จิตตะภาวนา (หลวงปู่พุธ ฐานิโย)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 19 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849

    คุณพี่ครับ ลอง อธิบาย องค์ ของ ฌาน ที่ 1 ได้ป่าวครับ
     
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    นั่นสิ สงสัยต้องไปสเดาะห์เคราะห์ กับพ่อปู่หลง เด็ดมา

    และไปเช่าจตุคามดีๆมาแขวนซะแล้ว

    :mad:
     
  3. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +1,459
    ผิดก็ยอมรับผิดไปซะ

    ผมขี้เกียจคุยกับนักฟังเทศน์ ร้อยรอบ พันรอบ
    ได้แต่สัญญาความจำ หาความจริงไม่เจอ

    คนที่รู้จริงเห็นจริงเค้าไม่เคยฟังหรอก
    เค้ารู้เค้าเห็นมาแล้ว
    พอมาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ท่าน ทีเดียว
    ก็ อ๋อ ทันที รู้อย่างเดียวกันเห็นอย่างเดียวกันจะให้ว่าไง

    นักปฏิบัิติไม่ต้องฟังเทศน์กัณฑ์เดียว ร้อยรอบพันรอบหรอก

    อย่าเที่ยวไปหลอกลวงว่าตนปฏิบัิติรู้เห็นจริงขั้นนั้นขั้นนี้กับใครอีกนะ
    มันเป็นมลทินเป็นบาปเป็นกรรมนะจำเอาไว้

    เอานะ ผมจะไปนอนแล้ว
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849

    อ๋อ จำได้ เลยเอามาแซว

    ที่สงบเย็นๆ กลางอก ก็เป็นเหมือนกัน

    ก้ต้อง รู้ ต่อไป :cool::cool:

    ผมก็ รู้ต่อไป เท่าที่รู้ได้ในสิ่งที่ปรากฎ :d
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    เอาเลยครับตามสะบาย ฝันดี
     
  6. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เพราะเหตุใดหนอ

    :cool:
     
  7. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    สงบมี 2 อย่าง

    ขณะทำสมาธิอย่างนึง เราตีเป็นนิมิต สงบนิ่ง สุข เบา

    ตอนนี้ก็จะค่อยๆเข้าไปพิจารณา (ไม่ได้อยู่ในฌาณ)

    บางท่านให้ถอนลงมา แล้วพิจารณา

    ขณะหมดศึกอย่างนึง เราตีเป็นผลของปฏิบัติ สงบนิ่ง สุข เบา เหมือนกัน

    เดินไปไหนมันว่าง เย็น ไม่คิดอะไร ไม่ง่วง ไม่ฟุ้ง

    ไม่ทราบเหมือนกันรึเปล่าหนอ
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849

    หุหุ ตรงนี้ผมเข้าใจ สงบมี 2อย่างเหมือนกัน
    เคย อธิบายไปกระทู้พี่บอยจักกฤษ

    สงบที่เราตั้งใจ ทำเป็นสมาธิในอารมณ์เดียว เป็น สงบในความนิ่ง

    กับ สงบในความที่จิตไม่นิ่ง อันนี้มันเป็น ขณะ ขณะ ของทุกวันเลยครับไม่ได้เป็นตลอดเวลา มีวิตก วิจาร มีปีติ มีสุข อยู่ มาเนืองๆ ทุกวัน
    เป็นแบบนี้มาได้ สองปีแล้ว จะบอกว่าเป็นผล ก็ไม่ต่างกันมันเป็นมาเอง
    ครับ :boo::boo:
     
  9. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    อนุโมทนาครับ

    สำรวจตัวเองเรื่อยๆ อย่าไปยึดสภาวะใดๆ

    รู้ ต้อง รู้จริงๆว่ารู้อะไร วางอะไร

    ธรรมล้วนออกมาเหมือนกัน

    อ่อ เรื่องดูภายนอก

    นึงถึงธรรมหลวงพ่อชา ท่านมักเปรียบธรรมกับสิ่งของบ่อยๆ เข้าใจง่าย เห็นง่าย
     
  10. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ดีละ ดีละ

    ลุงหลงก็นอนดึกเน๊าะ

    อนุโมทนาในการสนทนาครับ เดี๋ยว จะไปนอนแระครับ ว่างๆค่อยมาใหม่ครับ

    ราตรีสวัสดิ์
     
  11. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    ] ลูกเพ่ ตื่นแล้ว


    เวลาตื่น หรือนอน ไม่ได้ท่องจำหรอก มันทำนาริกาชีวภาพ
    แต่เราไปจำไว้ และบันทึกเป็นสัญญา เรียบร้อยแล้ว
    แต่เวลาเกิด เราจะเห็นเป็นรูปปรมัถย์
    ถ้าทวนกระแส หมายถึง การทวนกระแสอารมณ์ตัวเอง
    อืมค่ะ หลวงปู่พุธก็เทศน์แบบนี้
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Azvh8SSwlDI&feature=fvwrel"]YouTube - อย่าอยู่อย่างอยาก[/ame]
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ส่งการบ้านนะเธอว์ เรื่อง สองคนยลตามช่อง
    ปัจจัยส่งออกนอกจาก เควันมานวิกา ผ่านอินเตอร์เนตออกไปสู่โลกกว้าง
    อิอิ
    อาหลง เกิดตุ๊ดๆรับสัญญาณแล้ว เกิดคลื่นกลับมาส่งย้อนตามความเข้าใจที่รับรู้
    ความหมายก็ตีความกันเอาเองเนาะ

    อาปราบก็เกิดตุ๊ดๆเหมือนกัน เกิดคลื่นแสดงความในใจตอบแมสเสจกลับมา
    ก็ไม่มีถูกไม่มีผิด หรอกเนอะ เพราะทิฏฐิใคร ก็ทิฏฐิมัน สองคนยลตามช่อง
    มีแต่อาเคเท่านั้นที่รู้ว่า ใครเข้าใจคำพูดของ เควันมานวิกา อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2011
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    [​IMG]




    สายสวัสดี ผู้มีธรรมอุปาระคุณทุกท่าน
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เพราะรู้ว่าไม่รู้อะไร ไง ก็เลยรู้ว่าไม่รู้

    พอรู้ว่าไม่รู้ ช้านก็เลยเลิกหวังดีกับคนอื่น

    (ไม่รู้เรื่องคนอื่น ก็ไม่ต้องไปสู่รู้หวังดีเรื่องของเขาไง อิอิ[​IMG] )

    เพราะช้านเองก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปหวังดีเอาความไม่รู้ไปให้คนอื่นสับสนต่อทำไม

    สิ่งที่เรารู้มันก็เหมาะกับจริตของเราเท่านั้น ไม่ได้รู้จริงในจริตคนอื่น

    เรารู้วิธีแก้ความไม่รู้ของเราเท่านั้น ความไม่รู้ของคนอื่นเราไม่รู้วิธีที่เหมาะสมของเขา

    มีแต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่ทรงคุณทางรู้จริตของคนอื่น (ตย.เรื่อง กรรมฐาน40กอง)

    ถึงจะชี้ทางที่ถูกต้องเหมาะสมให้คนอื่นได้ถูกต้อง (ตย.พระจูฬปันถก - วิกิพีเดีย)

    เราเข้าใจเรื่องนี้ไง เราก็เลยหยุด แต่ถ้าคุยกันแล้วรู้เรื่องกันได้ จริตเดียวกับเรา

    เราก็สนทนาต่อได้ มันจะต่อยอดให้เราได้ แต่ถ้าเป็นคนละจริตคุยกันไป

    มันจะเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ไง ปรมัตถ์เดียวกันยังใช้บัญญัติต่างกัน

    ใส่แว่นตาคนละสี มองท้องฟ้าอันเดียวกัน แล้วบอกว่าสีที่ฉันเห็นถูกที่สุด

    มันก็ได้แค่ถูกตามทิฏฐิตน แต่ถ้าถอดแว่นตาออกได้แล้ว ก็เลิกเถียงเรื่อง

    สีของท้องฟ้าไปเองแหละ เพราะรู้ว่าคนอื่นเขาบอกว่าท้องฟ้าสีแดง

    เพราะเขาใส่แว่นแดง รู้ว่าวันไหนเขาถอดแว่นออกแล้ว ก็บอกสีของ

    ท้องฟ้าได้ถูกต้องไปเอง (ถ้าใส่แว่นแดงเหมือนกันมันก็เห็นสีแดงเหมือนกันถึงจะคุยกันรู้เรื่อง)

    ปล. แต่ถ้าเจอคนที่ยังไม่รู้จริตของตนเอง ไม่รู้จะทำอย่างไร แบบนี้เราแนะนำ

    วิธีปฏิบัติของเรา และผลที่เราได้กับตัวเองที่เป็นปัจจัตตังให้คนอื่นไว้พินาได้

    ถ้าบอกไปแล้วเข้าใจตรงตามที่เราเข้าใจได้ ก็เว้ากันต่อ แต่ถ้ายิ่งอธิบาย

    ยิ่งไปกันคนละเรื่อง ก็ต้องหยุดใจไว้ที่ตรงนั้น ให้ไปลองด้านอื่นๆดูแทน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2011
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อุ๊ฟ...ป.ปราบ ช้านแย่งซีนเธอว์ รึ่ป่าวเนี่ย หุหุ [​IMG]
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    [​IMG]

    อาหลงกล่าวว่า "สติตามทัน มันตัดนะ" ตรงนี้แปลว่า เข้าใจสติยังไม่ถูกอรรถ
    ทางธรรม พูดภาษาดูจิตคือ ติดเพ่ง

    อาหลงกล่าวว่า "รู้เข้าไปที่รู้ ซ้อนกันอยู่อย่างนั้น ไม่ได้อะไร" ซ้ำร้ายพบว่าพื้น
    จิต "มีหงุดหงิด มีความคับแค้น มีความรำคาญ" พูดภาษาดูจิตคือ ติดเพ่ง
    เพ่งผู้รู้ด้วยความสำคัญจิตเป็นของตน มีตนปรากฏในการเพ่งผู้รู้ ติดอยากจะทำ
    (เพราะเข้าใจ สติ ผิดอรรถสาระ) กล่าวโดยปริยัติคือ เข้าไปในส่วนสุดของ
    การประกอบอัตกลิมัถานุโยคที่ยังมีความคับแค้นปรากฏ เป็นการประกอบโยคะ
    ที่ทำให้ไม่สิ้นกิเลส มีกิเลสยงต้องรณรงค์(ให้พิจารณาอยู่)

    อาหลงกล่าวว่า "มัฌชิมาปฏิปทาของหลวงตา กระเทือนใจนัก" นั่นเป็นเพราะ
    จิตรู้อยู่ว่าเข้าไปในส่วนสุดของอัตกลิมัถานุโยคด้วยความอยากจะทำ พอเห็น
    ธรรมบทที่เป็นไปเพื่อความสลัดวาง(คิดอยากจะทำ) ทำให้เห็น "สติ" ถูกอรรถ
    ถูกธรรม ถูกสาระขึ้นมาแว๊บหนึ่งแล้วหายไป

    อาหลงกล่าวว่า "เราไม่เหมือสายดูจิตริมทะเล" นั่นเป็นเพราะ ไม่รู้ว่าเขาสอนอะไร
    และอะไรที่ตนกำลังจะได้เห็น ตามที่เขาชี้ให้เห็น

    * * * *

    อาหลงกล่าวว่า "ให้รู้เข้ามาที่ชีพจรบ้าง ที่หัวใจบ้าง เห็นความสะเทือนบ้าง เห็นธรรม
    ภายนอกเสมอธรรมภายในบ้าง(ไม่รู้สึกว่าส่งจิตออกนอก)" เป็นเพราะ ภูมิจิต
    อาศัยอยาตนะเพ่งตัวรู้เดินอยู่บ้าง เพิกการเพ่งตัวรู้ออกอยู่บ้าง แต่ก็ยังเป็นไปด้วย
    อรรถสาระคำว่า "สติ" ผิดฝา ผิดตัว

    หากถูกฝาถูกตัว การเพ่งชีจรก็ดี การเพ่งเสียงเต้นหัวใจก็ดี การเห็นความพระเพื่อม
    ไหวธรรมภายในก็ดี การเห็นการกระเพื่อมไหวจากธรรมภายนอกก็ดี จะปรากฏอาการ
    "ก้าวช้าม" ให้รู้สึก บ้างก็ปรากฏอาการ "ปลิดขั้ว" ให้รู้สึก บ้างก็เห็นอาการมี "ขั้ว"
    ให้ปลิดแต่ไม่รู้จะปลิดอย่างไรให้รู้สึก แล้วนิยามว่า เห็นทุกขสัจจบ้าง ความห้ามไม่ได้
    บ้าง ความบังคับบัญชาไม่ได้บ้าง แต่ไม่อิ่ม ไม่รู้จะ ยอมรับมัชฌิมาปฏิปทา เข้าสู่
    จิตได้อย่างไร เพราะ ยังติดอยากจะทำ หรือ ติดเพ่ง(เรียกตามดูจิต)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2011
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ถ้ารู้ สงบ แค่สองนัยนี้ แปลว่า ยังไม่รู้จัก จิตตั้งมั่นในการรู้


    * * * *

    การที่กล่าวว่า เราต่างจากดูจิตริมทะเล ไม่ใช่เพราะว่า
    "เดินด้วยความแตกต่าง" แต่เป็นเพราะ "ยังเดินมาไม่ถึง"

    เมื่อเดินยังมาไม่ถึง ก็ไม่ควร รีบร้อนกล่าว อะไรออกไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2011
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849

    หากจะกล่าวถึง ท่าน พระจูฬปันถก

    ผมชื่นชอบ เรื่องราวท่านเป็นพิเศษ เป็นตัวอย่างที่ให้ข้อสังเกตุได้หลาย ทางอย่างมาก

    เช่น

    ข้อ ที่ 1. ท่านบรรลุอรหันต์แล้ว เป็นเลิศกว่าภิกษุอื่นด้านมโนมยิทธิ
    ทั้งๆที่ไม่ได้ฝึกเอามโนมยิทธิในชาตินั้น
    แต่เมื่อ บรรลุอรหันต์กลับได้คุณสมบัตินั้น


    ข้อที่ 2. ท่านยังเป็นพระอรหันต์ ปฏิสัมภิทา ๔ อีกด้วย
    ทั้งๆที่ท่านไม่ได้ฝึก ไล่ฌานสมาบัติ จนถึง สมาบัติ 8
    แต่เมื่อบรรลุอรหันต์กลับได้คุณสมบัตินั้น


    อาเค รู้จัก พี่ชาย พระจูฬปันถก ที่มีพระนาม ว่าพระมหาปันถกไหม ท่านก็บรรลุอรหันต์ ปฏิสัมภิทา ๔ เช่นกัน ถ้าผมจำไม่ผิดนะ

    ว่างๆ หาเรื่องราว พระมหาปันถกมาลงให้อ่านด้วยซิ

    ซึ่งถ้าจำไม่ผิดนะ

    ท่านสอน น้องชายคือ พระจูฬปันถก แต่ก็สอนไม่ได้

    จนสุดท้าย พระพุทธเจ้า ถึงได้มาสอนเอง

    ข้อนี้ก็ทำให้เข้าใจว่า แม้จะบรรลุ ปฏิสัมภิทา ๔ ก็ไม่อาจ เข้าใจในการสอน เสมอเหมือน พระศาสดาได้

    อาเค หาได้ ลองนำมาให้อ่าน บ้างนะ เผื่อ ผมจำผิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กุมภาพันธ์ 2011
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อาเค ประทับใจเรื่องพระพุทธองค์ทรงชี้แนะให้ท่านทำกรรมฐานลูบผ้าขาวพร้อมบริกรรมคาถา1บท ก็พาให้ท่านบรรลุธรรมได้ อิฉันทึ่งมากกกก ค่ะ

    หามาให้1บทความ ตามที่ร้องขอมา เจ้าค่ะ

    พระจูฬปันถกเถระ
    เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ

    พระจูฬปันถก เป็นน้องชายร่วมมารดาบิดาเดียวกันกับท่านพระมหาปันถก เมื่อ
    พระมหาปันถก สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วได้รับความสุขจากการหลุดพ้นสิ้นกิเลสาสวะทั้งปวง
    แล้ว มีความปรารถนาจะให้จูฬปันถก น้องชายมีความสุขเช่นนั้นบ้างจึงไปขออนุญาตจาก
    ธนเศรษฐีผู้เป็นคุณตา ซึ่งก็ได้รับอนุญาตและให้ความร่วมมือด้วยดี เพราะคุณตาก็เป็นผู้มีศรัทธา
    ในพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว เมื่อจูฬปันถกได้รับการอุปสมบทเรียบร้อยแล้ว ท่านพระมหาปันถก
    ผู้เป็นพี่ชายได้สอนคาถาพรรณนาพุทธคุณหนึ่งคาถา ความว่า...
    ปทุมํ ยถา โกกนุทํ สุคนฺธํ
    ปาโต สิยา ผุลฺลมวีตคนฺธํ
    องฺคีรสํ ปสฺส วิโรจมานํ
    ตปนุตมาทิจฺจมิวนฺตลฺเข ฯ
    “ดอกปทุมชาติที่ชื่อว่าโกกนุท ขยายกลีบแย้มบานตั้งแต่เวลารุ่งอรุณยามเช้า กลิ่นเกษร
    หอมระเหยไม่รู้จบเธอจงพินิจดูพระสักยมุนีอังคีรส ผู้มีพระรัศมีแผ่ไพโรจน์อยู่ ดุจดวงทิวากร
    ส่องสว่างอยู่กลางนภากาศ ฉะนั้น”
    ปัญญาทึบพี่ชายไล่สึก
    ด้วยคาถาเพียงคาถาเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าพระจูฬปันถก เรียนอยู่นานถึง ๔ เดือนก็ยังจำ
    ไม่ได้ ท่านพระมหาปันถกพี่ชาย พยายามเคี่ยวเข็ญอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดก็เห็นว่าท่านเป็น
    คนโง่เขล่าปัญญาทึบ เป็นคนอาภัพในพระพุทธศาสนา ไม่สามารถจะบรรลุคุณพิเศษเจริญรุ่ง
    เรืองในพระศาสนาได้ จึงตำหนิประณามท่านแล้วขับไล่ออกจากสำนักไป ด้วยคำว่า
    “จูฬปันถก เธอใช้เวลาถึง ๔ เดือน ยังไม่อาจเรียนคาถาแม้เพียงบาทเดียวได้ นับว่าเธอ
    เป็นคนอาภัพ ไม่สมควรอยู่ในพระศาสนานี้ เพียงคาถาเดียวยังเรียนไม่ได้แล้วจะทำกิจแห่ง
    บรรพชิตให้ถึงที่สุดได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจงออกไปเสียจากที่นี้เถิด”
    ในวันนั้น หมอชีวกโกมารภัจ ได้กราบอาราธนาพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
    ๕๐๐ รูป ไปเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้นในฐานะที่พระมหาปันถก ผู้มีหน้าที่
    เป็นภัตตุทเทศก์ ได้จัดนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ ทั้งหมดในพระอาราม ในฉันภัตราหารที่บ้านของ
    หมอชีวกโกมารภัจ นั้น เว้นเฉพาะพระจูฬปันถก เพียงรูปเดียวเหลือไว้ในพระอารา,
    พระจูฬปันถก เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตและวาสนาของตนเอง คิดว่าตนเองเป็น
    อาภัพบุคคลในพระพุทธศาสนา ไม่สามารถที่จะบรรลุโลกุตรธรรมได้ จึงตัดสินใจที่จะสึกออก
    ไห้เป็นฆราวาสแล้วทำบุญสร้างกุศลต่างๆ ตามควรแก่ฐานะ จึงได้หลบออกจากวัดตั้งแต่เช้าตรู่
    ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ ได้ทอดพระเนตรเห็นเธอเดินมาจึงตรัสถามว่า:-
    “จูฬปันถก นั้นเธอจะไปไหนแต่เช้าตรู่เช่นนี้ ?”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระมหาปันถกได้ขับไล่ข้าพระพุทธเจ้าออกจากอาราม ดังนั้น
    ข้าพระพุทธเจ้าจะไปลาสิกขา พระเจ้าข้า”
    “จูฬปัถก เธอมิได้บวชเพื่อที่ชาย เธอบวชเพื่อตถาคตต่างหาก เมื่อพี่ชายขับไล่เธอ เหตุ
    ไฉนเธอจึงไม่มาหาตถาคต การกลับไปอยู่ครองเรือนจะมีประโยชน์อะไร มาอยู่กับตถาคตจะ
    ประเสริฐกว่า”
    พระบรมศาสดา พาเธอไปที่พระคันธกุฏี ประทานผ้าขาวบริสุทธิ์ผืนเล็ก ๆ ให้เธอผืน
    หนึ่ง แล้วทรงแนะนำให้เธอบริกรรมด้วยคาถาว่า รโชหรณํ รโชหรณํ พร้อมกับใช้มือลูบคลำผ้า
    ผืนนั้นไปด้วย เธอรับผ้ามาด้วยความเอิบอิ่มใจ แสวงหาที่สงบสงัดแล้วเริ่มปฏิบัติบริกรรมคาถา
    ลูบคลำผ้าที่พระพุทธองค์ประทานให้เธอบริกรรมได้ไม่นาน ผ้าขาวที่สะอาดบริสุทธิ์ผืนนั้น ก็
    เริ่มมีสีคล้ำเศร้าหมองเหมือนผ้าเช็ดมือ จึงคิดขึ้นว่า “ผ้าผืนนี้เดิมทีมีสีขาวบริสุทธิ์ แต่อาศัยการ
    ถูกต้องสัมผัสกับอัตภาพของเรา จึงกลายเป็นผ้าสกปรก เศร้าหมอง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
    หนอ” แล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐานยกผ้าผืนนั้นขึ้นเปรียบเทียบกับอัตตภาพร่างกายเป็นอารมณ์
    ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ คือปัญญาอันแตกฉานมี ๔ ประการคือ
    ๑. อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ
    ๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม
    ๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติคือภาษา
    ๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ
    ครั้งรุ่งเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ เสด็จไปยังเรือนของ
    หมอชีวกโกมารภัจ เพื่อเสวยภัตตาหารตามที่หมอชีวกกราบอาราธนาไว้ เมื่อหมอชีวกน้อมนำ
    ภัตตาหารเข้าไปถวายพระบรมศาสดา พระองค์ทรงปิดบาตรแล้วตรัสว่า “ยังมีพระภิกษุอีกรูป
    หนึ่ง อยู่ที่วัด” หมอชีวกจึงส่งคนไปนิมนต์ให้ท่านมาฉันภัตตาหาร


    ประกาศความเป็นอรหันต์
    ขณะนั้น พระจูฬปันถก เพื่อจะประกาศความเป็นพระอรหันต์ของตน ให้ปรากฏ จึงได้
    เนรมิตพระภิกษุขึ้นถึงจำนวน ๑,๐๐๐ รูป ในพระอารามอยู่ในอิริยาบถต่าง ๆ กัน บ้างก็สาธยาย
    พุทธคุณ บ้างก็ซักจีวร บ้างก็ย้อมจีวร เป็นต้น เมื่อคนรับใช้มาถึงวัดได้เห็นพระภิกษุจำนวนมาก
    มายอย่างนั้น จึงรีบกลับไปแจ้งแก่หมอชีวก พระพุทธองค์ทรงสดับอยู่ด้วย จึงรับสั่งให้คนใช้นั้น
    ไปนิมนต์ท่านที่ชื่อจูฬปันถก
    คนรับใช้ไปกราบนิมนต์ตามพระดำรัสนั้น ด้วยคำว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า พระบรมศาสดา
    รับสั่งให้มานิมนต์พระจูฬปันถก ขอรับ” ปรากฏว่าพระภิกษุทุกรูปต่างก็พูดเหมือนกันว่า
    “อาตมา ชื่อพระจูฬปันถก” คนรับใช้ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงต้องกลับไปกราบทูลพระบรมศาสดา
    ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีก พระพุทธองค์ ตรัสแนะว่า:-
    “ถ้าพระภิกษุรูปใดพูดขึ้นก่อน เธอจงจับมือภิกษุรูปนั้นไว้แล้วนำท่านมา ส่วนพระภิกษุ
    ที่เหลือก็จะหายไปเอง”
    คนรับใช้ ปฏิบัติตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแนะนำนั้นแล้ว ได้นำพระจูฬปันถก สู่ที่
    นิมนต์ เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว พระบรมศาสดาทรงมอบให้ท่านเป็นผู้กล่าวภัตตานุโมทนา อันเป็น
    การเสริมศรัทธาแก่ทายกทายิกา


    บุพกรรมของพระจูฬปันถก
    ในอดีตกาล ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ พระจูฬปันถก ได้บวชเป็นพระภิกษุ
    ในครั้งนั้นด้วย ท่านเป็นผู้มีปัญญาดี จำทรงหลักธรรมคำสอนได้เร็วแม่นยำ ท่านเห็นเพื่อนภิกษุ
    รูปหนึ่ง ซึ่งปัญญาทึบท่องสาธยายหัวข้อธรรมเพียงบทเดียวก็จำไม่ได้ จึงหัวเราะเยาะท่าน ทำให้
    ภิกษุรูปนั้นเกิดความอับอายเลิกเรียนสาธยายหัวข้อธรรมนั้น เพราะกรรมเก่าในครั้งนั้นจึงเป็นผล
    ติดตามให้ท่านมีปัญญาทึบโง่เขลาในอัตภาพนี้
    พระจูฬปันถก สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้เป็นกำลังช่วยกิจการพระศาสนาตามความ
    สามารถของท่านและโดยที่ท่านเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในมโนมยิทธิ พระบรมศาสดาจึงทรงยก
    ยองท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ
    ท่านดำรงอายุสังขาร สมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน




    ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.84000.org/one/1/35.html
    เครดิต พระจูฬปันถกเถระ เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2011

แชร์หน้านี้

Loading...