คู่บารมี (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 3 กรกฎาคม 2014.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]

    ไม่มีอะไรจะเจ็บแสบยิ่งกว่าเรื่องของสามีภรรยา ที่มีความรักกันมากที่สุดในโลกนี้ก็คือสามีภรรยา รักสงวนกันมาก จดจ้องกันมาก ระเวียงระวังกันมาก ถ้าต่างคนต่างไม่มีธรรมด้วยแล้ว ก็เหมือนเอาไฟมาเผากันทั้งวันทั้งคืนอยู่ด้วยกันไม่เป็นสุข แม้จะเป็นเศรษฐีก็เป็นเศรษฐีไฟด้วย เผาหัวอกด้วยกันนั้นแหละ ถ้ามีธรรมในใจแล้วอยู่ไหนก็สบาย สามีก็ตายใจ เชื่อตัวเองได้ว่าเรามีภรรยาแล้ว ภรรยาของเราคนนี้เป็นเครื่องวัดชีวิตจิตใจของเราให้เป็นให้ตายไปด้วยกัน ไม่ยินดีกับหญิงอื่นหญิงใดทั้งนั้นแหละ นอกจากภรรยาของเราคนนี้เป็นผู้ฝากเป็นฝากตาย มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ นี้แลเรียกว่าสร้างหอวิมานในครอบครัวของตน


    ระหว่างสามีภรรยามีความจงรักภักดีต่อกันอย่างนี้ เรียกว่าสร้างหอวิมานขึ้นมา ความสุขในมนุษย์ก็อยู่ในจุดนี้แล อะไรที่มีมาบ้างได้เสียไปบ้างนั้นเป็นธรรมดาของโลกทั่วๆ ไป แต่ความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันระหว่างสามีภรรยานี้ ให้มีความแน่นแฟ้นแก่นแห่งความรักความตายใจซึ่งกันและกันแล้ว นี้คือบ่อแห่งความสุข สมบัติใดๆ สู้ไม่ได้ นี้เป็นสมบัติทิพย์อยู่ภายในจิตใจ เมียก็ตายใจว่าผัวของเรานี้เป็นที่ตายใจได้แล้ว สามีก็ตายใจ ภรรยาก็ตายใจ ต่างคนต่างตายใจ วางใจกันได้ นี้ละบ่อแห่งความสุขอยู่จุดนี้


    เราอย่าไปหวังเอาเงินเอาทองมาเป็นเศรษฐี โดยไม่คำนึงถึงความสำคัญที่อยู่ในคู่ครองทั้งสองนี้ ให้ปฏิบัติต่อกันด้วยดี เราจะมีความสุขความสบาย ตายลงไปแล้วก็มีความปรารถนาอยากจะพบกันในภพชาติต่อไปก็สมหวัง ถ้าทำความชั่วช้าลามก มีขัดมีแย้งกันเรื่องกิเลสกาม ความได้ไม่พอๆ ความโลภไม่พอนี้แล้ว ปรารถนาจะเป็นผัวเป็นเมียกัน ก็เหมือนกับเอาฟืนเอาไฟมาเผากันนั่นแหละ ผู้ดีก็ไปทางดีเสีย เมียเป็นคนดีตายแล้วเมียก็ไปทางดีเสีย ผัวเป็นคนชั่วตายแล้วก็จมไปทางชั่วเสีย ถ้าเมียไม่ดีเมียก็ไปทางชั่ว ผัวไม่ดีผัวก็ไปทางชั่วได้ ใครดีใครก็ไปทางดีด้วยกัน


    เมื่อดีทั้งสองแล้ว มีความปรารถนาต่อกัน อยากเป็นสามีภรรยาคู่พึ่งเป็นพึ่งตายคู่บารมีกันในวาระต่อไปก็เป็นได้อย่างสมหวัง เพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลกลมกลืนกัน ไม่ปีนเกลียวกัน เมียชั่วผัวดีอย่างนี้ไม่ถูก ผัวก็ดี เมียก็ดี อย่าขัดอย่าแย้ง เวลาจะทำบุญให้ทาน อย่าต่อล้อต่อเถียงกัน ขัดแย้งกัน ผัวอยากให้ เมียไม่อยากให้ ก็ทะเลาะกันเสีย บุญกุศลควรที่จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ขาดบาทขาดตาเต็งลงไป ยิ่งไม่ให้เสียก็เลยไม่ได้ให้จริงๆ ขาดไปหมดด้วย นี่ขาดทุนสูญดอก อย่าขัดอย่าแย้งกัน การทำบุญให้ทานนี้เป็นสิ่งที่ชอบธรรมอย่างยิ่งแล้ว เรามีสมบัติมาพอได้ทำบุญให้ทาน ก็เป็นบุญของเรา อย่าขัดอย่าแย้งกัน ให้ได้บุญด้วยกัน ผัวทำก็ได้บุญทั้งผัวทั้งเมีย เมียทำก็ได้ถึงกัน เพราะใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความยินดีด้วยกัน ปรารถนาจะเป็นคู่ครองกันในกาลต่อไปก็เป็นได้อย่างสมมักสมหมาย เพราะความดีเสมอกัน


    ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ถ้าผัวเป็นยักษ์ เมียเป็นผี ก็ไปเป็นคู่บารมีกันในแดนนรกไม่เคยมี ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนไว้ ต้องเป็นคนดี เห็นกันแล้วหากเป็นไปเอง ถ้าต่างคนต่างเป็นคนดี ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า ปุพเพนิวาสชาติปางก่อนเคยได้สร้างสมอบรมอะไรต่อกันไว้ ในเวลาที่เป็นผัวเป็นเมียกัน ในภพชาติต่อไปบุญบารมีอันนี้ก็จะกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อพบกันเจอกันแล้วไม่ต้องบอก มันก็รู้กันเองภายในจิตใจที่เคยกันอยู่แล้ว มันหากเป็นผัวเป็นเมีย เป็นคู่บารมีและสร้างคุณงามความดีไปด้วยกัน เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต่างคนก็ต่างถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้นั่นแหละ


    ยกตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าของเรากับพระนางพิมพา พระนางพิมพากับพระพุทธเจ้านี้เป็นเนื้ออันเดียวกันเลย ทุกๆ อย่างความรู้ความเห็นความเป็น ความประพฤติทุกอย่างเป็นแบบเดียวกันหมด ไม่มีใครขัดแย้งปีนเกลียวซึ่งกันและกันเลย ท่านสร้างบารมีมาด้วยกันตั้งแต่เริ่มต้นมา พระพุทธเจ้าของเราก็ทรงปรารถนาเป็นโพธิสัตว์สร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า พระนางพิมพาผู้เป็นภรรยาก็ปรารถนาเป็นเหมือนเงาเทียมตัวพระโพธิสัตว์ ต่างคนต่างสร้างความดีมาด้วยกัน หนักเบาขนาดไหนก็สร้างมาด้วยกัน ไม่ปีนเกลียวกันจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย ภพใดชาติใดท่านก็เป็นคู่บารมีกันมาโดยลำดับลำดา ไม่พลัดไม่พรากไม่จากซึ่งกันและกันไปเลย ไม่ว่าภพใดชาติใด เพราะความดีกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน ให้มีความระลึกรู้ ให้มีความดูดดื่มต่อกันอยู่เสมอไปในทุกภพทุกชาติ ท่านจึงได้เป็นคู่ครองของกันและกัน เป็นคู่บารมีกันมาโดยลำดับ






    จนกระทั่งวาระสุดท้าย วาระสุดท้ายนั้นพระพุทธเจ้าของเรานี้ตอนท่านบารมีแก่กล้าแล้ว ท่านจะเสด็จออกทรงผนวชเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ได้เสด็จออกทรงผนวช เมื่อเสด็จออกทรงผนวช พระนางพิมพาก็เป็นเหมือนกับหัวอกจะแตก แต่ก็ทราบเจตนาของพระบรมโพธิสัตว์หรือสิทธัตถราชกุมารได้ดีก็ทนเอา อดเอา ทนเอา เมื่อพระสิทธัตถราชกุมารสละออกไปทรงผนวชบวชเป็นฤาษีดาบส ประพฤติพรตพรหมจรรย์อยู่ในป่าในเขานั้น พระนางทราบว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ทิศใดแดนใด ต้องกราบไหว้ไปถึงแดนที่พระสิทธัตถราชกุมารอยู่นั้นๆ ร่ำไปเรื่อยไปอย่างนี้ ไม่เคยประมาทแต่อย่างใดเลย กราบไหว้ไปตามทิศทางที่สิทธัตถราชกุมารไปบวชเป็นฤาษีดาบสอยู่นั้น


    จนกระทั่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ขึ้นมาจากการบำเพ็ญเป็นเวลา ๖ พรรษา ได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้ว ทีนี้ถึงเวลาแล้วที่จะรื้อขนกันให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง ถึงกาลเวลาอันสมควร ก็พอดีพระราชบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะทูลอาราธนาพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารที่พระราชวัง พระองค์ก็เสด็จไปพร้อมกับพระตั้ง ๒๐,๐๐๐ องค์นู่น ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ พอไปเสวยพระกระยาหารที่พระราชวังของสมเด็จพระราชบิดาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระราชบิดาก็ทรงปรารภความดีงามของพระนางพิมพา ให้พระพุทธเจ้าทรงสดับว่า พิมพานี้เป็นคนที่ดีมากทีเดียว หาไม่ได้แล้วเหมือนกับพิมพา


    ตั้งแต่วันสิทธัตถราชกุมารเสด็จทรงผนวชจนได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมานี้ พระนางพิมพามีความระลึกกราบไหว้บูชาถึงบุญถึงคุณตลอดเวลา ไม่เคยประมาทแต่อย่างใดเลย เวลานี้ก็เป็นกาลอันควรที่พระองค์เสด็จมาสู่สถานที่นี่แล้ว ควรจะไปสงเคราะห์พระนางพิมพา ซึ่งเป็นบุคคลที่ดีมากหายากที่จะมีได้นั้นก็จะเป็นการดีมาก คือทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปโปรดพระนางพิมพา ความจริงพระองค์ทรงพินิจพิจารณาทรงดำริไว้โดยเรียบร้อยแล้ว เป็นแต่เพียงว่าไม่ลั่นพระวาจาออกมาเท่านั้นแหละว่าจะไปเยี่ยมพระนางพิมพาคู่บารมีกัน


    ทีนี้พอพระราชบิดาทรงอาราธนาอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็ลงพระทัยอยู่แต่ก่อนนั้นแล้ว พอดีได้สักขีพยานก็รับสั่งว่าจะไปเยี่ยมพระนางพิมพา ก่อนที่จะไปก็รับสั่งให้พระสงฆ์จำนวนมากนั้นให้กลับไปวัดให้หมด ยังเหลือแต่พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลาน์ ให้ติดตามเราตถาคตไปเยี่ยมพิมพาในคราวนี้ โดยที่พระเจ้าสุทโธทนะจะเสด็จไปด้วยหรือไม่เสด็จตอนนี้ เราก็ชักหลงลืมไป จำได้ถนัดชัดเจนก็คือพระพุทธเจ้าของเรา หลังจากเสวยพระกระยาหารที่พระราชวังของพระราชบิดาแล้ว ก็พาพระสารีบุตรโมคคัลลาน์ไปเยี่ยมพระนางพิมพาที่พระตำหนัก ถึงพระตำหนักเลย


    พอไปถึงก็มีคนเข้าไปกราบทูลว่า สิทธัตถราชกุมารเสด็จมาถึงพระตำหนักแล้วเวลานี้ ประทับอยู่ข้างนอก ภาษาของเราเรียกว่าที่รับแขก พอพระนางได้ทราบเท่านั้นแล้ว ลืมเนื้อลืมตัวไปหมด นี่เพราะอำนาจวาสนาบารมีของพระองค์ทั้งสองที่กลมกลืนกันมาตั้งนานแสนนาน ด้วยการสร้างบารมีด้วยกันมาเป็นลำดับลำดา พอได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าของเราเสด็จไปประทับที่หน้าพระตำหนักเท่านั้น เสด็จออกมาเลยทันที พอออกมาเห็นพระพุทธเจ้าเพียงเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงเลยว่านี่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีในเวลานั้นนะ จะคิดเห็นตั้งแต่คู่พึ่งเป็นพึ่งตาย คู่บารมีของเรามาถึงแล้วโดยถ่ายเดียวเท่านั้น


    เพราะฉะนั้นจึงไม่สนพระทัยในเรื่องว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระหรือเป็นอะไร ไม่สนใจ พอเข้าไปก็เข้ากอดเลยทันที ก่อนที่จะเสด็จไป พระองค์ก็ทรงทราบไว้ล่วงหน้าแล้วว่า เวลาเราเข้าไปถึงพระนางพิมพานี้แล้ว รับสั่งให้พระสารีบุตร โมคคัลลาน์ได้ทราบไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อเราไปถึงที่นั่นแล้ว หากพระนางพิมพาจะมาทำอะไรๆ กับเรา อย่าได้สนใจ ถ้าภาษาของเราก็เรียกว่า ทำประหนึ่งว่าหูหนวกตาบอดไปเลย ไม่ดู ไม่รู้ไม่เห็น ไม่สนใจ พระนางจะทำพระพุทธเจ้าแบบไหนก็ไม่ให้มีการคัดค้านต้านทาน


    เพราะพระนางมีพระบารมีเต็มที่แล้ว จะหลุดพ้นจากทุกข์ในชาตินี้โดยถ่ายเดียวเท่านั้น หากได้รับการคัดค้านต้านทานหรือกีดขวางประการใด นางจะเสียพระทัย สลบไสลลงไป ดีไม่ดีอาจไม่ฟื้นแล้วตายเสีย มรรคผลนิพพานก็จะขาดสะบั้นไปในเวลานั้นด้วยกัน พระองค์จึงรับสั่งไว้อย่างนั้น พอไปถึงที่แล้ว พระนางเข้ามาก็ปรี่เข้ามาแล้วกอดพันพระพุทธเจ้าเลย พระสารีบุตร โมคคัลลาน์ ก็หูหนวกตาบอดอย่างที่ว่า เฉยไม่สนใจ พระนางมากอดมารัดทุกแบบทุกฉบับ พระองค์เองก็เฉยไม่สนใจ ไม่สนพระทัย เพราะจะมีการขัดแย้งหรือห้ามบ้างก็เพียงเล็กน้อย พระนางจะเสียพระทัยมาก ดีไม่ดีถึงขั้นสลบและตายไปเลย แล้วขาดมรรคผลอันยิ่งใหญ่นั้นไปเสีย พระองค์ก็ทรงนิ่งเฉย แล้วคอยแนะไปเรื่อย แนะนำสั่งสอน


    กาลนี้เป็นกาลอันควรแล้ว ตั้งแต่ก่อนเราได้สร้างบารมีมาด้วยกัน เหมือนอวัยวะเดียวกัน ไม่มีขัดมีแย้งกันตลอดมาตั้งแต่เริ่มสร้างบารมีมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ บัดนี้เราได้เป็นพระพุทธเจ้าสมความมุ่งหมายตามความปรารถนาที่ได้ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว จึงได้เข้ามาหาพระนางซึ่งเป็นผู้มีบุญมีคุณต่อกันมาตลอดสาย จึงได้มาหาที่นี่ ต่อไปนี้ก็เป็นกาลอันควรแล้วที่พระนาง จะได้บำเพ็ญคุณงามความดีให้ได้หลุดพ้นไปตามเราตถาคตซึ่งเป็นคู่บารมี พระนางทั้งๆ ที่กอดรัดอยู่นั้น โดยไม่มีใครคัดค้านต้านทานก็ค่อยถอยห่างออกไป ทีแรกกอดรัดอยู่อย่างนั้นตลอด แล้วก็ค่อยถอยห่างออกไป


    พระองค์ก็ทรงพิจารณาด้วยพระญาณตลอดเวลาในพระทัยของพระนางพิมพา แล้วทรงโปรดเมตตาสอนเป็นวรรคเป็นตอนไปโดยลำดับ พระนางค่อยรู้เนื้อรู้ตัวแล้วค่อยถอยห่างออกไปๆ เอง โดยไม่มีใครห้ามปรามอะไรแหละ ไม่มีใครผลักดันอะไร พระนางก็ถอยห่างไป พอได้รับโอวาทจากพระพุทธเจ้าโดยลำดับลำดาแล้ว รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา จนกระทั่งถึงขั้นได้รับความเป็นพระโสดาขึ้นมา ทีนี้เป็นความสวยงามเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว เป็นบุคคลธรรมดาปรกติดีงามแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า พระนางพิมพาเป็นพระนางพิมพาแล้ว ต่างท่านก็ต่างเรียกว่ารู้จักอับจักอาย ถอยห่างออกไป ตั้งใจฟังอรรถฟังธรรม จากนั้นมาก็ได้ฟังพระโอวาทของพระพุทธเจ้าหลายครั้งหลายหน จนสำเร็จขึ้นเป็นลำดับลำดา สุดท้ายก็เสด็จออกบวชเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ได้ถึงขั้นปรินิพพานเหมือนพระพุทธเจ้า


    นี่เพราะอำนาจแห่งความดีทั้งหลาย ที่ได้สร้างมาเป็นลำดับลำดา ไม่ปีนเกลียวซึ่งกันและกัน ผลแห่งความดีทั้งหลายจึงกลมกลืน ถึงขั้นแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์ ตามเสด็จพระพุทธเจ้าทันท่วงที อันนี้แหละคือความดี อยู่ด้วยกัน เราไม่ได้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม เราปรารถนากับครอบครัวของเรา คู่ผัวคู่เมียของเรา คู่บารมีของเราให้ต่างคนต่างมีความจงรักภักดีต่อกัน อย่ามีความปีนเกลียว อย่าเป็นคนมักมากโลเลในกามกิเลสได้ไม่พอ กินไม่พอ ให้มีความพอดิบพอดีกับความมีอยู่ของตน เมียก็มีผัวแล้ว ผัวก็มีเมียแล้ว นี่พอดีเต็มสัดเต็มส่วนแล้ว


    ท่านผู้ทรงคุณความดีทั้งหลาย ท่านมีความพอดีกับคู่ครองของตน ภรรยาก็ไม่ใฝ่หาสามีใดอีกแล้ว สามีก็ไม่ใฝ่หาภรรยาผู้ใดแล้ว นอกจากผัวเมียอันเดียวกันนี้เท่านั้นพอแล้วๆ ท่านเรียกว่าอัปปิจฉตา เป็นผู้มีความปรารถนาน้อย คือผัวเดียวเมียเดียวเท่านี้พอแล้ว นี่จะสร้างความร่มเย็นเป็นสมบัติทิพย์ขึ้นมาให้เสวย ตั้งแต่ได้เป็นคู่ครองของกันและกัน จนกระทั่งตายไปจากกัน ก็ไม่มีพลัดพรากกันไปได้ตามความมุ่งหมายในสายธรรมที่ถูกต้องดีงาม ที่บำเพ็ญต่อกันมาด้วยความสุจริตนี้เป็นอย่างนั้น


    เราทั้งหลายก็ให้ตั้งใจปฏิบัติ เราเดินทางสายเดียวกันนั่นละ มีผัวมีเมียมาด้วยกัน ให้มีความรักความสนิท ความจงรักภักดีต่อกัน มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน เอาธรรมเข้าเป็นเครื่องบังคับเสมอ ถ้าเรื่องกิเลสแล้วจะไม่พอ ไม่มีอะไรพอกับกิเลส มีความหิวโหยตลอดเวลา ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามกิเลสแล้วหมาสู้ไม่ได้ หมามีกี่ตัว ผัวของเขามีกี่ตัว เมียของเขามีกี่ตัว ไอ้เมียของคนลามก ผัวของคนลามก มีมากกว่าหมาเสียอีก แล้วเลวกว่าหมาเสียอีก อย่านำเข้ามาใกล้ชิดติดพันกับเรา เราเป็นคน เขาเป็นหมา คนเป็นคนจึงต้องมีศีลมีธรรม รู้จักดีจักชั่ว รู้จักความพอดิบพอดี แล้วปฏิบัติตนไปจะมีความสงบร่มเย็นราบรื่นดีงามตลอดไป ให้พากันจำเอาไว้นะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย










    ที่มา : http://www.luangta.com/thamma/thamma_ta ... 08&CatID=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2014
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    การครองรักมิให้เกิดการหย่าร้างหรือเลิกจากกัน

    5.1. ลักษณะของคู่สมรสที่ดีและเลว

    คู่สมรสที่อยู่กินกันฉันสามีภรรยาย่อมีลักษณะหลากหลายกัน คือ
    มีทั้งลักษณะของคู่สมรสที่ดีและเลว ซึ่งลักษณะต่าง ๆ นั้น มีดังนี้

    ลักษณะของคู่สมรสที่ดี
    ลักษณะของคู่สมรสที่ดีของการเป็นสามีภรรยากัน เป็นแบบอย่างของ
    คู่สมรสทั่วไปได้มี 4 แบบ ด้วยกันคือ

    1. มาตา ซึ่งแปลว่า แม่ เป็นความรักที่เป็นยอดแห่งความรัก เพราะไม่มีความรักอันใดที่เทียบเท่าได้กับแม่รักลูก
    ความรักที่แม่มีต่อลูกนั้นเป็นความรักสองประการด้วยกัน คือ เมตตา และกรุณา ความรักของแม่เป็นความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุด
    ลูกจนแม่ก็สงสาร ลูกรวยแม่ก็รัก ไม่ว่าลูกจะพิการด้วยขาหัก แขนหัก
    ปากแหว่ง จมูกบี้ อย่างไรก็ตาม แม่ก็ยังรักลูกและทิ้งลูกไม่ลง
    ความรักของแม่ที่มีต่อลูกเป็นความรักที่ไม่รู้จักหมด ถ้าสามีภรรยาคู่ใดเกิด
    มีความรักเช่นเดียวกับแม่รักลูก จะมีลักษณะเป็นความรักที่ไม่รู้จักหมด
    จะไม่มีการทอดทิ้งกันเลย ไม่ว่ากรณี ใด ๆ ภรรยาบางคนป่วยเป็นอัมพาต
    หลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน ลุกเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องกลายเป็น
    คนพิการ สามีก็ไม่ทอดทิ้ง เนื่องจากเขามีความรักและสงสารไม่มีวันจืดจาง
    ไม่คิดแม้กระทั่งไปมีภรรยาใหม่ เพราะเกรงจะกระทบกระเทือนใจภรรยาที่
    ป่วยอยู่ ความรักของสามีภรรยาอย่างแม่รักลูกนี้ เป็นยอดแห่งความรักทีเดียว หากสามีภรรยามีความรักกันเช่นนี้เกิดขึ้นในชีวิตสมรสได้
    จะไม่มีวันหย่าจากกันได้เลย

    2. ภคินี ซึ่งแปลว่า น้องสาว ความรักระหว่างพี่กับน้อง เป็นความรักที่ยั่งยืนรองลงมาจากความรักที่แม่มีต่อลูก เป็นความรักลุ่ม ๆ
    ดอน ๆ หมายถึงประเดี๋ยวก็ดีกัน ประเดี๋ยวก็ขัดใจ ทะเลาะเบาะแว้งกัน
    แต่ก็ตัดพี่ตัดน้องกันไม่ขาด สามีภรรยาคู่ใดที่มีความรักกันอย่างพี่อย่างน้อง
    ต้องทำใจ ถ้าเปรียบสามีเป็นพี่ ภรรยาเป็นน้องสาว ก็ต้องมีเรื่องต้องรบกวนใจ
    กันบ้างเป็นธรรมดา เนื่องจากน้องบางครั้งก็ซน งอน ขี้แย ต้องปลอบต้องขู่
    กันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา พอดุเข้าหน่อยก็วิ่งไปฟ้องแม่ หาว่าสามีรังแก และ
    มักตั้งข้อกล่าวหารุนแรง สามีต้องทำใจ นึกว่าเลี้ยงน้องก็แล้วกัน สามีภรรยาที่เป็นลักษณะเช่นพี่กับน้องก็ยากที่จะตัดขาดจากกัน หรือยากที่จะ
    หย่าขาดจากกัน


    3. สขา ซึ่งแปลว่า เพื่อนฝูง ความรักแบบเพื่อนฝูงเพราะชอบนิสัย
    ใจคอกัน หรือถูกคอกัน สามีภรรยาคู่ใดที่มีความรักกันแบบเพื่อนฝูงจะมีรสนิยม
    เข้ากันได้ ภรรยาชอบดนตรีสามีก็ชอบด้วย สามีชอบเต้นรำภรรยาก็ชอบด้วย
    ภรรยาชอบทำอาหารสามีก็ช่วยด้วย ลักษณะของสามีภรรยาเช่นนี้ เรียกกันว่า
    รักอย่างเพื่อน ซึ่งสามีภรรยาแบบนี้จะดีเสมอกัน สามีลื้อ ภรรยาก็ลื้อด้วย
    สามีอั๊ว ภรรยาก็อั๊วเหมือนกัน หรือบางคู่ฝ่ายหนึ่งพูดแก อีกฝ่ายก็ข้า
    อีกฝ่ายพูดกู อีกฝ่ายหนึ่งก็มึง รวมความแล้ว ช่างพอกัน
    ความรักของสามีภรรยาแบบเพื่อนฝูงก็ไม่เสียหายอะไร แต่ว่าบอบบางหน่อย เพราะเพื่อนฝูงย่อมทะเลาะเบาะแว้งกันได้ง่าย โกรธกันได้ง่าย จะอยู่กันได้
    ต้องทน ฝ่ายหนึ่งงอน อีก ฝ่ายหนึ่งง้อ จะช่วยจรรโลงความเป็นสามีภรรยา
    กันได้ยืนนาน ด้วยเหตุที่สามีภรรยารักกันแบบเพื่อนฝูง มักมีรสนิยมตรงกัน
    หากขัดกันเมื่อไรก็เลิกกันได้ง่าย ๆ


    4. ทาสี ซึ่งแปลว่า ทาสหรือคนใช้ ความรักแบบทานหรือคนใช้
    เป็นเรื่องของลักษณะระหว่างนายกับบ่าว ซึ่งต่างต้องมีความตอบแทนกัน
    ไม่ว่าทาสหรือคนใช้ต้องทำงานให้นายด้วยความจำใจ ทาสในสมัยโบราณต้องจำใจทำงานเพื่อใช้หนี้อย่างทางหรือคนใช้
    ต้องจำใจทำงานเพื่อค่าจ้าง เมื่อรวมความแล้ว ต้องจำใจอยู่เป็นทาสหรือคนใช้
    ถ้านายเลี้ยงดี หรือมีค่าจ้างให้มาก ทาสหรือคนใช้ก็เอางานเอาการ ถ้านายจนลง
    ให้ค่าจ้างน้อยก็ไม่ค่อยสนใจงาน สามีภรรยาประเภททาสีก็เหมือนกัน
    คือต้องอยู่กินกันด้วยความจำใจ เพราะมันได้เป็นไปแล้วก็ต้องจำใจปล่อย
    ให้มันเลยตามเลย เห็นแก่เงินทองของบำเรอที่จะได้จากเขา ทำงานให้คู่ครอง
    เหมือนลูกจ้างที่คอยคิดค่าแรงงาน
    ถ้าฝ่ายหนึ่งปรนเปรอดีมีโน่นมาให้มีนี่มาฝาก อีกฝ่ายหนึ่งก็เอาอกเอาใจ
    แต่ถ้าไม่มีอะไรมาให้มากฝากก็วางตัวเมินเฉย นี่แหละสามีภรรยาแบบทาส จะผูกใจกันไว้ให้ยืดยาวต้องอาศัยทรัพย์สินเงินทอง เป็นความรักที่บอบบางที่สุด
    เผลอไม่ได้จะหลุดลอยอยู่ร่ำไป ก็เพราะต้องอยู่กันแบบจำใจ ก็คือต้องจริงใจกัน
    ไว้ด้วยการปรนเปรอ และของฝาก หากขาดสิ่งนี้ความรักมีหวังหลุดลอยไปแน่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2014
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ลักษณะของคู่สมรสที่เลว

    ลักษณะของคู่สมรสที่เลวของการเป็นสามีภรรยากัน ที่คู่สมรส
    ทั่วไปไม่สมควร ยึดถือเป็นแบบอย่าง มี 3 แบบ ด้วยกันคือ
    1. วธกะ ซึ่งแปลว่า เพชฌฆาต เป็นผู้ฆ่าผู้ผลาญคนอื่น สามีภรรยา
    ประเภทนี้เป็นคนใจร้าย ขี้โมโหโทโส แม้จะเป็นสามีภรรยากันก็มีใจมุ่งร้าย
    ต่อกันอยู่เสมอ แต่ละวันเอาแต่แช่ง ด่ากัน ขอให้ตายห่าตายโหง เมื่อฝ่ายหนึ่ง
    ทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง อีกฝ่ายหนึ่งก็กล่าวแต่คำอาฆาตพยาบาท ข่มขู่
    เดี๋ยวจะเตะเดี๋ยวจะตบ เดี๋ยวจะถีบ บางคนถึงกับลงมือลงไม้ด้วยการตบตีกัน
    จริง ๆ รวมความว่าชอบทำชอบคิด ในทางร้ายต่อคู่ครองของตน ปกครองกัน
    ด้วยอำนาจบาดใหญ่ มีการทุบตี แช่งชัก ให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอันจะตายไปเร็ว ๆ
    สามีภรรยาแบบนี้ ถ้าเป็นด้วยกันทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างก็มุ่งร้ายเข้าหากัน
    ต่างไม่ยอมกัน มีหวังบ้านแตกต้องแยกกันทุกรายไป

    2. โจระ ผัวเมียประเภทนี้เป็นประเภทผัวล้างเมียผลาญ คำว่า โจระ
    ก็คือ โจรนั่นเอง โจรย่อมหมายปองทรัพย์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนสายตาย่อมจะ
    กวาดดูทรัพย์ในที่นั้น และถ้าเห็นของมีค่าก็ให้เกิดกิเลสอยากจะขโมยเอาไปเสีย
    สามีภรรยาประเภทผัวโจรเมียโจร จะมีนิสัยเหมือนกันชอบเบียดบังซุกซ่อนเอาทรัพย์ของครอบครัวไปบำรุงบำเรอ
    คนภายนอกครอบครัวบ้าง เอาไปซื้อความสนุกสนานเป็นส่วนตัวตามลำพังบ้าง ซึ่งทรัพย์ที่นำไปใช้นั้นเป็นทรัพย์ที่ทั้งคู่ได้ช่วยกันเก็บหอมรอมริบไว้
    และตกลงกันว่าจะหวงแหนเป็นหลักทรัพย์ของครอบครัว ผู้ที่เอาไปใช้จ่ายก็เอาไปในลักษณะซ่อนเร้นปิดบังหรือเล่ห์ต่าง ๆ
    ซึ่งเป็นลักษณะของโจรถ้าเป็นทรัพย์สินที่ตกลงกันไว้ให้แต่ละฝ่ายเอาไปใช้จ่าย
    ได้ตามชอบใจก็ไม่มีความผิดในลักษณะโจร
    สามีภรรยาที่ชอบก่อหนี้ไว้นอกบ้านไม่บอกให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ
    อีกฝ่ายหนึ่งต้องรับบาปตามไปใช้หนี้ รายแล้วรายเล่า
    ให้มีอันต้องทุกข์ใจเรื่องเงินทองอยู่เสมอ ฝ่ายที่เป็นต้นเหตุนับว่าเป็นโจร
    ที่คอยปล้นครอบครัว เพราะต้องนำเงินไปใช้หนี้เขาที่ได้ก่อไว้เพียงฝ่ายเดียว
    สามีภรรยาย่อมมีสิทธิในทรัพย์สินของครอบครัวที่หามาได้ทั้งสองฝ่ายร่วมกัน
    ทรัพย์สินเหล่านั้น ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันและหวงแหนในทรัพย์สิน
    ร่วมกัน เมื่อเวลาจะใช้จ่ายก็ควรจะได้พูดจาหรือหารือกันก่อน
    เพราะสามีภรรยาจะต้องมีความบริสุทธิ์และซื่อตรงต่อกัน เสถียรภาพของ
    ครอบครัวถึงจะมั่นคง

    การป้องกันโจรนอกบ้านย่อมง่ายกว่าโจรในบ้าน โจรนอกบ้านถ้าปิดประตูหน้าต่างลงกลอนให้แข็งแรงก็พอป้องกันได้ และยัง
    พึ่งตำรวจได้ แต่โจรในบ้านในครอบครัวนี่ซิร้ายนัก ระวังยาก ปราบยาก
    ทรัพย์สินในบ้านมีเท่าไหร่อยู่ที่ไหนรู้หมด แถมเข้านอกออกในได้ทุกเวลา
    กุญแจทุกดอกก็ มีสิทธิ์ถือ แม้จะขโมยจนเกลี้ยงบ้าน ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้
    ใครที่มีสามีหรือภรรยาเป็นโจร ครอบครัวไม่มีทางเจริญ
    เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นโจร อีกฝ่ายต้องคอยระวังแต่ทรัพย์ แล้วก็คอยนับ
    ผลเสียหายที่อีกฝ่ายหนึ่งทำขึ้น ในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องแยกทางกันไป กรรมแท้ ๆ โจรในครอบครัวช่างไม่คุ้มกันเลยที่เดิมกันด้วยชีวิตของครอบครัวต้องแตกสลาย

    3. อัยยา ซึ่งแปลว่า นาย หมายถึง ภรรยาที่นับถือสามีเหมือนนาย
    หรือสามีที่นับถือภรรยาเหมือนนาย ผู้ที่ทำตัวเป็นนายต้องให้อีกฝ่ายหนึ่ง
    อยู่ในโอวาทเคร่งอยู่ในคำสั่ง ตอนเช้าสามีออกไปทำงานภรรยาสั่งสามี
    อย่าไปกินเหล้าเมายาที่ไหนนะ เลิกงานต้องรีบกลับบ้าน ถ้าไม่เชื่อละก็น่าดู
    หรือภรรยาอยากจะออกไปทำผม สามีกำชับว่าต้องไปทำมันทำไมจะทำไปอวดใคร
    ไม่ต้องทำ ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ ทั้งสามีและภรรยาต้องการใช้อำนาจเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่ง
    ต้องกระทำตามคำสั่งของตน หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่กระทำตามก็จะเกิดเรื่องทะเลาะ
    วิวาทกัน

    สามีภรรยาประเภทนี้ฝ่ายหนึ่งจะต้องมีอำนาจเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง แม้กระทั่ง
    การดำเนินชีวิตยังมีการกำหนดกันไว้ว่า ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง
    แสดงว่ามีความต้องการ ให้ฝ่ายชายเป็นผู้นำหรือเป็นนายนั่นเอง ประเพณีบางอย่าง
    ของการแต่งงาน เช่น การตักบาตร ซึ่งหญิงชายจะต้องตักบาตรร่วมกัน หลายคน
    สอนให้เจ้าสาวต้องจับทัพพีตักบาตรให้เหนือมือเจ้าบ่าว จะได้มีอำนาจเหนือเจ้าบ่าว
    หรือเวลานั่งหลั่งน้ำสังข์ เมื่อพิธีเสร็จแล้วเจ้าสาวต้องรีบลุกขึ้นก่อน จะได้เหนือกว่า
    เจ้าบ่าว ซึ่งสิ่งให้กระทำต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเจ้าสาวต้องเป็นนายเจ้าบ่าว

    ครั้นแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว สามีภรรยาแบบเป็นนายต่างก็ต้องการข่มขู่
    คู่ครองของตน อยากให้คู่ครองต่ำกว่าตน หญิงก็คุยอวดกันว่าใครจะปราบผัวได้
    อยู่มือกว่ากัน หรือชายก็คุยแข่งกันในเรื่องการปราบเมีย ใครยิ่งคุยในการทำให้คู่ครองกลัวได้มากกว่ากันยิ่งเกิดความภาคภูมิใจ
    หากใครบังเอิญไปได้ผัวเมียชนิดเป็นนายเหนือหัวก็ต้องเตี้ยค่อมลงไปทุกวัน
    ต้องยอมให้เขากดหัว เมื่ออยู่ด้วยกันก็ถูกเขาไล่เช้าไล่เย็น เมื่อทนไม่ไหวต้องหอบ
    มุ้งหอบหมอนหนีไปจริง ๆ ไม่ช้าไม่นานเขาก็จะตามไปดึงหูให้กลับมาอีก ต้อง
    จำทนทุกข์ทรมานให้เขาได้กดขี่ สงสารกันบ้างเถอะ สามีภรรยาคนใดที่ชอบ
    แสดงตนเป็นนาย ควรผ่อนคลายกดขี่ข่มเหงลงบ้าง ถ้าไม่กลัวเวรกรรมในชาติหน้า
    ก็นึกเสียว่าสงสารมนุษย์ตาดำ ๆ กันเถอะ

    5.2. การเกื้อกูลกันระหว่างสามีภรรยา
    สามีภรรยาจะครองคู่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันโดยไม่มีการหย่าร้างจากกัน
    หรือสมรสหย่าร้างกัน จะต้องรู้จักใช้ลักษณะของคู่สมรสที่ดี
    แล้วยังจะต้องมีหลักแห่งการบำรุงและสงเคราะห์ซึ่งกัน และกัน ดังนี้

    สามีพึงบำรุงภรรยา 5 สถาน คือ
    1. ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา สามีที่ดีของภรรยาจะต้องยกย่องนับถือภรรยา
    ของตนเอง กล่าวคือ เมื่ออยู่ในสังคมก็ต้องแนะนำให้เพื่อนฝูงได้รู้จักภรรยา ไม่ปิดบัง
    ซ่อนเร้น และ ภายในครอบครัวก็ต้องให้มีศักดิ์ศรีเสมอลำดับญาติพี่น้อง

    2. ไม่ดูหมิ่น สามีต้องไม่ดูหมิ่นภรรยาตนในเรื่องต่าง ๆ ต่อหน้าบุคคลอื่น
    เช่น ตำหนิว่าภรรยาตนเองเป็นคนใจง่าย เป็นคนที่ตนใช้เงินซื้อมา

    3. ไม่ประพฤตินอกใจ สามีที่ดีต้องไม่ประพฤติตนนอกใจภรรยาของตนเอง โดยการไปเที่ยวหาความสำราญกับหญิงอื่น ไปยกย่องหญิงอื่นเหนือภรรยาตน
    หรือไปได้หญิงอื่นเป็นภรรยาน้อย

    4. มอบความเป็นใหญ่ในบ้านให้แก่ภรรยา เมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว
    ย่อมจะเกิดเป็นครอบครัวขึ้น ซึ่งจะต้องมีสมาชิกประกอบด้วยพ่อแม่
    บุตร ญาติพี่น้องฝ่ายสามีหรือภรรยา และอาจจะมีคนรับใช้ สามีจะต้องมอบ
    ความเป็นใหญ่ในบ้าน ซึ่งได้แก่การจัดการในบ้านเรื่องเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงิน
    ในครอบครัวการดูแลสมาชิกในครอบครัว การจัดการสิ่งของเครื่องใช้ภายใน
    ครอบครัว ให้เหมาะสมพอควรแก่ฐานะ


    5. ให้เครื่องแต่งตัว สามีพึงต้องซื้อเครื่องแต่งตัวให้ภรรยาตามฐานะและ
    โอกาส เช่น ซื้อเสื้อหรือผ้าให้ภรรยา ซื้อผ้าในการแต่งตัว ซื้อเครื่องประดับสมตาม
    ฐานะ ซื้อของขวัญวันเกิดมอบให้แก่ภรรยา เมื่อภรรยาได้รับการบำรุงจากสามี
    ดังได้กล่าวมาแล้ว ภรรยาก็ต้องรู้จักอนุเคราะห์สามี เพื่อชีวิตสมรสจะได้ยั่งยืน
    ตลอดไป

    ภรรยาพึงอนุเคราะห์สามี 5 สถาน คือ
    1. จัดการงานดี เมื่อภรรยาได้รับเกียรติจากสามีให้เป็นใหญ่ในบ้านแล้ว หน้าที่ของภรรยาจะต้องเป็นผู้จัดการงานต่าง ๆ ในบ้านให้ดี โดยต้องดูแลญาติ
    ของสามีเสมือนญาติของตน จัดการเรื่องการอุปโภค บริโภค และดูแลสมาชิกทุกคน
    ในครอบครัวเป็นอย่างดี

    2. สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามีดี คนข้างเคียงของสามี ไม่ว่าจะเป็น
    ญาติ เพื่อนสนิท ลูกน้องร่วมงาน ภรรยาจะต้องรู้จักสงเคราะห์ให้เหมาะสม

    3. ไม่ประพฤตินอกใจสามี ข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับภรรยา เพราะ
    สังคมไทย สามีถือในเรื่องความประพฤติของภรรยาตนเอง หากไปประพฤติ
    นอกใจสามี สามีย่อมทำใจไม่ได้ที่จะให้อภัยต่อการนอกใจของภรรยา และมักจะหย่าขาดจากกันเมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น

    4. รักษาทรัพย์ที่สามีหามาไว้ได้ ในเรื่องของทรัพย์สิน สามีที่มอบ
    ความเป็นใหญ่ในบ้านให้ภรรยา มักจะมอบทรัพย์สินที่หามาได้ให้ภรรยาเป็นผู้จัดการ
    ดังนั้น ภรรยาจึงต้องใช้ทรัพย์สินเท่าความจำเป็นที่พึงใช้ตามอัตภาพแห่งครอบครัว
    ส่วนที่เหลือต้องพึงเก็บไว้เพื่อใช้ในยามจำเป็น ไม่นำไปใช้จ่ายในทางฟุ่มเฟือย
    หรือเพื่อประโยชน์ส่วนตนเอง เช่น เล่นการพนัน


    5. ไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง ภรรยาที่ดีจะต้องเป็นผู้จัดการงานโดย
    ไม่เกียจคร้าน เช่น ยามแต่งงานกันใหม่ ๆ สามีต้องไปทำงาน ภรรยาเป็นแม่บ้าน หน้าที่
    ของภรรยาต้องหุงหาอาหารเพื่อให้สามีได้รับประทานก่อนไปทำงาน และซักเสื้อผ้า
    ให้แก่สามี แต่ภรรยาทำบ้างไม่ทำบ้าง บางครั้งนอนตื่นสายก็ไม่ได้จัดเตรียมหุงหาอาหาร
    ให้สามี ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะเป็นการเกียจคร้านในหน้าที่แห่งตน

    การครองรักมิให้เกิดหย่าร้างหรือเลิกจากกันไป
    จำเป็นต้องเลือกแนวทางชีวิต
    ในลักษณะของความรักเช่นแม่รักลูก
    และจะต้องมีการบำรุงและอนุเคราะห์กันระหว่างสามีภรรยาอีกด้วย

    ที่มา...23-5
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2014
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,418
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    SadhuuuToon.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...