จิตจักรวาล

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 3 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,197
    จิตชรูป เป็นตัวสร้างกายให้เป็นไปในลักษณะต่างๆ
    รูปกายชาตินี้ มาจากกรรมที่ทำไว้ในอดีต
    กายปัจจุบันที่เราเห็นอยู่ กับกายภายในอาจจะไม่เหมือนรูปภายนอกก็ได้
    แล้วแต่เราสร้างกรรมอาจิณในชาตินี้เป็นอย่างไร
    รูปกายภายในที่เห็นก็แตกต่างกับสิ่งภายนอกที่เห็นอยู่
    กายภายในก็จะมีรูปตามกรรมที่สร้างไว้

    ส่วนกายที่ท่านถามก็รอฟังเหมือนกันค่ะ
     
  2. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    คำถามนี้เป็นท่านดอกไม้น่าจะตอบได้ดีกว่าผมเยอะเลย แต่ผมก็ขอตอบสั้นๆตามนั้นละกัน
    ท่านทำให้เกืดกายต่างๆได้อย่างไร นี่ไงท่านจิตยิ้มกล่าวแล้ว สบายจัง
    จิตชรูป เป็นตัวสร้างกายให้เป็นไปในลักษณะต่างๆ
    รูปกายชาตินี้ มาจากกรรมที่ทำไว้ในอดีต
    กายปัจจุบันที่เราเห็นอยู่ กับกายภายในอาจจะไม่เหมือนรูปภายนอกก็ได้
    แล้วแต่เราสร้างกรรมอาจิณในชาตินี้เป็นอย่างไร
    รูปกายภายในที่เห็นก็แตกต่างกับสิ่งภายนอกที่เห็นอยู่
    กายภายในก็จะมีรูปตามกรรมที่สร้างไว้

    เมื่อบริสุทธิ์ถึงจุดหนึ่งธรรมชาติก็จะมอบกายธรรมให้ไงครับ (เมือนกันแต่แตกต่างตรงที่ความบริสุทธิ์ไงครับ เป็นต้นอ่อนที่สมบูรณ์พร้อมจะพัฒนาต่อไป)
    รู้ได้อย่างไร ท่านย่อมรู้ด้วยตัวเองเลยครับ ท่านณฉัตรก็ลองสอบถามตัวเองดูซิครับกำหนดถามได้เลยว่าได้กายธรรมหรือยัง (ยิ่งท่านมาจากด้านนนอกยิ่งง่ายเพราะไม่ได้ก่อกรรมกับใครมาก่อนหน้านี้อยู่แล้วอดีตมีน้อยหรือไม่มีเลย ผมมองว่าท่านจะคุยกับเจ้าแม่กวนอิมหรือใครก็คุยได้ครับแค่กำหนดใจระลึกถึงและสอบถามไม่ได้ใช่สมองนะครับใช้ความรู้สึกถ้าบริสุทธิ์พอสัญญานรบกวนย่อมไม่มีครับ)เพิ่มเติมนิดนึงว่าเกิดจากการเสียสละเพื่อช่วยเหลือธรรมชาติและทุกสิ่งให้เจริญขึ้นงอกงามขึ้นครับเช่นช่วยให้มนุษย์เรียนรู้และเดินในทางที่ถูกต้อง ช่วยสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ช่วยดูแลให้ทุกอย่างดำเนินไปในทางที่ควร สิ่งเหล่านี้จะทำให้สภาวะใจบริสุทธิ์ขึ้นไปอีก เพื่อช่วยเหลือธรรมชาติและทุกสิ่งให้มากขึ้น
    กายต่างๆนั้นเกิดจากเรียนรู้ตัวเองเพื่อพัฒนาธรรมชาติ เรียนรู้ธรรมชาติเพื่อพัฒนาตัวเอง เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ พัฒนาตัวเองเพื่อให้ธรรมชาติดีขึ้น
    ท่านดอกไม้กลับมาอธิบายต่อทีเถอะผมอธิบายพวกนี้ไม่เก่งคร้าบ
     
  3. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    แต่ทุกอย่างก็ต้องผ่านการทดสอบนะครับมากน้อยแล้วแต่ผู้ดูแล ยิ่งก้าวหน้าบททดสอบก็จะมากขึ้นด้วยครับ จะทำหน้าที่อะไรก็ตามก็จะมีผู้มาทดสอบตลอดถ้าผ่านก็ไปต่อได้ ทุกอย่างเรียนรู้เพื่อความเป็นปรกติธรรมดาเท่านั้นนะครับเพื่อความเจริญขึ้นงอกงามขึ้นของทุกสิ่งครับ
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ จิตจักรวาล คือ สภาวะไหนตามลักษณะของผู้ที่ฝึก "ผ่านมาทาง มหาสติปัฏฐาน 4" โดยเฉพาะผู้ที่รู้จักสภาวะของ "ธรรมารมณ์ หรือ ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน" เรียบร้อยแล้ว

    +++ จิตจักรวาล คือ สภาวะของ "วิญญาณัญจายตนะ" ในขณะที่ "รู้โดยไม่มีกำหนด และ ไร้ขอบเขต" จน วิญญาณแห่งตนมีความละเอียดเท่ากันกับ "เนื้ออวกาศ" และในขณะนั้น ๆ ยังดำรงค์อยู่ในอาการที่ "ตั้งสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" เมื่อสภาวะธรรมที่เข้ากันพอเหมาะ "อวกาศ รวมทั้ง จักรวาล" ย่อมปรากฏขึ้นมาเอง โดยไม่ได้นึกฝันแต่อย่างใดทั้งสิ้น ซึ่งตรงนี้เองที่ "สัมปยุตตาธรรมา" (compatible) ปรากฏขึ้นมาเองตามธรรมชาติ

    +++ ดังนั้น "ตัวจักรวาลจึงไม่ใช่จิต" แต่มันเป็นจิตเราเองที่ "สัมพันธ์กับเนื้ออวกาศและจักรวาล" ทั้งหมดเป็นเรื่องของ "สัมปยุตตาธรรมา" (ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จิตจักรวาล ยังไม่พ้นไปจาก "พระอภิธรรม 7 คัมภีร์" ซึ่งเป็นบท สวดศพ ไปได้เลย)

    +++ ผู้ที่ฝึกจนถึง "สติครองอรูปฌาน" และ "ตั้งสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" ได้แล้วเท่านั้น "วิปัสสนาญาณทัศนะ" จึงจะเกิดขึ้นได้ และ แน่นอนว่า "นิวรณ์ทั้ง 5" ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้เลยในขณะที่ ท่องอวกาศ อยู่นั้น ดังนั้นผู้ที่มาทาง มหาสติปัฏฐาน 4 จะไม่มีอาการ "ลังเล ฟุ้งซ่าน (มโนเอาเอง)" แม้แต่น้อย ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะเหลืออยู่แต่เพียง "รู้ธรรมเฉพาะหน้า" เท่านั้น

    +++ แม้ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์ทางจิต-ลึกลับ ก็ตาม แต่มันก็ต้องไปด้วย "การปฏิบัติ" เท่านั้นจึงจะเข้าใจได้ คงพอแค่นี้ก่อน นะครับ
     
  5. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792


    ถ้าอ้าง จิตตชรูป ก็เข้าใจแล้วครับ แต่นี่เป็นคำรับรองของพระไตรปิฎกหรือพระสงฆ์องค์ใด ที่กล่าวว่า ธรรมกาย หรือกายธรรม เกิดจากจิตตชรูป

    จะยังมีข้อขัดแย้งกันเองอยู่ ในเมื่อ ธรรมกาย กายธรรม เกิดจากจิตตชรูป โดยรูปที่เกิดจากจิตตชรูปเองก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ธรรมกาย หรือกายธรรม เป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา อย่างนั้นหรือ นอกจากนี้ นิพพานเป็นที่ดับแห่งกิเลส ดับขันธ์ ดับนามรูป เหตุใดพระอรหันต์จะมีธรรมกาย ขึ้นมาได้ ในเมื่อ คือ ธรรมกายคือรูป ย้อนแย้งอีกว่า ตกลงว่าธรรมกาย เป็น รูป หรือ

    แต่ที่สงสัยต้องถามให้ชัดเจน หนักมาก คือ การกล่าวว

    หากกล่าวว่า จิตเป็นปัจจัยให้เกิดรูป จะเรียก ธรรมกาย ได้อย่างไรในเมื่อ ธรรม เป็น นามธรรม

    จิต เองไม่มีตัวตน ธรรมกายก็ไม่ใช่จิต ธรรมกายมาเตือน มาพูดคุย ประดุจ รูปกายของธรรมกายมีใจครอง ในเมื่อจิตไม่ได้ครองรูป ธรรมกาย นั้น รู้ประดุจมีจิตรู้ครองได้อย่างไร จิตรู้ของใคร


    ถ้า ธรรมกายคือ ธรรมกายแบบ วิชชาธรรมกาย ใครๆ ก็สร้างธรรมกายได้ ถ้าคือ ดุจกายสมาธิ กายมโนมยิทธิ กายฝัน คใครก็ทำได้ แค่นึก

    ธรรมต้องอาศัยรูปกาย ประดุจจิตต้องรูปกายอยู่อย่างนั้นหรือ

    ถ้า จิตตชรูป ก่อเกิดปัจจัยให้เกิดธรรมกาย จิตตชรูปก็ก่อให้เกิดกายอื่นมากมาย จิตตชรูปนี้ เป็นปัจจัยให้เกิด รูปกายอกุศล อธรรมกายได้เช่นกัน
    แม้ผู้บำเพ็ญไม่รู้ แต่จิตที่ชั่ว ก็สร้างไปแล้ว จิตใดจะครองกายนี้ ในเมื่อจิตเอง จักรวาลภายในจิตเอง จะหาตัวตนได้เป็นแก่น แกน ตัวตน ก็ไม่มี แล้วจะมีที่ลงให้ใคร จิตตัวไหนมาลงในรูป ที่เรียกว่า ธรรมกาย กายธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2016
  6. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ถ้าหาคำกล่าวอ้างหรือมีในพระไตรปิฎกหรือพระสงฆ์ผมคงหาไม่ได้เลยครับ ผมบอกแล้ว ว่าแตกต่างกันที่ความบริสุทธิ์ ขั้นตอนการเกิดก็มาจากตัวคุณเองเหมือนกันเกิดจากการกระทำที่ไม่ได้เบียดเบียนแล้ว กายธรรมจะมีกายเดียวเท่านั้นกลั่นจากความรู้ความบริสุทธิ์ของคุณเองนั่นละ
    อัตตาตัวตนนั้นเกิดที่ไหนเล่าเมื่อมีความเข้าใจในสิ่งๆนั้นแล้ว การมีรูปหรือไม่มีรูปทุกข์นั้นตั้งอยู่ที่ไหน ตั้งอยู่ที่การมีรูปหรือไม่มีรูป และเราก็ไม่ใช่จิต
    ยึดถือเขาเป็นเราไม่ได้ สิ่งที่เรามีเกิดจากการวางการให้ไม่ได้เกิดจากการเอา
     
  7. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ผมขอบอกตรงๆว่าผมไม่ได้มาเรียนรู้ว่าจิตมันเป็นอย่างไร ไม่ได้สนใจว่าสมาธิจะมีกี่ขั้นไม่สนใจว่าสิ่งเหล่านั้นจะเรียกรูปหรือนาม ไม่สนใจด้วยว่าสิ่งเหล่านี้จะเรียกว่าอะไร การที่ผมมาตอบเรื่องราวอะไรแบบนี้มันก็แปลกมากๆเพราะไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำไม
    ความแตกต่างน่าจะอยู่ที่อรหันต์ในตอนนี้ พอรู้และเข้าใจก็นิพพานไปเลย ไม่ได้ชำระตัวนในอดีต จึงกลับเข้ามาเรียนรู้ต่อไม่ได้เพราะอำนาจกรรมยังส่งผลอยู่
    ที่ผมบอกว่ามาเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเอง อาจจะบอกไม่ชัดเจนความหมายคือมาเรียนรู้กิเลสต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายนี้ จิตนี้ เผื่อใช้มันให้ถูกต้อง
    มรรค 8 คือทางแห่งความพอดี ไม่ตึงไม่หย่อนเกินไป คำว่าพอดีมันก็ตรงๆตัวง่ายๆไม่มากไม่น้อยเกินไป กินข้าวแต่พอดีกินอาหารครบหมู่ออกกำลังกายตามสมควร เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ อะไรไม่ดีไม่ทำ ไม่เอา แค่นี้ก็อยู่อย่างสบายโรคภัยไม่ถามหาร่างกายก็แข็งแรงสุขภาพจิตก็ดี พิ้นฐานก็ง่ายๆแค่นี้ แต่บดทดสอบต่างๆที่เราต้องเรียนรู้และเดินก้าวไปเพื่อให้แข็งแกร่งทนและทันต่อกิเลสทุกสภาวะที่เข้ามากระทบเพื่อเรียนรู้และใช้มันให้ถูกต้อง ไม่ได้ดับมันเพราะบางคนมีหน้าที่ต้องทำถ้าไม่ทำแล้วใครจะทำ(สมมุติว่าทุกๆความคิดของคุณสามารถทำให้เป็นจริงได้ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือเลวแค่ไหน ทำลายล้างเผ่าพันธ์หรือมิติใดได้โดยมีแค่โทสะเพียงนิดคุณต้องถูกทดสอบเช่นไร)เพราะงั้นการอยู่อย่างนิ่งๆ นั่งดูธรรมชาติอย่างสงบมันก็มีความสุขสุดๆแล้ว ถึงได้บอกการเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อความเป็นปรกติธรรมดา แค่ความธรรมดายังเป็นไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นแล้ว
    หลักปริญัติคำพูดแปลกๆผมไม่รู้หรอก ชื่อผมก็บอกแล้วว่าคนโง่ๆ ให้อธิบายเรื่องราวที่ผมไม่สนใจมันก็ได้แบบ บ้านนอกและครับ
     
  8. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ไหนๆก็พูดแล้วเอาอีกหน่อย เบื้องหลังที่หลายๆท่านบอกว่าเป็นมารหรือเป็นอะไรก็ช่างมัน เพราะเขาได้ทำหน้าที่ที่ไม่มีใครทำกันเพื่อให้ทุกคนได้เรียนรู้ ได้อยู่อย่างสงบสุข ได้อยู่อย่างสบาย และแทบจะทำอยู่อย่างนั้นตลอดกาล
     
  9. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ขอบคุณครับ ผมถามเพื่อความชัดเจนขึ้นเอง

    ผมเองก็ไม่อาจชี้ว่า ถูกหรือผิด แต่พูดแบบท่านjityim ว่า คือแชร์ประสบการณ์และความคิดเห็น อันมีกิเลสบดบัง แต่ให้ตรงกับภาวะรู้ของจิตที่สุด ผมจึงไม่อาจบรรยายดุจยกตนเป็นศาสดาได้ เพราะการแสดงอะไรที่ไม่มีการรับรองจากพระพุทธองค์ ผมจะระมัดระวัง เพราะอาจไปกระทบสัจธรรม ธรรมที่พระพุทธองค์สอน แม้ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับใบไม้นอกกำมือ แต่ใบไม้จากต้นไม้หนึ่งร่วงเพียงใบเดียวจากต้น ก็สะเทือนทั้งจักรวาล แล้วจะไม่กระเทือนต่อใบไม้ในกำมือได้อย่างไร

    ในการแสดงความคิดเห็นผมจึงต้องแยกแยะด้วยความระมัดระวังต่อประสบการณ์ที่ประสบ บนความไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะยามที่จิตยกสู่สมาธิแล้วพิจารณาภายใน จะเห็นเป็นเพียง สภาวะรู้โดยบริสุทธิ์ และสภาวะรู้เอง มันเคลื่อน(เกิดดับ)อยู่ภายใน มันไม่ได้ตั้งอยู่จุดแกนตรงกลาง ด้วยความที่มันต่อเนื่องกันไป แต่จิตผมไม่ละเอียดพอจะเท่าทันการต่อเนื่องนั้นของสภาวะธรรม

    ต่อไปเป็นความเห็นบนประสบการณ์ ในทุกแง่มุม ในระดับของผม

    ธรรมกาย ไม่อาจเกิดด้วยกำลังแห่งสมาธิจิต ไม่อาจเรียกว่า รูป เพราะเป็นธรรม แต่อาจสำแดงรูปให้ปรากฎต่อจิต เพราะธรรมนั้นก็ดุจกิเลสที่มีผลต่อจิต รูปที่เห็นโดยจิต ไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ของมนุษย์หรือตาทิพย์แห่งเทวดา เพราะเป็นสิ่งที่ปรากฎต่อจิตเท่านั้น ผู้ที่เห็นธรรมกายคือผู้ที่เข้าถึงการเห็นธรรม โดยนัยยะนี้ ธรรมกายจัดเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งได้ หรือเข้าใจได้ว่า เป็นจิตปรุงแต่งในกุศล อกุศล

    ระดับการเห็นธรรม นั้น มีความแตกต่างกัน ระดับธรรมที่แตกต่างกัน ทำให้ธรรมกายแตกต่างกัน แต่แม้ไม่ได้ธรรมกาย การเห็นธรรมกายยังเป็นไปได้ถ้าเห็นธรรม

    ธรรมกายไม่อยู่ในบังคับบัญชาแห่งจิตเจตนาโดยแท้ทีเดียว เป็นสภาวะธรรมที่มีผลต่อจิต การฝึกวิชชาธรรมกาย จึงเป็นการเห็นธรรม โดยจริงแล้ว เป็นอุปกรณ์การเห็นธรรม ยังไม่ใช่ธรรมกายจริง แต่เมื่อฝึกเห็นธรรมได้ก็จะเกิดธรรมกายจริงในภายหลังการเข้าถึงธรรมนั้น เว้นแต่ ผู้สะสมบารมีระดับใดจะเห็นธรรมกายในระดับนั้นชัดเจน สำหรับผู้สะสมบารมีเป็นพระอรหันต์ ธรรมกายระดับชั้นต่างๆ จะเป็นธรรมกายจริง เกิดขึ้นจริงแล้ว จึงจะให้ธรรมกายเข้าถึงการบรรลุธรรมได้

    ธรรมกาย จริง จึงจะปรากฏต่อจิตเมื่ออยู่ในการบำเพ็ญบารมี ไม่ว่าพุทธภูมิหรือสาวกภูมิ

    ด้วยเหตุที่ธรรมกายมีอยู่ การสะสมบารมีจึงเป็นไปได้ ธรรมกายไม่จำต้องแสดง รูป แก่จิต ธรรมกายที่เกิดขึ้นแล้ว คือ อินทรีย์ห้า พละห้า และโพชฌงค์ ๗ นั้นเอง ซึ่งการสะสมบารมีสามสิบทัศน์ ทำได้ด้วยอินทรีย์ห้า พละห้า โพชฌงค์ ๗ เมื่อทำสำเร็จแต่ละคราวบารมีจะเพิ่มพูน อินทรีย์ห้า พละห้า โพชฌงค์ ๗

    การใช้หรือรวมธรรมกายทั้งหลายเข้าเป็น ธรรมสามเรื่อง ข้างต้น คือการใช้ธรรมกายเพื่อบรรลุการสะสมบารมี เพื่อความหลุดพ้นในระดับต่างๆ จนถึงพุทธภูมสำเร็จ

    ธรรมกายจึงมีหลายกายได้หากยังไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว คือสามารถเห็นธรรมกายหลายธรรมกาย แล้วแต่การสะสมบารมี แต่สุดท้าย เพื่อจะหลุดพ้นต้องรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว เป็นธรรมสามเรื่อง

    ในทางตรงข้าม กิเลส เองก็คือ ธรรม แต่เป็นธรรมเศร้าหมอง มนุษย์ที่สะสมกิเลส ย่อมมีกายมาร เพราะขัดขวางทางธรรม เป็นสิ่งที่มีขึ้นเองเช่นกัน ไม่อยู่ในอำนาจของจิตยังคับบัญชา แต่ผู้ฝึกธรรมกายที่หลงทาง(หมายถึง บำเพ็ญบารมีแบบหลงผิด) ธรรมกายจะถูกบดบังไว้ กายมารจะมาบังดุจราหูอมจันทร์และสุริยา คนเราที่สะสมความเศร้าหมองแห่งจิตรูปแบยต่างๆ กายมารจะแสดงรูปธรรมต่อจิตผู้นั้นเอง ผู้อื่นเอง(เฉพาะผู้อยู่ในทาง ซึ่งจะหลงทางหรือไม่หลงทางก็ได้) แต่ถ้าไม่อยู่ในทาง กายมาร ก็คือ กิเลส นิวรณ์ นั้นเอง

    คนที่ไม่รู้ทาง อาจมีกายมารได้ง่ายกว่า ธรรมกาย ธรรมกายในระดับต้น จะเห็นได้ยาก การช่วยเหลือจิตไปในทางกุศลจะน้อย ถ้าประมาท แม้มีการเตือน เค้าก็ละเลยเสีย ในรูปการหยั่งรู้แบบบางๆ ที่เรียกว่า ลางสังหรณ์

    รูปหน้าคนมีผลต่อคนมองฉันใด ธรรมกายและกายมารก็มีผลต่อคนฉันนั้น

    สำหรับ กรณีผม จะยกตัวอย่างสองกรณี

    กรณีแรก ภายหลังจาก ภาวนาอยู่ประมาณ ๗ เดือน หลังจากทำกุศลช่วยคนทำกรรมฐาน หลังวิบากกรรมหนึ่งสิ้นผลลง บุญกุศลช่วยหนุนจิต จึงทราบชัดว่า ปรารถนาพุทธภูมิ จึงหยั่งว่ามีธรรมกาย จะเรียกใช้ธรรมกายเพื่อบำเพ็ญบารมีได้ แต่การเรียกธรรมกาย มาเสริมเพิ่มพูนอินทรีย์ห้า พละห้า โพชฌงค์ ๗ จะทำได้ต่อเมื่อได้สร้างบารมีธรรมในปัจจุบันจิตมารองรับเช่นกัน ในระดับต่างๆ ด้วย จึงอยู่ที่ท่านสะสมบารมีธรรมพร้อมและจะทำต่ออย่างไร

    กรณีสอง ช่วงที่พบเจ้าแม่กวนอิม ได้ภาวนาเมตตา จนเป็นหนึ่งกับธรรมกาย พูดง่ายๆ ฝึกฝนธรรมใด ก็ได้ธรรมกายนั่นช่วยนั่นเอง หรือตอนพบพระพุทธองค์ หรือได้ยินเสียงพระพุทธองค์ เหล่านี้ เป็นนิมิต แต่เป็นนิมิตจากธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั่นเห็นตถาคต เมื่อเราทราบชัดว่าปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้นจากความยึดมั่นในสิ่งชั่วๆ บาปอกุศลๆ เมื่อเราดับได้ก็หยั่งถึงสภาวะที่คล้ายนิพพาน เพื่อให้เราอยู่ในทางธรรม จึงปรากฎต่อจิตโดยรูป การที่หลายครั้งเราเห็นพระพุทธเจ้า ก็คือธรรมได้แสดงตัวแก่เราว่า นี่คือสิ่งที่ควรบำเพ็ญต่อไป ในเมื่อช่วงนั้น เราท้อแท้ว่า ชะตาคนถูกลิขิต เราก็เสียกำลังใจ เจ้าแม่กวนอิมจึงกล่าวว่า กำหนดจิต ประสงค์โชค ชะตา ราศีใด ก็กำหนดเอา ก็หมายความว่า ท่านหรือธรรมบอกแก่เราว่า ไม่มีอะไรลิขิต อยู่ที่จิตเรากระทำกรรมอย่างไรนั้นเอง หรือในบางช่วงเวลา เราสับสนว่า อะไรคือจริง อะไรคือเท็จ ในพระไตรปิฎก ก็ปรากฏว่า ได้ยินเสียงคล้ายหรือพานให้เข้าใจว่า คือเสียงพระพุทธองค์ ว่า มีในพระพุทธธรรม ซึ่งจะสอนแต่หลักๆ เอาหลักๆ ไว้ก่อน เราแม่นยำหลัก แล้ว เราก็ไม่สับสนในเรื่องที่เรายังไม่มีญาณรู้ได้ เพราะเราเข้าใจหัวใจว่า ควรศึกษาอะไร วางจิตตรงอะไร การอ่านพุทธรรม จึงเข้าใจว่า เราศึกษาเรื่องทุกข์ เรื่องกิเลส เรื่องการดับทุกข์ นี่พอเพียงแล้ว ได้หลักก่อน

    จึงขอเป็นกำลังใจแก่ทุกคน เมื่อเราปฏิบัติธรรมแม้ข้อหนึ่งข้อใด เป็อาจิณในระดับหนึ่ง ธรรมกาย ย่อมมีขึ้นเอง ธรรมกายอันเป็นประดุจ เรือแพจะนำท่านสู่นิพพานได้ ถ้าท่านค่อยๆ ผูกร้อยสร้างเรือแพด้วยความไม่ประมาท
     
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,197
    ตามความเข้าใจของตัวเองนะคะ ..เพื่อแลกเปลี่ยนสนทนากันค่ะ

    ธรรมกาย / กายธรรม
    อมฤตธรรม / อมตธรรม

    สองสิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวกันไหม

    ปรมัตถ์สัจจะ คือ ความจริงอันสูงสุด
    ในความจริงอันสูงสุดมีสิ่งใดบ้างจึงเรียกว่า ปรมัตถ์สัจจะ
    และในปรมัตถ์สัจจะ...มีสิ่งใด..ที่เป็นปรมัตถ์สัจจะ สิ่งนั้นจึงเป็นตนที่แท้จริงของสภาวะนั้น
    จึงอาจเรียกว่า รูป หรือ กาย หรือ ตน (ตามชื่อที่สมมุติบัญญัติขึ้นมา)
    ในสภาวะปรมัตถ์สัจจะ

    ส่วน.....

    สมมุติบัญญัติ คือ ความจริงที่สมมุติขึ้นว่ามี หรือ ความจริงโดยสมมุติ
    ก็มีความจริงในสมมุตินั้นอยู่ และสภาวะของสมมุตินั้นก็เรียกว่า..รูป หรือ
    กาย หรือ ตน ในสภาวะสมมุติบัญญัติ

    ถ้าเรามองแล้วแต่ละสภาวะนั้นมีอยู่จริง แต่จริงคนละอย่าง คนละสภาวะกันค่ะ

    สภาวะสมมุุติ ที่เห็นเป็นรูป เป็นกาย ที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง

    สภาวะปรมัตถ์สัจจะ ที่มองไม่เห็นด้วยระบบประสาทสัมผัสเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
    สิ่งนั้นเป็นนามธรรมสำหรับเรา เพราะมองไม่เห็นรูปร่าง แต่สิ่งนั้นก็มีลักษณะ
    สภาวะของเขาอยู่ เราจึงบัญญัติลักษณะนั้นว่าเป็นกาย เป็นรูป เป็นตน
    ก็น่าจะได้เหมือนกันนะคะ

    ที่เราต้องกำหนดเรียกอย่างนั้นก็เพื่อ..เราจะได้ทำความเข้าใจสภาวะของ
    สิ่งเหล่านั้นให้ตรงกันก่อน เพื่อจะได้ทำความเข้าใจให้ตรงกัน

    และอนัตตามีหลายท่านยังสับสน แม้กระทั้งตอนแรกตนเองก็สับสน
    ว่าแท้จริงอนัตตานั้น คืออะไรกันแน่ ระหว่าง...

    1.ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน หรือ ไม่ใช่ตัวตน
    2.ไม่มีตัว ไม่มีตน หรือ ไม่มีตัวตน

    ได้อ่านพระไตรปิฏกแล้วและครูบาอาจารย์ อย่างเช่น ท่านพุทธทาส
    อนัตตาที่จริงแล้ว คือ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน หรือ ไม่ใช่ตัวตน ค่ะ

    ถ้าใช้อนัตตาแปลว่า ไม่มีตัวตน แล้ว จะทำให้เราเข้าใจความหมาย
    ผิดไปค่ะ
     
  11. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    977
    ค่าพลัง:
    +3,498
    ขออนุญาตนำปริศนาธรรมนี้มาช่วยพิจารณา


    ฮวงโป

    ไม่มีอะไรจะต้องลุถึง เพียงแต่ลืมตาตื่นเท่านั้นสิ่งๆ นั้นก็จะปรากฏแก่เธอ

    คนพาล ย่อมหลีกเลี่ยงปรากฏการณ์ภายนอก แต่ไม่หลีกเลี่ยงความคิดปรุงแต่ง คนฉลาดย่อมหลีกเลี่ยงความคิดปรุงแต่ง แต่ไม่หลีกเลี่ยงปรากฏการณ์ภายนอก

    ท่านฮวงโป เดินเข้าไปในหอพระ เห็นรินไซ (หลินจิ) กำลังนั่งสัปหงกอยู่ ท่านฮวงโปเลยเอาไม้เท้าไปกระทุ้งพื้น พอรินไซเห็นก็แกล้งทำเป็นหลับต่อ พระอีกองค์นึงนั่งอยู่ใกล้ๆแต่ไม่สัปหงกกลับโดนท่านฮวงโปดุเอาว่า เอาแต่นั่งฟุ้งซ่านอยู่ได้ แล้วฮวงโปก็หันไปชมรินไซที่กำลังสัปหงกอยู่ว่า ปฏิบัติดี

    (การลืมตาตื่นเพื่อเห็นสิ่งที่เต็มบริบูรณ์อยู่แล้วตรงหน้านั้น ไม่ได้หมายถึงการเริ่มลอกกิเลสเป็นชั้นๆ จนลอกหมดแล้วจึงตื่น แต่จิตนั้นเอง คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทันทีที่มีสติสัมปชัญญะ ไม่หลง ไม่เผลอ จิตปราศจากการครองคลุมของโมหะ เมื่อนั้นคือการตื่น หรือการรู้ ที่เราพูดถึงกันบ่อยๆ นั่นเอง

    จิตที่ปราศจากโมหะ มีความรู้ตัว จะเห็นประจักษ์ธรรมต่อหน้าต่อตา เริ่มจากธรรมในฝ่ายที่เกิดดับ หรือสังขตธรรม จนปัญญาแก่รอบ สามารถปล่อยวางธรรมในฝ่ายที่เกิดดับได้ ก็จะเข้าไปรู้จักธรรมในฝ่ายที่ไม่เกิดไม่ดับ

    ดังนั้น ทันทีที่รู้ ก็คือทันทีที่ตื่น พ้นจากภาวะหลับฝันทั้งที่ลืมตา และทันทีที่ตื่น จิตก็ถึงความเบิกบาน อันเป็นคุณสมบัติของจิตเอง ไม่ใช่รู้แล้วลอกกิเลสเป็นชั้นๆ ไปจนหมด จึงตื่น จิตรู้ หรือจิตตื่น มีความเบิกบานในตัวเอง ปลอดภัยอยู่ท่ามกลางความแปรปรวนและไฟกิเลส เหมือนลิ้นงู ในปากงู เหมือนดอกบัว ที่ไม่เปื้อนด้วยโคลนตม )



    โพธิธรรม

    อะไรเกิดขึ้นที่จิตก็ให้รู้ไป ไม่ต้องไปแบ่งแยกให้ค่าว่า อันนี้ถูก อันนี้ผิด ถ้าหลุดพ้นจากการให้ค่าพวกนี้ได้ ก็จะเข้าใจจิตได้


    เค็งเซ็น

    สิ่งที่ตาเธอเห็นอยู่นั่นแหละคือความจริง (ปรมัตถ์) ธรรมทั้งปวงก็คือปรมัตถ์ เธอจะต้องหาอะไรอีกเล่า


    จ้าวโจ

    บางที ก็มีพระมาถามว่า "ผมถึงจุดที่ไม่ยึดถืออะไรแล้ว ผมจะต้องทำอย่างไรครับ" ท่านก็ตอบว่า "ก็ทิ้งมันไว้ตรงนั้นสิ"

    มีพระมาถามว่า "ถ้าบรรลุถึงนิพพานแล้ว จิตจะเป็นยังไงครับ" ท่านอาจารย์บอกว่า "ทำให้ถึงตรงนั้นก่อน แล้วฉันจะตามไปบอก"

    พระองค์นึงถามอาจารย์จ้าวโจว่า "ที่เมืองจีนใครเป็นอาจารย์องค์แรกครับ" ท่านจ้าวโจว่า "ท่านโพธิธรรม"

    "แล้วท่านอาจารย์เป็นอาจารย์อยู่ในลำดับที่เท่าไรครับ" "ฉันอยู่นอกลำดับ" "อยู่นอกลำดับแล้วตกลงอยู่ไหนครับ"

    "อยู่ในหูเธอ" เข้าใจว่า พระองค์นั้นโดนดุเรื่องถามอยู่นั่นแหละ ก็พูดให้ฟังอยู่นี่แล้วยังไปสงสัยอะไรมากมาย

    คืออาจารย์องค์นี้ท่านมักจะใช้คำพูดให้ศิษย์หลุดออกมาจากความสงสัย อ่านดูศิษย์ท่านแต่ละคนช่างซักช่างถามเสียเหลือเกิน


    โจซู

    มีพระรูปหนึ่งไปถามท่านโจชูว่า ตัวเองปฏิบัติแบบนี้แล้วถูกรึเปล่า ท่านโจชูบอกว่าเริ่มปฏิบัติได้ก็ดีแล้วนี่

    (ท่านไม่ตอบว่าถูกหรือผิดเลย) คำสอนพระท่านส่วนใหญ่จะเน้นให้ลูกศิษย์ละวางการให้ค่าสิ่งต่างๆ

    ที่เป็นคู่ๆว่า นี่ดี นี่ไม่ดี นี่ก้าวหน้า นี่ถอยหลัง อะไรทำนองนี้


    เล่าจื๊อ

    เมื่อคุณแสวงหา คุณไม่อาจพบมัน


    อาจารย์หาน

    ล่องลอยไปตามกระแส ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงปล่อยให้จิตใจเป็นอิสระอยู่
    ด้วยความเป็นกลาง ด้วยการรับรู้สิ่งที่กระทำอยู่นั้น นี่เป็นสิ่งสูงสุด


    จวงจือ

    จิตใจไม่ควรอยู่ที่ใดเป็นการเฉพาะ


    ต้ากวน

    เวลาทำอะไร ทำให้ดี ขอให้ทำให้ไม่มีที่ติ ทำให้สุดความสามารถของคุณ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญที่สุดด้านศิลปการต่อสู้ จะใช้เวลาหลายปีเรียนรู้เทคนิค และการเคลื่อนไหว นับร้อยท่าจนชำนาญ แต่ในยกหนึ่งๆ

    แชมป์จะใช้เทคนิคสี่หรือห้าอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก เทคนิคเหล่านี้ เป็นเทคนิคที่เขาทำได้ดีเลิศ ไม่มีที่ติ ทั้งเขารู้ว่า เขาพึ่งเทคนิคเหล่านั้นได้ หยุดเปรียบเทียบตัวเองตอนสี่สิบห้ากับยี่สิบหรือสามสิบ อดีตเป็นมายา
    คุณต้องเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน และยอมรับว่า ตัวเองเป็นอะไรตอนนี้ สิ่งที่คุณขาด คือความยืดหยุ่น กับความปราดเปรียว ที่คุณต้องสร้างเสริมขึ้นมาด้วยความรู้ และการฝึกหัดอย่างคงเส้นคงวา


    บทท้ายของเซน

    คุณต้องเรียนรู้วิธีดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่อดีตหรืออนาคต เซนสอนว่า ชีวิตต้องยึดขณะปัจจุบัน

    โดยการอยู่กับปัจจุบัน คุณต้องสัมพันธ์กับตนเอง และสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ ต้องไม่ทำให้พลังของคุณกระจายไป

    ต้องพร้อมเสมอในปัจจุบัน ไม่มีความเสียใจต่ออดีต โดยการคิดถึงแต่อนาคต ก็ทำให้ปัจจุบันเบาบาง ลง เวลาที่จะดำรงอยู่คือ "เดี๋ยวนี้"

    สติที่เป็นสติสัมโพชฌงค์ ก็คือสติที่มีเองทุกขณะ โดยไม่ต้องออกแรงตั้งใจให้มีสติ และมีอยู่เองโดยไม่มีความต้องการที่จะให้มีสติ เพราะเห็นว่าสตินั้นมีประโยชน์

    การบรรลุธรรม หมายความอย่างง่ายๆ ถึงการตระหนักในความกลมกลืนกัน
    อันไม่อาจแบ่งแยกออกได้ในชีวิตประจำวัน ความรู้อันแท้จริงแล้วต้องผ่านประสบการณ์ตรง เราจะอธิบายรสน้ำตาลได้อย่างไร การบรรยายด้วยวาจาไม่อาจให้ความรู้สึกได้ การจะรู้รส

    ต้องมีประสบการณ์กับมัน ปรัชญาของศิลปแขนงนี้ ไม่ใช่ว่าจะ ครุ่นคิดออกมาได้เอง จะต้องมีประสบการณ์ ดังนั้น จึงช่วยไม่ได้ที่ถ้อยคำเป็นเพียงการนำความหมายไปได้บางส่วนเท่านั้น

    รู้จักคนอื่นเป็นความฉลาด รู้จักตนเองเป็นการตรัสรู้

    ปริศนาเซน และการสอน โดยการไม่สอน ไม่พูด

    ถ้าท่านอ่านมาถึงตรงนี้ เกิดปัญหาขัดแย้งมากมาย นั่นเพราะท่านไปติด อยู่กับสมมติของภาษา ติดอยู่กับสิ่งที่รู้อยู่ก่อน

    มองไม่ออกถึงแก่น ของสิ่งที่เป็นจริง “การรู้ของจริง กับการจำของจริงมาพูด ” มันเป็นคนละเรื่องกัน ของจริงจะต้องรู้อย่างเดียวกัน

    (ของจริงในที่นี้คือ สภาวะ) แต่อาจอธิบายด้วยสำนวนภาษาที่ต่างกัน ผู้มีปัญญาเท่านั้นจึงจะเข้าใจกันได้

    ผู้รู้ใช้ภาษาสมมติ แบบไม่แยแส เป็นตัวของตัวเอง เพราะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเอง มิได้จำคำที่ไหนมาพูด

    เมื่อจะสอนใครจึงรู้ถึงข้อจำกัด และ ความสามารถของสมมติภาษา จะสร้างความสับสนทางการตีความมากกว่า

    จะเกิดประโยชน์ในการปฏิบัติ ปริศนาธรรมของเซน ไม่ได้ให้มีไว้หาคำตอบเป็นสำคัญ แต่มีไว้สำหรับช่วงท้ายที่สุด

    ในการตระหนักรู้ ว่าทำไม คนสอนถึงให้ปัญหานี้มา เพราะ ณ จุดนั้น ผู้เรียนจะเข้าใจว่า อะไรคือ ต้นเหตุของความทุกข์ทั้งปวง

    ปริศนาธรรมมีไว้เพื่อเปลี่ยนคนให้เป็น โสดาบัน ด้วยตัวของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อทำผู้ขบคิดให้เป็น

    อรหันต์ แต่หลังจากเป็นโสดาบันแล้ว จะพอมองออกเองว่า จะเดินไปจนสุดทางทำได้เช่นไร

    เมื่อนั้นปริศนาธรรมก็จะทำหน้าที่ต่อคนๆนั้นโดยสมบูรณ์

    นำมาจากเวป:
    วิถีเซน คำสอนจากอาจารย์ต่างๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2016
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,197

    คนมักจะกล่าวอยู่เสมอว่า "ผู้รู้จริง มักจะไม่พูด"
    ถ้าหากเราไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ไม่มีพระสงฆ์สาวก มาประกาศธรรม
    ทุกคนปฏิบัติได้ แล้วก็นิ่งกันหมด
    เพราะผู้รู้จริงไม่ต้องพูด เราก็คงไม่มีคำสอน
    ที่สามารถมาปฏิบัติได้อย่างทุกวันนี้

    ประโยคดังกล่าวข้างต้น มิใช่แสดงว่า เราคือผู้รู้จริง นะคะ
    แต่นำประสบการณ์ของตนเองมาเล่าให้ฟังเพื่อให้เห็นความจริง
    อะไรบางอย่าง เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพร้อมที่จะรับฟังผู้อื่นด้วยค่ะ

    และปัจจุบันนี้มีนักปฏิบัติหลายท่านที่สงสัยเรื่อง นิพพาน และ จิต
    มักจะมีผู้ที่สงสัยว่า จิตเที่ยงหรือไม่เที่ยง
    นิพพานแล้วเป็นอย่างไร ดับสูญหรือเปล่า
    ถ้าไม่ดับสูญ นิพพานแล้วหายไปเลย
    ก็ว่างเปล่าซินะ ถ้าไม่ว่างเปล่ามีจิตเป็นผู้นิพพาน
    ถ้ามีจิตเป็นผู้นิพพาน ถ้านั้นจิตก็เที่ยงนะซิ
    แล้วจิตเดิมประภัสสรเป็นอย่างไร
    ประภัสสร ใช่จิตนิพพานหรือไม่
    แล้วอายตนะนิพพานล่ะ....ใช่จิตเป็นผู้นิพพานหรือไม่
    จิตหลุดพ้นล่ะ ...อะไรเป็นผู้หลุดพ้น
    จิตจะหลุดพ้นได้อย่างไร...ก็เมื่อจิตมันไม่เที่ยง

    นี่คือปัญญาหนึ่งนะคะ ที่เราสามารถนำมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะคะ

    และขณะนี้ก็มีหลายท่านค่ะที่ได้รู้เห็นสภาวะที่ตนเองประสบพบเจอมาบ้างแล้ว
    หลายคน ซึ่งอาจมีทั้งที่เปิดเผย หรือ ไม่เปิดเผย หรือ รู้แล้วไม่กล้าพูด
    แต่ jityim ที่ไม่รู้อะไรเลย จึงเป็นหน่วยกล้าตาย ..จึงกล้าพูดค่ะ:VO
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,197
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ เป็นสภาวะเดียวกันที่พ้นจากการ "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" แต่จะต่างกันตรงที่ "ทุกข์" สามารถตั้งอยู่ได้หรือไม่ "อาการโดดเดี่ยว เวิ้งว้าง ว่างเปล่า" สามารถตั้งอยู่ได้หรือไม่

    +++ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" เป็นคำพูดของ พระพุทธเจ้า

    +++ "ธรรม" ที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงนั้น "ไม่มีรูปกาย ไม่มีนามกาย"

    +++ อาการ "ไม่มีรูปกาย ไม่มีนามกาย" นี้ผู้ที่ "ออกอวกาศ และเป็นเนื้อเดียวกันกับอวกาศได้" เท่านั้น จึงรู้ได้ ในอาการนี้ และพอเข้าใจได้แค่ "อาการคร่าว ๆ" เท่านั้น เพราะมี "อาการคล้าย ๆ กัน" แต่ยัง "ไม่ใช่อาการเดียวกัน"

    +++ อาการที่เป็น "เนื้อเดียวกันกับอวกาศ" (จิตจักรวาล) นั้น "เป็นรู้และว่าง ที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ แต่ ยังมีสิ่งถูกรู้อยู่ในนั้น ซึ่งก็คือ ดวงดาว กาแลคซี่ รวมทั้งอื่น ๆ มากมายล้วนเป็น อนัตตาธรรม คือ ไม่มีอะไรเป็นตัวเรา ไม่มีอะไรเป็นของเรา ทั้งสิ้น และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถอ้างอิงได้กับ พระสูตรในพระไตรปิฏก" รวมทั้ง "เนื้ออวกาศไม่สามารถ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้" แบบเดียวกันกับ "อมฤตธรรม / อมตธรรม" เพียงแต่ยังไม่ใช่ "ธรรมกายา" ที่พระพุทธองค์กล่าวถึง

    +++ อาการที่คล้าย ๆ กันก็ได้กล่าวมาแล้ว แต่จะกล่าวทั้งหมดก็ไม่ไหว เพราะมันมากจนเกิน "นาซ่า" จะตามทัน แต่อาการที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ "ธรรมนั้นของพระพุทธองค์" ไม่มีสิ่งถูกรู้แบบจิตจักรวาล ไม่มีความ "โดดเดี่ยว เวิ้งว้าง" แบบจิตจักรวาล เนื้อธรรมที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงนั้น จะแตกต่างจาก จิตจักรวาล ตรงที่ ไม่มีความโดดเดี่ยว ไม่มีความเวิ้งว้าง ไม่มีสิ่งถูกรู้ แม้ว่าจะพบเจอพระพุทธองค์ หรือ ครูบาอาจารย์ใดก็ตาม ("ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา") จะไม่มีอาการของ "รู้-ถูกรู้" เลยแม้แต่นิดเดียว สรรพสิ่งในเนื้อนี้ จะมีความเป็น หนึ่งเดียวกันทั้งหมด เป็นเอกภาพสมบูรณ์ เป็นภราดรภาพสมบูรณ์ ไม่มีอาการของความเป็นรูปรวมทั้งนามเหลืออยู่เลย ตรงนี้แล.... "นิรทุกข์" อย่างแท้จริง

    +++ ดังนั้น คำถามที่ว่า

    คำตอบคือ

    "ธรรมกาย / กายธรรม" เป็น "อมฤตธรรม / อมตธรรม"

    แต่

    "อมฤตธรรม / อมตธรรม" ไม่เป็น "ธรรมกาย / กายธรรม"

    อ่านทบทวนจากข้างบนอีกรอบ ก็จะชัดเจนมากขึ้น

    +++ อนึ่ง "ธรรมกาย / กายธรรม" ที่พระพุทธเจ้าระบุมานั้น "ไม่ใช่ ลัทธิธรรมกาย คลองสาม ที่เพ่งลูกแก้ว แล้ว มโนมทึบทึบ เอาเอง" รวมทั้ง "ขโมย" คำศัพท์ของพระพุทธเจ้า เอามาหาเงินให้ตนเอง ชนิดที่เจออะไรก็ "โลภจะเอาท่าเดียว งับจะกินท่าเดียว" อันเป็นอาการของ สัตว์ในโลกันต์นรก (พวกผมเรียกมันว่า "กลิ้งงับงับ" เป็นอาการ งับสรรพสิ่งอย่างบ้าคลั่ง) (ผู้ที่ออกจักรวาลได้จริง ให้ลองแสกนหา กาแลคซี่ตั้งแต่ 2 อันขึ้นไปที่ตรงกลาง "แสงส่องไม่ถึง" โลกันต์นรกก็สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าจะเอาแบบชัด ๆ ก็ต้อง 3 อันหรือมากกว่านั้นขึ้นไป 4-5 อันขึ้นไป ภูมิยิ่งแรงยิ่งกว้างมากขึ้น) (ความแน่นของเนื้อภูมินั้น เป็นสนามพลังที่หนาแน่นแข็งแกร่งกว่าใด ๆ ทั้งสิ้น อึดอัดสุดยอด ทุกข์สุดยอด ตัวเนื้อภูมิเย็นยิ่งกว่า ไนโตรเจนเหลว แต่ตัวจิตของสัตว์ร้อนระอุบ้าคลั่ง) ที่แวะกล่าวในเรื่องของ "โลกันต์นรก" นั้นเพราะมันเป็น "ขุมนรก" ที่ตั้งอยู่ใน จิตจักรวาล ไม่ได้ตั้งอยู่ใน ภพภูมิปกติ และ "วัดจานบิน" ก็ชี้ระบุในตนเองอย่างชัดแจ้งอยู่แล้วว่า จะบินไปตกขอบตรงที่ใจกลางของสนามพลัง ที่ไม่มีแสงใดส่องไปถึงได้ และมีกล่าวระบุอยู่ในพระไตรปิฏกอย่างชัดเจนว่า ตรงนี้เรียกว่า "โลกันต์มหานรก"

    +++ อือม์..... สัมปยุตตาธรรมา ได้ตัวอย่างในอีกกรณีหนึ่งแล้ว นะครับ

    +++ ...พระองค์ทรงค้นพบ การเวียนจบของจักรวาล หนทางที่จะว่ายผ่าน วัฏสงสารอันปลดปลง .....

    +++ จิตจักรวาล ย่อมเป็น "ทางผ่าน" ของผู้ที่ฝึก มหาสติปัฏฐาน 4 ที่มาถึงภาค "ธรรมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน" ในขณะที่ "ตัวเนื้อ ธรรมานุปัสสนา นั้น มีความละเอียดเท่ากับ เนื้ออวกาศ สัมปยุตตาธรรมมา แห่ง มหาจักรวาล ก็จักปรากฏขึ้นมาเอง ตามสภาวะธรรมที่สอดคล้องต้องกัน" ...... กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา... ....... สัมปยุตตาธรรมา วิปปยุตตาธรรมา.... เช่นนั้นแล.........
     
  15. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ธรรมชาติคือเรา เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
    ธรรมคือเรา เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรม
    ธรรมชาติหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเกิดดับแตกสลายก็ไม่เคยเกิดทุกข์ เราละ
    ความเป็นเนื้อเดียวเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร
    เพราะเราไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมีการกระทำที่หลีกหนีธรรมชาติ เบียดเบียนธรรมชาติ
    ธรรมชาติมีแต่ให้ ให้การเรียนรู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง และให้รู้ด้วยว่าคุณนั้นไม่มีอะไรเลย จะมาเอาอย่างเดียว
    เมื่อไหร่ที่คุณสามารถรักธรรมชาติได้เหมือนที่คุณรักตัวเอง คุณก็จะไม่มีตัวกูอีกต่อไปคุณจะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ไม่มีการกระทำที่ขัดแย้งเพราะทำร้ายตัวเองคือการทำร้ายธรรมชาติ
    ธรรมไม่เคยทุกข์ธรรมชาติไม่เคยทุกข์ แต่ก็ช่วยกันทำให้ดีขึ้นได้
    เมื่อไหร่กันนะที่เราจะรู้สึกถึงกันเปิดใจหากัน รอพวกเธอด้วยรอยยิ้มเสมอมา
    รักธรรมชาติให้มากๆนะครับ
     
  16. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    เอ มันง่ายไปหรือมันยากไปหว่างั้นเพิ่มเติมอีกหน่อย
    กว่าจะได้เรียนรู้ กว่าจะได้เข้าถึงธรรม ใช่เวลานานเท่าไหร่(แค่เข้าถึงนะครับ)กว่าจะเป็นเนื้อเดียวเป็นส่วนหนึ่งละครับ ก็ดูตัวอย่างจากในตำราก็ได้ผู้บำเพ็ญต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ แค่รู้และเข้าใจธรรมนะครับ
    และกว่าธรรมชาติจะยอมรับว่าเป็นเนื้อเดียวกัน ต้องใช้ความละเอียดขนาดไหนแล้วยิ่งเคยทำร้ายธรรมชาติมามากมาย จะให้ยอมรับง่ายๆด้วยคำพูดที่ว่าเรารู้แล้วเข้าใจแล้ว แค่เนี้ย
    ถ้าเคยดูฟาสภาคใหม่ ขอยกคำพูด วิน ดีเซลมาใช้ เราไม่สามารถบอกให้ใครมารักเราได้ แล้วเราจะทำไงให้เขารักเราเชื่อใจเรา แสดงออกมาซิครับทำให้เห็นหน่อย
    ถ้ายังไม่เคลียร์เอาอีกหน่อย เพราะเราไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมีการกระทำที่หลีกหนีธรรมชาติ เบียดเบียนธรรมชาติ ขออนุญาติกล่าวถึงท่านณฉัตร และท่านจิตยิ้มนะครับ ท่านทั้ง 2 ลองเปิดใจพิจารณาดูเหตุการณ์สมมุตินี้นะครับ ในสถานที่หนึงมีแต่คนที่มีความรู้สึกเหมือนท่านทั้งหมด แต่มีความสามารถมากมายแตกต่างกันไป ท่านว่าความวุ่นวายความสับสนจะเกิดขึ้นหรือไม่การพัฒนาจะเกิดขึ้นหรือไม่ คำตอบก็อยู่ในตัวท่านเองเลยครับ
    เมื่อทำไปเรื่อยๆท่านก็จะรู้เองเลยครับว่า เป็นส่วนหนึ่งหรือยังเพราะมันจะเป็นไปเองโดยไม่รู้ตัวก็น่าจะเข้าใจนะครับว่าทำไมจึงมีผู้บำเพ็ญในรูปแบบต่างๆมากมายเพื่อให้ทุกสิ่งเจริญขึ้นงอกงามขึ้น
    ไม่มีอะไรที่ยากเกินไปมีแต่ไม่ทำ ทำไมมันยากจังทำไมมันลำบากทำไมมันเหนื่อยบลาๆๆ เอ๋แต่ทำไมผู้ที่เดินไปก่อนหน้าเราเขาเดินไปอย่างสบายๆหว่า
    ขอโทษอีกครั้งที่เอ่ยถึงท่านณฉัตรและท่านจิตยิ้มนะครับ
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ตรงนี้ผมเคยมีโพสท์ประกอบไว้บ้างแล้ว เพื่อขยายความเข้าใจให้เป็นวงกว้างออกไป เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชนชาวพุทธ อยู่ในลิ้งค์นี้ครับ

    http://palungjit.org/7952810-post9.html
     
  18. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    สนใจมากค่ะท่านธรรมชาติ เพราะผ่านสติปัฏฐาน 4 เข้าสู่ธรรมานุปัสนา จิตละเอียดเข้าสู่อรูป...แตะชั้นเนวะสัญญายตนะ....ถอยจิตลงสู่วิญญานัญจายตนะ...และอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเข้าสู่รูป.....ช่วงนั้นธรรมชาติแปรเปลี่ยน ไฟที่ร้อนกลับเย็นได้....ปรอทที่เหลวสามารถแข็งตัวจับเป็นก้อนได้


    หามานานแล้วค่ะท่านที่จะโพสต์เรื่องราวแบบนี้ค่ะ...ขอตามต่อนะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2016
  19. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    ตามต่อค่ะ เมื่อผ่านสติปัฏฐาน 4....พิจารณาพรหมวิหาร 4 จนเต็มกำลังแล้วนำจิตขึ้นสู่อิทธิบาท 4....หลังจากนั่นพิจารณาสัมโพชฌงค์ 7

    ติดแค่ตรงนี้ค่ะไปต่อไม่ได้ รบกวนท่านธรรมชาติช่วยชี้แนะจะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2016
  20. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    การเวียนจบของจักรวาล หนทางที่ว่ายผ่านวัฏสงสาร....ส่วนตัวเพียงแค่แตะวิญญาณัญจายตนะก็รับรู้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาล รับรู้ได้แต่เพียงว่าจิตเราเทียบแล้วเล็กกว่าผงธุลีดิน ยิ่งน้อยกว่าและยิ่งกว่าอณูแห่งฝุ่น.....ความไพศาลนั้นรับรู้แต่เพียงว่าเราเองมิได้ยิ่งใหญ่อย่างที่เราเข้าใจและยึดมั่นถือมั่น

    ส่วนตัวตอนนี้การเดินธาตุกัมมัฏฐานแบบทวนจักรราศีมีผลต่อร่างกายอย่างมากมาย...โดยเฉพาะความร้อนที่กรุ่นจากไอตัวระเหิดออกมาตลอดเวลา......คล้ายตอนที่นั่งสมาธิเดินธาตุขันธ์-อายาตนสัมพันธ์....ร่างกายเราถูก revise จนถึงระดับเซล ที่แน่ๆคือร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเพราะคว้านเข้าไปในระดับเซล

    อย่างนี้หรือที่เรียกว่าการหุงธาตุ....เลยอยากมาหาผู้รู้ในที่นี้ช่วยอธิบายความค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...