"จิตที่มีเมตตา ย่อมไม่มีภัย" ดังเรื่องราวของหลวงตาพวง สุขินทริโย..

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 23 พฤษภาคม 2007.

  1. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]
    ภาพภายในวัดถ้ำขาม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

    21. บุกเบิกถ้ำขามกับหลวงปู่ฝั้น
    ในปี พ.ศ. 2496 ขณะที่พระพวง สุขินทริโย มีพรรษาได้ 8 พรรษา ขณะอยู่กับหลวงปู่ฝั้นที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ หลวงปู่ฝั้นได้เล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่ท่านนั่งสมาธิท่านได้นิมิตเห็นสถานที่แห่งหนึ่งเป็นถ้ำ อยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาภูพาน ในถ้ำมี แสงสว่างไปทั่วทั้งถ้ำ มีลมพัดเย็นสบาย อากาศดี สงบวิเวกเหมาะกับการเจริญสมาธิเป็นยิ่งนัก

    [​IMG]
    ภาพภายในวัดถ้ำขาม ของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ,หลวงปู่เทกส์ เทสรังสี ,หลวงปู่เขี่ยม โสรยโย

    เมื่อออกพรรษา หลวงปู่ฝั้นพร้อมด้วยพระพวง สุขินทริโย พระสุพล และสามเณรสุวงค์ ได้เดินทางไปค้นหาถ้ำดังกล่าวตามนิมิตของหลวงปู่ฝั้น โดยทางไปปักกลดอยู่ใกล้ๆหมู่บ้านเชิงเขาภูพานประมาณครึ่งเดือนเพื่อสอบถามญาติโยมเกี่ยวกับถ้ำที่มีลักษณะดังกล่าว หลังจากการสอบถามก็พบว่ามีถ้ำที่มีลักษณะดังกล่าวอยู่บนเทือกเขาภูพาน ท่ามกลางป่ารกชัฏปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ หนทางไปสู่ถ้ำก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก

    [​IMG]
    เจดีย์บรรจุอัฐิธาตุอนุสรณ์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่บนถ้ำขาม
    ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    -----------------------------------------------
    เมื่อทราบตำแหน่งของถ้ำแล้วหลวงปู่ฝั้นได้ชักชวนชาวบ้านขึ้นไปบุกเบิก ซึ่งต้องเตรียมข้าวปลาอาหารเพื่อไปหุงหาและเตรียมค้างคืนในป่า เพราะระยะทางค่อนข้างไกล เวลาพลบค่ำชาวบ้านไม่กล้าเดินทางกลับกลัวเสือจะมาคาบไปกินระหว่างทาง
    บริเวณปากถ้ำมีต้นมะขามใหญ่เกิดขึ้น จึงเป็นที่มาของชื่อถ้ำแห่งนี้ว่า "ถ้ำขาม" หลวงตาพวงเล่าให้ฟังถึงการไปบุกเบิกถ้ำขามในช่วงแรกนั้นว่า "ตอนไปบุกเบิกครั้งแรกมีพระเณรไปด้วยกัน 4 รูป บริเวณนั้นเป็นบริเวณที่ทุรกันดารมาก มีหมู่บ้านห่างจากถ้ำประมาณ 5-6 กิโลเมตร ช่วงแรกๆก็ต้องอาศัยน้ำจากบ่อของชาวบ้านที่มาทำไร่พริกบนเขา ห่างจากถ้ำขามประมาณ 1 กิโลเมตร ต้องตัดกระบอกไม้ไผ่แล้วทะลุปล้อง ยาว 2-3 ปล้องทำเป็นกระบอกน้ำ สะพายหลังปีนลงเขาไปตักน้ำทุกวัน ใช้กระป๋องน้ำไม่ได้เพราะน้ำจะหกหมด เวลาสรงน้ำก็ต้องลงเขาไปที่บ่อน้ำดังกล่าว เวลาบิณฑบาตก็ต้องลงไปบิณฑบาตถึงเชิงเขา ต้องบุกป่าฝ่าดงลงไป ชาวบ้านจะส่งตัวแทนผลัดกันมาใส่บาตรบริเวณเชิงเขา ชาวบ้านส่วนใหญ่มีฐานะยากจนส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่พริก แต่ชาวบ้านมีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนายิ่งนัก ในวันพระ ชาวบ้านจะขึ้นไปที่ถ้ำขามเพื่อทำอาหารถวายและปฏิบัติธรรมอยู่บนถ้ำ"
    หลวงตาเล่าให้ฟังต่อว่า"เมื่อไปถึงครั้งแรก ก็ไปสร้างกุฏิชั่วคราวขึ้น โดยใช้ไม้ไผ่ ไม้ไร่แถว ๆ นั้น มาทำเป็นแคร่ บางส่วนก็ทำเป็นฝากันฝน ในช่วงหน้าแล้งถัดมาก็ได้ร่วมกับชาวบ้านช่วยกันสร้างศาลาและเสนาสนะต่าง ๆ ทำให้สะดวกสบายมากขึ้น ต่อมาก็สะกัดหินเป็นบ่อเก็บน้ำ ทำถังปูนไว้เก็บน้ำฝน ความเป็นอยู่ต่างๆก็ดีขึ้นเป็นลำดับ"
    ศาลาใหญ่ที่สร้างขึ้นที่ถ้ำขามแห่งนี้ นับได้ว่าเป็นของที่พิสดารอย่างหนึ่ง ทั้งในแง่สถาปัตยกรรมและความศรัทธา กล่าวคือ ศาลาแห่งนี้กว้าง 10 เมตร ยาวประมาณ 20 เมตร ตั้งอยู่บนไหล่เขา ซึ่งมีโขดหินสูงบ้างต่ำบ้างต่างระดับกันไป เสาและต้นไม้ต่าง ๆ หลวงปู่ฝั้นเป็นผู้กะความยาวให้ตัด เสาแต่ละต้นมีขนาดความยาวไม่เท่ากัน พอทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ยกเสาขึ้นตั้งโดยไม่ได้ฝังเสาลงไปในดินหรือก้อนหินเลย เมื่อเอาคานติดเข้าไป โครงสร้างก็ไม่คลอนแคลน ไม้ต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ก็เหมาะลงตัว ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งอีกเลย เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก
    ศาลาทั้งหลังทำเสร็จด้วยความรวดเร็ว ศาลาหลังนี้ได้ใช้งานอยู่จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2518 หลวงปู่ฝั้นได้เปลี่ยนให้เป็นศาลาคอนกรีตทั้งหลัง สร้างเสร็จเรียบร้อยรวดเร็วด้วยความศรัทธาของญาติโยม
    การบุกเบิกถ้ำขามครั้งนั้น พระพวง สุขินทริโย เป็นผู้ได้รับความไว้วางใจจากหลวงปู่ฝั้นให้ช่วยพัฒนาสถานที่แห่งนี้จนสวยงาม เหมาะสำหรับเป็นสถานที่สัปปายะสำหรับผู้ที่แสวงหาความสงบในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2008
  2. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    22. หลวงตาพวง ผจญฝูงควาย ที่จันทบุรี
    ในช่วงที่ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ได้มรณภาพลงนั้น พระพวง สุขินทริโย กับคณะก็ได้เดินทางไปคารวะศพท่านพ่อลีที่จังหวัดสมุทรปราการ หลังจากคารวะศพแล้วคณะก็ชวนพระพวงไปธุดงค์แถวจังหวัดจันทบุรี เพราะได้ข่าวว่าแถบจังหวัดจันทบุรี มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเดินธุดงค์เพื่อหาสถานที่ในการทำความเพียร
    [​IMG]
    ท่านพ่อลี ธัมธโร วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ (ศิษย์หลวงปู่มั่น)

    ประกอบกับทางแถบจังหวัดจันทบุรี มีพระภิกษุที่เคยจำพรรษาอยู่ด้วยกันสมัยอยู่กับหลวงปู่ฝั้นหลายองค์ พระพวงคิดอยากจะไปเยี่ยมเพื่อน จึงได้ออกเดินทางไปจังหวัดจันทบุรีพร้อมกับคณะ
    หลวงตาพวงเล่าให้ฟังว่า "เมื่อไปถึงจันทบุรีก็ไปพักที่วัดป่าคลองกุ้ง อยู่หลายวัน หลังจากนั้นก็ออกเดินทางต่อไปเพื่อไปเยี่ยมพระอาจารย์ถวิล ซึ่งเคยจำพรรษาร่วมกันสมัยอยู่วัดป่าภูธรพิทักษ์ ท่านอยู่ที่วัดยางระหงษ์ ก็เลยพาคณะที่เดินทางมาด้วยกันไปเยี่ยมพระอาจารย์ถวิล พักอยู่ที่นั่น 15 วัน พระอาจารย์ถวิลได้พาไปดูวัดเขาสุกิม ขณะนั้นพระอาจารย์สมชายเพิ่งจะไปบุกเบิกได้ใหม่ ๆ ยังเป็นกระท่อมเล็ก ๆ ยังไม่ได้สร้างเป็นถาวรวัตถุเช่นทุกวันนี้

    [​IMG]
    วัดเขาสุกิม อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี (ภาพหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ) ศิษย์หลวงปู่มั่น
    ต่อจากนั้นได้ทางไปเยี่ยมพระอีกรูปที่วัดเขาน้อย มีพระติดตามไปด้วย 3 รูป ลูกศิษย์ถือปัจจัยอีก 1 คน เดินทางโดยรถโดยสารแล้วก็ลงเดินทางด้วยเท้าต่อ ระหว่างทางก็พบกับชาวบ้านที่กำลังจะไปเก็บผลไม้ที่สวนใกล้ ๆ วัดเขาน้อย ชาวบ้านได้อาสานำอัฐบริขารล่วงหน้าไปวัดให้ก่อน เพราะตนเองมีรถมอเตอร์ไซร์ พระพวงและคณะมิได้ขัดศรัทธา ให้ชาวบ้านนำอัฐบริขารล่วงหน้าไปก่อนเหลือแต่ย่ามสะพาย
    พอเดินทางไปถึงทางแยกทางไปวัดเขาน้อย บริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณทุ่งนาโล่งๆราว ๆ 4-5 เส้น ข้างหน้าก็เป็นป่าสวนยางโล่ง ๆ ไม่ทราบว่ามีควายมานอนอยู่บริเวณดังกล่าวตั้งแต่เมื่อใด พอควายเห็นพระเดินมาหลายรูป มีจีวรสีสะดุดตาจึงวิ่งรี่เข้าใส่ บรรดาพระและลูกศิษย์ที่มาด้วยเห็นดังนั้นจึงออกวิ่งนำหน้าพระพวงในทันที
    หลวงตาเล่าให้ฟังว่า "หลวงตาวิ่งไปได้ 2-3 ก้าว ก็คิดได้ทันทีว่า ถ้าวิ่งก็ตายเดี๋ยวนี้ เลยหันหลังกลับ มือล้วงไปในย่าม มีผ้าปูนั่งในย่าม เอามาแกว่งเป็นวงกลม ควายเห็นก็หยุดไม่มาทำอะไร หลวงตาก็ตกประหม่าขาสั่นยิก ๆ ควายเองก็มีอารมณ์โกรธ มีลมพ่นออกจากจมูก ฟึด ฟัด ฟึด ฟัด ตลอดเวลา เป็นอยู่อย่างนี้ประมาณ 10 นาที ควายจึงเดินหันหลังกลับไปทุ่งนา"
    สาเหตุที่หลวงตารอดพ้นจากภัยครั้งนั้นมาได้ หลวงตาเล่าให้ฟังต่อว่า "เพราะอะไรที่รอดมาได้ ก็เพราะเราไม่มีกรรมไม่มีเวร เรามีเมตตาสัตว์ ไม่เคยทำร้ายสัตว์ ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่เคยเป็นกรรมเป็นเวรซึ่งกันและกัน เราแผ่เมตตา มีเมตตาธรรม เป็นเกราะไม่ให้ควายมาชน เรียกอีกอย่างว่า พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม มีพระธรรมเป็นเกราะป้องกัน จิตใจของเขาก็อ่อน ไม่สามารถมาทำร้ายเราได้"
    "หากดูจากประวัติของครูบาอาจารย์องค์อื่น ๆ เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ เดินธุดงค์ไปพบช้าง พบเสือในป่า ท่านเหล่านั้นก็ไม่มีอาวุธอะไรที่จะใช้ต่อสู้ ท่านมีแต่เมตตา ใช้อำนาจของเมตตาทำให้สัตว์ไม่ทำร้าย ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เพราะอำนาจของเมตตา ทำให้สัตว์ไม่ทำร้ายเราได้"
    หลวงตาเล่าให้ฟังว่า "เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ไม่เคยลืม พระที่ติดตามไปด้วยก็พูดให้ฟังว่า ถ้าหากหลวงตาพวงไม่มาด้วย พวกกระผมคงตายไปแล้ว เพราะถ้าวิ่งหนี วิ่งไปไม่เท่าไหร่ควายก็วิ่งทัน ครั้งนี้เพราะหลวงตาเอาใจสู้ จึงรอดมาได้"
    หลวงตายังพูดถึงหลวงปู่แหวน ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ ก็มีบรรดาลูกศิษย์ที่เป็นทหารเข้าไปกราบนมัสการ แล้วก็ขอเหรียญ "เราสู้" ของหลวงปู่แหวน ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมาก หลวงปู่แหวนท่านให้ธรรมว่า เราสู้ นั้นหมายถึง เราสู้กิเลสตัณหา ความทุกข์ ความอยาก
    กรณีควายไล่ในครั้งนี้ หลวงตาไม่มีศัตราวุธเลย มีแต่ศีลธรรมและเมตตาธรรมที่คอยสู้และสามารถเอาชนะควายเกเรได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2008
  3. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    23 กลับบ้านศรีฐาน
    ในช่วงที่จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ฝั้น ในพรรษาที่ 7. ขณะที่อยู่ที่ถ้ำขามได้ทราบข่าวจากบ้านศรีฐานว่าโยมบิดาป่วยหนักและเสียชีวิตลง แต่กว่าโทรเลขจะเดินทางไปถึงเวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 1 สัปดาห์ พระพวงจึงได้กราบลาหลวงปู่ฝั้นกลับบ้านศรีฐานเพื่อบำเพ็ญกุศลให้โยมบิดา เมื่อกลับถึงบ้านศรีฐานพระพวงได้อยู่ดูแลจัดงานศพของโยมบิดาจนเรียบร้อย
    ระหว่างนั้นเองพระอาจารย์บุญช่วย เจ้าอาวาสวัดบ้านศรีฐานในกำลังบูรณะอุโบสถที่วัดอยู่ ด้วยความกตัญญูรู้คุณที่ท่านได้เคยสั่งสอนอบรมมา พระพวงจึงอยู่ช่วยงานพระอาจารย์บุญช่วย เพื่อจะได้บูรณะอุโบสถให้แล้วเสร็จ
    หลังจากที่อยู่ช่วยบูรณะอุโบสถได้ประมาณหนึ่งเดือน พระอาจารย์บุญช่วยอาพาธด้วยโรคชรา พระพวงก็ได้อยู่ดูแลท่าน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ทรุดกับทรุด จนกระทั่งมรณภาพในอีกหนึ่งเดือนต่อมา วัดบ้านศรีฐานในขาดพระผู้ใหญ่ที่เป็นที่พึ่งของญาติโยม อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ชาวบ้านทั้งหลายจึงได้พร้อมใจกันนิมนต์ให้พระพวงอยู่จำพรรษาต่อไป
    [​IMG]
    หลวงตาพวง ท่านพาพระออกรับบิณฑบาตร ในตอนเช้า

    หลวงตาพวงเล่าให้ฟังว่า "ได้พิจารณาแล้วว่าญาติโยมทั้งหลายไม่มีที่พึ่งเพราะไม่มีพระผู้ใหญ่อยู่จำพรรษาเลย ก็เลยตัดสินใจจำพรรษาที่วัดบ้านศรีฐานในเวลาต่อมา"


    "ในช่วงใกล้ ๆ เข้าพรรษาในปีนั้น ก็ได้กลับไปลาหลวงปู่ฝั้นที่สกลนคร จริง ๆ แล้วหลวงปู่ฝั้นท่านก็ไม่อยากให้มา เพราะหลวงตาเป็นกำลังสำคัญในการรับภาระหน้าที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะการก่อสร้างวัดถ้ำขาม ซึ่งขณะนั้นกำลังเกณฑ์สามเณรและชาวบ้านช่วยกันสร้าง จึงจำเป็นต้องมีคนคอยดูแล"
    "แต่ด้วยจำเป็นหลวงปู่ฝั้นก็ได้อนุญาตให้กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านศรีฐานใน ตามความประสงค์" นับจากนั้นหลวงตาพวงได้จำพรรษาอยู่ที่จังหวัดยโสธรตลอดมา
    ช่วงเวลากว่า 10 พรรษา ที่พระพวงได้พัฒนาวัดบ้านศรีฐานในให้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้าน จนกระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูฐานานุกรม ที่ราชทินนาม (พระครูใบฎีกา พวง สุขินทริโย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2008
  4. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    24 สร้างเจดีย์หลวงปู่ฟ้ามืด
    รายละเอียดในช่วงนี้เช่นเดียวกับที่หลวงตาบันทึกไว้ในส่วนที่ 2
    25 ไปอยู่วัดศรีธรรมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร
    ในพรรษาที่ 21 ของท่านประมาณพ.ศ.2511 เนื่องจากวัดศรีธรรมาราม อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี เจ้าอาวาสองค์เดิมมรณภาพลง ไม่มีผู้ใดดำรงตำแหน่ง คณะสงฆ์จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วยฆราวาสชาวอำเภอยโสธรนำโดยพระเทพกวี (นัด เสนโก) เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีในขณะนั้น ได้ไปอารธนานิมนต์พระอาจารย์พวงมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีธรรมาราม พระอาจารย์พวงท่านได้พิจารณาเห็นว่าวัดศรีธรรมารามเป็นวัดสำคัญของอำเภอยโสธร จำเป็นต้องมีพระผู้ใหญ่เป็นหลักให้กับพระเณรและญาติโยมจึงได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดศรีธรรมาราม อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี พร้อมทั้งได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลยโสธรดูแลคระสงฆ์อีกตำแหน่งหนึ่ง
    วัดศรีธรรมารามตามคำจารึกจากแผ่นทองคำที่ขุดได้มีชื่อว่า วัดธรรมหายโศรก บ้างก็เรียก วัดท่าชี วัดท่าแขก วัดนอก วัดสร่างโศรก สร้างขึ้น พ.ศ. 2461 โดยพระสุนทรราชวงศาเจ้าเมืองขณะนั้นเป็นผู้สร้าง ได้เปลี่ยนชื่ออีกหลายครั้ง จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นวัดศรีธรรมาราม จนกระทั่งปัจจุบัน
    หลังจากที่ได้รับนิมนต์ไปอยู่ที่วัดศรีธรรมาราม อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร หลวงตาเล่าให้ฟังว่า "เมื่อไปถึงทีแรกชาวเมืองยโสธรใส่บาตรพระเณรเพียงแต่ข้าวเปล่า ๆ ประมาณสองปั้นหรือสองกำมือ หลวงตาได้พิจารณาเห็นว่าเป็นเพราะเจ้าอาวาสหรือพระผู้ใหญ่ไม่ได้บิณฑบาต ชาวบ้านจึงขาดศรัทธา จึงมีผู้สนใจในการทำบุญน้อย หลวงตาจึงออกบิณฑบาตด้วยตนเอง มิได้ขาด ถึงแม้ฝนจะตกก็ออกบิณฑบาตเป็นปกติ แม้ในวันพระ วัดต่าง ๆ ไม่ออกบิณฑบาต หลวงตาก็ยังคงพาพระเณรออกบิณฑบาตโปรดญาติโยมเป็นปกติ โดยไม่เลือกว่าเป็นวัดใด ถึงฝนจะตกแดดจะออกหลวงตาก็ยังไป จวบถึงวันนี้แม้อายุของท่านจะล่วงเลยเข้าสู่ปีที่ 75 ท่านก็ยังออกบิณฑบาตทุกวันมิได้ขาด ชาวเมืองยโสธรจะเห็นภาพที่คุ้นเคยของหลวงตาออกบิณฑบาตทุก ๆ เช้าเป็นประจำทุก ๆ วัน มิได้ขาด ชาวเมืองยโสธรก็มีศรัทธาใส่บาตรมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปัจจุบันวันหนึ่ง ๆ ต้องเทบาตรออกถึง 4 ถึง 5 ครั้ง
    ด้วยอานิสงค์ของการบิณฑบาตมิได้ขาด เมื่อได้อาหารมาก็นำมาเลี้ยงพระ เลี้ยงเณร เด็กเล็ก ตลอดจนชาวบ้านที่มีความลำบากก็ได้อานิสงค์จากข้าวก้นบาตรของหลวงตากันถ้วนหน้า หลวงตาพวงท่านเปรียบเทียบการให้ผู้อื่น หรือการให้ทานก็เหมือนกันสายน้ำที่มีไหลออกไปตลอดเวลา หล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินให้ชุ่มเย็น เมื่อมีน้ำไหลออกก็ย่อมมีน้ำไหลเข้าเป็นธรรมดา เช่นเดียวกับการให้ทานยิ่งให้ก็ยิ่งได้ เฉกเช่นกับหลวงตาที่บิณฑบาตทุกวันก็สามารถเผื่อแผ่ถึงพระเณร ญาติโยม หากไม่รู้จักให้หรือทำทานก็เปรียบได้กับน้ำบ่อที่มีจำนวนจำกัด มีแต่จะแห้งขอดและเน่าเสียต่อไปในไม่ช้า หลวงตาได้ถือปฏิบัติการบิณฑบาตตลอดมาตั้งแต่อยู่ปฏิบัติกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์จวบจนกระทั่งปัจจุบัน
    นอกจากนั้นหลวงตายังมีอุบายพัฒนาจิตใจชาวเมืองยโสธรเพื่อให้เกิดความเลื่อมในศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยทางหากวัดทางสายปฏิบัติของหลวงปู่มั่น เช่นหลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ชอบ ที่ใดจัดงาน หลวงตาก็จะชวนญาติโยมไปร่วมงานไม่ว่าไกลหรือใกล้ก็จะไป ด้วยเหตุดังกล่าวชาวเมืองยโสธรจึงเกิดความเลื่อมในศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้นเรื่อย ๆ ชาวบ้านก็เข้าวัดทำบุญมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นในจังหวัดยโสธร นี่เป็นกุศโลบายการพัฒนาจิตใจที่แยบยลยิ่งนัก หลวงตาพวงมีความวิริยะอุสาหะอย่างในการพัฒนาจิตใจ จนได้รับรางวัลผู้ทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา คือ ธรรมจักรทองคำ ในด้านเผยแผ่พระศาสนาจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในปี พ.ศ. 2537
    อีกทั้งหลวงตาพวงยังได้นำความเจริญมาสู่ศรีธรรมาราม จากเดิมมีที่ดินเพียง 3 ไร่ ปัจจุบันมีที่ดินกว่า 100 ไร่ ได้ก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆมากมาย อาทิ สร้างหอไตร กุฏิพระสงฆ์จำนวน 33 หลัง ถนนคอนกรีตภายในวัด บูรณะพระอุโบสถ บูรณะศาลาการเปรียญ บูรณะหอไตร เป็นต้น จนได้รับยกย่องให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างในปี พ.ศ. 2528 และยกฐานะเป็นวัดอารามหลวงในปี พ.ศ. 2532
    26 สร้างวัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม
    เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 หลวงตาพวงได้กลับมาบ้านศรีฐาน บ้านเกิดของท่าน ได้ดำริที่จะสร้างวัดที่บ้านนิคม ต.กระจาย อ.ป่าติ้วเพื่อให้ชาวบ้านได้พึ่งพิง
    เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542 ท่านได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดป่าใหม่นิคมพัฒนารามแห่งนี้ จากเดิมมีที่เพียงป่าช้าบ้านนิคมที่รกร้างมานานเพียง 10 ไร่ ปัจจุบันสามารถขยายออกไปได้กว่า 80 ไร่ ด้วยบารมีของท่าน ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ก็ติดตามมาที่วัดป่าใหม่นิคมพัฒนารามเพื่อช่วยท่านพัฒนาวัดแห่งนี้ ได้เงินเพื่อใช้ในการสร้างวัดกว่า 7 ล้านบาท ท่านพาชาวบ้านตัดถนน ต่อไฟฟ้า นำความเจริญมาสู่มาตภูมิของท่านเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังพาชาวบ้านเข้าวัดทำบุญ ปฏิบัติธรรม พัฒนาจิตใจให้มีความสงบร่มเย็น เป็นที่พึ่งของชาวบ้านแถบนั้น
    ถึงแม้ว่าท่านจะดำรงสมณศักดิ์ถึงระดับท่านเจ้าคุณพระราชธรรมสุธี รองเจ้าคณะภาค 10 (ธ) อายุของท่านกว่า 75 ปีแล้ว ท่านก็ยังพาพระเณรในวัดบิณฑบาตทุกเช้าเป็นประจำทุกวัน อีกทั้งยังดูแลความเรียบร้อยภายในวัด ดูแลการก่อสร้างต่างๆ ด้วยตัวของท่านเองมิได้ขาด ท่านเป็นพระเถรานุเถระผู้ใหญ่ที่ทำงานหนักโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเป็นแบบอย่างที่ดีกับพระเณรรุ่นต่อๆมาเป็นอย่างดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2008
  5. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]

    27 ฝ้ายเจ็ดสีและวัตถุมงคล
    นอกจากปฏิปทาและจริยวัตรอันงดงามของหลวงตาพวงและการถือปฏิบัติตามแนวทางสายพระป่าของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น อันที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปแล้ว ยังมีฝ้ายเจ็ดสีและวัตถุมงคลของหลวงตาอีกอย่าง ที่เป็นที่ศรัทธาและรู้จักของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป มิใช่เพียงแต่ชาวยโสธรเท่านั้น ชื่อเสียงของฝ้ายเจ็ดสีและวัตถุมงคลของหลวงตาขจรกระจายไปทั่วทุกสารทิศ มีญาติโยมหลั่งไหลมามิได้ขาด
    ความเป็นมาของฝ้าย 7 สีซึ่งคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวนั้นมีความเป็นมาตั้งแต่ 6-7 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านในตำบลสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร ประกอบด้วยหมู่บ้านสิงห์ หมู่บ้านหนองขอน หมู่บ้านหนองเยอ หมู่บ้านนาสีนวล มีผีปอบ (หมายถึงบุคคลที่มีวิชาคาถาอาคม แต่ไม่ปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม แล้วเกิดร้อนวิชา) มารังควาน ชาวบ้านไม่มีที่พึ่ง จึงพากันมาหาหลวงตาพวง โดยชาวบ้านไปซื้อด้ายสายสิญจน์ จากตัวเมืองยโสธรเพื่อให้หลวงตาแผ่เมตตาให้ แล้วนำไปผูกข้อมือบ้าง ผูกคอบ้าง ผูกตามบ้านเรือนบ้าง ชาวบ้านชุดแรก ๆ ที่ได้ไป ร่ำลือกันว่าสามารถป้องกันผีปอบได้ ต่อมาเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปก็มีญาติโยมมาขอเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
    ไม่นานนักชาวบ้านในตำบลสิงห์ เกือบทุกบ้านได้สายสิญจน์จากหลวงตาพวง ไป ผลที่สุดคนที่ถูกหาว่าเป็นปอบก็เสียชีวิต หลังจากนั้นมาก็ไม่มีผีปอบมารบกวนชาวบ้านอีกเลย เมื่อข่าวสะพัดออกไปอีก ชาวบ้านหมู่บ้านและตำบลอื่นๆก็เริ่มหลั่งไหลมาขอฝ้ายเจ็ดสีกันมิได้ขาด บางคนก็ขอให้ผูกข้อมือให้ ซึ่งการผูกข้อมือแต่ละคนต้องเสียเวลามาก ถ้าหากมีญาติมาพร้อมกันมาก ๆ ก็ยิ่งเสียเวลานาน เพราะหากคนหนึ่งได้รับการผูกข้อมือจากหลวงตาแล้ว คนอื่น ๆ ก็อยากได้บ้าง ด้วยเหตุนี้ลูกศิษย์ของท่านจึงเห็นว่าการผูกด้ายสายสิญจน์เสียเวลานาน จึงได้นำเชือกไนลอนที่มีเจ็ดสีมาถวาย เพราะไนลอนเจ็ดสีนั้นสามารถทำเป็นวง ๆ สำเร็จรูปไว้ก่อน เมื่อญาติโยมมาขอก็แจกได้เลยโดยไม่เสียเวลา
    สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ฝ้ายเจ็ดสีเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปก็เพราะเหตุว่ามีชาวบ้านคนหนึ่งป่วยหนัก เป็นมะเร็งในระยะสุดท้าย ใกล้จะเสียชีวิตเต็มที ญาติได้มาขอฝ้ายเจ็ดสีจากหลวงตาไปผูกข้อมือเพื่อเป็นสิริมงคล แต่หลังจากนั้นอีก 3 - 4 วันคนป่วยคนนั้นก็เสียชีวิต ญาติจึงได้นำศพไปบำเพ็ญกุศล และนำไปเผา ปรากฏว่าศพไม่ไหม้ แม้ว่าจะใช้เวลาเผานานพอสมควรโดยใช้ถ่านถึงสองกระสอบแล้ว ศพก็เพียงแต่ดำเป็นตอตะโก ญาติของผู้ตายไม่ทราบจะทำอย่างไร นึกได้ว่าก่อนเผา ลืมถอดฝ้ายเจ็ดสีจากข้อมือศพ จึงได้มานิมนต์ หลวงตาพวงไปเผา หลวงตาก็รับนิมนต์ไปเผาให้ และให้นำถ่านมาอีกหนึ่งกระสอบ หลวงตาบอกว่า "ถ้าเผาไม่ไหม้เมื่อถ่านหมดกระสอบนี้แล้ว ก็ให้นำศพไปลอยแม่น้ำชีให้ปลากิน" แต่ทว่าในที่สุดศพก็ไหม้เป็นที่เรียบร้อย
    ญาติของผู้ตายเลยนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเขียนลงในหนังสือพิมพ์ ว่าฝ้ายเจ็ดสีของหลวงตาพวงยิงไม่เข้า เผาไม่ไหม้ เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปก็มีญาติโยมมาขอฝ้ายเจ็ดสีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่มีปัจจัยเพียงพอในการซื้อฝ้ายเจ็ดสีมาแจก
    ในที่สุดบรรดาลูกศิษย์จึงต้องขออนุญาตหลวงตานำฝ้ายเจ็ดสีไปจำหน่ายเพราะต้องการทุนมาทำต่อไปให้เกิดการหมุนเวียน จวบจนปัจจุบันฝ้ายเจ็ดสีที่ได้แจกจ่ายไปมีเป็นจำนวนมากเทียบได้กับจำนวนบรรทุกของรถสิบล้อ 2 - 3 คันในช่วงเวลา 6 - 7 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์อื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ผู้ได้รับฝ้ายเจ็ดสีประสบด้วยตนเองจนร่ำลือต่อ ๆ กันไปแต่มิได้บันทึกไว้ ณ ที่นี้
    ในส่วนของวัตถุมงคลอื่น ๆ นั้น ก็มีเหรียญรุ่นแรกสร้างขึ้นเมื่อปี 2513 ในวาระโอกาสฉลองพัดยศ ในครั้งนั้นท่านรับแต่งตั้งเป็นพระครูอมรวิสุทธิ์ ซึ่งมีประมาณ สองพันเหรียญเท่านั้น ส่วนเหรียญรุ่นที่สองสร้างในช่วงที่หลวงตาพวงกำลังบูรณะวัดศรีธรรมาราม ซึ่งต้องใช้ปัจจัยเป็นจำนวนมากในการว่าจ้างรถดินมาถมที่ลุ่มน้ำท่วมขังภายในวัด ส่วนรุ่นอื่น ๆ หลวงตาก็พิจารณาสร้างตามความจำเป็นเท่านั้น และทุก ๆ ครั้งที่พยายามสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องวัตถุมงคลหลวงตามักไม่ให้ความสำคัญและเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นเสมอ ๆ ในส่วนประวัติการสร้างวัตถุมงคลรุ่นอื่น ๆ ขณะนี้ลูกศิษย์ของท่านกำลังรวบรวมจัดพิมพ์อยู่ซึ่งแต่ละรุ่นที่สร้างก็มีที่มาและเหตุผลต่าง ๆ กันไปตามเหตุและปัจจัย
    ผู้เขียนทราบอยู่เพียงรุ่นเดียวที่ท่านดำริให้ทำเอง คือเหรียญรูปไข่รุ่นที่ทำไปแจกญาติโยมในพิธีพุทธาภิเษกพระประธาน วัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร ในเดือนเมษายน พ.ศ.2543 จำนวน ห้าพันเหรียญ ซึ่งแจกให้กับผู้ร่วมพิธีหมดในวันนั้นนั่นเอง
     
  6. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]
    28 หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ กล่าวถึง หลวงตาพวง
    ชื่อเสียงของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ แห่งวัดบ้านไร่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีของคนไทยทั่วประเทศเพราะด้วยปฏิปทาที่เรียบง่าย สมถะและเมตตาแก่ทุก ๆ คนที่ไปหา มิใช่แต่ชาวจังหวัดนครราชสีมาที่เลื่อมใสและศรัทธาท่าน ชาวยโสธรเองก็เช่นเดียวกันที่เลื่อมใสศรัทธาในวัตรปฏิบัติ และพากันไปกราบนมัสการหลวงพ่อคูณ เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมทั้งขอวัตถุมงคลเพื่อคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่าง ๆมิได้ขาด
    แต่ทุก ๆ ครั้งที่ชาวยโสธรไปกราบนมัสการหลวงพ่อคูณนั้น หากท่านทราบว่าเป็นชาวยโสธรแล้วท่านจะไม่ยอมให้วัตถุมงคล และบอกว่าให้กลับไปเอาที่ยโสธร ท่านมักจะพูดว่า "ที่ยโสธรมีคนเก่งกว่ากูอีก ผมหงอก ๆ ขาว ๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำชีนั่นแหละ"
    เมื่อสัมภาษณ์หลวงตาพวงถึงเรื่องนี้ ท่านก็เล่าให้ฟังว่า "ก็เคยได้ยินมาจากญาติโยมหลายสิบคนแล้ว ที่เล่าให้ฟังเหมือนกันว่าเมื่อชาวยโสธรไปกราบหลวงพ่อคูณ ท่านมักจะไล่กลับมาหาหลวงตา"
    "หลวงตาเองก็ไม่เคยได้พูดคุยกับหลวงพ่อคูณสักครั้งเดียว หลวงตาก็เคยไปวัดบ้านไร่มาสองครั้ง แต่ไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับท่านเพราะมีญาติโยมเป็นจำนวนมากจึงไม่มีโอกาสพูดคุยกัน หลวงพ่อคูณจะทราบได้อย่างไรก็ไม่ทราบหรืออาจเป็นเพราะมีลูกศิษย์เล่าให้ฟังถึงประวัติหลวงตากระมัง"
    29 เดินข้ามแม่น้ำชี
    มีเรื่องเล่าขานกันในหมู่ชาวบ้านแถบลำน้ำชีอันเป็นที่ตั้งของ วัดศรีธรรมารามซึ่งหลวงตาพวงเคยจำพรรษาอยู่ ฝั่งตรงข้ามของวันศรีธรรมารามเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเขตของอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ชาวบ้านเล่ากันว่ามีคนออกไปเก็บกับดักหนูที่ดักไว้ในช่วงเช้ามืดได้เห็นหลวงตาพวงออกเดินบิณฑบาตโดยเดินบนแม่น้ำชีจากวัดศรีธรรมารามไปบิณฑบาตในหมู่บ้านฝั่งอำเภอพนมไพร
    คุณสมจันทร์ โพธิศรี อยู่บ้านเลขที่ 68 บ้านกุดกุง (คุ้มหนองแสง) ต. เขื่อนคำ อ.เมือง จ. ยโสธร เล่าให้ฟังเป็นภาษาอิสานว่า "เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538- 2539 เช้าวันหนึ่งข่อยไปดักหนูป่าแมะ ได้เห็นหลวงตาพวงเพิ่นเดินข้ามแม่น้ำชีไปแมะ ข่อยนี้แหละเป็นผู้เห็นท่านเองเลย" (คัดจากหนังสือโลกทิพย์)
    เมื่อถามเรื่องนี้กับหลวงตา หลวงตาก็ตอบว่า "เป็นเรื่องของเขาเห็นปรากฏในสายตา หลวงตาไม่ค้าน ไม่ได้ปฏิเสธ เขาคงเห็นด้วยสายตาของเขา จะเล่าลืออย่างไร หลวงตาไม่ได้พูด ไม่ได้อวดอะไร" แล้วหลวงตาก็เปลี่ยนเรื่องพูดถึงเรื่องหมู่บ้านในฝั่งอำเภอพนมไพรว่า "หลวงตาก็รับนิมนต์ไปสวดหรือไม่ก็ฉันที่หมู่บ้านฝั่งนี้เป็นประจำทุกวันออกพรรษาชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ก็พากันมามอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ มากราบขอพรเพราะพวกเขาไม่มีที่พึ่งในหมู่บ้าน เขาจึงมาพึ่งหลวงตา เมื่อมีการงานอะไรพวกเขาก็มาช่วยเสมอ ๆ แม้แต่มาอยู่ที่วัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม พวกเขาก็ยังมา"
     
  7. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    พระครูฟ้ามืด
    หมู่บ้านศรีฐาน ต. ศรีฐาน อ. ป่าติ้ว จ. ยโสธร ตามประวัติเล่าสืบต่อกันมาว่า ชาวศรีฐานเหล่านี้ได้อพยพหนีภัยสงครามเมื่อเกิดศึกจราจลที่นครเวียงจันทร์ ชาวศรีฐานนี้ได้รวมมากับขบวนของพระวอและพระตา มีประชาชนพร้อมทั้งพระสงฆ์รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ มาตั้งชัยภูมิอยู่ที่เมืองหนองบัวลำภู ประมาณปี พ.ศ. 2315 พระเจ้าสิริบุญสารเจ้ามหาชีวิตของลาว ผู้ครองนครเวียงจันทร์ได้มีบัญชาให้กองทหารกวาดล้างกลุ่มชนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ด้วย กลุ่มชนเหล่านี้จึงได้ต่อสู้บ้างถอยบ้างลงมาเรื่อย ๆ จนมาถึงดอนมดแดงก็ได้เป็นบ้านเป็นเมืองคือจังหวัดอุบล ฯ และเมื่อถึงที่ใดที่มีชัยภูมิดีมีแหล่งทำมาหากินก็จะได้ตั้งเป็นบ้านเป็นเมืองไปเรื่อย ๆ ส่วนขบวนของท่านพระครูอังวะและท่านพระครูฟ้ามืดนี้ได้พากันตั้งทัพอยู่ที่ชายป่า ได้เรียกว่าหนองทัพมาจนทุกวันนี้ โดยได้ใช้วัดดงศิลาเลขเป็นศูนย์กลาง (แสดงว่าวัดดงศิลาเลขนี้มีมาตั้งแต่โบราณแล้ว)
    เมื่ออยู่มาหลายปี เกิดอุทกภัยและภูติผีปีศาจรบกวน จึงพากันอพยพขึ้นมาบนที่ดอนที่ใกล้เคียงกัน เรียกว่าบ้านศรีฐานตามชื่อชุมชนเดิมของตนที่อยู่เวียงจันทร์ ได้สร้างวัดขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์รวมของชุมชน ให้ชื่อตามวัดเดิมของตนคือวัดศรีษะเกศ (ปัจจุบันคือวัดศรีฐานใน) จะสังเกตได้ว่าสิ่งปลูกสร้างในวัดนั้นไม่ว่าจะเป็นโบสถ์หรือเจดีย์ของหลวงปู่ฟ้ามืดองค์ก่อนนั้น ล้วนแต่เป็นศิลปะของลาวทั้งสิ้น รวมทั้งการแต่งกายก็จะเป็นลักษณะของชาวเวียงจันทร์คือผู้หญิงจะเกล้าผม นุ่งผ้าซิ่นลายมัดหมี่ มีเชิงทั้งบนและล่าง ดังนั้น หลวงปู่ฟ้ามืดนี้คงเป็นชาวลาวที่อพยพหนีภัยสงครามมาตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว จึงได้นำลูกหลานปลูกบ้านแปลงเมืองขึ้นมา คือ หมู่บ้านศรีฐานนี้เอง
    พระครูฟ้ามืด ตามประวัติที่เล่าติดต่อกันมา ท่านมีความรู้ในด้านไสยศาสตร์และจิตศาสตร์ รู้วาระจิตของคนอื่น และสามารถรู้ภาษาสัตว์ต่าง ๆ เช่น รู้ภาษาของนก เป็นต้น ตัวอย่างคือ ในวันพระ ท่านมักจะเอาขันตักน้ำ แล้วท่านจะไปนั่งสาธยายมนต์อยู่ทางทิศเหนือของโบสถ์ ไม่นานนักก็มีนกชนิดต่าง ๆ บินมากินน้ำที่ขันของท่านถืออยู่ เมื่ออิ่มแล้วก็จะบินจากไป
    บางครั้งท่านยังใช้สามเณรนำขันตักน้ำมาถวายท่าน แล้วท่านก็จะให้สามเณรนั่งอยู่ข้างหลังของท่าน ๆ ก็จะสาธยายมนต์เช่นเดิม ขณะที่นกบินลงมากินน้ำที่ขันของท่านที่ถืออยู่ ท่านก็จะถามสามเณรว่า เมื่อนกตัวนี้กินน้ำอิ่มแล้ว มันจะบินไปทางไหน เมื่อสามเณรตอบว่าไม่ทราบ ท่านก็จะบอกเองว่านกมันจะไปทางนั้น แล้วนกจะบินไปตามที่ท่านชี้บอก
    อีกประการหนึ่งในวันตรุษสงกรานต์ในหน้าร้อน ตามประเพณีนิยมเมื่อถึงวันตรุษสงกรานต์นี้ ทายกทายิกาชาวบ้านทั้งหนุ่มและสาว พร้อมทั้งคนแก่เฒ่า จะพากันน้ำเอาน้ำอบน้ำหอมไปสรงพระพุทธรูปตามวัดต่าง ๆ เมื่อเสร็จแล้วจะนำน้ำอีกส่วนหนึ่งไปสรงท่านพระครูฟ้ามืดและพระเถระอื่นๆ ท่านพระครูฟ้ามืดก็จะแสดงอภินิหารทำให้ท้องฟ้ามืดลงราวกับกลางคืน ทั้ง ๆ ที่เป็นกลางวันเฉพาะในบริเวณวัด ชาวบ้านจึงได้เริ่มเรียกชื่อของท่านเอาตามนิมิตที่ได้เห็นนั้น จึงได้เรียกว่าพระครูฟ้ามืดมาจนทุกวันนี้ แต่ชื่อเดิมของท่านนั้นไม่ทราบชื่ออย่างไร
    บางคราวท่านไปกิจนิมนต์นอกวัดหรือไปที่วัดอื่น ซึ่งเป็นระยะทางไกล ท่านจะเดินออกจากหมู่บ้าน พอพ้นเขตหมู่บ้านที่เป็นที่ลับตาคนแล้ว ท่านจะเอาผ้าอาบน้ำมาเสกคาถาเป่าลงที่ผ้าอาบน้ำ แล้วท่านจะเอามือลูบอีก 3 ครั้ง ผ้าอาบน้ำก็จะกลายเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ขนาดแปดศอก ท่านก็จะขึ้นขี่เป็นพาหนะ พอไปใกล้หมู่บ้านที่ท่านมีกิจนิมนต์มา ท่านก็จะลงจากหลังเสือ แล้วจะเอามือลูบหลังเสือ 3 ครั้ง เสือตัวนั้นก็จะกลับมาเป็นผ้าอาบน้ำเหมือนเดิม
    ตามที่เล่ามานี้ข้าพเจ้าก็ได้ยินจาก ปู่ ย่า ตา ยาย คนเฒ่าคนแก่ได้เล่าให้ฟัง จะเท็จจริงอย่างไรก็ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณเอาเอง
    การที่ข้าพเจ้าได้เล่าประวัติของพระครูฟ้ามืด ก็เพราะท่านเป็นพระเถระที่มีความสำคัญ และเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีฐานในที่พิเศษกว่าเจ้าอาวาสองค์อื่น ๆ หลวงปู่พระครูฟ้ามืดนี้ท่านก็ได้มรณภาพในเพศสมณะ เป็นไปตามวัฏสงสารของธรรมชาติ เมื่อท่านมรณภาพ ศิษยานุศิษย์ก็ได้ช่วยกันจัดการฌาปนกิจอย่างสมเกียรติ
     
  8. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    การสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุพระครูฟ้ามืด
    เมื่อพระครูฟ้ามืดมรณภาพแล้ว ก็เป็นการสูญเสียพระเถระที่สำคัญองค์หนึ่ง ซึ่งศิษยานุศิษย์และบรรดาผู้ที่มีความเคารพเลื่อมในในตัวของท่านพระครูฟ้ามืด ได้มีความคิดที่สร้างเจดีย์ไว้เป็นที่บรรจุอัฐิธาตุของท่านพระครูฟ้ามืดเพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้สักการะบูชา เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน เมื่อสร้างเจดีย์ก็ได้บรรจุอัฐิ พร้อมกับสิ่งของที่มีค่าบรรจุไว้เพื่อเป็นการบูชาท่านพระครูฯ และเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    เจดีย์ที่บรรจุอัฐิของท่านพระครูฟ้ามืดนั้น ได้สร้างอภินิหารมากมาย เช่น เมื่อเทศกาลการทำบุญเทศน์มหาชาติ หรืองานบุญบั้งไฟ ชาวบ้านได้จัดขบวนแห่ด้วยช้าง ด้วยม้า ถ้ามีการแห่เวียนรอบไปด้านหลังอุโบสถข้างเจดีย์พระครูฟ้ามืดแล้ว ช้างม้าเหล่านั้นจะไม่ยอมเดินต่อไปแม้จะเฆี่ยนตีเท่าไร ช้างม้าก็จะไม่ยอมเดินต่อไป ก็จะมีแต่เดินไปทางอื่น จะไม่ยอดเดินผ่านเจดีย์ เคยมีชาวบ้านได้เอาปืนไปทดลองยิงข้ามเจดีย์ เมื่อยิงแล้วกระสุนไม่ยอมออก กลายเป็นกระสุนด้าน แต่ถ้าหันปลายกระบอกปืนไปทางอื่น ปืนก็จะยิงออกตามปกติ แล้วหันปากกระบอกปืนมาทางเจดีย์ยิงแล้วปืนก็จะไม่ลั่นเหมือนเดิม
    เจดีย์นี้จึงเป็นที่เคาระนับถือของชาวบ้านศรีฐานและชาวบ้านแถบนั้น เป็นที่สักการะบูชาในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การสักการะตามวันสำคัญของศาสนา การขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ชาวบ้านได้อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอในสิ่งที่ตนต้องการ เจดีย์องค์นี้ถือว่า มีความสำคัญต่อชาวบ้านศรีฐานและชาวบ้านใกล้เคียง นับเป็นโบราณสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง
     
  9. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    เจดีย์ล้ม
    เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2507 ตรงกับวันอังคาร แรม 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง ได้เกิดพายุโซนร้อนพร้อมทั้งฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักตลอดทั้งคืน พายุฝนได้พัดกระโชกเอาองค์พระเจดีย์หักพังสลายล้มลงทั้งองค์ โดยไม่มีส่วนติดต่อกันได้เลยอนิจาวตฺสังขารา ในโลกนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นสังขารแล้วหาความยั่งยืนไม่มี จะเป็นสังขารที่มีใจครอบครองหรือเป็นสังขารที่ไม่มีใจครอบครองก็ตาม ย่อมจะแตกดับพังสลายกลายเป็นดินไม่วันใดก็วันหนึ่ง
    เจดีย์หลวงปู่พระครูฟ้ามืดนี้ วัดฐานกว้าง 4 เมตร สูงจากพื้นจนถึงฉัตร สูง 8.50 เมตร สร้างด้วยอิฐถือปูน สร้างมาตั้งแต่ พุทธศตวรรษที่ 21 ได้คำนวณมาจากจารึกที่พบที่ฐานพระพุทธรูปเงินองค์หนึ่งที่ขุดได้จากฐานเจดีย์ เมื่อคำนวณจากคำจารึกตั้งแต่ปี พ.ศ. ที่สร้างมาจนถึงปีที่ขุดได้มีอายุ 407 ปี นอกจากนั้นไม่ชัดเจนเนื่องจากลบเลือนมาก
    ขุดค้นเจดีย์
    เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2507 ข้าพเจ้าพร้อมด้วยทายกทายิกาชาวบ้านศรีฐาน นำโดยผู้ใหญ่เศียร วระพันธ์ ผู้เป็นผู้ใหญ่บ้านขณะนั้น มีความเห็นพ้องต้องกันว่า จะต้องตรวจค้นองค์เจดีย์ที่ล้มลง เพื่อตรวจดูสิ่งของที่บรรจุไว้ ถ้าปล่อยเอาไว้กลัวว่าจะมีคนมาลักลอบขุดค้นขโมยของไปเสียก่อน จึงได้ทำการขนย้ายเอาก้อนอิฐและดินออก แล้วขุดลงไปในบริเวณฐานรากเจดีย์
    เมื่อขุดลงเสนอพื้นดินเดิม ก็ได้พบแผ่นหินปิดปากหลุมขนาดกว้าง 60 ซม. ยาว 1 เมตร ครั้นขุดเอาแผ่นหินที่ปิดอยู่ออกแล้ว ปรากฏว่าเป็นหลุมขนาดคนลงไปได้ ได้ค้นดูพบพระพุทธรูป 10 กว่าองค์ พร้อมทั้งสิ่งของอีกมากมาย แต่ได้กลายเป็นเหยื่อของปลวกและเปื่อยกลายเป็นดินเสียสิ้น ไม่เป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ เมื่อรื้อหลุมบนออก จะพบกับแผนหินอีกแผ่นหนึ่งซึ่งรองอยู่ข้างล่างหลุมบน
    เมื่อขุดเอาแผ่นหินขึ้นมาก็พบไหที่มีขันสัมฤทธิ์ปิดครอบปากไห รอบ ๆ ไหมีดินทรายล้วน ๆที่มีสีขาวบริสุทธิ์กลบไว้ เมื่อขุดไหขึ้นมาเปิดดูก็พบกับพระเงินจำนวน 200 กว่าองค์ ส่วนอัฐิของหลวงปู่พระครูฟ้ามืด ได้อยู่พื้นล่างโดยเอาไหทับเอาไว้ นี่คงจะเป็นความประสงค์ของหลวงปู่ฟ้ามืดที่ได้ดลบันดาลให้พวกเราทั้งหลายได้พบ และเป็นการที่จะเสริมบารมีของท่านอีกทอดหนึ่งและสิ่งของที่ได้พบภายใต้ฐานเจดีย์นี่ก็มีจำนวนมากมาย
     
  10. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]

    สร้างเจดีย์องค์ใหม่
    เมื่อเจดีย์องค์เก่าได้หักพังลง ข้าพเจ้าจึงได้ประชุมปรึกษาหารือคณะกรรมการและชาวบ้าน ได้มีมติให้สร้างเจดีย์ขึ้นทดแทนองค์เก่าที่ได้พังสลายลง เพื่อเป็นที่สักการะของคนทั่วไปเหมือนเดิม และเพื่อบรรจุสิ่งของที่มีค่าที่ขุดขึ้นมาได้
    การก่อสร้างเจดีย์องค์ใหม่ได้เริ่มลงมือก่อสร้างวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508 เจดีย์องค์นี้สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นรูปทรงเจดีย์ย่อไม่สิบสอง มีซุ้มประตูเข้าภายในเจดีย์ 1 ซุ้ม ภายในเจดีย์เป็นที่โล่ง มีแท่นสำหรับตั้งพระประธานไว้เป็นที่สักการะบูชา เจดีย์มีฐานกว้างด้านละ 6 เมตร 40 ซ.ม. สูง 21 เมตร สิ้นเงินทั้งสิ้น 120,000 บาท (หนึ่งแสนสองหมื่นบาทถ้วน) รวมเวลาในการก่อสร้าง 11 เดือน
    ทุนทรัพย์ที่ใช้สร้างเจดีย์นี้ได้มาจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาร่วมใจกันสมทบทุนในการก่อสร้าง พ.ศ. 2520 พระอาจารย์วัน อุตโม วัดถ้ำอภัยดำรงค์ธรรม อ.ส่องดาว จ.สกลนคร ได้นำพระสารีริกธาตุมาบรรจุที่เจดีย์ มีประชาชนมาร่วมในพิธีครั้งนี้เป็นหมื่น ๆ คน นับเป็นประวัติการณ์และเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง มีนายพีระศักดิ์ สุขสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร คนที่ 2 เป็นประธานในพิธี
    หลวงตาพวง นิมิตในทางภาวนา ก่อนงานฉลองเจดีย์
    ก่อนงานฉลองเจดีย์ 5 วัน ข้าพเจ้าได้เกิดนิมิว่า มีพระสงฆ์รูปหนึ่งเดินเข้ามาหาข้าพเจ้าแล้งท่านก็บอกว่ามีพระพุทธรูปฝังไว้ที่หลังโบสถ์ ข้างเคียงกับเจดีย์ที่หักลง มีพระพุทธรูปเป็นจำนวนมากไม่สามารถบอกจำนวนได้ เมื่อท่านได้บอกแล้วพระภิกษุรูปนั้นก็หายไปทันที เมื่อข้าพเจ้าตื่นจากนิมิตก็ได้พิจารณานิมิตว่าจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ก็ยังสงสัยอยู่ เมื่อรุ่งเช้าก็ได้สอบถามกับทายกทายิกาเรื่องการขุดค้นเจดีย์ว่า เอาสิ่งของขึ้นมาหมดหรือไม่ และที่ข้างเคียงได้ขุดดูหรือยัง ทายกทายิกาเหล่านั้นก็ได้ตอบว่า ได้ขุดเอาขึ้นมาหมดแล้ว ตั้งแต่เจดีย์ยังไม่ล้ม ข้าพเจ้าจึงไม่สงสัยอีก
     
  11. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    หลวงปู่พระครูฟ้ามืดเข้าประทับทรง
    เมื่อได้จัดงานฉลองเจดีย์ คือวันที่ 12-13 มีนาคม พ.ศ. 2511 เป็นงานสมโภชองค์เจดีย์ใหม่เป็นเวลา 3 วัน พอวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2511 ในตอนเช้า นางทรัพย์ ไวว่อง ภรรยาของนายทอง ไวว่อง (อดีตอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนบ้านศรีฐาน) ได้แสดงอาการโกรธกริ้วกำหมัดกัดฟันต่อว่าข้าพเจ้าและชาวบ้านว่าทำอะไรก็ไม่บอกไม่กล่าว ทำล่วงเกินไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักทางขึ้นทางลง
    ชาวบ้านเข้าไปถามว่าทางขึ้นทางลงคืออะไร นางทรัพย์ก็บอกว่า ทางขึ้นคือปีใหม่ตรุษสงกรานต์ ทางลงคือวันเพ็ญเดือน 3 เป็นต้นปีและท้ายปี นางทรัพย์บอกว่าต้องจัดเครื่องสักการะเพื่อเป็นการคารวะ นางทรัพย์ยังได้ต่อว่าข้าพเจ้าและชาวบ้านว่าละทิ้งฮีดสิบสองครองสิบสี่ ละทิ้งมาหลายปีแล้วไม่มีการทำบุญให้ทาน จัดงานขึ้นที่วัดก็ไม่บอกเล่า แล้วยังบอกว่า กูจะบิดท้องบิดไส้ให้สูตายทั้งบ้านทั้งวัด แต่กูก็ยังสงสารอยู่ตรงว่าจะไม่มีใครรักษาวัดวาอาราม ผู้คนที่ได้ยินต่างก็พากันขนลุกขนพอง จึงนึกถึงตอนเจ็บท้องในคืนนั้น คงเป็นเพราะท่านได้เตือนให้รู้สึกตัว ก็คือตอนกลางคืนนั้นภายในวัดทั้งภิกษุสารเณร ตลอดจนทายกทายิกาที่อยู่ภายในบริเวณวัด ต่างก็มีอาการเจ็บท้องกันแทบทุกคน ข้าพเจ้าคิดว่าคงเป็นเพราะกินอาหารแสลง ข้าพเจ้าเอง ก็รู้สึกปวดท้องเหมือนกัน แต่ก็ยังได้วิ่งหายาในตู้ยามาแจกแก่คนอื่น ๆ จนยาไม่พอที่จะแจก ต่างก็พากันบ่นนานาประการ
    ครั้นสว่างเป็นวันใหม่ ทุกคนก็หาย ไม่ถึงกับเป็นอันตราย บางคนไม่ได้กินยาอะไรก็หายไปเอง แล้วตัวแม่ทรัพย์เองได้บอกว่า ตัวท่านคือผู้เป็นใหญ่อยู่ในขอบเขตบริเวณบ้านศรีฐาน มีนามว่าหลวงปู่ฟ้ามืด เมื่อเป็นดังนั้น ชาวบ้านที่อยู่ในที่นั้นต่างก็พากันวิตกหวาดกลัว ต่างหาดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมาลาโทษและจะยอมปฏิบัติตามทุกอย่าง ครั้งแรกท่านไม่ยอมรับขันที่ขอขมา ท่านได้บอกว่าให้ชาวบ้านไปหาผู้มารับใช้ปฏิบัติท่านในเวลามีเทศกาลมีงาน จะได้ให้คนที่ท่านพอใจไปขอขมาโทษหรือไปบอกเล่าเก้าสิบให้ท่านทราบเสียก่อน
    มีชาวบ้านคนหนึ่งถามว่า ท่านจะเอาใครเป็นผู้ปฏิบัติรับใช้ หลวงปู่พระครูฟ้ามืดในร่างทรงได้บอกว่าพวกสูไม่รู้หรือว่าใครเป็นผู้มีศีลมีธรรม ผู้ถามก็ได้ถามอีกว่าใครมีศีลมีธรรมละ ท่านพระครูฟ้ามืดก็ได้ด่าเป็นการใหญ่ แล้วคณะชาวบ้านก็ได้เสนอชื่อบุคคลที่จะได้เป็นผู้ปฏิบัติรับใช้เป็นราย ๆ หลายสิบคน ท่านบอกว่าท่านไม่ชอบ พอเอ่ยชื่อคนที่ท่านชอบคือ ข้าพเจ้า * ท่านก็ได้พยักหน้าให้แล้วก็ล้มนอนลงไปประมาณ 15 นาที ก็ลุกขึ้นมาพูดในทำนองบอกสอนเป็นเวลานานพอสมควร
    เข้าทรงครั้งที่ 2
    ชาวบ้านได้จัดหาพานดอกไม้ใหม่ตามที่ท่านได้แนะนำ โดยให้จัด 2 ที่ เมื่อนำมาแล้วได้เป็นที่ถูกใจอย่างมากและได้สูดดมดอกไม้เหล่านั้นอย่างพอใจ หลวงปู่ฟ้ามืดได้เข้าทรงร่างของแม่ทรัพย์เป็นเวลานานพอสมควร นับตั้งแต่เวลาฉันภัตตาหารเช้าจนกระทั่งถึงเวลาฉันภัตตาหารเพล จนกระทั่งไปชี้บอกที่จะให้ขุดเอาพระขึ้นมา จึงได้ออกจากร่างของแม่ทรัพย์ ไวว่อง
    เมื่อหลวงปู่ฟ้ามืดออกจากร่างแม่ทรัพย์แล้ว จึงได้ลืมตาขึ้นมองหน้ามองหลังเห็นมีคนมุงล้อมรอบตัวเองอยู่ ก็มีความอาย จึงได้ลุกออกไปจากที่ชุมชนนั้นอย่างรวดเร็ว เพราะเกิดความอายว่าทำไมตัวเองจึงมาอยู่ท่ามกลางหมู่ชนในสถานที่แห่งนี้
     
  12. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]
    พิธีจัดเครื่องสักการะ
    เมื่อถึงวันสำคัญดังที่หลวงปู่ฟ้ามืดบอกไว้แล้ว ข้าพเจ้าและชาวบ้านได้จัดเตรียมเครื่องสักการะ คือเป็นพานดอกไม้ 2 พาน ที่มีจำนวนเครื่องสักการะต่างกัน คือ มีจำนวนดอกไม้ธูปเทียน 5 คู่ 1 พาน มีดอกไม้ธูปเทียนจำนวน 8 คู่ 1 พาน ชาวอีสานเรียกว่า ขัน 5 ขัน 8 ดอกไม้เป็นดอกบั่นทดและได้จัดอาหารที่เป็นขนมหวาน 1 สำรับ และได้จัดสำรับกับข้าวถวายพระประธานในโบสถ์เป็นประจำ
    เมื่อหลวงปู่ฟ้ามืดมาเข้าทรงแม่ทรัพย์ ไวว่องอีกก็ยังดุข้าพเจ้าและชาวบ้านเหมือนเดิม ว่าไม่เอาใจใส่ของเก่าของแก่ ชาวบ้านก็พากันสงสัยได้ถามต่อไปว่าของเก่าของแก่ที่ว่านั้นคืออะไร ท่านจึงได้บอกว่าอยู่ที่หลังพระอุโบสถฝังไว้ที่เสาสั้น ๆ ข้าพเจ้าจึงนึกได้ว่าสถานที่ ๆ ท่านบอกนั้น ได้ตรงกับนิมิตก่อนที่จะได้จัดงานฉลองเจดีย์ ก็คือในนิมิตว่ามีพระสงฆ์มาบอกให้ไปขุดเอาพระที่อยู่หลังอุโบสถแล้วพระองค์นั้นก็หายไป
    คราวนี้หลวงปู่ฟ้ามืดในร่างทรงของแม่ทรัพย์ได้ดุข้าพเจ้าอีกว่า กูบอกมึงแล้วไม่เชื่อ ได้มีชาวบ้านหลายคนในที่นั้นได้อ้อนวอนให้ท่านไปชี้บอกสถานที่นั้น เมื่อท่านชี้ก็ตรงกับสถานที่ที่พระบอกในนิมิตของข้าพเจ้า เมื่อท่านชี้บอกแล้วชาวบ้านก็ได้เตรียมวัสดุอุปกรณ์ขุดในทันที
    เมื่อขุดได้ลึก 1 ศอก ก็ได้พบพระกัจจายนะที่สร้างด้วยศิลา สูงประมาณ 1 ฟุต จำนวน 1 องค์ ได้พบชื่อของพระสลักไว้ที่ฐานพระว่า พระองค์นี้มีนามว่าโมมา และได้ไปเข้าฝันของชาวบ้านว่า พระสังกัจจายนะองค์นี้ได้สร้างในสมัยพระนเรศวรมหาราช เมื่อขุดลงไปอีกก็ได้พบพระจำนวนมากเป็นพระปางต่าง ๆ วันนั้นได้สิ่งของมีค่าต่าง ๆ มากมาย เมื่อขุดเรียบร้อยแล้วจึงได้อัญเชิญพระและสิ่งของมีค่าต่าง ๆ ไปไว้ในเจดีย์องค์ใหม่ที่ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และในวันนั้นชาวบ้านได้พร้อมใจกันนำน้ำอบน้ำหอมมาสรงพระสิ่งของที่ขุดได้ในวันนั้น
     
  13. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]
    พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัล อ.เมือง จ.นคราชสีมา
    (ศิษย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น)


    (ข้าพเจ้า = แทนคำเรียกตัวเองของหลวงตาพวง )
    ได้พระประธานองค์ใหม่
    ในวันเดียวกันนั้น ท่านพระครูพุทธิสารสุนทร (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) อดีตเจ้าคณะอำเภอวาริชำราบ (ธรรมยุต) วัดแสนสำราญ พร้อมด้วยทายกทายิกาได้ถวายพระพุทธรูป หน้าตักกว้าง 30 นิ้ว หล่อด้วยทองเหลือง ข้าพเจ้าและชาวบ้านจึงได้จัดรถไปรับมาในตอนเย็นวันนั้น ซึ่งขณะนี้ได้ประดิษฐานอยู่ที่ศาลาการเปรียญ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พระพุทธรูปที่อยู่ใต้ดินและบนพื้นดินได้ดลบันดาลมารวมกันในวันเดียวที่สถานศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้
    ในคืนวันนั้นข้าพเจ้านอนไม่ค่อยจะหลับ เพราะด้วยความปิติที่ได้พระศักดิ์สิทธิ์มาไว้สักการะบูชา และยังมีความสงสัยอยู่ในใจว่าคงจะต้องมีพระพุทธรูปและสิ่งของจำนวนมากที่ฝังอยู่ในดินภายในบริเวณนั้น เมื่อรุ่งเช้าตรงกับวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2511 ข้าพเจ้าจึงได้ให้ชาวบ้านขุดอีกทีหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามกับที่ขุดเมื่อวานนี้อยู่ข้างเจดีย์องค์เก่าทางทิศตะวันตก พอขุดลงไปลึกเท่ากับวันวานนี้ ก็ได้พบพระจำนวนมาก ส่วนมากจะเป็นพระผงและพระว่านเป็นพิมพ์แตกต่างกันออกไปจำนวนประมาณ 10,000 องค์ และยังได้พระศิลาอีกประมาณ 10 กว่าองค์
    [​IMG]
    พระเทพสังวรญาณ (หลวงตาพวง สุขินทริโย ) วัดศรีธรรมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร
    วันนี้ชาวบ้านได้ยินข่าวว่าได้ขุดพระขึ้นมามากมาย จึงหลั่งไหลมาทั่งจตุรทิศทั้งกลางวันและกลางคืน คณะกรรมการหมู่บ้านและของวัดจึงนำเอาพระที่ขุดมาได้ มาตั้งไว้ที่ปะรำพิธีหน้าเจดีย์องค์ใหม่ เพื่อให้ประชาชนที่มา ได้เข้าชมและนำเครื่องมาสักการะบูชา ประชาชนที่ได้เข้าชมพากันอยากจะได้พระเหล่านั้นไปสักการะบูชา คณะกรรมการจึงได้ประชุมกันหารือในเรื่องนี้ และได้มีมติให้มีการจัดงานสมโภชอีกคืนหนึ่ง
    จึงกำหนดเอาวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2511 ตรงกับแรม 12 ค่ำ เดือน 4 ก่อนวันงานสมโภช ได้จัดขบวนแห่พระพุทธรูปที่ขุดได้ แห่ไปรอบ ๆ หมู่บ้านต่าง ๆ ในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2511 เข้าไปยังบ้านกระจาย บ้านหนองคู อำเภอยโสธร ในวันที่ 19-20 มีนาคม พ.ศ. 2511 ได้จัดขบวนแห่ไปยัง บ้านนิคม, เชียงเครือ, คำบ่อสร้าง, ม่วงไข่, ป่าติ้ว, น้ำปลีก และกลับมา การแห่พระพุทธรูปนี้ก็เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชาและอนุโมทนาให้ได้รู้ข่าวอันประหลาดของพระอันศักดิ์สิทธิ์นี้และเป็นการบอกข่าวงานสมโภชพระด้วย

    (ข้าพเจ้า - แทนคำเรียกตัวเองของหลวงตาพวง )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2007
  14. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    บันทึกเสียงไม่ติด
    ครั้นเวลาต่อมา มีผู้ที่อยากจะเห็นสิ่งของและพระที่ขุดขึ้นมา โดยได้ทราบข่าวที่เล่าลือออกไป จึงอยากจะเห็นด้วยสายตาของตนเอง จะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร เมื่อเห็นแล้วจึงเกิดความปิติดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นได้พบ จึงได้นำเทปคาสเส็ทบันทึกเสียง มาขอนิมนต์ให้ข้าพเจ้าเล่าประสบการณ์ที่ขุดพระขึ้นมา ข้าพเจ้าจึงได้เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการขุดพระตั้งแต่ต้นโดยได้อัดเทปไปด้วย
    เมื่อเล่าเหตุการณ์โดยการบันทึกเสียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ลองเปิดดูปรากฏว่าไม่มีเสียงที่ได้บันทึกไว้ จึงได้ลองอัดบันทึกอีกสามสี่ครั้งก็ยังไม่ติด เข้าใจว่าเครื่องบันทึกเสียงคงจะเสีย จึงลองเอาวิทยุมาเปิดแล้วบันทึกเอาเสียงจากวิทยุนานพอสมควร เมื่อเปิดดูแล้วเสียงต่าง ๆ ที่ได้บันทึกจากวิทยุได้ดังดีตลอดไม่เสียหาย ชาวบ้านก็ได้ฟังได้เห็นในเหตุการณ์นั้นก็เป็นที่อัศจรรย์ใจและไม่กล้าที่จะบันทึกต่อไป เพราะเข้าใจว่าหลวงปู่ฟ้ามืดท่านคงไม่อนุญาตในการบันทึกเสียง
    ท่านคงอยากให้ข้าพเจ้าเล่าด้วยตัวของข้าพเจ้าเองจึงจะมีคนเชื่อถือ เพราะถ้าอัดเทปไปใครอยากจะอัดบันทึกเสียงก็มีความประสงค์ว่า เวลามีคนมาถามถึงเรื่องนี้แล้วข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องเล่าให้เหนื่อยซ้ำ ๆ ซาก ๆ ใครอยากจะรู้ก็ให้เปิดเทปฟังก็พอแล้ว การบันทึกเสียงในครั้งนั้นจึงไม่สำเร็จตามความประสงค์
     
  15. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]
    พิธีขุดใบเสมาที่วัดดงศิลาเลข
    เมื่อขุดพระศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้แล้ว 2 วัน ข้าพเจ้าอยากได้ใบเสมาที่วัดร้าง คือที่วัดดงศิลาเลข ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่มาช้านานแล้ว มีมาแต่โบราณ ปัจจุบันไม่มีอะไรเป็นหลักฐานหลงเหลือนอกจากใบเสมาเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นคงไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นวัดมาก่อนและบริเวณนี้ก็เป็นที่ทำไร่ทำนาของชาวบ้าน จะเหลือที่ก็คือที่ใบเสมาตั้งอยู่
    ในตอนบ่ายของวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2511 ข้าพเจ้าก็ได้ชักชวนเอาชาวบ้านและทายกทายิกา ทีแรกก็ชวนประมาณ 50-60 คน แต่พอไปจริง ๆ ก็ประมาณ 300 คน อาจจะเป็นเพราะรุกขเทวดามาดลบันดาลให้ผู้คนไปร่วมพิธีในครั้งนั้น เมื่อไปถึงแล้วก็ได้ทำพิธีขอใบเสมาจากรุกขเทวดาผู้ปกปักรักษาใบเสมาแห่งนี้ เมื่อทำการขอแล้วก็ได้ขุดเอาไปเสมาได้ทั้งหมด 9 ใบ ในวันนั้นสามารถนำเอาใบเสมา มาที่วัดได้โดยนำขึ้นรถยนต์ได้เพียง 2 ใบก็ค่ำพอดี แล้วก็ได้จัดขบวนแห่ด้วยฆ้องกลอง กว่าจะถึงวัดศรีฐานใน ก็ประมาณทุ่มเศษแล้วจึงย่ำฆ้องกลองเอาชัย
    ในวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าติดธุระทางวัดจึงไม่ได้ไปเอง มีทายกทายิกาและชาวบ้านไปขนเอาใบเสมาที่เหลืออยู่อีก 7 ใบ ที่ยังเอามาไม่หมด เมื่อไปถึงแล้วก็ไม่ได้ทำพิธีใด ๆ อีก เพราะว่าได้กระทำแล้วในวานนี้ แต่ก็ได้เอาฆ้องเอากลองไปแห่มาเหมือนเดิม มีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อ นายทุย พรมบุตร บ้านนิคม มีน้องชายชื่อนายทองคำ พรมบุตร มีภรรยาอยู่ที่บ้านศรีฐานได้ป่วยมาเป็นเวลานานสันนิษฐานว่าสาเหตุที่ป่วยนั้นคือ ภูติผีปีศาจมารบกวนมีอาการพูดเพ้อละเมอต่าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัว ในวันนั้นมีอาการหนัก นายทุย พรมบุตร ผู้เป็นพี่ชายได้มานิมนต์อาตมาที่วัดไปดูอาการป่วยของนายทองคำด้วย ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ได้ร่วมในการขนย้ายใบเสมา
    นายทุยได้ให้ข้าพเจ้าทำน้ำมนต์ เพื่อจะได้ประพรมให้นายทองคำ เพื่อว่าอาการป่วยจะได้ทุเลาบ้าง เมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาถึงบ้านนายทองคำแล้ว ปรากฏว่านายทองคำได้ทุเลาจากอาการป่วยบ้างแล้ว และกำลังนั่งทานอาหารอยู่ เมื่อทานเสร็จแล้วนายทองคำได้มากราบข้าพเจ้า ๆ จึงได้ถามอาการป่วยเป็นอย่างไร นายทองคำได้เล่าให้ฟังว่า ตอนที่นายทองคำนอนหลับนั้นได้มีปีศาจจำนวน 5 ตน โดยมีตัวหนึ่งเป็นหัวหน้ามีนามว่า วีระ ได้อพยพมาจากภูเขาไฟโดยมความต้องการที่จะหาผู้ไปรับใช้ จึงมาฉุดลากนายทองคำไป แต่นายทองคำก็ได้ขัดขืนต่อสู้กับพวกปีศาจ ปรากฏว่าพวกปีศาจถูกนายทองคำเตะตายไปหนึ่งตน บาดเจ็บอยู่ 2 ตน จึงเหลือที่สู้กับนายทองคำอยู่ 2 ตน และพยายามฉุดลากนายทองคำจะเอาไปให้ได้
    เมื่อข้าพเจ้าสอบถามพอสมควรแล้ว จึงได้ทำน้ำพระพุทธมนต์และประพรมให้กับนายทองคำ เมื่อประพรมน้ำมนต์เสร็จแล้ว นายทองคำบอกว่าเหนื่อยจึงได้ล้มตัวลงนอน ข้าพเจ้าจึงได้มาคุยกับชาวบ้านที่ได้มาเยี่ยมอาการป่วยของนายทองคำ เมื่อได้สอบถามอาการป่วยของนายทองคำกับญาติ ๆ ได้ประมาณ 20 นาที พอดีขบวนแห่ใบเสมา ที่มาจากวัดดงศิลาเลขเป็นเที่ยวสุดท้าย
    ในวันนี้ได้ขนใบเสมา 2 เที่ยว พอขบวนแห่ใบเสมาจวนจะผ่านหน้าบ้านนายทองคำ นายทองคำซึ่งนอนหลับตาอยู่ได้พูดเป็นภาษาของพระที่ว่า อาตมามาแล้วนะโยม ได้มีชาวบ้านเป็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเป็นคนที่ฉลาดและนึกในใจว่า ทำไมนายทองคำจึงได้ใช้ภาษาพระเช่นนี้ ก็ได้ถามขึ้นไปว่า ท่านมาจากไหน นายทองคำก็ยังได้ตอบเป็นภาษาพระสงฆ์ที่ใช้เหมือนเดิมว่า อาตมาติดตามมากับขบวนแห่ใบเสมามาตั้งแต่เมื่อวานนี้ยังไม่ได้กลับ เมื่อคืนนี้ก็พักอยู่กับท่านพระครู วันนี้เลยติดตามไปเอาใบเสมาและช่วยขนขึ้นรถจึงทำให้ไม่หนัก แต่เมื่อวานนี้ไม่ได้ช่วยยกก็เลยหนักกว่าวันนี้ อาตมาได้ติดตามมาดูว่าที่พระครูและชาวบ้านที่ได้ไปขอใบเสมาจากอาตมานั้น ท่านจะเอามาประดิษฐาน ณ ที่ใด สมควรหรือไม่ วันนี้อาตมาก็มากับขบวนแห่อีกครั้งหนึ่งคงจะยังไม่กลับ วันนี้คงค้างคืนที่วัดกับท่านพระครู อาตมาก็ได้เดินดูรอบ ๆ วัด ดูแล้วรู้สึกว่ากว้างขวางสะอาดสะอ้านดี
     
  16. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    กลองหมากแข้ง
    สิ่งของที่ฝังไว้ในวัดดงศิลาเลขที่หลวงปู่ทน หลวงปู่เงียบเฝ้าอยู่นั้น สิ่งที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งก็คือกลองหมากแข้ง กลองใบนี้เป็นกลองศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ศักดา อานุภาพมาก ไป ๆ มา ๆ ไม่อยู่กับที่ บางทีก็ไปที่หนองหาร หนองคาย บางทีก็อยู่กับที่ บางทีก็หายไป ข้าพเจ้าจึงได้ถามว่า กลองใบนี้มีขนาดใหญ่น้อยเท่าไร หลวงปู่ทนในร่างทรงก็ตอบว่า ใหญ่เท่ากระด้ง มีความหนา 1 คืบ ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปอีก ทำด้วยวัสดุอะไร หลวงปู่ทนตอบว่า ทำด้วยทองคำ ไม่ได้หุ้มหน้าด้วยหนังวัวอย่างกลองธรรมดาสามัญ หน้ากลองหุ้มด้วยทองคำทั้ง 2 ข้าง
    ข้าพเจ้าถามว่าเคยตีบ้างหรือเปล่า หลวงปู่ตอบเคยตีในเวลาจำเป็น คือ เวลาที่มีการมีงาน จะต้องเรียกพลพยุหเสนาเรียกพลพหลโยธาให้มารวมกัน สามารถตีเอาอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ว่าจะเอาโบสถ์เอาศาลาแล้วจะผุดขึ้นมา แต่เป็นการตีรวม ให้มีผู้คนมาช่วยทำงานให้มาก ๆ เช่น การสร้างสถานที่สำคัญ ๆ คือ การสร้างธาตุพนม ตีแล้วคนจะมาช่วยกันก่อสร้าง กลองใบนี้เห็นทีท่านพระครูท่านจะไม่ได้ เพราะเป็นกลองมีฤทธิ์เคลื่อนที่ได้เอง
     
  17. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    โยมขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    เมื่อหลวงปู่ทนท่านได้พูดถึงสิ่งของที่มีอยู่ในลัง ที่ได้ฝังไว้ที่วัดดงศิลาเลข ชาวบ้านที่อยู่ ณ ที่นั้นก็ได้เงียบฟังท่านเล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ ครั้นข้าพเจ้าได้สอบถามหมดในเรื่องสิ่งของต่าง ๆ ที่ท่านเฝ้าอยู่ ก็ได้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งพูดไปว่า ให้โยมขอแบ่งสักอย่างได้มั๊ย ท่านตอบมาว่า พวกโยมเอาไปไม่ได้หรอก เพราะพวกโยมไม่มีศีลธรรม ถ้าให้พวกโยมพวกโยมก็จะแย่งกันและรักษาสิ่งของนั้นไม่ปลอดภัย แล้วโยมผู้หญิงคนนั้นก็ได้ถามต่อไปอีก ถ้าไม่ให้พวกโยมแล้วจะให้ใคร ท่านตอบว่า จะให้ท่านพระครูที่นั่งคุยกับอาตมาอยู่นี่ เพราะท่านเป็นผู้มีศีลธรรม
    แล้วโยมผู้หญิงคนนั้นก็ได้ถามต่อไปอีกว่า แล้วเมื่อไหร่ท่านจึงจะให้ หลวงปู่ทนบอกว่า วันไหนจะให้ จะมาบอกในนิมิตของพระครูเอง แล้วอาตมาจะขนขึ้นมาจากลัง มาตั้งไว้ให้ให้ท่านพระครูเอารถไปขนเอาเลย จะไม่ให้ท่านพระครูต้องลำบากในการขุดหา ในวันที่ท่านพระครูพาญาติโยมไปขอเอาใบเสมาท่านไม่ได้ขอสิ่งของ ท่านขอเฉพาะใบเสมาอย่างเดียว อาตมาจึงยังไม่ให้
    หลวงปู่ทนยังได้พูดต่อไปอีกว่า ถ้าอาตมาถวายของให้แก่ท่านพระครูแล้ว ขอให้ท่านพระครูสร้างพระธาตุเจดีย์ให้อาตมาสูง 1 เส้น ชาวบ้านที่นั่งอยู่ในที่นั้นทั้งหลายก็ได้ยกมือสาธุการเปล่งคำว่าสาธุ ข้าพเจ้าพูดอีกว่า จะให้เอาเงินมาจากที่ไหนมาสร้างเจดีย์ใหญ่โตมโหฬารขนาดนั้น ท่านก็ได้ตอบมาว่า ถ้างั้นขอเพียงครึ่งเส้นก็พอ เรื่องเงินทองไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าได้สิ่งของมาแล้วเงินทองของใช้มันจะหลั่งไหลมาเอง เมื่อสร้างเสร็จแล้วให้ฉลอง 3 วัน 3 คืน ให้จัดหามหรสพมาแสดงในวันงาน เช่น หนัง รำวง มวย หมอลำกลอน หมอลำหมู่ ให้ครบทุกอย่าง ชาวบ้านที่นั่งฟังก็ได้พากันหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
    อาจารย์ทนพูดต่อไปอีก เมื่ออาตมาถวายสิ่งของแด่ท่านพระครูแล้ว อาตมาก็จะไม่อยู่ที่นี่ ชาวบ้านได้ถามอีกว่า แล้วอาจารย์จะไปอยู่ที่ไหน ท่านตอบว่าจะไปอยู่ที่อื่น สนทนากันได้ประมาณชั่วโมงครึ่ง อาจารย์ทนก็ได้ชวนข้าพเจ้ากลับวัดศรีฐานใน ท่านบอกว่าหิวน้ำ เมื่อญาติโยมได้ยินท่านพูดเช่นนั้น ก็บอกให้ผู้อยู่ใกล้กับโอ่งน้ำให้ตักน้ำมาถวาย แต่ท่านไม่รับท่านบอกว่าเป็นน้ำไม่สะอาดและไม่ได้กรอง ท่านบอก ท่านเป็นพระธรรมยุติ ต้องปฏิบัติเคร่งครัดฉันข้าวมื้อเดียว ท่านอาจารย์ทนที่อยู่ในร่างของนายทองคำได้บอกอีกว่า จะไปวัดพร้อมกับท่านพระครู และคืนวันนี้ก็จะยังไม่กลับวัด จะพักอยู่กับท่านพระครู ตอนเช้าฉันเสร็จจึงจะกลับวัดป่าดงศิลาเลข
    ในระยะนี้นายทองคำได้เงียบไปแล้วต่อมาประมาณ 5 นาที นายทองคำได้ลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่งเหลียวซ้ายแลขวา มองเห็นข้าพเจ้าและชาวบ้านที่มานั่งมุงดูตนเองอย่างมากมาย จึงลุกขึ้นกราบข้าพเจ้าแล้วถามกลุ่มชาวบ้านว่ามาทำอะไรกันมากมาย ชาวบ้านก็ตอบว่ามาเยี่ยมดูอาการป่วยแล้วถามดูว่าเมื่อครู่นี้เจ้าเป็นอะไร นายทองคำได้บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร นอนหลับไป เมื่อนายทองคำได้มีอาการปกติแล้ว แสดงว่าอาจารย์ทนได้ออกจากร่างนายทองคำแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้กลับวัด
    ในคืนวันนั้นได้มีชาวบ้านและทายกทายิกาได้มานอนเฝ้าพระและสิ่งของที่ขุดขึ้นมา ข้าพเจ้าได้นำเรื่องอาจารย์ทนที่มาทรงร่างนายทองคำ มาเล่าให้ผู้ที่มานอนเฝ้าพระและสิ่งของฟัง เมื่อฟังแล้วต่างก็พากันหวาดกลัว และระมัดระวัง ได้พากันนั่งภาวนาจนหลังขดหลังแข็ง
     
  18. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    อาจารย์ทนห่วงใบเสมา
    ครั้นวันต่อมาในเวลาเดียวกัน อาจารย์ทนได้มาทรงร่างนายทองคำอีก และได้บอกให้ชาวบ้านคนหนึ่งไปนิมนต์ข้าพเจ้าที่วัด เพราะท่านอยากจะคุยกับข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าก็อยากจะพิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือเท็จอย่างไร เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปในบ้านนายทองคำแล้ว นายนทองคำได้กระแอมขึ้นพร้อมได้พูดว่า ผมมารอท่านพระครูนานแล้ว เพราะอยากจะคุยกับท่านพระครูอีก ผมเป็นห่วงใบเสมาที่ท่านพระครูและญาติโยมไปขอมาจากกระผม ผมจึงมาดูว่าพระครูได้เอาใบเสมาไว้ในที่สมควรหรือเปล่า ผมกลัวว่าท่านจะเอามาทิ้งเฉย ๆ ถ้าเอามาทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ทำอะไร ผมจะทุบทิ้งให้แตกกระจายหาส่วนติดต่อกันไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงได้บอกท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องใบเสมา ผมจะนำใบเสมาไปไว้ในที่สมควรในเร็ววันนี้ ถ้าหากผมไม่ได้ทำตามที่ผมพูดไว้แล้ว อาจารย์จะเอากลับไปผมก็ไม่ว่า เนื่องจากช่วงนี้ผมกำลังมีงานยุ่ง ๆ อยู่มาก จึงไม่ได้ลงมือจัดการสถานที่ไว้ใบเสมา พรุ่งนี้ผมจะจัดการให้เสร็จเรียบร้อย อาจารย์ทนได้พูดอีกว่าใบเสมาที่ไปขอผมมาทั้ง 9 ใบ ข้อนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ เพราะนายทองคำนอนป่วยอยู่ที่บ้าน จะรู้ได้อย่างไรว่าขุดใบเสมามา 9 ใบ ผู้คนที่นั่งอยู่ในที่แห่งนั้นต่างก็รู้สึกอัศจรรย์แปลกใจไปตามๆ กัน
    ได้มีชาวบ้านผู้หญิงคนหนึ่ง ได้เอ่ยขึ้นว่า ใบเสมาของท่าน พระครูก็ได้ไปขอมาแล้ว ก็ขอนิมนต์ท่านได้มาอยู่กับท่านพระครูเสียที่วัดด้วยกันเลย ท่านได้ตอบว่า มาไม่ได้หรอกโยม เพราะเป็นห่วงสิ่งของ ถ้าองค์หนึ่งไม่อยู่ อีกองค์ก็จะต้องเฝ้าสิ่งของ สับเปลี่ยนกัน อาตมาก็อยากจะมาอยู่หรอก แต่พระครูท่านไม่ได้นิมนต์ เมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ให้ญาติโยมไปหาดอกไม้ธูปเทียนใส่พานมาและได้นิมนต์ท่านให้มาอยู่เสียที่วัดศรีฐานใน ท่านบอกว่าอยู่เลยไม่ได้นะ ต้องไป ๆ มา ๆ ญาติโยมจึงได้บอกท่านอีกว่า ถ้าอย่างนั้นในวันแรม 11 ค่ำ จะไปนิมนต์ท่านอีกครั้งที่วัดดงศิลาเลข ท่านบอกว่าถ้าจะไปนิมนต์ต้องนำฆ้องนำกลองจัดเป็นขบวนแห่ อาตมาจึงจะมาร่วมในงานสมโภชพระที่ขุดขึ้น เมื่อเสร็จงานแล้วอาตมาก็จะกลับวัด เพราะเป็นห่วงสิ่งของมากกว่าใบเสมาที่ท่านพระครูขอมา มีชาวบ้านคนหนึ่งได้ถามไปว่า สิ่งของนั้นวันไหนจะให้ ท่านได้ตอบว่ายังไม่มีกำหนด รอไว้โอกาสหน้า เพราะสิ่งของทางวัดได้ผุดขึ้นมาก่อนแล้ว ทีแรกตั้งใจว่าจะให้ของอาตมาแก่ท่านพระครูก่อน แต่แล้วก็ไม่ทัน จำเป็นต้องเอาไว้ภายหลัง ท่านพูดเป็นทำนองสั่งสอนอีกว่า วันเดียวจะให้โชคเกิดขึ้นสองครั้งเป็นการไม่สมควร อุปมาเหมือนกับวัดเดียว ปีเดียวกัน จะทอดกฐินสองครั้งนั้นไม่ได้ (ปัจจุบันวัดดงศิลาเลข ได้สร้างเป็นสำนักปฏิบัติธรรม)
     
  19. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    เปลี่ยนให้ลูกศิษย์ติดตามดวงจิต
    รุ่งเช้าวันต่อมา ขณะที่นายทองคำนอนอยู่ เวลาประมาณ 1 โมงเช้า นายทองคำได้กระแอมเพื่อเตือนญาติ ๆ ทราบ เมื่อญาติของนายทองคำมาแล้ว นายทองคำได้บอกว่าตนชื่ออาจารย์เงียบเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ทน เนื่องจากอาจารย์ใหญ่คืออาจารย์ทน ให้ตัวท่านเองไปติดตามลูกศิษย์ที่พวกปีศาจลักตัวไป อาตมาด่วนมากเพียงแต่มาบอกข่าวเท่านั้น แล้วก็จะรีบไป อาจารย์เงียบพูดแค่นี้แล้วก็อำลาไป นายทองคำรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ญาติ ๆ ก็ได้ถามว่าเมื่อกี้ได้พูดอะไรไป นายทองคำบอกว่าไม่ได้พูด นอนหลับ วันนี้อาจารย์เงียบได้ติดตามหาดวงจิตของนายทองคำจนพบ พวกปีศาจนำจิตของนายทองคำผูกไว้กับต้นไม้ เมื่ออาจารย์เงียบได้ติดตามจนเจอ พวกปีศาจก็ได้หลบหนีไปเพราะเกรงกลังบารมีของท่าน เมื่ออาจารย์เงียบพบแล้ว จึงได้นำดวงจิตของนายทองคำกลับมาแล้วนำมาถวายแก่อาจารย์ใหญ่ วันนี้อาการป่วยของนายทองคำ ได้มีอาการดีกว่าวันก่อน ๆ นับตั้งแต่อาจารย์ทนและอาจารย์เงียบมาทรงร่างของนายทองคำเป็นเวลา 9 วัน ได้มีชาวบ้านมานั่งฟังการสนทนาของอาจารย์ทนและอาจารย์เงียบ ยังกับมีเทศกาลงานบุญไปดูหนังฟังหมอลำกัน
    จัดขบวนไปแห่อาจารย์ทน - อาจารย์เงียบตามคำอาราธนานิมนต์
    เมื่อถึงวันงานที่จะสมโภชพระที่ขุดขึ้นได้จากข้างโบสถ์ ครั้นถึงเวลาแล้ว ข้าพเจ้าได้ให้ชาวบ้านจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ ตามที่ท่านได้แนะนำไว้ตอนที่ท่านได้ทรงร่างนายทองคำ ตามที่ได้อาราธนานิมนต์ท่านไว้คือ 1. ให้ประกาศให้ญาติโยม ชาวบ้าน ทายกทายิกาไปมากๆ 2. ให้นิมนต์พระภิกษุสามเณรร่วมไปด้วยอย่างน้อย 10 องค์ 3. ให้นำเอาฆ้องเอากลองไปด้วยท่านชอบมาก 4. เมื่อจะเข้าไปนิมนต์ให้เวียนซ้าย 3 รอบ คือให้เวียนรองในเขตที่ขุดเอาใบเสมา 5. ให้จัดขัน 5 ขัน 8 พร้อมทั้งขนมหวาน 1 สำรับ และเครื่องสักการะบูชา เมื่อได้จัดเตรียมของทุกอย่างที่ท่านได้แนะนำไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้จัดเอาพระพุทธรูป 2 องค์ สมมุติว่าเป็นตัวแทนของท่านอาจารย์ทั้ง 2 ไปวางไว้ที่โต๊ะบูชาที่จัดเอาไว้ที่วัดดงศิลาเลข ซึ่งเป็นที่อยู่ของอาจารย์ทั้ง 2 ไม่ใช่ว่าจะพาญาติโยมไปกราบไหว้ตามดินตามหญ้าโดยไม่มีเครื่องหมายอะไร เมื่อทำพิธีอาราธนาเสร็จแล้ว ก็นำพระพุทธรูปทั้งสองแห่กลับมา ในการไปนิมนต์อาจารย์ทนและอาจารย์เงียบในครั้งนี้ปรากฏว่ามีประชาชนทั้งบ้านใกล้บ้านไกลที่ได้ยินข่าวเล่าลือ มาร่วมพิธีในครั้งนี้นับเป็นจำนวนพันๆ คน เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
     
  20. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    อาจารย์ทนมอบศิษย์ให้กลับคืน
    เมื่อพระอาจารย์ทนได้ดวงจิตของนายทองคำกลับมาจากปีศาจแล้ว ท่านได้ติดตามถึง 3 วัน ท่านได้เอาดวงจิตของนายทองคำไปรักษาให้อยู่กับท่านตั้งแต่ท่านได้ดวงจิตมา ท่านได้กระทำพิธีชุบจิตชุบตัวให้นายทองคำ และทำการบายศรีสู่ขวัญให้แก่นายทองคำเป็นที่เรียบร้อย และท่านพระอาจารย์ทนยังได้สอนวิชาเล่าเรียน เอาธรรมไปเพื่อป้องกันตัวเองจากปีศาจที่จะมารบกวนเหมือนแต่ก่อน
    ท่านอาจารย์ทั้งสองก็ได้ถือว่านายทองคำเป็นสานุศิษย์ที่ท่านรักใคร่มาก ในขณะที่อยู่กับท่าน ๆ ก็ได้ให้รับใช้อุปัฏฐากเหมือนกับศิษย์วัดทั่วๆ ไป ในที่นี้หมายความว่าร่างกายของนายทองคำได้นอนอยู่ที่บ้าน แต่ดวงจิตไปอยู่ที่วัดดงศิลาเลขกับท่านอาจารย์ทั้ง 2 และดูจากอาการป่วยของนายทองคำแล้วจะมีอาการดีเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว ในครั้งที่อาจารย์ทนท่านมาทรงร่างนายทองคำแล้ว ท่านได้บอกเช่นนั้นและท่านยังได้แนะนำว่า ให้ญาติๆ ของนายทองคำนำเอาขัน 5 และเครื่องสักการะอื่นๆ ไปขอดวงจิตของนายทองคำจากท่าน โดยให้ไปในวันที่ข้าพเจ้าและชาวบ้านที่จะไปนิมนต์ท่านมาร่วมในงานวันสมโภช และท่านจะมอบดวงจิตให้กลับมา โดยให้ข้าพเข้านำดวงจิตกลับมาพร้อมกับให้ข้าพเจ้ารดน้ำพระพุทธมนต์ให้ด้วย นี้เป็นคำพูดของพระอาจารย์ทน ข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติตามท่านอาจารย์ทนแนะนำ
    นับตั้งแต่นั้นมา นายทองคำได้หายเป็นปกติ โดยไม่ต้องกินยาสักเม็ดเดียว ในขณะที่อาจารย์ทั้งสองเข้าประทับทรงร่างนายทองคำ นายทองคำจะไม่รู้สึกตัว แต่จะรู้สึกว่าตัวเองนอนหลับธรรมดาและไม่ได้พูดอะไร ครั้นเลิกจากเข้าทรงแล้ว จึงจะมีคนอื่นมาเล่าให้ฟังจึงจะรู้เรื่องว่าเป็นอะไร นับตั้งแต่นั้นมาอาจารย์ทั้ง 2 ก็ไม่ได้เข้าทรงร่างนายทองคำอีก มีมาแต่เข้าในความฝันของนายทองคำเป็นประจำ
    พระอาจารย์ทั้ง 2 ได้รับเครื่องไทยทาน
    ข่าวนี้ได้เล่าลือไปทั่วทิศานุทิศ ทั้งบ้านใกล้บ้านไกลหลั่งไหลกันมาทำบุญ และงานสมโภชพระพุทธรูปที่ขุดได้จากวัดศรีฐานในพร้อมทั้งงานนี้ได้นิมนต์อาจารย์ทนและอาจารย์เงียบมาร่วมในงานนี้ด้วย ข้าพเจ้าได้จัดผ้าไตรจีวรถวายอาจารย์ทั้ง 2 องค์ ๆ ละ 1 ไตร เป็นทักษิณานุประทานถวายแด่ท่านทั้ง 2 นับตั้งแต่ข้าพเจ้าและชาวบ้านได้ทำบุญอุทิศไปให้หลวงปู่ฟ้ามืดแล้วก็ปรากฏว่าเรื่องของท่านเงียบหายไป ไม่ปรากฏอะไรเกิดขึ้นอีก ส่วนอาจารย์ทั้ง 2 ก็ไปเข้าในนิมิตความฝันของนายทองคำ ว่าได้ฉันข้าวฉันปลาอุดมสมบูรณ์อย่างอิ่มหนำสำราญ ตลอดจนได้นุ่งห่มจีวรอันใหม่ เนื่องจากข้าพเจ้าและประชาชน และญาติโยมได้จัดถวาย ครั้นข้าพเจ้าได้ทำบุญสมโภชเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีธรรมาราม อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี
    นายทองคำเรียนธรรมจากอาจารย์ทน
    นายทองคำ ได้บอกว่า ตนเองได้ฝันว่าอาจารย์ทน ได้มาเรียกให้ตนไปเรียนเอาวิชา คาถาอาคม ชาวอีสานเรียกว่า ธรรม เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปราบภูติผีปีศาจต่าง ๆ จนทุกวันนี้นายทองคำก็ได้เป็นหมอผีหรือชาวอีสานเรียกว่าหมอธรรม ซึ่งแต่ก่อนพวกปีศาจ เป็นศัตรูของนายทองคำแต่บัดนี้นายทองคำได้กลับมาเป็นศัตรูของปีศาจ เป็นหมอธรรมที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ถ้าชาวบ้านมีอาการป่วย ถ้าเกี่ยวกับภูติผีปีศาจเข้ามาเบียดเบียน ต่างก็ได้ให้นายทองคำเป็นผู้รักษาให้หลายราย โดยเฉพาะบ้านศรีฐานเองที่นายทองคำได้รักษาด้วยวิชาอาคมที่เรียนมาจากหลวงปู่ทนให้หายเป็นปกติมาหลายสิบรายโดยไม่ต้องกินยาแม้แต่เม็ดเดียว ในเวลาที่นายทองคำได้ลงธรรม ยกครูแล้วก็นอนลงเรียกผีที่มารบกวนผู้ป่วยนั้น แล้วจะขับด้วยคาถาอาคม บางรายถ้านายทองคำสู้ผีไม่ได้ก็จะต้องไปนิมนต์ผู้เป็นอาจารย์มาช่วย มีอยู่ที่ไหนท่านจะรู้หมดและจะสู้ท่านไม่ได้สักราย เพราะท่านมีไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์สำหรับปราบภูติผีปีศาจโดยเฉพาะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...