คุยกับผีตัวที่ ๘ พระพิรุณเทวา อีกครั้งข้อมูลครบ อนุญาตให้เผยแพร่ได้ทุกกรณี

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย JeTo2008, 10 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. JeTo2008

    JeTo2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +1,845
    คุยกับผีตัวที่ ๘ (พระพิรุณเทวา)ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เอาล่ะและแล้วเราก็มาถึงผีตัวที่ 8 กันนะครับ ขอโทษทีที่ทำให้รอนาน พอดีมันมีเรื่องยุ่งๆมากมายเกี่ยวกับกิจกรรมที่อาศรมนั้นแหละเยอะแยะไปหมดเลยนะครับ เอาแหละเรื่องผีตัวที่ 8 นี้เราจะขอย้อนกลับไปนิดนึง จริงๆแล้ววันที่เกิดผีตัวที่ 8 เนี่ยเป็นประมาณซักวันที่ 2 หรือวันที่ 3 ในขณะที่ถือศีล 8อยู่ที่วัดนี่แหละครับ ตอนนั้นเป็นช่วงเช้าหลังจากฉันอาหารเสร็จก็อย่างที่บอกตอนนั้นถือศีล 8 อยู่การขบการกินอะไรต่างๆนาๆเขาเรียกว่าฉันเหมือนกับพระหรือนักบวชทั่วๆไปนั้นแหละ หลังจากฉันอาหารเช้าเสร็จแล้วก็กลับมาพักที่กุฏิ ก็ซักเครื่องนุ่งห่มชุดขาว อาบน้ำชำระร่างกายอะไรเสร็จแล้วออกมาเดินจงกลมปฏิบัติธรรมไปตามปรกติ วันนั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝนมากเป็นช่วงฤดูฝน ขณะที่เดินๆไปฝนก็ตกพร่ำๆหมายถึงว่าเดินจงกรมนี่นะ เดินจงกลมไปซักพักนึงเรื่อยๆนี่นะฝนก็ตกมาพร่ำๆตอนนั้นรู้สึกว่ามีความคิดแผลงๆขึ้นมาว่า เอ้ออยากจะฝึกความอดทนตัวเองซิว่าเรามีความอดทนอนกลั้นมากน้อยแค่ไหน ก็เลยคิดว่า เอ้อลองนั่งกรรมฐานหรือสมาธิตากฝนดีมั๊ย ไม่รู้หรอกว่าฝนจะตกหนักแค่ไหนแต่คิดว่าก็คงหนักเพราะฟ้ามามืดมาก ตกนานแค่ไหนก็ช่างมัน เราจะนั่งๆไปจนกว่ามันจะหยุดตกนั้นแหละ ความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นในใจปุ๊ป ก็คิดต่อไปว่านั่งดีกว่า ก็เลยจัดแจงหาที่นั่งแล้วก็ตั้งใจอธิฐานว่า จะนั่งและไม่ลุกไม่ว่าฝนจะตกหนักแค่ไหนจะนั่งไปจนกว่าฝนจะหยุดตก เมื่ออธิฐานจิตเสร็จก็ลงนั่ง นั่งไปซักพักหนึ่งฝนก็ตกพร่ำๆ และเริ่มมีเม็ดฝนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกถึงความเปียกที่ตัวเรา เริ่มจะมีความชุ่มที่ศรีษะของเราที่ไหล่ของเรา ฟ้าก็ร้องแบบว่าฝนจะตกหนักแล้วนะ ฝนจะตกหนักแล้วนะรีบๆลุกไปซะอะไรประมาณอย่างเนี่ย แต่ผู้เขียนยังไม่ยอมลุกยังนั่งอยู่ เพราะผู้เขียนตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ลุก เรื่องไม่คาดคิดมันเกิดขึ้นตรงนี้คุณผู้อ่านทั้งหลาย ขณะที่ผู้เขียนเนี่ยนั่งด้วยความสงบของผู้เขียนโดยไม่คิดอะไร เพียงแต่ว่าจะอดทนจะใช้ฝนเนี่ยเป็นการฝึกความอดทน ทั้งความหนาว ทั้งความเปียกนั่งเนี่ย แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผู้เขียนคิดซะแล้ว ซะพักหนึ่งในขณะที่เรานั่งไปแล้วเกิดฌาณ ก็คือการรับรู้การเห็นเข้าเรียกว่าในองค์ฌาณของผู้เขียนนั้นนะเกิดนิมิตขึ้นตรงหน้า มีเทวดาองค์หนึ่งปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า ผู้เขียนก็ไม่รู้หรอกว่าเทวาดาองค์นั้นเป็นใครในทีแรกในเบื้องต้น แต่พอได้คุยกันเทวดาองค์นั้นพูดขึ้นมาก่อนว่า ขอท่านจงลุกขึ้นเถอะ ขอท่านจงลุกขึ้นเถอะ ด้วยความที่ผู้เขียนตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเทวดาคนนี้เป็นใครมีเจตนาอะไร ก็เลยบอกเขาว่า ทำไม ทำไมท่านต้องมาบอกให้เราลุกล่ะ เราตั้งใจจะทดสอบตัวเอง อยากจะฝึกตบะและความอดทนของตนเองฝึกขันติของตัวเองเนี่ยว่าจะนั่งตากฝน แม้จะเปียก แม้จะหนาวแค่ไหนจะนั่งได้หรือไม่ เทวดาองค์นั้นพูดมันไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้นซิครับ”“อ้าวไม่ใช่อย่างนั้นแล้วมันเป็นยังไงล่ะผู้เขียนถามตอบไปกระผมรู้ที่ท่านตั้งใจที่จะนั่งตากฝน ว่าจะยอมเปียก ว่าจะนั่งจนกว่าจะหยุดตก ไม่ว่ามันจะตกแรงเท่าไรก็จะนั่งจนกว่าจะหยุดตก กระผมเข้าใจแต่เนื่องจาก แต่ว่าพวกกระผมเนี่ยถ้าเอาในเวลานี้แล้วเนี่ยท่านทรงศีล ท่านอยู่ในสภาพวะของนักบวช เป็นผู้มีศีล 8 พวกกระผมเนี่ยไม่ได้มีศีลสูงอย่างท่าน ในขณะนี้ท่านมีศีลบริสุทธิ์อยู่ ท่านมีศีลมากกว่าพวกกระผม ดังนั้นกระผมและพวกกระผมเนี่ยไม่สามารถจะบันดาลให้ฝนตกลงมากระทบท่านได้ มาเปียกท่านได้เนื่องจากว่าศีลท่านสูงกว่า มันจะเป็นบาปเป็นกรรมแก่พวกกระผม ผู้เขียนตอบว่า โอ๊ยเรื่องนั้นท่านไม่ต้องหนักใจถ้าเป็นอย่างนั้นขอพวกท่านจงสบายใจเถิด กระผมอโหสิกรรมให้พวกท่านทุกคน ท่านจงทำหน้าที่ของพวกท่านตามปกติเถิดไม่ต้องกังวลผม ไม่ต้องห่วงใยผม ไม่ต้องจะคิดว่าผมจะมาเป็นเดือดเป็นร้อนหรือผมจะไปกล่าวโทษพวกท่านจะเป็นบาปแก่พวกท่านไม่ต้องคิดเลย จงทำตามหน้าที่พวกท่านเถิดเพราะกระผมต้องการจะฝึกตบะของกระผมเอง ผู้เขียนก็ตอบไปอย่างนั้น เทวดานั้นก็พูดขึ้นต่อว่า ไม่ได้ซิขอรับ มันไม่ได้มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ กระผมเข้าใจว่าท่านมีจิตเมตตาที่จะไม่เอาโทษแก่พวกกระผม ไม่เอาบาปเอากรรมแก่พวกกระผม แต่กระผมก็ยังทำกันไม่ได้ ขอร้องเถอะครับ ขอให้ท่านจงลุกขึ้นเถอะ อย่าให้พวกกระผมอึดอัดใจเลย ยังไงก็แล้วแต่แม้เทวดาองค์นั้นจะอ้อนวอนเพียงใด ผู้เขียนก็ยังไม่ยอมลุกขึ้น จนคิดว่าคงเกินกำลังของเทวดาองค์นั้นแล้วเทวดาองค์นั้นก็นั่งเงียบอยู่ซักพักหนึ่งพยายามเหมือนกับว่าพยายามจะให้เราลุก แต่ผู้เขียนก็ไม่ยอมลุก ซักพักหนึ่งเมื่อเห็นว่าผู้เขียนไม่ลุกแน่แล้ว เทวดาองค์นั้นก็มีท่าทีเหมือนจะเรียกหรือเชิญใครมาอีก ในขณะที่เรานั่งดูกริยาของเทวดานั้น ซักพักหนึ่งเห็นเมฆก้อนใหญ่มาบนเมฆก้อนนั้นๆ มีเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่มา และหลังจากเมฆก้อนนั้นๆเห็นขบวนเทวดามากมายมาทั้งราชรถ เขาเรียกว่ามีทั้งม้า ทั้งช้างเต็มไปหมด ซึ่งไม่เคยได้เห็นอย่างนี้มาก่อน และทั้งหมดนั้นลงมาตรงที่ผู้เขียนนั่ง เทวดาทั้งกลุ่มใหญ่ๆนั้นนะมาเรียกว่าเต็มท้องฟ้าเลยลงมานั่งอยู่ข้างหน้าผู้เขียนทั้งหมด และองค์เทวดาที่มีศักดิ์ใหญ่ที่สุดที่นำหน้าขบวนนั้นมาเนี่ยมาถึงเทวดาผู้มาคุยกับผู้เขียนก่อนนั้นก็ทำความเคารพกับเทวดาผู้นั้น และเทวดาผู้นั้นก็นั่งขุกเข่าลงข้างหน้าผู้เขียนแล้วก็พนมมือขึ้น และบอกเราว่า ท่านผู้ทรงศีล เราคือพิรุณเทพ ผู้มีศักดิ์เป็นหัวหน้าของพิรุณเทพทั้งหลาย เทวดาองค์นี้ที่มาคุยกับท่านทีแรกนั้น ก็เป็นตำแหน่งพิรุณเทพเหมือนกันแต่เป็นลูกน้องของเรา เราได้ยินได้ฟังเรื่องที่ท่านสองคนได้คุยกัน แล้วรู้สึกว่าท่านคงไม่ลุกขึ้นแน่เราจึงจำเป็นต้องมาขอให้ท่านลุกด้วย ขอให้ท่านจงลุกเถิด ลุกขึ้นจากที่ตรงนี้เถอะ เราต้องทำหน้าที่ของพวกเราคือฝนต้องตกต้องตามฤดูการ ผู้เขียนก็ยังยืนยันคำเดิมว่า พวกท่านนี่พูดกันไม่รู้เรื่องหรือไง เราบอกว่าเราไม่เอาโทษผู้ใดเลยท่านจงทำหน้าที่ของท่านเถิด จงให้ฤดูกาลมันเดินไปตามหน้าที่ของท่านที่ท่านต้องทำเถิด แต่เราขอนั่งตากฝนตรงนี้ เราต้องการฝึกตบะของเราท่านเข้าใจไหม พิรุณเทพองค์ที่เป็นหัวหน้านั้นก็บอกว่า พวกกระผมเข้าใจว่าท่านจะฝึกตบะ แต่ขอให้ท่านจงฟังอะไรจากพวกกระผมซักเล็กน้อยได้มั๊ย เป็นวิทยาทานเผื่อท่านจะเปลี่ยนใจได้ ที่สุดแล้วถ้าท่านยังยืนยันว่าท่านจะไม่ลุก พวกกระผมก็จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ของพวกกระผมต่อ แต่ขอให้ท่านได้ฟังก่อน ผู้เขียนก็ถามว่า ท่านจะเล่าอะไร จะพูดอะไรให้เราฟังท่านก็พูดไปเถอะ เราจะรับฟังเรื่องทุกเรื่องที่ท่านพูดมาแต่ว่าเมื่อเราฟังแล้วจะลุกหรือไม่ลุกจากที่นั่งนี้ ก็เป็นเรื่องของเรานะ ขอท่านจงเข้าใจเราด้วย เทวดาผู้เป็นหัวหน้าพิรุณผู้มีศักดิ์ใหญ่นั้นก็พูดบางสิ่งบางอย่างให้ผู้เขียนฟัง เรื่องก็มีว่า ท่านลองคิดดูเถิดท่านผู้เจริญ หรือท่านผู้ทรงศีล ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ผู้มีศีลบริสุทธิ์ทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติฌาณทั้งหลายล้วนแล้วแต่มีฤทธิ์ที่จะกระทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติได้ อย่างเช่นในเวลานี้ที่ทำกำลังกระทำอยู่เพียงแต่ว่าท่านไม่ได้ใช้ฤทธิ์ เพียงแต่ว่าท่านใช้ตบะคือความอดทนของท่านมาเพื่อจะฝึกฝนตนเอง แต่พวกเราที่เป็นเทวดาถึงแม้จะเป็นเทวดาก็จริง แต่ในเรื่องของศีลแล้วเราเคารพบูชาในผู้ที่ทรงศีล บัดนี้ท่านเป็นผู้ที่มีศีลมากคนหนึ่งมีศีลที่บริสุทธิ์ พวกเราเทวดานั้นรู้เหมือนกันอย่างเดียวกันว่าจะต้องเคารพผู้ที่มีศีล กราบไหว้ผู้ที่มีศีล และไม่กระทำอะไรก็ตามที่เป็นการรบกวนต่อผู้มีศีล เช่นกันกับตอนนี้ท่านเป็นผู้มีศีลมาก พวกเราถึงแม้จะต้องทำตามฤดูกาลก็ตาม แต่เมื่อผู้มีศีลนั่งอยู่ในที่นี้ เราก็ไม่สามารถจะให้ฝนลงมากระทบผู้มีศีลได้ถึงแม้ท่านจะไม่ใช้ฤทธิ์โดยทางตรง บัดนี้ท่านก็ใช้ฤทธิ์โดยทางอ้อม ท่านผู้มีศีลท่านจงคิดดูเถิดว่า ถ้าผู้ปฏิบัติทั้งหลายมีศีลบริสุทธิอย่างท่านมีกำลังฌาณมีตบะเดชะอย่างท่าน คิดในสิ่งเดียวกันทำในสิ่งเดียวกันเหมือนกับที่ท่านทำ พวกเราที่เป็นเทวดาดูแลเรื่องฝนฟ้า ก็คงไม่กล้าให้ฝนตกลงมากระทบพวกท่าน ถ้าทุกองค์ใช้เหมือนกันหมด ทุกท่านใช้เหมือนกันหมดแล้วฝนไม่ตกเพราะเทวดาไม่กล้าให้ฝนตกมากระทบพวกท่านจะเกิดอะไรขึ้นท่านลองคิดดู ชาวบ้านทั้งหลายมนุษย์โลกทั้งหลายที่เขาต้องการน้ำฝนในการปลูกผักปลูกพืชพันธ์ธัญญาหารนั้น ท่านคิดดูเถิดว่าเขาจะเดือดร้อนกันไปทั่วหน้าแค่ไหน ดังนั้นกระผมอยากจะให้ท่านพิจารณาเรื่องการใช้ฤทธิ์ทางตรงและทางอ้อมนี้ด้วยพวกกระผมไม่อยากจะตกตามฤดูกาล เพราะว่าไม่อยากกระทบต่อท่านผู้มีศีล แม้ท่านผู้มีศีลจะอโหสิกรรมแล้ว ก็ยังเป็นความเกรงใจของพวกกระผมอยู่ดี แต่ผลที่ตามมาก็คือว่าเกษตรกรชาวไร่ชาวนานั้น เมื่อฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล มีเหตุที่ทำให้ผู้มีศีลนั้นทำให้ไม่ตกต้องตามฤดูกาลแล้ว พืชพันธ์ธัญญาหารนั้นจะเป็นยังไง บัดนี้ขอให้ท่านจงพิจารณาตามที่กระผมพูดด้วย แล้วเขาก็เงียบไป ผู้เขียนนั้นพอได้ฟังคำพูดนั้นก็พิจารณาตาม มันก็จริงอย่างที่เขาคิดที่เขาพูด เอ้อ ไอ้เรานี่จะนำภัยพิบัติมาสู่ชาวโลกหรือไงเนี่ย จะนำภัยพิบัติมาสู่เกษตรกรพืชพันธ์ธัญญาหารนี้หรือไง เพียงแค่ต้องการจะฝึกตบะของตน เอ๋หรือว่าเราจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ไม่ได้ๆๆๆ เมื่อผู้เขียนคิดอย่างนั้นจึงคิดต่อว่ามันไม่ควรทำเลย จึงพูดกับเทวดากับเทวดานั้นไปว่า งั้นจะให้เราทำยังไง เมื่อเราประกาศไปแล้วว่าเราจะไม่ลุก”“ไม่เป็นไรหรอกถึงแม้เราจะประกาศออกไปแล้วพูดออกไปแล้ว แต่ถ้าสิ่งที่เราพูดออกไปนั้นกระทำให้ผู้อื่นหรือชีวิตทั้งหลายนั้นที่ยังต้องรอคอยในสิ่งนี้อยู่เดือดร้อน ท่านถอนได้ไม่เป็นไร ไม่มีใครเอาโทษท่านหรอก เพราะท่านเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตน ขอท่านจงลุกขึ้นเถิด ขอท่านจงลุกขึ้นเถิด เสียงเทวดาทั้งหมดที่นั่งอยู่ตรงนั้นที่นับจำนวนไม่ได้เป็นกองทัพมากมายนั้น พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ขอท่านจงลุกขึ้นเถิด ขอท่านจงลุกขึ้นจากที่นั่งตรงนี้เถิด ผู้เขียนก็เลยมีความคิดว่า เอาล่ะ เมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็จะลุกขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อเกษตรกร พืชพันธ์ธัญญาหารและก็ชนทั้งหลายที่ต้องการประโยชน์จากฝนที่กำลังจะตกนี้ และเราก็ไม่วายที่จะขอบคุณต่อเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่คือพิรุณเทพนั้น และก็ชาวพิรุณทั้งหลายว่า ขอบคุณพวกท่านมาก ที่มาให้สติแก่เราไม่อย่างนั้นเราคงเป็นผู้ที่เป็นนักปฏิบัติคนหนึ่งที่ทำอะไรผิดพลาดไป นับแต่นี้ต่อไปถ้าเราไม่จำเป็น เราจะสอนชนทั้งหลายต่อไปว่าร มีฤทธิ์อย่าพยายามใช้เลย เพราะถ้าทุกคนหันมาใช้ฤทธิ์กันหมดก็คงจะทำให้สังคมโลกหรือมนุษย์นั้นวุ่นวาย เพียงแต่ให้รู้ว่ามีก็พอแล้ว และเราเองก็จะไม่พยายามใช้อีก จะไม่ใช้มันอีก เอาล่ะเมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วเราก็คงต้องขอโทษพวกท่านทุกคนที่ทำให้พวกท่านต้องเดือดร้อนกันทั้งสวรรค์ โดยเฉพาะในฝ่ายของพิรุณเทพ บัดนี้เราจะลุก และขอให้ท่านทั้งหลายจงอโหสิกรรมในกรรมที่เราทำกับพวกท่านด้วย เฉกเช่นกันเราก็จะอโหสิกรรมให้กับพวกท่านทุกๆองค์เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อตัดสินใจลุกแล้วขอท่านจงตกตามฤดูกาลของพวกท่านต่อไปเถอะ เมื่อผู้เขียนพูดไปอย่างนี้พิรุณเทพเหล่านั้นก็สาธุการขึ้นพร้อมๆกันในการตัดสินใจของผู้เขียน แล้วก็รำลากันว่า เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วพวกกระผมก็คงต้องขอลาท่านไปฝากท่านนั้นจงนำ ความจริงข้อนี้ไปสู่นักปฏิบัติทั้งหลายในกาลข้างหน้านี้ด้วยว่า ผู้มีฤทธิ์ไม่ใช่ว่าการใช้ฤทธิ์นั้นจะประเสริฐเสมอไป ถ้าใช้ในทางที่ดีก็ดี ถ้าใช้ในทางที่ไม่ดีก็ไม่ควรจะใช้ แม้ใช้ในทางที่ดีก็ไม่ควรจะใช้เพราะว่าจะเป็นการไปกระทบกระทั่งธรรมชาติ จริงๆแล้วฤทธิ์มีไว้ให้รู้ไม่ได้มีไว้ให้ใช้ ตอนนี้พวกกระผมคงต้องลาไปแล้ว แล้วพิรุณเทพทั้งหลาย กองทัพแห่งเทวดาทั้งหลายนั้นก็จากไป ทยอยกลับไปขึ้นไปบนที่ๆพวกเขามากัน ผู้เขียนนั้นก็ตั้งคำถอนอธิฐานแล้วก็ลุกขึ้นเพื่อไม่ให้ใครเดือดร้อนอีกจากการที่ตนได้กระทำ เมื่อผู้เขียนลุกขึ้นจากที่นั่งนั้นเดินกลับเข้าไปในกุฏิเพียงแค่เดินเข้าไปในร่มชายคาของกุฏิเท่านั้น ยังไม่ทันได้เข้ากุฏิ ฝนที่ทำท่าจะตกอย่างแรงมาตั้งนานแล้วก็ได้ตกลงมาเป็นห่าใหญ่แบบที่เหมือนกับว่าอั้นมานาน เมื่อผู้เขียนเข้าไปในกุฏิปุ๊บ เห็นฝนตกมาหนักขนาดนี้ก็มานั่งถามตัวเองว่า เออเรานี่หนอ เพราะความคิดแผลงๆของตน เกิดจะทำให้บางสิ่งบางอย่างผิดพลาดไปไม่เป็นไปตามธรรมชาติแล้ว นับแต่นี้ต่อไปเราจะใช้ฤทธิ์หรือความตั้งใจในสิ่งที่ควรเท่านั้น เรื่องราวของผีตัวที่ 8 ที่ผู้เขียนเอามาเล่าให้ฟังนี้ก็เพียงเพื่อจะเตือนสติให้ผู้ที่มีฤทธิ์ทั้งหลายจงใช้ความยับยั้งช่างใจในการใช้ฤทธิ์ อย่าหลงระเริงกับความที่ท่านเป็นผู้มีฤทธิ์เลย เพราะว่าการที่ท่านใช้ฤทธินั้น ถึงแม้จะมีประโยชน์มันก็มีโทษเหมือนกัน จงเก็บฤทธิ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตนของท่านเถิดอย่าใช้อย่างพร่ำเผื่อเลย ขอฝากนักปฏิบัติทั้งหลายไว้ด้วยสำหรับเรื่องนี้ เรื่องของผีตัวที่ 8 คือพิรุณเทพนี้ก็คงจะต้องจบลงเพียงเท่านี้ ยังไงก็ตามยังมีผีตัวที่ 9 รอผู้อ่านทั้งหลายได้ติดตามอยู่ และคิดว่าคงจะมีตัวต่อๆไปอีกไม่รู้ไม่จบ ยังไงก็ตามกันต่อไปแล้วกันนะ วันนี้ก็แค่นี้แหละ<O:p></O:p>
     
  2. raphiphan

    raphiphan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    511
    ค่าพลัง:
    +425
    ขอบคุณที่นำมาเล่าให้อ่านกันครับ

    (ตามอ่านตั้งแต่กระทู้ก่อนๆ ตอนนั้นอ่านไม่ได้ ..แล้วใจจัง)
     
  3. Artkung_31

    Artkung_31 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +11
    ขอบคุณนะคราฟ สุดยอดเลยคราฟ
     
  4. กุลวัชร

    กุลวัชร ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +2,228
    ขอติงนิดนึง เทวดา เขามะไหว้มนุษย์ง่ายๆ หรอก แค่ไปถือศีล8 ยังมะได้อริยะเจ้า เทวดาบางองค์ท่านเป็นอริยะแล้วคงไม่มาไหว้มนุษย์และเรียก ว่าท่าน กับมนุษย์หรอก ขอติง
     
  5. JeTo2008

    JeTo2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +1,845
    พบและสนทนาธรรมในแบบเจโต ได้ทุกวันพฤหัสบดี และทุกวันอาทิตย์

    เชิญพบและสนทนาธรรมในแบบเจโต ได้ทุกวันพฤหัสบดี และทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ น.- ๑๗.๐๐ น ณ.เรือนธรรม ตั้งอยู่ที่บริเวณ ถนนตัดใหม่สามัคคี-ติวานนท์ ปากเกร็ด สนใจโทร.๐๘๖๕๔๒๒๔๘๖
     

แชร์หน้านี้

Loading...