ฉบับที่ ๑๘ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 16 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    เดือนตุลาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    [​IMG]






    ถาม : คนที่ฆ่าตัวตายนี่จำเป็นต้องลงนรกทุกคนหรือไม่ครับ ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วจะลงนรก ถ้าหากว่าตามประวัติที่รอดมาได้จริง ๆ ก็คือ พระโคธิกะไปนิพพานเลย แต่ว่าฆ่าแบบพระโคธิกะกับฆ่าแบบคนทั่วไปมันต่างกันมหาศาล ฆ่าแบบพระโคธิกะเพราะเห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายมันจริง ๆ แต่ฆ่าอย่างคนส่วนเพราะจิตใจเศร้าหมอง น้อยใจคนอื่น ต้องการประชดชีวิต ต้องการประชดชีวิตคนอื่น คนที่จิตใจเศร้าหมองแล้วไปทำกรรมที่กรรมใหญ่ขนาดนั้นนี่รอดนรกยาก
    ถาม : ถึงแม้เขาจะทำบุญที่มีอนิสงส์มาก ?
    ตอบ : คราวนั้นกรรมมันตัดแล้ว เพราะว่าเรื่องของบุญของกรรมนี่ให้วาระให้เวลาของการสนองที่มันต่างกัน สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ ถ้าช่วงวาระของกรรมมันเข้าบุญก็ต้องถอย
    ถาม : พระโคธิกะนี่ท่านบรรลุก่อนที่จะเชือด จะทำ....?
    ตอบ : คือท่านตัดสินใจเด็ดขาดแล้วท่านก็เชือด เพราะว่า ตัวตัดสินใจเด็ดขาดมันน่าจะจบกันไปตรงนั้นแล้ว มีเหมือนกันนะคนอยากเป็นแบบพระโคธิกะแต่ทำไม่ได้ แล้วไม่กล้าเชือดเองให้คนอื่นเชือดให้ มีลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่น ๆ เดียวกับอาตมานี่แหละ ผู้หญิงด้วย จริง ๆ แล้วจะว่าใจคอเข้มแข็งก็ไม่ใช่หรอก คือตอนที่อยู่เขาก็เรียกว่ายายเพี้ยน (หัวเราะ) ตอนแรกมันตั้งใจจะอดข้าวตายแล้วทำไม่สำเร็จ ไปกลั้นใจตาย ก็ไม่สำเร็จ ก็บอกว่าสองอย่างนี่มันเหลวไหล คนอดข้าวตายสำเร็จนี่ต้องกำลังใจขนาดพระพุทธเจ้า คือกำลังใจพระโพธิสัตว์บารมีเข้มเลยอย่างนั้นได้ ไม่อย่างนั้นมันหิวมาก ๆ ทนไม่ไหวก็ตะกายไปหากินเอง ให้กลั้นใจตายนี่มันเหลวไหลหนักเข้าไปอีกเพราะระบบร่างกายมันทำงานอัตโนมัติ พอขาดออกซิเจนมันก็กระตุกให้หายใจเอง มาตอนหลังให้เพื่อนเชือดคอให้ ตอนแรกไม่ตาย ตอนหลังนี่ตายสมใจอยาก
    ถาม : หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่าคนที่บอกว่าตัวเองไม่กลัวตาย แต่ตัวเองไม่เป็นพระอรหันต์ หลวงพ่อท่านบอกว่าพูดไม่จริง ?
    ตอบ : ไม่จริง บุคคลที่ไม่กลัวภัยจริง ๆ ท่านบอกว่ามีม้าอาชาไนย ช้างศึกที่กำลังออกสงคราม พระเจ้าจักรพรรดิราชเพราะรู้ว่าไม่มีศัตรู แล้วก็พระอรหันต์เพราะว่าไม่เป็นศัตรูกับใคร
    ถาม : การฝึกวิชามโนมยิทธิ ถ้าไม่มีพื้นฐานเลยเข้าไปฝึกเลยจะได้มั้ยคะ ?
    ตอบ : คำว่าพื้นฐานนี่หมายถึงว่าในชาติปัจจุบันนี้ไม่เคยฝึก ชาติก่อนเคยฝึกอยู่จะได้ คือว่าพื้นฐานของมโนมยิทธิ จริง ๆ แล้วเป็นการเอาของเก่ามาใช้ ไปพื้นของเก่าของเราเอง อยู่ ๆ มีเงินอยู่ในกระเป๋าสตางค์ใช้ไม่เป็น เขาบอกวิธีเปิดกระเป๋าล้วงเงินมาใช้แค่นั้น ถ้าหากคนไม่เคยได้มโนมยิทธิมาในชาติก่อนนี้จะฝึกไม่ได้ เพราะฉะนั้นพื้นฐานนี่ ถ้าเป็นพื้นฐานในชาติปัจจุบันยิ่งไม่เคยฝึกอะไรมายิ่งได้ง่าย มันฟุ่งซ่านมากไปติดของเก่าอยู่ แต่ถ้าหากว่าพื้นฐานในอดีตไม่มีต่อให้ปัจจุบันมีแค่ไหนนี่ เป็นแสนชาติกว่าจะได้
    ถาม : ของเก่าที่ว่านี่ ?
    ตอบ : ของเก่า คือเราเคยได้มาก่อนเอาเป็นอันว่าถ้าหากว่าคนไหนอยา่ก ส่วนใหญ่มันจะมีของเก่ามาก่อน คือได้ยินแล้วอยากฝึกเหลือเกินอะไรอย่างนั้น พวกนี้ส่วนใหญ่มักจะได้ง่าย ของเก่าเขาตุนไว้พอแล้ว
    ถาม : ก็คือหมายความว่าถ้าอยากฝึกแสดงว่าเคยฝึกมาก่อน แต่ถ้าฝึกแล้วมันไม่สำเร็จล่ะคะ ?
    ตอบ : อันนั้นบางทีก็คือความอยากมากเกินไป ตัวอยากมากเกินไปมันจะบังหน้าอยู่ ขณะเดียวกันอาจวางกำลังใจไม่ถูกด้วย ของพวกนี้มันมีเคล็ดลับอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ของมันอยู่ ถ้าวางกำลังใจตรงปั๊บนี่มันได้ง่าย ๆ เลย แต่ขณะเดียวกันบางคนความพยายามสูงมาก แต่มันอยากเกินไป หน้าต่างมันอยู่ตรงนี้อยากดูมากยืดคอยืดอกเสียเกินหน้าต่างมันจะเห็นมั้ย ? ไม่ได้เห็นหรอก ต้องพอดี ๆ
    ถาม : เขาบอกว่าการแก้กฏแห่งกรรมให้คลายตัวนี้ให้ท่องอิติปิโส ๑๐ จบ อิติปิโสนี่หมายถึงห้องต้นใช่มั้ยคะ่ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นของหลวงพ่อนี่ ๓ ห้องรวมกัน อิติปิโสท่านต้องครบเลย คืออิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโนด้วย
    ถาม : แล้วหลวงพ่อบอกว่าฌานนี่ขึ้นอยู่กับกายไม่เหมือนกับวิปัสสนาขึ้นอยู่กับอารมณ์ ถ้าร่างกายไม่ดี ตัวฌานก็จะสูงไม่ได้ อย่างนี้หมายความว่าอย่างไรคะ ?
    ตอบ : คือว่าเรื่องของฌานสมาบัติเรื่องการของการปฏิบัติภาวนา ถ้าร่างกายไม่ดีอย่างเช่นว่า เหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วยสมาธิมันจะไม่ทรงตัว เพราะกำลังมันจะขึ้นอยู่กับกำลังร่างกายด้วย แต่ว่าเรื่องของวิปัสสนานี่มันขึ้นอยู่กับกำลังใจ ถ้ากำลังใจมันละแล้วมันละเลย มันจะไม่มีการขึ้น ๆ ลง ๆ อีก เพราะฉะนั้นตัวสมาธิตัวสมาบัตินี่มันขึ้นอยู่กับร่างกายมาก แต่ว่าตัววิปัสสนาขึ้นอยู่กับใจอย่างเดียว
    ถาม : ถ้างั้นวิปัสสนากับกรรมฐานต่างกันอย่างไร ?
    ตอบ : กรรมฐานเป็นคำรวม กรรมฐานคือพื้นฐานของการกระทำแยกออกได้ ๒ อย่าง คือสมถกรรมฐาน คือการทำใจให้สงบมี ๔๐ วิธี ด้วยกัน และวิปัสสนากรรมฐาน คือการทำให้เกิดปัญญา ก็จะมีหลักใหญ่ ๆ ว่าพิจารณาตามอริยสัจ หรือพิจารณาตามไตรลักษณ์ หรือพิจารณาตามวิปัสสนาญาณ ๙ เพราะฉะนั้นกรรมฐานเป็นคำรวม แต่แยกออกได้เป็นสมถะกรรมฐาน คือการทำใจให้สงบ และวิปัสสนากรรมฐาน การทำให้ปัญญาเกิด
    ถาม : การบนเพื่อขออย่างใดอย่างหนึ่งให้กับตัวเองหรือผู้อื่น เป็นการฝืนกฏแห่งกรรมหรือเปล่า ?
    ตอบ : ไม่ฝืนจ้ะ การบนนี่เป็นการตั้งใจว่าเราจะทำความดีเป็นการตอบแทนเมื่อได้สิ่งนั้นมา คราวนี้ว่าการบนนี้ถ้าหากว่าสิ่งที่เราต้องการมันขาดมาก สมมติว่าอันนี้ใส่น้ำอยู่มันมีน้ำอยู่แค่นี้เท่านั้น การบนของเราเราต้องการจะเติมน้ำแต่นี้มันก็ไม่อาจสำเร็จไปได้ แต่ถ้าหากว่าเราขาดอยู่แค่นี้เราบนว่าจะเติมแค่นี้สิ่งนั้นจะสำเร็จ เพราะฉะนั้นการบนก็คือตั้งใจว่าเราจะทำบุญในสิ่งที่เป็นบุญ ในเมื่อเราทำในสิ่งนั้นขึ้นมามันสามารถที่จะเสริมกุศลเก่าของเราเหมือนกับเติมจำนวนเงินให้เพียงพอ เราต้องการซื้อของชิ้นหนึ่งราคามันร้อยยี่สิบ เรามีเงินอยู่ร้อยหนึ่ง เราก็ตั้งใจว่าเราจะหาเงินยี่สิบนี้มา ถ้าหากว่าได้ของสิ่งนั้นมาเราจะหาเงินยี่สิบใช้เขา เสร็จแล้วเราก็ไปใช้เขาคนที่มีเงิน คือบนต่อผู้ที่สามารถให้กับเราได้ ในเมื่อผู้นั้นเห็นว่ามันเล็กน้อย มันสามารถให้เขา จึงทำให้เราสำเร็จตามใจของเรา แล้วเราก็ไปใช้หนี้
    ถาม : กองทานกับสังฆทานนี่ต่างกันอย่างไรค่ะ ?
    ตอบ : สังฆทานนี่เป็นทานที่ไม่จำกัด หมายเอาพระพุทธเจ้าเป็นประธานจนถึงหมู่สงฆ์ทั้งหมด เพราะฉะนั้นคำว่า สังฆะ คือหมู่สงฆ์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพระผู้ใหญ่ พระเด็ก พระเล็ก ตลอดถึงภิกษุสามเณร พระใหม่ก็ตาม จะมีส่วนร่วมในนั้นทั้งหมดเป็นบุญที่ไม่จำกัด ขณะเดียวกัน กองทาน ก็คือ เราตั้งใจขึ้นมาว่าจะเอาทานนั้นไปทำอะไร คำว่า กองทานก็คือสิ่งที่เรามีอยู่ทั้งหมด เรียกว่ากองทานที่เราตั้งใจทำบุญ
    ถาม : แล้วอานิสงส์อันไหนจะมากกว่า ?
    ตอบ : อานิสงส์จริง ๆ กองทานก็คือว่าสิ่งที่เราตั้งใจจะให้ทาน ถ้าเราแค่ตั้งใจให้ยังไม่ได้ให้มันมีอานิสงส์แค่มโนกรรมมผลมันก็ยังน้อยอยู่จนกว่าจะได้ให้ กายกรรมคือได้ทำไปแล้วถึงจะมีผล ส่วน สังฆทานนี่อานิสงส์จะสูงมากเพราะว่าเป็นทานสืบอายุพระพุทธศาสนา ปกติแล้วคนทั่ว ๆ ไปจะเลือกบุคคลที่มั่นใจว่าบุญแน่ อย่างของเราก็เลือกทำกับ หลวงปู่คูณ อย่างนี้เพราะมั่นใจว่าท่านดีแน่ ในเมื่อเราเลือกทำเฉพาะคน พระหนุ่มเณรน้อยอื่น ๆ ในสังฆะมณฑลสมมติว่า เมืองไทยของเราประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ องค์ ถ้าเราเลือกจะทำอย่างพระหลวงพ่อคุณจะมีสักกี่องค์ล่ะ ดีไม่ดีไม่ถึงร้อยเสียด้วยซ้ำไป ที่เหลือก็ตายหมด แทนที่ว่าสังฆทานทุกองค์มีส่วนร่วมกินร่วมใช้เสมอกันหมด ถ้าหากว่ามาอยู่ในสถานที่นั้นก็จะแบ่งปันให้เหมือนกันหมด ในเมื่อแบ่งปันให้ ทุกคนสามาถร่วมกินร่วมใช้ ก็สามารถจะดำรงอยู่ได้ก็กลายเป็นทานสืบทอดอายุพระศาสนา เพราะฉะนั้นสังฆทานจะมีผลมากกว่าทานปกติเป็นแสนเท่า
    ถาม : แล้วพระอาจารย์อย่างที่เป็นเกจิอาจารย์ที่บอกว่าท่านจะละสังขารเพื่อช่วยประเทศ ?
    ตอบ : เพราะว่าติดหนี้ชาวบ้าน กินข้าวเขาไปเยอะ ไหน ๆ จะตายทั้งทีก็ตายให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ก็หาจังหวะหาเวลามันฉุกเฉินคับขันจำเป็นจะต้องมีอะไรบางอย่างเป็นการทดแทนได้ ท่านก็อาจเลือกไปในเวลานั้น
    ถาม : อยากให้บอกชื่อพระเกจิอาจารย์หน่อยจะได้ทำบุญได้ก่อนที่ท่านจะละสังขาร ?
    ตอบ : ถึงเวลาก็จ้องเอาก็แล้วกัน เอาเป็นว่าบอกให้สักองค์หนึ่ง หลวงพ่ออุตตมะใกล้ไปเต็มที่แล้ว ความจริงท่านหมดอายุแล้ว แต่ท่านติดหนี้อาตมาอยู่ยังไม่ได้ใช้ก็เลยต้องทนอยู่ต่อ แล้วสร้างพระรุ่นนี้ที่ให้จองนี่ก็เพื่อสร้างให้ท่านใช้หนี้ จะขอให้ท่านช่วยทำพิธีให้สักส่วนหนึ่ง ถ้าทำเสร็จแล้วปุ๊บปั๊บไปเลยไม่ต้องมาโทษอาตมานะ ไม่ใช่เราไปทำให้ท่านตาย แต่ว่าท่านหมดอายุแล้วจริง ๆ อายุท่านแค่เก้าสิบ นี่เลยเก้าสิบมาจะขึ้นเก้าสิบเอ็ดอยู่แล้ว คือตอนแรกเราก็จะแกล้งดึงเกมเอาไว้ คือว่าไง ๆ พระอย่างท่านถ้าอยู่ไปก็จะเป็นที่พึ่งของชาวบ้านได้มาก คราวนี้ร่างกายไม่ไหวจริง ๆ เห็นท่านทรมานมาก ถ้าขืนต่อ ๆ ไปถ้าเราโดนทรมานแบบนั้นบ้างก็แย่เหมือนกัน ก็เลย......เอ้า !เป็นอันว่าดีไม่ดีท่านจะไม่อยู่ให้เราใช้หนี้เสียด้วยซ้ำไป พอรู้ว่าเราโอเคแล้วท่านก็ไปเลย ยังกลัวว่าพระจะสร้างเสร็จไม่ทันเสียด้วยซ้ำ
    ถาม : แล้วพระองค์อื่นล่ะคะ ?
    ตอบ : เอาแค่นั้นก็พอจ้ะ บอกมากไม่ได้ผิดมารยาท ปกติเขาไม่บอกกัน เรื่องนี้จะเป็นเรื่องพระพุทธเจ้าพยากรณ์มรรคผลเท่านั้น แต่ว่าที่กล้่าบอกเพราะว่าอย่างหลวงพ่ออุตตมะนี่หลวงพ่อท่านเคยบอกเอาไว้?ในเมื่อหลวงพ่อท่านเคยบอกครูบาอาจารย์ท่านเคยบอก เป็นลูกศิษย์ก็แค่เอาคำครูบาอาจารย์มาพูดต่อเท่านั้นเอง อันนี้โทษคงเกิดกับเราน้อยเต็มที เอาสักองค์หนึ่งก็แล้วกันนะจะให้ไม่ไกลมาก
    ถาม : แล้วพระคำข้าวกับพระหางหมากนี่ต่างกันอย่างไร ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วมีผลทางลาภมากที่สุด แต่ว่าพระคำข้าวจะแสดงผลทางลาภชัดเจน พระหางหมากจะหนักไปทางป้องกัน อานุภาพนี่คือว่าปลอดโรค ภาวะบรรดาโรคต่าง ๆ ถ้าเราตั้งใจภาวนาให้ป้องกันจริง ๆ ไม่ว่าเป็นเชื้อโรคที่เกิดจากประเภทที่เรียกว่าระเบิดสารเคมี ระเบิดเชื้อโรค อาวุธเชื้อโรค หรือว่าโรคต่าง ๆ อย่างโรคเอดส์ อย่างนี้กันได้ ให้ลาภก็คือว่าถ้าหากอาราธนาอยู่ประจำ ๆ ต้องการเรื่องลาภผลเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่การงานความสะดวกต่าง ๆ ก็จะได้ง่าย แล้วก็ศัตรูทำอันตรายไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจอาราธนาอยู่ เขาตั้งใจจะทำเรา เขาจะแพ้ภัยไปเอง
    ถาม : เมื่อกี้ที่พูดมามันต้องผ่านกรรมฐานก่อนถึงจะขึ้นมาวิปัสสนาได้ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วจะเริ่มจากวิปัสสนาเลยก็ได้ พอเริ่มพิจารณาไปเรื่อย ๆ อารมณ์ทรงตัวเป็นสมาธิมันจะเป็นสมถะไปเอง แต่ว่าคนที่ทำสมถะเริ่มต้นด้วยการภาวนาก่อน ถ้าถึงเวลาอารมณ์มันเต็มที่ของมันแล้ว เราไม่พิจารณามันจะฟุ้งซ่านไปเลย คือพอมันถอยออกมามันจะไปฟุ้งซ่านแทน เพราะฉะนั้นต้องคอยระวังให้ดี คนทำวิปัสสนานี่ถ้าปัญญาดีจริง ๆ มันจะได้เปรียบ แต่ถ้าปัญญาไม่ถึงมันต้องอาศัยกำลังของสมถะเข้าช่วยก่อน ทำให้ใจมันนิ่งก่อน ใจมันนิ่งแล้วมันก็เหมือนกับน้ำที่นิ่ง ก้มเมื่อไรก็เห็นหน้าสามารถใช้ส่องหน้าตัวเองได้ อันนั้นก็ใช้ส่องหากิเลสเพื่อไล่ฆ่ามันให้ได้
    ถาม : ช่วงนี้เป็นช่วงกลียุคหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : กลียุค.... ยัง กลียุคตามคำทำนายโน้นมันปลาย ๆ พระศาสนานั่นแหละเหลือช่วงไม่กี่ร้อยปีอย่างนั้นแหละ ช่วงนี้ยังเรียกอย่างนั้นได้ไม่เต็มปากหรอก
    ถาม : คำอาราธนาพระหางหมากว่ายังไงคะ ?
    ตอบ :
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • L18_1.jpg
      L18_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      124 KB
      เปิดดู:
      783
    • L18_1.jpg
      L18_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.2 KB
      เปิดดู:
      74
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ............(เรื่องพระเครื่อง)...........
    ตอบ : หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ท่านเปรียบเอาไว้ว่า กำลังใจของคนที่เกาะพระ ถ้ากำลังใจเข้มแข็งสูงสุดท่านเปรียบว่าถ้าเป็นอาวุธปืนจะยิ่งไม่ออก โบราณเขาเรียกว่า มหาอุตม์ รองลงมาหน่อยหนึ่งยิงออกแต่ไม่ถูกจะเป็น แคล้วคลาด รองลงมาอีกหน่อยหนึ่งยิงถูกแต่ไม่เข้าเป็น คงกระพัน ยิงถูกแต่ไม่เข้านี่เฮงซวยแล้วในความหมายของท่าน ลดลงไปอีกหน่อยหนึ่งยิงเข้าแต่ไม่ตาย ก็ถือว่าคุณเฮง โชคดีไป ที่แย่จริง ๆ คือถ้าหากว่านึกถึงพระแล้วแต่กำลังใจมันแย่มากเลย ถึงตายก็ไปสวรรค์เพราะเกาะพระอยู่ เพราะฉะนั้นรีบ ๆ ไปสวรรค์ซะจะได้ไม่ลำบากนาน
    ถาม : มีไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย ?
    ตอบ : จ้ะ... แต่คราวนี้บางคนเขาไม่เข้าใจ เรื่องของพระเครื่องต่าง ๆ มันเป็นการตัดเคราะห์กรรมให้กับคนที่ตั้งใจอาราธนาบูชาอยู่ จากหนักก็เป็นเบา จากที่เบาก็เป็นหาย เพราะฉะนั้นบางคนว่า อ๊ะ! ทำไมว่าคนนั้นเอาไปใช้แล้วมีผลมากเลย นั่นของเขากรรมมันเบา แต่ขณะเดียวกันของเราเอาไปใช้โดนรถชนเสียเดี้ยงเลย เออ...คุณไม่ตายก็เฮงแล้วนะ บางคนจะไม่เข้าใจในจุดนี้ จากหนักจะเป็นเบา จากเบาเป็นหาย
    ถาม : ถ้าคนที่ได้ไปเหมือนกัน ถ้าคนที่ศรัทธาเยอะ คนนั้นก็จะ ....?
    ตอบ : จะได้ผลมากกว่า อย่างโบราณนี่กำลังใจเขาเข้มแข็งมาก เสด็จในกรมหลวงชุมพร รัชกาลที่ ๖ ถามท่านว่าไปเที่ยวสักเนื้อสักตัวร่ำเรียนวิชาอยู่ยงคงกระพันมานี่ตั้งใจจะก่อการกบฏหรือ ? พี่น้องกันเขาถามกันตรง ๆ ลูก รัชกาลที่ ๕ เหมือนกัน ....ใช่ไหม ? เสด็จในกรมท่านบอกว่าท่านสามารถที่จะสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือได้ว่าจิตใจที่คิดจะปรารถนาในราชบัลลังก์ไม่มีแม้แต่นิดเดียว
    ถ้าหากว่าท่านผิดจากคำพูดนี้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าได้คุ้มครองเลย เสร็จแล้วท่านก็ควักปืนยิงเข้าปากเหนี่ยวจนหมดโม่ไม่ลั่นสักนัดหนึ่ง เป็นเรา....เรากล้าอมปืนยิงตัวเองไหมล่ะ ? นั่นแหละ เพราะฉะนั้นกำลังมันต่างกันตรงนั้น ถ้ากำลังใจเข้มแข็งขนาดนั้นมันยิงไม่ออกหรอก ถ้ารองลงมาหน่อยก็ยิงออกไม่ถูก แย่ ๆ ลงมายิงถูกแต่ไม่เข้า แหม... ปลื้มใจกันใหญ่ ที่ไหนได้กำลังใจห่วยแตก (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วที่อาจารย์ให้พระหางมากกับพวกพลอยนี่ ?
    ตอบ : เอา พระหางหมาก เป็นหลักจ้ะพลอยนั้นจริง ๆ ก่อนหน้านั้นที่ทำก็คือว่าบางคนนะที่มาที่นี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ คริสต์ก็มี อิสลามก็มี แล้วขณะเดียวกันพวกผู้หญิงเยอะ วัตถุมงคลบางอย่างทำในลักษณะของเครื่องประดับศาสนาอื่นเขาใช้ได้ลักษณะว่าไม่ต้องไปตะขิดตะขวงใจ ไม่ต้องไปงัดข้อกับศาสนาตัวเอง อีกอย่างหนึ่งสิ่งที่สวยงามผู้หญิงเขาชอบอยู่แล้วติดตัวเป็นวัตถุมงคลด้วยก็ยิ่งดี
    ถาม : ธรรมของพระพุทธเจ้าบางอย่าง เป็นเรื่องยากที่ปุถุชนทั่วไปจะเข้าใจ (.....ไม่ชัด.....) ถ้าเราใช้ความรู้สึก เราจะเข้าใจได้อย่างไรคะ ว่าพระพุทธเจ้าสอนเราว่าอย่างไร ?
    ตอบ : พระพุทธเจ้าสอนอยู่ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ หัวข้อใด หัวข้อหนึ่งก็ไปนิพพานได้แล้วไม่จำเป็นต้องไปศึกษาทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนที่ยากมันมีอยู่สองจุด ก็คือว่าพระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์กับมหาสติปัฏฐานสูตร พระอภิธรรมนี่ท่านสอนพรหม สอนเทวดา มหาสติปัฏฐานสูตรสอนชาวกัมมาสะธัมมะนิคมที่เป็นพวกอุตระกุรุทวีป พวกนี้ปัญญาเขาสูงมาก
    ถ้าเราไปอ่านสติปัฏฐานสูตร จะรู้สึกว่าละเอียด ถ้าหากว่าสำหรับคนทั่ว ๆ ไปที่ไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติมาเจอสติปัฏฐานเข้านี่เหมือนแบกช้างทั้งตัวเลยนะ ส่วนอันอื่น ๆ สำหรับคนทั่ว ๆ ไป เราจับอันไหนที่เราถนัดตั้งหน้าตั้งตาทำอันนั้นให้เกิดผล ถ้ามันเกิดผลเสียหัวข้อหนึ่งแล้วหัวข้ออื่นมันก็ง่าย แต่ถ้าหากว่ามันไม่เกิดผลอย่างที่เคยเปรียบเทียบให้ฟังว่าเหมือนกับขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำ เราทำอันนี้เหมือนเราขุดบ่อลงไปซัก ๕ เมตร ๑๐ เมตรยังไม่ถึงน้ำเลยก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นอีก แล้วก็ไปขุดอีกบ่อหนึ่งอีก ยังไม่ได้น้ำก็ย้ายไปขุดอีกบ่อหนึ่ง ตกลงว่ามันเสียเวลาปฏิบัติอยู่ ทำอันเดียวให้มันได้ไปเลยแล้วอันอื่นมันจะง่าย
    ถาม : อย่างคนที่ไปปฏิบัติเดินจงกรมแล้วนั่งสมาธิจะได้ผลยังไง ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าตั้งใจทำจริง ๆ จะมากจะน้อยมันจะได้แต่คราวนี้ว่ามันได้เท่าไรต่างหากล่ะ ?
    ถาม : แล้วไม่ทราบว่าเดินไปเพื่ออะไรคะ ?
    ตอบ : เขาต้องรู้ว่าทำไปเพื่ออะไรสิ ถ้าเขาไม่รู้เขาจะไปทำไม ใช่ไหม ? เขาต้องรู้ว่าทำเพื่ออะไรอานิสงส์ของการเดินจงกรมก็คือว่าสมาธิได้จะคลายตัวได้ยากหนึ่ง ทำให้เป็นคน เดินทน เดินแล้วไม่ค่อยเหนื่อยกับใคร เพราะเดินจงกรมเขาว่ากันเป็นชั่วโมง ๆ ทำให้ อาหารย่อยสลายได้ง่าย ลำไส้มีการเคลื่อนไหว อานิสงส์ของมันอยู่ แล้วอีกอย่างก็คือว่าเวลาเรานั่งอย่างเดียวมันเครียดต้องเปลี่ยนอิริยาบถไปเดินแทน
    ถาม : โดยทั่วไปจำเป็นไหมที่ทุกคนต้องปฏิบัติเดินจงกรม ?
    ตอบ : ไม่จำเป็น เพราะว่า๔ อิริยาบถ เราถนัดอันไหน เดิน ยืน นั่ง นอน ทำอันนั้น
    ถาม : ถนัดนอน ?
    ตอบ : ถนัดนอนนั้นดี ไม่เหนื่อยมาก
    ถาม : แต่กลัวหลับ ?
    ตอบ : อย่าหลับสิ พยายามรักษาสติเอาไว้ ถ้าเราประคองสติอยู่ได้ก็สบาย
    ถาม : แล้วอย่างเดินจงกรมกับเดินช้อปปิ้งนี่มันเหมือนกันไหมคะ ?
    ตอบ : ถ้าคุณเดินช้อปปิ้งอย่างมีสติมันก็เหมือนกันแต่ช้อปปิ้งแบบไร้สติก็เดินจงกรมดีกว่า
    ถาม : ...........(เรื่องสติ)............
    ตอบ : ความจำไม่ดีไม่แน่ว่าจะขาดสติ แต่ขณะเดียวกันจะเรียกว่าขาดสติก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วสมาธิมันน้อยไปหน่อย ถ้าสมาธิน้อยไปหน่อยความจำจะไม่ค่อยดี แต่ว่าอย่าให้มีกรรมแบบ ท่านจุลปันถก ท่านเองนี่แค่อิติปิโสภควา ๆ สวด ๓ เดือนไม่จบ ในอดีตเคยทำกรรมไว้ไปหัวเราะพระท่านสวดมนต์แล้วไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเป็นเรื่องของผลต่างหากออกไป แต่ทั่ว ๆ ไป ความจำไม่ดีถ้าไม่ดีถ้าไม่ใช่ประสาทร่างกายมันเกิดจากสมาธิน้อยไปหน่อย ตั้งใจทำสมาธิให้ทรงตัวความจำจะดีไปเอง
    ถาม : แล้วจะแก้ยังไง ?
    ตอบ : ไม่ต้องแก้หรอกให้คอมพิวเตอร์มันจำแทน สมัยนี้ถึงเวลาก็รีเสิร์ชเอา สงสารเด็กสมัยนี้ถ้าคอมพิวเตอร์มันพังจะไม่เหลืออะไรในสมองเลย ปัจจุบันก็สมาธิสั้น ไม่ชอบใจกดรีโมทเปลี่ยนช่อง หน่วยจำเขาเลยกระจัดกระจายไม่ต่อเนื่องสมาธิก็จะสั้นไปด้วย สังเกตดูเด็กสมัยนี้คุยกับเราเรื่องนี้ถามเราตอบมันยังไม่ทันจะจบเรื่องเลยมันไปอีกแล้วเป็นแบบนั้น กระโดดไปกระโดดมา
    ถาม : แล้วถ้าคนที่มีกรรมไปหัวเราะพระอย่างในอดีตชาติแล้วเราไม่รู้ต้องทำอย่างไง ?
    ตอบ : เป็นพระอรหันต์เสียแล้วจะหาย เป็นพระอรหันต์แล้วกรรมนั้นจะหมด พระจุลปันถก พอท่านเป็นอรหันต์แล้วกรรมนั้นก็สิ้นสุดลง ความเป็นพระอรหันต์กรรมเก่านี่มันอโหสิกรรมไปเลย อัตโนมัต เพราะว่าท่านดีจนมันตามไม่ทันแล้ว
    ถาม : ยกเว้นกรรมใหญ่ ๆ ?
    ตอบ : ไม่มีการเว้น กรรมทุกอย่างเป็นอโหสิกรรมไปหมด ยกเว้นเศษกรรมบางอย่างถ้ามีร่างกายอยู่มันก็ยังมีการทวง แต่ว่าในสิ่งที่ท่านทำ มันไม่ทีสิทธิ์ทำท่านให้ลงอบายภูมิแล้วมันจบแค่นั้น
    ถาม : ร่างกายนี่ ถ้าหากว่าเราบอกว่าไม่สนใจมัน ช่างมันนี่คะ หมายความว่าปล่อยแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทรกซ้อน.....อย่างกรรมเก่านี่จะเข้ามาแทรกซ้อนไหม ?
    ตอบ : กรรมนี่มันไม่เกี่ยว เราปล่อยหรือไม่ปล่อยนี่มันก็เอาอยู่แล้ว ลักษณะการปล่อยร่างกายนี่ หมายความว่าเรามีปัญญารู้เท่าทันมัน รู้เท่าทันมันว่าร่างกายที่ไม่ดีจริงอย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก เราขอมีมันแค่ชาตินี้ชาติเดียว ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ก็บำรุงดูแลรักษามันไปตามหน้าที่ กายนี้เป็นสมบัติที่เรายืมโลกมาใช้ มารยาทในการยืมก็คือดูแลรักษาให้ดีที่สุดเพื่อให้ถึงเวลาแล้วจะได้ส่งคืนเขาในสภาพที่ดีที่สุดไม่ใช่ว่ายืมของเขามาใช้แล้วก็พังมันไปเลย เพราะฉะนั้นเรายังมีหน้าที่ดูแลรักษาเขาอยู่เพื่อว่าในปัจจุบันเราจะได้อยู่โดยไม่ลำบากนัก แต่ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการมีมันอีก ชาตินี้ขอให้เป็นชาติสุดท้าย ไม่ใช่ประเภททิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่สนใจ ๗ วัน ไม่อาบน้ำสักที เดี๋ยวคนรอบข้างเขาจะด่าเอา
    ถาม : เขาบอกว่าถ้าเราพิจารณานี่ก็ให้คิดพิจารณาไปเลยไม่ต้องมาแบบว่าภาวนาเกี่ยวกับลมหายใจ แล้วไม่เข้าใจคะ ?
    ตอบ : คือ โดยถ้าหากว่า เราเริ่มคิดพิจารณาไปเรื่อย ๆ พออารมณ์พิจารณามันทรงตัวมันจะเป็นภาวนาโดยอัตโนมัต คือ มันจะเป็นสมาธิของมันเอง การพิจารณาได้เรียบกว่าตรงนี้ว่า พอถึงเวลาแล้วมันจะเป็นภาวนาของมันเอง แต่การภาวนาถ้าเราทำไปถึงจุดของมันแล้ว มันไปต่อไม่ได้ถ้าเราไม่บังคับให้มันพิจารณาอย่างที่เราต้องการ มันคิดเองนี่มันจะคิดฟุ้งซ่านไปเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง เลย การคิดพิจารณาก็คิดอยู่ในแบบของ ไตรลักษณ์ คือ เห็น อนิจจังความไม่เที่ยงของร่างกาย ของโลก ของคน สัตว์ วัตถุ สิ่งของ ทุกข์ขัง ความเป็นทุกข์ของทั้งหมดนั้นแหละ แล้วก็ อนันตาไม่มีอะไรคงอยู่ได้ สูญสลายไปหมด นี่เป็นด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็ดู ทุกข์ ใน อริยสัจอย่างเดียวเกิดทุกข์ขึ้นได้อย่างเราไม่ทำสาเหตุนั้นทุกข์ก็ดับลง อีกอย่างหนึ่งก็คิดตามนัย วิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง เริ่มตั้งแต่ดูการเกิดและดับ ดูเฉพาะการดับ ดูว่าเป็นทุกข์เป็นภัย ดูว่ามันเป็นของน่ากลัว
    ถาม : ...............(เรื่องสังฆทาน).............
    ตอบ : คือ ถ้าหากว่าให้เขาเตรียมมาเองของมันแพงมาก ผ้าไตรชุดหนึ่งก็ตั้งแปดเก้าร้อยแล้วเราไม่มีสิทธิ์จะทำอย่างนั้นได้ คราวนี้ว่าที่นี้เขาจัดหาไว้ให้แล้ว แต่ว่าเราจะบริจาคเป็นเงินเท่าไรถือว่าสังฆทานชุดนั้นเป็นสิทธิของเรานะ พอเขาถวายเสร็จเขาจะช่วยยกเก็บให้ด้วย
    ถาม : แล้วถวายเป็นเงินได้หรือเปล่า ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าถวายเป็นเงินตั้งใจเป็นสังฆทานก็ได้ แต่ว่ากำลังใจบางคนเขาจะยึดอยู่ว่าต้องมีของ ก็ยกสักหน่อยจะได้เหนื่อย
    ถาม : แล้วอย่างว่างานศพนี่ แจกเงินไม่ถือว่าเป็น....?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วผิดจ้ะ แต่คราวนี้ตั้งแต่วันบวชมาหลวงพ่อให้ปฏิบัติญาณตนว่าข้าพเจ้าจะรับเงินและทองที่ผู้มีจิตศรัทธาถวาย แต่จะใช้ในสิ่งที่สมควรแก่สมณสารูปเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเข้าร่วมในกองบุญการกุศลเพื่อเพิ่มกุศลให้แก่ผู้ที่ถวายเรา เพราะว่าเรื่องของพระเรารับเงินเองก็ดีคนอื่นรับไว้ก็ดีถ้าเราอยู่ก็โดนอาบัติเท่ากัน คือศีลขาดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียเวลาให้คนอื่นรับแทนหรอก รับแทนหรอก รับแทนหรือว่ารับเองมันก็โดนเท่ากัน ถ้างั้นก็รับเองเสียก็แล้วกัน
    คราวนี้มันมีอยู่ตรงจุดที่ว่าเรารับเองแต่ว่ากำลังใจเราอย่าไปยึดว่าสิ่งนี้เป็นของเรา หลวงพ่อท่านสอนเสมอว่าเงินของปีนี้อย่าให้ใช้ถึงปีหน้า ถ้าหากว่าเงินมันเหลือให้คิดหางานที่ใหญ่กว่าเงินไว้เสมอ อย่างเช่นว่าเราเหลือเงินอยู่แสนหนึ่งก็พยายามคิดทำอะไรที่มันเกินแสนไว้ เวลาเงินใหม่มันเข้ามามันจะไม่นึกว่าเป็นของเราท่านบอกไว้ว่า พระเราเสียง่ายที่สุด ๒ อย่าง อย่างแรก คือ เงิน อย่างที่ คือ ผู้หญิง เราต้องระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ เงินทุกบาททุกสตางค์เรารับมาจากใครจ่ายไป ในเรื่องอะไรทำบัญชีไว้ในละเอียด ถึงเวลาถ้าเขามีการตรวจสอบได้ชี้แจงเขาได้ ท่านป้องกันไว้ให้หมดแล้วเพียงแต่ว่าเราจะทำตามได้แค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นพระสายหลวงพ่อนี่จับสตางค์เป็นปกตินะ
    แต่ว่าตอนไปอยู่กับหลวงปู่พระมหาอำพัน ท่านเป็นธรรมยุติท่านไม่จับเงิน ถึงเวลาโยมมาถวายก็บอกโยมวางไว้ตรงนั้นแหละจ้ะ โยมเขาวางไว้พอเขาหันหลังออกไปเราก็หยิบหมับ หลวงปู่ท่านยิ้ม หลวงปู่ท่านรู้อยู่ว่าเราจับเงินเป็นปกติอยู่แล้ว แต่หลวงปู่ท่านอยู่ร่วมกับเขาจับไม่ได้ เพราะว่ามันจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับคนอื่น เขาจะอ้างได้ว่าหลวงปู่ยังจับอย่างนี้ คราวนี้ของเราเราอยู่กับเขาเราก็ต้องรักษารูปแบบของเขาไว้ โยมให้ก็อย่ารับ ลับหลังโยมเราก็จับ แต่แกล้งเขาไม่ได้นะ
    ที่วัดท่าซุงส่วนใหญ่เขา หลัง ๆ จะมีพระธรรมยุติไปเยอะเพราะว่าเขารู้ว่าเราไม่รังเกียจเขา เขาไปบางคนไปซื้อวัตถุมงคล เขาควักย่ามออกมาตั๋วแลกเงิน ๓ เล่มเขาไม่จับเงิน แต่เขาถือทีละ ๓๐,๐๐๐ เราคนจับเงินมีไม่เท่าเขา เสร็จแล้วถึงเวลาก็ฉีกตั๋วแลกเงินให้ เราไปถามเขา ตอนนั้นเพิ่งไปรับหน้าที่ใหม่ ๆ ยังไม่เข้าใจเขาจัดการกันอย่างไร ก็ไปกราบถามหลวงพี่ชัยศรี ตอนนั้นดูแลศาลานวราช อยู่ ก็ถามว่า หลวงพี่ครับทำยังไงนี่ ท่านก็บอกว่ารับขึ้นมาแล้วก็ทอนเงินให้เขาตามปกติ บอกแล้วนี่ละครับ เดี๋ยวคุณก็เซ็นชื่อตัวเองแล้วไปเบิกที่ไปรษณีย์ก็เท่านั้นแหละ พอดี หลวงตาวัชรชัยเดินเข้ามาถึง หลวงตาบอกว่าอะไรวะ ก็ส่งตั๋วแลกเงินให้ท่านดู บอกว่าพระท่านไม่จับเงิน ท่านใช้ตั๋วแลกเงิน หลวงตาดูเสร็จ ไอ้ห่า......มันก็เงินเหมือนกันล่ะวะ
    ปรากฏว่าพระท่านเห็นเราเข้าไปนานเกินไปท่านเลยเดินตามมา เอาห่าไปเต็มสองรูหูเลย ยืนตีหน้าบอกไม่ถูก แล้วทีหลังหลวงตาท่านขึ้นไปจำหน่ายวัตถุมงคลเองพระท่านก็ล้วงซองใส่หน้าอกมา อันนี้พกเงินไม่ใช่ตั๋วแลกเงิน แต่ว่าใส่ซองไว้ เสร็จแล้วท่านก็เอาไม้เขี่ยออกมา คราวนี้มันห้าร้อยกว่าท่านก็เขี่ยออกมาสองใบแบงก์ห้าร้อยก็หนึ่งเป็นพัน หลวงตาท่านก็ทอนเงินให้ หลวงตาทอนเงินท่านทอนแต่แบงก์ย่อย พอวางแบงก์ย่อยลงหลวงตาก็รูดพรืดกระจายเสียเต็มหลังตู้ แล้วหลวงตาก็เดินหายเข้าส้วมไปเลย ปรากฏว่าท่านมองซ้ายมองขวาไม่รู้จะหาใครช่วย จะใช้ไม้เขี่ยก็ไม่ไหวตั้งกี่ใบก็ไม่รู้ ท่านก็รวบหมับ หลวงตาวัชรชัยท่านก็หัวเราะ
    สมัยบวชใหม่ ๆ หลวงตาร้ายนะ ท่านแกล้งคนไว้เยอะ (หัวเราะ) วันนี้เผาพี่ท่านเอง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เรียกว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับพระหลายองค์ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือหลวงปู่บุดดา ท่านเป็นพระธรรมยุติแต่ท่านจับเงิน แล้วไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่บุดดาทั้ง ๆ ที่พระธรรมยุติท่านจะเคร่งครัดมาก เวลาญาติโยมผู้ชายนวดหลวงปู่บุดดาอยู่ญาติโยมผู้หญิงก็มองตาละห้อยอยากจะนวดหลวงปู่มั่ง หลวงปู่ก็ยื่นเท้าให้เฉยเลย ไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่ คือหลวงปู่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสียจนกลายเป็นปาปมุติคือภาษาพระแปลว่าผู้เหนือบุญเหนือบาปแล้ว พ้นจากบาปแล้วโดยสิ้นเชิง ทำจนกระทั่งว่าทุกคนเชื่อมั่นว่าอย่างนั้นก็เลยไม่มีใครกล้าติฉินนินทาหลวงปู่เลยแม้แต่นิดเดียว
    ปี ๒๕๑๗ - ๒๕๑๘ - ๒๕๑๙ วัดท่าซุงเริ่มก่อสร้างโบสถ์ หลวงปู่บุดดาพร้อมด้วยหลวงปู่หลวงพ่ออีกประมาณ ๑๐ องค์ก็ไปช่วยงาน หลวงพ่อท่านนิมนต์ไปก็พักอยู่ที่วัดท่าซุง คราวนี้พวกเรามันเคยชินกับคำว่าทำบุญเอาแก้วสารพัดนึกก็คือเงินไว้ก่อน หลวงปู่บุดดาท่านก็ทำไง เอาถุงก๊อบแก็บวางไว้ตรงหน้าพวกเราก็ใส่เงิน ใส่เงิน พอถึงเวลาโยมทำบุญเสร็จเรียบร้อยลูกศิษย์ก็ผูกปากถุงส่งให้ หลวงปู่บุดดาก็แหวกย่ามเสียกว้างเชียวนะกลัวจะกระทบเงิน ลูกศิษย์ก็หย่อนใส่ย่าม หลวงพ่อหันมาพอดี อ๋อ! ....ไม่อยากได้ใช่ไหม คว้าหมับเลย หลวงปู่บุดดาสองมือตะครุบหมับ จับแล้วครับ บอกหน้าตาเฉยเลย จับแล้วครับ หลวงพ่อบอกเออ ! มันต้องอย่างนั้นซิ กะอีแค่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ปล่อยให้มันเกาะใจได้ก็อย่าเอาเลย ผมเอาเองก็ได้ ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่บุดดาจับเงินมาตลอดแล้วไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่ นั่นแหละคือหลวงพ่อท่านทำให้รู้ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จริง ๆ แล้วมันสำคัญตรงใจ แต่ว่าสิ่งใดก็ตามที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามเอาไว้เราต้องเคารพและปฏิบัติตาม เพียงแต่ว่าก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพานได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ...........................
    ตอบ : ช่วงนี้เป็นช่วงของกาลกฐิน คำว่ากาลนี่ กาละแปลว่าเวลา เวลาของกฐิน กฐินจริง ๆ ความหมายก็คือผ้าสะดึง คือผ้าที่ขึง เครื่องขึงที่ยึดผ้าให้ตึงจะได้ประกอบให้เป็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ได้ ไม่ว่าจะเย็บปักถักร้อยอะไรก็ง่าย กาลกฐินนี่จะเป็นเรื่องกำหนดตามระเบียบพิธีของสงฆ์โดยเฉพาะพระภิกษุที่จำพรรษาแล้วเป็นเวลาครบถ้วน ๓ เดือน
    สมัยก่อนนั้นพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้เปลี่ยนจีวรได้ คราวนี้ว่าการเปลี่ยนจีวรนี้ต้องสมเหตุสมผล คือว่าเป็นผู้ที่จีวรเก่าจริง ๆ ชนิดที่เรียกว่าหมดสภาพแล้วก็อนุญาตให้เปลี่ยนได้ ท่านก็ให้เสาะหาผ้าที่จะมาทำจีวร ภายหลังการเสาะหาผ้าเต็มไปด้วยความยากลำบาก นางวิสาขาก็ดี อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ดี ก็ขอให้รับคหปติจีวร คือจีวรที่มีผู้น้อมมาถวายได้ คราวนี้พอจำพรรษาแล้วครบสามเดือนมีสิทธิรับกฐินได้ กาลกฐิน คือเวลาของการรับกฐิน เริ่มตั้งแต่แรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ดไปสิ้นสุดเอากลางเดือนสิบสองเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ช่วงระยะนี้วัดไหนก็ตามที่มีเจ้าภาพตั้งใจว่าจะถวายกฐินก็จะจัดให้ถวายกฐินขึ้นมา คราวนี้กฐินเป็นงานบุญพิเศษ
    ความจริงกฐินเป็นสังฆทานเหมือนกันแต่บังเอญว่าจำกัดด้วยเวลาคือทำได้แค่เดือนเดียวเท่านั้นในหนึ่งปี ก็เลยจะมีอานิสงส์พิเศษ หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยบอกเอาไว้ว่าให้เรารู้จักสังเกตตัวเอง ใครก็ตามที่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพทำบุญกฐิน คำว่าเจ้าภาพไม่ได้หมายความว่าจะต้องเจาะจงว่าตัวเองเป็นประธานหรือว่าหาสิ่งของทั้งหมดมา เราร่วมเป็นเจ้าภาพด้วยจะเล็กน้อยยังไงก็ตามถือว่าเป็นเจ้าภาพเหมือนกัน ท่านบอกว่าบุคคลที่ตั้งใจเป็นเจ้าภาพกฐินติดต่อกันได้ถึงสามปี ให้สังเกตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความเป็นอยู่จะคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา จะมีความสะดวกกว่า
    เพราะฉะนั้นก็ให้พวกเราตั้งใจลักษณะนี้ ตัวอาตมาเองตั้งใจตั้งแต่ก่อนบวชจนกระทั่งถึงบวชแล้ว แต่ละปีจะทำบุญกฐินปีละมาก ๆ หลาย ๆ วัด สมัยที่ก่อนบวชถึงเวลาหน้ากฐินก็เตรียมซองไว้เลย ซองละพัน ๆ เจอเขาทำที่ไหนก็ถวายร่วมกับเขาที่นั่น พอเป็นพระมาก็ใช้วิธีจัดแบบนี้ คือว่านิมนต์พระที่ท่านไม่ีมีกฐินหรือว่าพระที่เป็นมิตรสหายคุ้นเคยกันมา มารับกฐินที่วัดของเรา หรือว่าอย่างระยะหลัง ๆ นี่ไปเป็นประธานทอดให้เขาด้วย หรือว่าทางด้านโน้นเขาเรียกร้องมาก็ต้องไป
    อานิสงส์ที่ชัดที่สุด ก็คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระพุทธเจ้าสมัยที่ท่านเกิดเป็นมหาทุกขตะ คือคนที่จนมาก ท่านเป็นคนรับใช้คนอื่นเขา ในสมัยนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่าปทุมมุตตระ ท่านเป็นคนใช้เขา
    เจ้านายจะจัดกฐินก็สั่งให้มหาทุกขตะจัดการให้ทุึกอย่าง มหาทุกขตะก็บอกว่า ข้าแต่นายขอร่วมมีส่วนในกฐินนี้ได้หรือไม่ นายก็บอกว่าได้ซิเรามีอะไรล่ะ บอกว่าเดี๋ยวขอเสาะหาก่อน คราวนี้เขามีแต่ผ้านุ่งอยู่ผืนเดียว แขกเขาจะมีผ้านุ่งอยู่ผืนหนึ่งแล้วผ้าห่มผืนหนึ่ง แต่มหาทุกขตะจนมากมีผ้านุ่งผืนเดียวก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี เลยเข้าไปในป่าเอาใบไม้มาเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่มแทน แล้วเอาผ้าผืนนั้นไปที่ตลาดไปถามกับพ่อค้าว่าผ้าผืนนี้สามารถแลกของอะไรได้บ้าง เขาถามว่าเธอจะเอาไปทำอะไรผ้าก็เก่าเต็มทีจะแลกของอะไรได้นักหนาเชียว เขาก็บอกว่านายของเรานี่จัดกฐินขึ้นมาเพื่อทอดถวายพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เราก็อยากทำบุญด้วยก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้เข็มไปเล่มหนึ่งแล้วก็ด้ายไปกลุ่มหนึ่ง เพราะว่าผ้าเก่ามากแล้วมีค่าน้อยมาก ท่านก็เอาเข็มกับด้ายนั้นเข้าไปร่วมในกองกฐินแล้วตั้งใจอธิษฐานว่าขอให้ผลบุญที่ได้ทำบุญกฐินครั้งนี้ขอให้ท่านบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณดังที่ปรารถนาด้วยเถิด เสร็จแล้วปรากฏว่าพอถึงชาติปัจจุบันนี้ท่านบรรลุมรรผลได้จริง ๆ
    หลวงพ่อท่านเคยเทศน์ถึงอานิสงส์กฐินท่านบอกว่าบุคคลที่ตั้งใจทำบุญกฐินพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าแม้แต่ทิพจักษุแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งถือว่าเลิศแล้วที่สุด ยังมองไม่เห็นเลยว่าอานิสงส์นั้นจะไปสิ้นสุดตรงไหน ส่วนใหญ่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จะเป็นพระมหากษัตริย์ หรือเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เกิดแล้วเกิดอีกอยู่ในระดับของความดีนี้ตลอดจนกระทั่งไม่สิ้นสุดของอานิสงส์กฐินก็จะเข้านิพพานเสียก่อน ฟังดูแล้วน่าทำไหม ร่วมกับเขาบ่อย ๆ
    ถาม : แล้วอย่างจุลกฐิน ?
    ตอบ : จุลกฐินกับมหากฐินนี่จริง ๆ แล้วเป็นเครื่องที่เรากำหนดขึ้นมาภายหลัง จุลกฐินนี่จะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเขาจะทอผ้าเย็บเป็นสบงเพื่อให้เสร็จในวันเดียวเพื่อจะย้อมไปถวายพระ ส่วนมหากฐินนี่เขาหมายความว่ามีจีวรครบไตร แต่ระยะหลัง ๆ ที่อาตมาทำนี่ไม่ใช่ครบไตรอย่างเดียว พระมากี่องค์นี่ถวายครบด้วย ก็เลยเรียกไม่ถูกว่าเป็นมหากฐินยังไงนะ แต่ว่าสมัยก่อนผ้าหายากจริง ๆ ก็เลยถือว่าผ้ากว้างคืบยาวคืบเป็นจีวรได้แล้ว พระท่านจะไปเย็บต่อเอง รอยเย็บก็อย่างที่เห็นตามจีวรจะมีรอยต่ออะไรอยู่ อันนี้พระอานนท์ออกแบบมาสองพันกว่าปีแล้ว ยังฮิตอยู่เลยไม่เคยเปลี่ยนแบบ พระอานนท์ท่านออกมาท่านท่านเอาแบบมาจากนา ท้องนาของเขาจะมีคันนามีอะไร คราวนี้ว่าผ้าที่เป็นเศษผ้าเก็บจากตรงโน้นมาเก็บจากตรงนี้มาพอถึงเวลาก็มาตัดให้เข้ารูปเข้าร่างเย็บต่อ ๆ มันขึ้นมา สมัยก่อนผ้าหายากมากแล้วแขกขโมยเก่งด้วย เผลอหลับมันดึงไปจากตัวเลย พระเขาถึงได้มีกำหนดว่าก่อนอรุณนี่ห้ามห่างจากจีวรเลย สมัยนั้นผ้าผ่อนหายาก สมัยนี้หาง่ายแล้ว แต่ว่ายังมีอานิสงส์กฐินอันนี้อยู่ ยังมีการถวายกฐินลักษณะนี้อยู่้
    แต่ว่าเท่าที่พบว่ากฐินหลวงคือกฐินที่ในหลวง ท่านทอดถวายตามพระอารามต่าง ๆ จะมีผ้าสบงสีขาวอยู่ผืนหนึ่งให้ไปย้อมกันวันนั้น ย้อมเสร็จตากแห้งเสร็จก็เอาไปเป็นผ้ากฐิน ความจริงจะให้ทั้งชุดก็กลัวว่าจะลำบากมากเสียเวลาย้อมเสียเวลาซัก ก็เลยจะมีผ้าที่มีสีขาวอยู่ผืนหนึ่งที่เรียกว่าสบง อำเภอทองผาภูมิมีอยู่วัดหนึ่งคือวัดทองผาภูมิ อันนั้นถึงเวลาพวกบรรดาส่วนราชการต่าง ๆ ก็จะติดต่อสำนักพระราชวังขอกฐินหลวงไปลง สำนักพระราชวังเขาจะมีรายชื่ออยู่แล้วว่าวัดไหนเป็นอารามหลวงบ้าง ถ้าหากว่าวัดไหนยังไม่มีใครเป็นเจ้าภาพก็จะเตือนไปยังเจ้าของพื้นที่ใครจะรับ เพราะจริง ๆ แล้วในหลวงเป็นเจ้าภาพ เพียงแต่หาคนเชิญไปเท่านั้นเอง
    ถาม : อย่างงูเหลือมปากเป็ดนี่ ?
    ตอบ : จริง ๆ เขาเรียกว่างูปากเป็ด ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าถ้าหากว่าพวกศึกษาเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลานนี่เขาจะจัดอยู่ในตระกูลไหน มันจะเป็นงูตัวเล็กๆ แล้วทางด้านปักษ์ใต้เราเขาจะรู้จักกันเยอะ ปักษ์ใต้เขาจะถือว่าเป็นเมตตามหานิยมดีมากเลย ใครที่สมควรจะเป็นเจ้าของงูมันจะไปตายอยู่ตรงหน้าเองหรือไม่พอไปถึงจับมันขึ้นมาก็ตายก็จะทิ้งซากมันเอาไว้ให้
    ถาม : ไม่มีพิษหรือครับ ?
    ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกันเพราะมันตายเสียก่อน ทางด้านภาคใต้ใครมีนี่เขาเก็บเอาไว้บูชาอย่างดีเลยแหละ เขาเรียกว่างูปากเป็ด คนพิมพ์มันพิมพ์มาให้ว่างูเหลือมปากเป็ด งูเหลือมตัวมันเท่าเสาเรือน นี่ตัวมันเท่าไม้ขีด.....อย่าไปตื่นเต้นกับมันมาก ของหลายอย่างมันเป็นสิ่งที่เขาถือว่าขลังโดยธรรมชาติ แต่จริง ๆ แัล้วมันสำคัญตรงใจของเรา ถ้าหากว่าของดีแต่ใจเราไม่ดีคุณภาพมันก็ด้อยไปตามส่วน เพราะฉะนั้นของขลังซึ่งเหมือนกับเครื่องส่ง กำลังส่งเขาสูงอยู่แล้วก็สำคัญว่าเครื่องรับจะรับเขาได้เท่าไร ถ้าเครื่องรับรับไม่ดีก็เท่านั้นแหละ คนหนึ่งเอาไปใช้มีผลมากอีกคนหนึ่งเอาไปใช้อาจไม่มีผลเลย เพราะว่าเครื่องรับเครื่องส่งคือใจมันต่างกัน พระพุทธเจ้าท่านถึงให้บอกว่ามโนมเสฏฐา มโนมยา สูงสุดที่ใจสำเร็จที่ใจ แล้วอีกอย่างหนึ่งของทั้งหลายเหล่านี้อย่างเขี้ยวหมูตัน เพชรตาแมว หรืองูปากเป็ดอะไรนี่ตัวมันยังตายเลย ในเมื่อตัวมันยังตายจะให้มันช่วยเราได้สักเท่าไร ต้องมีสติด้วย แต่ว่าพวกที่เขาเสาะแสวงหาไปซื้อกันแพง ๆ เป็นแสนเป็นล้านก็มี
    ถาม : ที่เมืองกาญจน์เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ยกพระบรมนุสาวรีย์ (พระนเรศวร) มีเหตุการณ์พิเศษ มีนกมาบิน แล้วก็เมฆบังแล้วมีพายุ ?
    ตอบ : อ๋อ ! พายุนั้นมาจากเฮลิคอร์ปเตอร์
    ถาม : เขาบอกว่ามีแสงพุ่งลงมา ?
    ตอบ : ตรงสถานที่นั่นนะเป็นสนามรบจริง ๆ สมัยที่พระนเรศวรท่านรบกับพระมหาอุปราชจริง ๆ ตรงนั้น แต่ว่าสมัยก่อนพอเขาเสาะหาว่าสถานที่ไหนที่เป็นอนุสรณ์ตอนเจดีย์ที่พระนเรศวรสร้างไว้ เขาไปเจอเอาที่สุพรรณบุรีก็เลยไปปักใจมั่นเสีก่อนว่าเป็นตรงนั้นแน่ อย่าลืมว่าหลังจากที่พระมหาอุปราชท่านโดนพระนเรศวรฟันจนตายคาคอช้างแล้วทัพไทยตามตีอีก ตามตีทัพพม่าไปอีกจนกระทั่งถึงทุ่งลาดหญ้า ถ้าขึ้นจากดอนเจีดีย์ตีไปถึงโน้นก็เป็นลมตายเสียก่อน แต่ว่าจากพนมทวนไปนี่มันสมน้ำสมเนื้อกันมันไม่กี่กิโล แล้วบริเวณนั้นก็มีกระดูกช้างกระดูกม้า มีอาวุธเก่าตกอยู่เต็มไปหมด เขาเก็บเอาไว้ให้ดูเป็นพิพิธภัณฑ์เลย เจดีย์เก่าก็ยังอยู่แต่ว่าพังเหลือครึ่งองค์เท่านั้น
    ตอนนี้เขาก็ยอมรับ นักประวัติเขาก็ยอมรับแล้ว ว่านั่นเป็นของจริง แต่บังเอิญว่าตอนเจดีย์เขายึดชื่อเสียงนั้นไปนานแล้ว จนกระทั่งกลายเป็นอำเภอดอนเจดีย์ไปแล้วด้วย แก้ไขไม่ได้ เคยไปแถวนั้นพอเดินเข้าไปในเขตนี้ขนลุกซ่าไปทั้งตัวเลย พวกมาสะกิดเตือนมีอะไรขอมั่ง ทำบุญไว้เยอะเขาขอมั่ง ไปตอนนั้นเขายังไม่ได้สร้างอะไร มาตอนหลังมีศาลพระนเรศวร ตอนนี้ก็สร้างอนุสาวรีย์ไว้ด้วยไม่ได้แวะไปนานแล้ว สมัยก่อนไปนี้หลงแล้วหลงอีก สมัยนี้เห็นเขาว่าทางลาดยางแล้ว ดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี สมัยก่อนมันจะเข้าไปทางดงอ้อยสมัยนี้มันกลายเป็นบ้านจัดสรรหมดแล้วมั้ง ?
    สมัยที่ธุดงค์นี่ชอบดงอ้อยมากเลย ไปนอนกับหมาก็ไปนอนในดงอ้อย เคยไปแล้วก็เขาจะมีเพิงพักสำหรับคนงานตัดอ้อยเราไปถึงก็แขวนกลดแล้วก็นอนกลางคืนหมามานอนด้วย บางทีมาทีแปดตัวสิบตัวมันกระโดดใส่กลดพังบรรลัยหมดต้องปลดมุ้งออกให้มันนอนด้วย หมานี่รู้สึกเขารักพระมากนะไปที่ไหนก็ไปด้วย บางตัวเรานั่งกรรมฐานก็เอามือท้าวไหล่เต๊ะจุ๊ยด้วย ท้าวไปท้าวมาเราไม่เล่นกับมันสักทีมันก็แทะหูเราสนุกของมัน เคยโดนผีหลอกอยู่กลางดงอ้อยด้วย สนุกดี แต่ว่ายังไงล่ะ เรามันหน้าด้านกว่า แรก ๆ พอนอนภาวนาอยู่พอเริ่มสักสามสี่ทุึ่มก็มาแล้วเสียงมันเหมือนหนูตัวเล็ก ๆ วิ่งตึ๊ก ๆ ตึ๊ก ๆ ไปแล้วไม่ได้ยินเสียงมันอ้อมนะ มันวิ่งทางด้านนี้อีก มันวิ่งไขว้กันไว้กันไปไหว้กันมาเห็นเราไม่สนใจเสียงมันดังขึ้น จากหนูนี่คงสักตัวขนาดแมวได้นะ เสียงชักดัง พอดังแล้ววิ่งโครม ๆ ไปสักพักหนึ่ง เราก็ไม่สนใจภาวนาของเราไป อีคราวนี้เหมือนยังกับหมาไปกัดกันทั้งฝูง เสียงโครมครามลั่นไปหมดเลย เขาเองเขาพยายามจะดึงความสนใจของเรา เราเองไม่สนใจภาวนาไปภาวนามาเผลอหลับ ตื่นเข้ามาอีกทีดึกแล้ว คงเริ่มจะเหนื่อยหายหัวเงียบไปตอนไหนก็ไม่รู้ ?
    ถาม : ..................
    ตอบ : พระพม่ามาตามตื้อ ๓ เที่ยว ๕ เที่ยว อาจารย์จะไปเมื่อไหร่ จะขอติดรถไปด้วย ปรากฏว่านัดกันวันที่มารับสังฆทานที่นี่บอกว่าออก ๖ โมงครึ่งนะ โอเค ๕ โมงครึ่งเขามารอแล้ว ถึงเวลาพอได้อรุณ เราฉันเช้าก่อนเรียกให้เขาฉัน เขาบอกไม่ล่ะเสียเวลาเดี๋ยวไปไม่ทันรถ ถึงเวลาเขาเดินไปรอเราที่รถก่อน พอต้อนคนขึ้นรถเสร็จสรรพนั่งรถยาวไปถึงเมืองกาญจน์ มาถึงเมืองกาญจน์เปิดให้เขาลงขึ้นรถทัวร์หรือไม่ก็หารถไปเองเพราะเราจะเข้าป่าต่อ ปรากฏว่าเขาบอกอีกคนไม่ได้มา ระยะทางตั้ง ๑๔๐ กิโลทำไมมันไม่บอกเราหรอก มาบอกอีตอนถึงแล้วทีนี้ความคิดของพวกพม่าเขาคิดคนละอย่างกับเรา ไปว่าอะไรเขาไม่ได้
    โดยเฉพาะตอนไปสร้างวัดหนองบัวจะมีปัญหามากเพราะว่างานของเขากับเรามันทำคนละแบบ เขาทำบันไดไม้ยาวเกินไปนิ้วหนึ่ง ถ้าเป็นเราก็เลื่อยใช่มั๊ย ? ของเขาไม่หรอก เขาไปสกัดตอนคอนกรีตเพื่อที่จะเอาไม้นิ้วหนึ่งนั่นฝังลงไป เสียเวลาสกัดคอนกรีตไปครึ่งวันไม่ได้อะไรเลย มันทำให้พื้นเสียด้วย แล้วอีกทีก็บันไดมันต้องมีแผ่นไม้แปะหลังใช่มั้ย ? เผื่อเวลาคนเดินขึ้นเดินลง เผื่อนุ่งสั้นหน่อยคนเขาจะได้ไม่เห็น เขาเองเขามาวัดมันโค้งขัดแต่งเรียบร้อยวางลง เอาไม้แผ่นใหม่มาเอาตลับเมตรวัดใหม่ แล้วทำไมมันไม่เอาแผ่นเก่าทาบแล้วขีดเลย แล้วอีกทีหนึ่งก็มุงหลังคา มันคำนวณผิดสังกะสีเกินมาครึ่งแผ่นก็บอกเขามุงซ้อนไปเลยใช่มั้ย ? เลื่อนชายมาให้เสมอแล้วกัน เขาเองเขาไม่ เขาลงมาถึงก็จัดแจงตีเส้นเอาสกัดมาค่อย ๆ ลงฆ้อนตัดไปเรื่อย กว่าจะตัดขาดหมดเวลาไปครึ่งวันได้สังกะสีหงิกไปหงิกมาแผ่นหนึ่ง เอาฆ้อนมาค่อย ๆ เคาะให้เรียบแล้วเอาขึ้นไปมุงเขาประหยัดให้เราสังกะสีครึ่งแผ่นเสียเวลาดูไปวัน เขาคิดงานคนละอย่างกับเรา
    เพราะฉะนั้นเวลาเขาตามมาแล้วพรรคพวกไม่ได้มาด้วยคนหนึ่ง แทนที่มันจะบอกเราตั้งแต่ต้นทางมันนั่งเงียบเลยมาจนถึงเมืองกาญจน์ ๑๔๐ กิโลบอกอีกคนไม่ได้มา มาบอกเราตอนนี้มีประโยชน์อะไร งงมากไม่เข้าใจความคิดของเขา ยอมรับว่าโง่ เจอเขาคิดคนละอย่างกับเรา บางทีก็กลุ้ม สอนกันไม่ได้มันแปลก ๆ อยู่

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ทำไมพระสวดมนต์ ต้องทำเสียงพระสวดมนต์ด้วยคะ ?
    ตอบ : ไม่เข้าใจ
    ถาม : ทำไมไม่ทำเสียงเป็นธรรมดา ?
    ตอบ : ปกติของเขาอย่างนั้น
    ถาม : ก็สวดธรรมดา ?
    ตอบ : ธรรมดามันจะมีจังหวะของเขาอยู่ พอมันมีจังหวะของเขาอยู่ ความเคยชินมันก็จะออกเป็นอย่างนั้นเลย พระนั่นรู้สึกปกติแต่โยมเห็นว่าผิดปกติ เขาจะมีจังหวะมีอะไรของเขาอยู่โดยเฉพาะบางบทนี่จะมันมากเลย อย่างเช่น บทขันธปริต
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เจ้าที่ ๆ หนูอยู่นี่จะช่วยปกปักรักษายังไง ?
    ตอบ : มันก็ต้องดูว่าอยู่ถูกทิศมั้ย ? ของเราตั้งไว้ทิศไหนของบ้าน ไม่ใช่หันหน้าไปทางทิศไหนนะ ทิศไหนของบ้านเสาบ้านเป็นหลัก บ้านหันหน้าไปทางทิศอะไร ?
    ถาม : บ้านหันหน้าไปทางทิศใต้ค่ะ
    ตอบ : แล้วตัวศาลอยู่ตรงจุดไหนของบ้าน ?
    ถาม : อยู่ทางทิศเหนือค่ะ
    ตอบ : อยู่เหนือใช้ได้ไม่เป็นไร ยิ่งตะวันออกเฉียงเหนือยิ่งดี ตะวันออกเฉียงเหนือเป็นทิศที่ดีที่สุดของพระภูมิเจ้าที่ ถ้าหากว่าไม่ได้ก็ให้ใช้ทิศเหนือ ถ้าไม่ได้ให้ใช้ทิศตะวันออกได้แค่ ๓ ทิศเท่านั้น พระภูมิเจ้าที่อย่าให้ไปอยู่ทิศใต้หรือตะวันตกเป็นอันขาด ภายใน ๒ ปีกระจายแน่เลย เพราะทิศใต้หรือตะวันตกเป็นทิศของอากาศเทวดา เราไม่มีสิทธิ์จะไปใช้ท่าน เราจะเอานายพลมาเป็นคนใช้เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นท่านเองไม่ว่าอะไรหรอก แต่ว่าลูกน้องท่านอาจจะเหยียบเอา เจอมาหลายรายแล้วบางรายถึงตายเลย มีอยู่รายหนึ่งไปประสานงาเข้าจนพิการ อีกรายหนึ่งเปิดสวนอาหาร มันตั้งศาลใหญ่โตมโหฬารสวยมากเลยไว้หน้าสวนอาหาร ทำน้ำพุไว้ด้วย เสือกอยู่ทิศใต้เปิดได้ไม่กี่เดือนเจ๊งไม่เป็นท่าทั้ง ๆ ที่คนมันเยอะมากนะ แต่ว่าเขามาครั้งแรกไม่กี่วันแล้วก็หายไปเฉย ๆ ปล่อยให้กินทุนไปเรื่อยกว่าจะรู้เรียบร้อยเจ๊งไปแล้ว เพราะตั้งผิดทิศ พอตั้งเสร็จมันไม่เห็นมีอะไรปุ๊บปั๊บมันก็เรียบร้อย
    ถาม : ถ้าจะตั้งศาลให้อากาศเทวดาต้องตั้งทิศตะวันตกเหรอคะ ?
    ตอบ : อากาศเทวดาไว้ทิศไหนก็ได้ทิศใต้ก็เหมาะ ถ้าหากว่าเป็นภูมิเทวดาต้องจำกัดทิศของท่าน เพราะภูมิเทวดานี่ท่านอยู่ในลักษณะที่ว่าท่านช่วยเหลือสงเคราะห์อะไรในบ้านทั้งหมด คราวนี้ของเราจะเอาอากาศเทวดาทำหน้าที่อย่างนั้นก็เปรียบเหมือนกับเอาท่านนายพลมาเป็นคนรับใช้ เรามันยิ่งใหญ่ขนาดไหนจะเอานายพลมาเป็นคนรับใช้
    ถาม : แล้วอากาศเทวดานี่ท่านจะช่วยเรื่องไหนคะ ?
    ตอบ : ช่วยเรื่องไหน ก็บอกแล้วไงว่าถ้าไม่เกินวิสัยมันก็ได้ทุกเรื่อง เรื่องอะไรบางอย่างมันก็เหมือนกับเส้นผมบังภูเขาอย่างนั้นมีอยู่น้อยเดียวเท่านั้นเองพอ ๆ กับเศษผงนิดหนึ่งไปอุดคาร์บิวน่ะ ไม่มีอะไรเสียเลย ผงนิดเดียวไปอุดอยู่ น้ำมันไม่ผ่านวิ่งไปเถอะเครื่องยนต์ใช้ไม่ได้ พอเอาผงอันนั้นออกหน่อยเดียวไปปร๋อเลย เรื่องที่เิกิดขึ้นกับพวกเราก็เหมือนกัน มันเหมือนกับเส้นผมบังภูเขาอยู่นิดเดียว
    ถาม : เป็นกรรมหรือเป็นเวรครับ กรรมกับเวรเหมือนกันมั้ยครับอาจารย์ ?
    ตอบ : เวรกับกรรมนี่เราใช้ความหมายเดียวกันคือสิ่งที่ไม่ดีใช่มั้ย ? แต่ว่าจริง ๆ แล้วคำว่าตัวกรรมมันเป็นคำรวมมันแปลว่าการกระทำ คราวนี้มันมีกุศลกรรมก็คือทำดีอันนี้เราเรียกว่า บุญ แล้วอกุศลกรรมก็คือทำชั่วเราเรียกว่า กรรม หรือบาป จริง ๆ แล้วตัวกรรมมันเป็นคำรวม เพราะฉะนั้นถามว่าใช่มั้ยมันก็ใช่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราที่ไม่ดีก็คือสิ่งไม่ดีที่เราทำมาก่อนในอดีต พอมาถึงในปัจจุบันนี้มันก็ให้ผลเราก็ต้องมาเดือดร้อน ต้องมาทุกข์ยาก ในเมื่อเรารู้แล้วว่าถ้าเราทำไม่ดีมันให้ผลไม่ดี เราก็เลือกทำแต่สิ่งที่ดี ๆ เราทำในปัจจุบันนี้เในเมื่ออีกไม่กี่นาทีมันก็เป็นอดีตไปแล้ว ผลที่จากอดีตมันจะส่งผลให้ในปัจจุบัน ผลที่เรากระทำ อย่างเช่นว่า ชาติก่อนเราทำชาตินี้เรารับใช่มั้ย ? คืออดีตเราทำปัจจุบันเรารับ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำปัจจุบันนี้ให้ดี ทำต่อไปเรื่อย ๆ อย่าให้มันขาดตอนทำให้มันต่อเนื่องกันไป อนาคตอีกไม่นานข้างหน้าเราก็ได้รับ ถึงชาตินี้ไม่ทันชาติหน้าก็สบาย
    ถาม : อุทยานที่ในหลวงท่านดู ๆ ไว้ ๒ ที่ ข้างล่างมีช้างเผือกด้วย ?
    ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่าช้างเผือกที่นี่สวยจริง ๆ ยังไม่รู้ว่าที่ท่านว่ามาแต่ว่าที่เห็นจริง ๆ ของเมืองลาวเขาตอนที่สมเด็จพระเทพฯ เสด็จไปเขาพาไปดูอายุประมาณ ๕ ปีสียังกับนากเลย สุกปลั่งเป็นทองแดงขัดใหม่เลย
    สมัยโบราณเขาบอกว่าช้างเผือกมี ๑๐ ตระกูลอุโบสถหัตถีสีกายเหมือนทองคำฉันทันต์หัตถีสีขาวเหมือนสีสังข์ เสร็จแล้วมันมีตระกูลตามพหัตถีสีเหมือนทองแดง เราไม่เคยพบเห็นช้างอะไรเหมือนทองแดง พอไปเห็นเข้าถึงได้ยอมรับสีเหมือนทองแดงจริง ๆ ชื่อนางพญาดำแก้วมิ่งเมืองลาว แล้วหลังจากนั้นไม่นานลาวได้อีกตัวหนึ่งเป็นช้างอายุมากแล้ว ช้างใช้งานอยู่เจ้าของเขาใช้งานมา ๓๐ กว่าปีแล้วนะ แต่ว่าพอช่วงหมดงานแล้วจะปล่อยเข้าป่าไปหากินแต่ว่าจะให้โซ่ติดตัวอยู่ถึงเวลาจะได้ตามคืนมาให้ ปีนั้นไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้นกลับมากลายเป็นช้างเผือกขาวผ่องไปทั้งตัวเลย จากการคาดเดาของหมอช้างว่าพอลูกเกิดมาเป็นช้างเผือกขาวนะ เพราะว่าถ้าขาวมันสีสังข์มันต้องมันขาวออกวาว ๆ มันเหมือนกับหอยสังข์ขัดอันนี้มันจะเป็นตระกูลปัณฑรหัตถี เขาบอกว่าสีขาวเหมือนดอกบัวมันน่าจะเป็นตัวนี้ ๆ เขาตั้งชื่อว่า
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เกี่ยวกับเรื่องที่เราเลี้ยงปลาเงินปลาทองในตู้ค่ะ ถ้าเราเลี้ยงปลาเงินปลาทองนี่เหมือนเราทำบาปกักขังหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : คือถ้าเราเจตนาเลี้ยงเขาให้ได้รับความสุขความสะดวกสบาย ถ้าเราทำบุญทำกุศลอื่นเอาไว้ตัวเมตตาปราณีตัวนี้จะเสริมบุญกุศลนั้นให้สูงยิ่งขึ้นไป แต่ถ้าเราไม่ได้ทำบุญกุศลอื่นใดเอาไว้เลย แต่ว่าเลี้ยงสัตว์โดยการกักขังอย่างเดียวจะเกิดเป็นเวมาณิกเปรต เปรตพวกนี้มีทิพยสมบัติเหมือนเทวดาหมดทุกอย่าง เพียงแต่ออกจากวิมานไม่ได้
    ถาม : แล้วอย่างถ้าเราตั้งใจเลี้ยงไว้เพื่อความสวยงามล่ะคะ ?
    ตอบ : มันก็มีโทษเหมือนกัน แต่ไหน ๆ เราซื้อมาแล้วก็เลี้ยงซะให้มีความสุขที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ คือ ถึงเวลาก็ให้อาหารเจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาพยาบาลไปทำตามหน้าที่ไป เพราะปลาเหล่านี้เราปล่อยไม่ได้อยู่แล้ว เพราะหากินเองไม่เป็นนะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องสงเคราะห์ด้วยความเมตตาต่อไป
    ถาม : ถ้าเราไม่ได้ซื้อมาก็เหมือนกับเราไม่ได้กักขังเขาใช่มัยคะ ?
    ตอบ : ก็ไม่ได้กักขัง
    ถาม : ก็ปล่อยเขาใครจะขายก็ขายไป ?
    ตอบ : เรื่องของเขาอย่าไปยุ่งกับเขาก็แล้วกัน ถ้ามันมาถึงแล้วก็รับผิดชอบไป มันตายยากแถมแตกลูกแตกหลานอีก
    ถาม : แล้วอย่างเราเลี้ยงปลาดุกไว้ขายล่ะคะ เราไม่ได้ฆ่ามัน แต่ เราเลี้่ยงไว้ขายเฉย ๆ ?
    ตอบ : อย่างนั้นของเราต้องตัดกำลังใจลงอย่างแบบภรรยาของพรานกกุตมิตร ท่านเป็นพระโสดาบันนะ แต่ว่าสามีที่เป็นพรานจะออกล่าสัตว์ แกบอกแม่อีหนูส่งหน้าไม้มาก็ส่งให้ แม่อีหนูส่งบ่วงเชือกมาก็ส่งให้ แม่อีหนูส่งหอกมาก็ส่งให้
    คราวนี้พระเห็นก็แปลกใจมากเป็นพระโสดาบันอีท่าไหนสนับสนุนสามีให้ฆ่าสัตว์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้กลับไปถามเธอ ว่าเธอคิดยังไง พอกลับไปถามท่านบอกว่าท่านเป็นภรรยามีหน้าที่ทำตามคำสั่งสามี ๆ ให้ส่งอาวุธก็ส่งให้ตามคำสั่ง ส่วนสามีจะเอาอาวุธนั้นไปทำอะไรเราไม่รับรู้ กำลังใจท่านตัดแค่นั้นเลย เพราะฉะนั้นส่วนที่เป็นบาปท่านไม่มี
    ฉะนั้นเราเลี้ยงสัตว์เพื่อการพาณิชย์ก็นำเขามาแล้วตั้งใจเลี้ยงดูเขาให้มีความสุขความสะดวกสบาย ถ้าคนมาซื้อเราขายแต่เขาซื้อไปทำอะไรเราอย่าไปคิดต่อแล้วกัน นั่นมันเป็นเรื่องของเขาแล้ว ตลอดเวลาที่อยู่กับเรา ๆ สงเคราะห์เขาเต็มที่แล้ว ถัดจากนั้นไปไม่เกี่ยวกับเรา
    ถาม : ถึงแม้ว่าเราจะตั้งใจว่าเราจะเลี้ยงปลาให้มันอ้วนแล้วมันจะได้ราคาดีเหรอคะ ?
    ตอบ : จ้า
    ถาม : นั่นมันก็โดนเหรอคะ ?
    ตอบ : มันก็โดนอยู่ แต่ว่าเขาจะเอาไปทำอะไรมันเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยวนี่ เราไม่ได้ตามไปฆ่าเขานี่ เรื่องของธรรมะนี่เขาตรงไปตรงมาใครฆ่าคนนั้นผิด
    ถาม : แต่มันก็ขึ้นชื่อว่ากักขังเขานะ ทำให้เขาอึดอัด ?
    ตอบ : ตรงนี้มันมีส่วนอยู่ แต่อย่าลืมว่าถ้าหากว่าเราไม่เลี้ยงเขา ๆ ก็ไม่รอดมันมีบุญมีบาปอยู่ด้วยกันให้ใจของเราเกาะในด้านบุญไว้เสมอ อย่าเผลอไปเกาะในด้านบาป เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ของเราคิดหานรกเก่งมากเลย เขาไม่ให้ลงก็ตะเกียกตะกายจะลงให้ได้ ตัดความคิดตัวเองให้เป็น เอาอย่างภรรยานายพรานกกุตมิตรท่าน ๆ ตัดแค่นั้น ทำตามหน้าที่หลังจากหน้าที่แล้วไม่รับรู้
    ถาม : แล้วอย่างคุณพ่อสั่งให้ซื้อปูเป็น ๆ มา สั่งให้ทำกับข้าวให้กินหน่อย หนูก็ต้องทำอย่างนี้ถือว่า ...?
    ตอบ : อย่างนี้ผิดแน่ ๆ โดนทั้งคู่ทั้งคนสั่งทั้งคนทำ
    ถาม : ทั้ง ๆ ที่ใจเราไม่อยากทำ
    ตอบ : มันไม่อยากทำแต่มันลงมือไปแล้ว โถ....เมตตาเหลือเกินขอสักทีเถอะ ก็แย่ซิจ๊ะ
    ถาม : มีคนจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่คิดไม่ดีกับเขาน่ะค่ะ มันจะมีผลยังไงคะกับคนที่ยังอยู่ ?
    ตอบ : มันเคยมีตัวอย่าง คือว่าเขาเองนะ เขาไม่นึกว่าผลมันจะเป็นอย่างนั้น คือ มีคนคิดไม่ดีทำไม่ดีกับเขา ๆ เองเขาก็พยายามที่จะทำดีตอบด้วยการแผ่เมตตาก็ดี ด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ก็ดี แล้วปรากฏว่าฝ่ายที่คิดไม่ดีเขาตาย เป็นผลที่เขาคิดไม่ถึง มันอาจจะเป็นเพราะสู้แรงบุญไม่ได้ก็ได้ แต่ถ้าเขาเจตนาทำโดยที่รู้ว่าถ้าทำแล้วอีกฝ่ายหนึ่งจะตายนี่ดีไม่ดีจะมีโทษนะ เพราะจิตเป็นวิหิงสาวิตกมุ่งร้ายต่อคนอื่นเขา แต่ถ้าหากว่าตั้งใจทำใช้ความดีสู้ความชั่วชนิดที่เรียกว่าชนะความไ่ม่ดีด้วยความดี ถ้าอย่างนี้ก็ทำไปเถอะ แต่ถ้าเจตนาทำแล้วรู้ว่าทำแล้วศัตรูมันตาย อย่างนี้ก็ผิดแน่ ๆ
    ถาม : แล้วถ้าเจตนาว่าทำแล้วให้เขาเป็นสุข ๆ เถิดอย่างนี้มีผลยังไง ?
    ตอบ : ทำไปเถอะของเราก็ได้บุญด้วยของเรา เขาจะเป็นยังไงก็เรื่ืองของเขา
    ถาม : ถ้าเราจะทำบุญอุทิศให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ที่คิดร้ายกับเราจะอธิษฐานยังไงดีคะ ?
    ตอบ : ไม่ต้องอธิษฐานอะไรมากหรอก ขอให้อย่ามีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลยก็พอแล้ว สวดได้มั้ย ? สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง (หัวเราะ) ถ้าสวดแต่ปากก็เหนื่อยเปล่า จะให้ได้ประโยชน์กำลังใจต้องเป็นไปตามนั้นเลย ถ้าสวดแต่ปากมันไม่ค่อยได้อะไร เหนื่อย
    ถาม : (ถามเรื่่องเกี่ยวกับพญานาค) อยากรู้ว่าทำไมพระที่ธุดงค์อย่างหลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ทุก ๆ พระองค์ท่านบอกว่าท่าานต้องพบกับพญานาคด้วยล่ะครับ ?
    ตอบ : ก็เขามีอยู่ทั่ว ๆ ไป พญานาคเขาก็มีอยู่ทั่วไปในสถานที่ไหนที่เขาอยู่ทั่วไป ในสถานที่ ๆ เขาอยู่ถ้าเข้าไปโอกาสพบก็เยอะ
    ถาม : ในหนังสือบอกว่ามีพญานาคอยู่ตนหนึ่งเคยเป็นมนุษย์รักษาศีล ๕ แล้วพญานาคตนนั้นก็มาพบกับหลวงปู่องค์หนึ่ง หลวงปู่องค์นี้ท่านก็พยายามหนี แต่พญานาคตัวนี้ก็จะตามแต่ไม่ให้ตามในลักษณะของคน โดยหัวนี่จะเป็นพญานาคตามท่าน แต่ตัวนี่จะทอดยาวไปที่แม่น้ำโขง
    ตอบ : แล้วไงล่ะ ?
    ถาม : อย่างนี้จะต้องมีบุญมีกรรมร่วมกันหรือเปล่า ?
    ตอบ : มันก็ต้องมี งั้นจะตามให้เสียเวลาทำไม แล้วอีกอย่างหนึ่งบางทีท่านเห็นเป็นพระดีท่านก็อยากได้บุญ ในเมื่ออยากได้บุญท่านก็ตามมากราบมาไหว้
    ถาม : ในหนังสือบอกว่าท่านเคยทำผิดศีล ๕ ท่านจึงมาเกิดเป็นพญานาค ?
    ตอบ : นั่นแค่ศีล ๕ ศีล ๒๒๗ มาเกิดเป็นพญานาคในธรรมบทก็มี พระยาเอรกปัตตนาคราชบวชเป็นพระจำพรรษาอยู่ชายทะเล ๒ หมื่นปี สมัยต้นกัปนี่คนอายุเยอะนะ แสดงว่าตอนนั้นอายุต้องเกิน ๒ หมื่นปี เพราะแกจำพรรษาอยู่ ๒ หมื่นปีแล้วใช่มั้ย ? วันหนึ่งแกลงไปสรงน้ำกลังว่ายน้ำไปว่ายน้ำมา เรือสำเภาก็ผ่านมา คราวนี้เรือสำเภามันค้าขายทางไกลมันเดินทางเป็นเดือนเป็นปี ตะไคร่น้ำมันเกาะเรืออยู่ ท่านเองท่านว่ายไปเกาะเรือแล่นไปดึงตะไตร่น้ำหลุด ทีนี้การพรากของเขียวทำของที่เป็นต้นไม้ใบหญ้าหลุดออกจากที่นี่ของพระเขาถือว่าผิดศีล
    ในเมื่อของพระนี่ผิดศีลแต่ท่านเองท่านก็ไม่มีโอกาสจะเปลื้องอาบัติคือความที่ศีลขาดนั้น เพราะว่าจำพรรษาอยู่องค์เดียวตายเสียก่อน จำพรรษาอยู่ ๒ หมื่นปีปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โทษที่ผิดศีลทำให้ไปเกิดเป็นพญานาค ถึงจะมีความสุขที่มีทิพยสมบัติแต่พญานาคเป็นเดรัจฉาน ในเมื่อเป็นเดรัจฉานถึงจะอยู่ในภพของความเป็นทิพย์ก็จริงแต่โอกาสที่จะเข้ามรรคผลมันไม่มี แต่เนื่องจากว่าท่านเองเคยเป็นพระมาก่อนตั้งใจรักษาศีลมาถึง ๒ หมื่นปี ความดีเดิมมันอยู่ในใจมันก็นึกว่า เออ....เราเป็นพญานาคมาตั้งนานแล้ว ไม่ทราบว่าโลกนี้มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วหรือยัง ท่านก็เลยแต่งปริศนาบทหนึ่งให้ลูกสาวคือนางนาควิกาแปลงกายเป็นมนุษย์แล้วยืนอยู่บนพังพาน คือท่านจะแผ่แม่เบี้ยแล้วให้ยืนอยู่ข้างบนแล้วร้องเพลง ถ้าหากว่าใครแก้ปริศนาเพลงนั้นได้จะยกนางนาควิกาและสมบัติให้ โอ้โห...หนุ่ม ๆ ไปแย่งกันแก้ปริศนาตรึมเลย แก้ไม่ได้
    พอดีว่ามีอุตรมาณพนี่ตามธรรมบทบอกว่าเป็นเนื้อคู่ของนางนาควิกาเขา เดินทางจะไปแก้ปัญหานี้เหมือนกัน ได้ยินอยากได้นี่ พญานาคถ้าเป็นคนมันลักษณะนางฟ้าดี ๆ สวยนี่ ก็อยากได้ก็จะไป พระพุทธเจ้าเสด็จไปขวางทางเพราะว่าเห็นถ้าโปรดอุตตรมาณพนี่แล้วจะเป็นพระโสดาบัน เสด็จไปขวางทางพระอุตตรมาณพเห็นพระพุทธเจ้าก็เข้าไปกราบ พระพุทธเจ้ารู้ก็ทำเป็นไม่รู้ก็ถามเธอจะไปไหนหรือ ? อุตตรมาณพก็เล่าเรื่องให้ฟังว่ามีพญานาคตัวใหญ่แบกหญิงสาวไว้บนพังพานมาร้องเพลงปริศนาธรรมอย่างนี้ ๆ ถ้าใครแก้ปริศนาธรรมได้จะได้หญิงสาวเป็นภรรยาและยังได้สมบัติจากพญานาคด้วย พระพุทธเจ้าพอได้ยินก็บอกว่าปริศนานี้พอแก้ได้ก็เลยสอนให้อุตตรมาณพพร้อมเพลงแก้ ตกลงพระพุทธเจ้าสอนร้องเพลงด้วยนะ ใครบอกว่าพระในพุทธศาสนาไม่ร้องเพลงนี่ไม่จริงนะ ว่าไปแล้วต้นตำรับด้วย คราวนี้อุตตรามาณพก็ไปร้องเพลงแก้ ร้องเพลงแก้ปุ๊บพญาเอรกปัตตนาคราชรู้เลยว่าพระพุทธเจ้ามาเกิดแล้ว เพราะว่าถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าจะไม่มีใครแก้ปริศนาธรรมนี้ได้
    คราวนี้ท่านดีใจท่านก็ฟาดหางเล่น ปรากฏว่ามันกลายเป็นคลื่นใหญ่ซัดเอาชาวบ้านตกน้ำไปจมเลย ต้องไปงมคืนทีละคน ๒ คนเสร็จแล้วท่านก็แปลงเป็นคนจูงมือนางนาควิกากับอุตตรมาณพไปหาพระพุทธเจ้า เพราะถามอุตตรมาณพแล้วว่าใครเป็นแก้ปัญหานี้ อุตตรมาณพก็สารภาพว่ามีพระสมณโคดมสอนมาก็ไปกราบกัน พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรดอุตตรมาณพกลายเป็นพระโสดาบัน นางนาควิกากับเอรกปัตตนาคราชได้ทิพยสมบัติมากขึ้น แต่ไม่ได้มรรคผลอะไรเข้าถึงไตรสรณคมเท่านั้น คราวนี้เราจะเห็นว่ามันไม่ใช่ศีล ๕ ที่ล่วงละเมิดแล้วทำให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ๒๒๗ ก็เจ๊งเหมือนกัน นั่นนิดเดียวด้วยนะ
    ถาม : เหตุจะเกิดจากการผิดศีลหรือไม่ผิดศีลก็สามารถมีสิทธิ์เกิดเป็นพญานาคได้ใช่มั้ยครับ ?
    ตอบ : ได้ คือทำบุญแล้วตั้งความหวังว่าจะเป็นก็เป็น
    ถาม : เป็นได้ใช่มั้ยครับ ?
    ตอบ : เป็นได้ เพราะจิตมันตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ เอามั้ยแค่ดึงตะใคร่น้ำหลุดเท่านั้นนะ ศีลพระไม่ใช่เรื่องง่ายนะ แต่สำหรับวัดท่าซุงถ้าพรากของเขียวน้อยกว่า ๑ ไร่นี่ปรับอาบัติศีลขาด แต่ถ้าทำมากกว่า ๑ ไร่นี่ไม่เป็นไร
    ถาม : อย่างนี้ก็ถางหญ้าไม่ได้ซิคะ ?
    ตอบ : ถางไปซิ แต่ถ้าถามว่าผิดมั้ย ผิด แต่ว่ารักษาวัดวาให้สะอาดเรียบร้อยคนเห็นแล้วเย็นตาเย็นใจ เกิดความศรัทธาขึ้นมา ส่วนเป็นบุญมันมากกว่าลงทุนได้ รู้ว่าลงทุนแล้วกำไรแน่ ๆ แต่ถ้าลงทุนแล้วขาดทุนอย่าไปแตะนะ ถึงได้บอกว่าของวัดท่าซุงสมัยหลวงพ่ออยู่พวกเราแซวกันเอง ว่าถ้าทำน้อยกว่า ๑ ไร่นี่ศีลขาด ต้องเอาให้เยอะกว่านั้น ๑๐๐ ไร่มันถางกันไม่หวาดไม่ไหว เล่นขับรถแทรกเตอร์ลุยกันเลย บางทับงูขาดเป็นท่อน ๆ ไปด้วย
    ถาม : อย่างนี้จิตของเราก็คิดตัวบุญอยู่ตลอด ?
    ตอบ : จิตของเรามันต้องเป็นกุศลอยู่ตลอด แต่ถามว่าผิดมั้ย ? ผิด ละเมิดสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้ามไม่ผิดนี่ไม่มี แต่บังเอิญว่าส่วนที่ทำเป็นบุญมากกว่า หลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่าถ้าหากใครมาอ้างว่าทำแล้วผิดศีลข้อนี้แล้วไม่ทำท่านจะฟาดกะบาลให้ ไอ้นั่นมันขี้เกียจแล้ว
    ถาม : แล้วที่ผมอ่านเจอว่ามีหลวงปู่องค์หนึ่งท่านไปเจอกับฤๅษีดาบส องค์นั้นท่านบอกว่าท่านจำศีลภาวนามาก่อนพุทธกาล ๓,๐๐๐ ปี ?
    ตอบ : แล้วมีปัญหาตรงไหน ?
    ถาม : แล้วท่านจะอยู่ยังไง ?
    ตอบ : ถ้าทำไม่ได้อย่าไปสงสัย เรื่องของท่านพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วว่าบุคคลผู้ชำนาญในอิทธิบาท ๔ อธิษฐานอยู่ได้เป็นกัป ๓,๐๐๐ ปี เสี้ยวเดียวเรื่องเล็ก
    ถาม : แต่ท่านบำเพ็ญอยู่ถ้ำในเขตพญานาค ?
    ตอบ : อยู่เป็นพัน ๆ ปียังอยู่ได้ แต่อยู่ในเขตพญานาคทำไมจะอยู่ไม่ได้ อยากรู้ว่าทำได้ยังไงก็ทำอภิญญาให้คล่องเดี๋ยวก็จะรู้เอง
    ถาม : แล้วจริง ๆ เป็นยังไง ?
    ตอบ : จริง ๆ คือเกิดใหม่ซะอีกรอบหนึ่งก็ได้เดี๋ยวก็รู้เอง ของพระเขาไม่เสียเวลาหรอกจ้า ย้อนอดีตก็ผิดไปอนาคตก็ผิด มันต้องหยุดกับปัจจุบันห้ามไปอดีตห้ามไปอนาคตวางกำลังใจผิดตายตอนนั้นเดี๋ยวซวย เรื่องของพระจำไว้ให้แม่น ๆ เลยนะ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าไปแล้วหมดปัญหาไป แต่ว่าท่านที่เป็นฌานโลกีย์นี่มันจะกดกิเลสไว้ชั่วคราวเท่านั้น การกดกิเลสไว้ได้ชั่วคราวนี่ถ้าประมาทกิเลสมันตีกลับเมื่อไหร่ จะหนักกว่าเดิมหลายเท่า เหมือนกับเก็บกดไว้นาน
    บรรดาครูบาอาจารย์ชื่อดัง ๆ อย่างอาจารย์นิกร อาจารย์ยันตระ หลวงพ่อภาวนาพุทโธ เหล่านี้น่าสงสารมาก เพราะว่าเมื่อท่านทำความดีไปถึงระดับหนึ่ง คนเริ่มเห็นแล้วก็นิมนต์กันหัวไม่วางทางไม่เว้นท่านไม่มีเวลามารักษาอารมณ์ใจของตนเองให้ทรงอยู่ได้เหมือนก่อน ถึงเวลากิเลสมันตีกลับมาก็เจ๊ง จริง ๆ แล้วน่าสงสารนะ เพราะฉะนั้นพระของเรามันต้องมีเวลาเฉพาะของตัวเองปฏิบัติอยู่ประมาทไม่ได้เลย ต้องทำอารมณ์ของตัวเองให้ต่อเนื่องอยู่ตลอด ยิ่งเป็นพระอริยเจ้าท่านยิ่งจำอารมณ์ต่อเนื่องไม่ยอมปล่อย ท่านจะไม่ยอมประมาทว่าได้แล้วอย่างเด็ดขาด มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้นว่าพระที่ดี ๆ อยู่ แล้วเสียไปนี่โอกาสให้ว่ากำลังใจของท่านมันย้อนกลับไปด้านเดิม เพราะฉะนั้นเป็นตัวอย่างมีอีกองค์ที่เห็นได้ชัด ๆ เห็นว่าตอนนี้นุ่งดำห่มดำไปแล้วไม่ใช่เหรอ
    ถาม : แต่คำสอนของท่านก็ยังใช้ได้อยู่ ?
    ตอบ : คำสอนน่ะถ้าหากว่าสอนอย่างพระสุธรรมเถรลูกศิษย์เป็นอรหันต์ แต่ท่านเองไม่ได้อะไรเลยเพราะท่านดีแต่สอนแต่ตัวเองไม่ทำเอง ถ้าคำสอนของท่านตรงถูกต้องตามพระพุทธวจนะที่ปฏิบขัติตามแล้วได้ แต่ถ้าพวกว่าผิดเพี้ยนไปเราทำตามไปโอกาสพลาดมันมีเอาจริง ๆ ก็เล่นตามพระไตรปิฎกเลยมั้ยล่ะ ลองไปดูเล่มหนา ๆ เป็นตู้ลองดูมั้ยล่ะ ?

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ทำไมบางคนเขาไม่เคยเจอผีเลย บางคนเขาไม่อยากเจอก็เจอล่ะ ?
    ตอบ : ถ้าไม่ใช่จิตหยาบเกินไปก็ห่วยไปเลย จิตหยาบจะรับเขาไม่ได้เลยเพราะของเขาอยู่ในภพภูมิที่ละเอียดกว่าหรือบางคนห่วยแตกเขามาเขาก็ไม่ได้อะไร ส่วนใหญ่เขามาเขามักต้องการส่วนบุญส่วนกุศลจากเรา เพราะฉะนั้นคนที่เจอผีนี่มี ๒ อย่างคือ อย่างแรกมีกรรมเนื่องกันมา เขาก็เลยปรากฏเพื่อให้สงเคราะห์เขา อีกอย่างหนึ่งทำบุญใหญ่มา เขาอยากได้เขาก็มาปรากฏให้เห็น
    ถาม : ก็เหมือนกับว่ามาให้เห็นรัศมีกายว่าคนนี้จะอุทิศบุญให้เขาได้ใช่ไม๊คะ ?
    ตอบ : ก็ลักษณะนั้นใครที่เจอผีไม่ต้องไปทำบุญใหม่หรอกใ้หตั้งใจว่ากุศลบารมีอะไรที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ขออุทิศให้กับเธอขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ได้รับความสุขเท่าไรขอให้เธอได้รับด้วยเท่านั้นพอแล้ว
    ถาม : แล้วถ้ามาทำร้ายเราล่ะครับ ?
    ตอบ : ที่มาทำร้ายนี่ส่วนใหญ่มันมาเพื่อทดสอบกำลังใจ
    ถาม : ถ้าเจอแล้วเราช๊อคทำยังไงคะ ?
    ตอบ : อ๋อ ! อันนั้นไม่ต้องทำยังไงหมอเขาจัดการเอง เราช๊อคแล้วก็แล้วกัน ถ้าหากว่าเป็นผีประเภทที่มาลองกำลังใจถ้าเรากลัวมากเขาก็ไป ถ้าหากว่าเราคิดถึงความดีได้เขาก็ไป เขาต้องการแค่นั้นแหละ คือต้องการให้เราเกาะความดีได้ แต่ถ้าเห็นเรากลัวมากเดี๋ยวมีอันเป็นไปเขาก็ไม่อยู่แล้ว
    ถาม : ........................
    ตอบ : โอกาสอย่างนั้นมันน้อย กำลังใจถ้าหากประกอบไปด้วยความโกรธแค้นอะไรเต็มที่ มันเป็นจิตใจที่เศร้าหมอง ส่วนใหญ่จะลงนรกไปเลย พวกนั้นมันมีแต่ในนิยายเท่านั้นที่ผีมันกลับมาแก้แค้น ถ้าหากว่ายังผูกอาฆาตอยู่อย่างนั้นจิตใจมันเศร้าหมองมันจะพาลงอบายภูมิไปเลย
    ถาม : แล้วอย่างที่ผีเขาหลอนเขาหลอกนั่น เขาหลอกเล่น ๆ เหรอคะ ?
    ตอบ : เขาไม่ได้เจตนาหลอก เขาตั้งใจมาขอส่วนบุญแต่ลักษณะของเขามันเหมือนกับคนจน เขามาได้สวยที่สุดก็อย่างที่เราวิ่งอ้าว นั่นน่ะสวยที่สุดของเขาแล้ว เขาพยายามรวบรวมความสามารถของเขาเต็มที่แล้ว เขามาได้แค่นั้น เขาก็อยากสวยกว่านั้นแต่บุญเขาไม่พอ เพราะฉะนั้นรีบ ๆ ให้เขาซะ ส่วนใหญ่แล้วแทนที่จะให้ก็วิ่งหนีเขา
    ถาม : เคยได้ยินหลวงพี่ต่อเล่าให้ฟังว่าเคยไปที่อุทยาน.....(ไม่ชัด).....แล้วก็ไปที่ถ้ำ .....(ไม่ชัด)......แล้วผีนี่เอามือยื่นออกมาเจตนาจะฆ่าหรือหลอก ?
    ตอบ : พวกนั้นส่วนใหญ่มันลองกำลังใจนักปฏิบัติโดนประจำถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติมันไม่ค่อยยุ่งด้วยหรอกเสียเวลาเปล่า ลองไปก็ไม่ได้อะไร
    ถาม : ผมเคยได้ยินมาว่าผีที่หลอกเพื่อทดสอบกำลังใจส่วนใหญ่จะไม่ใช่ผีใช่มั้ยครับ ?
    ตอบ : เราน่ะอะไรก๊อกแก๊กมันเรียกผีหมด มันแล่นไล่ตั้งแต่โน่่นแน่ะ ทั่ว ๆ ไปยันนิพพานมันเหมาเป็นผีหมดเลย
    ถาม : พอดีไปถ่ายทำโฆษณาสินค้าตัวหนึ่งต้องใช้พระ ทีนี้ทางทีมงานเขาใช้พระจริง ?
    ตอบ : ก็ไม่เป็นไร
    ถาม : ก็ไม่บาปไม่ปรามาสอะไรใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ก็อยู่ในลักษณะขอความร่วมมือท่าน ๆ จะเห็นด้วยมั้ย ? ถ้าถึงเวลาก็ถวายอะไรให้ท่านบ้างนะ ไม่ใช่ใช้ท่านเฉย ๆ พอเสร็จงานก็ขอขมาพระด้วย
    ถาม : หนูไปขอขมาพระท่านงงน่ะค่ะ ว่ามาขอขมาทำไม ก็เลยบอกว่าทีแรกว่าจะเอาพระปลอมไงคะ ทีนี้ทางทีมงานเขาไม่ลงทุนนี่คะ เขาก็นิมนต์หลายอย่างเดี๋ยวก็นิมนต์เดินหน้า นิมนต์ถอยหลังทีนี้พอเสร็จงานหนูก็ไปขอขมาพระ ๆ งงเลยค่ะ
    ตอบ : เป็นอันว่าเราพ้นไป ไอ้คนไม่ขอขมาอีกหน่อยมันก็โดนเขาจับเดินหน้าถอยหลังเองล่ะ นั่นแสดงว่าตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นยังไง ไปขอขมายังไม่รู้ คือสมัยหลัง ๆ นี่เขาก็บวชเขาก็สักแต่บวชไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
    ถาม : เรื่องชำระหนี้สงฆ์นี่เขารู้กันทุกวัดใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ไม่ใช่หรอก รู้กันแต่สายหลวงพ่อเท่านั้นนอกสายหลวงพ่อไม่มีใครเขารู้กัน เพราะว่าหลวงพ่อท่านพบมาเยอะ คนที่เอาของสงฆ์ไปกินไปใช้นี่โทษมันอเวจีมหานรกอย่างเดียว ถามพระยายมราชท่านแล้วท่านบอกมีวิธีการชำระหนี้สงฆ์ อย่างเช่นว่า ถ้าเราเอาสิ่งของที่มีค่าเท่าไหร่ในอดีต ถ้าเราต้องซื้อสิ่งของนั้นปัจจุบันเป็นเงินเท่าไหร่ต้องตีเป็นราคาเงินในปัจจุบัน หรือไม่ก็ซื้อของชิ้นนั้นมาคืนเลยเป็นของใหม่หมดเรื่องหมดราวไป แต่ว่าถ้าหากว่าไม่สามารถจะทำได้ก็ให้ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ เอาเงินจำนวนหนึ่งไปถวายบอกชำระหนี้สงฆ์ที่เคยทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าหากว่าพระทั้งวัดเขาประเภทสาธุรับก็เป็นอันว่าหมดกันไป หรือไม่ก็ตั้งใจสร้างพระหน้าตัก ๔ ศอกถ้าหากว่าสร้างพระหน้าตัก ๔ ศอกไม่ปิดทองนี่ได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าหากว่าจะปิดทองนี่จะร่วมกันกี่คนมีอาสงส์คุ้มได้หมด
    ถาม : และหนูถวายบอกชำระหนี้สงฆ์นี่ท่านก็เลยงง ๆ บอกแปลว่าอะไรชำระหนี้สงฆ์ หนูก็เลยบอกถวายหลวงพี่ไว้ใช้ในวัดเลย
    ตอบ : บอกว่าถวายเป็นค่าน้ำค่าไฟเลยก็ได้ ท่านจะได้เข้าใจ
    ถาม : ท่านงง ก็เลยบอกเอ๊ะ ทำไมงง ?
    ตอบ : มันมีแต่สายหลวงพ่อเท่านั้นที่เข้าใจ สายอื่นไม่ค่อยเข้าใจหรอก ถ้าได้ยินว่าใครเขาบอกว่าถวายชำระหนี้สงฆ์หมายหัวไว้เลยว่าอย่างน้อย ๆ ก็เคยเดินผ่านวัดท่าซุงมาแน่ หรือไม่ก็เป็นศิษย์เก่าท่าซุงเลยล่ะ
    ถาม : เคยเดินผ่านวัดแล้วเห็นพระชำรุดเป็นพระแก้วมรกตชำรุดวางใต้ต้นโพธิ์แต่ยังไม่ชำรุดมาก ผมก็เลยจะเอาไปบูชาที่บ้าน แต่ผมไม่ได้้หยิบเอาไปเฉย ผมไปขอกับท่านรองเจ้าอาวาสท่านก็ให้บอกว่าเอาไปซิ อย่างนี้ต้องชำระหนี้สงฆ์หรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : อันนั้นยังเป็นของสงฆ์อยู่ ท่านองค์เดียวอนุญาตไม่ได้ต้องสงฆ์ทั้งหมดมีความเห็นร่วมกัน อันนั้นท่านอนุญาตไม่ได้ ถ้าหากว่าท่านอนุญาตไปท่านก็ผิด ขณะเดียวกันเราเอามาเราก็ยังติดหนี้สงฆ์อยู่ เราต้องตั้งใจดูว่าถ้าหากว่าปัจจุบันราคาเท่าไหร่เราก็ชำระไปในราคาเท่านั้น
    ถาม : แล้วถ้าหากว่าเราเอาพระพุทธรูปองค์นี้ไปคืน ?
    ตอบ : ก็ดีจะได้หมดเรื่องกันไปเลย เวลาคืนถ้าหากว่าวัดเก่ามันไกลวัดไหนก็ได้ ตั้งใจว่าถวายคืนเป็นสมบัติของพระศาสนาไปตามเดิม
    ถาม : คืนวัดไหนก็ได้เหรอครับ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าวัดเก่ามันไม่ไกลจนเกินไปก็คืนวัดเก่า ถ้าหากว่าวัดเก่ามันไกลวัดไหนก็ได้
    ถาม : ทำไมเขาเอาไปวางทิ้งล่ะครับ ไม่รู้ว่าใครเอาวางทิ้งไว้ใต้ต้นโพธิ์ ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วคนเราพอแตกนิดบิ่นหน่อยแล้วมันก็ไม่สบายใจ มันก็เอาไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ
    ถาม : เวลาเราปฏิบัติธรรมแล้วเรารู้สึกว่ามันสบาย แล้วจิตก็ว่าทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่จิตก็ยังเคารพอยู่นะครับ เห็นพระแล้วก็อยากจะไหว้อยากจะกราบ แต่มันมีความรู้สึกคือสวดมนต์บ้างก็ได้ไม่สวดก็ได้อย่างนี้ ?
    ตอบ : อย่างนั้นเขาเรียกกิเลสมารดลใจแล้ว ความดีทำมากเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น มากนี่หมายความว่าทำบ่อย ๆ ทำประจำ ๆ ไม่ใช่ทุ่มเททำด้วยทรัพย์สินเงินทองมาก ๆ ความดีทำมากเท่าไหร่ก็ดีกับเราเท่านั้น ถ้าหากว่ามันชวนให้ขี้เกียจเมื่อไหร่ให้รู้ตัวเลยว่าเราจะแย่แล้ว
    ถาม : เพราะว่าเมื่อก่อนผมเคยสวดชินบัญชร แล้วพอตอนหลังนี่ก็.....(ไม่ชัีด).....ก็เลยเลิกสวดชินบัญชร ?
    ตอบ : แล้วเลิกทำไมล่ะ อาตมาเองก็สวดมาก่อนจนปัจจุบันนี้ก็ยังสวดอยู่
    ถาม : จิตมันก็ยังจำได้อยู่ทุกถ้อยคำ แต่มันมีความรู้สึกว่าทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แต่จิตมันอยากจะทำแต่ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าขี้เกียจซะแล้วน่ะครับ ?
    ตอบ : ไอ้ขี้เกียจซะแล้วนี่ ระวังมันเป็นถีนมิทธะนิวรณ์ เดี๋ยวมันพาอย่างอื่นขี้เกียจไปด้วย
    ถาม : อย่างนี้ต้องสร้างกำลังใจใหม่ใช่มั้ย ?
    ตอบ : กำลังใจต้องเอาใหม่ให้ไฟมันลุกสม่ำเสมอหน่อย ไม่ใช่ให้มันติด ๆ ดับ ๆ แล้วยิ่งไฟไหม้ฟางวูบเดียวหายเลยไม่ให้มีเด็ดขาด
    ถาม : (ถามเกี่ยวกับเรื่องคาถาต่าง ๆ มีชินบัญชร)
    ตอบ : พระคาถาสำคัญตรงที่ว่าผู้ที่ผูกเอาไว้บอกมีผลทางไหนแล้ว จิตใจเรามุ่งทางนั้นก็จะมีผลทางนั้น ยกเว้นว่าเราทำไปด้วยแล้วมีผลสำเร็จที่ใจแล้วล่ะ เราจะใช้คาถาไหนนึกให้เป็นยังไงก็จะเป็นอย่างนั้น
    ถาม : อยู่ที่การอธิษฐานเหรอครับ ?
    ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเรา มาถึงระยะหลัง ๆ นี่ตั้งใจยังไงก็เป็นอย่างนั้น
    ถาม : ถ้าเราสวดชินบัญชร ไม่ว่าจะทำอะไรจิตจะนึกถึงคาถานี้อย่างนี้จะอธิษฐานได้มั้ย ?
    ตอบ : ได้ แสดงว่ามันเป็นฌานแล้ว ในเมื่อเป็นฌานแล้ว ยิ่งฌานสูงมากเท่าไหร่ผลก็จะมีมากเท่านั้น
    ถาม : อานิสงส์คาถาชินบัญชรนี่มีอานิสงส์อย่างไรครับ ?
    ตอบ : อานิสงส์อย่างไร ? ถ้าหากว่าทำเป็นก็ยันนิพพาน เพราะป็นบทสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และก็บรรดาพระสูตรต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าสอนมา
    ถาม : (ถามเรื่องการนั่งสมาธิ)
    ตอบ : การนั่งสมาธิให้รวบรวมความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก อย่าปล่อยให้มันไปคิดเรื่องอื่น ถ้าคิดเรื่องอื่นมันจะไม่เป็นสมาธิ ถึงเวลาโยมกำหนดความรู้สึกทั้งหมดให้มันอยู่แค่ลมหายใจเข้า- ออก เวลาหายใจเข้าก็ผ่านจมูกลงไปกลางอกลงไปที่ท้อง ออกจากท้องมากลางอกมาที่จมูก นึกเข้านึกออกอยู่เท่านี้ ถ้ามันนึกเรื่องอื่นเมื่อไหร่ก็ดึงมันกลับมา นึกเรื่องอื่นเมื่อไหร่ก็ดึงมันกลับมา แรก ๆ มันจะทำไม่ได้เพราะว่ามันไม่เคยชิน แต่พอทำไปนาน ๆ แล้วมันจะได้ ของเราพอไม่ได้ทีแล้วเราก็เลิก มันต้องพยายามหน่อย มันยากทีแรกพอได้ซะแล้วมันจะง่าย
    ถาม : ทำตั้งนานแล้วมันยังไม่เห็นนั่งได้เลย
    ตอบ : ก็โยมทำไม่ถูกมันก็ไม่ได้ซิ ทำใหม่จ้า ทำใหม่
    ถาม : แล้วหลวงพี่สอบหรือยังครับ (สอบนักธรรม) ?
    ตอบ : สอบได้ตั้งแต่ ๓ พรรษาแรกแล้ว ๓ พรรษาล่อไป ๔ ประกาศนียบัตรเพราะว่าเขามีสอบนวกะครั้งหนึ่ง แล้วหลวงพ่อถามว่าจะเรียนเปรียญต่อมั้ย ? ถ้าหากว่าเรียนบาลีเป็นเปรียญต่อจะส่งมาเรียนกรุงเทพ บอกไม่เอาเพราะว่าถ้าเราห่างหลวงพ่อนี่เดี๋ยวมันไหลไปตามกระแสเขาคือพวกที่มาเรียนมหาเปรียญนี่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะไปต่อสู้แย่งชิงพวกลาภ ยศ สรรเสริญ สุขกัน เดี๋ยวเราก็จะไปแย่งกับเขาบ้าง
    นึกถึงหลวงพี่ชุบ หลวงพี่ชุบเป็นเจ้าคุณศรีวิสุทธิโมลี วัดราชบูรณะ วัดเลียบน่ะ เปรียญ ๙ รุ่นพี่ชุบนี่ พี่ชุบเขาเป็นก่อนเพื่อนเลย จนป่านนี้รุ่นพี่กับรุ่นน้องก็ยังไม่ได้เป็นแต่พี่ชุบเป็นแล้ว ถามว่าทำไมพี่ติดนายพลก่อนเขาล่ะ แกตอบตามสไตล์ลูกศิษย์หลวงพ่อขนานแท้เลย แกตอบว่าไงรู้มั้ย ? แกบอกมันเสือกวิ่งเต้นกันกู มันกลัวกูจะเป็น กูก็เลยทำให้มันรู้ว่าคนอย่างกูถ้าจะเป็นแล้วต้องได้
    นั่นล่ะกลัวว่าจะไปเป็นอย่างนั้นน่ะ คืออันนั้นพี่เขา ๆ ก็รู้อยู่แต่ว่านิสัยลูกศิษย์หลวงพ่อมันไม่ยอมแพ้ใคร มันจะไปฟัดกับเขา เรารู้นิสัยตัวเองดีก็เลยบอกหลวงพ่อไม่เอาล่ะครับ แค่นี้ก็พอแล้ว คือว่าถ้าจะเรียนบาลีอย่างน้อยก็ต้องเรียนให้ได้นักธรรมตรี นักธรรมตรีนี่เขาให้สิทธิเรียนเปรียญ ๑, ๒, ๓ ถ้านักธรรมโทนี่ให้เรียน ๔, ๕, ๖ ได้แล้วนักธรรมเอกนี่ให้เรียนถึง ๗, ๘, ๙ เราก็เก็บสิทธิไว้เรียนเฉย ๆ ไม่เรียนหรอก กลัวจะต้องไปแย่งชิงกับเขาไม่เอาด้วยมันรู้นิสัยตัวเอง ไม่ค่อยยอมแพ้ใคร
    ถาม : เรื่องที่เป่ายันต์เกราะเพชรที่บางวัดเขาจะเป่ายันต์เกราะเพชรให้ ?
    ตอบ : เขาว่าเขาเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่ปาน แต่ถ้าจะไม่เป่าวันเสาร์ ๕ นี่มันเก่งเกินไป ตามสายหลวงพ่อนี่ต้องเป่าเฉพาะวันเสาร์ ๕ เท่านั้น หลวงปู่ปานท่านก็สั่งนักสั่งหนา พระท่านก็สั่งนักหนาว่า ต้องวันนี้เท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้มีหลายสำนักที่ประกาศตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปานบ้าง เป็นลูกศิษย์สายวัดท่าซุงบ้าง บางวัดสามารถเป่ายันต์ได้ทุกเวลาที่เราไปร้องขอ ตั้งขันครูมา ๒๙๙ บาททำให้เดี๋ยวนั้นเลย เก่งขนาดนั้น อาตมาทำไม่ได้ บางวัดก็เป่าทั้งเสาร์ทั้งอาทิตย์มันเกินไป ตำราครูบาอาจารย์ว่าอย่างไรต้องยึดถือตามนั้น คนนอกครูนอกอาจารย์มันเจริญยาก เอาบ้างมั้ย ? ไปเมื่อไหร่เป่าได้เมื่อนั้น ความจริงเขาเก่ง เราต้องรอ บางทีปีทั้งปีไม่มีเสาร์ ๕ ก็ต้องรอปีต่อไปนะ ของเราสู้เขาไม่ได้ของเขาเก่งกว่า
    ถาม : ............................
    ตอบ : คือว่าการบำเพ็ญบารมีของแต่ละคนมันแยกออกเป็น ๒ สาย สายหนึ่งเรียกว่าสาวกภูมิ คือทำเพื่อที่จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ส่วนอีกสายหนึ่งเขาเรียกว่าพุทธภูมิ สายพุทธภูมินี่คือปฏิบัติตัวเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ในระหว่างที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น เขาเรียกคนผู้นั้นว่า
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...