จะรู้ได้อย่างไรว่าโดนทำคุณไสย์หรือไม่

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 31 พฤษภาคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,238
    คำตอบ ของคุณดังตฤณ ในหนังสือ "เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว"
    คำถาม -
    จะแก้คำสาปและคุณไสยได้อย่างไรครับ?

    ก็น่าแปลก ถึงยุคที่มีอินเตอร์เน็ตใช้กันแล้ว นับวันกลับมีปัญหาเทือกนี้เพิ่มมากขึ้นทุกที นี่ว่าตามที่รับรู้และมีเสียงขอความช่วยเหลือมานะครับ คงเห็นผมเหมือนหมอผีเข้าไปทุกวัน ก็ดีแล้ว ก่อนอื่นขอบอกว่าผมเป็นแค่นักเขียนธรรมดาๆ เพียงแต่พอทราบหลักการทางพุทธอยู่บ้าง คงได้แต่แบ่งปันความรู้กันตามมีตามเกิดเท่านั้น ความจริงผมไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้ รวมทั้งไม่อยากให้ใครสนใจด้วย แต่ยิ่งวันก็ยิ่งได้ยินได้ฟังหรือพบคนโดนวิชาอาคมเล่นงานบ่อยขึ้น เอาล่ะในเมื่อไถ่ถามมาก็อยากเผยแพร่ทางแก้ไปกว้างๆ หวังว่าคงช่วยกลับร้ายให้กลายเป็นดีกันได้บ้าง

    คุณไสยเป็นของมืด เพราะโดยมากมักมากับความเจ็บใจเป็นอันดับหนึ่ง มากับความร้อนวิชาอยากลองของเป็นอันดับสอง และอันดับรั้งท้ายแต่ร้ายไม่แพ้สองอันดับแรกคือมากับความโลภทางเพศอยากครอบครองหญิงชายที่ตนปรารถนา ความโลภโมโทสันเหล่านี้เป็นฝักฝ่ายความมืดบอดที่ผลักไสให้ลงต่ำทั้งนั้น

    ถ้าไม่โดนกับตัวหรือไม่เห็นกับตา ก็ยากที่คนส่วนใหญ่จะเชื่อว่าคุณไสยมีจริง และหลายครั้งคนมักโดนดีก็เพราะแทนที่จะเก็บความไม่เชื่อไว้กับตัวเงียบๆ ก็ไปดูถูกดูหมิ่นท้าทายกันนั่นเอง ความจริงการส่งคุณไสยไปทำร้ายคนอื่นไม่ใช่เรื่องลี้ลับเกินสัมผัส ทำนองเดียวกับคำสาปแช่ง แม้คนโดนแช่งจะไม่ประสบความวิบัติตามคำ แต่ถ้าหากได้ยินกับหูก็จะรู้สึกถึงแรงกระทำอันเป็นด้านมืดบางอย่าง อาจมีความหนักเหมือนโดนค้อนทุบ หรืออาจติดพันไม่สบายใจคล้ายโดนครอบด้วยตาข่ายไร้ตนที่มืดทึบ เป็นต้น

    หากเป็นพ่อแม่ที่เผลอตัวสาปแช่งลูกด้วยความโกรธแค้น ผลร้ายบางอย่างมักปรากฏค่อนข้างทันตา เนื่องจากธรรมชาติความเป็นพ่อแม่นั้นมีลักษณะ ‘เหนือเกล้า' ต่อลูกอยู่ ถ้อยคำจากปากหากมาในรูปการอวยพรก็นับเป็นมงคลอันประเสริฐ แต่หากมาในรูปคำสาปแช่งก็กลายเป็นมหาอัปมงคลจนยากจะหาอะไรเปรียบ นึกดูง่ายๆ ถ้าพ่อแม่ด่าลูกเสียๆหายๆเช่น ‘อีกะหรี่' เสียงจะติดหูยิ่งกว่าคนอื่นด่ากี่ร้อยเท่า และจะสร้างความโน้มเอียงให้ลูกอยากประชดด้วยการไปเป็นเช่นนั้นจริงๆได้สักขนาดไหน

    คนที่ชอบสาปแช่งผู้อื่นเป็นนิตย์ โดยเฉพาะที่รู้สึกว่าสาปแล้วคนโดนมีอันเป็นไปตามประกาศิตตน มักจะหลงลำพองทะนง เข้าใจว่าตนเป็นผู้วิเศษ ความจริงไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเลย เป็นบุญเก่าบางอย่าง เช่นเคยรักษาสัตย์ รักษาคำพูด ทำทุกอย่างสำเร็จครบตามสัญญาทางวาจาเสมอ หรือฝึกเปล่งเสียงชัดถ้อยชัดคำด้วยจิตที่หนักแน่นคมคาย ก็ก่อให้เกิดฤทธิ์ทางวาจา เป็นผู้มีวาจาสิทธิ์แบบอ่อนๆกันได้แล้ว สำคัญคือเมื่อรู้ตัวว่ามีวาจาสิทธิ์แล้วเผลอใช้ไปในทางสาปแช่งเมื่อใด เงามืดแห่งบาปอกุศลอย่างใหญ่ก็เกิดขึ้นห่อหุ้มจิตทันที สิ่งที่จะรู้สึกด้วยตนเองเป็นอันดับแรกคือจิตใจที่ก้าวร้าว เหี้ยมเกรียม และคิดอ่านในทางมุ่งร้ายทำลายล้าง อันดับต่อมาคือการมีกระแสลบ ก่อแนวโน้มให้เกิดเหตุร้ายหรือเรื่องราวน่าร้อนใจไม่หยุดหย่อน

    คุณไสยก็มาในทำนองเดียวกับคำสาป ความต่างที่ชัดเจนคือคำสาปนั้นมาเดี่ยวได้ ไม่ต้องมีครู ไม่ต้องมีพิธีครอบครู ส่วนไสยศาสตร์จะมาเป็นหมู่ เป็นพรรคเป็นพวก วิชาจะเกิดผลต้องมีความศรัทธาในครู หรือเคยสัมผัสพลังจากครูจนเชื่อมั่นและรู้สึกถึงความเป็นของจริงเสียก่อน จึงจะประสบความสำเร็จได้ น้อยคนจะเกิดฤทธิ์ได้เองโดยไม่ต้องพึ่งครูช่วยประสิทธิ์ประสาท

    สรุปคือทั้งคำสาปและคุณไสยเป็นพลังชนิดหนึ่ง อยู่ฝ่ายมืด ไม่ได้น่าพิศวงไปกว่าการแอบเป่าลูกดอกอาบยาพิษใส่คนอื่น คำถามน่าแปลกใจจึงไม่ใช่คุณไสยมีหรือไม่มีจริง แต่ประหลาดตรงที่ทุกคนทราบดีว่าใครริเล่นเข้าแล้วสุดท้ายต้องลงเอยด้วยการมีอันเป็นไปในทางร้าย ทำนองเดียวกับคนเล่นพิษย่อมพลาดโดนพิษเข้าสักวัน ก็ยังมีแก่ใจศึกษาร่ำเรียนสืบทอดวิชามืดพรรค์นี้ไม่จบไม่สิ้น

    มาดูว่าคนโดนคุณไสยที่พบกันบ่อยๆมีสภาพเป็นอย่างไร โดยมากถ้าเป็นแบบอ่อนๆจะรู้สึกเหมือนมีเงามืดติดตามตัว และเงามืดนั้นบีบคั้นให้คิดเรื่องชั่วร้ายที่ตลอดมาไม่เคยคิดมาก่อน เช่นถ้ากำลังถือมีดอยู่แล้วใครเดินผ่านก็อาจอยากแทงขึ้นมากะทันหัน หรือไม่ก็มีอาการจิตหลอน ได้ยินเสียงกระซิบเรียกตัวจากสวรรค์ ขอให้ฆ่าตัวตายจะได้ไปช่วยเหลือกิจของเทพ เป็นต้น พวกที่ ‘โดนดี' แบบอ่อนๆนี้จะยังสามารถรู้สึกว่านั่นเป็นความคิดแปลกปลอม ยังห้ามตัวเองไม่ให้ทำตามเสียงกระซิบหรือกระแสกดดันได้อยู่ พูดง่ายๆยังเป็นตัวของตัวเองมากพอ แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะเป็นตัวของตัวเองตลอดไป อาจพลาดขึ้นมาได้ในวันใดวันหนึ่ง จึงรู้สึกกลัดกลุ้มจนแทบประสาทกิน

    อย่างระดับกลางคือประเภทรู้สึกถึงลมเพลมพัด คล้ายมีลมแปลกๆที่ต่างจากสายลมสบายตามธรรมดาทั่วไปอัดเข้ามาเป็นระลอก โดนทีก็เหมือนมีความแน่นอก แน่นท้อง อึดอัดทั้งเนื้อทั้งตัวอย่างหนัก หรือคลื่นไส้อยากอาเจียน พวกที่โดนอย่างนี้จะคุ้มดีคุ้มร้าย บางทีหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งอย่างไร้สาเหตุ หรือหาเรื่องทะเลาะกับคนใกล้ตัวอย่างไม่มีเหตุผล ในทางตรงข้ามถ้าโดนเสน่ห์ยาแฝดก็จะเกิดราคะกล้า ถวิลหาใครบางคนทั้งที่เคยเกลียดชังอย่างแรง เป็นต้น

    ระดับร้ายแรงที่สุดคือจะหมดความเป็นตัวของตัวเองอย่างสิ้นเชิง ทำนองเดียวกับผีเข้า คลุ้มคลั่งเกือบตลอดเวลา หรือเจอพวกอาคมแก่กล้าเสกของเข้าร่างจนได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างต่อเนื่อง พูดง่ายๆว่าอาการสาหัส ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่นอย่างเดียว พูดจากันไม่รู้เรื่องแล้ว

    อย่างไรก็ตาม ระดับอ่อนกับระดับกลางอาจเกิดขึ้นจากการโดนวิบากบีบให้เกิดจิตหลอน เช่นถ้าเคยยั่วให้ผู้ชายหลงและหลอกใช้ใครต่อใครมามาก ถึงเวลาวิบากให้ผลก็อาจไปหลงรักคนเลวไร้อนาคตได้อย่างเหลือเชื่อ หรืออย่างในโรงฆ่าสัตว์ที่ต้องตัดชีวิตกันด้วยวิธีใช้ค้อนทุบหัวทั้งเป็น ก็อาจส่งผลให้ปวดศีรษะรุนแรง เกิดภาพหลอนต่างๆ หรือออกอาการคล้ายหมูกำลังจะตาย ชวนให้คนใกล้ชิดนึกว่าผีเข้าได้ เรื่องพวกนี้แยกแยะยากสำหรับคนทั่วไป แต่ขอให้ทราบเถิดว่า ผลของบาปอกุศลบางอย่างอาจบีบจิตให้เกิดอุปาทานหลอนเลวร้ายต่างๆได้เทียบเท่าหรือยิ่งกว่าโดนคุณไสย ฉะนั้นสิ่งที่น่าระวังยิ่งกว่าคุณไสยก็คือความคิดอันเป็นบาปอกุศลของเราเอง เพราะคุณไสยนั้นบางทีจะแก้ง่ายกว่าวิบากชั่วทางความคิดเสียอีก!

    กรณีของพวกที่เจอพวกโดนคุณไสยของจริง ชนิดหมดสภาพ ไม่อาจควบคุมตนเองได้นั้น บางทีอาจมีอะไรแปลกๆปรากฏให้สัมผัสอย่างเป็นรูปธรรมได้ เช่นมีกลิ่นมันเนยหรือกลิ่นเหม็นเน่าระเหยออกมา อันนี้มักเป็นไปตามรูปแบบพิธีกรรมที่ใช้เล่นงานกัน ไสยดำมักอาศัยอุปกรณ์จำพวกของต่ำๆ ของสกปรกลามกเป็นหลักอยู่แล้ว

    การแก้ไสยดำมีอยู่หลายวิธี โดยมากถ้าเป็นพื้นบ้านทั่วไปก็มักไปพึ่งพาไสยขาวซึ่งเป็นวิชาที่มีเจตนาเป็นตรงข้ามกัน แต่ก็ต้องอาศัยหลักประกอบพิธีกรรม และเป็นของมีครูคล้ายคลึงกับไสยดำ

    ถ้าอยากสบายใจ อาศัยหลักการแบบพุทธที่ไม่อิงไสยศาสตร์ใดๆทั้งขาวและดำ คือมีความปลอดโปร่งโล่งใสไร้สี ไม่ข้องแวะกับขอบเขตสนธยาใดๆ ก็พึงยึดหลักของพระพุทธเจ้าคือโต้ตอบการทำร้ายด้วยการทำดี เช่นถ้าโดนใครสาปเแช่งต่อหน้าก็อย่าโกรธเกรี้ยวหรือสวนกลับด้วยการแช่งคืน แต่ให้ตั้งสติพิจารณาว่าคนแช่งกำลังโดนไสยดำจากธรรมชาติเล่นงาน เป็นคนน่าสงสาร เราควรเป็นฝ่ายใจเย็นเพื่อช่วยเหลือทั้งเขาและเราเอง ไม่พินาศไปในเงามืดแห่งบาปอกุศลพร้อมกันทั้งคู่

    เมื่อ ‘คิดเป็นเมตตา' ได้ในระหว่างการปะทะกับไอร้อนของความโกรธเกลียด จะมีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ นั่นคือความสุข ความมีปีติดื่มด่ำ หรือความเยือกเย็นทางใจอันลึกซึ้ง ในความสุขความเยือกเย็นอันเป็นสมบัติส่วนตัวที่ได้มาฟรีๆนั้น หากคิดเจือจาน นึกปรารถนาให้คู่ปฏิปักษ์ผู้สาปแช่งเราได้ส่วนแห่งความสุขความเยือกเย็นจากเราแล้ว คำสาปของเขาจะไม่มีผลในทางลบกับเราแต่อย่างใดเลย นอกจากนั้นถ้ากระแสความเย็นของเราเป็นจริงเป็นจังจนสัมผัสได้ชัดพอ เขาก็อาจรู้สึกคล้อยตามและสงบลงกว่าเดิม หรืออาจกระทั่งขอโทษขอโพยเราด้วยซ้ำ

    เช่นเดียวกับการป้องกันตัวจากคำสาป เราสามารถถอนคุณไสยด้วยหลักเดียวกัน คุณไสยมาจากจิตที่มืด ก็แก้กันด้วยเมตตาอันรินมาจากจิตที่สว่าง เมื่อแสงสว่างมา ความมืดก็สลายไปเอง ปัญหาคือความมืดแบบไสยดำนั้นมาในรูปฝ้าหมอกหนาทึบ ทำอย่างไรเราจึงจะสร้างแสงสว่างให้แรงพอจะสลายหมอกนั้นได้?

    คำตอบคือ ให้อัญเชิญมงคลสูงสุดมาไว้ในตัว อาศัยใจที่มีศรัทธาในพระพุทธคุณนำหน้า ใจอันเปี่ยมศรัทธานั้นเองเปรียบเสมือนหน้าต่างที่เปิดอ้ารับแสงสว่าง การสวดอิติปิโสฯเพื่อสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเป็นอุบายลัดๆเพื่อก่อศรัทธาขึ้นในใจ ขอให้จำไว้ว่าทันทีที่เรากล่าวสรรเสริญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด เท่ากับเป็นการอัญเชิญกระแสสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมาคุ้มเกล้าแล้วโดยอัตโนมัติ

    คุณวิเศษของพระรัตนตรัยในบทสวดอิติปิโสฯนั้น ไม่ใช่ใครประพันธ์ขึ้นโดยเฉพาะ แต่เป็นการถอดแบบจากพุทธพจน์โดยตรง เมื่อใดอ้างอิงพุทธพจน์ เมื่อนั้นคุณกำลังอ้างความจริงอันเป็นสัจจะ การอ้างสัจจะความจริงอันเป็นมงคลสูงสุดย่อมบังเกิดผลไพบูลย์สูงสุดไปด้วย สิ่งที่ทุกคนประจักษ์ตรงกันเมื่อสวดหลายๆจบ คือความรู้สึกสว่าง อบอุ่นใจ และเหมือนมีความศักดิ์สิทธิ์บังเกิดขึ้นรอบตัว แม้คนไม่ทราบคำแปลเลยก็จะเกิดประสบการณ์เดียวกัน แต่ถ้าทราบคำแปลด้วยก็จะยิ่งบังเกิดความเลื่อมใสและมีความแน่วแน่ยิ่งๆขึ้น

    ขอให้ทดลองดูเถิดครับ จะเห็นผลทันตาทันใจ หากสวดอิติปิโสฯด้วยความเลื่อมใสสักสองสามรอบกระทั่งเกิดความอบอุ่นและสว่างในภายในแล้ว ก็ขอให้น้อมนึกว่าความอบอุ่นสว่างใจนี้จงได้แก่ผู้ทำร้ายเรา ผู้สาปแช่งเรา หรือผู้กระทำคุณไสยใส่เรา ตรงนี้สำคัญ เป็นขั้นตอนของการแผ่เมตตาโดยตรง เสนียดหรือเงามืดทั้งหลายจะหายไปอย่างแน่นอนชนิดฉับพลันทันที เห็นกันจะจะ ไม่ต้องเดินทางไปรดน้ำมนต์หรือหาหมอไสยขาวใดๆทั้งสิ้น เพราะการมีกระแสพระรัตนตรัยอยู่ติดตัวนั้น ประเสริฐและให้ผลคุ้มครองเหนือกว่าการทำพิธีปัดเป่าใดๆในโลกอยู่แล้ว

    หากสวดช่วงเช้าแล้วยังไม่หายขาด เหมือนมีอะไรมืดๆ หรือกระแสหยาบๆน่าระคายติดตามอยู่อีก ก็ให้สวดอีก ๓ รอบในช่วงบ่าย สวดอีก ๓ รอบในช่วงเย็น ถ้าเป็นหนักก็สวดไปเรื่อยๆเป็นชั่วโมงๆจนจิตเกิดความเลื่อมใสตั้งมั่น จะไม่มีเงามืดใดๆครอบงำได้เลย และชีวิตจะมีแต่ความสุกสว่างเจริญรุ่งเรืองด้วย ไม่จำเป็นต้องสวดบทอื่นใดเสริมเติมอีกก็จะเห็นความจริงนี้ถนัด

    ในกรณีที่ผู้ถูกคุณไสยขาดสติ ไม่อาจรับฟังคำชี้แนะ ไม่อาจช่วยเหลือตนเองด้วยการสวดมนต์ภาวนา ให้หาผู้มีศีลสะอาดมาคนหนึ่ง ยิ่งถ้ารักษาวาจาเป็นสัตย์มาตลอดได้ยิ่งดี โดยไม่จำเป็นต้องรู้อุปเท่ห์หรือเคล็ดลางพิธีกรรมใดๆมาก่อน

    ผู้รักษาศีลได้สะอาดย่อมมีหนังสือธรรมะประจำใจอย่างน้อยเล่มหนึ่ง ที่เคยอ่านแล้วกระจ่างแจ้ง เกิดศรัทธาปสาทะในหนังสือเล่มนั้นอย่างแรงกล้า จิตของเขาย่อมเห็นเหมือนหนังสือธรรมะดังกล่าวมีรัศมีสว่างเรืองในตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำมาคีบไว้ด้วยง่ามมือขณะพนมสวดอิติปิโสฯ ๓ จบ ใจจะสัมผัสถึงความอบอุ่นจากหนังสือได้มากเป็นพิเศษ แม้หลับตาก็จะรู้สึกเหมือนบังเกิดแสงโอภาสฉายจากหนังสือแรงกล้าราวกับเป็นอุปาทาน

    ขอให้มีความเลื่อมใสในรัศมีศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นและรับรู้ด้วยใจนั้น และแผ่เมตตาผ่านธาตุลมจากปาก โดยนำหนังสือธรรมะไปวางลอยอยู่เหนือกระหม่อมของผู้ถูกคุณไสย ปิดตาเป่าปากผ่านหนังสือ ถ้าจิตกำลังใสเบาตั้งมั่น จะเห็นเหมือนลมปากเป็นลำสว่างผ่านทะลุหนังสือไปถึงกระหม่อมของผู้ถูกคุณไสยได้ และเขาจะมีความรับรู้เสมือนมีลมใหญ่มาปะทะให้สดชื่นขึ้น หากใครเป่าจนชำนาญและเกิดความมั่นใจ จะเห็นว่าสามารถช่วยคนที่อยู่ทางไกลได้โดยไม่ต้องเดินทางไปถึงตัวด้วยซ้ำ

    เป่าสองสามครั้งน่าจะเห็นผลชัด ถ้ายังไม่เกิดผลก็ให้สันนิษฐานว่านั่นไม่ใช่เรื่องของการถูกคุณไสย หรือสันนิษฐานว่าผู้เป่าไม่มีกำลังใจแน่วแน่เพียงพอ เลื่อมใสไม่พอ หรือศีลสัตย์ไม่หนักแน่นพอ

    ท้ายที่สุดอยากให้ทำความเข้าใจดีๆ คือไสยศาสตร์ไม่ใช่วิชาของพุทธ คริสต์ หรืออิสลาม สาวกผู้สืบทอดที่แท้จริงของศาสนาต่างๆจะรู้ดีว่าคัมภีร์ของตนตำหนิติเตียนศาสตร์มืดอันเป็นโทษด้วยกันทั้งสิ้น แต่คัมภีร์ของศาสนาต่างๆก็ให้ทางแก้มาด้วย ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องเหลวไหลหรือควรเหมาเป็นอุปาทานล้วนๆ

    บทสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย

    ๑. พุทธคุณ

    อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ

    ๒. ธรรมคุณ

    สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ

    ๓. สังฆคุณ

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทังจัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

    คำแปล

    พุทธคุณ - แม้เพราะอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ควรได้รับความเคารพบูชา เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชาและความประพฤติ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งไปกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว และเป็นผู้จำแนกแจกธรรม

    ธรรมคุณ - พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ขึ้นอยู่กับกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

    สังฆคุณ - พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติถูกทาง เป็นผู้ปฏิบัติสมควร เป็นผู้ควรแก่การคำนับ เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ของทำบุญ เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลีกราบไหว้ เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก



    http://variety.thaiza.com/จะรู้ได้อย่างไรว่าโดนทำคุณไสย์หรือไม่_1212_56907_1212_.html
     
  2. Acamannon

    Acamannon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +22
    งั้นผมก็เป็นผู้มีวาจาสิทธิอ่อนๆสินะ - -

    ตอนเด็กๆเคยแช่ง/ขออะไรหลายอย่าง

    มักจะเป็นจริง (ส่วนมากแช่ง)

    ว่าแต่

    มีวิธี แก้คำแช่งตัวเองไหมครับ

    ตอนนี้สงสารเค้ามาก ไม่รู้เป็นเพราะผมหรือปล่าว ที่เคยไปแช่งเค้าไว้
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    อีกวิธีดูพลังงานที่ท้ายท้อยครับ
    ถ้าอยู่ระดับเดียวกันสามารถแก้ได้เลย
    แต่ถ้าฝั่งแน่นต่ำกว่าท้ายท้อยแล้ว
    ต้องรอให้วิบากตรงนี้คลายก่อน
    ถ้าไปแก้เลย จะทำให้ร่างนั้น
    เสียชีวิตได้

    ปล ผู้แก้เป็นแค่คนกลาง
    ในการเอาสายใยวิญญาณออก
    แล้วให้ข้างบนดูไป
    การใช้กำลังตัวเอง กำลังจิต
    บทสวด ไปทำร้ายทำลาย
    ดวงจิตที่เข้ามาแทรก
    เป็นการทำให้ภพภูมิสะเทือน
    เป็นการผิดมารยาท ผิดกฎภพภูมิ
    ประกันได้ว่าไม่มีใครตายดีครับ
    เพราะตอนจะตาย เค้าจะ
    มารวมสหผู้ที่แก้แบบที่เล่าให้ฟังครับ
    ขึ้นหลังเสือได้ สำคัญตอนเวลาที่ลงครับ
     
  4. ubon2555

    ubon2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,583
    ค่าพลัง:
    +3,519
    น่ากลัวนะค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...