จงฟังมนุษย์เอย....

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย famesod4, 14 เมษายน 2011.

  1. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    "อะไรที่สมองไม่เคยได้รับรู้ถึงมัน คุณจะไม่ฝันถึงมัน"

    อืม... น่าคิด

    อะไรที่เราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เราจะไม่ฝันถึงมัน เพราะไม่เคยเห็น ไม่เคยรับรู้ เลยจินตนาการไม่ออก

    สมองเป็นฮาร์ดแวร์ ประสบการณ์เป็นซอฟแวร์ ประมาณนี้หรือเปล่า?
     
  2. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ผมเคยเห็นสถานที่ที่ไม่เคยไป บุคคลที่ไม่เคยเจอ การใช้ภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน และที่สำคัญ ถ้าไปตามย้อนดูในกระทู้ที่ผมเคยตั้ง ผมเคยทำนายเกี่ยวกับเหตุการณ์จราจลและสังหารหมู่ที่ราชประสงค์ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์จริง...จะอธิบายว่าอย่างไรครับ???...อย่าใช้ตรรกะทางความคิด หากคุณยังไม่สามารถใช้มันได้อย่างเป็นรูปธรรมเลยครับ หลายอย่างไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลที่มนุษย์สรรสร้างมาได้หรอกครับ...เหมือนกับที่บอกว่า "ไม่เคยเห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง"
     
  3. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571


    ลักษณะของบุคคลที่ไม่เคยเจอ ที่ฝันถึงเป็นอย่างไร

    เป็นแบบนี้หรือเปล่า

    1) มีลำตัวเป็นทรงกลม มี อวัยวะเป็นระยางรูปคล้ายใบพาย มีหัวแหลมเหมือนกรวยอยู่ด้านบน และมีมือ ที่เป็นระยางคล้าย หนวดปลาหมึก

    หรือ

    2) มีลักษณะ คล้ายมนุษย์ มี สองแขน สองขา มีลำตัวและหัวด้านบน


    ที่คุณฝัน เห็น คน เพราะ สมองของคุณ เคยจดจำลักษณะ ของ รูปร่าง มนุษย์ ......... ข้อ 1) น่ะ ผมมั่วเอา เพราะไม่รู้ตัวอะไร


    เคยฝันเห็น คน หรือบุคคล ที่ มี ขายื่นออกมาจากกลางทรวงอก หรือ มีปาก อยู่ ที่ หัวเข่า หรือเปล่า ถ้าไม่เคย ก็ลองวาดภาพ ลักษณะนี้ ติดฝาบ้านไว้ ติดไว้ที่ ตู้เย็นก็ได้ แล้ววันหนึ่ง คุณจะฝันถึง


    สถานที่ ที่ฝันถึง ในฝันของคุณ มีสิ่งก่อสร้างหรือวัตถุ เช่นอะไรที่เป็นรูปทรงเลขาคณิต หรือสิ่งของ บ้านเรือน ป่าไม้ ต้นไม่ ภูเขา ทะเล ถนน อะไรก็แล้วแต่ ลองสังเกตุให้ดีว่า วัตถุขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็ก สิ่งที่คุณเห็นในฝัน ลักษณะของมัน จะเหมือนกับสิ่งที่คุณเคยเห็นใน อดีต ในสถานที่นั้น คุณใช้ขาเดิน หรือ วิ่ง หรือ คุณ ลอยไปแบบ ไร้แรงโน้มถ่วง หรือ บินแบบ Superman การเคลื่อนที่ในฝัน จะมาจากประสบการที่ สมองเคยได้รับ เดิน หรือ วิ่ง มาจากชีวิตจริง ลอย หรือบิน มาจาก TV หรือ นิยายที่เคยอ่าน


    เคยฝันถึง สถานที่ ที่เป็นเมือกๆ ตัวคุณอยู่ในนั้น และมีของเหลว ไหลจาก ด้านล่าง ขึ้นด้านบน หรือเปล่า
    คงไม่เคย เพราะ มันอยู่นอกเหนือ ประสบการณ์ปรกติ ของมนุษย์




    ไม่ได้บอกว่า การเข้าฝันของ วิญญาณ หรือ เทพๆ จะไม่มีจริง

    ผมเอง ญาติ ที่ตายไปยังมาเข้าฝันเลย เป็นเรื่องปรกติของมนุษย์


    แต่ อยากให้ท่านทั้งหลาย พิจารณาให้ดีก่อน ว่าที่ฝันต่างๆนาๆ น่ะ
    มันเกิดจากข้อมูลในสมองของตัวเอง ที่ผสมกันออกมาตอนหลับ (ฝัน)

    หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นคุณอาจ ต้องเตรียมอัญเชิญ เทพๆจากดาวอุนตร้า มาปกป้องโลก ถ้าลูกของคุณฝันถึง ก็อตซีล่ากำลังจะมาถล่มกรุงเทพฯ


    "ไม่เคยเห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง" อันนี้เห็นด้วย

    แต่ " สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง " อันนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ

    เอาของเล่นไปดูเป็นรูปธรรม ว่า สมองของมนุษย์ มันเล่นตลกได้ แล้วสิ่งที่เห็น บางที่ ไม่เป็นจริงเสมอไป


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=fYa0y4ETFVo&feature=related"]YouTube - Impossible Motion ? Best Illusion 2010[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2011
  4. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ดิฉันก็เคยฝันเห็นสถานที่ที่ไม่เคยไป บุคคลที่ไม่เคยเจอในชีวิตปัจจุบันเหมือนกันค่ะ และคิดว่า ถ้าในชีวิตปัจจุบันเราไม่เคยพบเคยเจอสิ่งนั้นเลย แม้แต่คิดคำนึงถึงก็ไม่เคย เราจะจินตนาการถึงมันได้อย่างไร...

    เราอาจเคยเห็นมันมาแล้วในอดีต ที่ไม่ใช่ในชีวิตปัจจุบันนี้
    ดูๆไป เหมือนมันเป็นประสบการณ์ทางจิตที่ลึกกว่าสมอง
    ดิฉันเลยเปรียบว่า สมองเหมือนส่วนฮาร์ดแวร์
    และประสบการณ์ของจิตเป็นเหมือนซอฟแวร์
     
  5. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    กำลังศึกษา เอามาแบ่งๆ กันอ่านค่ะ

    เครดิต ภาควิชาฟิสิกส์
    คณะวิทยาศาสตร์
    มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
    http://www.atom.rmutphysics.com/CHARUD/scibook/universe%20of%20life/chap7/index7-1.htm


    จิตกับสมอง

    คำว่าจิต ตามที่เข้าใจกันในภาษาใดก็ตาม เป็นคำที่ให้นิยามยากที่สุดคำหนึ่งและการแบ่งจิตออกเป็นประเภทขั้นหรือระนาบ และระดับหรือการแบ่งจิตในระบบอื่น ๆ ล้วนไม่มีความหมายที่จะทำให้ทุกคนในโลกสามารถเข้าใจได้เช่นเดียวกัน คนพูดกับคนฟังนอกจากในวงที่จำกัดจริง ๆ แล้วแทบเป็นไปไม่ได้ว่าจะเข้าใจเป็นเอกภาพว่ากำลังพูดเรื่องเดียวกันทั้งหมด ดูจะมีความสับสนมากขึ้นเมื่อนักจิตวิทยาหรือผู้ค้นคว้าทางจิตทางวิชาการมากหลาย แต่ละคนก็ตั้งโรงเรียนของตนเองจำแนกแยกประเภทจิตจนไม่สามารถที่จะหาความเป็น หนึ่งเดียวกันได้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าเรื่องของจิตโดยเฉพาะจิตวิญญาณนับได้เป็นเรื่องที่ เร้นลับที่สุด และเป็นเรื่องที่ค้นคว้าได้ยากที่สุด ที่พอจะทำได้ก็เพียงความเข้าใจที่สอดคล้องกันในหลักการกว้าง ๆ ได้ในระดับหนึ่งโดยยึดถือสามัญสำนึกหรือประสบการณ์ที่ทุกคนมีอยู่เท่าเทียม กันเป็นพื้นฐาน และการอธิบายขยายประกอบของผู้พูดผู้เขียนที่จะต้องให้รายละเอียดพอสมควรว่า คำที่กำลังนำมาใช้ในขณะนั้นหมายถึงอะไร ถึงแม้กระนั้นทั้งหมดก็คงได้แต่ความสังเขป ซึ่งในบทนี้ความแตกต่างของทั้งสอง จิตกับสมอง จึงอยู่ที่ความแตกต่างระหว่างผลผลิตขององค์กรรวมกับผลผลิตของอวัยวะ และกระบวนการของแต่ละส่วนของมันอย่างเป็นเอกเทศระหว่างสัญลักษณ์กับวัตถุ หรือระหว่างซ็อฟท์แวร์กับฮาร์ดแวร์ซึ่งจิตคือซ็อฟท์แวร์แห่งข้อมูล ดังคำเปรียบเทียบของพลาโดที่กล่าวว่า ข้อมูลและความคิดที่ไม่ใช่รูปธรรมต่างหากคือความจริงแท้และเป็นอิสระด้วยตัว ของตัวเอง ที่อยู่เหนือกว่าและเบื้องหลังโลกแห่งวัตถุและรูปธรรม จิตจึงไม่น่าใช่ที่จะเป็นเรื่องของฟิสิกส์กายภาพที่คอมพิวเตอร์จะทำปัญญา เทียมขึ้นมาได้เช่นเดียวกับจิตมนุษย์ทั้งหมดไม่ว่าเมื่อไรและอย่างไร นั่นเป็นเรื่องที่สำคัญที่หลายคนอาจไม่ได้คิดถึง เพราะความแตกต่างของจิตกับสมองอาจบ่งชี้วิสัยทัศน์ของเรา วิสัยทัศน์ที่อาจกำหนดความอยู่รอดของสังคมโลกเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ และมวลสรรพสิ่งเลยทีเดียว นั่นคือความแตกต่างกันระหว่างคุณค่าความหมายและจุดหมายปลายทาง กับความบังเอิญไร้ค่าไร้ทั้งที่มาที่ไป ระหว่างความหน่วงหนักเยี่ยงขุนเขากับความบางเยี่ยงขนนก

    นั่นคือความแตกต่างแต่ต้องพึ่งพากันระหว่างจิตกับสมองที่ยกขึ้นมาเป็นหัวข้อ ของบทนี้ จิตหรือความหมายในที่นี้คือจิตวิญญาณของมนุษย์ที่แยกบทบาทของประสาทสัมผัส (senses) และความรู้สึก (feelings) และการตอบสนองอย่างอัตโนมัติอันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของชีวิตที่มีต่อประสาท สัมผัสความรู้สึกนั้น ๆ ที่เรียกว่าสัญชาตญาณ (instincts) ออกไปแล้วทั้งหมด ที่สูงและซับซ้อนกว่านั้นล้วนเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ (consciousness) จิตวิญญาณที่นักฟิสิกส์ทุกคนเชื่อว่า เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลเป็นองค์รวมที่มีการบริหารโดยกฎของการจัด องค์กรตัวเอง ด้วยฟิสิกส์ใหม่และแควนตัมเมคานิคส์ที่รวมอนุภาคที่ว่างและเวลาเป็นมิติแห่ง องค์รวมที่ต่อเนื่องกัน ทั้งหมดจึงเป็นคนละเรื่องกับสมองที่เป็นเรื่องของโลกกาย เป็นวัตถุบริหารด้วยกฎทางฟิสิกส์กายภาพ การเคลื่อนที่ของสสารที่มีเวลาและที่ว่างเป็นตัวแปรทั้งหมดเป็นเอกเทศแปลก แยกจากกัน ด้วยข้อจำกัดของขอบเขตและความจำเป็นของรูปกายและด้วยข้อจำกัดขององค์ประกอบ โดยรอบของการจัดองค์กรตนเอง ในโลกที่จำกัดขององค์ประกอบโดยรอบของการจัดองค์กรตนเอง ในโลกที่จำกัดด้วยรูปกายสิ่งแวดล้อมเช่นนั้น จิตวิญญาณที่เป็นส่วนละเอียดของจักรวาลกับสมอง ที่เป็นเปลือกหยาบผลิตภัณฑ์ของโลกกายจึงต้องรวมอยู่ด้วยกันและจำเป็นจะต้อง พึ่งพากันทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดทีหลังและในรูปแบบที่เหมาะสมกับกายภาพโดย รวมของโลกนี้เท่านั้น

    แน่นอนได้เลยว่า วิทยาศาสตร์โดยเฉพาะฟิสิกส์กายภาพและชีววิทยาที่ยังคงเดินทางบนหลักการของ วัตถุและความแปลกแยกจะไม่สามารถเปิดเผยความหมายที่แท้จริงของจักรวาลและ ชีวิตได้หรือแม้แต่จะเข้าใจปัญหาของมนุษย์และของโลกส่วนมากที่สุดสืบเนื่อง จากนั้น อย่างไรก็ตามด้วยศักยภาพปัญญาของมนุษย์ ด้วยกระบวนทัศน์ทางความรู้ที่ปรับหรือเปลี่ยนแปลงใหม่ยิ่งขึ้นตลอดเวลา ด้วยฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ เป็นไปได้ว่ากระบวนทัศน์ใหม่ทางความคิดจะสามารถวางรากฐาน และกำหนดทิศทางใหม่ให้แก่สังคมโลกให้ผันกลับมาสู่แนวทางที่เป็นธรรมชาติสอด คล้องกลมกลืนกับกระบวนการจัดองค์กรตัวเองและเป็นไปได้ทันกับเวลา


    2 ระดับของสมองกับจิต

    ในบทนี้ จะไม่ลงไปในรายละเอียดในเรื่องของสมองและจิตวิญญาณที่ได้เขียนเล่าไว้แล้วในหนังสือเล่มอื่น ๆ แต่เพื่อความเข้าใจการทำงานของสมองและผลผลิตที่เป็นเรื่องของฟิสิกส์กายภาพที่เรียกว่าประสาทสรีรวิทยา กับเรื่องของจิตหรือวิญญาณที่เป็นเรื่องขององค์รวมระดับจักรวาลเรื่องของการจัดองค์กรตนเองตามธรรมชาติ เราก็อาจพิจารณากระบวนการทำงานและความสัมพันธ์พึ่งพาอาศัยกันระหว่างจิตกับสมองได้เพิ่มเติมดังนี้


    ในทางประสาทสรีรวิทยาที่เป็นการทำงานของระบบประสาทวิทยาส่วนมากที่สุดที่ สมอง (neural pathway) เราอาจแบ่งความเข้าใจแยกได้เป็นสองระดับคือระดับล่าง หรือระดับที่เซลล์สมอง (nerve calls or neurons) ระดับหนึ่ง และระดับสูงคือระดับของการโยงเชื่อมต่อเนื่องของเซลล์ประสาทจำนวนมากเป็น ร่างแห (network) อีกระดับหนึ่ง ระดับล่างเป็นเรื่องของสสารวัตถุและพลังงานเอกเทศ ระดับหลังเป็นเรื่องของเนื้อหาและรูปแบบ ผลผลิตรวมของประสาทสรีรวิทยาที่เป็นไปส่วนหนึ่งที่สำคัญด้วยกฎทางฟิสิกส์ กายภาพด้วยพลังงานไฟฟ้าและเคมีเป็นต้นว่าเรื่องของความจำและการเรียนรู้ (congnitive) เรื่องของความคิด (thought) และการสนองตอบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว (Instincts and reflexes)


    ในทางจิตวิทยาการทำงานที่ผ่านทางกระบวนการทางจิต (mental pathway) ก็อาจแบ่งเป็นสองระดับคือระดับล่างที่รู้ตัวเป็นจิตสำนึกรูปธรรม (objective awareness and conscious mind) และระดับสูงจิตสำนึกที่ไม่มีรูปธรรมและจิตไร้สำนึก (subjective awareness and unconscious mind) ผลผลิตได้แก่พฤติกรรมพื้นฐานที่สติปัญญาปรับให้ เป็นพฤติกรรมที่ซับซ้อน ความคิดที่ซับซ้อนและการวิเคราะห์ ตรรกะและเหตุผล ความฝันไปจนถึงปรากฏการณ์ทางจิตเร้นลับต่าง ๆ รวมทั้งจิตที่สูงส่งเป็นเทวจิตธรรมจิต (spirituality) ทั้งหมดเป็นเรื่องของการรับรู้ที่เรียกรวมว่าจิตวิญญาณ
    ทั้งหมดนี้สมองและระบบประสาทจะต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการทั้งสอง ทั้งกระบวนการทางประสาทวิทยาและจิตวิทยา (neural and mental pathways) กระบวนการแรกดังได้กล่าวแล้วเป็นเรื่องทางฟิสิกส์กายภาพ เอกเทศและมีตำแหน่งแหล่งที่ (individualistic and local network) เฉพาะและกำหนดได้ (deterministic) ส่วนกระบวนการหลังเป็นเรื่องของฟิสิกส์หรือวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ เรื่องขององค์รวม (holistic) ที่ไม่มีตำแหน่งแหล่งที่และกำหนดไม่ได้ (non - local and non - deter ministic)


    กายวิภาคของสมองซับซ้อนยิ่งนัก สมองมีเซลล์ประสาททั้งหมดราว ๆ หนึ่งร้อยพันล้านตัว หรือเท่ากับ 10 ยกกำลัง 11 ซึ่งไปเท่ากับจำนวนของกาแล็คซี่ทั้งหมดในจักรวาล และยังไปเท่ากับจำนวนของดาวทั้งหมดในแต่ละกาแล็คซี่ มันทำให้คิดต่อไปว่ามันต้องมีอะไรที่ทำให้เกิดความสอดคล้องต้องกันเช่นนั้น หรือหากจะเป็นความบังเอิญมันก็มากเกินไป และก็อาจคิดต่อไปได้ว่าระบบดาวแต่ละดวงก็เป็นระบบที่ทอนย่อยลงมาของระบบกาแล็คซี่แต่ละกาแล็คซี่ ที่ก็เป็นระบบที่ทอนย่อยของจักรวาลทั้งหมด เหมือนกับว่าหากทอนย่อยลงมาอีกมนุษย์ก็คือส่วนที่ย่อยลงมาของดาวหรือดวงอาทิตย์ และมนุษย์ก็คือส่วนย่อยมาก ๆ ของกาแล็คซี่ เป็นส่วนที่ย่อยละเอียดที่สุดของจักรวาล มิน่าเล่าที่ในตำนานโบราณของจีนถึงได้บอกว่ามนุษย์เป็นดาวที่จุติลงมาเกิด


    เซลล์สมองแต่ละเซลล์เชื่อมโยงต่อเนื่องกับเซลล์สมองตัวอื่น ๆ มีจำนวนเฉลี่ยประมาณหนึ่งหมื่นตัว การเชื่อมโยงส่วนใหญ่เป็นระบบและมีระเบียบที่ก็คงเป็นไปตามการกำหนดทางพันธุ กรรม แต่มีอีกส่วนหนึ่งที่การเชื่อมโยงต่อเนื่องระหว่างกันที่อาจเกิดทีหลัง วิวัฒนาการทีหลัง เป็นการเชื่อมต่อที่ไม่เป็นระเบียบ โรคจิตหลายโรคพบว่ามีการเชื่อมติดต่อกันอย่างไม่เป็นระเบียบแต่ก็ยังไม่รู้ มากกว่านั้นว่าเกิดจากอะไรหรือเป็นเรื่องทางพันธุกรรมเช่นเดียวกันหรือไม่ การส่งออกซึ่งกระแสไฟฟ้าจากเซลล์ประสาทแต่ละตัวแต่ละครั้ง ขึ้นกับผลรวมของกระแสที่รับเข้ามาจากเซลล์ตัวอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกันเหล่านั้น และกระแสที่รับเข้ามาจากเซลล์ตัวอื่น ๆ นั้น มีทั้งกระแสที่กระตุ้นหรือยับยั้ง ดังนั้นเซลล์สมองแต่ละตัวที่ส่งกระแสของตัวออกไปแต่ละครั้ง หรือด้วยความเร็วเท่าไรนั้นขึ้นกับจำนวนและความซับซ้อนของคำสั่งที่ตนได้รับ คำสั่งที่เมื่อไล่ไปถึงที่สุดแล้วบ่งบอกถึงสภาพของเซลล์ตัวอื่น ๆ ทั่วทั้งสมองในขณะนั้น



    อธิบายได้แค่นี้แหละ

    ผลรวมของการทำงานที่ซับซ้อนของสมองที่ได้ออกมาก็คือปรากฏการณ์ทางจิตในรูปหนึ่งรูปใด ที่แปรเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างกันตามความซับซ้อนนั้น ๆ และเมื่อถึงตรงนี้การอธิบายทางประสาทสรีรวิทยาด้วยฟิสิกส์กายภาพก็สิ้นสุดลง ฟิสิกส์อธิบายกระบวนการที่เกิดขึ้นมาเป็นพฤติกรรมที่ซ้ำซ้อนเช่นนั้นไม่ได้ และคงไม่มีทางเป็นไปได้


    บางคนอาจจะเคยเห็นงูเลื้อยไล่ตามเหยื่อของมัน เมื่อยังเล็ก ๆ เคยประสบด้วยตนเองที่บ้านของยายที่ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาและป่าทึบ งูตัวใหญ่มากมักไล่ตามตะกวดตัวขนาดกลางที่วิ่งตามกันมาจากชายป่า มันคงตามกันมานานพอควรเพราะตะกวดไม่ได้กลัวคนที่นั่งกันอยู่บนเตียงใต้ถุน บ้าน มันวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเฉียดเท้าไปนิดเดียวโดยมีงูวิ่งชูคอสูงมาติด ๆ ผู้ใหญ่ทุกคนฮือกระโดดลุกยืนบนเตียง แต่ตัวเองยังเล็กเกินที่จะรู้จักงูเลยไม่ได้ตกใจไปกับเขาเห็นชัดว่างูมัน เลื้อยผ่านเท้าทั้งสองไปไม่ห่างที่นั่งห้อยเท้าเท่าใดนักไม่น่าเชื่อว่างู ใหญ่จะเลื้อยได้เร็วจนได้ยินเสียงอู้ ๆ ดังมาก แต่งูมันเหมือนกับไม่เห็นพวกเรา เลยวิ่งตามไล่กันออกไปที่ทุ่งหลังบ้านหายไปทั้งคู่ ไม่รู้ว่ามันไล่ตะกวดตัวนั้นทันหรือไม่ทัน เพิ่งมารู้ทีหลังเมื่อผู้ใหญ่บอกว่างูใหญ่ตัวนั้นคืองูบ้องหลากหรืองูจงอาง นั่นเอง ในกรณีนี้งูมันทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างในตัวมันเพื่อเป้าหมายเฉพาะ เป็นการรวบรวมการทำงานของอวัยวะ และเนื้อเยื่อทั้งหมดให้สอดคล้องเป็นระบบ เพื่อเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือจับตะกวดกินให้ได้ เป้าหมายหรือเหตุปัจจัยสุดท้ายตามหลักการของอะริสโตเติลที่กล่าวมาแล้ว อะตอมทุก ๆ อะตอมในตัวของงูโดยไม่ยกเว้นเคลื่อนไหวไปตามกฎทางฟิสิกส์อย่างกลมเกลียว การเคลื่อนไหวที่ให้ผลรวมสู่เป้าหมายอย่างเดียว ตะกวด


    แต่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ก็คือ ในช่วงที่งูมันมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดเลยนอกจากตะกวดนั้น เพราะงานที่มันกำลังทำนั้นมันทำไปอย่างไม่มีสติหรือรู้ตัวรับรู้สิ่งอื่นใด ทั้งสิ้นนอกจากตะกวดเพียงอย่างเดียว อะตอมทุกอะตอมเขม็งเกลียวเพราะการนั้นเท่านั้นเหมือนว่ามีพลังที่ยิ่งใหญ่ อยู่เบื้องหลังสั่งอย่างประสานสอดคล้องถึงทุก ๆ อะตอมในร่างของมันเพื่อการนั้น จะต้องสิ้นสุดที่เป้าหมายนั้น ก็เช่นเดียวกับผึ้งงานที่ตื่นเช้าก็จะต้องบินออกไปพร้อมกัน โดยไม่มีการลังเลเสียเวลา บินไปสู่เป้าหมายเดียวกันทั้งหมด ซึ่งไม่ว่าเราจะทดลองย้ายรังผึ้งไปที่ใดที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน ป่าไม้ดอกที่ผึ้งมันไม่เคยรู้ทิศทางที่ตั้งมาก่อน แต่ก็ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวโดยไม่มีการชะลอลังเล ผึ้งทุกตัวต่างล้วนบินสู่เป้าหมายโดยไม่ผิดพลาดหรือแมงมุมที่ชักใยก็เหมือน กันทั้งผึ้งและแมงมุมมันไม่ได้วางแผนหรือรู้ตัวว่ามันกำลังทำสิ่งนั้น ๆ ในขณะนั้นทำไม ที่มันทำไปเป็นด้วยบัญชาจากสิ่งอื่นที่อยู่ข้างหลังสั่งให้ทำเช่นนั้น และไม่ว่าอย่างไรผึ้งจะต้องกลับรังพร้อมด้วยน้ำหวานทุกครั้ง และแมงมุมจะต้องชักใยที่เป็นระบบรูปแบบเดิมโดยไม่ผิดเพี้ยนจนแล้วเสร็จ ซึ่งทั้งหมดนี้สมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์เคยอธิบายว่าเป็นเรื่องของข้อมูลความ จำที่บันทึกไว้เป็นพันธุกรรมในดีเอ็นเอ แต่เดี๋ยวนี้จากการทดลองซ้ำซ้อนเรารู้แล้วว่ามันไม่ใช่จะอธิบายง่าย ๆ ว่าข้อมูลทั้งหมดถูกบันทึกไว้บนโมเลกุลของดีเอ็นเอที่ในสัตว์เช่นแมงมุงหรือ ผึ้งไม่ได้มีจำนวนหรือความซับซ้อนมากมายได้เช่นนั้น ยกตัวอย่างของผึ้งงานที่ต้องมีข้อมูลที่จะรู้ว่าน้ำหวาน หรือดอกไม้อยู่ตำแหน่งในระยะทางห่างไกลเท่าไรและทิศไหน กระแสลมพัดไปทางไหน ความชื้นและอุณหภูมิความกดอากาศเท่าใด นอกจากยังต้องรู้รายละเอียดของเวลาที่จะต้องสอดคล้องกับระยะทางและความเร็ว ที่มันจะบินไปกลับได้ และจำนวนเที่ยวบินของมัน ซึ่งการวางแผนการบินนี้นักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่าเป็นข้อมูลของความสัมพันธ์ ระหว่างตำแหน่งของดาวที่ในกลางวันคนอาจมองไม่เห็นแต่ผึ้งหรือนกหรือแมลงต่าง ๆ บางชนิดรู้และใช้มันในการนำร่องการเดินทาง แต่ทั้งหมดนี้เมื่อได้ทดลองเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิหรือระยะทางความชื้น หรือตำแหน่งความสัมพันธ์ระหว่างดาวต่าง ๆ โดยการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของรังผึ้งหรือแมลงบางชนิด เช่นการย้ายข้ามเส้นศูนย์สูตรที่ดาวและความสัมพันธ์ระหว่างกันเปลี่ยนไป หรือฤดูกาลอุณหภูมิ ฝนและทิศทางลมล้วนไม่เหมือนเดิม ซึ่งหากจะต้องบันทึกเป็นข้อมูลก็หมายถึงข้อมูลของดาวทั้งหมดรายละเอียดทาง ภูมิศาสตร์อุตุนิยมวิทยาและบรรยากาศของโลกทั้งหมด ซึ่งไม่สามารถที่จะบันทึกได้ด้วยดีเอ็นเอของผึ้งเพียงเส้นเดียว เพราะว่าผลการสังเกตที่ออกมาก็คือว่าไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งทาง ภูมิศาสตร์ไปอย่างไร ผึ้งหรือนกแมลงเหล่านั้นก็ไม่เคยแสดงความสับสนหรือลังเลและไม่เคยผิดพลาด ทุกตัวจะพร้อมใจกันบินตรงไปยังตำแหน่งของน้ำหวานหรือเป้าหมายที่ต้องการ อย่างทันที ดีเอ็นเอเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำหน้าที่กำหนดควบคุมวางแผนพฤติกรรมที่ซับ ซ้อนเช่นนั้นได้


    พอลเดวีส์และนักฟิสิกส์ชีววิทยาหลายคนคิดว่า พฤติกรรมทั้หมดไม่สามารถที่จะอธิบายในด้านของข้อมูลและด้วยดีเอ็นเอได้หมดสิ้นหรือเป็นส่วนมากของทั้งหมด ผึ้งหนึ่งตัวหรือแมลงหนึ่งตัวคงจะไม่ใช่ได้รับคำสั่งที่กำหนดตายตัวจากกฎทางฟิสิกส์ และการทำงานของระบบประสาท เราต้องมองถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านของพฤติกรรมของผึ้งตัวนั้นกับสมาชิกตัวอื่น ๆ และกับผึ้งทั้งรังที่ก็สัมพันธ์และเป็นส่วนของสิ่งแวดล้อมอีกต่อหนึ่งพฤติกรรมของผึ้งจึงต้องมีความซับซ้อนกว่านั้นแน่นอน ซึ่งส่วนหนึ่งของพฤติกรรมของมันน่าจะเป็นเรื่องของการจัดองค์กรตัวเอง ที่ไล่เรียงต่ำหรือสูงขึ้นตามระนาบและระดับขององค์รวมทั้งหมด ความเป็นหนึ่งเดียวกันของชีวิตมัน เมื่องานเพิ่มทวีความซับซ้อนมากขึ้นจนถึงจุดวิกฤต ในระดับหนึ่งก็จะมีการนำกฎระบบของการจึดองค์กรตัวเองที่สูงกว่ามาช่วยหรือใช้อย่างสอดคล้องกันกับระดับอื่น ๆ พัวพันไล่สูงขึ้นไปเช่นนั้นตามลำดับ พฤติกรรมจึงสอดคล้องกับเป้าหมายสุดท้าย (final cause ของอะริสโตเติล) ที่แม้จะใช้หรืออาศัยทั้งระบบประสาทและระบบของจิตทำงานร่วมกันบ้าง แต่ก็มีระดับต่าง ๆ ที่มาร่วมกันและบริหารอย่างสอดคล้องด้วยกันทั้งหมดเป็นองค์กรรวม (holism) เป็นผู้ควบคุมอีกที

    นอกจาก 3 หัวข้อนี้แล้ว ยังมีต่ออีก

    เหนือกว่ากลศาสตร์
    http://www.atom.rmutphysics.com/CHARUD/scibook/universe of life/chap7/index7-4.htm

    ทฤษฎีความเป็นหนึ่งเดียวและการซ่อนเร้นตนเอง
    http://www.atom.rmutphysics.com/CHARUD/scibook/universe of life/chap7/index7-5.htm

    ม้วนเก็บไว้ในอนันตภาพ
    http://www.atom.rmutphysics.com/CHARUD/scibook/universe of life/chap7/index7-6.htm

    ประสบการณ์ทางจิต
    http://www.atom.rmutphysics.com/CHARUD/scibook/universe of life/chap7/index7-7.htm

    เนื้อหาทั้งหมด นำมาจากเอกภาพของชีวิตกับจักรวาล
    ของนายแพทย์ประสาน ต่างใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2011
  6. Tiger Dear's

    Tiger Dear's MY HOMEWORK

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +301
    เชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เกิดแน่นอน 7 ปีก่อนหากทุกคนยังจำได้นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาประกาศว่าน้ำแข็งขั้วโลกเหนิอ จะละลายหมดภายใน 10 ปี ฉะนั้นอย่าชะล่าใจ รีบรวมกลุ่มผู้ที่มีความเชื่อและความหวังรวมกลุ่มกัน 1 คน หัวหาย 2 คนเพื่อนตาย (เรารอด)
     
  7. famesod4

    famesod4 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +1
    ท่านพยามจะบอกว่า มนุษย์เราสามารถสร้างทุกอย่างและทำได้ทุกอย่าง จงสร้างพลังงาน+ ไม่จำเป็นต้องทำความแต่ถ้าทำความดีได้จะดีมาก ร้องเพลงรัก เต้นรำกับสายลมและอื่นๆ และส่งมันไปยังดลกของเรา พลังนี้รวมจากหลายๆ คน จะกลายเป็นพลังที่ไร้ขีดจำกำจัด
     

แชร์หน้านี้

Loading...