จิตวิญญาณประสานกาย (โดย โนวา อนาลัย) อ่านได้ฟรีที่นี่ครับ

เห็นบางคนอยากอ่านหนังสือของโนวา อนาลัย เลยมาเผยแพร่
ผมไม่สามารถพิมพ์ทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้ได้ต้องขออภัยคับ
พิมพ์บางส่วน หากสนใจซื้อหาอ่านฉบับเต็มได้ครับ คิดว่าพิมพ์
ฟรีไม่ได้ขายเอาเงิน และให้ที่อยู่อ้างอิงเจ้าของไว้ คงไม่ละเมิด
ลิขสิทธิ์นะครับ


จิตวิญญาณประสานกาย
โดย โนวา อนาลัย
สนพ. ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ ทีม บิสซิเนส
สั่งซื้อโทร 02-7461004-6

 

บทที่ ๑ หน้าที่ ๓ ย่อหน้าที่สาม คัดเฉพาะส่วน "การรักษาโรคด้วยจิตตนเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น"


"จิตวิญญาณประสานกาย" จึงเป็นหนังสือที่บ่งบอกถึงธรรมชาติแห่งความเป็น
จริง ที่แสนจะเรียบง่ายว่าอารมณ์-จินตนาการ-ความรู้สึกนึกคิด-ข้อมูลความรู้
และความทรงจำข้ามชาติภพ เป็นสิ่งที่เชื่อมต่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับร่าง
กายเนื้อหนังของเธอ เป็นเหตุ-เป็นกระบวนการ-เป็นผลลัพธ์ของโรคภัยไข้เจ็บ
และความสมบูรณ์พูนสุขทั้งทางกาย-ทางใจ

แต่ถ้าเธอตีความหมายของจิตวิญญาณเป็นอื่นนอกเหนือไปจากนี้ เช่น ตีความ
หมายเป็นพลังอำนาจลึกลับที่อยู่นอกเหนือความเป็นมนุษย์ของเธอ หรือเป็น
พลังอำนาจจากภายนอกที่จะทำให้เกิดความมหัศจรรย์ในการรักษาโรคของ
เธอ มันจะทำให้เธอต้องพึ่งพาคนอื่นที่เธอเชื่อว่ามีพลังอำนาจเหนือมนุษย์
และเชื่อว่าเขาสามารถทำให้เกิดปาฏิหารย์ และรักษาโรคให้เธอได้ ไม่ว่าบุคคล
เหล่านั้นจะรักษาโรคให้เธอสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ในไม่ช้าเธอก็จะพบว่าเธอตก
เป็นเหยื่อของโรคใหม่ต่อไปอีก และเธอก็ไม่เคยตระหนักว่าความเชื่อของเธอ
ต่างหากคือพลังอำนาจลึกลับที่ทำให้เธอหายหรือไม่หายจากโรคดังกล่าว ชีวิต
ของเธอจะตกอยู่ในความกลัวและความรู้สึกไม่ปลอดภัยและไร้พลังอำนาจยิ่ง
ไปกว่าเดิม

 

ผมอ่านเล่มแรก"ธรรมชาติแห่งชาติภพ"ไปหลายรอบแล้วครับ
เห็นตอนนี้ออกมาอีกหลายเล่มที่ซีเอ็ดบุค กำลังตามเก็บอยู่ครับ
เนื้อหาน่าสนใจมาก ถ้าไม่เคยอ่านเลยจะบอกว่าอ่านยากเล็กน้อย...
เกี่ยวกับความไร้รูป เรื่องราวของจิตวิณญาณ ชาติภพ เวลา มิติทับซ้อน
ถ้าชอบค้นคว้าเรื่องราวแบบนี้น่าสนุกที่เดียวครับ..แนะนำเลยครับ

 

บทที่ ๒ หน้าที่ ๑๓ คัดบางส่วนเฉพาะ "เหตุแห่งโรคที่แท้จริง"


ฉันยอมรับว่าโรคภัยไข้เจ็บดูเสมือนว่าจะเป็นเรื่องจริงในโลกของเธอ และฉันคง
จะทำให้เธอผู้อ่านที่รักทั้งหลายงงงวย หากฉันจะบอกว่า โรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่
ไม่มีจริง โรคภัยไข้เจ็บเป็นเพียงกระบวนการที่เธอทั้งหลายเข้าใจว่าคือโรคภัย
แท้จริงแล้วเป็นเพียงกระบวนการที่เกินเลยเกินกว่าภาวะปกติไป เธอทั้งหลายไม่
ได้ถูกเชื้อไวรัสโจมตี เพราะร่างกายของเธอประกอบไปด้วยไวรัสเหล่านั้นอยู่
แล้วตามปกติ ไม่มีไวรัสใดๆ ที่เป็นเชื้อโรคที่คร่าชีวิตของเธอ แต่ไวรัสเหล่านั้น
เคลื่อนย้ายไปจากขอบเขตเดิมที่มันเคยอยู่ ฉันจะกล่าวถึงประเด็นนี้อีกในบท
หลัง เพราะฉันต้องการแสดงให้เธอเห็นว่าความรู้สึกนึกคิดและความเชื่อบาง
อย่างส่งเสริมให้เธอมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันความรู้สึกนึก
คิดและความเชื่อบางอย่างก่อให้เกิดกระบวนการของไวรัสที่เกินขอบเขต ใน
ร่างกายที่ควรจะสมบูรณ์เป็นปกติตามธรรมชาติ

เธอทั้งหลาย ไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของโรคร้ายหรือได้รับไวรัส
แต่ความรู้สึกนึกคิดและความเชื่อของเธอ
เหนี่ยวนำให้ร่างกายของเธอเจ็บป่วย

ในขณะนี้เธอทั้งหลายคงจะเห็นว่าคำกล่าวของฉันฟังดูเสมือนความคิดเห็นที่
นอกรีตวงการแพทย์ แต่อีกไม่นานเธอจะเริ่มมองเห็นเหตุ-ผล ของการมีสุขภาพ
ดีและความเจ็บป่วยในทิศทางนี้ และเธอจะกลายเป็นผู้มีสุขภาพดีขึ้นและมี
ความสุขมากขึ้น

 

อ๋อยพิมพ์มือหงิก อ่านก็ยังไม่จบ แถมไม่เคยเรียนพิมพ์ดีดด้วยง่ะ

 

บทที่ ๓ หน้าที่ ๒๙, ๔๑ คัดบางส่วนเฉพาะ "ความตระหนกในภัยพิบัติ"


ในหลายๆ กรณีผู้ที่กังวลห่วงใยเกี่ยวกับภัยพิบัติทั้งหลายจากโลกภายนอก มัก
กังวลห่วงใยเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งพลังของตนเอง พวกเขากลัวว่าพลังของเขา
อาจทำลายตัวของเขา อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่ไว้วางใจในพลังแห่ง
ชีวิตของตนเอง พวกเขาไม่ไว้วางใจในการทำหน้าที่อย่างเป็นธรรมชาติของ
ร่างกาย พวกเขาไม่ยอมรับว่าการทำหน้าที่อย่างเป็นธรรมชาติของร่างกายคือ
ของขวัญอันล้ำค่าสำหรับชีวิต คนเหล่านั้นมักข้องใจในการทำหน้าที่ของส่วน
ต่างๆ ของร่างกายของเขา พวกเขามักกลั้นใจและจดจ่อรอคอยว่าจะมีอะไรผิด
ปกติเกิดขึ้นบ้างกับสุขภาพของเขา?

สำหรับฉัน อดีต-อนาคต มีอยู่ในปัจจุบัน บ่อยครั้งฉันจึงตอบคำถามของเธอ
เดี๋ยวนี้ ก่อนที่เธอจะถามต่อไป โลกของเธอเต็มไปด้วยภาวะที่เรียกว่า "สุดขีด"
แต่ภาวะเหล่านั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นภาวะที่เลวร้ายเสมอไป เช่น ภาวะของ
ความยากจนค่นแค้นที่กลุ่มชนบางกลุ่มกำลังประสพอยู่หลายแห่งในโลก ความ
ยากจนค่นแค้นนี้ทำให้ความเจริญทางร่างกายและจิตใจชะงักงัน และทำให้พวก
เขาถึงแก่ความตายก่อนวัยอันสมควร หรือภาวะที่ทารกถือกำเนิดมาโดย
ปราศจากสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพ ยังผลให้ทารกเหล่านั้นต้องตายไป หรือ
ภาวะที่ครอบครัวหลายครอบครัวประสพเหตุเภทภัย ที่ทำให้สมาชิกในครอบครัว
ทั้งหมด ต้องเสียชีวิตไปในคราวเดียวกันทั้งหมด

เหตุเภทภัยและการสูญเสียทั้งหลายย่อมมีเหตุผล ฉันเพียงต้องการให้เธอ
ตระหนักว่ากรณีที่เป็นภาวะที่สุดขีดเหล่านั้นมีอยู่และทำให้เธอมองเห็นภาวะที่
น่าอภิรมย์แตกต่างกัน (ถ้าไม่มีสิ่งร้ายๆ ก็ไม่เห็นว่าของดีมันต่างของของไม่ดี
ยังไง --- ขยายความเสริมโดย คนขายธูป) ราวฟ้ากับดิน เมื่อใดที่ร่างกายของ
เธอเจ็บป่วยทุพลภาพ หากเธอระลึกถึงภาวะที่ร่างกายของเธอแข็งแรงสมบูรณ์
และเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่างๆ ตามปรารถนาได้อย่างมีชีวิตชีวาบ่อยๆ เธอจะ
ได้ผลกำไรจากการบริหารจิตใจเป็นอันมาก

 

บทที่ ๔ หน้าที่ ๔๘, ๕๔, ๕๕ คัดเฉพาะส่วน "ความตายและสมดุลจักรวาล"


หากความตายหายสาบสูญไปจากดาวนพเคราะห์ของเธอ แม้นแต่เพียงชั่วโมง
เดียว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็จะตกอยู่ในสภาวะที่ถูกคุกคาม และหากสิ่งมีชีวิตทั้ง
หลายถือกำเนิดเกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันในบัดดลสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหล่านั้น
ย่อมจะถูกทำลายจนสูญพันธุ์ เราจำเป็นจะต้องยอมรับว่าความตายเป็นส่วนหนึ่ง
ของชีวิตและยิ่งกว่านั้นเราจำเป็นต้องยอมรับความตายเป็นภาวะที่สมบูรณ์พูนสุข

เธอแต่ละคนเป็นจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอันเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล
การมีชีวิตอยู่ เป็นอยู่และดำเนินไปของเธอแต่ละคนเข้ากันได้สนิทกับจักรวาล
และเป้าหมายรวมของจักรวาล ซึ่งผู้อื่นไม่สามารถทดแทนเธอได้ การดำรงชีวิต
อยู่ของเธอแต่ละคนส่งกระแสคลื่นผ่านกาลเวลา จักรวาลมีสติรูเห็นทุกจุดของ
มัน เธอแต่ละคนเป็นส่วนจำเพาะหนึ่งๆ ของจักรวาล เธอแต่ละคนเป็นผู้เป็นที่
รัก เธอแต่ละคนเป็นตัวตนที่อุบัติขึ้นจากความรักและเอาใจใส่ เธอแต่ละคนมี
พรสวรรค์และความเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน

การตระหนักถึงความผูกพันของเธอกับจักรวาลเป็นความรู้ที่ล้ำค่า การระลึกได้
ถึงความเป็นจริงข้อนี้จะเอื้ออำนวยให้ตัตนภายในส่งสารที่จำเป็นต่อการให้
กำลังใจ ให้ความรักในระดับต่างๆ ซึ่งปรากฏให้เธอเห็นได้ในแรงบันดาลใจ
และความฝัน หรือความรู้สึกที่อุบัติขึ้นอย่างฉับพลัน

ตัวตนภายในรับเอาการสนับสนุนอย่างฉับพลันและต่อเนื่องจากจิตวิญญาณ
ของจักรวาลมาสู่เธอ หากตัวตนภายนอกของเธอเก็บรักษาความเป็นจริงในข้อ
นี้ไว้ในจิตใจได้มากเท่าไร เธอก็จะมีความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย และรู้คุณค่า
และเคารพในตนเองมากขึ้นเท่านั้น


ทัศนคติที่เป็นภัยต่อสุขภาพของเธอ
ได้จากการตำหนิตนเอง
หรือการไม่ชอบตนเอง

 

บทที่ ๕ หน้าที่ ๖๑, ๗๑ คัดเพาะส่วน "การรักษาโรคด้วยพลังจิตใต้สำนึก"

คนจำนวนมากที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจมักจะรู้สึกว่าพวกเขา "สูญเสียหัวใจ"
ของชีวิตไป พวกเขามักมีความรู้สึกเสมือนคนสิ้นหวังด้วยเหตุผลต่างๆ นานา
กัน บางคนรู้สึกชินชาไร้หัวใจ หรือจินตนาการเห็นตนเองเป็นบุคคลไร้หัวใจ
ไร้ความปรานี พวกเขาจึงพยายามลงโทษตัวเองด้วยการพยายามที่จะสูญเสีย
หัวใจของเขาไปจริงๆ

สังคมที่คนจำนวนมากมีปัญหาดังกล่าว เป็นสังคมที่ต้องการ "ความรักในสิ่ง
แวดล้อม" ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถรักษาโรคหัวใจได้ดีกว่าการผ่าตัดเปลี่ยนหัว
ใจเป็นอันมาก การมอบสัตว์เลี้ยงเป็นของขวัญให้กับคนที่สูญเสียคนรักคนใกล้
ตัว จะสามารถถนอมบุคคลเหล่านั้นให้รอดพ้นจากโรคหัวใจได้ กล่าวได้อีกนัย
หนึ่งว่าการ "เปลี่ยนความรัก" ในสิ่งแวดล้อม เป็นวิธีการรักษาโรคหัวใจที่ได้
ผลดียิ่งกว่าการผาตัดหัวใจหรือการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ โดยทำให้หัวใจสามารถ
รักษาตัวมันเองได้

ต่อไปฉันจะกล่าวถึงการรักษาโรคหลายวิธีการ ซึ่งเป็นไปตามแบบแผนที่เธอรู้
จักและนอกแบบแผน วิทยาการทางการแพทย์แต่เพียงอย่างเดียวไม่อาจรักษา
อาการตรอมใจได้ การรักษาจะเป็นไปด้วยการเข้าใจและแสดงออกด้วยการ
เปลี่ยนอารมณ์แทนที่จะผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจแต่เพียงอย่างเดียว อารมณ์เป็น
ปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อชีวิตทั้งในด้านการพัฒนาและการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ

 

เอาใจช่วยคร๊าบ..

 

แฮ่กๆๆ เหนื่อยจังพักก่อน...

 

บทที่ ๖ หน้าที่ ๘๔, ๘๕ คัดเฉพาะส่วน "แบบฝึกชำระจิตใจให่ปอดโปร่ง"


แบบฝึกหัดชำระจิตใจให้ปลอดโปร่ง

ขั้นตอนเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ฉันกล่าวถึงในอีกหลายครั้งหลายครา เพราะมันมี
ความสำคัญต่อการชำระจิตใจให้ปลอดโปร่งและปลดปล่อยความตื่นกลัวของ
ตัวตนภายนอกและสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นตัวตนที่เธอคิดว่าเป็นของเธอ คือเธอ

๑. จดจ่อกับปัจจุบันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พยายามมีสติรู้เห็นข้อมูลทั้ง
หมดที่เธอได้รับด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า บ่อยครั้งเมื่อเธอกำลังเจ็บปวด เธอ
มักจดจ่อแต่ความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านั้น และไม่สนใจกับความรู้สึกของส่วนอื่นๆ
ของร่างกายของเธอซึ่งเป็นปกติสุขดี เธอมักไม่ใส่ใจกับแสงสีเสียง และสิ่งที่
น่าประทับใจอื่นๆ ในสภาพแวดล้อมของเธอ

๒. ปฏิเสธความกังวล ขั้นตอนที่สองนี้กลมกลืนกับขั้นตอนที่หนึ่งโดยอัตโนมัติ
ให้เธอบอกกับตนเองว่า วันพรุ่งนี้เธอจึงจะกังวลกับสิ่งต่างๆ แต่วันนี้ ในปัจจุบัน
เธอเลือกที่จะไม่กังวล

๓. เมื่อความรู้สึกนึกคิดของเธอสัมผัสกับปัญหาจำเพาะในขณะปัจจุบัน ให้เธอ
จิตนาการถึงการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด อย่าข้องใจว่าการแก้ปัญหาที่เป็นอุดมการณ์
นั้นจะเป็นไปได้อย่างไร? ทำไม? หรือเมื่อใด? ให้เธอจินตนาการว่าการแก้
ปัญหาในทิศทางดังกล่าวได้บรรลุผลสำเร็จแล้ว หากเธอจินตนาการไม่ได้ ให้
เธอคิดถึงความรู้สึกที่ดีและความร่าเริงเบิกบานที่เธอประสพในโอกาสพิเศษ
ต่างๆ ของเธอคลี่คลายไปในทิศทางที่เธอพึงพอใจ

ขั้นตอนเหล่านี้จะเอื้ออำนวยให้เธอมีช่วงเวลาที่จะหายใจ และช่วยให้เธอลด
ความกดดันของสถานการณ์ลงได้ไม่ว่าเธอจะประสพกับปัญหาหรือสถานการณ์
เลวร้ายใดๆ ก็ตาม

 

บทที่ ๗ หน้าที่ ๙๙, ๑๐๐ คัดเฉพาะส่วน "แบบฝึกฝนการสะกดจิตตนเอง"


บทฝึกฝนการสะกดจิตตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ

ให้เธอฝึกฝนที่จะสะกดจิตตนเองอย่างเป็นธรรมชาติวันละประมาณ ๕-๑๐ นาที
ไม่มากไปกว่านั้น เพื่อรับเอาความเชื่อใหม่ๆ ที่พึงปรารถนา ระหว่างช่วงเวลาดัง
กล่าวนี้ ให้เธอจดจ่อเอาใจใส่กับคำพูดง่ายๆ สักประโยคหนึ่ง และให้เธอกล่าว
ประโยคนี้ซ้ำๆ อย่างจดจ่อ (คือการกำหนดคำบริกรรมแล้วภาวนานั่นเอง-ความ
คิดเห็นของคนขายธูป) พยายามอย่าวอกแว้กหรือปล่อยให้ความคิดอื่นๆ เข้า
มาแทรกแซง หากมีภาพหรือจินตนาการผุดขึ้นมา พยายามจินตนาการภาพ
เหล่านั้นให้คล้องจองกับคำกล่าวของเธอ

ในช่วงเวลานี้ ให้เธอตระหนักว่าเธอกำลังใช้เวลาในขณะปัจจุบันนี้เป็นพลัง
อำนาจที่จะสอดแทรกความเชื่อใหม่ ซึ่งจะมาสู่ความเป็นจริง

เมื่อเธอได้ฝึกฝนสัก ๕-๑๐ นาทีแล้วให้เธอเลิกคิดถึงมันเธอได้ใช้การสะกดจิต
อย่างเข้มแข็งตามธรรมชาติแล้ว

เธออาจจะต้องทดสอบดูว่าคำพูดใดจะเป็นคำพูดที่เหมาะสมในการเปลี่ยน
ความเชื่อในแง่ลบให้กลายเป็นความเชื่อที่ดึงดูดประสบการณ์ที่พึงปรารถนามา
สู่ความเป็นจริง อย่างน้อยเธอจะเห็นได้ว่ามันได้ผลอย่างไร (ผู้พิมพ์ -เลือกใช้
คำบริกรรมให้ถูกนั่นเอง) เธออาจเปลี่ยนคำพูดจนกว่าจะรู้สึกว่าได้คำพูดที่
เหมาะสม (ผู้พิมพ์ขยายความ - เปลี่ยนคาถาหรือมนตรา)

ในขณะที่เธอจดจ่ออยู่กับคำพูดของเธอ ให้เธอรรู้สึกผ่อนคลายและอย่าเป็น
กังวลกับเวลา เธออาจมีประสบการณ์ที่น่าทึ่งได้อย่างฉับพลัน แต่ให้เธอฝึกฝน
ต่อไป ช่องทางภายในจะถูกสร้างแบบแผนขึ้นใหม่ เธอจะรู้สึกได้ถึงแนวทางที่
เหมาะสมเป็นการส่วนตัวซึ่งผุดขึ้นในใจ เธอไม่จำเป็นต้องฝึกฝนเกินกว่า ๑๐
นาที การใช้เวลามากเกินไปมักกระตุ้นให้เกิดความคิดที่เกี่ยวพันกับปัญหา


บทฝึกฝนการสะกดจิตตนเองเพื่อเปลี่ยนความเชื่อ

ให้เธอนั่งอย่างสงบ ผ่อนคลาย อยู่ตามลำพังในที่เงียบสงัดและใช้เวลาไม่เกิน
๑๐ นาที สำหรับบทฝึกฝนนี้ ให้เธอกล่าวกับตนเองว่า

"ฉันเลิกเชื่อในทิศทางเดิมสักช่วงเวลาหนึ่ง และจะยอมรับความเชื่อใหม่ที่ฉัน
ปรารถนา ฉันจะแสร้งเป็นว่าฉันเองเป็นทั้งนักสะกดจิตและผู้ถูกสะกดจิต ในช่วง
เวลาดังกล่าวนี้ ความเชื่อและความปรารถนาของฉันจะกลายเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกัน ฉันจะปราศจากความขัดแย้งในความเชื่อและความปรารถนา เพราะ
ฉันตั้งใจให้มันเป็นเช่นนั้น ในช่วงเวลาต่อไปนี้ ฉันจะเปลี่ยนความเชื่อโดยสิ้น
เชิง แม้ว่าฉันจะนั่งอยู่ในความเงียบสงัด ฉันก็จะทำเสมือนว่า ความเชื่อมั่นที่ฉัน
ปรารถนาเป็นของฉันอย่างแท้จริง"

(ใช้สมาธิกำหนดคำบริกรรมนั่นเอง - ผู้พิมพ์ขยายความ)

 

บทที่ ๗ หน้าที่ ๙๙, ๑๐๐ คัดเฉพาะส่วน "แบบฝึกฝนการสะกดจิตตนเอง"


บทฝึกฝนการสะกดจิตตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ

ให้เธอฝึกฝนที่จะสะกดจิตตนเองอย่างเป็นธรรมชาติวันละประมาณ ๕-๑๐ นาที
ไม่มากไปกว่านั้น เพื่อรับเอาความเชื่อใหม่ๆ ที่พึงปรารถนา ระหว่างช่วงเวลาดัง
กล่าวนี้ ให้เธอจดจ่อเอาใจใส่กับคำพูดง่ายๆ สักประโยคหนึ่ง และให้เธอกล่าว
ประโยคนี้ซ้ำๆ อย่างจดจ่อ (คือการกำหนดคำบริกรรมแล้วภาวนานั่นเอง-ความ
คิดเห็นของคนขายธูป) พยายามอย่าวอกแว้กหรือปล่อยให้ความคิดอื่นๆ เข้า
มาแทรกแซง หากมีภาพหรือจินตนาการผุดขึ้นมา พยายามจินตนาการภาพ
เหล่านั้นให้คล้องจองกับคำกล่าวของเธอ

ในช่วงเวลานี้ ให้เธอตระหนักว่าเธอกำลังใช้เวลาในขณะปัจจุบันนี้เป็นพลัง
อำนาจที่จะสอดแทรกความเชื่อใหม่ ซึ่งจะมาสู่ความเป็นจริง

เมื่อเธอได้ฝึกฝนสัก ๕-๑๐ นาทีแล้วให้เธอเลิกคิดถึงมันเธอได้ใช้การสะกดจิต
อย่างเข้มแข็งตามธรรมชาติแล้ว

เธออาจจะต้องทดสอบดูว่าคำพูดใดจะเป็นคำพูดที่เหมาะสมในการเปลี่ยน
ความเชื่อในแง่ลบให้กลายเป็นความเชื่อที่ดึงดูดประสบการณ์ที่พึงปรารถนามา
สู่ความเป็นจริง อย่างน้อยเธอจะเห็นได้ว่ามันได้ผลอย่างไร (ผู้พิมพ์ -เลือกใช้
คำบริกรรมให้ถูกนั่นเอง) เธออาจเปลี่ยนคำพูดจนกว่าจะรู้สึกว่าได้คำพูดที่
เหมาะสม (ผู้พิมพ์ขยายความ - เปลี่ยนคาถาหรือมนตรา)

ในขณะที่เธอจดจ่ออยู่กับคำพูดของเธอ ให้เธอรรู้สึกผ่อนคลายและอย่าเป็น
กังวลกับเวลา เธออาจมีประสบการณ์ที่น่าทึ่งได้อย่างฉับพลัน แต่ให้เธอฝึกฝน
ต่อไป ช่องทางภายในจะถูกสร้างแบบแผนขึ้นใหม่ เธอจะรู้สึกได้ถึงแนวทางที่
เหมาะสมเป็นการส่วนตัวซึ่งผุดขึ้นในใจ เธอไม่จำเป็นต้องฝึกฝนเกินกว่า ๑๐
นาที การใช้เวลามากเกินไปมักกระตุ้นให้เกิดความคิดที่เกี่ยวพันกับปัญหา


บทฝึกฝนการสะกดจิตตนเองเพื่อเปลี่ยนความเชื่อ

ให้เธอนั่งอย่างสงบ ผ่อนคลาย อยู่ตามลำพังในที่เงียบสงัดและใช้เวลาไม่เกิน
๑๐ นาที สำหรับบทฝึกฝนนี้ ให้เธอกล่าวกับตนเองว่า

"ฉันเลิกเชื่อในทิศทางเดิมสักช่วงเวลาหนึ่ง และจะยอมรับความเชื่อใหม่ที่ฉัน
ปรารถนา ฉันจะแสร้งเป็นว่าฉันเองเป็นทั้งนักสะกดจิตและผู้ถูกสะกดจิต ในช่วง
เวลาดังกล่าวนี้ ความเชื่อและความปรารถนาของฉันจะกลายเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกัน ฉันจะปราศจากความขัดแย้งในความเชื่อและความปรารถนา เพราะ
ฉันตั้งใจให้มันเป็นเช่นนั้น ในช่วงเวลาต่อไปนี้ ฉันจะเปลี่ยนความเชื่อโดยสิ้น
เชิง แม้ว่าฉันจะนั่งอยู่ในความเงียบสงัด ฉันก็จะทำเสมือนว่า ความเชื่อมั่นที่ฉัน
ปรารถนาเป็นของฉันอย่างแท้จริง"

(ใช้สมาธิกำหนดคำบริกรรมนั่นเอง - ผู้พิมพ์ขยายความ)

 

บทที่ ๘ หน้าที่ ๙๙, ๑๐๐ คัดเฉพาะส่วน "การสะกดจิตรักษาโรคด้วยตนเอง"


การสะกดจิตรักษาโรค

การรักษาทั้งหลายจะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับความเชื่อของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยทุ่มเท
ความเชื่อทั้งหมดให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากภายนอกของตนเอง ผู้ป่วยมอบ
พลังอำนาจแห่งความเชื่อของตนเองให้กับผู้อื่น ซึ่งเมื่อความเชื่อของเธอเป็น
ไปในทิศทางดังกล่าวนี้ มันมักจะเป็นไปยาวนานแรมเดือนแรมปี

(ไม่ควรเอาความเชื่อในตนเองไปทิ้งเพื่อเชื่อคนอื่นที่ดูขลัง - คนขายธูป)

ผู้ที่รักษาโรคด้วยพลังจิตใช้วิธีกระตุ้นพลังอำนาจตามธรรมชาติแทนผู้ป่วย ซึ่ง
ไม่สามารถกระตุ้นพลังอำนาจตามธรรมชาติด้วยตนเองไปชั่วขณะ ผู้รักษาโรค
นำผู้ป่วยกลับคืนสู่ภาวะที่เชื่อมต่อกับพลังงานอำนาจ จนถึงที่สุด ย่อมถึงแก่
ความตาย

จุดพลังอำนาจคือปัจจุบัน อันเป็นเส้นตัดของจิตวิญญาณกับร่างกายเนื้อหนัง
การตระหนักในความเป็นจริงข้อนี้แต่เพียงอย่างเดียวก็สามารถนำพลังชีวิตกลับ
มาสู่เธอได้อย่างมหาศาล


เธอทั้งหลายเข้าสู่จุดพลังอำนาจ
ได้ด้วยการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน

 

บทที่ ๙ หน้าที่ ๑๔๙ คัดเฉพาะส่วน "ภาวะของการมีโรคและปลอดโรค"


ฉันจะกล่าวถึงโดยทั่วไปในที่นี้ และหวังว่าเธอจะตระหนักได้ว่าความเชื่อ-ความ
คิดและอารมณ์ของเธอแต่ละคนสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของเธอไม่มีบุคคล
ใดตายก่อนเวลาอันควรแต่ละบุคคลเลือกเวลาตายของตนเอง มันเป็นความจริง
ที่ว่าโรคมะเร็งหรือภาวะโรคเอดส์ เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันถูกรบกวน หรือ
เสียหายจนกระทั่งร่างกายไม่ยินยอมที่จะคล้อยตามกระบวนการที่ทำให้มันสม
ดุลย์ แต่ไม่มีบุคคลใดตายด้วยโรคมะเร็งหรือโรคเอดส์หรือภาวะอื่นๆจนกว่าเขา
จะกำหนดเวลาตายของตนเอง

มีภาวะอื่นๆ อีกหลายภาวะที่ควรจะนำมาพิจารณาเพราะโรคภัยเหล่านั้นบาง
ชนิดเกี่ยวพันกับสังคมเป็นอย่างมาก และเป็นโรคภัยที่เกิดขึ้นเพียงแต่เฉพาะผู้มี
เผ่าพันธุ์ที่มีสังคม ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าโรคภัยเหล่านี้เป็นโรคติดต่อเสมอ
ไป แต่มันมีความสัมพันธ์โดยรวมกับการให้ การรับ ระหว่างบุคคลกับโครงสร้าง
ของสังคมและโครงสร้างธรรมชาติ

 

บทที่ ๑๐ หน้าที่ ๑๖๓ คัดเฉพาะส่วน "เกมส์ทางจิตวิทยาเพื่อการรักษาโรค"


ในขณะที่ฉันเน้นถึงสาระในข้อนี้ ฉันต้องการเตือนใจให้เธอตระหนักได้ว่าตาม
อุดมคติและตามภาวะที่เธอทั้งหลายมีมาแต่กำเนิด ร่างกายของเธอมีความ
สามารถที่จะรักษาโรคได้ด้วยตัวเอง และเป็นที่แน่นอนอย่างยิ่งว่าร่างกายของ
เธอสามารถรักษาอาการปวดศีรษะได้ด้วยตัวมันเองโดยปราศจากยา และสิ่ง
ที่เธอจำเป็นจะต้องนำมาทดแทนคือระบบการเรียนทั้งหมดของร่างกายในภาวะ
ปัจจุบัน เพื่อที่จะทำให้ร่างกายของเธอรู้ถึงความเป็นไปได้และความสามารถที่
แท้จริงในการรักษาโรคด้วยตนเอง

ในกรณีอื่นๆ ที่เด็กๆ มีอาการป่วย ให้เด็กๆ เล่นเกมส์รักษาโรคด้วยการจินตนา
การถึงร่างกายของเขาซึ่งหายป่วยอย่างสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ให้เขาจินตนาการ
ว่าเขาสามารถออกไปวิ่งเล่นนอกอาคารได้ สามารถพูดคุยและเล่นกับเพื่อนๆ
ของเขา พ่อแม่สามารถพูดชักจูงให้เขาจินตนาการว่าความเจ็บป่วยของเขาได้
ผ่านพ้นไปแล้ว การจินตนาการและการเล่นเกมส์รักษาโรคดังกล่าวใช้ได้กับคน
ชราเช่นกัน เพื่อนำความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวากลับมาสู่ร่างกายอีกครั้งหนึ่ง ทำ
ให้ผ่อนคลายจากความกังวล

(ไม่ควรโอ๋ลูก, สงสารและแสดงความอ่อนแอเกินไป เมื่อลูกป่วย - คนขายธูป)

เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ที่พวกเธอเรียกกันว่าเป็นพวกล้าหลัง ใช้การเล่นหรือแสดง
ละครเพื่อรักษาโรค และการใช้การรักษาของพวกเขาก็ได้ผลไม่น้อยไปกว่า
วิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่ หากลูกหลานของเธอมีความเชื่อว่าเขาป่วย
เพราะเชื้อไวรัส เธออาจแนะนำให้เขาเล่นเกมส์รักษาโรค ด้วยการจินตนาการ
ว่าไวรัสเป็นเหมือนแมลงเล็กๆ ที่เด็กๆ สามารถเอาชนะมันได้ด้วยการใช้แซ่ปัด
หรือใช้ไม้กวาดขับไล่หรือกวาดมันออกไปนอกบ้านก็ได้ เมื่อเด็กๆ เข้าใจใน
ความคิดเหล่านี้ เขาจะสร้างเกมส์รักษาโรคของเขาขึ้นมาเอง และมันจะเป็น
เกมส์ที่มีพลัง และให้ผลกำไรกับการเล่นเกมส์รักษาโรคดังกล่าว

(อย่าสอนลูกให้อ่อนแอ อย่าแสดงความสงสารผิดวิธีต่อคนไข้ - คนขายธูป)

 

คุณขายธูปพิมพ์เร็ว+เก่งขึ้นเยอะเลยครับ
โนวา อนาลัย เป็นจิตวิญญาณ เป็น Higher self เป็นแหล่งข้อมูลของจักรวาล เป็นอาจารย์ทางจิต สื่อผ่านทางความฝันของแม่ลูกสอง สามีเป็นสถาปนิก เป็นคนไทยท่านนึงปัจจุบันอยู่รัฐ Cansas อเมริกา เหมือนเป็นเลขาฯ ให้กับโนวา อนาลัย

ข้อความ : นักเขียนสงวนนามได้เขียนหนังสือจากการสื่อกับจิตวิญญาณที่
ปราศจากร่างกายเนื้อหนังไว้ถึง 10 เล่ม แต่ละเล่มเต็มเปี่ยมด้วย
สาระน่ารู้ เกี่ยวกับธรรมชาตืของจิตวิญญาณ โลกแห่งความเป็น
จริงหลากมิติ ความสำคัญของการฝัน ธรรมชาติของชีวิต ชาติภพ
ความตาย ชีวิตหลังความตาย เชิญชวนกันอ่านสาระเหล่านี้ ได้จาก
หนังสือชุดของ โนวา อนาลัย ทั้งชุดมี 10 เล่ม ปกและรูปเล่มสวย
มาก เป็นหนังสือที่พิเศษทั้งทางด้านแนวคิด ปรัชญา วิทยาศาสตร์
ปราศจากศาสนา แต่ก็เสมือนรวมทุกศาสนา นักเขียนอธิบายว่าได้
รับข้อมูลทั้งหมดมาจากความฝันและสมาธิจากบุคลิกภาพที่ปราศ
จากตัวตน ซึ่งใช้ชื่อว่า อาจารย์ โนวา อนาลัย ข้อมูลในหนังสือลึก
มากจนน่าเชื่อถือได้จริงๆ

1. โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ
2. ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ
3. จิตวิญญาณประสานกาย
4. ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณ
5. อิสระแห่งความปรารถนา
6. ชีวิตนอกเหนือชาติภพ
7. อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคต้น
8. อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคปลาย
9. โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-ภาคต้น
10. โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-ภาคปลาย

มีขายปลีกที่ ซีเอ็ด - เซ็นทรัล - B2S - นายอินทร์
สั่งซื้อทั้งชุดพร้อมกล่องได้ที่
สำนักพิมพ์ทีี่จัดจำหน่ายชื่อ หจก เอทีม บิสซิเนส
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ผู้เผยแพร่หนังสือ ชื่อ ธเนศร์ คำบุญมา
02-746-1004-6

ตอนนี้มีเวปไซท์แล้วครับ
http://www.novaanalai.com/novaanalai/Index.html

 

อ้าว ผมนึกว่าเขาพูดในเชิง "ปรัชญา" เสียอีก นี่เขาเป็นจิตวิญญาณจริงๆ เหรอเนี่ย!


อนึ่ง คุณ โนวา อนาลัย สอนวิธีสะกดจิตตนเองรักษาโรคในเล่มนี้เต็มสูตรเลย
ที่สำคัญจิตนั้นแหละครับรักษาตัวเราได้ คุณ โนวา อนาลัย สอนให้พึ่งตน
เอง อย่าพึ่งคนอื่นมากไป จะทำให้เสียความมั่นใจในตนเอง เอาพลังไปให้
คนอื่น และไม่เห็นด้วยกับการทำให้คนไข้จิตตกเช่น บอกว่าเป็นโรคที่รักษา
ไม่หาย, แสดงความสงสารเหมือนคนไข้ต้องตายแน่, ตอกย้ำจิตคนไข้ให้ตก
, การผูกขาดว่าต้องรักษากับตนเองเท่านั้น คนไข้จึงรอดได้ ฯลฯ

คุณ โนวา อนาลัย ให้ใช้การสะกดจิตเพิ่มพลังจิตตนเอง "ทางบวก" เท่านั้น


ปล. แนวการสอนของเขาเหมือนเต๋าเลย เน้นการอยู่บนโลกได้มีความสุขนานๆ
ไม่มุ่งเน้นนิพพานนัก (แต่มีสุขแท้ได้) คุ้นๆ เหมือนสายที่ชอบอยู่ยาวๆ อายุยืนๆ

 

(verygood)(bb-flower(||)

 

บทที่ ๑๑ หน้าที่ ๑๗๐ คัดเฉพาะส่วน "วิบากกรรมในอดีตและโรคปัจจุบัน"


ฉันขอเตือนความจำเธอว่าตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริงของเวลา ชาติภพใน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมด ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าเธอถูกลง
โทษในปัจจุบันชาติเพราะผลของการกระทำในอดีตชาติจึงเป็นสิ่งที่ปราศจาก
เป้าหมายและความหมาย เพราะการกระทำในทุกชาติภพเกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง
หมดในปัจจุบัน

(เหนือเกินความสามารถในการเข้าใจย่อหน้านี้ได้เลยจริงๆ)

ในชาติภพอื่นเธออาจมีสุขภาพที่แข็งแรงมีชีวิตชีวาและอีกชาติภพหนึ่ง เธอ
อาจอุทิศชีวิตของเธอเพื่อการรักษาโรค แม้นว่าสถานการณ์ของกลุ่มชนที่เกิด
ในถิ่นฐานที่ประชาชนส่วนใหญ่ยากจนและด้อยโอกาสที่จะทำให้เธอมองเห็น
ความเจ็บป่วยกับชาติภพที่เกี่ยวพันกัน แต่ในภาพรวมทั้งหมดแล้วมีพวกเธอ
เพียงจำนวนน้อยที่มีปัญหาสุขภาพซ้ำซ้อนต่อเนื่องในหลายชาติภพ

หากเธอมีปัญหาสุขภาพ เธอควรจะมองหาเหตุผลจากประสบการณ์ในปัจจุบัน
มากกว่าที่จะยกเหตุในอดีตชาติ เหตุแห่งปัญหาสุขภาพกาย สุขภาพใจปรากฏ
อยู่ในประสบการณ์ในวัยเด็กที่จะกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ แต่
ความเชื่อในปัจจุบันเป็นสาเหตุที่เอื้ออำนวยให้แบบแผนของพฤติกรรมดังกล่าว
มีผลต่อสุขภาพ

(อ่านแล้วรู้สึกเหมือน สามารถทำให้วิบากกรรมแห่งโรคหมดได้ในปัจจุบัน?)