะ หลวงปู่ปานเคยพูดเอาไว้ใช่ไหมล่ะ อย่าอวดเก่งกับผี อย่าอวดดีกับพระ ท่านว่าอย่างนี้ อย่าไปคิดว่าเขาไม่มีอำนาจ พอที่จะบังคับใจเธอได้ หรือทำตามที่เธอต้องการได้ ให้สมดั่งใจเธอ เขาทำได้ เสมอนั่นแหละ ไม่ว่าเรื่องอะไร
    คนปฏิบัติแนวนี้ต้องพึงระวังในการปฏิบัติให้มันตรงตามที่ครูบาอาจารย์สอนอย่างเคร่งครัด ไม่งั้นเธอเสียทางละก็ กู่ไม่กลับนะจะบอกให้
    หนักๆเข้า ถ้าเธอมัวแต่ไปแนะนำคนอื่น บอกคนอื่น แล้วก็เที่ยวบอกเขาอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นนู่นเป็นนั่น ตาเธอจะเสียเอานะ หนักๆตาบอดได้นะ ไม่ได้ขู่น่ะ แต่เรื่องจริง มันเป็นอย่างนี้
    เพราะการที่ทำให้คนเขาเข้าใจผิด เห็นผิด เพราะเรานี่ก็หลงไปว่า เราเห็นถูก แล้วก็เที่ยวบอกคนอื่น บอกเขาว่าอย่างนี้ๆๆๆ แล้วเขาก็เชื่อเธออย่างนี้ ตามที่เธอคิดว่าเธอไม่หลงไป แต่จริงๆเธอหลงไปแล้ว นานๆเข้า ตาเธอจะเสีย กรรมชาตินี้ไม่ต้องกรรมชาติไหนหรอกนะ ชาตินี้แหละ อย่าล้อเล่นนะ เรื่องจริง เตือนเอาไว้ก่อนนะทุกคนนะ
    เธอ เขาเรียกว่า เราศึกษามาแล้ว ไม่อยากให้เสียทางปฏิบัติ เพราะเวลามันซื้อไม่ได้ มันผ่านไปแล้ว มันผ่านเลย ถ้าเธอไม่รู้จักใช้เวลาให้มันคุ้มค่ากับชีวิตที่เหลืออยู่มันน้อยนิด เราจะไปนิพพานยาก..เรื่องของเรื่อง
    จบช่วง ๔/๔
    ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๑
    คำสอนการปฏิบัติพระกรรมฐาน
    ของครูบาอาจารย์⚜️ท่านจิตโต⚜️
    ถอดความเสียง By Dhipya
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    #ตำราเป็นเพียงแนวทางเท่านั้น
    ถาม : .........................................
    ตอบ : ได้จ้ะ ไม่เป็นไร คนที่เดินทางโดยปราศจากแผนที่ แสดงว่ามีความกล้าหาญมากกว่าปกติ ...(หัวเราะ)... อย่างน้อยต้องมีแผนที่เอาไว้ ถึงเวลาจะได้รู้ว่าแต่ละอย่างที่เราทำไป เวลาเราพบเราเห็นแล้วเป็นอย่างไร จะได้รับมือได้ถูก
    หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ก่อนที่คณะของท่านจะบวช หลวงปู่ปานส่งหนังสือวิสุทธิมรรคให้คนละเล่ม เอาไปอ่านแล้วจำให้ได้ครบทั้งสี่สิบกอง ว่าแต่ละกองของกรรมฐานมีอะไรเป็นนิมิต ? มีสัญลักษณ์อย่างไร ? แต่ละขั้นตอนมีอาการอย่างไร ? ต้องจำให้ได้หมด จำได้เมื่อไรแล้วมาบอก
    หลังจากนั้นท่านก็เริ่มให้ไปทีละกอง เพราะว่าตอนปฏิบัตินั้น ตัวของเราไม่ได้เกิดมาชาติเดียว เกิดมาหลายต่อหลายชาติ ถ้าหากว่าต้องการจะปฏิบัติ คือถึงระดับปรมัตถบารมีแล้ว..ใช่ไหม ?
    #สามัญบารมีให้ทานได้ รักษาศีลและเจริญภาวนาไม่ได้
    #อุปบารมีให้ทานได้ รักษาศีลได้ บอกให้ภาวนาก็ทำไม่ได้
    #พวกภาวนาต้องปรมัตถบารมี
    คราวนี้กว่าจะถึงปรมัตถบารมี เราเกิดตายมานับชาติไม่ถ้วน ของที่ได้มาก่อนนั้นมีเยอะอยู่ เพราะฉะนั้น..ที่ท่านต้องบังคับให้จำได้ทั้งหมด เพราะว่าเวลาทำไป ๆ ของเก่าจะคืนมา
    ถ้าหากว่าฟังในปฏิปทาท่านผู้เฒ่าจะเห็นว่าหลวงปู่ปานบอกว่า "ถ้าหากว่านิมิตเกิดขึ้นให้ละเสีย เอาแต่กองกรรมฐานอย่างเดียว ถ้าไม่ใช่นิมิตในกองกรรมฐานไม่เอา" อยู่ ๆ ปรากฏว่ามีกะโหลกศีรษะลอยมา มีกระดูกลอยมาทีละท่อน ๆ ผ่านไป ๆ พอครบแล้วก็เริ่มต้นลอยมาใหม่ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็ละทิ้งหมดตามครูบาอาจารย์บอก ไม่ยอมให้ความสนใจ พอไม่สนใจก็ยิ่งมาใหญ่
    พอตอนเช้ากำลังจะฉันเช้าหลวงปู่ปานก็ถามว่า "เป็นอย่างไรคุณ..เมื่อคืนนี้ผีหลอกหรือ ?"
    หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "ไม่ใช่ครับ กระดูกมันหลอน"
    หลวงปู่ปานท่านถามต่อ "แล้วคุณทำอย่างไรล่ะ ?"
    หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตอบว่า "ผมก็ช่างมันตามแบบหลวงพ่อสอน"
    หลวงปู่ปานท่านว่า "ไอ้นั่นมันช่างเผือกซะแล้ว ไม่ได้ช่างมัน"...(หัวเราะ)... ไอ้ที่ช่างเผือกเพราะว่านั่นเป็นกรรมฐานเก่า เขาเรียกว่า "อัฏฐิกัง ปะฏิกุลัง" เป็นอสุภกรรมฐานกองหนึ่ง
    หลวงปู่ปานท่านบอกต่อว่า "ต่อไปถ้าเห็นอย่างนั้น กะโหลกศีรษะลอยมาให้กำหนดใจให้ตกอยู่ตรงหน้า กระดูกคอลอยมาก็ให้ตกอยู่ตรงหน้าต่อ ๆ ๆ กันให้เป็นตัวทั้งตัว แล้วก็พิจารณาต่อไปเลย"
    หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "แหม...เจ็บใจ ...ให้เราละเราก็ละ แต่ที่ไหนได้ไปเจอนิมิตที่ต้องยึด"
    คราวนี้ท่านก็เลยเล่นอสุภกรรมฐานกองนั้นจนกระทั่งช่ำใจ พออารมณ์ใจทรงเต็มที่ จิตจะมัวไปนิดหนึ่ง ลักษณะเหมือนกับเคลื่อนไปแวบหนึ่ง แล้วปรากฏเป็นแสงไฟขึ้นมาแทน ตอนนี้ท่านรู้แล้ว แสดงว่ากรรมฐานกองเดิมถึงจุดเต็มที่แล้วก็คลายตัวลง กรรมฐานเก่าที่เคยทำได้กองใหม่ที่โผล่ขึ้นมาเป็นเตโชกสิณ ท่านก็จับ เตโชกสิณังต่อไปเลย ท่านบอกว่ายอมโง่ครั้งเดียว ครูบาอาจารย์ท่านบอกให้ละก็ละ ตอนนี้มาเจอที่ต้องยึดก็ยึดละนะ
    คราวนี้รู้อยู่ว่าแต่ละอาการของกรรมฐานเป็นอย่างไร ? นิมิตเป็นอย่างไร ? ท่องตำรามาจนช่ำใจแล้วก็จำได้ จำได้ก็ต่อได้ทีเดียวเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปถามครูอาจารย์
    เพราะฉะนั้น..ต้องยึดตำราไว้บ้างเพื่อใช้เป็นหลัก แต่ไม่ใช่กอดตำราตายไปเลย เพราะสิ่งที่ตำราเขียนไว้เป็นแค่ส่วนหยาบ ๆ สิ่งที่เราพบเองเห็นเองจะเป็นส่วนที่ละเอียด ละเอียดจนถึงระดับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น "ปัจจัตตัง" ผู้ที่พบเห็น รู้เห็นด้วยตัวเอง ถึงจะเข้าใจว่าเป็นอย่างไร
    อย่างเช่นท่านบอกว่า "พออารมณ์ใจเข้าถึงตัวสุข จะสุขเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก" บอกไม่ถูกจริง ๆ อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ คนเราโดนไฟราคะ โลภะ โทสะ โมหะ สี่กองเผาอยู่ตลอดเวลา ทันทีที่กำลังใจก้าวเข้าสู่ความเป็นฌาน ไฟสี่กองจะโดนอำนาจของฌานดับลงไปชั่วคราว คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับไป จะสุขสบายขนาดไหนบอกถูกไหม ? อธิบายเป็นคำพูดได้ไหม ? ไม่ได้หรอก
    ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าไปกอดตำราตายตัว #ถ้ากอดตำราตายตัว #เราจะไม่เข้าใจอะไรมากไปกว่าตำราที่เขียน #ซึ่งเป็นส่วนที่หยาบ #เพราะส่วนละเอียดที่พบจริง ๆ #จะละเอียดเกินกว่าที่คำพูดและตัวหนังสือจะอธิบายได้
    ขณะเดียวกันถ้าเปรียบกับแผนที่ เขาขีดให้ไปทางด้านนี้ เราจะเห็นเส้นตรงขีดจากกรุงเทพฯ ตรงไปปทุมธานี ขึ้นไปอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ไปถึงวัดท่าซุง แต่พอวิ่งไปเข้าจริง ๆ ดูสิ..ไม่ใช่ขีดอย่างที่เห็นแล้ว เดี๋ยวโน่นก็ตึก เดี๋ยวนี่ก็ห้างสรรพสินค้า เดี๋ยวโน่นก็สะพานลอย เยอะแยะไปหมด ตามแต่สภาพที่เราประสบในลักษณะของการปฏิบัติจริง
    เพราะฉะนั้น..#ตำราจะเป็นแค่แนวทางคร่าว ๆ เท่านั้น ที่จะให้เรารู้ได้ว่าจะเจออะไรบ้าง พอถึงเวลาแล้วเราก็ต้องจัดการกับสิ่งที่พบเห็นด้วยตัวเอง ตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยเฉพาะอารมณ์การตัดสินใจด้วยตัวเองอันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าทำได้ทำถูกวิธี ต่อไปกรรมฐานทุกกองก็เหมือนกัน ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ ยังตัดสินใจไม่ถูก ทำไปก็ก้าวหน้ายาก บางครั้งก็ไม่ได้อะไรเลย
    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
    ที่มา : www.watthakhanun.com
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมฯวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร FB_IMG_1542597894502.jpg
     
  3. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับผม จริงครับ โมทนาสาธุครับ.
     
  4. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับ คุณ.ชนินทร...นำมาโพสต์ให้อ่านอีกครับ. ชอบและได้ใจจริงๆ..
    หลวงพ่อ ท่านยิ้มๆๆ ที่ลูกหลานของท่าน ปฎิบัติดีครับ.
     
  5. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    #วิธีการออกหมายเกณฑ์ลูกหลานของหลวงพ่อ.

    ๑ . การออกหมายเกณฑ์ คือตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าผู้ใดเป็นเชื้อสายของท่านเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งของท่าน หรือได้ฟังเทป หรือฟังวิทยุที่ท่านเทศน์ หรือได้อ่านได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับตัวท่าน แล้วขอให้เกิดศัทธาปสาทะจนต้องมาหาท่าน
    ๒ . ท่านฝากพระ พรหม หรือเทพยดาให้ไปเข้าฝันตามตัวให้หรือให้ไปบอกในสมาธิ
    ๓ . ท่านไปเข้าฝันเอง ทำให้ต้องตามหาท่าน( มีเรื่องเล่ากันหลายเรื่องแล้ว ) หรือไปสงเคราะห์ด้วยอภิญญา
    ๔ . ตามเพื่อน ญาติพี่น้องมาวัดหรือซอยสายลม หรือที่อื่น เพื่อมากราบท่าน แล้วก็มาติดใจหลวงพ่อ
    ๕ . แสวงหาพระดีไปทั่วประเทศ พอมาเจอหลวงพ่อวัดท่าซุงก็เลิกแสวงหา
    ๖ . พอเห็นท่านครั้งแรกโดยบังเอิญก็ติดใจ ทำบุญด้วยทันทีโดยไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร คราวหนึ่งท่านขึ้นไปดอยตุงแล้วลงมาฉันก๋วยเตี๋ยวเพลอยู่ที่ร้านข้างถนน อำเภอแม่สาย มีผู้หญิงอายุราว ๓๐ เศษคนหนึ่งเดินผ่านมาพบเข้าก็ซื้อลูกประคำมาถวายท่านท่านก็เอาประคำคล้องคอท่านทันที(ตามปกติท่านจะไม่คล้องลูกประคำนอกจากเพื่อเจริญศัทธาหมูมคณะเฉพาะงาน)พวกเราก็ล้อท่าน ท่านก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า " ท่านแม่บอกว่า น้องรักเขาถวาย คล้องให้กำลังใจเขาหน่อย "
    ๗ . ท่านไปตามเก็บเอง

    เมื่อเป็นลูกศิษย์ท่านแล้ว ทุกคนจะซาบซึ้งในพระกรุณาอันมหาศาลของท่านโดยไม่ต้องบรรยายในที่นี้เพราะท่านทำทุก ๆ อย่างเพื่อสงเคราะห์ลูกหลานของท่านในทุกโอกาสท่านปรารภว่า


    #โอวาทจากพ่อถึงลูก

    " พ่อมีกำลังกายกำลังใจทำได้ทุกอย่างก็เพราะลูกทุกคนของพ่อเป็นคนดี อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นลูกทุกคนจึงเป็นที่รักของพ่อ ใครเขาจะเกลียด ใครเขาจะชังลูกเป็นเรื่องของเขา แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน ต้องการอย่างเดียวคือ จะนำทางให้ลูกพ้นทุกข์ เข้าไปหาแดนสุขที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่มีความหนักใจแม้แต่นิดเดียว นั่นคือพระนิพพาน ความสุขรื่นเริงใจจริงๆ ของพ่อคือ "

    ๑ . ถ้าเห็นลูกรักของพ่อมีจิตเมตตาปราณี ปรารถนาสงเคราะห์คนและสัตว์ให้มีความสุข
    ๒ . เห็นลูกบริบูรณ์ไปด้วยสีลาจารวัตร
    ๓ . ลูกของพ่อรู้จักตัดนิวรณ์ ๕ ประการ
    ๔ . ลูกมีกำลังจิตเข้าประหัตประหารกิเลส สร้างสังขารุเปกขาญาณให้เกิด

    เพราะความดีของลูกของพ่อทุกคน ทั้งลูกหญิงลูกชายตลอดจนกระทั่งลูกที่เป็นพระและเณรเป็นคนดีทั้งหมด ภาระทุกอย่างที่พ่อหนักอยู่ เป็นอันว่าทุกคนช่วยกันแบกและแบกจนกระทั่งพ่อคาดไม่ถึง เป็นอันว่าความดีของลูกมันเกินกว่าที่พ่อจะพรรณาถึงความดี คำว่า " เหนื่อยเพื่อลูกจึงไม่มีสำหรับพ่อ มันเหนือความเหนื่อย และเหนือความเบื่อหน่ายของพ่อ ถึงแม้พ่อจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม ไม่มีความสำคํญ เพราะว่าพ่อเห็นว่า ชีวิตของพ่อไม่มีความสำคัญไปกว่าความดีของลูกลูกทุกคนมีความดีเกินไปกว่าที่พ่อจะห่วงใยในชีวิตของพ่อทั้งนี้เพราะว่าลูกของพ่อดีกว่าที่พ่อคิดไว้ว่าลูกจะพึงดี ลูกทุกคนรักพ่อ ลูกทุกคนยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อพ่อ ลูกทุกคนพยายามสละผลประโยชน์ทุกอย่างเพื่อพ่อ พ่อเห็นใจลูกที่ทิ้งการงานทุกอย่าง ยอมสละทุกอย่างเพื่อมาทำงานสาธารณประโยขน์ และมีน้ำใจเสมอด้วยน้ำใจพ่อ ความดีของลูกอย่างนี้เป็นปัจจัยให้พ่อรักลูกทุกคนยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ ฉะนั้นขอบรรดาลูกทุกคน จงรักษาความดีของลูกไว้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม ชีวิตและร่างกายของพ่อไม่มีความสำคัญ ถ้าห่วงมันมากเท่าไหร่ มันมีเวลาแน่นอน พ่อไม่อยากจะจากลูกไป พ่อรักลูกทุกคนมาก พ่อสงสารลูกทุกคน เห็นน้ำใจของลูก แต่ลูกรัก ขันธ์ ๕ ของพ่อมันห้ามไม่ได้..

    ฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่เป็นประโยชน์แก่ลูก พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อลูกของพ่อ และพ่อจะไม่ห่วงใยอาลัยในชีวิตของพ่อ ถึงแม้เลือดและเนื้อของพ่อจะเหือดแห้งไปก็ตามทีหรือว่าชีวิตตินอินทรีย์ของพ่อจะสลายไปก็ตาม พ่อทำทุกอย่างได้เพื่อลูก

    ชีวิตของพ่อ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะอยู่ไปนานหรือไม่นาน สังขารมันแย่อยู่แล้ว มันคอยจะตายอยู่แล้ว พ่อไม่มั่นใจว่าชีวิตของพ่อจะอยู่นานสักเท่าใด

    ฉะนั้นขอลูกรักของพ่อทุกคน คำสอนใดที่พ่อให้ไว้กับลูก ลูกจงถือคำสอนนั้น นั่นแหละคือพ่อของเจ้า สำหรับร่างกายของพ่อนี้เล่า ลูกอย่าถือมากเกินไป เพราะชีวิตและร่างกายเกิดแล้วก็ตาย "
    FB_IMG_1542690416566.jpg
    หนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ฉบับวัดท่าซุง หน้า ๔๖๘ - ๔๖๙ โดยท่านเจ้าคุณภาวนากิจวิมลวัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ. อุทัยธานี รวบรวมจัดพิมพ์โดยคณะสงฆ์วัดท่าซุงและศิยานุศิษย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงอุทัยธานี.
     
  6. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    มีท่านใดโดนหมายเกณฑ์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) แห่งวัดท่าซุง.... บ้างคะ
     
  7. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับผม ดาราแฟร์โดนครับโดน
    โดนตามทางจิต ปี 2530 ครับผม.
     
  8. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    โดนเหมือนกันค่ะ.... อ่านหนังสือ "ประวัติหลวงปู่ปาน".... ต้องรีบแจ้น.... ไปฝึก "มโนมยิทธิ" ที่วัดท่าซุงแทบไม่ทัน :D:D:D...

    นึกน้อมกราบขอบพระคุณแทบบาทของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมาตลอด.... ที่ท่านไม่เคยทิ้งลูกหลานเลย...

    ก็เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน... จึงทำให้ทราบว่า.... ตัวเองเดินตามรอยพระบาท และอยู่ในสายแห่ง... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมมาอย่างยาวนาน...

    ดวงจิตแต่ละดวง.... ต้องระหกระเหิน เดินทางไกล.... ช่างยาวไกล.... และยาวนานจริง ๆ... ถ้าไม่มีที่ยึดเกาะในหนทางที่ถูกที่ควร... ความทุกข์ระทมคงยากที่จะจบสิ้นจริง ๆ...

    น้อมกราบแทบพระบาท "สมเด็จพ่อองค์ปฐม" มาด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
     
  9. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    :D:D:D

    อ่าน "ประวัติหลวงพ่อปาน"

    ผู้ถาม : "เรียนถามหลวงพ่ออีกนิดหนึ่งว่า
    ทำไม "ประวัติหลวงพ่อปาน" บางคนอ่านแค่
    บรรทัดเดียวขนลุกซู่ซ่า บางคนพออ่านแล้ว
    แหม...คันไม้คันมืออยากจะควักสตางต์ไปทำ
    บุญที่วัดท่าซุง อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า
    หนังสือ "ประวัติหลวงปู่ปาน" นั้นหลวงพ่อเสก
    คาถาอะไรไว้หรือเปล่าเจ้าคะ...?"

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) "ไม่ได้เสกเลย มันเกี่ยว
    กับบารมีของเขา มันตรงกับจริตไงเล่า!"

    ผู้ถาม : "และก็บางคนอ่านแล้ว เกิดศรัทธาให้
    เลื่อมใสในหลวงพ่อ อย่างนี้แสดงว่าเคยเป็น
    เชื้อสายหรือเปล่าครับ...?"

    หลวงพ่อ : "ใช่ๆ ๆ...

    หนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน" นี้ก่อนทำ
    หลวงพ่อได้อธิษฐานไว้ว่า "ถ้าผู้ใดเป็นลูกหลาน
    หรือเคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมา อ่านแล้วก็ขอให้
    มีความศรัทธาเลื่อมใส"

    ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคน
    ต้องหยุดทำชั่วทุกอย่างเพราะหนังสือเล่มนี้ แล้ว
    ก็หันมาทำความดี ถือศีลทำบุญกันเป็นแถว"

    ตอบปัญหาธรรมโดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
    (ธัมมวิโมกข์ ฉบับ ๒๐๙ หน้า ๘๙-๙๐)
    FB_IMG_1542699027679.jpg
     
  10. pleแบม

    pleแบม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +1,427
    ข้าพเจ้าคนหนึ่ง ได้ยินชื่อหลวงพ่อฤาษีก็สงสัย อยู่ ๆ ก็ได้ ฝากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาทำบุญ เลยได้หนังสือประวัติหลวงพ่อปานมา ก็เลยเคารพท่านมาก
     
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขออนุญาตเรียกคุณแบมนะคะ ^__^

    ลูกหลานพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน... ในเว็บพลังจิต... คงมีไม่น้อยเลยนะคะ... :):):)
     
  12. pleแบม

    pleแบม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +1,427
    คิดว่าเยอะค่ะ ตอนหลวงพ่อมรณะภาพ ก็อธิฐานจิตขอให้พบพระที่ท่านสามารถสอนลูกให้ไปนิพพานได้ด้วยเทอญ ก็เลยฝึกวิชาหลวงพ่อสด แล้วก็หลวงพ่อจรัญ ตอนนี้พระอาจารย์เล็กค่ะ
     
  13. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    ขอบคุณค่ะที่เล่าให้ฟัง...

    จริง ๆ ครูบาอาจารย์แต่ละท่าน... เมื่อเข้าถึงจุดแห่งธรรม... จากที่เคยอ่าน... เคยศึกษามา... แต่ละท่านไม่เคยแยกสายเลย... ทุกท่านมีองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า.... เป็นบรมครูทั้งสิ้น...

    ไม่ว่าจะสายไหน... ก็ใช้เพียงแค่สมถะกรรมฐาน ควบคู่กับวิปัสสนากรรมฐาน... เพื่อเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมทั้งสิ้น...

    (ไม่นับท่านที่ปฏิเสธหรือบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า... พระธรรม... และพระอริยสงฆ์...) นะคะ

    จริง ๆ ต้องถือว่าคนที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา... โชคดีมาก ๆ แล้ว... ต้องบอกว่า โชคดีมหาศาลทีเดียว...

    กราบโมทนากับคุณแบมด้วยนะคะ... ที่พยายามพ้นออกจากกองทุกข์แล้ว... __/\__
     
  14. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับผม
    มโนมยิทธิ สำคัญและจำเป็นมากครับ สำหรับกึ่งพุทธกาลนี้ครับผม.
     
  15. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    บุคคล ๔ จำพวกในโลก
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    "มนุษย์และสัตว์โลก ล้วนถูกลิขิตให้เกิดมาเพื่อชดใช้
    กรรมจากในอดีตชาติทั้งสิ้น ใครทำกรรมดีมา ก็ได้เกิด
    มาเสวยสุขและใครทำกรรมชั่วมาก็ต้องชดใช้กรรมชั่ว
    นั้น ๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนเมื่อเกิดมาแล้ว หากผู้ใด
    สร้างสมแต่คุณงามความดี ก็จะไปได้รับส่วนกุศลผลบุญ
    ตอบสนองเอาในชาติหน้า
    เหมือนเช่นคนที่เริ่มปลูกมะม่วงในขณะนี้ ก็จะไปได้กินผลมะม่วงในอีก 5-6 ปีข้างหน้านั้นแหละ ส่วนผู้ใดแม้ร่ำรวย
    มั่งมีศรีสุขหากประกอบแต่กรรมชั่วไว้ในชาตินี้ ก็จะต้องไป
    ชดใช้กรรมชั่วในชาติหน้า เช่นกันนะ
    ด้วยเหตุนี้ องค์สมเด็จพระศาสดา จึงได้จำแนกผู้คน
    ออกไว้เป็น 4 จำพวกด้วยกันคือ
    1.มาสว่างไปมืด
    ได้แก่ บุคคลที่ในอดีตชาติสั่งสมบุญไว้มาก พอมาเกิด
    ในชาตินี้ก็มั่งมีศรีสุข และประสบความสำเร็จในหน้าที่
    การงาน แต่มิได้สร้างสมบุญกุศลเพิ่มเติม หรือกระทำ
    แต่ความชั่วในชาตินี้ เมื่อตายไปแล้วก็จะต้องชดใช้กรรม
    ในอบายภูมิทั้ง 4 คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
    หรือแม้นหากเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะยากจนข้นแค้นสาหัส
    2.มามืดไปมืด
    ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาชดใช้กรรมชั่วที่ได้กระทำ ไว้ในอดีตชาติมิหนำซ้ำเมื่อเกิดมาแล้ว กลับกระทำแต่
    ความชั่วอีก เมื่อตายไป ก็จะต้องไปชดใช้กรรมชั่วใน
    อบายภูมิสถานเดียว
    3.มามืดไปสว่าง
    ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาชดใช้กรรมชั่วที่ได้กระทำมาแล้ว
    ในอดีตชาติ และแม้เมื่อเกิดมาในชาตินี้ จะมีฐานะความ
    เป็นอยู่ที่ยากจนข้นแค้นแสนสาหัสสักเพียงไหน ก็ตั้งหน้า
    ตั้งตาประกอบแต่คุณงามความดีโดยไม่ ท้อถอย เมื่อ
    ตายไปจักได้ไปเสวยสุขตามกุศลผลบุญที่ได้กระทำนั้น
    4.มาสว่างไปสว่าง
    ได้แก่ บุคคลที่ในอดีตชาติ สั่งสมบุญไว้มาก เมื่อมา
    เกิดในชาตินี้ก็มั่งมีศรีสุข และประสบความสำเร็จใน
    หน้าที่การงาน มิหนำซ้ำกลับตั้งหน้าตั้งตาประกอบแต่
    คุณงามความดี เพิ่มเติมโดยไม่หยุดยั้ง เมื่อตายไปก็
    จักไปเสวยสุขในภูมิที่สูงกว่ามนุษย์นะ หรือแม้นเกิด
    เป็นมนุษย์ก็จะร่ำรวย มั่งมีศรีสุขยิ่งกว่าเก่า ประสบ
    ความสำเร็จในหน้าที่การงานยิ่งกว่าเก่านะ
    เข้าใจหรือยัง..?
    รวมความว่า ทุกคนเกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่าที่ได้กระทำ
    มาแต่อดีตชาติทั้งสิ้น หากทำดีมากก็ได้เสวยสุข หาก
    ทำชั่วก็ต้องทนทุกข์ชดใช้กรรมไป ส่วนจะกระทำความดี
    หรือกระทำชั่วในชาตินี้ ก็ต้องว่ากันในชาติหน้า
    แต่การกระทำความชั่วบางอย่าง เป็นบาปมหันต์ อาจ
    ต้องรับกรรมชั่วอย่างทันตาเห็น โดยไม่จำเป็นต้องรอ
    ไปถึงชาติหน้าก็มีเช่น เถนเทวทัต ถูกธรณีสูบ เป็นต้น
    ขอให้จำไว้นะ
    ของสูงเช่นพระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี
    พระอรหันต์ก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี อย่าได้ไปลบหลู่ดูหมิ่น
    เป็นอันขาดนะ เพราะเป็นบาปมหันต์ รับผลทันตาเห็น
    ในชาตินี้ทันที และแม้ตายแล้ว บาปนั้นก็ยังติดตาม
    ไปถึงชาติหน้าภพหน้าอีกด้วยนะ

    FB_IMG_1542872484402.jpg
     
  16. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    จริงครับ น้อมจิตรับพระธรรมคำสอนนี้ และน้อมจิตกราบโมทนาสาธุ.สาธุ.สาธุ ครับ.
    คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมชั่วที่เคยทำไว้ และเบิกกรรมดีที่เคยทำไว้มาใช้และทำกรรมดีต่อไปให้ดียิ่งๆขึ้นไปอีก.โดยมีฐานความดี-ความชั่ว เป็นทุนเป็นฐานเดิมมาก่อนทั้งสิ้นครับ.
     
  17. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    วันนี้ขอบ่นไปเรื่อย ๆ แล้วกันนะคะ....

    ทุกดวงจิต.... ต้องเคยทำทั้งสิ่งดีและสิ่งไม่ดี... ทำมานานหลายภพหลายชาติ... จนนับไม่ได้...

    เมื่อเกิดมาแล้ว.... ก็ต้องมารับเศษของกรรมดี และกรรมไม่ดีเหล่านั้น....

    เมื่อรับกรรมดี.... ก็คิดว่า เรานี้ช่างโชคดีมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่... ชีวิตช่างหฤหรรษ์จริง ๆ...

    แต่เมื่อต้องรับเศษของกรรมชั่วที่ได้เคยทำลงไป... ชีวิตก็ช่างมีแต่ความระทมทุกข์....

    แล้วอย่างไรต่อ....

    ก็สร้างทั้งกุศล และอกุศลกรรมกันต่อไป....

    ใครทำให้ไม่พอใจ ไม่ถูกใจ หรืออาจจะถึงขั้น ทำร้ายทั้งร่างกาย และจิตใจ.... หรือ บางคนแค่คิดว่า.... คนอื่นทำไม่ดีกับตน.... ทั้ง ๆ ที่... ตัวเองนั่นแหละที่ทำร้ายตัวเอง.... คิดอยากได้ของของคนอื่น.... เมื่อไม่ได้ดั่งใจ.... ก็คิดว่าตนโดนรังแก โดนรุมทำร้าย... นั่นก็เพราะผลของอกุศลกรรมอีกเช่นกัน....

    ชีวิตมันทุกข์เหลือเกิน....

    ในช่วงที่มีความสุข.... ก็เพราะเกิดความพอใจ... ดีใจ... สะใจ... ในบางสิ่งบางอย่าง... แล้วก็กลับมาทุกข์ใหม่....

    ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน... ไม่มีอะไรเกิด แล้วไม่ดับ....

    มีสุข ก็ต้องมีทุกข์.... มีทุกข์ แล้วก็มีสุข... วนเวียนกลับไปกลับมา... ไม่จบสิ้น...

    เราทำเขา.... เขาทำเรา...

    เราไม่ได้ทำเขา.... เขาทำเรา....

    เราทำเขา... เขาไม่ได้ทำเรา....

    ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบสิ้นลงได้ก็ด้วยการ... อโหสิกรรม...



    ข้าพเจ้าให้อโหสิกรรมต่อทุกดวงจิตที่เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามา....
    ไม่ว่าจะในชาติภพใดก็ตาม...
    ด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม...
    ด้วยกาย วาจา หรือใจก็ตาม...
    ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะเป็นศัตรู หรือทำร้าย ทำลายดวงจิตดวงใดอีกแล้ว

    และข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐานใด ๆ คำอกุศลกรรมใด ๆ ที่ข้าพเจ้าอาจจะเคยใช้กับดวงจิตใด ๆ ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม... และไม่ขอรับคำอธิษฐาน คำผูกมัด คำสาปแช่ง คำอกุศลกรรมใด ๆ ที่ดวงจิตอื่นเคยใช้กับข้าพเจ้า ขอให้คำอธิษฐานทั้งหลายเหล่านั้น เป็นโมฆะกรรม สลายตัวไปโดยฉับพลันทันใด นับจากนี้ตราบเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน...

    หากข้าพเจ้าเคยประมาทพลาดพลั้งต่อ...

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    องค์พระธรรม
    องค์พระอริยสงฆ์
    บิดามารดา
    ครูบาอาจารย์
    ท่านผู้มีพระคุณทุกท่าน
    พรหม เทพ เทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
    มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน
    ดวงจิตดวงวิญญาณใด ๆ
    เจ้ากรรมนายเวรทั้งหมด...

    ที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินทุก ๆ พระองค์ ทุก ๆ ท่านมา...
    ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี ชาติที่เป็นอดีตก็ดี
    ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี
    ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...

    ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า... และทุก ๆ ท่าน...

    ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้านับแต่บัดนี้ ตราบเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด

    พุทธังประสิทธิโน
    ธัมมังประสิทธิโน
    สังฆังประสิทธิโน

    ปัจจุปันนัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ
     
  18. pleแบม

    pleแบม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +1,427
    จริงค่ะ ทุกข์มากจริง ๆ เกิดเป็นทุกข์ ดำรงชีพอยู่ก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ เจ็บและตายก็ทุกข์ พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
     
  19. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับผม
    โมทนาสาธุ.สาธุสาธุ.ธรรมสนทนากัน.
    กลับบ้านนิพพานกันครับ.
     
  20. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ลูกไก่และปลา

    มีใครเลี้ยงไก่แบบปล่อยธรรมชาติบ้าง ? เลี้ยงแบบไม่ขัง ถ้าคนที่เลี้ยงไก่แบบปล่อย จะต้องเคยมีประสบการณ์ว่า เวลาที่อันตรายเกิดขึ้น แม่ไก่จะร้องบอก แล้วลูก ๆ ก็จะหายวับไปกับตา เคยเห็นไหม ? ถ้าฉุกเฉินกระทันหัน แม่ไก่ร้องกระต๊ากทีเดียว ลูกไก่จะหายวับไปเลย

    ถาม : หลบไปอยู่ใต้ปีกหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : อยู่ตรงข้างหน้านั่นแหละ แต่เราจะมองไม่เห็น อันนี้จะว่าเป็นธรรมชาติก็ได้ จะว่าเป็นฤทธิ์ที่เป็นวิบากกรรมก็ได้

    ตราบใดที่แม่ไก่ไม่ร้องเรียกครั้งต่อไป ลูกไก่จะเหมือนกับตาย แข็งทื่อไปเลย แล้วสีของเขาคล้ายกับสภาพแวดล้อมบริเวณนั้นมาก ถ้าตาไม่ดี..มองไม่เจอหรอก เขาจะนอนนิ่งไปเลย
    ถ้าเราไปเดินหา บางทีเหยียบเขาตายไม่รู้ตัว ต่อให้เราเหยียบตาย ถ้าแม่ไก่ไม่ร้อง ลูกไก่ก็เฉย ที่พูดถึงเรื่องลูกไก่นี้เพราะว่า

    ประการที่หนึ่ง ในเรื่องไสยศาสตร์ เขาเชื่อว่าลูกไก่มีคาถาวิรุณจำบัง กำบังสายตาของคนและสัตว์ได้ แต่ถ้าคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ก็อย่างที่บอกมา เวลาเขานอนนิ่งไม่เคลื่อนไหว และสภาพร่างกายที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ก็เลยทำให้มองไม่เห็น

    ประการที่สอง ลูกไก่เชื่อแม่ แม่ที่ถือว่าเป็นครู ถ้าครูสั่ง ก็ทำสุดชีวิตของตัวเลย โดนเหยียบตายก็เฉย เพราะถือว่าครูยังไม่สั่งให้เลิก

    และประการสุดท้าย ถ้าหากกิเลสแรงก็หัดตายเสียบ้าง ลูกไก่สามารถปิดทวาร ไม่รับรู้อาการภายนอกเลย จนกระทั่งเสียงแม่เรียก ถึงจะกลับฟื้นคืนชีวิตมาอีกที เราจะทำอย่างไรที่จะปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้กิเลสกินใจเราได้

    ถ้าที่ไหนเขามีเลี้ยงไก่ลักษณะอย่างนี้ ก็ให้ไปสังเกตดู เวลาอันตรายเกิดขึ้น แม่ไก่กระต๊ากทีเดียว ลูกไก่ก็หายวับไปเลย ตัวไหนที่แม่กระต๊าก แล้วยังยืนอยู่ รับประกัน..ตายทุกราย..!
    จะว่าไปแล้ว สัตว์มีสามัญสำนึกและสติรู้น้อยกว่าคน เขายังสามารถที่จะเอาตัวรอดได้

    สมัยยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ตอนนั้นไก่จะมีเยอะมาก พออาตมาไม่อยู่ ปัจจุบันนี้แทบจะไม่มีเหลือ เพราะว่าพอไม่อยู่แล้ว เขาไปตัดกิ่งไม้ ตัดให้เหลือแค่ที่ตัวเองคิดว่าดี..

    แต่ไก่ขึ้นต้นไม้ไม่ได้ ไก่ต้องอาศัยกิ่งไม้ต่ำ ๆ ก่อน พอบินขึ้นไปเกาะสักกิ่งหนึ่งได้แล้ว ก็จะค่อย ๆ บินขึ้นไปตามกิ่งทีละช่วง แล้วจะไปอาศัยนอนปลายกิ่ง เพราะถ้าหากมีศัตรูมา กิ่งไม้ไหวจะได้รู้ตัวก่อน แต่ปลายกิ่งนั้นจะต้องอยู่ใต้กิ่งอื่น.. ป้องกันไม่ให้ศัตรูที่มาจากข้างบนทำอันตรายได้
    ทีนี้คนตัดก็ไม่ค่อยสังเกต ไปตัดกิ่งไม้เสียเหี้ยนเตียน ไก่ก็เลยไม่มีที่นอน พอไปนอนข้างล่างศัตรูเข้าถึงได้ง่าย..ก็เรียบร้อย

    และที่เห็นชัดที่สุดก็คือ เวลาแม่ไก่เลี้ยงลูก พอได้สัก ๑๐ วัน หรือครึ่งเดือน แม่ไก่จะบินขึ้นต้นไม้ ไม่ยอมนอนข้างล่าง เพราะรู้ว่าข้างล่างอันตรายมาก ลูกไก่แหกปากร้อง แม่ไก่ก็เรียกอยู่ข้างบน..ให้ขึ้นมา ลูกไก่ก็ต้องพยายามขึ้นไป ปีกลูกไก่เล็กนิดเดียว บินขึ้นไปได้สัก ๒ ศอก ก็หล่นลงมา ก็ต้องหาทาง.. กิ่งไหนที่พอจะขึ้นถึง ก็บินขึ้นไปเกาะ...

    ค่อย ๆ ขึ้นไปทีละช่วง.. แม่ไก่จะเรียกจนกว่าลูกจะขึ้นมาครบ ถ้าเรียกจนค่ำแล้ว ลูกยังขึ้นมาไม่ครบ แม่ไก่จะหุบปากเลย "ถ้าไม่ตายเสียก่อน พรุ่งนี้เจอกัน" เอาอย่างนั้นบ้างไหม ?

    สมัยก่อนคุณมงคล ลูกชายเจ้าของบ้านอนุสาวรีย์ฯ เขาเบื่อที่พวกเรามากันเยอะแยะ เขาบอกว่าสำหรับเขานะ พวกที่ยืนด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ปล่อยให้ตายไปเสียเลย ใช้วิธีคัดเลือกแบบธรรมชาติ ผู้ที่แข็งแรงจึงจะรอดจากวงจรกิเลสได้

    ฉะนั้น..พวกเราควรที่จะระมัดระวังอยู่จุดหนึ่งคือ ความหวังพึ่งพิงคนอื่นมากเกินไป ถ้าตราบใดที่ยังรู้สึกว่าตัวเองมีที่พึ่งอยู่ ก็จะไม่ใช้ความพยายามจริง ๆ ต้องตัดหาง ไม่ใช่ตัดหางแล้วปล่อยวัดนะ ตัดหางแล้วปล่อยเข้าป่า...ป่ากิเลส ถ้ารอดออกมาแล้วค่อยว่ากันใหม่

    เรามาดูอีกทีว่า เมื่อแม่ไก่ไม่หันหลังกลับมารับจริง ๆ ลูกไก่ก็ต้องใช้ปัญญา ทำอย่างไรจะขึ้นไปหาแม่ได้ ตัวเองมีกำลังสติและสมาธิแค่นี้.. ก็ต้องหางานที่เหมาะกับกำลังสติและสมาธิแค่นี้..โดยใช้ปัญญาของตัวเอง

    ก็ต้องพยายามบินขึ้นในระยะหนึ่งก่อน เสร็จแล้วค่อยดูว่า จะไปทางไหนต่อ จนกระทั่งในที่สุดก็ขึ้นไปอยู่กับแม่ได้...

    คราวนี้เราเป็นคน ฝึกมาปีแล้วปีเล่า ต้องบอกว่านานเกินไปแล้ว แม่ไก่ให้โอกาสลูกแค่ ๑๐ วันหรือครึ่งเดือนเท่านั้น ตามไม่ได้ก็ทิ้ง..!

    บางท่านประมาทเกินไป ทำเหมือนกับว่า ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะต้องตาย ก็เลยไม่ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างจริง ๆ จัง ๆ พอเหนื่อยหน่อยลำบากหน่อยก็พอแล้ว ที่พอแล้วนั้นพอกินหรือ ? สมัยอยู่ที่เกาะพระฤๅษี อาตมาเห็นอะไรเยอะเลย จากการที่เลี้ยงไก่

    อย่าดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความประมาท ต้องระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราต้องตายลงไปไม่วันใดวันหนึ่ง ฉะนั้น..ถ้ามีอะไรที่ตัวเองทำ เพื่อให้ตัวเองไปในที่ซึ่งดีที่สุด ไปให้ได้ไกลที่สุด ก็ต้องทำเอาไว้ก่อน มัวแต่ไปใจเย็นอยู่เหมือนกับไม่รู้จักตาย เดี๋ยวก็ได้ตายจริง ๆ ตายฟรีด้วย..!

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง กลางคืนเข้านอนแล้วได้ยินเสียงแปลก ๆ ที่เกาะพระฤๅษีมีน้ำล้อมรอบ ถ้าเราแยกเสียงที่ผิดธรรมชาติออกจากเสียงน้ำที่ไหลตามธรรมชาติไม่ได้ เราจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย

    คืนนั้นที่ตื่นขึ้นมาเพราะว่ามีเสียงแปลก ๆ ก็สงสัยว่าเป็นเสียงอะไร ? เอาไฟฉายไปส่องดู ปรากฏว่าปลากระสูบในลำธารขึ้นมาหลายร้อยตัวเลย ทวนน้ำขึ้นมา..ทวนน้ำขึ้นมา พอถึงตรงที่น้ำตื้น ก็จะแฉลบตัวเองเพื่อที่จะขึ้นต่อไป เสียงตอนที่แฉลบน้ำนั่นแหละที่ดังผิดปกติ และไม่ใช่แค่เพียงตัวเดียวนะ แต่เป็นร้อย ๆ จึงได้รู้ว่าเขาขึ้นมาผสมพันธุ์กัน

    พวกนี้จะขึ้นมาวางไข่ที่ต้นน้ำ พอเกิดเป็นตัว หากินได้ แข็งแรงพอแล้ว ก็จะตามน้ำลงไป ไปหาที่เหมาะสมกับตนเอง พอถึงฤดูผสมพันธุ์ ก็จะแห่กันมาเพื่อที่จะผสมพันธุ์กันใหม่ ก็ต้องว่ายทวนน้ำขึ้นมาอีก ตรงไหนก็ตามที่น้ำน้อย ก็ต้องกระเสือกกระสนให้ผ่านไปให้ได้

    การที่ปลาทวนกระแสน้ำ เหมือนกับพวกเราที่ทวนกระแสกิเลสอยู่ พอทวนมาก ๆ บางทีเราก็ล้า เวลาปลาเขาล้าก็จะหาทางหลบ ถ้าไม่มีก้อนหิน ไม่มีรากไม้ให้บัง เขาก็ว่ายไปทางด้านข้าง เพราะว่าด้านข้างน้ำจะไหลเบาที่สุด ฉลาดมากเลย ถ้าเป็นเราก็มักจะดาหน้าไปแล้วก็ตายคาที่..! เพราะชอบไปตรงที่กิเลสแรงที่สุด

    ปลาเขาจะต้องตะเกียกตะกายขึ้นไป จนถึงจุดหมายปลายทางของเขาด้านบน เขาจึงจะสามารถที่จะแพร่พันธุ์ของเขาต่อไปได้ สามารถที่จะสืบทอดเผ่าพันธุ์ของเขาต่อไปได้ ลองมานึกว่า ถ้าหากตัวเราแพ้กิเลส ก็เท่ากับว่าเราไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ แล้วจะไปสั่งสอนคนอื่นต่อ ก็ขาดความขลัง เพราะว่าตัวเองยังทำไม่ได้ สิ่งที่พูดไปก็ไม่น่าเชื่อถือ

    ในเมื่อเรามาดูตัวอย่าง ทั้งลูกไก่ก็ดีทั้งปลาก็ดี ลูกไก่รู้จักเอาตัวรอดจากอันตรายด้วยการเชื่อฟังพ่อแม่ และพยายามตะเกียกตะกายตามพ่อแม่สุดชีวิต เพื่อที่จะได้อยู่รอดต่อไปได้ ขณะเดียวกันปลาก็ต้องทวนน้ำขึ้นมาด้วยความยากลำบากเหมือนกัน ไม่รู้ว่าไกลขนาดไหน ถ้าหากตัวไหนหากินไปถึงปากอ่าว ก็ต้องตะกายกลับมาหลายร้อยกิโลเมตร แต่ท้ายสุดเขาก็กลับมายังที่เดิมที่เดียวกัน เพื่อที่จะดำรงเผ่าพันธุ์ของตัวเองต่อไป
    ใครที่ผิดพลาด ก็แปลว่าจะต้องกลายเป็นเหยื่อของสัตว์อื่นตั้งแต่กลางทาง หรืออาจจะมาไม่ถึง ไม่สามารถที่จะจับคู่เพื่อที่จะกระจายพันธุ์ของตัวเอง ก็เหมือนกับคนที่แพ้กระแสกิเลส ไม่สามารถที่จะสืบทอดความดีของครูบาอาจารย์ได้ ขณะเดียวกันนอกจากตัวเองไม่สามารถที่จะได้ความดีอันนั้นแล้ว เราจะกระจายความดีต่อไปก็ไม่ได้อีก
    ถ้าเราเปรียบกระแสน้ำเป็นกระแสกิเลส ทุกวันนี้เราต้องทวนน้ำอยู่ตลอดเวลา จะเป็นปลาตายไม่ได้ เพราะปลาตายจะลอยตามน้ำ ต้องเป็นปลาเป็น ว่ายทวนน้ำไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่ารอดจากเบ็ด รอดจากฉมวก รอดจากตาข่ายไป เป็นอันว่าคุณแข็งแรงพอที่จะทำหน้าที่ตนเองให้สมกับที่เกิดมาชาตินี้ แต่ถ้าหากว่าไม่รอด ชาติหน้าค่อยเจอกันใหม่..!

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓

    FB_IMG_1543024935954.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...