ฉบับที่ ๒๑ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 20 ธันวาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนธันวาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ถาม : มันไม่โกรธไม่อะไร แต่ว่ามันเข้าใจว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์แล้วนั่งคอยความตาย เอ๊ะ วันแรกก็ยังไม่ตาย วันที่สองก็ยังไม่ตาย ก็นั่ง...มันจะแบบไม่โกรธไม่นึกอยากได้ ไม่อะไร ไม่มีความอะไรกับใครเลย คิดว่าสงสัย เอ่ย เราได้แล้ว ก็ไปนั่งรอความตาย เอ๊ะ ปกติวันหนึ่งต้องตาย ก็ไม่ตาย วันที่สอง พอวันที่สาม ปุ๊บ อารมณ์ตก ?

    ตอบ : มันตก มันก็คืนกลับสภาพเดิมของมัน ลักษณะนั้นโทษโยมไม่ได้นะ พระสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าอยู่ ท่านก็คิดว่าท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว ท่านก็พยากรณ์ว่าตัวท่านเองเป็นพระอรหัตน์แล้ว พระพุทธเจ้าถึงได้ไปเตือนว่ายังไม่ใช่ สังเกตุอารมณ์จะเห็นว่ายังต้องใช้การกดมันอยู่ ไม่ใช่ได้แบบปล่อยวาง ถ้าหากว่าปัญญาถึงมันจะปล่อยไปเลย ฉะนั้นพออารมณ์คลายตัวลง ท่านก็ตกใจว่า เอ๊ะ เราโดนอาบัติปาราชิก คือ ขาดความเป็นพระซะแล้วมั้ง ? พระพุทธเจ้าท่านตัดสินให้ว่าไม่โดน เพราะพยากรณ์โดยความสำคัญผิด ที่อวดอุตริมนุสธรรมเพื่อต้องการลาภ ยศ ชื่อเสียง ต้องการให้คนเขาสรรเสริญเยินยอเราอะไรเหล่านั้นถึงจะเป็นต้องอาบัติปาราชิกขาดความเป็นพระ เพราะอวดในสิ่งที่ตัวเองไม่มี แต่อันนี้ตัวเองเข้าใจผิดไป ดังนั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะอวดเพื่อผลประโยชน์ใด ๆ ดังนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นอาบัติปาราชิก อันนั้นอย่างหนึ่ง
    อีกอย่างหนึ่งเกิดกับตัวอาตมาเองเหมือนกัน มีอยู่วันหนึ่งปีนั้นรู้สึกนอนในเรือทั้งปีเลยตอนที่ตีกับชาวบ้านเขาเรื่องเรือหาปลา นอนในเรือทั้งปีเลย ก็ภาวนาไปเรื่อย กลางคืนไม่ค่อยได้นอนหรอกเพราะว่าต้องคอยออกตรวจอยู่ทุก ๆ ครึ่งชั่วโมงก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นนอนคืนหนึ่งไม่เกินสองชั่วโมงเท่านั้นแหละ พายเรือทั้งคืน อันนี้ก็มันทำได้ มันอยู่ได้เพราะว่าอารมณ์ใจมันทรงตัวภาวนาอยู่ วันนั้นอารมณ์มันดีเป็นพิเศษ มันรู้สึก.. มันปล่อยวาง มันวาง ไม่เอาอะไรกันใครไม่ยินดี ไม่ยินร้ายกับใครเลย เอ๊ะ นี่เราจะไปซะแล้วมั้ง ? ใช่มั้ย ? ก็ถึงนึกอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน คราวนี้หลวงพ่อท่านเคยให้เอาไว้ว่า ทุกวันตอนเช้าให้เรายกจิตขึ้นเปรียบกับสังโยชน์อยู่ตลอดเวลา ว่าสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ มีข้อไหนที่เรายังติดอยู่บ้าง ก็ไม่ต้องรอเช้า เราฟาดมันตอนนี้แหละ เผื่อถ้าหากว่ามันหลุดจริง ๆ เราจะได้สบายใจซะทีหนึ่ง ว่า เออ... ตอนนี้เราเป็นพระอริยเจ้าแล้วใช่มั้ย ? ไล่ไปมาติดครบ ๑๐ ข้อเลย การไล่สังโยชน์นี่เราต้องไม่เข้าข้างตัวเองนะ
    ถึงได้ต้องบอกว่า เราต้องหาจุดผิดหาจุดตำหนิเตือนตัวเองให้ได้ ที่เมื่อครู่นี่ที่มีรายหนึ่งเขาบอกว่าเขาไม่ผิด บอกว่าเอ็งผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว ต้องหาข้อผิดให้ได้ นั่นแหละไล่ไปไล่มาติดครบ ๑๐ ตัวเลย เราเข้าใจผิด อารมณ์มันยังแบกอยู่ เพราะว่ามันใช้กำลังสมาธิกดมันอยู่ เพียงแต่ว่าวันนั้นนี่มันนิ่งสนิทจริง ๆ เราก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าใช่ แต่ความจริงมันไม่ใช่

    ถาม : แล้วตอนนี้ ๑๐ ข้อนี่ ติดครบมั้ยคะ ?

    ตอบ : ก็ยังครบ ๑๐ เหมือนเดิม

    ถาม : (หัวเราะ)

    ตอบ : สามารถเขียนให้โยมอ่านได้ทุกข้อ (หัวเราะ) อย่าไปจับปลาไหลเลยเสียเวลาเปล่า

    ถาม : ท่านยังไม่เผลอ ?

    ตอบ : เรื่องอย่างนี้เผลอไม่ได้หรอก สติมันต้องมากกว่าคนทั่ว ๆ ไปซะด้วยซ้ำ โอกาสเผลอมันมี แต่จะเผลอเรื่องอื่น เรื่องนี้ห้ามเผลอ มีคนมากระทุ้งจะเอาเรื่องหวยบ่อย บอกไม่ได้กินหรอก ถ้าหลวงพ่อสั่งห้ามก็คือห้าม เขาจะรอเราเผลอ ใช่มั้ย ?

    ถาม : อธิบายให้เข้าใจอีกนิดหนึ่ง กลัวแต่ว่าจะเป็นการว่าเพ้อเจ้อค่ะ บางครั้งฝันถึง ใจคิดถึงหลวงพ่อ คือคิดถึงหลวงพ่อ คิดถึงหลวงพ่อใจจะขาด แต่เวลาคิดถึง แต่ช่วงหลังนี้ไม่ได้เป็นนะ ช่วงก่อนนี้ ประมาณเมื่อ ๒ ปีก่อน เวลาคิดถึง ....คิดถึงท่านแล้วเหมือนใจจะขาด แบบพูดไม่ออกเหมือนกัน คิดถึง สุด ๆ ?

    ตอบ : ไม่ต้องพูดไง คำพูดอธิบายไม่ได้ เพราะว่าอารมณ์ใจมันเป็น ปัจจัตตัง รู้เอง คราวนี้ต่อไป มันข้องใจตรงไหน

    ถาม : ที่นี่ก็มาคิดว่า ปกติถ้าเราคิดถึงหลวงพ่อ คือเราเห็นหลวงพ่อเป็นเรื่องปกติใช่มั้ย ? .....
    ตอบ : ไม่หรอก เราควรจะคิดอย่างนั้นทุก ๆ วัน คิดอยู่สม่ำเสมอซะด้วยซ้ำไป เพราะเป็นสังฆานุสสติ โดยเฉพาะตอนนี้หลวงพ่ออยู่บนพระนิพพาน ต่อท้ายไปนิดหนึ่งว่าถ้าตายตอนนี้เราขอไปอยู่กับหลวงพ่อก็แล้วกัน ได้ประโยชน์มหาศาล คนที่เคยทันหลวงพ่อได้เปรียบคนอื่นเขาหลวงพ่อพูดกับเราอย่างไร ? หัวเราะอย่างไร ? เป่ายานัตถุ์อย่างไร ? สั่งน้ำมูกอย่างไร ? เรานึกภาพออกหมด ชัดเจนมาก สังฆานุสสติ อย่างไรเสียถ้าหากว่าเราใช้ฌาน ๔ ควบกสิณเข้าไปด้วย มันก็ยังต้องอาศัยภาพโยงมาภาวนาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานสมควร แต่เนื่องจากว่าเราสัมผัสกับหลวงพ่อมาตลอด ภาพหลวงพ่ออยู่ในจิตอยู่ในใจของเราตลอดแล้ว พวกคล่องกสิณขนาดไหนก็เห็นไม่ชัดเท่าเราหรอก เพราะฉะนั้นตัวนี้เป็นสังฆานุสสติเต็มระดับ แล้วก็ถ้าหากเราจับเอาไว้อยู่ตลอดเวลาใจของเราจะอยู่กับบุญอยู่กับกุศลตลอดโดยเฉพาะตั้งใจว่าหลวงพ่ออยู่บนพระนิพพาน ถ้าตาย เราขอไปอยู่กับท่าน เราขออยู่บนพระนิพพานด้วย ตัดปิดท้ายจบไปเลย ยิ่งจับภาพท่านอยู่ได้นานเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น

    ถาม : ตอนนี้มีความรู้สึก เมื่อนึกถึงภาพหลวงพ่อจะเห็นภาพหลวงพ่อที่อยู่ ๑๐๐ ร้อยเมตร คือเป็นภาพหลวงพ่อที่เป็นซากศพ แล้วจะรู้สึกว่าเห็นภาพนั้นตลอด ต้องแก้หรือไม่คะ ?

    ตอบ : ไม่ต้องแก้ คือลักษณะของพุทธานุสสติก็ดี สังฆานุสสติก็ดี ถ้าเรานึกถึงแล้วท่านมาในลักษณะอื่น อย่างเช่นว่า เราตั้งใจว่าจะเอาภาพตอนท่านนั่ง เห็นท่านนอนแทน อันนี้จับเอาไว้ได้เลย เพราะว่าเป็นตรงตามกองกรรมฐานนั้น แต่หากถ้าอย่างเช่นว่า เรานึกภาพกสิณ แล้วภาพอื่นมาปรากฎแทน อันนั้นต้องทิ้งไป เพื่อหันมาจับภาพกสิณใหม่ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นที่จะไปแก้ เราก็นึกต่อเลยว่า ผู้ที่ประเสริฐสุดอย่างหลวงพ่อแล้วก็ยังไม่สามารถพ้นความตายไปได้ ตอนนี้ศพของหลวงพ่อก็อยู่เป็นหลักฐานยืนยันว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยงจริง ถ้าเราไปยึดถือมั่นหมายไม่ว่าจะท่านหรือว่าเรา เราก็ต้องทุกข์ เพราะฉะนั้นสุดท้ายมันไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ ตัวเราก็ต้องเสื่อมสลายตายพังไปเช่นเดียวกับหลวงพ่อเพราะฉะนั้นเราควรจะไปอยู่ที่ไหนก็เอาตรงจุดนั้นส่งต่อไปเลย ตอนนี้หลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว ท่านไปอยู่บนพระนิพพาน เราก็ขอไปอยู่กับท่านด้วย เอาภาพนั้นเป็นอนุสสติต่อไปเลย สิ่งที่มาในนิมิตนี้ ถ้าหากว่าเราจับมันจะชัดเจนกว่าใคร

    ถาม : .................................

    ตอบ : จับไว้บ่อย ๆ นึกถึงเสมอ ๆ ไว้ ยิ่งเห็นภาพนั้นชัดเท่าไหร่ ถ้าเราจะใช้ทิพจักขุญาณ เราก็จะใช้ได้ชัดเจนเท่าภาพที่เราเห็น ถ้าทำเป็นนี่ทุกอย่างมีประโยชน์หมด

    ถาม : จะเป็นคนที่.......... มันจะหลงทางอยู่เรื่อย ?
    ตอบ : ไม่เป็นไร หลงไม่ไกลหรอก อย่างพวกเรานี่ ออกนอกทางหน่อยมันจะรู้ตัว เพียงแต่ว่ารู้ตัว แล้วจะยอมกลัวมั้ย? เท่านั้นเอง

    ถาม : อย่างลมหายใจค่ะ ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ ไท้เก๊กมันจะลมหายใจไม่เหมือน เพราะปกติเราก็ภาวนาหายใจเข้าหายใจออกก็ตามปกตินะคะ ๓ ฐาน แต่พอเป็นไท้เก๊กเนี่ย มันจะอีกเรื่องหนึ่ง ?

    ตอบ : บอกแล้วไงว่าอาตมาก็เจอปัญหานี้มาก่อน คราวนี้มันไม่ใช่อีกเรื่องหนึ่งหรอกมันเรื่องเดียวกัน ถ้าเราทำถึงจริงๆ จะรู้ตัวเลยว่าทุกส่วนสัดของร่างกายของเราสามารถใช้หายใจแทนจมูกได้ทั้งหมด อาตมามีอยู่ระยะหนึ่ง เลิกใช้จมูกหายใจอยู่หลายปีเลย คือมันสนุกน่ะ เอาส่วนอื่นหายใจแทน มันดี ลองทำดู ถ้าทำถึง แล้วมันทำได้จริง ๆ อันนี้ไม่ได้พูดเล่นนะ เราจะใช้ส่วนไหนของร่างกายหายใจก็ได้ รูขุมขนตามผิวหนังทุกส่วนใช้ได้หมด เพราะฉะนั้นเราเองปัญหาลมหายใจแค่นี้มันเรื่องเล็ก มันจะหายใจยังไงก็ได้ ขอให้ใจเรามันอยู่กับที่แล้วกัน อย่างเช่นว่าเราจับภาพพระอยู่ก็จับไป แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่ง มันอยากจะรำอีท่าไหนตามที่มันเคยมาก็ทำไป แต่ส่วนหนึ่งซัก ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์จับภาพพระ จับภาพพระนิพพานเอาไว้เป็นปกติของมัน

    ถาม : ช่วงที่เราไม่ได้เล่น เราไม่ได้รำ เราก็จะ...เวลาเราหายใจเข้ามันก็จะ...?
    ตอบ : มันเลย มันแทนที่จะอยู่แค่ศูนย์กลางกาย มันเลยลงไป เพราะว่าตามการฝึกกำลังภายในเขาจะเอาจุดใต้สะดือลงไปเป็นหลัก

    ถาม : เขาจะแค่ดึงสุดลงไป ?

    ตอบ : มันมากเลย ตอนบังคับให้หยุดนี่ ถ้าหากว่าเราไปฟุ้งซ่านกันมัน มันนาน ก่อนหน้านี้ก็ไปบังคับให้มันหยุด บังคับอยู่ตั้งหลายปีกว่ามันจะหยุดอยู่ได้ แต่พอมาฝึกมโนมยิทธิเสร็จถึงได้เข้าใจว่าจริง ๆ แล้ว จะให้มันอยู่ส่วนไหนของร่างกายก็ได้ สนุกดี

    ถาม : ไม่เข้าใจค่ะ ถ้าบอกว่า ถ้าเราดึงให้มันสุดไปข้างล่างเนี่ยเราต้องการจับฐานอยู่ ?
    ตอบ : ไม่ต้องไปจับฐาน รู้ตามไปเฉย ๆ ก็ได้ คือว่าถ้าตามวิสุทธิมรรคเขาจะมีแบบที่ว่าผุสนา คือจับการกระทบของมัน จะเป็นแบบฐานเดียว สามฐาน เจ็ดฐานแล้วแต่เราอผุสนาไม่จำเป็นต้องจับการการทบก็ได้ เรารู้ลมตลอดไปเลย เพราะฉะนั้นอันนี้ของเราไม่ต้องไปจับจุดกระทบมันแล้วรู้ลมตลอดไปเลย มันไปถึงไหน ก็รู้ตามไป มันเคลื่อนไปทั่วร่างกายก็เคลื่อนตามมันไป

    ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็ไม่นิ่งน่ะสิคะ ?

    ตอบ : จริง ๆ ตัวมโนมยิทธินี่มันเป็นส่งออกอยู่แล้ว แต่เพียงแต่ว่าลักษณะของการส่งออก เราส่งอย่างมีสติด้วยการที่ว่าเรายึดจุดใดจุดหนึ่ง คือแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งเอาไว้เสมอ อย่างเช่นว่า แบ่งความรู้สึกเกาะนิพพาน แบ่งความรู้สึกเกาะภาพพระไว้ ส่วนลมมันจะไปตรงไหนก็ดูตามมันไปเฉย ๆ

    ถาม : เอ๊ะ อย่างนี้จิตเราไม่นิ่ง เดี๋ยวเราก็จิตเกาะพระ แล้วจิตเราเกาะลมหายใจด้วย ?

    ตอบ : แบ่ง จ้ะ แบ่ง แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเกาะพระเอาไว้เป็นปกติ อีกส่วนหนึ่งก็ตามดูไป บางทีมันไปทุกส่วนของร่างกายเลย เส้นเลือดเล็ก ๆ มันก็เห็นยังกะอุโมงค์ใหญ่เบ้อเร่อขนาดรถไฟลอดได้เดินสบายเลย
    ถาม : ทีนี้ มันจะเป็นอย่างนี้ค่ะ ส่วนหนึ่งก็รู้ลมหายใจ ส่วนหนึ่ง...อีกส่วนหนึ่งมันจับแสงอยู่ตรงนี้เอง ?

    ตอบ : จับไปเถอะ แบ่งออกมากเท่าไหร่ก็ได้ แต่ว่าความรู้สึกสุดท้ายของเราอย่าให้หลุดจากพระแล้วกัน ยังไง ๆ ก็ต้องคิดอยู่เสมอว่าภาพนี้คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่อยู่ไหน นอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่านก็คืออยู่กับท่าน คือเราอยู่บนพระนิพพาน ความรู้สึกนี้ อย่าคลายมันซะอย่าง อยากจะจับอะไร จับไปเถอะ

    ถาม : แต่นี่ไม่ใช่ฟุ้ง ใช่ไหมคะ ?

    ตอบ : ไม่ใช่ มันสามาถแยกจิต แยกกาย ทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้

    ถาม : ก็เข้าใจว่าตัวเองฟุ้ง ?

    ตอบ : ฟุ้งแบบนี้ฟุ้งไว้บ่อย ๆ แหละดี จะสังเกตว่าฟุ้งแบบนี้นี่นิวรณ์ ๕ มันเข้าไม่ได้

    ถาม : โง่ ....ฉลาดน้อยไปหน่อย ?

    ตอบ : ไม่เป็นไร ไม่มีใครฉลาดตั้งแต่ในท้องแม่หรอก

    าม : ทำไมจิตเราไม่รวมเป็นหนึ่ง ?

    ตอบ : เขาเองเขาฝึกกับแทบตายกว่าจะแยกมันได้ อันนี้มันแยกได้แล้วยังจะไปดึงมันกลับอีก

    ถาม : ......................

    ตอบ : ต่อไปเราจะทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กันได้ มันคิดทีหนึ่ง ๓ เรื่อง ๔ เรื่องก็ได้

    ถาม : ทุกทีทำงานพร้อมกันสบาย ขายลูกชิ้นค่ะ คนมาสั่งก๋วยเตี๋ยวก็ คิดอยู่.... คิดสตางค์เสร็จก็คิดจะนับลูกชิ้น นับไปคุยไป ๆ ลูกค้าเก่า ๆ ก็เชื่อใจ มีอยู่วันหนึ่งลูกค้าใหม่มาถึง อุ้ย นับอย่างนี้ฉันไม่เอาหรอก ก็จะเอากะละใบหนึ่งบอก ถ้าเกินแม้แต่ลูกหนึ่ง ขาดแม้แต่ลูก ถุงนี้เอาไปเลย มันเป็นอย่างนั้น ทีนี้ก็เลยคิดว่า เราเนี่ย คือเวลามันนั่งมันต้องรวมจิตให้เป็นหนึ่ง

    ตอบ : แรก ๆ มันก็จำเป็น พอเสร็จแล้ว พอมั่นคงแล้ว เราก็หัดมันในระยะแรกมันเป็นการฝึก ระยะหลังนี่มันเป็นการใช้งานเคยได้ยินหลวงพ่อพูดบ่อย ๆ มั้ยว่าฌานใช้งาน คือลักษณะนี้คือมันทรงฌานอยู่ด้วย ขณะเดียวกันก็ทำอะไร ๆ ทุกอย่างไปพร้อมกันได้ด้วยกว่าจะถึงบางอ้อ อ้าว ผ่านตาไปไม่รู้เท่าไรเเล้ว นั่นแหละ คำว่าฌานใช้งานเขาเป็นอย่างนั้น สังเกตมั้ยที่หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังในประวัติหลวงปู่ปานหลวงปู่ปานก็นั่งหัวเราะอยู่ คุยกับโยมเขาไป ไม่ได้ทำอะไรหรอก บอกว่า รดเข้าไปลูก รดให้หนักเข้าไว้ เราเป็นต่อแล้ว รดน้ำมนต์เข้าไป หลวงพ่อก็ราดไปเรื่อย ไม่เห็นหลวงปู่ปานนั่งเสกคาถา เข้าชงเข้าฌานอะไรเลย ทำไมยังต้องไปนั่งอีก ก็ทำยังไงอารมณ์มันก็ทรงตัวเป็นปกติ อย่างเช่นว่า เราคุยอยู่ตรงนี้ เราคุยไปเราคิดตามไปด้วยอะไรไปด้วยลองจับอารมณ์ข้างในเราสิ มันก็นิ่งของมันอยู่อย่างนั้นแหละ ในเมื่อมันนิ่งของมันอยู่อย่างนั้น อาการภายนอกมันเป็นน้ำปากบ่อ คือ มันกระเพื่อมไปตามกระแสนภายนอกได้ แต่น้ำก้นบ่อมันจะนิ่งอยู่ตลอด รักษาใจตัวนี้เอาไว้ให้ได้ ถ้าหากว่ากำลังใจเราอยู่อย่างนี้ได้ ตัวนิวรณ์กินเรายากเต็มที

    ถาม : .....................

    ตอบ : อ๋อ.. ใกล้ตายแล้วจ้ะ รับรองได้ ไม่เกิน ๑๐๐ ปีเสร็จแน่ ๆ
    ถาม : สอง สามวันก็ฝันเห็นคนตายคะ ?

    ตอบ : ฝันเห็นคนตายนี่เลข ๔ จ้ะ เสียดายมันไม่ยอมเล่น ไม่งั้นรวยไปแล้ว
    ถาม : สงสัยว่า ถ้าเกิดเขามาขอบุญ เราสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลไปเขาไม่ได้หรือเปล่า ?

    ตอบ : ไม่ใช่หรอกนักปฏิบัติอย่างเรา พอเห็นมันต้องพิจารณาแล้วว่าต่อไปเราก็เป็นอย่างนั้น ในเมื่อต่อไปเราก็เป็นอย่างนั้น เราพร้อมจะตายหรือยัง ? ถ้าหากว่าพร้อมแล้วเราตายแล้ว เราจะไปไหน ? พอตอบคำถามสุดท้ายตัวเองได้เสร็จ ก็เอาใจเกาะตรงจุดนั้นไว้ไม่ต้องปล่อยเลย แล้วก็รักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ต่อไปมันก็จะเคยชินกับการอยู่ที่นั่น ถึงเวลามันไม่ต้องเสียเวลา อาจจะไปก่อนก็ได้แล้วปล่อยร่างกายมันปะแหง็บ ๆ ซักพักหนึ่ง กว่ามันจะตาย เหมือนยังกะรถ เครื่องมันยังติดอยู่ เพราะน้ำมันมันยังมี แต่คนขับไปนานแล้ว

    ถาม : ........................
    ตอบ : ลักษณะของการพิจารณาร่างกายให้เห็นสภาพความเป็นจริง ๔ อย่าง คือว่า มันประกอบด้วยดิน ด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ เป็นปกติของมันอย่างนั้น ส่วนที่แข็งเป็นแท่งเป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน จับได้ต้องได้ คือธาตุดินมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ ปอด อวัยวะภายในใหญ่น้อยทั้งหลายทั้งปวงพวกนั้นนะ ส่วนที่เหลวไปไหลมา เรียกว่าธาตุน้ำ คือ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ เหล่านี้เป็นต้น ส่วนที่พัดไปมาในร่างกายก็คือ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ตกค้างในท้องในไส้ ที่เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย ที่เรียกว่าความดันโลหิตส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกาย เรียกว่าธาตุไฟได้แก่ไฟธาตุที่ช่วยสันดาปย่อยอาหาร ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ไฟธาตุที่เผาผลาญร่างกายของเราให้ทรุดโทรมลง
    พอลักษณะ ๔ อย่างนี้ แยกออกมา ต่างคนต่างอยู่ กองนี้เป็นดิน กองนี้เป็นน้ำ กองนี้เป็นลม กองนี้เป็นไฟ เราจะเห็นชัดเลยว่าไม่มีส่วนไหนเป็นเรา เป็นของเราเลย แต่ถ้าเอา ๔ ส่วนนี้รวมกันเข้าไปใหม่ขยำ ๆ ปั้นขึ้นมา ใส่หัวหูหน้าตาลงไป พอจิตคือตัวเราเข้าไปจับปุ๊บ เราก็ไปยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา เพราะฉะนั้น สภาพแท้จริง ๔ อย่างของมันมีดังนี้ว่า มันเป็นปกติ ดิน น้ำ ไฟ ลม เราอาศัยมันอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ถึงเวลามันก็เสื่อมสลาย ตาย พังไป ถ้าเราอยู่กับมัน วัตถุทั้งหลายเหล่านี้เรายืมโลกมาใช้ มารยาทของการยืม ก็ดูเลรักษาเขาให้ดี เขาหิวก็หาให้กิน เขากระหายก็หาให้เขาดื่ม เขาร้อนก็หาเครื่องบรรเทาให้มัน เขาหนาวก็หาผ้าให้มันห่ม เขาเจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาพยาบาลเขา เพื่อถึงเวลาจะได้คืนเขาไปในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะพึงมีพึงเป็น แต่ถ้าหากว่ามันพังลงไปเมื่อไร เราก็พร้อมที่จะไปพระนิพพานของเรา อยู่กับมันอย่างมีสติ รู้อยู่เสมอ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

    มันเหมือนกับรถยนต์คันหนึ่งที่เราเป็นคนขับมันไปเรื่อย พอถึงเวลาเราก็ทิ้งรถคันนั้นไปเพื่อเปลี่ยนรถคันใหม่ ถ้าทำความดี ก็ได้รถยี่ห้อดี ๆ ใหม่ ๆ อย่างเช่นเทวดา เป็นพรหม หรือดีที่สุดก็เข้าพระนิพพานไปเลย ถ้าทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มากก็ได้รถโปเก พัง ๆ ผุ ๆ ก็อย่างเช่นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น
    ต้องมีสติรู้อยู่ตลอดเวลาว่าสภาพแท้จริงของร่างกาย ลักษณะแท้จริงของร่างกายมันเป็นอย่างนี้ แล้วเสร็จแล้วก็ถามตัวเองว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนอย่างนี้ มีแต่สภาพเป็นแท่งเป็นก้อนเป็นชิ้นเป็นอันอย่างนี้ เรายังอยากได้มันมั้ย เรายังรัก ยังปรารถนามันมั้ย ถ้าตัวเรา เราไม่รักไม่ปรารถนามันแล้ว จะไปต้องการคนอื่นไว้ทำอะไร ในเมื่อต่างคนก็ต่างเกิด ต่างคนก็ต่างเจ็บ ต่างคนก็ต่างตาย ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไป ดังนั้น เราก็ควรที่จะยึดเกาะในสิ่งที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะพึงมีพึงได้ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ก็คือพระนิพพานไว้แทน ร่างกายนี้เราอาศัยมันอยู่เท่านั้น เพื่อประกอบความดี ถึงเวลาถ้ามันตายเราขอไปนิพพาน ก็ตั้งใจไว้อย่างนี้ พยายามพิจารณาดูบ่อย ๆ แรก ๆ เราบอกร่างกายนี้

    ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันพูดยาก ไม่ค่อยยอมรับ
    แต่ถ้าเราแยกมันออกเป็นส่วน ๆ อย่างนี้ แยกเข้า แยกออก แยกออก แยกเข้าอยู่บ่อย ๆ จนกระทั่งเห็นชัดเจน มันจะยอมรับเองว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แรก ๆ ต้องใส่รายละเอียดให้มากที่สุด ค่อย ๆ ดูไปทีละส่วน ๆ หลังที่ดูจนจิตเรามันยอมรับแล้ว เราบอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรามันยอมรับเลยโดยมันไม่เถียงอีกโดยไม่ดื้ออีก ก็เป็นอันว่าใช้ได้ ก็พยายามทบทวนรักษาอารมณ์นั้นไว้เรื่อย ๆ ยากไปมั้ย ? ไม่ยากกรรมฐาน ๔๐ ปล้ำกันแทบตาย

    สมัยก่อนทำได้ทีก็วิ่งอวดหลวงพ่อที ทำได้ทีก็วิ่งไปอวดหลวงพ่อที มีงวดหนึ่งหลังจากที่ซ้อมอนุสสติ ๑๐ จนคล่องปรื๋อแล้ว ไปถึงก็กราบเรียนท่านว่า หลวงพ่อครับ ตอนนี้อนุสสติ ๑๐ ของผมสามารถไล่อารมณ์เต็มได้ภายในครึ่งชั่วโมง หลวงพ่อบอกใช้ไม่ได้ลูก สมัยที่พ่อทำอยู่กรรมฐาน ๔๐ กองนี่ ถ้าต้องใช้เวลาถึง ๒ นาทีนี่แย่มากแล้ว โอ้ย...เราแค่ ๑๐ เดียว ถ้า ๔๐ นะ ไอ้ ๑๐ เดียวของเรานี่ ๓๐ นาที ไอ้ ๔๐ ท่านบอก ๒ นาทีนี่แย่มากแล้ว มาตอนหลังพอไล่ไปไล่มา อ้อ ที่แท้จริง ๆ เพราะว่าถ้าเราต้องการจะทำในลักษณะที่หลวงพ่อว่าจริง ๆ ตั้งอารมณ์ขึ้นมาให้ทรงฌานสูงสุดที่เราทำได้ เสร็จแล้วก็แค่เปลี่ยนกองเปลี่ยนวิธีคิดเเป็บเดียวเอง อารมณ์ใจมันเต็มอยู่แล้ว ฉะนั้น ๒ นาทีนี่คิด ๔๐ อย่างเนี่ย มันช้ามากเลย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD align=right><TD width=15 background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD vAlign=top width=15 height=11></TD><TD align=middle width="100%" background=images/down.gif height=11></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=5></SELECT></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=760 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=290 background=images/footleft.gif>[​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ...........................

    ตอบ : ข้อเดียวจ้ะข้อเดียว ทำเยอะเกินไปก็เหนื่อย ข้อไหน ๆ ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ ก็ไปนิพพานได้เหมือนกัน บางคนเขาถามว่าถ้าหากว่าเราเป็นพระโสดาบันตายไปเป็นเทวดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ จะรู้ตัวมั้ยว่าเราเป็นพระโสดาบัน ไม่รู้หรอก จนกว่าจะมีคนบอกว่า คุณสมบัติของพระโสดาบันเป็นอย่างนี้ ๆ นะ ท่านก็จะ.....โอ๋ ที่แท้เราทำได้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจหรอกว่าตัวเองเป็นพระโสดาบัน เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีปัญญาฉลาดมาก จะไม่มีความประมาท จะไม่คิดว่าตัวเองเป็นพระอริยเจ้า แต่ว่ากฎความเป็นพระอริยเจ้ามีอะไรท่านรักษาครบถ้วน

    ถาม : ปกติถ้าเกิดจะเล่นอะไร จะทำอะไรเนี่ย จะสำเร็จ ถ้าตัวเองตั้งอะไรไว้ ต้องได้ ?

    ตอบ : พวกนี้นิสัยเสีย เคยต่อว่าท่านย่าทีหนึ่ง ท่านย่าครับ ผมไปแอบดูตัวทานบารมีเก่าที่ผมทำเอาไว้ ให้ผมเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังไม่สมบุญเลย แล้วชาตินี้ทำไมให้ผมแค่เนี้ย ท่านบอก ไอ้หน้าอย่างเอ็งถ้ารวยก็เลว เสร็จแล้วย่าก็บอกว่า ลองคิดดูสิลูกว่า ตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้อะไรที่อยากได้แล้วไม่ได้ มีมั้ย ? ก็ทบทวนอยู่พักหนึ่ง ก็บอกว่า ไม่มีครับย่า ถ้าผมต้องการจริง ๆ สิ่งนั้นไม่ช้า ก็เร็ว ผมต้องได้ ท่านบอกว่า แล้วยังไม่พอเหรอ ท่านบอกว่านิสัยของพวกเรามันหนักไปทางหนึ่ง พวกปรมัตถบารมีกำลังใจมันไปด้านเดียว ถ้าดีมันก็ดีสุดกู่ไปเลย แต่ถ้าหากว่าเลวมันเลวกระฉูดไปเลย

    คราวนี้ธรรมชาิติของจิตคนมันมักจะลงต่ำได้ง่ายกว่า ถ้าหากว่าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม เราเองมันห่างไกลความเป็นพระอริยเจ้ามาก มันก็จะไปหลงอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข สนุกอยู่นั่นแหละ ลืม ลืมไปว่าตัวเองควรจะทำอะไร เพราะฉะนั้น ท่านถึงได้ตราหน้าไว้ชัด ๆ เลยว่าถ้ารวยก็เลว ถ้าอยากได้ต้องรีบเป็นพระอริยเจ้า มันถึงจะบุญเก่าคืนมา

    ถาม : พอมาตอนหลังเนี่ย มีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ค่ะ แต่ช่วงก่อนถ้าหากว่าตั้งเป้าหมายต้องทะลุเป้าภายในหรือว่าก่อนที่กำหนดไว้ด้วยซ้ำ พอได้ซักพักหนึ่งก็จะขยายเป็นรูปบริษัท หลวงพ่อบอกว่าถ้างานนี้ขยายใหญ่จะไปนิพพานช้า พอได้ยินปุ๊บอย่างนี้ก็ตัดสินใจขาย ตอนนั้นรายได้เดือนหนึ่งกำไรคิดแล้วแสนเศษ ๆ คือ ตัดสินใจทันที พอหลวงพ่อพูดอย่างนี้ ก็ตัดสินใจเลยขาย แปลก...ภายใน ๗ วัน มีผู้หญิงคนหนึ่งมายืนหน้าบ้าน ตู้โทรศัพท์ ก็คุยกัน ๆ ตอนนั้น ตกลงอีกประมาณไม่ถึงเดือนเขาวางเงิน ประมาณเดือนเศษโอนกิจการยกให้เขา จากตอนนั้นมาตอนนี้ก็ยังไม่เท่าไหร่ เวลาจะเล่น ไปเล่น ตอนนี้ก็เริ่มออกกำลังกาย ก็ไปเล่นตอนที่จะเล่นไท้เก๊กเนี่ย พอลงมือปุ๊บ จะเป็นที่หมั่นไส้ของคนอื่นเขาตลอดอย่างนี้ แต่มาตรงนั้น เล่นอะไรได้เล่นมาตั้งประมาณเกือบ ๑๐ อย่าง ก็คือผ่านหมด ตรงจุดนี้ พอจะเริ่มเล่นอะไรปุ๊บเนี่ย มันท้อ ?

    ตอบ : มันเริ่มรู้สึกว่าพอแล้วไง ปีก่อนหน้านี้ กำลังใจที่เรทำมาในลักษณะของปรมัตถบารมีมันมีแต่จะมุ่งมั่นให้สำเร็จ คือกำลังใจของคนที่จะไปนิพพานมันไม่ยืดเยื้อเรื้อรังเหมือนคนอื่นเขา รอบข้างจะสนใจน้อย จะมุ่งเอาเฉพาะหน้า เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเขามุ่งงานเฉพาะหน้า งานจะสำเร็จลงในระยะเวลาไม่นาน มันไม่เหมือนกับคนอื่นเขา ความพยายามก็มากกว่าคนอื่น มันเหมือนกับขยันกว่าเขา เขาเลยหมั่นไส้เอา แต่ว่าตอนช่วงระยะนี้มันจะเริ่มรู้สึกว่าพอ ถ้าตัวพอเข้ามามันก็เหมือนกับท้อนั่นแหละ คือมันไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรแล้วตอนนี้ พอมันไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรแล้ว เราก็ดูสิ ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็พอแล้ว แล้วเราควรจะทำอะไรเพื่ออะไรอีก มันก็เหลืออยู่จุดสุดท้ายที่ควรจะเหมาะกับเรา ก็คือเกาะนิพพานไว้ เท่านั้นเอง

    ถาม : ตรงจุดนี้เจ้าค่ะ มันเป็นการทำลายกำลังใจมั้ย อย่างอาแปะ ๘๐ กว่า แกเก่งมาก แข็งแรง แกมีลูกศิษย์เยอะ แต่แกไม่สอนด้วยตัวเองนี้ พอเข้าไปเล่นไท้เก๊ก เขาเห็นเล่นอยู่ เขาก็มาชวนให้เล่นกับเขา เกรงใจรักษากำลังใจ พอเข้าเล่นปุ๊บ เขาจะเข้ามาสอนด้วยตัวเอง มันกดดันเรามาก คือเรา ถ้าเขาสอนด้วยตนเองเราต้องตั้งใจเพื่อรักษากำลังใจเขา แล้วลูกศิษย์หลายคนเขาก็ลุกกันขึ้นมา เขาบอก ก็เข้ามาถามเขาบอกทำไม เข้ามาวันแรก ทำไมขึ้นมาสอน เพราะว่าเรียนตั้งสองปีกว่าแล้วไม่เคยขึ้นมาจับมือสอนเลย คือมันก็เลยอึดอัด มันอึดอัด คือเราก็ไม่ใช่ว่าจะเต็มใจเล่น เราเล่นเพื่อรักษากำลังคนแก่ ตรงจุดนี้ก็ ตอนหลังก็เลยเล่นได้ครึ่งเดียว ก็ออกมา มันเป็นการขาดเมตตาหรือเปล่า ?

    ตอบ : จริง ๆ จะเรียกว่าขาดเมตตาก็ไม่ได้ เพราะพรหมวิหาร ๔ มีอุเบกขา พอรู้ว่าไม่ไหว ก็เบรกขา เบรกมือ โดยเฉพาะเบรกปากเอาไว้ไม่อย่างนั้นแล้วเราต้องไปรับอารมณ์คนอื่นเป็นจำนวนมาก ถ้าหากเราปล่อยไม่เป็น เราเองก็จะทุกข์มาก เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือถอยออกมาซะดีกว่า หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ ท่านบอกแล้วว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2005
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=760 align=center border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#ffffff height="100%">[​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : จำเป็นต้องเชิญญาติโยมไปร่วมงาน ญาติพี่น้องไปที่วัดหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ : ไปก็เกะกะเปล่า ๆ

    ถาม : กะว่าชวนคุณพ่อคุณแม่กับพี่น้อง ?

    ตอบ : แล้วแต่เราเห็นสมควร ให้เขาไปด้วยก็ดี เขาจะไ้ปพลอยโมทนายินดี แต่อย่าให้มันประเภทเลี้ยงเหล้ากันเมารำไม่รู้จักเลิกตอนแห่นาค ถ้าเป็นที่อาตมาจัดบวชจะไม่มีพวกนี้เลย เดินวนรอบโบสถ์สามรอบก็เข้าโบสถ์บวชเลย แต่ว่าให้เขาไปด้วยเพื่อให้เขาพลอยโมทนาบุญกับเราด้วยก็ดี แต่อย่าให้เขาไปเลี้ยงพวกสุรา อาหาร ชนิดมากมายจนเกินไป มีบางราย เข้าโบสถ์นี่นาคหัวทิ่มเข้าไปเลย มันจับกรอกซะเรียบร้อย ถือว่าส่งท้าย อุปัชฌาย์ถาม
     
  4. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : จะขอรบกวนถามเรื่องสมาธิ เคยนั่งสมาธิครั้งหนึ่ง แล้วรู้สึกจิตสงบดี .....(ไม่ชัด)....?

    ตอบ : แล้วหลังจากนั้นเข้าถึงตรงจุดนั้นได้อีกหรือไม่ ?

    ถาม : ได้ครั้งเดียว พยายามหลายครั้งแล้วเข้าไม่ได้ ?

    ตอบ : นั่นแหละ เพราะว่าคุณพยายาม มันก็เลยไม่ได้ จำเอาไว้ว่าถ้าอยาก...ไม่ได้หรอก ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าอารมณ์ฌานทุกระดับมันจะมีตัวสุดท้ายคือเอกัคคตารมณ์ ถ้าหากว่าเป็นผู้ที่จิตละเอียดมากอย่างพระโพธิสัตว์บารมีสูง ๆ ท่านจะแยกออกได้ว่า เอกัคคตารมณ์นี้จะประกอบไปด้วยเอกัคคตากับอุเบกขา คือความปล่อยวาง

    จำไว้เลยว่าถ้าเราอยาก มันจะเข้าไม่ถึงตัวอุเบกขานั้น เราต้องปล่อยลักษณะว่า เรามีหน้าที่ภาวนา มันจะได้หรือไม่ได้ก็ช่างมัน ถ้าถึงเวลา ถึงวาระที่สมควร มันก็จะลงล็อคของมันเอง ถ้าเราสามารถปล่อยกำลังใจได้ว่า มันจะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมัน มันจะได้เร็วมาก ตราบใดที่ยังอยากอยู่มันจะไปไม่ถึงตรงจุดนั้น ทำเมื่อไรก็ไปนั่งจ้องมัน อาตมาติดอยู่สามปีเต็ม ๆ ถ้าเป็นคนอื่นเลิกไปนานแล้ว แต่ของเราว่ายังไง ๆ ก็ต้องเอาให้ได้ เลือดบ้ามันเยอะหน่อย ทำเท่าไรไม่ได้สักทีเพราะไปจ้องขั้นตอนมัน คราวที่แล้วมันเป็นอย่างนี้ ขนลุกซ่า ๆ หน่อย พอมาถึงตรงนี้ต่อไปอีกหน่อยมันจะเป็นอย่างนี้ ไปตามจี้ตูดมันอยู่ มันอาย มันไม่โผล่มาหรอก

    จนกระทั่งวันหนึ่งมันเหนื่อยใจเต็มที มันจะได้หรือไม่ได้ก็ช่างหัวมัน เรามีหน้าที่ภาวนาก็ภาวนาไป ป๊อกเดียวลงล็อคเลย คือมันกลายเป็นกำลังที่ปล่อยวางลักษณะอุเบกขาพอดี บังเิอิญได้ แล้วหลังจากนั้นก็เลิกโง่ โง่อยู่สามปีถ้วน ๆ โง่นี่หมายถึงเลิกเรื่ืองเดียวนะ เรื่องอื่นยังคงโง่ต่อไป


    ถาม : เวลาภาวนาไปถึงจุด ๆ หนึ่ง มันหยุดไปเลยครับ ไม่มีภาวนาไม่มีอะไร ?

    ตอบ : ตอนนั้นให้กำหนดใจรู้อยู่อย่างเดียว มันภาวนาก็ให้รู้ว่ามันภาวนา มันหยุดก็ให้รู้ว่ามันหยุด มันนิ่งก็ให้รู้ว่ามันนิ่ง มันเงียบก็ให้รู้ว่ามันเงียบ ตามรู้อยู่อย่างเดียว พอถึงเวลาถ้าเต็มที่ของมัน มันจะถอนของมันเอง หรือไม่ถ้าหากว่ากำลังพอ มันจะก้าวผ่านไปอีกขั้นหนึ่ง ที่เขาบอกว่า ทำตัวให้เป็นผู้ดูอย่าเป็นผู้เล่น เพราะเราเล่นโดยการไปบังคับมันให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มันไม่เป็น
    แต่ถ้าหากว่าคอยดูระมัดระวังมันอยู่เฉย ๆ เท่านั้นเอง รับรู้ว่าอาการของมันเป็นอย่างไร ลักษณะที่บางสำนักท่านใช้คำว่ารู้หนอ รู้หนอ ถ้าหากว่ามันเต็มที่ของมันได้แค่นั้นมันก็จะถอยออกมา ถ้าถึงเวลากำลังมันพอ มันจะก้าวผ่านไปได้เอง

    ถาม : คือถ้าจำอารมณ์ช่วงนั้นได้ มันก็จะติดอยู่แบบนั้น ?

    ตอบ : ใช้วิธีแบบของหลวงพ่อดีกว่า คือพอมันเต็มที่ถึงตรงจุดนั้น เราคลายออกมาสู่อารมณ์ปกติแล้วพิจารณาไปเลย จะดูตามแบบไตรลักษณ์ คือ ดูอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได้ ดูตามแบบวิปัสสนาญาณ ๙ ดูการเกิดการดับของมัน จนกระทั่งไปถึงสัจจานุโลมิกญาน ย้อนไปย้อนมาก็ได้ หรือไม่ก็ดูตามแนว ริยสัจจับทุกข์ตัวเดียวก็ได้

    ถาม : ............................
    ตอบ : รอฟังอย่างเดียว ตอนนี้คู่ศึกไม่มาชวนทะเลาะหลายเดือนแล้ว มัวแต่ติดงานอยู่ ลักษณะนั้นเดี๋ยวแย่ ติดงานลักษณะที่ว่ามีความสามารถพิเศษแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามาโดยไม่รู้ คนโน้นขอให้ช่วย คนนี้ขอให้ช่วยก็เมตตาเขาไป แล้วขณะเดียวกันก็รับเอายาพิษเข้ามาโดยไม่รู้ตัว คือบรรดาคำสรรเสริญอะไรต่าง ๆ มันพอใจนะ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร แต่มันพอใจ พอมันพอใจแล้วครั้งต่อไปพอไปรับงานนี่ชักจะไม่ใช่ตัวเมตตาแล้ว แต่อยากให้เขาชมว่าเก่ง มันจะมีแทรกอยู่ ทีละนิด ๆ โดยไม่รู้ตัว เดี๋ยวก็เจ๊งถ้ามันเป็นอย่างนั้น

    มันต้องคนที่ทำได้อย่างนั้นมานั่งถาม แล้วมันจะสนุก เพราะมันเป็นของจริงต่อของจริงด้วยกัน เป็นประสบการณ์ที่พบมาด้วยตัวเอง บางทีรุ่นพี่ท่านมานั่งถกกันในลักษณะสนทนาธรรม เรารุ่นน้องเพิ่งเข้าไปใหม่ ๆ นั่งอ้าปากหวอ เรื่องของทางจิตมันมหัศจรรย์พิลึกพิลั่นไปได้ขนาดนั้นเชียวนะ คอยนั่งฟังมันทุกวันแหละ ฟังเพลิน เพลินจนกระทั่งลืมทำ (หัวเราะ) มัวแต่ฟังอย่างเดียว

    ถาม : (ถามเรื่องคุณพ่อเจ้าโทสะ) บางครั้งก็อยากจะหนี แต่ไม่รู้จะหนีไปไหน ?
    ตอบ : หนีไปไหนก็ไม่พ้นหรอก ความทุกข์อยู่กับตัวเรา จำไว้พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าจะหนีไปอยู่ใต้เม็ดทราย หนีไปก้นมหาสมุทร หนีไปอยู่ในซอกเหวลึก จะหนีไปอยู่ในกลีบเมฆก็ดี ความทุึกข์ก็ยังคงอยู่กับเรา

    เพราะฉะนั้นก็อยู่อย่างยอมรับความเป็นจริง คือยอมรับว่าในเมื่อท่านเองเป็นอย่างนี้ เราพยายามทำอย่างดีที่สุดแล้วในหน้าที่ของความเป็นลูก ถ้าไม่สามารถจะช่วยเหลือได้มากกว่านี้ ก็ต้องยอมรับว่าท่านมีกรรมของท่านอยู่ ของเราเองเราทำความดีให้เต็มที่ไป ให้ตั้งใจว่า ถ้าหากว่าวาระที่สมควรมาถึงก็ขอให้พ่อแม่หันกลับเข้ามาทางด้านธรรมะด้วยเถิด ตั้งใจไป

    แล้วอีกอย่างหนึ่งอานิสงส์ของการบวชสำหรับผู้ชาย คนเป็นพ่อเป็นแม่จะได้รับทันทีเลย ต่อให้ไม่โมทนาก็ได้ เป็นบุญพิเศษ ถ้าหากว่าเราเป็นลูกหญิง เราก็พยายามทำดีให้ถึงพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เพื่อกุศลจะได้ส่งให้พ่อแม่ได้ด้วย มีงานให้ทำอีกเยอะ เรื่องของพ่อแม่นี่ ถ้าคิดมาก ๆ ก็เปลืองสมอง ตั้งหน้าตั้งตาทำของเราไป มีโอกาสเมื่อไรก็ค่อยไปหยอดให้ท่านสักนิดหนึ่ง เปิดเทปเผื่อท่านสักหน่อยหนึ่ง ทิ้งหนังสือให้ท่านสักเล่มหนึ่งอย่างนี้ เดี๋ยวเกิดท่านคว้าขึ้นมาอ่านสนุกดีติดใจ หาเล่มใหม่ไป ประวัติหลวงปู่ปานก็ได้ แกล้ง ๆ ลืมไว้ อ่านประวัติหลวงปู่ปานนี้มันกว่ากำลังภายในเยอะเลย

    ถาม : ถ้าเกิดว่าทำอะไรไปแล้วไม่รู้สึกตัว อย่างเช่นยืนอยู่กลางถนนแล้ว อย่างนี้สารเคมีในสมองมันไม่สมดุลหรือเปล่าคะ หรือว่าแค่วิญญาณที่ ......(ไม่ชัด)....?
    ตอบ : ไม่ต้อง ตัวสมาธินั่นแหละสำคัญที่สดุ อย่างนั้นแสดงว่าตัวสติสัมปชัญญะมันขาดไป ในเมื่อขาดสติสัมปชัญญะที่ดีที่สุดก็คืออานาปานสติ คือการนึกถึงลมหายใจเข้าออก คือตัวภาวนานั่นแหละ

    ถ้าหากว่าเราสามารถทำได้จนจิตทรงตัวในระดับประเภทที่ว่า จะหลับหรือตื่นอารมณ์ใจทรงตัวได้เท่ากัน คราวนี้มันรู้ตลอด จะหลับมันก็ยังรู้เลย จะตื่นมันก็รู้ว่าตื่น เพราะฉะนั้นแค่เดินบนถนนมันรู้อยู่แล้ว

    ถาม : พระจีนท่านบอกว่าไม่ให้นั่งสมาธิตามบ้าน เพราะว่าจะคุมสติไม่ได้ อธิบายได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ไม่ต้องอธิบายจ้ะ เพราะท่านเข้าใจผิด จริง ๆ แล้วลักษณะของการภาวนา คือการสร้างสมาธิ การคุมไม่ได้อย่างดีก็แค่เรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อย เรียกว่าฟุ้งซ่าน คือตัวอุทธัจจะ เราเองพอรู้ตัวก็ดึงมันกลับมา ดึงมันกลับมา เดี๋ยวมันก็ดีเอง ถ้าไม่คิดจะทำเลยแล้วเมื่อไรมันจะดีล่ะ อย่าไปเถียงกับท่านนะ นั่นคือทิฐิ คือ ความเห็นของท่าน ของเราเห็นว่าอย่างนี้ถูกก็ทำของเราไป

    ถาม : ทำไมบางทีเราต้องเจอปัญหาเิดิม ซ้ำ ๆ ซาก ๆ แก้ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เราก็พยายามทำดีแล้ว บางทีผ่านไปแล้วสองสามปี ก็กลับมาเจอปัญหาเดิมอีก ?
    ตอบ : นั่นเป็นความคิดของเรา ที่ว่าดีแล้วต้องถามว่าดีแค่ไหน ? ถ้ามันดีจริงปัญหามันต้องหมดซิใช่ไหมล่ะ ? ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของพ่อของแม่แบบเดียวกับที่ว่ามา ให้เราตั้งหน้าตั้งตาทำความดีของเราไป ถ้าหากว่าเราทำความดีจนมั่นคง มีการเปลี่ยนแปลงให้ท่านเห็นจนชัดเดี๋ยวท่านก็คล้อยตามมาเอง

    อาตมาสมัยก่อนตอนช่วงวัยรุ่นนี้มาถือศีลภาวนา คนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงรอบข้างว่าเราบ้าหมด แต่หลังจากที่เราตั้งหน้าตั้งตาทำไปเรื่อย เขาจะว่าอย่างไรก็ไม่สนใจในสิ่งที่เขาว่า ตั้งหน้าปฏิบัติของเราไปเรื่อย ๆ มาตอนหลังความประพฤติที่เราเคยเป็น เช่นว่าใจร้อน ชอบตีกับชาวบ้านเขา หรือว่าอะไรเขา เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เขาก็เริ่ม เออ ! ที่แท้ทำแล้วมันก็ดีนี่หว่า เขาก็ค่อยคล้อยตามมาแล้วก็ตามมาทำด้วย จะกลายเป็นว่าพอถึงเวลาแล้วสิ่งที่เราทำ กระแสที่เร้าสร้างขึ้นพอมากขึ้น ๆ มันจะมีพลังพอ ก็จะสามารถเปลี่ยนให้เขาคล้อยตามเรามาได้เอง จะสามารถชักจูงเขาให้คล้อยตามมาได้ เพราะฉะนั้นต้องอยู่ที่เราแล้ว อย่าเพิ่งไปน้อยใจว่าอุตส่าห์ทำดีมาตั้งเยอะตั้งแยะ จริง ๆ แล้วยังไม่พอ ถ้าพอแล้วป่านนี้การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีต้องมีแล้วล่ะ ตั้งหน้าทำต่อไป ยังไง ๆ ก็ไม่เกินชาตินี้แน่

    ถาม : แล้วทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าดี ?
    ตอบ : ดูว่าตัวเราเป็นลูก เราทำหน้าที่ของความเป็นลูกได้เหมาะสมไหม ? ตัวเราเป็นพี่ เราทำความดีของความเป็นพี่ได้เหมาะสมไหม ? ตัวเราเป็นน้อง เราทำหน้าที่ของความเป็นน้องได้เหมาะสมไหม ? พิจารณาแบบไม่เข้าข้างตัวเอง ถ้าหากว่าไม่เข้าข้างตัวเองแล้ว เราทำได้เต็มที่ตามที่ตัวเองต้องการ ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องดีขึ้น คำว่าหน้าที่มันพูดยาก เพราะหน้าที่หลายตำแหน่งเหลือเกิน เป็นพ่อเป็นแม่ทำหน้าที่ของพ่อแม่ เป็นพี่เป็นน้องทำหน้าที่ของพี่ของน้อง เป็นลูกเป็นหลานทำหน้าที่ของลูกหลาน แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้เหมาะให้ควรเท่านั้นเอง ฟังแล้วเป็นไง มันง่าย แต่ทำมันยาก ทำไปเหอะ ผิดบ้างถูกบ้างเป็นมวยวัดไป เดี๋ยวมันก็ถูกเข้าสักทีแหละน่า

    ถาม : พอดีกระผมจะบวช ขอโอวาทด้วยครับ ?
    ตอบ : บวชน้อยก็ต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุดเท่าที่พึงดีได้ ระวังเอาไว้ว่าอาบัติหนักอย่างปาราชิก ๔ ข้อ สังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ อย่าให้มันโดนเป็นอันขาด เพราะว่าโดนแล้ว อย่างปาราชิก ๔ ข้อขาดความเป็นพระไปเลย คือบวชใหม่ก็ไม่เป็นพระ ห่มเหลืองอยู่ก็ไม่เป็นพระ สังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ โดนแล้วแก้ไขได้ยาก ก็จะขาดความเป็นพระไปชั่วคราวจนกว่าจะได้รับโทษคืออยู่ ปริวาส ตามกำหนดที่เขาตั้งเอาไว้ แล้วก็ขอให้พระอีก ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นพระให้ มันจะลำบาก อาบัติข้ออื่น ๆ นั้นมันจำนวนมากด้วยกัน โอกาสพลาดมีอยู่

    ในเมื่อโอกาสพลาดมันมีอยู่ก็อย่าให้มันข้ามคืน ถึงเวลาถ้าโดนก็รีบแสดงคืน คือสารภาพเสียโดยไว ของวัดท่าซุงเขาดีอยู่อย่างหนึ่งคือเขาใช้ภาษาไทย อย่างเช่นว่า ข้าแต่สงฆ์ทั้งหลายผู้เจริญ ข้าพเจ้าต้องอาบัติปาจิตตีย์ ด้วยได้โกหกคนอื่นเขา ข้าพเจ้าตอนนี้ทราบถึงควาชั่วหยาบของอาบัตินี้แล้ว ต่อไปนี้จะไม่คิดอย่างนี้อีก ไม่พูดอย่างนี้อีก ไม่ทำอย่างนี้อีก ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดรับทราบด้วยเถิด เขาจะได้ช่วยกันให้เราด้วย ขืนทำซ้ำเขาจะได้โห่เอา มันอายเขา จะได้ไม่กล้าทำ จะได้รู้ชัด ๆ ว่าเราทำอะไรผิด

    คราวนี้ว่าเราบวชน้อยก็ให้ตั้งใจไว้ว่า กุศลทั้งหมดที่เราทำนั้นเราปรารถนาอะไร ? ทาน ศีล ภาวนาของเราในช่วงนั้นมีเท่าไรก็ว่าให้เต็มที่ไปเลย อย่างเช่นว่า ออกบิณฑบาตก็ตั้งใจเลยว่า อาหารที่เราบิณฑบาตวันนี้ขอถวายเป็นสังฆทานเลี้ยงพระไปทั้งหมดเลย เราเองก็ด้วย ถึงเวลาเทก็แบ่งกัน ทั้งหมดมีเท่าไร เราก็ได้ส่วนกุศลนั้นด้วย ง่ายออก

    ถ้าหากว่าในเรื่องของศีลก็พยายามทบทวนอยู่ทุกวัน นวโกวาทติดมือไว้ เย็น ๆ ก็เปิดทวนทุกวัน ๆ ให้มันขึ้นใจ เรื่องของการภาวนา เรื่องอื่น ๆ วางให้หมด ไม่ต้องมากมายอะไร เอาใจเกาะนิพพานอย่างเดียว พยายามให้อยู่กับพระบนนิพพานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้ากำลังใจมันเคยชินเมื่อไร ปุ๊บปั๊บมันไปเลย แค่นั้นแหละ จำคร่าว ๆ ก็พอ ต้องใช้คำว่าทำเอา วัดท่าซุน่ะเหมาะสมที่สุด เพราะว่ากระแสความดีรวมจุดตรงนั้นสูงมาก ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดมาจนถึงปัจจุบัน

    เอาแค่ว่าสมัย หลวงพ่อเล่ง, หลวงพ่อไล้ ถ้าหากว่าคนอายุมากหน่อยยังทัน มีพระอรหันต์ต่อเนื่องกันมาตั้ง ๗๒ องค์ ที่ใดที่พระอรหันต์อยู่ ความดีที่ท่านทำกระแสเย็นที่กำลังใจของท่านส่งออกมา มันจะคงตัวอยู่ในบริเวณนั้น สิ่งที่ท่านใช้ ถ้าหากว่ายังมีสภาพอยู่ เทวดาต้องรักษาอยู่แล้ว

    เพราะฉะนั้นของเราอยู่ในกระแสความดีขนาดนั้น ถ้าตั้งใจทำอยู่ในทาน ศีล ภาวนา อารมณ์ใจจะทรงตัวแล้วทำได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้นมีโอกาสต้องกอบโกยมันเข้าให้เยอะไว้ เพราะว่าอยู่ที่อื่นมันอาจไม่เหมาะสมอย่างนั้น ถ้าภาษาพระต้องเรียกว่าสถานที่เป็นสัปปายะ คือเหมาะมาก

    เอาแค่สมัยหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้นะ ๗๒ องค์นี้ นี่ยังไม่นับสมัยหลวงพ่อเรา (หัวเราะ) นี่ยังน้อย ถ้าเป็นเตียงที่พระนาคเสนท่านบรรลุมรรคผล ในที่ ๆ ท่านทำไว้สำหรับนั่งภาวนา คนที่ไปนั่งภาวนาซ้ำรอยท่านบรรลุมรรคผลต่อมาเป็นพันเลย เพราะฉะนั้นอยู่ในสถานที่ ๆ ดีที่สุดต้องพยายามทำตัวให้สมกับสถานที่ด้วย ตัวมโนมยิทธิไม่ต้องมาก เที่ยวเบื่อแล้วเกาะพระนิพพานอย่างเดียวพอ

    ถาม : (ลางานไปร่วมงานธุดงค์) โกหกที่ทำงานว่าแม่ไม่สบายต้องไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ จะผิดไหม ?
    ตอบ : ไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าสิ่งที่เราทำเป็นความดีสูงมาก ที่เราโกหกนั้นมันน้อย พอหักกลบลบล้างแล้วกำไรเยอะ พอลงทุนได้จ้ะ (หัวเราะ) ไม่ใช่ไม่ผิดนะ ผิด แต่พอลงทุนได้ แบบเดียวกับพระไง พระเขาห้ามพรากของเขียว คือห้ามทำพวกบรรดาพืชผักอะไรต่าง ๆ ที่เป็นสีเขียวให้ลุดออกจากที่ แต่ถ้าหากว่าวัดมันรกดูแล้วไม่เป็นที่เจริญตาเจริญใจทำให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธาเราก็ลงทุนได้ อย่างน้อย ๆ ทำให้วัดวาอารามดีขึ้นมา ชาวบ้านเขาเห็นว่าพระไม่เอาแต่กินแล้วนอนเฉย ๆ ใช่ไหม ? ทำให้วัดวาอารามเจริญสะอาดเรียบร้อยขึ้นมาก็ลงได้ ว่าไปเลย
    สมัยอยู่วัดท่าซุงพูดกันเล่น ๆ ว่าถ้าพรากของเขียวไม่ถึงหนึ่งไร่ไม่ถือว่าโดนอาบัติ (หัวเราะ) ก็ที่มันเป็นร้อยไร่ บางทีขับรถไถดันลุยเข้าไป งูเหลือมขาดเป็นท่อนไปเลย มันหนีไม่ทัน เราเองก็ไม่ทันระวัง ตำรานี้อย่าไปใช้วัดอื่น วัดที่ท่านเคร่งจริง ๆ ท่านเห็นแล้วจะช็อคตาย พรากของเขียวไม่ถึงไร่ไม่ถือว่าเป็นอาบัติ

    ถาม : เอาใจตั้งยังไงคะ ในขณะที่เรารู้ว่า ....(ไม่ชัด).....?
    ตอบ : ให้อยู่ข้างใน เอาใจให้เหมือนกับบ่อน้ำลึก เพราะว่ากระแสโลกภายนอกนี่ มันจะดึง จะฉุด จะรั้ง จะเบียดเรา เป็นปกติอยู่แล้ว ทำใจให้เหมือนบ่อน้ำลึก คือว่าเปลือกนอกของเรา เหมือนกับน้ำปากบ่อ กระเพื่อมไปตามแรงลมแรงอะไรของมัน แต่ว่าก้นบ่อให้นิ่งอยู่เสมอ ถ้าทำได้อย่างนั้นแล้วจะสบาย สังเกตดูซิท่านที่ทำได้ ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถไหน ท่านจะมีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าเรื่องอะไรเข้ามา ท่านจะสามารถแยกแยะออกอย่างสะดวกและก็ง่าย ในเมื่อนิ่งก็สามารถสะท้อนได้อย่างแจ่มชัด เหมือนกับน้ำจริง ๆ

    ถาม : กระเพื่อมนิดกับกระเพื่อมแรง มันต่างกัน ?
    ตอบ : กระเพื่อมแรงมันอาจถึงก้นบ่อได้ เพราะฉะนั้นเอาแค่ปากบ่อก็พอ ต้องคอยสังเกตไว้บ่อย ๆ

    ถาม : แล้ววิธีวางกำลังใจที่เรารู้ชัด ๆ แล้วว่านี่คือเจ้ากรรมนายเวร ?
    ตอบ : ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่าเราเป็นผู้ผิดเราทำก่อน ในเมื่อเราเป็นผู้ผิดเราทำเขาไว้ก็จำเป็นจะต้องได้รับการตอบแทนในลักษณะที่ต้องชดใช้เขา เท่ากับว่าเราเป็นลูกหนี้ไม่มีสิทธิที่จะขอร้อง ต่อรอง อะไรกับเจ้าหนี้ได้มากมายนัก มีหน้าที่อย่างเดียวคือก้มหน้าก้มตาใช้ไป ขณะเดียวก็อย่าไปสร้างหนี้ใหม่ ถ้าหากว่าเราไม่ไปสร้างหนี้ใหม่ ก้มหน้าก้มตาใช้หนี้เก่า ไม่นานมันก็พ้น เป็นลูกหนี้หือกับเจ้าหนี้ไม่ได้

    ถาม : ผมสงสัยว่าการสร้างวัดสร้างวานี่เป็นการจำลองวิมานทิพย์มาใช่ไหมครับ ?
    ตอบ : ไม่แน่ การสร้างวัดสร้างวาอันดับแรกก็เพื่อการอยู่อาศัย ส่วนการสร้างนั้นเขาจะเอาแบบมาจากไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อาจเป็นวิศวกรออกแบบมาหรือว่าอาจเป็นท่านที่พบเห็นสภาพข้างบนเขาเป็นอย่างไร แล้วลอกแบบมา มันก็จะเป็นที่เรียกว่าแตกต่างกันไปตามแต่สภาพและสถานที่ ตลอดจนถึงตัวบุคคล

    เคยมีคนญี่ปุ่นคนหนึ่ี่งมาวัดท่าซุง เขาถามว่าวัดวาอารามในเมืองไทยที่สวย ๆ มีมาก เอาแค่วัดโพธิ์หรือวัดพระแก้วก็สวยกว่าวัดท่าซุงเยอะแยะแล้ว แต่เขาเห็นแล้วเขาไม่ติดใจ วัดท่าซุงไม่ใช่วัดที่สวย แต่ทำไมเขาเห็นแล้วติดใจมาก ก็บอกกับเขาไปว่าวัดท่าซุงอาคารการก่อสร้างบางส่วนหลวงพ่อท่านจำลองแบบมาจากข้างบน เราเองอาจเคยอยู่ข้างบนบ่อย มันก็เลยเคยชินกับสภาพอย่างนี้ มาเห็นเข้าก็เลยรู้สึกติดใจ

    ถาม : แล้วข้างบนเกิดรูปร่างขึ้นมาได้อย่างไร ?
    ตอบ : ตามบุญที่ตัวเองสร้างมา

    ถาม : แล้วลวดลาย อย่างหน้าบันหรือเสาอะไร ?
    ตอบ : ที่อยู่ในโลกมนุษย์นี่ไม่ได้หนึ่งในคล้ายของจริงหรอก ข้างบนละเอียดกว่ามหาศาลเลย เปรียบไม่ได้เลย
    ถาม : ตามกำลังบุญที่ได้สร้างกันมาใช่ไหมครับ ?
    ตอบ : อันนั้นเรียกว่าบุญทำกรรมแต่ง พูดได้เต็มปากเต็มคำเลย คราวนี้มันก็มีบางอย่างที่เป็นความชอบส่วนตัว บางอย่างก็เป็นไปตามกระแสบุญที่ตัวเองทำ อย่างเช่น วิมานของลาชะเทวธิดา ท่านถวายข้าวตอกกับพระมหากัสสปหนึ่งขัน แล้วโดนงูเห่ากัดตายไปเกิดเป็นเทพธิดา คราวนี้เครื่องประดับของท่านก็ลักษณะที่ห้อยระย้าลงมา แล้วมีข้าวตอกทองคำอยู่ด้วย เป็นขันทองคำ ข้าวตอกทองคำ นี่เป็นไปตามบุญที่ตัวเองทำ

    แต่ขณะเดียวกันที่บางท่านทำไปเป็นความชอบส่วนตัว เช่น แม่ค้าท่านหนึ่ง เป็นแม่ค้าขายปูทะเล ท่านเองติดใจมณฑปแก้วที่วัดท่าซุงมาก ไปทำสังฆทานเสร็จแล้วก็ไปนั่งสบายใจที่ตรงนั้น ใจเคยชินอยู่ตรงนั้น จิตเกาะอยู่ตรงนั้น พอตายแล้วท่านก็มีวิมานเป็นเพชรทั้งหลัง คือมันเป็นไปตามลักษณะบุญบารมีอย่างหนึ่ง แล้วบางอย่างมันก็มีความชอบส่วนตัวเข้าไปด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif>

    </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : พอดีเอาอันนี้มาเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าจะใช้ในการช่วยฝึกกสิณได้ไหมเจ้าคะ ? (แก้วผลึก)
    ตอบ : ไ้ด้จ้ะได้ อันนี้ก็เป็นอาโลกสิณ ส่วนอันนี้เราสามารถเล่นพลังงานบางอย่างได้อย่างสนุกสนานมากเลย

    ถาม : จะเล่นยังไงเจ้าคะ จะได้นำไปใช้ค่ะ ?
    ตอบ : การส่งผ่านนี่ ทั้งส่งออกและการดึงเข้า ไปหาเคล็ดลับเอาเอง อาตมาขี้เกียจสอนแล้ว หรือไม่ก็ไปหาพวกที่เขาสอนเกี่ยวกับการใช้พลังจากแก้วคริสตัลเกี่ยวกับการรักษาโรค เขาจะบอกวิธีให้ได้

    ถาม : ใช้จักระที่เราฝึกมาได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ได้เหมือนกัน ลองส่งผ่านมันไป ถ้าหากว่าด้านนี้มันจะกระจายกว้างออกไป ด้านนี้มันจะกระจายแคบ อย่างนี้เป็นต้น แล้วแต่สภาพของการรวมการขยายของมันลักษณะของวิทยาศาสตร์ขั้นต้นเอง พื้นฐานของการหักเหของแสง ทำนองนั้น

    ถาม : แต่เราใช้พลังงาน ?
    ตอบ : จ้ะ เราใช้พลังงานนั้นแทน พอถึงเวลาด้านนี้มันแคบไป ส่องมันทั้งตัวเลย รักษาคนสนุกดี

    ถาม : ใช้สำหรับรักษาโรคได้เลยเหรอเจ้าคะ ?
    ตอบ : คือมันเหมือนกับแว่นขยายไง เพิ่มความเข้มได้

    ถาม : ถ้าอย่างนี้เราเอาไป แล้วเราพุ่งกำลังฌานของเราไปในนี้ ก็จะช่วยรักษาความปวดของคนป่วยได้ใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : เขาใช้กันเป็นปกติเลย
    ถาม : ปีหน้าจะเป็นไงบ้างคะ ปฏิทินของโลกค่ะ ?
    ตอบ : ปฏิทินของโลกเหมือนกราฟหัวใจ นึกออกไหม ? เคยเห็นหรือเปล่า ? มันเป็นอย่างนั้นตลอด ไม่ได้อยู่นิ่ง ตอนที่คิดว่าดี อยู่ ๆ ก็พัง ตอนที่คิดว่าพัง อยู่ ๆ ก็ดี ขึ้น ๆ ลง ๆ ผันผวนมากเป็นพิเศษตั้งแต่ไตรมาสที่สองเป็นต้นไป ภาวะสงครามมันขยายตัวขึ้น ปลาย ๆ ปี ก็ฟัดกันมั่วเรื่องนี้เรื่องโกหก ห้ามเชื่อจ้ะ ปากเสียบอกเรื่องโกหกอยู่เรื่อย ๆ นี่ไม่ค่อยดี

    ถาม : อ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องธรรมะเจ้าค่ะ ทีนี้มีคำว่าเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ แล้วก็เทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิ ?
    ตอบ : คนเขียนนี่ต้องเป็นมิจฉาทิฐิแน่เลย เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิไม่มี แต่ว่าจริง ๆ แล้วก็คือว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ยังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าจะเรียกว่าเป็นมิจฉาทิฐิก็ได้ทั้งหมด ส่วนท่านที่เป็นมิจฉาทิฐิจริง ๆ เขาจัดเป็นอีกพวกหนึ่ง เรียกว่ามาร มารนี่อยู่เทวดาชั้นสูงสุดเสียด้วยซ้ำ คืออยู่ที่ชั้น ๖ เขาเป็นผู้ที่มีมิจฉาทิฐิ แต่บังเอิญได้ทำบุญใหญ่ ในเมื่อได้ทำบุญใหญ่กำลังบุญสูงมาก ส่งให้เขาขึ้นไปถึงขนาดนั้น แต่ว่าความที่เป็นมิจฉาทิฐิ ทำให้ท่านสนุกสนานที่ได้ขวางคนอื่นเขา

    เอาเป็นว่าถ้าหากว่าบุคคลที่เข้าไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้า มีโอกาสที่จะคิดผิด พูดผิดทำผิดได้เสมอ ลักษณะของการพูดผิด คิดผิดทำผิด ไปจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฐิได้ แต่ว่าเทวดาท่านเป็นผู้ที่่ทรงความดีสูงมากโอกาสที่ท่านจะพลาดยาวเลยนั้นน้อย พอถึงเวลามีโอกาสท่านก็สามารถจะพลิกกลับมาได้ ขณะเดียวกันพวกเราทั้งหมดก็เหมือนกัน สามารถเปลี่ยนจากร้ายเป็นดีได้ ขณะเดียวกัน ดี ๆ ก็อาจเปลี่ยนเป็นร้ายได้
    เพราะฉะนั้นถึงเวลาท่านประเภทเทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิให้โมทนาได้ เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิไม่ให้เดี๋ยวท่านก็อดหมดหรอก เพราะเทวดาที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าน้อยกว่าท่านที่ยังไม่ได้เป็น

    ถาม : เคยเห็นทรงบางที่เจ้าค่ะ มีควา่มรู้สึกว่ามีท่านลงจริง ๆ ลองถามเกี่ยวกับเรื่องของธรรมะแล้วท่านตอบได้เหมือนกับหลวงพ่อเคยสอนไว้ ?
    ตอบ : อันนั้นต้องขึ้นอยู่กับภูมิธรรมของท่านด้วยว่าท่านทำถึงระดับไหน ถ้าเราถามปัญหาที่สูงเกินกว่าความสามารถของท่านบางทีท่านก็ต้องดำน้ำเอา คราวนี้ดำแล้วจะโผล่หรือไม่โผล่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง

    ถาม : เปรต อสุรกาย นี่ถือว่าเป็นภูมิท้าย ๆ .....?
    ตอบ : อสุรกายนี่จะสูงกว่าเปรตอีกระดับหนึ่ง จัดอยู่ในอบายภูมิเหมือนกัน ถ้าจัดอยู่ในกาลกัญจิกอสุรกาย พวกนี้จะมีฤทธิ์มาก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่ทรงฌานทรงสมาบัติได้ แต่ว่าใช้ไปในทางมิจฉาทิฐิ อย่างเช่น พวกพ่อมด หมอผี เป็นต้น พอได้รับโทษในนรกแล้วเป็นเปรต แล้วก็จะไปเกิดเป็นอสุรกายพวกนี้ ดูถูกเขาไม่ได้นะพวกนี้ บางทีเขาจะตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่เจ้าป่าเจ้าเขา เทวดาที่มีศักดานุภาพน้อย ๆ ยังต้องหลบเขา สมมติว่าคุณเป็นตำรวจแต่บังเอิญว่ายศคุณแค่พลตำรวจ หรือนายสิบเท่านั้น ไปเจอเจ้าพ่อชลบุรีเข้าก็ขาสั่นใช่ไหม ? แบบเดียวกัน

    ถาม : มีคนที่เขาเคยเป็นร่างทรง แล้วทีนี้เขาประพฤติตัวไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ จากที่เคยทรงเจ้าก็กลายเป็นคนอื่นไป ไม่ทราบว่าตรงจุดนี้มันเกิดขึ้นได้เพราะเหตุใด ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วจากตัวโลกธรรมที่เข้ามาแทรก แรก ๆ ทำด้วยเจตนาหวังสงเคราะห์แต่ว่าพอลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามาก็ไปหลงยึดติดตรงนั้น เมื่อไปยึดติดตรงนั้นผิดจุดประสงค์ของท่านที่ลงมา เพื่อสงเคราะห์ท่านก็ถอนออกไป คราวนี้ว่าเมื่อเวลานึกถึงตัวจริงไม่มาตัวอาสาแทนมันเพียบอยู่แล้ว เลยกลายเป็นว่าจากที่ดี ๆ ก็กลายเป็นไม่ดีไปก็ได้

    ถาม : แล้วทีนี้คนที่เขาทรงเขาจะรู้ตัวไหมคะ ?
    ตอบ : บางรายก็รู้ แต่ว่าอย่างไรล่ะ ? ตัวเองก็พลอยยินดีไปด้วยเสียแล้ว เลยปล่อยไปเลยตามเลย บางรายก็ไม่รู้เพราะว่าเขามาเขาอ้างว่าตัวเขาเป็นอย่างนั้นตัวเองก็รับต่อไป เพียงแต่ว่าถ้าเขาช่างสังเกตความประพฤติมันจะเปลี่ยนไป จากที่ไม่เคยเรียกร้องผลประโยชน์ก็เรียกร้องขึ้นมา

    ถาม : หนูเคยเจอทำท่าเหมือนจะดีเจ้าค่ะ บอกว่าท่านเป็นกรมหลวงชุมพรฯ ลงมา แต่พอถามท้าวมหาราชทั้ง ๔ แล้วท่านไม่รู้จัก ก็เลยจบเลย ไม่ต้องพูดกันเลยเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่ท่านที่ลงมานี่มักจะต้องอ้างของสูงเพื่อเป็นที่น่าเชื่อถือ แล้วถึงเวลาจะเรียกร้องอะไรมักจะได้รับการตอบสนองง่าย เลยกลายเป็นว่าอ้างของสูงแต่ว่าไม่รู้จริง

    ถาม : มีไหมครับตอนที่เป็นเทวดาเป็นนางฟ้า แต่เวลาลงมาเกิดในร่างของผู้ชาย ?
    ตอบ : มีนางฟ้าอาจเกิดเป็นผู้ชายก็ได้ เทวดาอาจเกิดเป็นผู้หญิงก็ได้

    ถาม : แล้วนิสัยใจคอนี่จะเป็นไปแบบไหนครับ ?
    ตอบ : แล้วแต่บารมีที่ตัวเองสร้างมา ถ้าหากว่าบารมียังน้อยอยู่ นิสัยใจคอจะออกไปทางผู้หญิง ถ้าหากว่ามากจะไปในทางผู้ชาย เรื่องของการเรียกร้องสิทธิสตรีใช้ที่นี่ไม่ได้ เพราะว่าการสร้างบารมีนี้ ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะบารมีน้อยกว่า ถ้าเป็นอุปบารมีขั้นปลายก็จะค่อย ๆ เป็นผู้ชายขึ้นมา

    ถาม : เมื่อเดือนที่แล้วเพื่อนหนูผู้ชายเพิ่งเสียชีวิตเจ้าค่ะ แต่พอเขาออกจากร่างไปหนูเห็นเป็นนางฟ้าเทวดาเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : ในระหว่างที่เขาค่อย ๆ เปลี่ยนมาจากผู้หญิงมาเป็นผู้ชาย ความเป็นผู้หญิงก็ยังติดอยู่ ขณะเดียวกันขณะที่เขาใกล้จะเป็นผู้ชาย ความเป็นผู้ชายก็จะติดอยู่ เราก็ไปตราหน้าว่าเขาเป็นทอมบ้างเป็นตุ๊ดบ้าง แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา

    ถ้าศึกษาในเรื่องยถากัมมุตาญาณจะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติเลย เพียงแต่ว่าระยะนี้คนทั้งหลายเหล่านี้เขาเกิดมากขึ้น ๆ เพราะอาจเป็นวาระหรือเวลาของเขา เราก็เลยไปคิดว่า เอ๊ะ ! ทำไมมันมากจัง

    ถาม : พอดีไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องมงคลชีวิต ๓๘ ประการ ทีนี้เขาแบ่งออกเป็น ๑๐ หมวด แล้วในช่วงต้น ๆ นี่เจ้าค่ะ จะเป็นส่วนที่ปฏิบัติได้พื้่น ๆ แต่พอช่วงหมวดที่ ๙ หมวดที่ ๑๐ นี่จะเป็นเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติในระดับสูง ก็เลยไม่แน่ใจว่าคนธรรมดานี่จะปฏิบัติได้ครบไหม ?
    ตอบ : ถ้าทำครบได้เป็นพระอรหันต์จ้ะ อย่าลืมว่าอริยะสัจจานะ ทัสนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การทำพระอริสัจให้แจ้งเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง คนแจ้งในพระอริยสุจนี่พระอรหันต์นะจ้ะ แล้วหลังจากนั้นก็ ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะนะกัมปะติ จิตที่กระทบโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว อโสกัง เป็นผู้ไม่เศร้าโศก วิระชัง ปราศจากซึ่งธุลี เขมังเป็นผู้เกษมอยู่ตลอดเวลา

    ถาม : แล้วเราจะแบ่งระดับชั้นอย่างไร ว่าเราควรจะปฏิบัตถึงหมวดไหน ?
    ตอบ : ได้ทั้งหมดยิ่งดี สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะทำตามนั้น อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านเทศน์อะไรก็ตามท่านหวังมรรคผล สิ่งที่ท่านสอนทุกอย่าง ถ้าเราปฏิบัติตามนั้นหวังผลได้ถึงจุดสุดท้ายคือพระนิพพานเลย ดังนั้นมังคลสูตร เป็นหนึ่งสูตรจำนวนนับไม่ถ้วนที่พระองค์ท่านเทศน์มา นับถ้วนได้แต่นับยากหน่อย สามารถส่งผลให้เข้าถึงนิพพานได้ ตะโปจะ การบำเพ็ญตบะใช่ไหม พรัหมจริยา จะ การรักษาพรหมจรรย์ มันก็ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปแล้วนี่ พรหมจรรย์ก็ต้องอนาคามีใช่ไหม อริยะสัจจา นะทัสนัง การทำอริยสัจให้แจ้งอย่างนี้ ยิ่งไล่ก็ยิ่งสูงนะ

    ถาม : เทวดาที่มีวิมานอยู่บนต้นไม้นี่ ต้นไม้สูงเพียงหนึ่งคืบก็มีวิมานได้แล้ว แล้วพอดีต้นไม้ที่มันแคระแกร็นนี่ไม่ทราบว่าท่านจะอยู่ไหม ?
    ตอบ : ก็ถ้าท่านอยู่ก็เดือดร้อนล่ะจ้ะ

    ถาม : แล้ววิมานท่านอยู่จะไม่ติดดินเลยหรือครับ ?
    ตอบ : เขาสามารถจะใหญ่หรือเล็กได้ตามความต้องการของตัว ถ้าทำให้เล็กลง อรรถคาถาท่านเคยบอกว่า หัวเข็มหมุดเดียวอยู่ได้ ๘-๖๐ องค์ ต้นไม้สูงตั้งคืบ

    ถาม : อยู่กันยังไงคะ ?
    ตอบ : คอนโดมั้ง ? พูดเล่นนะจ๊ะ ท่านย่อตัวได้เล็กกว่าปรมาณูอีก ขยายก็ได้

    ถาม : คือว่าตั้งแต่ได้กรรมฐานแล้วก็เอาไปช่วยคน ช่วยยกกรรม ทีนี้เมื่อวันก่อนนั่งสมาธิ พระพุทธองค์ท่านมาบอกว่าวิถีทางช่วยของเราที่ทำอยู่นี่เป็นการช่วยแค่ชั่่วคราว ไม่สามารถช่วยคนให้หลุดพ้นได้จริงแค่แก้กรรมไปได้แต่ละครั้ง ๆ ท่านก็บอกว่าจะต้องใช้หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาเข้าช่วยในการแก้กรรมด้วย ทีนี้ก็ถามพระพุทธองค์ว่าจะใช้ยังไงเจ้าคะ ท่านก็บอกว่าให้มาถามท่านเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : งานนี้เลี่ยงไม่ได้ พ่อใหญ่สั่งนี่เลี่ยงไม่ได้เลยใช่ไหม ? ก็แนะนำเขาในทาน ศีล ภาวนา เพราะว่าบุคคลที่มั่นคงในทาน ศีล ภาวนา ผลกรรมถึงแรงขนาดไหนก็ตามจะตามสนองได้ไม่ถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เต็มที่ได้ไม่เกินนั้น

    ถาม : แนะนำอะไรนะเจ้าคะ ?

    ตอบ : ให้เขาปฏิบัติอยู่ในทาน ในศีล ในการภาวนา ให้มันอยู่ในกรอบของสามอย่างนี้ มันจะได้ไม่หลุดออกไปเป็นมิจฉาทิฐิ

    ถาม : แล้วเขาบอกทำไม่เป็นล่ะเจ้าคะ ?

    ตอบ : ค่อย ๆ แจกแจงรายละเอียดให้เขาสิว่า ให้ทานไม่ใช่ให้ทีหนึ่งเป็นแสนเป็นล้าน ให้ทีบาทสองบาทก็ได้อย่างนี้ หรือถ้าหากว่าเสียดายทรัพย์สินข้นมา เปลี่ยนเป็นรักษาศีลก็ได้ ค่อย ๆ ว่าไป เดี๋ยวชำนาญขึ้นก็จ้อได้ตลอดเอง

    ถาม : ก็เลยสงสัยเจ้าค่ะ ว่าจะต้องไปนั่งศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนในโรงเรียน ?
    ตอบ : สมควรจ้ะสมควร เพราะว่าถ้าหากว่าจะไปเป็นครูบาอาจารย์เขา เรียนรู้ให้แม่นตำราไว้ โอกาสที่จะได้เปรียบเขามีเยอะ เป็นที่พึ่งของคนอื่นเขา ถ้าทรงศีล ทรงธรรมได้ จะมีประโยชน์มากเลย ตรงที่ว่า่เราสามารถจะแนะนำเขาได้

    ถาม : แล้วต้องศึกษาทางด้านไหนก่อนเจ้าคะ ?
    ตอบ : ด้านไหนก่อน ? ก็เอาด้านทาน ศีล ภาวนานี่แหละ ทางที่ดีก็เอาคำสอนหลวงพ่อเป็นหลัก กรรมฐาน ๔๐, คู่มือการปฏิบัติ หรือจะเอาปฏิปทาท่านผู้เฒ่า อะไรก็ได้ ว่าให้มันช่ำไปเลยอันไหนที่เราทำได้มั่นใจว่ามันไม่ผิดแน่นอนก็แนะนำเขาไป

    ถาม : กำลังสงสัยเลยเจ้าค่ะ อย่างคนที่หนูเคยฆ่าตัดศีรษะเขาในชาติก่อน ชาตินี้เขาเอาคืน ทำไมไม่เอาชีวิตเสียเลย ?
    ตอบ : ต้นทุนเราใช้เขาแล้ว ดีไม่ดีก็ลงนรกมาแล้ว ตรงนี้มันมีแค่เศษเท่านั้น เพราะฉะนั้นเศษ ๆ มันเล็กน้อยเท่านั้น จะให้เขาฆ่าเราเลยก็ไม่ได้ แต่่ว่าเขาสามารถทวงเราให้เจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง ให้พบอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ บ้างอย่างนี้เป็นต้น

    ถาม : คนที่เคยรู้จักเขาบอกว่าเวลาเขานอนหรือเขาอยู่คนเดียว เขาจะเกิดอาการกลัวผีมาก แล้วจะแนะนำเขาอย่างไรเจ้าคะ ?
    ตอบ : ให้เขาแต่งงานจ้ะ (หัวเราะ) ตรงไปตรงมาดีไหม ? อยู่คนเดียวแล้วกลัวนี่ หาแฟนให้จะได้หายกลัวไปเลย สอนให้เขารู้จักภาวนา ถ้ากำลังใจทรงตัวมันจะเริ่มรู้จักว่าผีจริง ๆ แล้วคืออะไร ? ความจริงแล้วผีน่าสงสารมาก ไม่ได้น่ากลัวหรอก พอเขารู้ความเป็นจริงเขาก็เลิกกลัวไปเอง

    ถาม : คนที่มีปัญญามาก ๆ นี่ อย่างคนที่จบปริญญา อย่างอัลเบิร์ต ไอสไตน์ อย่างนี้ ทำไมเกิดมาไม่เจอพระพุทธศาสนาบ้างเลย แต่สร้างระเบิดนิวเคลียร์เอาไปบอมบ์คนตายเป็นแสน ๆ คน ?
    ตอบ : เดี๋ยว ๆ ใจเย็นหนู ไอสไตน์ เอาไปบอมบ์เองเหรอ ?

    ถาม : ไม่ใช่ครับ
    ตอบ : เออ ! มันก็แค่นั้นแหละ แล้วที่เขาเอาไประเบิดหินระเบิดตึกที่มันจำเป็นต้องสร้างใหม่ ไม่มีประโยชน์บ้างเลยหรือไง ? เขาสร้างมาโดยเจตนาดี แต่คนเอาไปใช้มันระยำเอง เหล็กเอามาทำเป็นคราด เป็นจอบ เป็นเสียม มันก็ช่วยในการเกษตรได้ดี แต่เอาไปทำเป็นอาวุธฆ่ากัน มันก็แย่ใช่ไหม ?

    ถาม : แล้วอย่างคนที่เขาจบสูง จบเมืองนอกนี่ ถือว่ามีบุญไหมครับ ?
    ตอบ : มีอยู่ แต่ขณะเดียวกันเขาเองอาจไม่ได้ปฏิบัติในพุทธานุสสติ เลยไปเกิดนอกเขตพระพุทธศาสนา

    ถาม : เวลาคนที่สื่อจิตถึงกัน สภาวะของผู้ที่จะสื่อจิตไปและของผู้ได้รับ สภาวะจิตนี้จะต้องทำอย่างไร่ถึงจะสื่อกันได้ ?
    ตอบ : อย่างน้อย ๆ ต้องมีพื้นฐานของเจโตปริยญาณอยู่บ้าง ถ้าหากว่าฝึกให้คล่องตัวได้ยิ่งดี ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเครื่องรับรับได้แต่เครื่องส่งส่งไม่เป็น หรือว่าเครื่องส่งส่งได้แต่ว่าเครื่องรับรับไม่เป็น มันก็แย่ เครื่องรับรับได้แต่เครื่องส่งส่งไม่เป็นพอกล้ำกลืนมันไปได้ แต่ว่าเครื่องส่งส่งเป็นเครื่องรับรับไม่ได้นี่ เจ๊งเลย ไม่รู้จะสื่อกันอย่างไร
    เพราะฉะนั้นอย่างน้อย ๆ ต้องให้เขาฝึกพื้นฐานของทิพจักขุญาณ โดยเฉพาะเน้นเจโตปริยญาณให้ได้ ถ้ามีพื้นฐานตรงจุดนี้แล้วต่อไปสบายมาก มือถือไม่ต้องพก

    ถาม : แล้ววิธีที่เคยลองว่าเวลาโทรศัทพ์มาเราจะรู้ว่าใครโทรมา ?
    ตอบ : ใช้ได้เลย เพราะว่าตัวนั้นมันจะพิสูจน์ได้ในระยะสั้น ๆ ว่าเราตั้งอารมณ์ถูกหรือผิด ถ้าตั้งอารมณ์ถูกมันก็แม่นทุกครั้ง บางคนเขาก็แปลกใจว่าอาตมาฟังเสียงเขาแล้วจำได้เหรอ ? จะบอกว่าเห็นหน้าเลยก็เกรงใจ

    ถาม : มีอยู่คืนหนึ่งเจ้าค่ะ นอนอยู่ดี ๆ ตื่นขึ้นมาตอนตีสอง ก็งงเจ้าค่ะว่าตื่นขึ้นมาทำไม ไม่งัวเงียด้วยนะเจ้าคะ พอตื่นขึ้นมาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิ ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำ พอทำได้ประมาณตีสี่ ลงมาเห็นคุณพ่อคุณแม่ท่านก็ทำด้วย ก็เลยสงสัยว่าเราตื่นขึ้นมาเพราะท่านหรือเปล่าค่ะ อย่างนี้....?
    ตอบ : บางทีก็ใช่ บางทีก็ไม่ใช่ ให้ดูเหตุปัจจัยรอบ ๆ ด้วย ของอาตมาเองนี้สมัยเป็นฆราวาสเคยบอกพระภูมิเจ้าที่ไว้ว่าถ้าหากว่ามีอันตรายอะไรที่จะเกิดขึ้นก็ขอให้่ท่านปลุกก่อนห้านาที ขอให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์เพื่อที่จะได้แก้ไขเหตุการณ์ได้ด้วย คืนไหนที่อยู่ ๆ ลุกพรวดพราดขึ้นมาตาสว่างแจ๋ว ระวังไว้เลย เจอแน่

    คราวนี้ว่าบางทีก็อาจเป็นการที่พระท่านสงเคราะห์ให้ก็ได้หรือเทวดาท่านสงเคราะห์ให้ก็ได้ เนื่องจากว่ากระแสของพ่อแม่ลูกส่วนใหญ่ผูกพันกัน พอถึงเวลาท่านทำเราทำ มันก็หนุนเสริมไปทางเดียวกัน จิตมันก็จะทรงตัวได้ง่ายกว่า

    ถาม : เพิ่งย้ายบ้านใหม่ จะบูชาพระภูมิใหม่ ถ้ายังไม่ตั้งศาลมีวิธีบูชาอย่างไรบ้างครับ ?
    ตอบ : ตั้งใจจุดธูปบอกท่านด้วยความเคารพไปก่อน ถ้ามีโอกาสก็ทำศาลให้ท่านไป สมัยโบราณเขาไปอยู่ที่ไหน เขาจะใช้ประเภทพาน ตั้งพวกหมากพลูบุหรี่อะไรนั่น แล้วก็สตางค์หนึ่งบาท จะจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางว่าขออาศัยสถานที่นี้ เงินจำนวนนี้เป็นค่าเช่าที่ด้วย ลักษณะนั้น แล้วก็เอาเงินจำนวนนั้นไปทำบุญ ถ้าอย่างนั้นอยู่สบายทุกราย แต่่ว่าถ้าสามารถตั้งศาลให้ท่านได้โดยไม่ลำบากมากนัก ทำไป เพราะว่าเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพ ถ้ามีอะไรที่ไม่เกินวิสัยท่านจะสงเคราะห์ให้เรา

    ถาม : พอดีเคยพบคนที่เป็นบุคคลที่หนีมาจากนรกเจ้าค่ะ เราก็บอกให้ทำบุญทำกุศลแล้วเขาก็ไม่ทำ แล้วก็เห็นยมทูตเขามาเจอตัว อีกไม่นานเขาก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป ทีนี้ก็เลยสงสัยว่าทำไมวิญญาณเหล่านี้จึงสามารถจำทางหลบหนีมาได้เจ้าคะ ?
    ตอบ : คือถ้าหากว่าเขาโดนลงโทษอยู่ในขุมไม่สามารถจะหนีมาได้ คาดว่าจะอยู่ในระหว่างการตัดสินในระหว่างการตัดสินนี่ ถ้าหากว่าตรงกับวันสำคัญ ฟังให้ดี ๆ นะ จะมีวันสำคัญอยู่สี่วัน ก็คือวันมาฆบูชา, วันวิสาขบูชา, วันเข้าพรรษา, วันออกพรรษา จะเป็นวันที่ชาวบ้านเขาทำบุญกันมาก พระยายมท่านจะปล่อยบรรดาผู้ที่ไปรอรับการตัดสินนี่ ให้ไปโมทนาบุญก่อน บรรดาผู้ที่โทษหนักรู้ว่าถ้าหากตัดสินเดี้ยงแน่ ก็เผ่นเลย แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเขามักไปรอการตัดสิน
    เพราะว่าพระยายมท่านพยายามช่วยทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้เขาหลุดพ้นไปได้ จะได้ไม่ต้องรับโทษ จำให้แม่น ๆ ว่าพระยายมไม่มีหน้าที่พาใครลงนรก แต่ท่านพยายามกันไว้ไม่ให้ลงนรก พวกที่กลัวไม่เข้าเรื่องเข้าราว มันก็เผ่นเสียก่อน อย่างนั้นเขาก็ไปตามคืน

    ถาม : แล้วต้องใช้เวลานานไหมครับ ?
    ตอบ : เวลาของเขามันนิดเดียว อย่าลืมว่า ที่ตำหนักพระยายมนี่วันหนึ่งเท่ากับห้าสิบปีมนุษย์ เวลาของเขานิดเดียว ทางนี้ั้โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็มี นี่พวกเราใช้แรงงานพรหมเกินขนาดนะนี่ ท่านหยุดงานปีละสี่ครั้งแค่นั้นเอง แล้วก็ครั้งละสามวัน คือว่าขึ้นสิบสี่ค่ำ ขึ้นสิบห้าค่ำ แล้วก็แรมหนึ่งค่ำ แล้วขณะเดียวกัน เวลางานมาก ๆ ก็หยุดแต่ตัวจริง บางทีก็เนรมิตตัวเอาไว้ทำงานแทนต่อ

    ถาม : พูดถึงหนีนรกแล้ว ประเภทที่หนีจากสวรรค์มีไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : อย่างนั้นไม่มี มีแต่ตะเกียกตะกายลงมา ส่วนใหญ่พยายามจะขึ้นไป ไม่หนีหรอก มีแต่ประเภทที่ว่าถ้าหากว่าตนลงมาเกิด บางประเภทก็ทำสิ่งที่ไม่ดีไว้เยอะ ถ้ารอให้หมดบุญทีเดียวอาจต้องไปรับกรรมในอบายภูมิเลย ก็ขออนุญาตลงมาเกิดก่อน บางพวกเห็นว่า ถ้าตนเองลงมาเกิดในวาระนั้น เวลานั้นจะสามารถสร้างบุญสร้างบารมีทำให้ตัวเองได้ดีมากกว่าเดิมอีก ก็จะขออนุญาตลงมาเกิด ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ต้องมีเทวดาผู้ใหญ่เป็นผู้รับรอง

    ถาม : แสดงว่าเรื่องการลงมาจุตินี้ เราเลือกเองได้ใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : จ้ะ เราเลือกเองได้

    ถาม : พวกเราที่ลงตามหลวงพ่อลงมานี้ ก็ต้องมีเทวดาผู้ใหญ่รับรอง ?
    ตอบ : จ้ะ ท่านย่ารับรองไปกราบขอบพระคุณท่านเสียไม่ค่อยจะนึกถึงท่านเลย

    ถาม : ไม่รับรองนี่ ไม่ได้เหรอครับ ?
    ตอบ : ไม่รับรองเป็นไปไม่ได้จ้ะ เพราะว่าไม่รับรองนี่ปล่อยลงมาไม่มีผู้คุมก็เพลิน ส่วนใหญ่แล้วพวกเรากำลังใจมันไปด้านเดียว ถ้าดีก็ดีไปเลย ถ้าหากว่าเลวก็เป๋กระฉูดไปเลย ก็จะต้องมีประเภทไม้เรียวคอยหวดไว้ สังเกตไหม เวลาจะชั่วทีไรมันทำไม่ค่อยได้ มีความรู้สึกอะไรบางอย่างคอยเตือนคอยบังคับอยู่เรื่อย ต่อไปถ้าหากว่าเตือนแล้วไม่ทำอาจมีเท้าใหญ่ ๆ ยื่นออกมาด้วย

    ถาม : ก็เคยโดนเหมือนกันค่ะ ไปหาหลวงปู่ปานโดยไม่ได้รับอนุญาต โดนถีบตกลงมา แล้วคนที่เขานั่งสมาธิด้วยกันเขาเห็นเหมือนกัน พอออกมาเขาก็นั่งหัวเราะกัน (หัวเราะ) อายเขา ?
    ตอบ : นั่นฐานกรุณาแล้วจ้ะ แค่ส่งเบา ๆ ถ้ารักมากจะหนักกว่านั้นอีก ยังดีที่ไม่รักเท่าไร

    ถาม : พอดีมีพี่อยู่คนหนึ่ง บังเอิญวันนั้นเราพูดมากไปหน่อย เขาบอกว่าน้อง ๆ พูดมากไปแล้ว หยุดพูดได้แล้ว เราก็เลยหยุด พอเช้าวันรุ่งขึ้นพี่คนนั้นก็พูดไม่ได้ แล้วมีอีกคนหนึ่ง หน้าเราเป็นสิว เราก็รักษาสิว น้องเขาก็บอกว่าหน้าสกปรกถึงได้เป็นสิว พอวันรุ่งขึ้นหน้ิาเขาก็สิวเต็มเลยเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าเหตุการณ์มันเกิดมาได้อย่างไรเจ้าคะ ?
    ตอบ : บางคนที่ตั้งใจทำความดีมีลักษณะเหมือนกับกระแสไฟฟ้า คุณอนันต์ ก็โทษมหันต์ถ้าใครไปแตะต้องผิดจังหวะโทษก็เกิดแก่กับตัวเอง บางทีเราเองไม่ได้คิดจะเอาผิดเอาโทษใคร แต่บรรดาผู้ที่เขาดูแลรักษาเราอยู่เขาเกิดไม่ชอบใจแกล้งเอาเสียบ้างก็เป็นไปได้ แล้วถ้าหากว่ายิ่ิงบริสุทธิ์แบบพระอริยเจ้า เช่น พระอรหันต์นี่ ถ้าเป็นฆราวาสต้องตัดให้ตายไปเลย เพราะถ้าอยู่แล้วจะเป็นโทษแก่คนอื่นเขามาก คล้าย ๆ กับแบบนี้แหละ

    ถาม : ไม่แน่ใจว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิดนะเจ้าคะ เขาบอกว่าเขาสามารถมีภรรยาได้หลายคน ถ้าภรรยายินยอม อาจไม่ได้พูด อาจพูดด้วยปาก แต่ใจไม่ได้บอกว่ายินยอม ?
    ตอบ : อันนั้นใจจะยอมไม่ยอม ถ้าพูดด้วยปาก ก็เสร็จเขาแล้ว

    ถาม : เรียบร้อยเลยหรือเจ้าคะ ?
    ตอบ : จ้า รับรองได้มันตีกิน มีเป็นฝูงเลย

    ถาม : แล้วเขาถือว่าเขาไม่ผิดศีลได้หรือเจ้าคะ ?
    ตอบ : ไม่ผิดจ้ะ ก็แบบเดียวกับว่า คนที่เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวร เราเคยกระทำสิ่งที่ไม่ดีต่อเขา ถ้าหากว่าเขาเอ่ยปากอโหสิกรรมให้กับเรา จะเพราะโดนเราหลอกหรืออะไรก็ตามก็เป็นอันว่าจบกัน

    ถาม : ถ้าหากว่าเจ้ากรรมนายเวรเราบอกเขาให้อโหสิกรรมเป็นอันจบเลยหรือเจ้าคะ ถ้านั้นต้องหลอกล่อเก่ง ๆ ?
    ตอบ : ลองทำดูก็ได้ ถ้าเขาเก่งกว่าเราก็แย่เหมือนกัน

    ถาม : ตรงใจมากเลยเจ้าค่ะ ของหนูนี่เขาเคยบอกไว้ว่าต้องกราบเท้าเขาก่อนเขาจะอภัยให้ ทีนี้ชาตินี้จะให้ก้มกราบไม่มีปัญหาหรอกเจ้าค่ะ แต่กลัวเขาจะงงที่ว่าตัวเขาก็ไม่ได้เข้าวัดทำบุญอะไร ?
    ตอบ : บอกเขาก่อนสิ อาตมาเคยทำมาแล้ว เจอหน้าคนบางคนรู้เลยว่าถ้าหากขืนปล่อยให้เขาเป็นไปตามวาระกรรมตามกาลเวลาของมัน เราที่บวชพระอยู่จะบวชไม่ได้ บอกว่าสิ่งที่พูดต่อไปนี้จะว่าอาตมาบ้าอาตมาก็ยินดีรับว่าบ้า แต่ว่ากรรมอะไรทั้งหมดทที่เคยล่วงเกินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ขอให้เป็นอโหสิกรรมได้ไหม เขารู้เดี๋ยวนั้นเลย เขาบอกว่าได้ แล้วสิ่งที่เขาเคยล่วงเกินก็ขออโหสิกรรมด้วยก็จบกันเลย คือว่ถ้าหากว่ากระแสกรรมนี้มันเนื่องมานี่ ถ้าหากว่าเราเอ่ยขึ้นมาเขาจะนึกออก
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : พอดีสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของการให้ทานและผลของการให้ทาน มีอยู่ข้อหนึ่ง ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกหรือเปล่าเจ้าคะ ก็คือว่า ที่ผู้ให้ท่านมีจิตอนุเคราะห์ในการให้ทาน การให้ทานนั้นจะก่อให้เกิด ผู้นั้นมีจิตโน้มไปในทาง ...(ไม่ชัด).....?
    ตอบ : ลักษณะนั้นเราต้องเข้าใจว่าผลของการให้ทานนี้ยังเป็น กามาวจร คือว่ายังเป็นไปอยู่ในแวดวงของกรรมจะเกิดหมายถึงว่ายังเป็นประเภทที่จากสัตว์เดรัจฉานเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาอย่างนี้ ทีนี้อานิสงส์นี้ยังเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น พูดตรง ๆ อย่างนั้นเลยก็ได้ ขณะเดียวกันว่า ทานบารมี ผู้ที่ตั้งใจทำจนสูงสุดแล้วก็เข้านิพพานได้เหมือนกัน แล้วถ้าหากว่าเราพ้นจากตรงจุดนั้นไปถึงความเป็นพระอริยเจ้า กระแสกรรมมันก็จะลดลง ขณะเดียวกันว่า อย่างไฟใช่ไหม เราใช้ให้เป็นคุณก็ได้ ใช้ให้เป็นโทษก็ได้ เราจะรู้จักเลือกใช้เอง

    ถาม : วิธีในการตัด รัก โลภ โกรธ หลง ตัดอย่างไร ให้ขาดเร็วที่สุด ?
    ตอบ : ต้องเอากรรมฐานคู่ศึกของเขา ในเรื่องของ กามราคะคือความรัก นี่ต้องใช้กรรมฐานคู่ศึกของเขา อย่างเช่นว่า เอา มรณานุสติกรรมฐาน ก็ได้ หรือใช้ อสุภกรรมฐาน หรือ กายคตานุสสติ ที่เป็นคู่ศึกโดยตรงของเขาก็ได้ ตัวโลภ ก็ ทานบารมี กับ จาคานุสสติ ตัวโกรธ ก็ใช้ เมตตาบารมี หรือว่าจะใช้ กสิณสี่ ก็ได้ ถ้าตัวหลง นี่สารพัดเลย โดยเฉพาะตัว อานาปานุสสติ นี่ จำเป็นต้องเจริญให้มากเข้าไว้ ไม่นั้นเดี๋ยวเผลอสติเมื่อไร โอกาสที่จะหลงไปยึดติดอยู่กับ โลภะ โทสะ โมหะ มันก็จะมีอีก ตราบใดที่ยังรัก ยังโลภ ยังโกรธอยู่ หลงแน่ ๆ จ้ะ เพราะฉะนั้นตัวหลงตัดยากที่สุด แต่ขณะเดียวกัน มันเหมือนกับม้านั่งสี่ขา ถ้าหากว่าเราตัดขาใดขาหนึ่งได้ที่เหลือก็ไม่แข็งแรงแล้วล่ะ

    ถาม : การนั่งกรรมฐานนี้ตัดกรรมได้จริงไหมครับ ?
    ตอบ : ตัดได้จริง แต่ไม่ใช่ว่ากระแสกรรมนั้นขาด มันเกิดจากว่าเราได้สร้างสิ่งที่เป็นบุญกุศลอย่างแรงกล้าขึ้นมาทำให้เราวิ่งห่างจากกรรมนั้น ถึงเวลาถ้าหากว่าตัวบุญนั้นมันขาดช่วงลง กรรมมันก็ตามทันอีก ถ้าจะตัดจริง ๆ ก็ต้องต่อเนื่องไม่ยอมหยุด

    ถาม : บุคคลที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันนี่ แล้วมาเกิดร่วมภพร่วมชาติกัน อาจเกิดเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นแม่กัน อย่างนี้มีไหมครับ ?
    ตอบ : มีร้อยเปอร์เซ็นต์

    ถาม : แล้วอย่างนี้ไม่เป็นการจองเวรจองกรรมกันตลอดไปหรือครับ ?
    ตอบ : มันตลอดไป จนกว่าจะเลิกลากันไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คือ ได้รับอโหสิกรรมต่อกัน หรือไม่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพระอรหันต์ไปก็ตามจองไม่ได้ การเป็นพระอรหันต์นี้จะเป็นการอโหสิกรรมโดยอัตโนมัติเพราะความดีท่านสูง

    ถาม : คือว่า อยากจะได้ยาอายุวัฒนะเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : ก็ศีลห้าข้อเป็นอย่างน้อย ถ้าหากว่าชาตินี้สามารถรักษาศีลได้บริสุทธิ์อย่างชนิดว่าไม่บกพร่องเลย เกิดต่อไปอายุจะยืนมาก อยู่จนลืมเลย

    ถาม : อายุยืนแล้วขอให้สุขภาพแข็งแรงด้วยเจ้าคะ ?
    ตอบ : ถ้าอย่างนั้น อานิสงส์ของการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็จะได้ด้วยเพราะว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้ จะเป็นเศษกรรมของปานาติบาตเขา

    ถาม : แล้วยากินล่ะเจ้าคะ ?
    ตอบ : มันมีตัวยาบางอย่าง แล้ววิธีการบางอย่าง แต่ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่เขาไม่ใช้กัน เพราะลักษณะของผู้ที่ชำนาญในกสิณสิบสามารถอธิษฐานปรับธาตุของตัวเองได้ แต่ผู้ปฏิบัติเขาไม่ใช้กันหรอก มันน่าเบื่อหน่ายจะตายไป

    ถาม : พอดีมีญาติเจ้าคะ เขามาฝึกมโนมยิทธิที่บ้าน คุณพ่อกับแม่จะสอนฝึกสมาธิ แล้วเขากลับไปฝึกอโนมยิทธิที่บ้านเองสักประมาณเดือนหรือสองเดือน พอกลับมานี่เขามาอาการเพ้อเจ้อ ก็เลยไม่ทราบว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดกับคนอื่นที่เขามาฝึกกัน ?
    ตอบ : อันดับแรกเตือนเขาเลยว่า สิ่งที่เรารู้เห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เรารู้เห็นไม่แน่ว่าจะเป็นจริงตามนั้น เพราะว่ายิ่งเรารู้เห็นชัดเจนเท่าไร การทดสอบก็ยิ่งแรงขึ้นเท่านั้น ในเมื่อเป็นการทดสอบ ถ้าหากว่าสติสัมปชัญญะของเรามันไม่สมบูรณ์ รู้อะไรพูดเท่านั้น มันจะออกอาการเพ้อเจ้อ

    ถาม : ป้องกันได้ไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : วิธีป้องกันก็คือว่าพยายามท่องคำว่าไม่เชื่อไว้ก่อน สมัยก่อนที่ยังอยู่ วัดท่าซุง พอมาไล่อารมณ์กันว่าพี่เขาได้เท่าไร น้องเขาได้เท่าไร มันสรุปมาตอนท้าย ๆ คล้าย ๆ กันว่าลูกศิษย์หลวงพ่อที่เป็นพระเหลือคาถาช่วยตัวเองไว้ตอนสุดท้ายว่ากูไม่เชื่อ เรื่องที่เรารู้มาเรื่องที่หนึ่งรู้แล้วถูกต้องแล้ว เรื่องที่สองถูก เรื่องที่สามก็อย่าเพิ่งเชื่อ เตือนตัวเองไว้อย่างนี้ตลอด ไม่อย่างนั้นแล้วโอกาสพลาดมีสูง ท่องคาถาไว้นะอย่าเชื่อง่าย

    ถาม : ทำอย่างไรถึงเป็นคนความจำดีเจ้าคะ ?
    ตอบ : ตัวนี้ใช้คาถา ท่านปู่พระอินทร์ ช่วยได้ คาถาสหัสสะเนตโต เคยได้ยินไหม ? ใช้คาถาบทนั้น เวลาตั้งใจจะจำอะไร ใช้คาถาสหัสสะเนตโต นึกถึงท่านปู่พระอินทร์ให้ช่วยเตือนความจำให้ด้วย รับรองว่าท่านปู่ไม่พลาดหรอก ตั้งกำลังใจไว้นิดหนึ่งว่าเรื่องนี้ถึงเวลาแล้วเราจะทำ

    ถาม : ใช้คาถานี้กับการอ่านหนังสือได้ไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : หนังสือนี่เป็นเรื่องถนัดเลยล่ะ เพราะว่าหลวงพ่อท่านแนะนำให้นักเรียนที่สอบใช้คาถานี้แทบทุกคน

    ถาม : ........(เรื่องเจ้ากรรมนายเวร).........?
    ตอบ : มีรายการจองเวรที่สนุกมากเลย ก็คือสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็น เจ้าชายกุสราช จองเวรพี่สะใภ้ตัวเอง ตอนนั้นท่านยังติดนิสัยขี้โมโหอยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบิณฑบาต พี่สะใภ้ก็....เขาใช้คำว่าแป้งทอด สมัยนี้น่าจะเป็นโรตีนะ ทำเอาไว้สำหรับส่วนของตัวเอง ส่วนของสามีและส่วนของน้องสามีด้วย เอาส่วนตัวเองใส่บาตรแล้วรู้สึกไม่สมกับใจที่อยากจะทำ ก็เอาส่วนของสามีใส่ไปด้วย พอใส่ไปแล้วก็รู้สึกว่ายังไม่สมกับที่อยากจะทำ ก็เอาส่วนของน้องสามีใส่ไปด้วย เสร็จแล้วรีบไปทำใหม่ ยังไม่ทันจะเสร็จสองคนหิวโซกลับมา มาถึงถามหาปรากฏว่าใส่บาตรไปแล้ว น้องสามีก็ด่าเช็ดเลย คราวนี้ท่านเองท่านโกรธ แต่ว่าพอทำเสร็จก็แบ่งให้แต่ละคนเอาของตัวเองไปใส่บาตรเพิ่ม แล้วอธิษฐานว่าอย่าให้เจอหน้าน้องสามีคนนี้อีกเลย รายโน้นพอได้ยินก็โมโหไฟแลบอีกเหมือนเดิม เอาไปใส่บาตรก็อธิษฐานว่าเกิดชาติไหนก็ขอให้ได้ผู้หญิงคนนี้เป็นเมีย ระวังเขาจะจองแบบนี้นะจ้ะ

    ถาม : แล้วคราวนี้จะอยู่กันดีหรือเปล่า ?
    ตอบ : พยายามให้มีทาน มีศีล มีปัญญาเสมอกัน อยู่กันได้ แต่ถ้าหากว่ามันไม่เท่ากัน ขาดส่วนใด ส่วนหนึ่งไป ก็อยู่กับลำบากนิดหนึ่ง

    ถาม : ถ้าเกิดว่าระลึกชาติได้ว่าคนที่เราไปพบนี้เขาเคยเกิดเป็นบิดามารดา ควรที่จะให้ความสำคัญบุคคลนั้นเทียบเท่าบิดามารดาเราหรือแค่รับทราบว่าเคยเป็นบิดามารดามา ?
    ตอบ : จริง ๆ คือรับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แต่เราต้องเข้าใจว่านั่นเป็นสถานภาพในอดีต ปัจจุบันนี้มันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ถ้าหากว่าสามารถที่จะแสดงออกใน อปจายนมัย คือนอบน้อมถ่อมตนต่อท่านได้ก็ให้แสดงออกลักษณะที่ว่าท่านเป็นบิดามารดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ผ่านไปแล้วนี้ มันเหมือนกับเงาในสายน้ำ เราจะไปงมมันเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์อันใด มีแต่จะเหนื่อยเอง เพราะเรื่องมันผ่านมาแล้ว เราจะเป็นผู้หลุดพ้นได้ต่อเมื่อเราปล่อยวาง ถ้าหากว่าเราไปแบกรับเอาสิ่งเก่า ๆ ที่ผ่านไปแล้วกลับคืนมาอีก แทนที่จะปล่อยได้กลายเป็นว่ายิ่งแบกหนักกว่าเดิม

    ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็แค่รับรู้ แล้วปล่อยวาง ?

    ตอบ : จ้ะ....รับรู้รับทราบแล้วปล่อยวางได้จะดีที่สุด

    ถาม : แต่ว่า ถ้าทางเขาไม่ปล่อยวางเจ้าคะ
    ตอบ : ก็นั่นแหละ พวกมโนมยิทธินี้จะมีจำนวนมากที่เขาไปฟื้นความหลัง เสร็จแล้วแทนที่จะจดจำว่าแต่ละชาติที่เกิดมามันก็ทุกข์พอแล้ว กลายเป็นว่าไปฟื้นความหลังเข้ากลายเป็นกอดคอตายกันทั้งพวงเลย คือต่างคนต่างยังขึ้นฝั่งไม่ได้ แทนที่จะละกลับไปยึด

    ถาม : ถ้าในอดีตเราเคยทำกรรมไม่ดีไว้ ถ้าเราไประลึกตรงจุดนั้นแล้วผลกรรมจะให้ผลคืนมาทันทีเลยหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าตายตอนนั้นก็สบายมากเลย รับรองว่ามีเท่าไรก็รับไปทั้งต้นทั้งดอก พระพุทธเจ้าท่านถึงได้สรุปหลักการปฏิบัติว่า ละเว้นความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม ทำจิตให้แจ่มใสอยู่เสมอ การที่ระลึกถึงความชั่วในอดีต ทำให้จิตใจเศร้าหมอง

    ถาม : พอดีมีน้องคนหนึ่งเจ้าคะ เขาจะมีจิตที่ผวาอยู่เป็นประจำพอกำหนดจิตดูอดีตชาติแล้วนี่เขาเป็นผู้ที่เคยถูกลอบฆ่าในขณะที่หลับเจ้าคะ แล้วสภาวะจิตที่เขาตกใจก่อนตายทำให้สภาวะของเขาไม่ว่าจะนั่งกรรมฐานหรือนอนจะผวาตื่นเป็นระยะ ๆ ไม่ทราบว่าจะช่วยแก้ปัญหาเขายังไงได้เจ้าคะ ?
    ตอบ : ให้เขาใช้ความพยายามในการฝึกสมาธิต่อไปนะ ไม่ต้องมากหรือ เอาแค่ปฐมฌานก็แก้ได้แล้ว บอกเขาว่าเป้าหมายแค่ปฐมฌานพอ มันผวาก็ให้ผวาไป พยายามเข้าหน่อยหนึ่ง พอสภาพจิตมันเคยชินเดี๋ยวมันผ่านตรงจุดนั้นได้เอง

    ถาม : เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะไปได้ ?
    ตอบ : ช่วยกระตุ้นเขาหน่อย ถีบ ๆ ส่งไปหน่อย ไปยุ่งกับเขาขนาดนั้นแล้วก็เอาเสียหน่อยสิ

    ถาม : ถามเคล็ดลับเจ้าคะ ทำไมผู้ที่ปฏิบัติธรรมเป็นปกติท่านไม่ค่อยจะแก่เลยเจ้าคะ เป็นเพราะอานิสงส์อะไร ?
    ตอบ : โดยเฉพาะถ้าหากว่าภาวนาตัวภาวนานี่จะทำให้กำลังใจเยือกเย็น มันไม่เครียดในเมื่อไม่เครียด ร่างกายมันก็ทรุดโทรมช้า นี่หมายถึงทำถูกนะ ถ้าทำผิด ทำมากเกินไปก็อาจแก่เร็วได้เหมือนกัน

    ถาม : อันนี้ปฏิบัติธรรมเพื่อลดอายุได้หรือเจ้าคะ ?
    ตอบ : ไม่ใช่ลดอายุ หลอกเขาได้ อายุมันเท่าเดิม อายุมันก็เป็นปกติของมัน เพียงแต่ว่าร่างกายมันทรุดโทรมช้า

    ถาม : พอดีช่วงนี้ก็แปลกเจ้าคะ ตัวเองก็จะมีเวลาลืมของหรือว่าต้องเอาของอะไรไป จะมีเสียงเตือนเป็นระยะ ๆ ว่าต้องเอาอะไรไป ต้องเตรียมอะไรไปล่วงหน้า ?
    ตอบ : ถ้าอย่างนั้นคาถา ท่านปู่พระอินทร์ ไม่ต้องใช้แล้วจ้ะ ใช้ท่านที่เตือนมาเลย

    ถาม : ไม่ทราบว่าเสียงมาได้อย่างไรเจ้าคะ ?
    ตอบ : อย่าลืมว่าของเราเองนี่จะมีเทวดาประจำตัวรักษาอยู่ บรรดาเทวดาประจำตัวก็คือพ่อแม่ครูบาอาจารย์หรือว่ามิตรสหายสนิทที่ในอดีตเคยคบหากันมาเคยมีความสำคัญกันมา ท่านตายไปแล้วท่านก็ยังจำเราได้อยู่ ในเมื่อเห็นเราตั้งใจทำความดีก็ช่วยส่งเสริมความดีของเรานิดหนึ่ง มันไม่เกินวิสัยที่จะสงเคราะห์ได้ก็เอาสักหน่อยหนึ่ง ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่มี ทิพจักขุญาน ตรงนี้ถึงเตือนแทบตายมันก็ไม่รู้สักทีหนึ่ง ท่านก็คงไม่เตือนให้เสียเวลาเหมือนกัน

    ถาม : เพื่อนเขาอยากได้มั่งเจ้าคะ ?
    ตอบ : ก็ทำอย่างเราสิ

    ถาม : เราก็ไม่รู้ว่าทำอีท่าไหนถึงได้ ?
    ตอบ : บอกเขาว่าเกิดบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ได้เอง (หัวเราะ) มันต้องขยันเกิดหน่อย แต่ละชาติก็ต้องสร้างสมไป เดี๋ยวพอถึงวาระถึงเวลามันก็ได้เอง

    ถาม : ไม่ทราบว่าพวกผีที่เขาอยู่สิงตามบ้านเขาจะอยู่ในลักษณะยังไงเจ้าคะ ถึงจะเข้าสิงคนได้ ?
    ตอบ : เรื่องเขาสิงคน ต้องทำความเข้าใจว่า ถ้าไม่มีกรรมอันเนื่องกันมา แล้วจังหวะเวลาเหมือนเปิดให้นี่เขาสิงยากมากเลย เราเองอาจคิดว่าง่าย ๆ แต่ความจริงเขารอจังหวะ บางทีอาจรอเป็นร้อย ๆ ปีหรือรอกันข้ามชาติข้ามภพกว่าจะได้จังหวะของมันนะ สภาพของเขาก็น่าสงสารมาก คล้ายกับว่าของเขาเองโดนจำกัดเขตด้วยกรรมที่เขาทำมาต้องอาศัยอยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะอย่างนั้นเป็นต้น

    เพราะฉะนั้นเขาลำบากมาแล้ว น่าสงสารมาก สภาพเขาบุญไม่พอ เลยโดนบังคับให้มีที่อยู่ได้แค่นั้น เทวดาเขามีวิมานสวยเชียว แต่นี่ชาวบ้านเขามีแค่ไหนก็อยู่ได้แค่นั้น เสร็จแล้วถ้าหากว่าวาระและเวลามันเปิดให้ก็อาศัยสื่อผ่านร่างของคนนิดหนึ่งบ่งบอกถึงความต้องการของเขาว่าต้องการอะไร ? จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าสิงใครง่าย ๆ นะ ยากมากเลย แบบเดียวกับคนเกิดใช่ไหม ? เราเห็นว่าเดี๋ยวคนนั้นท้อง เดี๋ยวคนนี้ท้อง แต่จริงแล้วเขาบอกว่าเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่งโยนไว้ในทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วก็มีห่วงอยู่หนึ่งอัน ห้าร้อยปีโผล่มาทีหนึ่ง หัวสวมห่วงได้เมื่อไรก็ได้เกิดเมื่อนั้น เต่าตาดี ๆ ยังมุดไม่ค่อยจะเจอ เต่าตาบอดอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นสภาพที่เราเห็นเราคิดว่าง่าย แต่สำหรับเขาแล้วยากมาก

    ถาม : แล้วที่สิงเข้าไปแล้ว ต้องการชีวิตนี่.....?
    ตอบ : มันขู่ไปอย่างนั้นเองแหละ ทำให้ตายจริงไม่ได้หรอก เท่าที่เจอมาก็สามารถคุยกับเขาได้ ถ้าประเภทที่จะเอาชีวิตอย่างเดียวก็ต้องไล่แล้วละ อาจเคยอาฆาตแค้นกันมาก่อนไปทำอะไรให้เขาบาดเจ็บล้มตายขึ้นมา ถึงเวลาเขาจะเอาคืนบ้าง ความสามารถมันไม่พอหรอก ถ้ามันพอ มันเอาตายไปแล้ว ไม่มาสิงหรอก เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวมาก พวกนี้ขู่เราไว้ก่อน แบบเดียวกับ อดิศร ไง มาถึงตรงนี้ ลั่นมาเชียว กูยิ่งใหญ่ที่สุดโลกนี้ไม่มีใครใหญ่กว่ากูอีกแล้ว ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นขอเชิญผู้ยิ่งใหญ่นั่ง ถ้าขืนยืนค้ำหัวจะโดนพระเตะเสียก่อน มันขู่ได้แต่คนกลัวมัน อันนั้นโทษใครไม่ได้หรอก เขาไปจุดธูปเชิญเอง มันรอจังหวะมานานแล้ว ในเมื่อเชิญเขาเข้าก็ลงเลย แทนที่จะลงกระดาน ลงตัวเลย ไปเปิดช่องให้เขาเอง ถึงเวลาภาวนากันไว้ก่อน ถ้าภาวนาไว้ลงไม่ได้ เคยทำมาแล้ว สมัยเด็ก ๆ เพื่อนเล่นผีถ้วยแล้ว เราก็กลัว เราก็พุทโธ มันเชิญเท่าไรผีก็ไม่มาสักทีมันยัวะใหญ่ เชิญกี่ทีก็ได้ ทำไมเราไปทีไรเชิญไม่ได้สักที เรากลัวผีก็ภาวนาพุทโธไว้ แล้วผีที่ไหนมันจะมาล่ะ ?

    ถาม : แล้วพวกที่ทรงเจ้า ทำไมถึงได้ ?
    ตอบ : พวกนั้นส่วนใหญ่ประเภทมีกรรมเนื่องกันมา แล้วถ้าหากว่าเจ้าของร่างปฏิเสธก็ลงทรงไม่ได้ ยกเว้นจะกลั่นแกล้งให้ได้รับความลำบากบางอย่าง เช่น ให้เจ็บไข้ได้ป่วย ให้ฐานะทรุดตังลง จนยอมรับเขาจนได้

    ถาม : ถ้าเราจะไม่ย่อมจริงก็ได้ ?
    ตอบ : ได้ ก็งั้นเอาแบบ อดิศร อย่างนั้นแหละ เขาทำอะไรไม่ได้แต่มันทำให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้าเขาเวลาได้สติขึ้นมา มันอาละวาดไปเยอะแล้ว

    ถาม : (ถามเรื่องหิน ทำไมถึงสร้างหลังในการทำสมาธิ) ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วทุกอย่าง อย่าลืมว่าเขาเองเขาอยู่มานานเป็นล้าน ๆ ปี พลังของดินน้ำลมไฟมันย่อมอาศัยอยู่ได้ แล้วขณะเดียวกันบางอย่างนี้อยู่ในลักษณะที่เก็บพลังได้มากเป็นพิเศษ คนที่รู้ในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็สามารถอาศัยพลังงานนั้นไปใช้ในด้านต่าง ๆ ได้ อย่างเช่น แร่ยูเรเนียมใช่ไหม ? ทำให้แกนกลางมันแตกตัวเมื่อไหร่ก็บรรลัยเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกอย่างมีพลังงานอยู่แล้ว ไอสไตน์ ว่าอะไรนะ ? แกนกลางของสสารทุกชนิดก็คือพลังงานใช่ไหม ? เพาะฉะนั้นไม่ต้องเถียงเขาหรอก

    ถาม : ส่วนใหญ่ทุกคนเคยผ่านมาหลายภพหลายชาติแล้วและก็เคยมีเนื้อคู่มาหลายภพหลายชาติแล้ว ทีนี้ชาตินี้เรามีคู่แล้ว แล้วเราไปเจอเนื้อคู่ในอดีตแล้วรู้สึกชอบเขา อย่างนี้จะผิดศีลไหมคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นแค่ความคิดไม่เป็นไร แต่อย่าให้เป็นการกระทำ ความคิดเป็นมโนกรรม ส่วนของธรรมะมันหมองแต่ว่าศีลไม่ขาด แต่ลักษณะของการเป็นเนื้อคู่ก็อย่างที่ว่ามา เราเกิดมาเยอะก็ย่อมต้องเจอคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง ถ้าหากว่าคนไหนเกิดร่วมกับเรามากลักษณะบุพเพสันนิวาสเจอหน้าก็จะรักชอบเลย คนไหนที่เกิดร่วมกันน้อย โอกาสที่จะเกิดความรู้สึกเหล่านั้นก็จะเบาบางลงไปตามลำดับ ถ้าหากว่าเราสังเกตตัวเราจะเห็นว่าบางทีเราเจอคน ๆ นี้เราก็ชอบเขา แต่ถ้าถึงเวลามันผ่านพ้น ตรงช่วงวาระกรรมนั้นมันแคล้วคลาดกันไปเราไปเจอคนอื่น อ้าว ! เจออีกแล้ว ถ้าใช้มโนมยิทธิดูก็จะรู้ว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นคู่เรา เพียงแต่จังหวะเวลาของกรรมส่งให้เขามาก่อนมาหลังต่างกันไป

    เพราะฉะนั้นตัวเรานี้จะต้องมีสติสัมปชัญญะอยู่ในตรงจุดที่ว่าศีลของเราต้องไม่บกพร่อง ถ้าหากว่ายอมให้ศีลบกพร่องเมื่อไรโอกาสที่จะลงอบายภูมิมีสูงมาก เพราะฉะนั้นทุกอย่างทำตามทำนองคลองธรรม ชอบใจคน ๆ หนึ่ง คือ ลุงปาน ตอนนี้มีเมียมาคนที่เก้าแล้ว เขาตั้งเป้าไว้ว่าจะมีให้ครบสิบสองคน แต่ตอนนี้เขี้ยวชักไม่เหลือ ตอนนี้ฟันร่วงแล้ว หกสิบกว่า ลุงปานนี้แกชอบออกป่านอนไปป่ามากกว่านอนบ้าน เมียเบื่อขึ้นมาก็ทิ้งแกไป พอทิ้งแกไปเสร็จแกค่อยหาคนใหม่เรียกว่ามารยาทดี ถ้าหากว่าเลิกร้างกันไปแล้วค่อยหาคนใหม่อย่างนี้ไม่ผิดศีล มีลูกอยู่ห้าคนไม่ได้มีแม่เดียวกันเลย ต่างคนต่างแม่หมด คือต้องอยู่ในลักษณะนั้น ต้องมีสติสัมปชัญญะพอ ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วชอบก็กวาดไว้ในฮาเร็ม อันนั้นใช้ไม่ได้จ้ะ ถ้าจะทำต้องให้เจ้าของเก่าอนุญาตก่อน

    ถาม : อย่างที่บอกว่าภรรยาอนุญาติแล้ว ?
    ตอบ : นั่นแหละจ้ะ แล้วแต่ฝีมือ (หัวเราะ)




    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...