จิตแท้ จิตดั้งเดิม (หลวงปู่พุธ ฐานิโย)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 6 พฤษภาคม 2012.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849

    ธรรมเทศนา

    โดย

    หลวงปู่พุธ ฐานิโย

    วัดป่าสาละวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา









    ( ถอดเทปโดย เพื่อน สมาชิก มณีน้อย )




     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    (ตอนที่ 1)


    ดังนั้น ณ โอกาสนี้ อ่ะอื๊มๆ

    จึงขอถือโอกาส ด้วยการนำท่านทั้งหลาย นั่งสมาธิ

    การนั่งสมาธิ เป็นการปฎิบัติสมาธิภาวนาในท่านั่ง
    ในเมื่อเรานั่งลงไปแล้ว รู้อารมณ์ จิตของตัวเอง

    นึกว่า พระพุทธเจ้า ก็อยู่ที่จิตของเรา
    พระธรรม ก็อยู่ที่จิตของเรา
    พระสงฆ์ ก็อยู่ที่จิตของเรา

    พระพุทธเจ้า ก็คือจิตรู้ของเรา
    พระธรรม ก็คือ จิตที่มีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี
    พระสงฆ์ ก็คือ เจตนาตั้งใจจะละความชั่ว ประพฤติดีอยู่ตลอดเวลา


    จิตของเราเป็นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกันแล้วทุกคน

    แต่ว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ของเรามันยังมีพลังน้อย
    เพิ่งเริ่มเป็นแสงริ๊บหรี่ เล็กกว่าแสงหิ่งห้อยนิ๊ดหนึ่ง

    ดังนั้น
    เราจึงมาตั้งใจ ปฎิบัติภาวนา
    เพื่อให้แสงพุทธรรมอันนั้น สว่างไสวขึ้นในจิต

    ด้วยการบริกรรมภาวนา
    ด้วยการพิจารณาสิ่งต่างๆ
    เกี่ยวกับเรื่อง กายและใจ แหล่ะจิตของเรา

    ด้วยการตามรู้อารมณ์จิตของเรา
    ด้วยความมี สติ สัมปชัญญะ อ่ะอื๊มๆ

    ขอบอกอย่างตรงไป ตรงมาว่า

    การทำสมาธิภาวนานี้

    เพื่อฝึกฝนอบรมจิต ให้มีพลังงาน
    คือ สมาธิความตั้งมั่น มี สติสัมปชัญญะ มีพลังแก่กล้า

    ว่องไวต่อการรับรู้ สถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม

    แม้ว่าเราจะภาวนาทำจิตให้มีสมาธิลึกซึ้ง สักเพียงใดก็ตาม

    จุดมุ่งหมายอยู่ที่

    เพื่อ ทำให้จิตมีความมั่นคงต่อการทำความดี
    มี สติ สัมปัสชัญญะพิจารณาให้รู้รอบคอบ

    ไม่ใช่ปฎิบัติอย่างผู้งมงาย นี่อยู่กันที่ตรงนี้

    ส่วนเรื่องกิเลสที่มีอยู่ในจิตในใจของเรานั้น
    อย่าเพิ่งไปพยามละให้มันเสียเวลา


    แต่เรามาสร้างพลังสมาธิ
    คือ ความมั่นคง สติ ปัญญา
    ความเฉลียวฉลาด รอบรู้ ให้มันเกิดขึ้นในจิตของเราให้ได้

    คือ ทำจิตของเราให้เป็น
    ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

    ลักษณะของจิต ที่เป็น
    ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    จิตสงบนิ่ง สว่างไสว ใส่สะอาดเหมือนกระจกเงา

    เมื่อจิตของท่านผู้ใดเป็นอย่างนั้น
    เราสามารถที่จะรู้ว่า จิตแท้ จิตดั้งเดิม จิตที่เป็นพุทธะ
    นั่น มันเป็นอย่างไร

    เมื่อพุทธะยังไม่ปรากฎเด่นชัด
    เราก็ต้องพยายามปฎิบัติเรื่อยไป

    เมื่อจิตมีความมั่นคง
    มีสติมั่นคง
    ความสว่างกระจ่างแจ้ง มองเห็นสิ่งต่างๆ มันจะบังเกิดขึ้นเอง

    ถ้าหากเรายังทำสมาธิ อบรมสติ สัมปชัญญะยังไม่ดีพอ
    หรือ ยังไม่มีพลังงานพอที่จะใช้การได้

    แม้ว่าเราอยากจะรู้ จะเห็นอะไรมันก็เหมือนคนตาบอด
    คนตาบอดมองไม่เห็นอะไร
    แล้วมันจะไปรู้ไปมองเห็นอะไรได้อย่างไร

    ข้อนี้ฉันใด

    จิตที่ยังมืดมน เกิดกิเลสทั้งหลายมันปิดบัง
    ถูกความปราถนา ลามก มันปิดบังอยู่ภายในจิต แล้วมันก็มืดมิด
    ไม่ให้เรามองเห็นสิ่งใดๆ ตามความเป็นจริง

    มันก็จะไปมองเห็นแต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสละทิ้งแล้ว
    เช่น ว่า ลาภ ยศ สรรเสิญ สุข เป็นต้น

    อันนั่นเป็นสิ่งที่ พระพุทธเจ้าท่านสละทิ้งหมดแล้ว

    (อ่านต่อ ตอนต่อไป)

     
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)​


    ทีนี้ เรามามองเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นของดีวิเศษ
    ไปยึดไปปรารถนาอยู่ในสิ่งนั้นเท่านั้น
    ความปรารถนามันก็ปิดบังดวงตา ไม่ให้เห็นธรรมอันละเอียด

    คือไม่ได้มองเห็นธรรมอันถูกต้อง มองไปที่ไหนก็เห็น แต่
    รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นที่น่ารักใคร่ ชอบใจ

    ส่วนดวงจิตที่ สะอาด สว่าง สงบ เราจะมองไม่เห็น
    เพราะกิเลสเหล่านี้มันปิดบัง

    ดังนั้น การปฎิบัติธรรม
    หรือ หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

    ย่อมมีกฎเกณฑ์ที่เราควรจะเอาใจใส่ ศึกษาให้เข้าใจ
    กฎหมายปกครองบ้านเมืองก็ยังมีแม่บท
    แม่บทของกฎหมาย ก็คือ รัฐธรรมนูญ
    รัฐธรรมนูญปกครองบ้านเมืองนั่นเป็นตัวบทกฎหมาย

    ศาสนาพุทธ หลักของการปฎิบัติและคำสอนก็ต้องมีบท

    ตัวแม่บทของศาสนาพุทธคืออะไร ใครรู้มั้ย

    เพราะ ฉะนั้นต้องพยามทำความเข้าใจ
    ตัวแม่บทของศาสนาพุทธ อยู่ที่ มนุษย์ธรรม

    มนุษย์ธรรม อันนั้นคือ ศีล 5

    ศีล 5 ข้อนี่แหล่ะ เป็นแม่บท
    เป็นกฎเกณที่ชาวพุทธผู้นับถือพระพุทธศาสนา
    จะต้องยึดเป็นหลักปฎิบัติ

    ถ้าปฎิบัติตามแม่บทนี้ไม่ได้
    อย่าไปกล่าวถึง ที่เราจะต้องปฎิบัติให้มันได้มรรคผลนิพพานไม่มีทาง

    ถ้าศีล 5 ไม่ดี ความเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์

    เพราะฉะนั้น ศีล 5 นี้
    จึงเป็นคุณธรรม ปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ ให้สมบูรณ์


    แม่ขาว นางชี พระภิษุสงฆ์ สามเณร
    ยังมีการด่า ตำหนิติเตียนกัน เพ่งโทษกัน

    แล้วก็เกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้นมาเพราะไม่มีศีล 5

    ศีล5 มันไม่บริสุทธิ์ จึงด่ากันได้ ตำหนิกันได้ ติเตียนกันได้

    บางทีใครๆ ทำอะไรขึ้นมา ก็ไปเดือดร้อนถึงตัวเอง

    กินข้าวอิ่มแล้ว เลอออกมา คนได้ยินก็ไปเดือดร้อน
    เขาเลออยู่ที่คอ ที่ปากเขา

    นี่รู้เสียเถิด ว่าตัวเองนี่ไม่มีศีล 5
    จึงได้เที่ยวยกโทษ ไปถือเรื่องเล็กๆน้อยๆ
    เอามาเป็นปัญหาให้เกิดเรื่องต้องถกเถียงกัน

    เพราะฉะนั้น หลักการปฎิบัติที่นี่
    อาตมะจึง ย้ำ
    ย้ำย้ำ ย้ำ ย้ำ ย้ำอยู่ที่ 5 ข้อเท่านั้น

    ทำไมจึงต้องย้ำอยู่ที่ศีล 5 ข้อ

    เพราะบริวารของอาตมะยังไม่เลิกทะเลาะกัน

    พวกที่ศีล 5 ไม่บริสุทธิ์ สะอาด แล้วมันจะไปปฎิบัติธรรมขั้นสูงได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น

    จึงจำเป็นจะต้องย้ำอยู่ที่ศีล 5
    ใครจะว่าหลวงตาพุธไม่มีภูมิก็ตามใจ

    เพราะพิจารณาดูแล้ว
    บาปกรรมทั้งหลายที่เราทำลงไปนั่น

    ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการปฎิบัติผิดศีล5 ที่จะต้องไปตกนรก

    เมื่อวานนี้พวกท่านทั้งหลายยังไม่ได้ สมาทาน ศีล 8
    ก็รับทานข้าวเย็นกันอยู่
    บางคนแก่จนจะเข้ากะโลงแล้วก็ยังอุตส่าห์เอาแป้งมาพัดหน้า

    ยังแถมเขียนคิ้ว ทาปากเข้าไปด้วย ก็ยังได้
    ไม่เห็นจะไปตกนรก
    ใครจะประดับตกแต่ง จะทานข้าวเย็น
    หรือ จะฟ้อนรำ ขับร้องประโคมดนตรี

    ดูการละเล่นต่างๆ ก็ดูได้ ทำได้ แต่ไม่มีโทษ ถึงต้องตกนรก
    ถ้าหากว่าใครละเมิดศีล5 ข้อใดข้อหนึ่ง ตกนรกทันที

    นี่คือ แม่บทของศาสนาพุทธ อยู่กันที่ตรงนี้

    ต้องพากันทำความเข้าใจให้ดี
    ถ้าหากว่าผู้บวชในพระพุทธศาสนานี่
    ไม่สังวรในศีล 5 ข้อนี่ อื๊มๆ
    ปฎิบัติศีล5 ข้อนี้ ยังไม่บริสุทธิ์ บริบูรณ์ดี

    แม้ว่าเราจะตั้งใจประพฤติปฎบัติศีล 10 - 227 หรือศีล 8 มันก็พัง

    เพราะตัวแม่บทที่เป็นพื้นฐานมันไม่มั่นคง

    เพราะฉะนั้น
    พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้เราละบาป

    ละบาป ละอย่างไร
    ก็ละที่ศีล 5 นั้นแหล่ะ

    ใครไม่ทำผิดศีล5 ข้อใด ข้อหนึ่ง
    ได้ชื่อว่า ละบาป ได้เด็ดขาด

    เมื่อได้มาละบาปได้โดยเด็ดขาดแล้ว
    ผลเพิ่มของบาปมันก็ไม่มีซิ
    เมื่อวานนี้ทุบหัวปลาต้มยำ รับทานอยู่

    แต่วันนี้หยุดแล้ว

    แล้วก็หยุดต่อไป จนกระทั่งชั่วชีวิต
    บาปมันก็มีอยู่เพียงแค่นั่นแหล่ะ เพียงแค่ทุบหัวปลา

    เพราะเราไม่ได้ทุบมันอีก นี่ พูดง่ายๆ ฟังให้มันเข้าใจ

    เราก็เอาไปพิจารณา ตรวจตราศีลของตัวเอง

    ว่าเรา บริสุทธิ์ บริบูรณ์ดีมั๊ย

    เมื่อปฎิบัติได้ ก็เป็นแผนการ
    ของการตัดผลเพิ่มของบาปไม่ให้มากขึ้น
    มีเท่าไหร่ ก็มีอยู่เพียงเท่านั้น


    (อ่านต่อตอนต่อไป)​
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    ทีนี้ นอกจาก จะเป็นการตัดทอน ผลเพิ่มของบาปแล้ว
    ยังเป็นอุบายบั่นทอนพลังของกิเลสให้ลดน้อยลง
    หรือ หมดไป


    ปฎิบัติอย่างไรเล่าท่าน

    เมื่อโกรธจัด ก็นึกถึงศีล ข้อ ปานาติบาต กับ มุสาวาท
    พระพุทธเจ้าไม่ฆ่า ไม่ด่า ไม่ตี เราก็หยุดทันที

    ถ้าจิตใจมันโลภ มันอยากได้โน่น อยากได้นี่
    ถ้าเป็นทางที่ได้โดยชอบธรรมแล้ว ให้มันโลภไป
    อยากได้อะไรแสวงหาเอาด้วยลำแข็ง
    แต่ให้มันถูกต้องตาม ศีลธรรม กฎหมาย

    แต่ว่า อย่าให้มันผิดศีลข้อ อทินนาทาน

    เจ้าหนุ่ม เจ้าสาว ทั้งหลายเกิดรัก เกิดชอบกัน
    ก็อย่าไปลัก ลอบล่วงเกิน จิตใจของพ่อ ของแม่ผู้ปกครอง

    งดเว้นกันที่ตรงนี้

    ใครนึกอยากจะโกหกหลอกลวงก็นึกถึงศีลข้อ มุสาวาท
    ใครมัวเมาในการเล่นหวยบัตร หวยเบอร์ เล่นการพนัน สุรายาเมา
    ก็นึกถึงศีลข้อ สุรา งดเว้นทันที

    ตั้งใจเอาไว้ว่ามันจะเป็นอย่างไก็ตาม
    ฉันจะหยุด ฉันจะงด ฉันจะเว้น

    ฉันเป็นลูกศิษย์ ของพระพุทธเจ้าแล้วนี่
    ต้องตั้งใจให้มันแน่วแน่
    ว่าเราจะละบาป ตามคำสั่งของพระพุทธเจ้า

    ถ้าเราละไม่ได้ เว้นไม่ได้

    เราจะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร

    นี่ คือหลัก แหล่ะ กฎเกณฑ์ของการละความชั่ว
    หรือ ละความบาป มันอยู่กันที่ตรงนี้
    ถ้าละบาปได้ตามกฎเกณฑ์ของศีล 5 แล้ว หายห่วง !!
    ไม่ต้องไปกังวลอะไรอีก

    เมื่อมีศีล5 บริสุทธิ์ บริบูรณ์ มันก็ตัดกรรม ตัดเวร
    การตัดเวร ก็คือว่า ยุติการทำกรรม
    ยุติการทำกรรมที่ชั่ว
    ที่กระทำให้เกิด เวรอาฆาต พยาบาทจองเวร ซึ่งกันและกัน
    มันก็หมดเท่านั้น


    คือว่า สิ่งใดที่มันจะเป็นกรรมเป็นเวร
    ที่ชั่วจะให้ผลน้อย ก็หยุดมันทันที

    ไม่ต้องไปหาพระที่ไหน มาเสก มาเป่า
    ให้หมดกรรม หมดเวร
    มันไม่มีทางหรอก

    การตัดกรรมตัดเวร

    ก็คือ

    การหยุดทำบาปตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้ วินาทีนี้
    อันนี่ เป็นการตัดกรรมตัดเวร

    เพราะ ฉะนั้น

    หลักของการตัดกรรม ตัดเวร มันอยู่ที่ตรงนี่
    เมื่อเราตัดกรรมตัดเวรได้เด็ดขาด

    ว๊า.!!

    จิตของเรานี้มันสงบไปแล้ว 50 เปอร์เซ็นแล้วน่ะ โยมน่ะ

    มัน สงบอย่างไร !!

    เพราะมันไม่มีความหวาดระแวง
    ว่าคนโน้นเขาจะมาทำร้าย คนนี้เขาจะมาทำร้าย

    ผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ สะอาดดีเนี๊ยะ
    เป็นผู้ยอมเสียสละชีวิต เพื่อ ชีวิตของคนอื่น

    ชีวิตเลือดเนื้อในกายของเรา สละทิ้งหมดแล้ว
    แม้จะเข้าไปในป่าเสือมันก็ไม่กิน
    เพราะเสือมันไม่อยากกินของที่เขาทิ้งแล้ว
    มันจะกินแต่ของที่เขาหวงเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น

    เรามาเป็นนักปฎิบัติ ต้องทำความเข้าใจในแม่บท
    ของศีลหรือระเบียบ ที่เราจะพึงปฎิบัติอย่างเคร่งครัด

    แล้วก็ตั้งใจ ทำสมาธิภาวนา โดยวิี่ธีการต่างๆ ที่เราคล่องตัว
    แหล่ะ ชำนิ ชำนาญ มาแล้ว อ่ะอื๊ม ให้จิตมันมีความมั่นคง

    (อ่านต่อตอนต่อไป)​
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)​


    ทีนี้ สำหรับวิธีการทำสมาธิในวันนี้
    จะขอแนะแนะ เอา ไว้ 2 วิธี
    วิธีหนึ่ง ท่องบริกรรมภาวนา
    พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ
    เอาไว้ทุกลมหายใจ
    ไม่เฉพาะแต่เวลาที่เรามานั่งอยู่เดี๋ยวนี้
    ยืน เดิน นั่ง นอน รับทาน ดืม ทำ พูด คิด
    ท่อง พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ได้ตลอดเวลา
    เวลาเราพูดมีสติ เวลาเราคิดมีสติ
    เมื่อเราท่องพุทโธแล้วมันเป็นอุบายทำจิต ให้มีสติ สัมปชัญญะ
    แล้วก็มีพลังของสมาธิบังเกิดขึ้น
    จิตมีความเข้มแข็ง สติ ว่อง ไว รู้ทันการณ์
    ต่อไปเราอาจจะไม่ท่องพุทโธก็ได้
    กำหนดตามรู้ ยืน เดิน นั่ง นอน รับทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
    ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ
    นกระทั่งมันเป็นเองโดยอัตโนมัติ
    ทีนี้ ประโยชน์อะไรที่เราจะต้อง
    มาทำสติ กำหนดตามรู้ ตาม ยืน เดิน นั่ง นอน รับทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
    เป็นอุบายวิธี ฝึกหัดจิต ของเราให้มีความสำรวม
    เมื่อเรามีสติรู้ อยู่กับสิ่งเหล่านี้

    จักขุนา สังวะโรสาธุ เราก็ได้สำรวมตา

    สาธุโสเตนะสังวะโร เราก็ได้สำรวมหู
    นาสิกาเยนะสังวะโรสาธุ เราก็ได้สำรวมจมูก
    ชิวหายะสังวะโรสาธุ เราได้สำรวมลิ้น
    กาเยนะสังวะโรสาธุ เราได้สำรวมกาย
    มนัสสาสังวะโรสาธุ เราได้สำรวมจิต

    การสำรวมนั้นคือเจตนาตั้งใจ คอยระแวด ระวัง
    เป็นอุบายให้เกิด สติ สัมปชัญญะ
    เพราะสิ่งนั้นนั้น เป็นอารมณ์จิต
    เมื่อจิตมีอารมณ์สิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึกย่อมเพิ่มพลังงานขึ้นมา
    ทำให้ศีลบริสุทธิ์สะอาด
    เพราะ เรามีสติคอยระมัดระวังอยู่
    ตาเห็นรูป มี สติ
    หูได้ยินเสียง มี สติ
    จมูกได้กลิ่น มี สติ
    ลิ้นได้รส มี สติ
    โดยเฉพาะ เรื่องลิ้น
    ได้อาหารที่มีรสถูกปากไม่ถูกปากไม่สำคัญ
    ถ้ามันอร่อยก็กินให้มันมากๆ
    ถ้ามันไม่อร่อยก็กินแต่น้อยๆ
    อย่าไปคิดน้อยอก น้อยใจ แล้วอย่าบ่น เอากันแค่นี้
    กายถูกต้องสัมผัสก็ มี สติ
    ใจนึกคิดก็ มี สติ
    เอาสติตัวเดียว คอยกำกับ ระมัดระวังอยู่

    ในเมื่อเรา มี สติ สังวร ระวังอยู่กับสิ่งเหล่านี้
    มันก็เป็นอุบายวิธี ให้กายวาจาแหล่ะใจของเราเป็นปกติ

    กายปกติ ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ขโมย
    ไม่ประฤติผิดข้อกาเมสุมิฉาจาร
    ไม่ดืมน้ำเมา
    วาจาของเราไม่พูดปด
    ไม่พูดส่อเสียด
    ไม่พูดคำหยาบ
    ไม่พูด อ่า เพ้อเจ้อเหลวไหล
    ใจของเราไม่เพ่งเล็ง ในสมบัติของคนอื่น
    ไม่อยากได้สมบัติของคนอื่น
    ไม่พยาบาท อาฆาต เคียดแค้นใคร
    มีใจ มีความเห็นชอบ เรียกว่า สัมมาทิฐิ
    เห็นว่าบาปมี บุญมี สุขมี ทุกข์มี
    พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มี

    ผู้ปฎิบัติตามคำสอนของ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
    จิตย่อมมี สมาธิ มีสติ ปัญญา
    ได้ความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมะ ตามกฎแห่งความเป็นจริง
    คือ รู้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

    เมื่อจิตมีพลังงานดีแล้ว
    มันจะรู้ ของมันเองไปหมดนั่นแหล่ะ
    แต่นี้เราปฎิบัติยังไม่ถึง
    ยังไม่ได้
    แต่เราอยากจะรู้มากๆ
    รู้มากๆ แล้วก็ได้แต่คุย กลายเป็นคนตาบอดคุยสูง

    เพราะฉะนั้น
    เราอย่าหัดเป็นคนตาบอดคุยสูง
    นักปฎิบัติทั้งหลายโดยส่วนใหญ่ มีแต่คนตาบอด คุยสูง

    ผู้ที่ทำตัวเป็นนักปฎิบัติ เป็นกรรมฐาน ถ้าหากว่าเราปฎิบัติสมาธิ
    สมาธิยังไม่เกิด จิตยังไม่เป็นสมาธินี่ เราจะคุยไม่ได้หรอก

    ถ้าขืนคุย ก็มีแต่เรื่องโกหก
    มนุษย์ในโลกนี้ ใครหนอ จะโกหกได้แนบเนียน
    เกินพระผ้าสีดำๆไม่มี
    เพราะฉะนั้นให้ระวัง

    ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านย้ำนัก ย้ำหนา ว่า
    เอาสมาธิให้มันได้

    เอาสมาธิให้มันได้
    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
  6. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    พี่ปราบมีข้อวัตร พี่ปราบมีครูอยู่เสมอ เอาปาย สองขวดกระทิงดง อนุโมทนาครับ สาธุ
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ( ต่อจากตอนที่แล้ว )


    ทีนี้ การทำสมาธิ ทำอย่างนี่ เด้อ

    ก็ไปลองทำลองดูเถอะ


    ถ้าใครไม่เชื่อก็รับฟังไว้ แล้วก็ทำไว้ ลองดู
    วันนี้ก็มีแม่ชีคนหนึ่ง ไปถามว่า
    ทำไมจิตใจมันมีแต่ความฟุ้งซ่านมันไม่สงบสักที ว่าอย่างนั้น

    สงสัยจะไปโดนใครโกหกมาละมั้ง
    ว่าจิตมันฟุ้งซ่านมันเป็นอย่างนี้แหล่ะ

    ศีลอบรมสมาธิ ศีลนี่ หมายถึง ศีลที่บริสุทธิ์
    อย่างต่ำศีล 5
    กาย วาจา บริสุทธิ์ ปราศจากโทษ

    เมื่อมานั่งสมาธิแล้วจิตก็สงบเป็นสมาธิได้ง่าย


    สมาธิที่มีศีล เป็นเครื่องประกันความปลอดภัย

    มันทำให้เกิดปัญญา
    ทีนี้

    คำว่า ปัญญา ที่เกิดขึ้นมานี่


    มันไปรู้พระไตรปิฏก
    จบทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ อย่างงั้นหรือเปล่า

    อย่าไปเข้าใจผิดอย่างนั้น


    ปัญญาที่มันเกิดขึ้นก็คือความคิด ที่มันคิดไม่หยุดนั้นเอง

    จะเป็นความคิดอะไรก็ได้ ที่มันคิดไม่หยุด


    เราไม่ได้ตั้งใจคิดมันก็คิดของมันขึ้นมา

    ตั้งใจคิดมันก็คิดของมันขึ้นมา


    เพราะที่เราไปเข้าใจผิดว่า ความคิดนั้น คือ ความฟุ้งซ่าน

    แล้วเราก็อยากจะให้จิตมันหยุดคิด


    เพราะเราติดความสงบ
    ติดความนิ่งของจิต

    แต่แท้ที่จริง
    <O:pคำบริกรรมภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ

    ที่ท่องเอาไว้นั่นนะ </O:p


    <O:pมันอะไรเสียอีก ก็คือความคิดนั้นแแหล่ะ

    <O:pมันอะไรเสียอีก ก็คือความคิดนั้นแแหล่ะ
    </O:p


    <O:pทีนี้เมื่อภาวนา พุทโธ พุทโธ

    หัดคิด พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ</O:p


    <O:pจนคล่องตัว ชำนิ ชำนาญแล้ว

    สมาธิมันเกิดเอง </O:p


    <O:pพอสมาธิมันเกิดขึ้นมานิดหน่อย

    มันก็ทิ้งพุทโธ ที่มันตั้งใจคิดอยู่นั่น</O:p


    <O:pแล้วไปคิดอย่างอื่นขึ้นมา

    ความคิดอย่างอื่น นั่นก็คือความคิดเหมือนกันกับ พุทโธ นั่นแหล่ะ</O:p



    เพราะฉะนั้น


    เมื่อจิตมีความคิดเกิดขึ้นมาเอง ปล่อยให้มันคิดไปเลย

    ปล่อยให้มันคิดไป แล้วเอาอย่างนี้
    ตั้งใจเอาไว้ว่า เอ๊า เอ๊า เอ๊า
    แกจะคิดไปถึงไหน ฉันจะตั้งใจดูแก

    คิดไปเหนือไปใต้
    คิดไปนรก

    คิดไปสวรรค์

    คิดไปบ้าน
    คิดไปช่อง
    คิดไปเที่ยวหาเที่ยวแส่ เที่ยวสาว
    คิดไปลักไปขโมย ไปจี้ ไปปล้น
    ตามมันไป ตามมันไป รู้มันไป มันจะไปถึงไหน

    ที่นี้

    ถ้าเราเอาความคิดนั้น เป็นอารมณ์ของจิต

    กำหนดสติ ตามรู้ รู้ รู้ รู้ รู้ รู้ มันไป
    เมื่อสติสัมปชัญญะตัวนี้ มีพลังแก่กล้าขึ้น


    ผลมันจะเกิดขึ้นเป็น 2 อย่าง


    (อ่านต่อตอนต่อไป)

    </O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 พฤษภาคม 2012
  8. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    การบวชทำไหมถึงภาวนาง่าย หรือเพราะืถือศีลมากกว่า

    จริงจริงแล้ว การบวชมีความหมายว่ายังไง
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ขอ เป็น กุศลจากการที่พี่เกิด
    จำบท กรณียเมตราสูตรได้ขึ้นใจโดยไม่ต้องใช้หนังสือสวดมนต์
    ขึ้นใจเมื่อไรแล้วนึก แบ่งบุญอุทิศมาให้ผมได้อ๊ะ ป่าว

    เบื่อกระทิงดงแล้ว
     
  10. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    เข้าใจว่า
    ผู้เป็นบรรพชิต หรือภิกษุ
    ไม่มีความกังวล ในการหน้าที่ เหมือนที่ฆราวาสมี
    มีความมุ่งตรงต่อการวิเวก มุ่งตรงต่อความเพียรทำนิพพานให้แจ้ง

    อันนี้เป็นเหตุหนึ่งจึงเรียกว่า ภาวนาได้ง่ายกว่า

    ศีลน้อยข้อ ศีลมากข้อ อยู่ที่ปัญญาอินทรีที่มีอยู่ในความพอดี

    สำหรับผมแล้ว การบวช คือการตั้งใจจริง แน่วแน่ และ สืบต่อ
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)​


    ถ้าสติตามทันตามคิดทุกขณะจิต
    จิตคิดไป ดูไป คิดไป ดูไป คิดไป ดูไป
    ตัวคิดไม่หยุด นั่น เป็นตัว วิตก

    สติ รู้พร้อม ในขณะที่จิตมีความคิด นั่นคือตัว วิจาร <O:p</O:p


    จิตคิดไม่หยุด เรากำหนดดูมันเรื่อยไป

    ประเดี๋ยวปิติ มันก็บังเกิดขึ้น คิดไปดูไป คิดไปดูไป
    กายก็เบา จิตก็เบา
    หนักๆเข้า กายก็สงบ จิตก็สงบ

    มันสงบอย่างไร มันคิดอยู่ไม่หยุด มันสงบอย่างไร

    เอาคำภีร์ไหนมาพูด !!!<O:p</O:p


    มันคิดอยู่มันสงบ เพราะจิตตัวรู้ สติตัวรู้ มันเป็นปกติ

    ไม่มีความยินดี ไม่มีความยินร้าย

    ในความคิดนั้น คิดแล้วก็ปล่อยวางไป<O:p</O:p


    พออารมณ์กับจิตมันดูดดื่ม ซึมซาบ
    สติ ที่ไปกำหนดรู้ อยู่ที่ความคิด ที่เกิดดับอยู่กับจิต

    อย่างแน่วแน่มั่นคง รู้ทันทุกขณะจิตเขาเรียกว่าอะไร <O:p</O:p


    ห๊า !!<O:p</O:p

    จิตตานุปัสนาสติปัฏฐานไม่ใช่หรือ !!

    ฮึ๊ ภาวนามาจนประสาทโง่ โง่ไม่เข้าท่า
    ความคิดที่มันคิดอยู่ไม่หยุด

    สติจะตั้งอยู่ที่ความคิด
    กำหนดรู้ ที่ความคิดตลอดไป นี่แหละ ตัวนี้แหล่ะ
    เขา เรียกว่า ธรรมมานุปัสนาสติปัฎฐาน<O:p</O:p

    นักปฎิบัติทั้งหลายโง่มานานแล้ว<O:p</O:p

    เพราะฉะนั้น
    ทำความเข้าใจซะให้ดี
    ท่านอาจารย์เสาร์ ท่านพูดเป็นคติเตือนใจไว้ว่า<O:p</O:p

    “ โอ้ ..เมื่อก่อนนี้ จิตข้ามันสงบสว่างไสว
    แต่เดี่ยวนี่ มันมีแต่ความคิด มันไม่สงบสักที “ <O:p</O:p

    นี่อาจารย์ใหญ่เปิดคัมภีร์ เอาไว้อย่างนี่
    ทำไมลูกศิษย์ ไม่จดจำคำสอนของอาจารย์<O:p</O:p

    เอ๊อ ..เพราะฉะนั่น
    เรามาสอนกรรฐานอยู่นี้

    เกือบ 20 ปี หรือ 20 ปีแล้ว
    มันจึงหาคนเอาดิบ เอาดีไม่ได้<O:p</O:p


    เพราะไม่เชื่อครูบาอาจารย์

    อาจารย์ใหญ่ท่านว่า

    “เวลานี้จิตข้าไม่สงบ มีแต่ความคิด” <O:p</O:p


    พอถาม ท่านว่า

    “จิตมันเสื่อมหรืออย่างไร”
    “อ่าวถ้ามันเอาแต่นิ่งสงบอย่างเดียวมันก็ไม่ก้าวหน้าซี๊ ”


    ท่านว่าอย่างงี้ล่ะ

    เพราะฉะนั้น
    เราเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์

    สังเกตดูให้ดี

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 พฤษภาคม 2012
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)​

    ถ้าขณะใดจิตของเรามีความคิด
    ก็ปล่อยให้มันคิดไปบ้าง

    แต่ให้มีสติกำหนดตามรู้ไป
    ถ้ากำหนดตามรู้ไปแล้ว ถ้ามันนิ่ง ว่าง

    ก็ปล่อยให้มันว่าง
    อย่าไปคิดอะไรขึ้นมา
    อย่าไปตั้งใจคิด


    แต่ถ้ามันคิดขึ้นมาเองแล้วให้ดูมันทันที ไล่กันไปอย่างนี้

    โดยธรรมชาติของจิตถ้ามีอารมณ์สิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก
    จิตของเราก็จะมีความมั่นคงต่อการจดจ้องดูอารมณ์ที่เกิดดับอยู่

    สติสัมปชัญญะก็รู้พร้อมอยู่

    จิตคิดไปเอง สติกำหนดรู้เองโดยอัตโนมัติ
    แล้วก็ มีปิติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่งซึ่งเรียกว่า เอกัคคัตตา

    ถ้าจิตดำเนินอยู่ในระดับนี้มีความมั่นคงไม่หวั่นไหว
    ถ้าได้ฌานที่ 1 ซึ่งเรียกว่า ปฐมฌาน

    เพราะฉะนั้น

    จิตเดินขั้น สมถะก็ดี วิปัสนาก็ดี
    มันก็อาศััย องค์ฌานนั้นแหละเป็นเครื่องหนุน

    ทีนี่ เวลาเราพิจารณาไป บริกรรมภาวนาไป
    สติมันคิดขึ้นมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
    เรารู้สึกไม่พอใจ บางครั้งจะให้มันหยุดคิด มันไม่ยอมหยุด

    นั่น คือมันได้วิตก

    วิตกก็คือความคิด
    ความคิดอันใดที่มีสติรู้พร้อมในขณะจิตนั้น
    เรียกว่า จิตได้ วิตก วิจาร

    เป็นองค์ประกอบของฌาน
    เป็นองค์ที่ 1 แหล่ะองค์ที่ 2 ของฌาน

    ทีนี้ เมื่อมีฌานประกอบด้วยองค์ 1 องค์ 2 แล้ว
    จิตมันซึมซาบในอารมณ์ของฌานนั้น
    มันก็เกิด มีปิติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง

    จิตมันก็มีสติอยู่
    ตัวคิดมันก็คิดของมัน งั๊ม ๆๆๆๆๆ
    ดูไป ดูไป ดูไป เพลินไป เพลินไป สนุกไป สนุกไป
    อ่า ทางทีจิตบางตัว เนี๊ยะ ก็ดูไป ดูไป ดูไป เพลินไป เพลินไป เพลินไป
    มันเกิดสว่างขึ้นมา แล้วพอมันเกิดสว่างขึ้นมา แล้วมันฉายหนังให้ดูปรากฎเด๊
    อื๊ม
    จิตมันฉายหนังให้ดู ดอกเด่ะ
    เมื่อมันสว่างไสวแล้ว กระแสมันส่งออกไปข้างนอก

    บางทีมันก็ไปเป็นจอสี่เหลี่ยมอยู่ข้างหน้า

    แล้วมีรูปภาพอะไรต่างๆขึ้นมา


    ในขณะนั้น จิตของใครไปฝังแน่น หรือ
    ผูกพันธ์กับสิ่งใดๆเมื่อก่อนเข้าสมาธิ

    มันก็จะแสดงมโนภาพ เป็นตนเป็นตัวขึ้นมาให้มองเห็น
    เหมือนกับเรานั่งดูโทรทัศน์นั้นแหล่ะ

    บางที คนที่มีโชคดีก็เห็นตัวเลขไหลเข้ามา ล่าย ล่าย ล่าย
    ออกจากสมาธิแล้ว ก็วิ่งไปซื้อ

    นั่นคือ ดอกไม้ พญามาร

    พิจารณาดูให้ดีเด้อ นักปฎิบัติทั้งหลาย

    (อ่านต่อตอนต่อไป)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 พฤษภาคม 2012
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)​


    มีอุบาสิกาสาวๆคนหนึ่งมาจากกรุงเทพฯ
    เข้ามาถามว่าเมื่อก่อนนี้ หนูนั่งสมาธิจิตสงบสว่าง
    อยู่มาวันหนึ่งภาวนาไปแล้ว มันเห็นเลข หวยเบอร์ เลข 3 ตัวออกมา ​

    ออกจากสมาธิมาแล้ว ก็เลยไปซื้อหวยถูกจริงๆ​

    ทีนี้
    พอเสร็จแล้ว ภายหลังมาภาวนา แล้ว มันไม่เป็นอย่างเก่าเลย
    เค้าก็เลยเกิดสงสัยว่าทำไมมันจึงเป็นอย่างงั้น ​

    เอ้า ..มันก็เป็นอย่างนั่นซิ ตัวไปทำผิดศีล ​

    คนซื้อหวย ซื้อเบอร์นี่
    คนขายก็ผิดกฎหมาย คนซื้อก็ผิดกฎหมาย
    ในเมื่อไปขโมยซื้อมันก็เป็น อทินนาทาน
    ศีลข้ออทินนาทาน มันไม่บริสุทธิ์ มันวิบัติแล้ว
    จะภาวนาได้อย่างไร
    แน๊..
    อย่าไปเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยน๊า เรื่องแบบนี่
    นักปฎิบัติควรจะได้พิิจารณาให้มันซึ้งๆ ​

    อ่ะอื๊มๆ​

    เอาพูดมามากแล้ว ต่อไปนี้
    เรามาตั้งใจบริกรรมภาวนาทำสมาธิ
    ให้จิตใจมันสงบนิ่งเป็นสมาธิ ​

    ขอให้ทุกท่านกำหนดบริกรรมภาวนา
    พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ไว้ในใจ​

    สำหรับ ผู้ที่หัดภาวนาใหม่ ถ้า พุทโธ พุทโธ พุทโธ​

    ถ้าจิตมันทิ้งพุทโธ ไปคิดอย่างอื่น ​

    ก็ให้ดึงมาหาพุทโธ แล้วท่อง พุทโธ พุทโธ พุทโธไปใหม่​


    สำหรับผู้ที่
    ภาวนาพุทโธ มาจนคล่องตัว
    จนจิตมันเกิดความคิดอ่านขึ้นมาแล้ว
    ปล่อยให้มันคิดไปเถอะ แต่สังเกตดู
    ถ้ามันอยู่ในลักษณะที่เบากาย เบาใจ
    อารมณ์เป็นที่สบายก็ปล่อยให้มันไป
    แต่ให้มีสติกำหนดตามรู้ นี่ เคล็ด ของการปฎิบัติมันอยู่ตรงนี้​

    ทีนี้
    อะไรมันจะเกิดขึ้น
    กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ
    ตัวสั่น ตัวโยก ตัวโคลง ​

    หรือ
    ลมหายใจทำท่าจะหายขาดไป​

    หรือ
    มีอะไรเกิดขึ้น ให้ เฉย อยู่ ​

    กำหนดรู้อยู่ที่จิตเพียงอย่างเดียว
    ในชัวโมงนี้ให้ตัดสินใจเด็ดขาด
    ว่า
    อะไรเกิดขึ้นฉันไม่สนใจทั้งนั้น
    ฉันจะดูจิตของฉันอย่างเดียวเท่านั้น ​

    แล้วก็ตั้งใจบริกรรมภาวนาไป ​

    ผู้ที่เคยพิจารณาอะไรจนคล่องแล้ว
    ก็พิจารณาไป ตามที่ตนถนัดก็แล้วกัน จึงจะรู้วาระของจิต ​

    (อ่านต่อตอนต่อไป)​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 พฤษภาคม 2012
  14. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    อนุโมทนาครับ..ชอบๆ พี่ปราบมีเจโต กับเจได..แน่ๆเลย..ผมกำลังนึกถึงบทสวดกรณียเมตตาสูตรอยู่พอดี เวลาลุยป่า จะได้ไม่กลัวอสูรกาย..พี่ปราบฝึกยังไงนี่ยังไงก้แล้วแต่.. ยังก่อน รอก่อน..รอผมด้วยครับ สาธุ
     
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)​

    เรากำหนดรู้จิตของเราในท่าใด
    เช่นว่า เดินจงกรม
    ขณะที่เดินจงกรม ก็กำหนดอารมณ์ภาวนาเหมือนกับขณะที่เรานั่ง​

    เช่น นั่งภาวนา พุทโธ พุทโธ
    เดินจงกรมก็ พุทโธ พุทโธ หรือ ยุบเหนอพองหนอ แล้วแต่ถนัด ​

    ผู้ใดยืนกำหนดจิต ก็ภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ
    เวลานอนลงไป ก็พุทโธ พุทโธ จนกว่าจะนอนหลับ​

    ตื่นขึ้นมาเมื่อไรนึกพุทโธเอาไว้ทันที นี่ให้ปฎิบัติอย่างนี้ตลอดไป ​

    ถ้าผู้ใดสมาธิเรามาสำรวมจิต สำรวมใจเฉพาะเวลานั่งหลับตาสมาธิพุทโธ พุทโธ
    พอออกจากที่นั่งสมาธิไปแล้ว เราไม่เอาใจใส่ตัวเอง ​

    คือ ไม่ฝึกสติ มันจะไม่คุ้ม ​

    เพราะว่า เวลาทำสมาธิของเรามันน้อยเกินไป ​

    เพราะงั้น​

    ต้องหัดทำใจให้มีสมาธิอยู่ทุกขณะจิตทุกลมหายใจ ​

    นอนหลับลงไปแล้วก็ให้มันมีสมาธิอยู่ ​

    ซึ่งมันจะเป็นไปเองเมื่อเราฝึกอบรมให้คล่อง ให้ชำนิชำนาญแล้ว ​

    บางทีบางคนภาวนาหนักๆเข้า จิตสงบสว่าง
    เวลานอนแล้วจิตมันก็สงบสว่าง

    บางทีเข้าใจว่าตัวเองนอนไม่หลับก็มี

    แต่แท้ที่จริง จิตมันเป็นสมาธิ

    จิตสมาธินี่ถ้าเราฝึกให้มันคล่องชำนิชำนาญแล้ว
    การนอนไม่มีหรอก
    นอนก็นอนแต่กาย แต่ว่าจิตมันไม่ยอมนอน

    พอนอนหลับปุ๊บลงไป มันก็สว่าง รู้ อยู่ในจิตตลอดคืน นั่นจิตมันอยู่ในสมาธิ


    บางที่นักภาวนารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ว่าตัวเองนอนไม่หลับ
    สงสัยตัวเองอยู่เรื่อย ถ้าใครสงสัยคล่องใจก็ให้ทดลองพิจารณาดู
    ถ้านอนลงไปแล้ว มันไม่หลับตลอดคืน ตื่นขึ้นมาแล้วมันง่วงมั๊ย
    มันเพลียมั๊ยมันอ่อนมั๊ย นี่ให้กำหนดหมายรู้อย่างนี้


    ถ้าหากว่ามันไม่ง่วงไม่อ่อนเพลีย กายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ
    แล้วไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
    นั่นแสดงว่า
    จิตมันอยู่ในสมาธิ กายมันได้นอนหลับอย่างเต็มที่
    แล้วเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ทำให้กายเบา ทำให้จิตเบา ทำให้กายสงบ ทำให้จิตสงบ


    เมื่อกายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ เราก็ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
    สิ่งแปลกๆทั้งหลายเหล่านี้ มันจะบังเกิดขึ้น
    บางทีเรานอนลงไปแล้ว กำหนดจิต จิตมันหลับแล้วมันก็สงบสว่าง
    บางทีมีคนมาปลุก เรานอนไม่รู้สึกตัว ทีนี่เมื่อเรารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

    แล้วเพื่อนถามว่านอนหลับหรือเปล่า .. ไม่ได้นอนหลับ
    อ้าว ..ไม่ได้นอนหลับทำไมปลุกไม่ตื่น แล้วเราก็จะสงสัยตัวเอง
    ถ้าจิตอยู่ในสมาธิขั้น อัปนาสมาธินี่ ใครจะทุบอย่างไรมันก็ไม่ตื่น
    เอาไฟมาจี้มันก็ไม่รู้จักเจ็บ
    ถ้าคนภาวนาเค้าไม่อธิฐานจิตเอาไว้ว่า ถึงเวลานั้นเค้าจะออกจากสมาธิ
    ในช่วงที่ไม่ถึงเวลาที่เค้ากำหนดไว้นี่ ใครจะมาทำอะไรมันไม่รู้สึกตัว
    เพราะอย่างนั่นนี่ อันหนึ่งแล้ว ที่ทำให้นักปฏิบัติจะต้องสงสัย


    ข้อ หนึ่ง เมื่อจิต สงบบ่อยๆ บ่อยๆบ่อยๆเข้า
    ที่หลังมา มันสงบลงนิดหน่อย
    ความคิดมันก็ ฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้งฟุ้งขึ้นมา
    เราก็จะว่าจิตของเรามันฟุ้งซ่าน ให้สังเกตุดูให้ดี
    เมื่อจิตมีความคิดเรากำหนดดู ถ้ามันรู้สึกว่าเออ..ความคิดมันช่วยให้เราสะบาย
    ก็ปล่อยให้มันคิดไป


    และอีกอย่างหนึ่งเมื่อทำสมาธิเก่งแล้วมันนอนไม่หลับ
    เลยสงสัยตัวเองเป็นโรคประสาทหรือเปล่า ประเดี๋ยววิ่งไปหาหมอ
    หมอก็จะหาว่าอ้าวเราเป็นโรคประสาท ฉีดยาระงับโรคประสาทเข้าให้
    ประเดี๋ยวมันก็จะสะลึมสะลือ เป็นเดือนเป็นปี
    อันนี่หลวงพ่อเคยเจอมาแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเตือนท่านทั้งหลายเอาไว้

    (อ่านต่อตอนต่อไป)​
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ดีแล้ว ดีแล้ว จำให้ได้ขึ้นใจเป็นพื้นฐานก่อน
     
  17. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>หลงเข้ามา </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ใครหนอ ^^
     
  18. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    แล้วถ้าคิดอกุศลล่ะ ^^
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    ปราบเทวดา*, หลงเข้ามา


    พอดีล้อมาหยุด แถวๆบิ๊กบะหมี่
    ไปก่อนเด้อ ได้เวลาแระ
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ง่ายมาก ติดตามอ่านตอนต่อไป

    แต่เดี๋ยวก่อน หาก อดใจไม่ไหว ให้กลับไปอ่านตั้งแต่ตอนแรกใหม่ ^^

    วิสกัส วิสกัส
     

แชร์หน้านี้

Loading...