ฉบับที่ ๒๓ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 10 มกราคม 2006.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=760 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=290 background=images/thammat02.jpg>[​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    ถาม : สมัยที่หลวงพ่อท่านอาพาธอยู่ที่ศิริราช มีอยู่คนหนึ่งเขาไปหาหลวงพ่อ ?

    ตอบ : พวกที่ตายโหงนี่ บางรายก็เป็นพวกที่หมดอายุ แต่ส่วนใหญ่ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์นี่ยังไม่หมดอายุ ถ้าหมดอายุแล้วก็ไปรับบุญรับบาปได้ทันที อีกอย่างคือว่าถ้ากำลังบุญมากก็ไปรับส่วนดีเลย ทำบาปมากสูงมากก็ลงไปรับกรรมเลย ไม่ผ่านการตัดสิน พวกผ่านการตัดสินนี่มันกระดำกระด่างจะดำก็ไม่ดำ จะขาวก็ไม่ขาว แต่ว่าพวกผ่านการตัดสินนี่ยังโชคดีนะ โอกาสรอด ๘๐% เพราะว่าพระยายมท่านจะถามละเอียดจริง ๆ ถามนิดถามหน่อยถามล้วงไปเรื่อยมันจะต้องทำดีซะอย่างหนึ่งล่ะ แล้วท่านก็จะส่งไปรับความดีก่อน ทีนี้ถ้าทำดีเล็กน้อยมากอย่าง สุปติฏฐิตเทพบุตร อย่างนี้นี่มัวแต่ไปเพลินกับความดีอยู่ หมดบุญทีนี้ล่ะโดนเต็ม ๆ

    ถาม : อย่างเวลาเช้า ๆ เราแผ่เมตตาตามแบบหลวงพ่อนี่มีอานิสงส์อย่างไรบ้างคะ ?

    ตอบ : อันดับแรกของเรา ๆ จะได้ปัตติทานมัย เป็นการทำบุญประเภทหนึ่ง การทำบุญมี ๑๐ ประเภท ๆ สุดท้ายนี่จะเป็นของกำไรโดยตรง เขาเรียกทิฎฐุชุกัมม์ มีความเห็นถูกว่า่พระพุืทธเจ้าสอนดี เราจะทำตามอันนี้ได้กำไรแน่ ๆ

    นอกนั้นก็มีทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล ภาวนามัย บุญเกิดจากการทำสมาธิภาวนา ๓ อย่างนี้จะเป็นบุญใหญ่ที่สุด แล้วหลังจากนั้นจะยังมีบุญเล็ก ๆ ซึ่งจะเรียกว่าเล็กก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากว่าเล็กของช้างมันก็ใหญ่ของมดน่ะ บุญเล็ก ๆ ก็ยังมีอปจายนมัย อ่อนน้อมถ่อมตนกับคนอื่น คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนมา เราเห็นก็เย็นตาเย็นใจเกิดความรักความเมตตาเขาใช่มั้ย ? ตัวนี้มันก็ทำให้คนนอบน้อมถ่อมตนเขาได้บุญ ต่อมาก็ปัตติทานมัย ทำบุญแล้วตั้งใจนอบน้อมให้คนอื่นเขา ตัวเราจะทำได้สำเร็จก็ยากแล้ว อุตส่าห์แบ่งปันให้คนอื่น ถ้าจิตไม่ได้ประกอบด้วยความรักความเมตตาจริง ๆ มันก็จะให้เขาไม่ได้

    ในเมื่อให้เขาได้ผลบุญของเรามันก็จะเพิ่มขึ้น ปัตตานุโมทนามัย พลอยยินดีในความดีที่คนอื่นทำ ปกติมันคอยจะอิจฉาเขา แต่อันนี้มันคอยยินดีจริง ๆ ได้บุญจริง ๆ ใช่มั้ย ? ธัมมัสสวนมัย นำไปปฏิบัติ ธัมมเทสนามัย ได้ผลแล้วกลับไปสอนเขาต่อ พวกนี้เขาเรียก บุญกิริยาวัตถุ สิ่งที่ทำให้เกิดบุญ ทำแล้วเป็นบุญเป็นกุศล ทีนี้ของเราที่ว่าตั้งใจอุทิศให้คนอื่นเขา มันก็จะเป็น ปัตติทานมัย ก็คือว่า บุญที่ได้จากการตั้งใจทำความดี แล้วแบ่้งให้คนอื่นเขาไป

    ถาม : ทำตามหลวงพ่อตอนเช้า ๆ หลวงพ่อจะนำแผ่เราก็พยายามทำตาม ?

    ตอบ : มันเป็นวิธีการที่จะได้บุญ อย่างของเรานั่งอยู่คนอื่นเขาถวายสังฆทานเราก็สาธุ มันก็ได้ไปด้วยใช่มั้ย ? มันเป็นวิธีการทำบุญที่ง่าย แต่ในขณะเดียวกันที่คนที่ทำไม่ได้ กำลังใจไม่ถึงมันจะทำอะไรกันนักหนาวะ เดี๋ยวทำ ๆ ถ้าอย่างนั้นไม่ได้แล้วกำลังใจยังเศร้าหมองไปด้วย

    ถาม : มีพระองค์เล็ก ๆ อยู่หลายองค์ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
    ตอบ : แค่คำว่าเล็กน้อยนี่เราก็เจ๊งแล้ว ถ้าหากว่าเป็นรูปพระพุทธเจ้าคำว่าเล็กน้อยไม่มีสำคัญสุด ๆ ทั้งนั้นเลย ถ้ามีมากเกินไปดูแลไม่ทั่วถึง ควรจะทำอย่างไร ?
    หากล่องหาอะไรใส่รวม ๆ กันเอาไว้ให้ดีให้เหมาะสม แล้วเอาขึ้นบูชา ต่อไปอย่าใช้คำว่าเล็กน้อยกับพระนะ เดี๋ยวเจอข้อหาปรามาสพระรัตนตรัย
    สมัยหลวงปู่ปาน ท่านสร้างพระคำข้าวองค์หนึ่งหน้าตัก ๕ นิ้ว ตั้งโต๊ะบวงสรวงชุดใหญ่เลย ทำพิธีบวงสรวง หลวงพ่อก็บอกว่าทำไมแค่พระองค์เล็ก ๆ แค่นี้ต้องตั้งเครื่องบวงสรวงเต็มพิธีชุดใหญ่ขนาดนี้ด้วย หลวงปู่บอกว่า คำว่าพระพุทธเจ้ามีเล็กเหรอ ? หลวงพ่อบอกได้ยินแล้วตกใจ แสดงว่าจิตเราหยาบไปหน่อยใช่มั้ย ? เห็นพระพุทธเจ้าเล็กน้อย จำไว้นะคำว่าเล็กน้อยไม่ีมี พุทโธ อัปปมาโน ธัมโมอัปปมาโน สังโฆอัปปาโน คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่สามารถจะประมาณได้
    มีลูกศิษย์หลวงพ่อสดวัดปากน้ำได้พระสมเด็จของขวัญไปองค์กระจิ๋วหนึ่ง นั่งมอง ๆ มันไม่ถูกใจน่ะ องค์กระจิ๋วหนึ่ง องค์แค่นี้จะคุ้มครองเราได้เหรอ ปรากฎกลางคืนนอนหลับไปฝันเห็นพระสมเด็จวัดปากน้ำองค์ของขวัญนั่นแหละลอยมาโตขึ้นจนใหญ่จนเต็มจักรวาลเลย แล้วถามว่าแค่นี้พอมั้ย ? (หัวเราะ) สะใจมั้ย ? พุทโธอัปปะมาโน จำไว้คุณพระพุทธเจ้าประมาณมิได้
    ถาม : การถวายสังฆทาน ถ้าเราเอาพระองค์ขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก คุณภาพจะเหมือนกันมั้ยครับ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าจะเอาอานิสงส์กันจริง ๆ พระที่ถวายสังฆทานหน้าตักไม่ควรต่ำกว่า ๔ นิ้วแต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจถวายแล้วเป็นองค์น้อย อันนั้นเราจะได้อานิสงส์เป็นพุทธบูชา คือเราได้สร้างพระขึ้นมาองค์หนึ่ง

    หลวงพ่อขอมวัดไผ่โรงวัว ท่านสร้างพระสร้างเอา ๆ องค์เล็กองค์ใหญ่เต็มไปหมด ท่านบอกว่า อานิสงส์ของการสร้างพระพุทธรูปไม่ว่าองค์โตเท่าภูเขาหรือองค์เล็กเท่าใบหญ้าคา เกิดมากี่ชาติก็จะเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยเดชอำนาจไม่รู้จักจบจักสิ้น พุทธบูชามหาเตชะวันโต เพราะฉะนั้นจะองค์เล็กองค์ใหญ่ก็แล้วแต่ ขอให้เป็นพระพุทธเจ้าเถอะ อานุภาพไม่สิ้นสุดหรอก

    ถาม : อย่างบางทีมันขี้เกียจทีนี้เราพยายามแล้วน่ะค่ะ .....?

    ตอบ : ก็เลิกขี้เกียจ สังเกตดูว่าธรรมะบางส่วน เราพยายาม วันก็แล้ว เดือนก็แล้ว ปีก็แล้วมันก้าวพ้นไม่ได้ อันนั้นห้้ามขี้เกียจนะจ๊ะ ต้องทบทวนแล้ว ทบทวนอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ย่ำอยู่กับที่เดิมให้มันชำนาญไปเลย อันนั้นแสดงว่าสติปัญญาของเรามันยังไม่เพียงพอ ถ้าหากว่าสติ สมาธิ ปัญญามันเพียงพอ เราจะก้าวพ้นตรงจุดนั้นได้ เราต้องหาความชำนาญไปเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะพอ ถ้าภาษานักปฏิบัติเขาจะบอกว่า วาระมันยังมาไม่ถึง

    มันเหมือนกับต้นไม้ เราปลูกมันแล้วมันยังไม่ออกดอกออกผลซักที เราจะขี้เกียจไม่ดูแลมันจะไม่ได้ ต้นไม้มันจะตาย เราต้องดูแลมันต่อไป ถึงวาระ ถึงเวลาที่สมควรดอกผลมันจะออกมาเอง เพราะฉะนั้นยิ่งไม่ได้นี่ยิ่งต้องขยัน

    ถาม : อย่างเราปฏิบัติแล้วเราไม่รู้ว่าเราควรจะทำแบบไหนจึงจะตรงกับจริตของเรา ?

    ตอบ : แบบไหนจะตรงกับจริตของเรานี่หาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อมา อ่านแล้วชอบตรงไหนก็ทำตรงนั้นเลย ทำกองนั้นกองเดียว หัวข้อนั้นหัวข้อเดียว เอาให้มันได้จริง ๆ ไปเลยอย่าไปเปลี่ยนใหม่ ถ้าหากว่าเราทำ ๆ ไปแล้วมันยังไม่ได้ เราไปท้อแล้วไปเปลี่ยนใหม่ทำ ๆ ไปยังไม่ได้ ท้อแล้วเปลี่ยนใหม่ อาตมาเปรียบว่ามันเหมือนยังกับว่าขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำ ขุดลงไป ๓ เมตร ๕ เมตร ถ้าเกิดน้ำมันอยู่ ๒๐ เมตรอย่างนี้ เรารู้สึกเหนื่อย รู้สึกท้อแล้วไปเปลี่ยนใหม่ ไปขุดอันนั้น ๓ เมตร ๕ เมตรแล้วเมื่อไหร่มันจะได้ล่ะ

    เพราะฉะนั้นมันจะต้องประเภทต้องตั้งหน้าตั้งตาทำไป ได้สักหัวข้อหนึ่งแล้วอันอื่นมันจะง่าย เพราะว่ากำลังมันเท่ากัน มันแค่เปลี่ยนวิธีการเท่านั้นเอง

    เมื่อวานนี้พี่ชายเขามา พี่ชายคนนี้ก่อนหน้านี้เขาปฏิบัติธรรมะแข็งขันมาก ตั้งใจอย่างเดียวว่าจะไปนิพพาน ครอบครัวก็ไม่มีแล้ว อีตอนนี้ก็มีเมีย ๑ มีลูก ๓ เรียบร้อยไปแล้ว เขามาถามว่าเขาปฏิบัิติแล้วไม่ก้าวหน้าจะทำอย่างไร ? ก็บอกว่าพี่ก็ทำอย่างที่อาตมาเคยทำนั่นแหละ

    สมัยก่อนพี่ว่าอาตมาบ้าอย่างไรก็บ้าอย่างนั้นล่ะ แล้วมันก็จะได้เอง พูดง่ายนะ แต่ตอนทำมันเหนื่อยก็ท้อเหมือนกันเปรียบให้ฟัง ถ้ากลัวว่าจะผิดเอาศีลเป็นกรอบ ศีล ๕ ก็ได้ ศีล ๘ ก็ได้

    ถ้าหากว่ายังอยู่ในกรอบของศีล การปฏิบัตินั้นไม่ผิดหรือว่าผิดก็ผิดน้อยเต็มที ในเมื่อมีศีลแล้วพยายามกวดศีลของเราให้บริสุทธิ์อย่าละเมิดศีลด้วยตัวเอง อย่ายุยงส่งเสริมให้คนอื่นทำ อย่ายินดีเมื่อคนอื่นล่วงให้ศีลนั้นขาดลงในเมื่อเราทำละเอียดได้ถึงขั้นนี้ ศีลมันทรงตัว สมาธิก็จะตั้งมั่นได้ง่าย ปัญญาก็จะเกิด

    เพราะว่าจิตของเราถ้านิ่งนี่มันเหมือนน้ำที่นิ่งมันจะมองเห็นได้ เวลาชะโงกไปก็เห็นหน้าตัวเอง คราวนี้พอจิตมันนิ่งปุ๊บ ปัญญามันก็จะเกิด พอปัญญามันเกิดจะใช้ไปคุมศีลอีกทีหนึ่ง ในเมื่อยิ่งคุมศีลให้ละเอียด สมาธิก็จะตั้งมั่นได้ง่าย สมาธิยิ่งตั้งมั่น ปัญญาก็ยิ่งเกิด มันจะไล่กวดไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดสุดท้ายของมัน เราก็จะก้าวข้ามในจุดที่เราต้องการได้

    ถาม : ถ้าใจเราอยากทำกสิณนี่ทำได้มั้ยคะ ?

    ตอบ : ได้ทุกคน ถ้าใจรักอยากจะทำอดีตเคยทำมาแล้ว ทีนี้เราเอากสิณ ๑๐ กองนี่เอาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อมา ตั้งใจจุดธูปบูชาหน้าพระรัตนตรัยต่อหน้าหิ้งพระของเรา กราบพระขอบารมีท่านสงเคราะห์ อธิษฐานว่ากสิณกองใดที่เราเคยทำได้แล้วในอดีตแล้ว ถ้าหากว่าทำในปัจจุบันนี้จะได้ผลเร็วที่สุดขอให้เราอ่านแล้วชอบกองนั้นมากที่สุดแล้วก็ไล่ไปเลย อาโลกสิณ อากาศกสิณ ปฐวีกสิณ เตโชกสิณ อาโปกสิณ วาโยกสิณ โลหิตกสิณ ปีตกสิณ นีลกสิณ โอทาตกสิน พอครบ ๑๐ กองเสร็จแล้วชอบอันไหนมากที่สุดก็หาอุปกรณ์มาแล้วก็ทำ

    คราวนี้การทำกสิณนี่มันสำคัญอยู่ตรงที่ย้ำคิดย้ำทำ ยิ่งกว่าพวกโรคจิตอีก ก็คือว่ามันลืมตามอง หลับตาลงนึกถึงมันจะนึกได้แป๊บหนึ่ง พอภาพหายก็ลืมตามองใหม่ พร้อมคำภาวนาอยู่ตลอด คราวนี้พอเลิกจากตรงนั้นไปห้ามลืมนะ ต้องนึกถึงภาพนั้นอยู่เรื่อย ๆ นึกไปพร้อมกับคำภาวนาอยู่เรื่อย ๆ แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งให้เขา อาจจะซัก ๓๐-๔๐% นึกถึงภาพนั้นพร้อมคำภาวนาตลอด ส่วนความรู้สึกอีก ๖๐-๗๐% ก็ทำหน้าที่การงานของเราไป

    ถาม : ต้องแบ่งอย่างไรคะ ?

    ตอบ : ตลอดเวลาจนกว่าภาพนั้นเราจะลืมตาก็เห็น หลับตาก็เห็น คราวนี้ก็คอยประคับประคองเอาไว้ให้ดี ถ้ามันหายไปรีบนึกขึ้นมาใหม่ หายไปรีบนึกขึ้นมาใหม่ไปเรื่อย ๆ สมาธิก็จะทรงตัว ตั้งมั่นขึ้นเรื่อย ๆ ภาพนั่นก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จากสีเดิมก็จะจางลง ๆ เป็นสีขาว จากสีขาวก็กลายเป็นขาวทึบ จากขาวทึบก็กลายเป็นขาวใส จนกระทั่งสว่างเจิดจ้าเหมือนกับเรามองดวงอาทิตย์

    คราวนี้ลองอธิษฐานดูให้หายไปก็ได้ ให้มาก็ได้ หรือจะให้ใหญ่ก็ได้ ให้เล็กก็ได้ คราวนี้อธิษฐานดูว่ามันจะมีผลตามนั้นมั้ย ? ถ้าเป็นอาโลกสิณ ก็สามารถทำที่มืดให้สว่างได้ สามารถเห็นนรกเห็นสวรรค์ได้ ถ้าเป็นโอทาตกสิณ ก็สามารถเปลี่ยนสีอื่นเป็นสีขาวได้ สามารถเห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ เป็นปีตกสิณ ก็สามารถเปลี่ยนสีอื่นเป็นสีเหลืองได้ สามารถทำของอื่นให้เป็นทองได้ โลหิตกสิณ ก็สามารถเปลี่ยนสีอื่นเป็นสีแดงได้ นีลกสิณ ก็สามารถที่จะเปลี่ยนสีอื่นเป็นสีเขียวเป็นสีดำได้ หายตัวได้เหล่านี้เป็นต้น

    พอทำได้เต็มที่แล้่วเราค่อยก้าวข้ามกองใหม่ก่อนจะจับกองใหม่ก็ซ้อมกองเดิมให้เต็มที่ก่อน มันปุ๊บเดียวเท่านั้นเองนะ ถ้ามันได้คล่องตัวแล้วมันปุ๊บเดียวไม่ถึงวินาที สองวินาทีก็เต็ม แล้วเราก็จับกองอื่นต่อ

    ถาม : แล้วคำภาวนาจำเป็นมั้ยคะ ?

    ตอบ : จำเป็นเพราะว่าคำภาวนาพร้อมกับลมหายใจเข้าออกสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีอานาปานี่
    กรรมฐานทุกกองได้ประมาณแค่อุปจารสมาธิเท่านั้นล่ะ ทรงฌานไม่ได้

    ถาม : ..............................

    ตอบ : ถ้ามันเต็มที่ของฌานมันก็จะได้ฌาน ๔

    ถาม : ความรู้สึกมันได้ขนาดไหน ?

    ตอบ : ถ้าภาพกสิณนั้นสว่างเจิดจ้าเหมือนกับเรามองกระจกสะท้อนแสดงอาทิตย์นั่นคือฌาน ๔ แล้ว ส่วนเรื่อง ๓ ฐาน ๗ ฐานอะไรนั่นไม่ต้องไปคิดถึง เพราะว่าถึงเวลาบางทีคำภาวนามันหายไปเฉย ๆ เราก็แค่กำหนดรู้ตามภาพมันเท่านั้นว่า ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้ ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้

    ถาม : จำเป็นต้องทำอานาปาด้วยเหรอคะ ?

    ตอบ : จำเป็นต้องใช้เลย กรรมฐานทุกกองอีก ๓๙ กอง ถ้าไม่ได้อานาปานสติควบด้วยอย่างเก่งก็ได้แค่อุปจารสมาธิ ชอบทำกสิณก็ดีเพราะว่ากสิณเป็นพื้นฐานของฤทธิ์ พอได้กสิณคล่องแล้ว ต่อไปเป็นสมาบัติ ๘ สมาบัติ ๘ นี่เรายกกสิณขึ้นมากองหนึ่ง แล้วเพิกภาพกสิณเสีย ทำอรูปฌานให้เกิด


    ถาม : ทำมาตอนนี้ตัวมันโยกไปมาแล้วสงสัยว่าทำไมมันถึงติดอยู่แบบนี้ ?

    ตอบ : ต่อไปลืมมันไปเลย ไม่ต้องไปสนใจมัน ตามรู้มันอย่างเดียว มันโยกก็ให้มันโยก จะเป็นจะตายหัวโขกพื้นอีท่าไหนหกคะเมนตีลังกาก็ช่าง อาตมาเองเฉพาะโยกนี่เดือนกว่า แต่ว่าน้ำตาไหลนี่เช้ายันเย็นเช็ดหน้าจนแสบไปหมด เพราะมันดันผ่าไปไหลที่สายลมพอดี ผู้ชายตัวเท่าควายนั่งร้องไห้ตรงหน้าพระ จะกลั้นมันไว้พอคิดจะกลั้นมันหยุดเลยนะ แต่หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ได้นะลูกต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย เพราะถ้าไปกลั้นมันเอาไว้พออารมณ์ใจมันถึงทีตรงนี้ น้ำตามันจะไหลอีกก็เลยปล่อยมันเต็มที่ก็เช็ดไปเรื่อย คนโน้นมาก็ทิชชุ คนนี้มาก็ทิชชุ เช็ดไปเช็ดมาหน้าแสบหมด กว่าจะเลิกก็ ๕-๖ โมงเย็นโน่น

    ตอนนั้นหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องพระนางเรือล่ม เสร็จแล้วมันเห็นภาพพอดี เพราะตอนที่เรือพระประเทียบล่มลงน่ะ ท่านว่ายน้ำออกมาแล้วหันกลับไปเห็นลูกไม่ได้มาร้องคำเดียวว่าลูก แล้วว่ายกลับมาไปควานไปหาอีท่าไหนไม่รู้ จมลงไปด้วย มันก็เลยน้ำตาไหลโจ๊ก เห็นชัด ๆ ว่าความรักของแม่ขนาดไหน ตัวเองตายก็ไม่ว่า ตั้งใจกลับไปเพื่อช่วยลูกอย่างเดียว เลยนั่งร้องไห้ น้ำตาไหลจ๊อก

    ตอนนั้นปีติมันเกิดขึ้นพอดี มันจ้องจังหวะมานานแล้วล่ะ มันจะเล่นจังหวะไหน มันเล่นจังหวะนั้นพอดี แหม...มันเล่นไหลได้ไหลดี พอเลิกร้องไห้หิวน้ำเป็นบ้าเลย (หัวเราะ) ตั้งใจจะกลั้นล่ะ ทีนี้หลวงพ่อท่านบอกให้ปล่ยอ เราเชื่อพ่อซะจนชินปล่อยก็ปล่อยก็ฟาดมันซะเต็มที่ไปเลย

    แต่ตอนผรณาปีตินี่มันบวม มันลอย ปีตินี่มันลอยมันร่วง มันระเบิด นี่มันเป็นบ้าเลย ที่บางคนบอกว่าฌานระเบิดมันไม่ใช่หรอก ตัวมันพองขึ้นใหญ่ขึ้น จนรับไม่ไหวระเบิดกลายเป็นจุลไปอย่างนั้นล่ะ หรือบางทีตัวมันก็รั่วเป็นรู มีอะไรไหลซู่ซ่าจากข้างในเต็มไปหมด ไม่รู้อะไรต่อมิอะไรมันไหลเต็มไปหมด ถ้ามันชินซะอย่างอันอื่น ๆ ก็ไม่ต้องไปกลัวมันแล้ว

    ถาม : ......................

    ตอบ : เหตุผลนั่นสำคัญที่สุด หลวงพ่อท่านลาพุทธภูมิเพราะว่า ตอนช่วงนั้นท่านทำหน้าที่เป็นปลัดเหมือนกับเลขานุการส่วนตัวของสมเด็จพระพุฒาจารย์วัดอนงคาราม ตอนนั้นมันเกิดเหตุว่าเจ้าคณะจังหวัดท่านหนึ่งเบียดเบียนพระในจังหวัด วัดไหนมีพระเก่าวัตถุโบราณไปยึดของเขามา ถ้าเขาไม่ไให้ก็จับเจ้าอาวาสสึกซะบ้าง ถอดซะบ้าง

    พอท่านทราบเรื่องท่านก็รายงานไปตามระดับชั้นของทางคณะสงฆ์ พอเรื่องขึ้นไปถึงข้างบนก็เงียบ รายนั้นแทนที่จะโดนถอดหรือว่าโดนลงโทษรายงานทีไรมันได้ตำแหน่งเพิ่มขึ้นทุกที ๆ หลวงพ่อท่านสืบไปสืบมาจนในที่สุดก็เจอว่า ตัวเป้งเลยเป็นตัวหนุน ท่านก็เลยเกิดสลดใจขึ้นมา โดยวิสัยของพุทธภูมิถ้าเพื่อความสุขส่วนรวม แม้กระทั่งลงนรกก็ยอมทำ ท่านบอกว่า่ถ้าหากว่าท่านไม่ลาพุทธภูมิเพื่อเป็นพระอริยเจ้าด้วยกำลังใจแบบนั้นเดี๋ยวท่านต้องฆ่ามันแน่ นี่แหละสาเหตุใหญ่ที่สุด

    ถาม : ผมจำได้ว่า ถ้าใครฆ่ากันแล้วก็ต้องฆ่ากันทุก ๆ ชาติ ในเมื่อหลวงพ่อปรารถนาพุทธภูมิแล้ว คนที่ปรารถนาพุทธภูมินี่นรกปิดประตูแล้ว ทำไม .....(ไม่ชัด).....?

    ตอบ : ไม่ใช่ พุทธภูมินี่ต่อให้ปฏิบัติขนาดไหนก็ตามอารมณ์จะไม่ตัดเป็นพระอริยเจ้าเป็นได้แค่เทียบเท่าเท่านั้น คือทำได้เหมือนแต่มันไม่ใช่ ทีนี้เนื่องจากว่าของท่านทำมาด้วยการบำเพ็ญบารมีด้วยการสละตัวเองเพื่อความสุขส่วนรวมอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นถ้ามันมีอะไรบางอย่างจำเป็นต้องละเมิดศีลเพื่อความสุขส่วนรวม พุทธภูมิเขายอมไม่ใช่ว่าพุทธภูมิไม่ลงนรก พุทธภูมิเขาไม่กลัวนรก เต็มใจลง

    ถาม : .................................

    ตอบ : อันนั้นเขาพุทธภูมิแท้เลย เขาเสี่ยงต้องใช้ว่าเอาดอกบัวอ่อนเลยนะ เสี่ยงอธิษฐานเลยว่า ถ้าหากว่าความปรารถนาในพระโพธิญาณเขาจะสำเร็จจริงก็ขอให้ดอกบัวนี้บาน แล้วของท่านบานจริง ๆ ดอกบัวตูม ๆ เพิ่งจะเก็บไม่่น่าจะบานได้ เลยตั้งใจเผาตัวเองเป็นพุทธบูชา ชาวบ้านผ่านไปผ่านมาทราบเจตนาก็ช่วยกันเผาคือขอบุญด้วย คนผ่านไปผ่านมาถอดเสื้อผ้าบ้างมีข้าวมีของอะไรก็โยนไปเผาร่วมกัน กำลังใจระดับนั้นหายาก ถ้าหากว่าไม่ใช่ทรงสมา่บัติจริง ๆ เขาเผาขนาดนั้นก็ดิ้นพราดเท่านั้น แต่ว่าท่านนั่งขัดสมาธิ
    นั่งสมาธิให้เขาเผาอีกองค์หนึ่งก็พระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อสร้างพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นพุทธบูชาแล้ว ยังไม่เต็มกำลังใจท่านเอาตัวเองเป็นไส้เทียน ใช้ผ้าสำลีพันตัวเองแล้วชุบน้ำมันตั้งใจว่าเราจะจุดไฟนี้เพื่อเป็นพุทธบูชา แล้วก็ให้คนจุดไฟ ตัวเองตั้งสมาธิเพ่งมองเจดีย์ ตั้งใจว่าสิ่งที่เราทำนี่ตั้งใจจะถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ไฟไหม้อยู่ ๗ วันกว่าเชื้อจะหมดแต่ไม่เป็นอะไร เพราะว่ากำลังใจที่เกาะพุทธานุภาพก็เลยรักษาได้

    มีเหมือนกันจะลองมั้ย จะช่วยเผารายนี้เขาพวกพุทธภูมิเหมือนกัน เขาไม่ยอมลา อาตมาเบี้ยวทิ้งเขากลางอากาศ (หัวเราะ) พุทธภูมินี่เขาถือว่าเป็นเพื่อนกันหมด เพราะว่าความปรารถนาอย่างเดียวกันเดินตามรอยกัน

    สมัยครั้งแรกที่เจอหลวงปู่เจ้าคุณพระราชกวีวัดโสมนัส หลวงปู่อ่ำ ครั้งแรกเลยเคาะประตูกุฏิ ท่านโผล่ออกมาถึงท่านถาม เป็นยังไงเพื่อนจำกันได้มั้ย ? นั่นพระโพธิสัตว์จะถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนกันหมดก็เลยกราบเรียนท่านไปว่า ผมจำหลวงปู่ไม่ได้หรอกครับ แต่ว่าหลวงปู่ต้องจำผมได้แน่เลย (หัวเราะ) เอาเปรียบคนแก่ หลวงปู่อ่ำ ตอนแรกท่านก็ไม่ทราบว่าท่านปรารถนาโพธิญาณ นั่นก็นิยตโพธิสัตว์ เพราะท่านเป็นช้างปาลิไลยกะ ตรัสรู้เป็นองค์สุดท้ายของภัทรกัปป์ ทีนี้ท่านก็บอกว่ารู้แต่ว่าตอนเรียนบาลีไปถึงตอนที่ช้างปาลิไลยกะออกมาส่งพระพุทธเจ้า ๆ ตรัสว่า ปาลิไลยกะ ตรงนี้เป็นเขตแดนของมนุษย์แล้วเธออย่าตามตถาคตไปเลย อันตรายจะเกิดขึ้นกับเธอ ขอให้กลับไปเถอะ ช้างปาลิไลยกะเสียใจจนอกแตกตาย

    สมัยนี้คงประเภทหัวใจสลายท่านบอกว่าอ่านมาถึงตรงนี้ทีไรร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลทุกทีเลย ไม่รู้ว่าทำไมต้องร้อง ทีนี้เวลาที่มันจะรู้มันก็รู้เอาง่าย ๆ ตอนเย็นกำลังนั่งอยู่บนม้าหินอ่อนสบาย ๆ มองตะวันตกดินอยู่ มองเพลิน ๆ ท่านบอกอยู่ ๆ มันมีอีกตัวหนึ่งมันหลุดเดินดุ่ย ๆ ขึ้นฟ้าไปเลยคือ จิตท่านเป็นสมาธิโดยไม่รู้ตัวเพราะมองดูตะวันอยู่ กายในมันก็เลยออกไปเลย

    พอขึ้นไปข้างบนก็เห็นดอกบัวดอกหนึ่งมโหฬาร ก้านบัวใหญ่กว่าเสาอีก ท่านว่าอย่างนั้น อยู่สูงลิบเลยเห็นว่ามีสารพัดสีแล้วดอกบัวก็ลดลงมา ๆ เห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ข้างบนนั้น ถามว่าจำได้มั้ย ? ท่านก็บอกว่า จำไม่ได้เป็นใคร ท่านก็บอกว่าท่านคือพระศรีอาริยเมตตรัย เสร็จแล้วก็เล่าให้หลวงปู่ฟังว่าเคยตั้งความหวังว่าสมัยนั้นอย่างนั้น ๆ



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=445 background=images/topbarback.gif>
    <TABLE height=38 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width="100%">






    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    </TD><TD width=25>

    </TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2006
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : จะทำนามบัตรมั้ยคะ ?

    ตอบ : ไม่ต้องไปแจกใคร ใครอยากรู้ให้เขาขวนขวายมาเอง กลัวดังปรากฏว่ามันจับยัดจนดัง หลบ ๆ ซ่อน ๆ ตัวเองมาหลายปี อันนั้นก็ไม่รู้ว่าใครเขาทำให้ ขณะเดียวกันก็ทดสอบกำลังใจของเราด้วย
    ในเมื่อโดนส่งขึ้นไปในจุดนั้นมันเป็นเรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ สุขโดยตรงแล้วขณะเดียวกันฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็อาจมีนินทาพาให้ทุกข์ เพราะโลกธรรมต่าง ๆ ในจิตใจของคนเรามันยังฟูยังฟุบอยู่หรือเปล่า ?
    ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข จิตใจมันยังฟูอยู่หรือเปล่า เสื่อมลาภ เสื่อมยศ โดนนินทาได้ทุกข์ จิตใจของเรามันฟุบลงหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าจิตใจของเรามันมั่นคงไม่หวั่นไหวไปตามโลกธรรมได้ก็ถือว่าสามารถรักษาตัวรอดได้

    แต่ถ้าหากว่าโดนส่งขึ้นไปถึงจุดนั้นแล้วยังหวั่นไหวยังคล้อยตามไปอะไรไปเดี๋ยวเดียวมันก็เจ๊ง มันดีเหมือนกัน มันเหมือนอย่างกับทอง ถ้าทองแท้เผาเท่าไหร่มันก็ยังเป็นทอง ถ้าทองปลอมเผามันเข้าไปเนื้อในมันก็โผล่เป็นเหล็ก ฉะนั้นค่อย ๆ พิสูจน์กันไป เราต้องรู้ตัวเราต้องพิจารณาตัวเราเองว่ากำลังใจของเราเป็นอย่างไร เพราะเรารู้อยู่ว่าเราไม่ดีเท่าที่เขาว่ามา

    ในเมื่อมันไม่ดีเท่าที่เขาว่ามามีอย่างเดียวก็คือต้องพยายามที่จะเร่งรัดตัวเองให้มันดีได้อย่างนั้น หรือไม่ก็ต้องพยายามระวังตัวเองไม่ให้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มันมาครอบงำเราได้

    เรื่องของมาร กิเลสมารเขามีความสามารถสูงมาก เขารู้ว่าปุถุชนทั่ว ๆ ไปต้องการลาภ ยศ สรรเสริญสุขใช่มั้ย ? ยินดีในลาภ อยากเด่น อยากดัง อยากมีบริวารมาก ๆ มีคนรู้จักเยอะ ๆ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันดีทั้งนั้น

    ญาติโยมจำเอาไว้ ทุกอย่างที่้เกิดขึ้นกับเรามีส่วนดีทั้งนั้น ถ้าหากว่าเราสามารถผ่านพ้นไปได้เราได้กำไร ถ้าเราผ่านพ้นไม่ได้ลักษณะเหมือนกับสอบตก เราได้บทเรียน ตกลงว่าเราได้ทั้งขึ้นทั้งล่องไม่มีอะไรเสีย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรามีประโยชน์ทั้งนั้น เราต้องหาประโยชน์จากมันให้ได้ไม่ว่าพระหรือฆราวาสก็ตาม

    ถาม : ไปฝังเข็มดีมั้ย ?

    ตอบ : ตอนนี้การรักษาอะไรทุกอย่างที่ว่าดี โยมเขาจัดการให้หมด โรคบางอย่างมันเป็นโรคเวรโรคกรรม ขนาดเครื่องมือดี ๆ ก็ตรวจไม่เจอ อาตมาก็เป็ฺนแค่ที่เห็นนี่จริง ๆ มันอย่างที่เห็นของโยมมันนิดเดียว

    ปรากฏว่าตั้งแต่เป็นมาครึ่งค่อนเดือนนี่ไม่เคยกินยาเยอะอย่างนี้มาก่อนเลย แต่มันไม่หาย บางทีไปให้หมอตรวจนี่ สุขภาพดีกว่าคนดี ๆ ทั่ว ๆ ไป แต่จริง ๆ ตอนนั้นกำลังแย่ที่สุด หมอเขาก็เห็นอยู่คือ จับตัวเรานี่ตัวเราร้อนฉ่าเลย แต่วัดปรอทมันแล้วมันต่ำกว่าคนปกติ ความดันขึ้นหน้าแดงเหมือนกวนอูเลย ปรากฏว่ามันแค่ ๑๑๐/๗๐, ๑๑๐/๘๐ ทั้ง ๆ ที่ปกติของเรามัน ๑๒๐,๑๓๐ มันขึ้นมากกว่านั้นซะอีกแต่วัดแล้วมันน้อย

    เพราะฉะนั้นบางอย่างกรรมมันบัง หลวงปู่ธรรมชัย ท่านเคยบอกไว้ว่า โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย โรคบางอย่างต้องรักษาถึงจะหายถ้าไม่รักษาแล้วจะตาย แต่ว่าโรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย เพราะมันฝืนกฎของกรรมไม่ได้

    อาตมาเองไม่ใช่ไม่รักตัวเองนะ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ยืมโลกเขามาใช้ก็จริง แต่ว่ามารยาทของการยืมก็คือ ต้องดูแลรักษาของเขาให้ดีที่สุด แต่นี่พยายามแล้ว เป็นเด็กดีมากเลย กำลังภายในให้เขาจัดการหมดแล้วหมอเหนื่อย....หมอเขาปล้ำซะเหงื่อหยดติ๋งจะร้องซะแอ๊ะก็ไม่มี เห็นเขาบอกว่าถูกจุดมันจะเจ็บมากเลย เราก็รู้สึกว่าทนได้ก็เฉย ๆ ทำไปทำมาหมอเขาหมดอารมณ์ (หัวเราะ) หมอรักษาแล้วคนไข้นอนเงียบฉี่ยังกับตายเขาไม่รู้จะทำยังไงได้ บางทีเขากดจุดตรงนั้นแทงตรงนี้แล้วเขาบอกว่า ถ้ามันมีโรคอยู่ตรงบริเวณนั้นมันจะเจ็บ เราก็รู้สึกว่ามันหน่อยหนึ่ง ทนได้ก็เลยเฉย ๆ ตรงโน้นก็หน่อยหนึ่งทนได้ ตรงนี้ก็หน่อยหนึ่งทนได้ หมอเขาสรุปเรียบร้อยเลยว่าไม่มีโรค ทั้ง ๆ ที่เราเป็นปะแหง็บ ๆ จะตาย มันก็เลยอาจจะเกิดมาปากหนักร้องไม่ค่อยจะเป็น

    น้องชายไปโดนหน่อยเดียวร้องเอ็ดตะโรลั่นบ้าน (หัวเราะ) ประเภทนั้นหมอเขาชอบรักษามันดี เห็นคนไข้ร้องแล้วรู้สึกมันสะใจ ของเรามันร้องไม่เป็น พระเขาบอกว่า อาจารย์ไม่มีฟอร์ม ไอ้คนไม่มีฟอร์มมันเลยร้องไม่เป็น มันกลัวเสียฟอร์มมันไม่มีให้เสีย ส่วนเขาเองเขามีฟอร์มขายเป็นสวนเลย เสียเท่าไหร่ก็ได้เขาไม่กลัวเลยแหกปากลั่น

    เทศน์ที่วัดท่าขนุน

    เนื่องในวันมาฆาบูชาซึ่งเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของพระพุทธศาสนาเป็นวันที่ประกอบไปด้วยจาตุรงคสันนิบาตคือ มีสิ่งอัศจรรย์ ๔ อย่างมาพร้อมเพียงกัน วันนั้นคือต้องประกอบด้วย
    ๑. มีพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
    ๒. ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นพระขีนาสวะผู้หมดกิเลสแล้วทั้งสิ้น
    ๓. ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าของเราประทานการบวชให้โดยพระองค์เองและ
    ๔. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้นได้ประทานโอวาทสำคัญในพระพุทธศาสนาเรียกว่า โอวาทปาติโมกข์
    เนื่องจากว่าในสมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราออกประกาศพระศาสนาใหม่ ๆ นั้น พระพุทธศาสนาของเรายังไม่ได้ประกาศหลักการต่าง ๆ เกี่ยวกับคำสอนให้เป็นหมวดเป็นหมู่ ดังนั้นเนื่องในวาระอันสำคัญคือวันมาฆบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่ามีพระอริยสาวกทั้งหลายมาประชุมรวมกันถึง ๑,๒๕๐ รูป จึงได้ประกาศหัวใจของพระศาสนาว่า เมื่อเธอทั้งหลายออกไปประกาศพระศาสนานั้นคำสอนทั้งหลายทั้งปวง ให้เธอกล่าวคำสอนไปในทางเดียวกันว่า

    ๑. สัพพะ ปาปัสสะ อะกะระณัง คือแนะนำญาติโยมทั้งหลายให้ละเสียซึ่งความชั่วทั้งปวง
    ๒. กุสะลัะสสูปะสัมปะทา ให้แนะนำคนทั้งหลายเหล่านั้นทำแต่ความดีจนถึงพร้อม
    ๓. สะจิตตะปะริโยทะปะนัง แนะนำพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นทำกำลังใจของตนให้ผ่องใสอยู่เสมอ

    เอตังพุทธานะสาสะนัง พระองค์ท่านยืนยันว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ล้วนแล้วแต่ตรัสสอนอย่างนี้ สืบ ๆ กันมา ซึ่งหลักการเหล่านี้แล้วความจริงแล้วเป็นหลักที่ประกาศเพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้กล่าวคำสั่งสอนเป็นไปในแนวทางเดียวกันจะได้ไม่ขัดกันในภายภาคหน้า

    แล้วพระองค์ยังตรัสต่อไปว่า ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา ความอดทนนั้นเป็นตะบะ คือ เครื่องปฏิบัติอย่างยิ่ง หมายความว่า การดำเนินชีวิตอยู่ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือว่าจะเป็นฆราวาส ญาติโยมก็ตามทั้งหลายทั้งปวงย่้อมต้องกระทบกับอารมณ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ ให้ใช้ขันติคือ ความอดทน อดกลั้นให้มากเข้าไว้ อดทนต่อกิเลส ตัณหา อุปปาทาน และอกุศลกรรมต่าง ๆ ที่จะเข้ามายั่วยุให้เรากระทำในสิ่งที่ไม่ดี ให้พยายามอดกลั้นตั้งใจบำเพ็ญตนอยู่ใน ทาน ศีล ภาวนา ประกอบกิจกระทำความดีอยู่เสมอ

    นิพพานังปรมัง วะทันติพุทธา พระองค์ตรัสว่า พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ล้วนสอนพระนิพพานเป็นที่สุดทั้งสิ้น อันว่าสถานที่ ๆ พวกเราปรารถนานั้น จำเป็นจะต้องเป็นสุคติ คือมีที่ไปอันดีแล้วซึ่งจะประกอบไปด้วย เทวดา พรหม และพระนิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยันถึงพระนิพพานเป็นที่สุด

    ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา นะหิ ปัพพะชิโต ปะรูปะ ฆาตี ทรงกล่าวเอาไว้ว่า ถ้าฆ่าผู้อื่นไม่ขึ้นชื่อว่า บรรพชิต หมายความว่าเมื่อคนเราตั้งใจปฏิบัติความดีแล้ว พระองค์ท่านเรียกว่า บรรพชิต คือผู้ชนะมาตั้งแต่ต้นหมายถึงว่า ได้ชนะใจของตนโดยเฉพาะฆราวาสญาติโยมที่ตั้งใจถือศีลปฏิบัติธรรมและที่สุดคือ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาท่านทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อตั้งใจงดเว้นในศีลทั้งหลายแล้ว ถ้าหากว่าพบกับมดแดง แมลงน้อยหรือว่าพวกสัตว์ต่าง ๆ ก็ตามเกิดไปทำร้ายหรือไปฆ่าเข้าท่านกล่าวเอาไว้ว่า นะหิ ปัพพะิโต ปะรูปะ ฆาตี คือถ้าหากยังฆ่าผู้อื่น ไม่ได้ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่สามารถที่จะเรียกได้ว่า ท่านเหล่านั้นประพฤติปฏิบัติอยู่ในความดี

    สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะ ยันโต ถ้ายังเบียดเบียนผู้อื่นก็ไม่ชื่อว่า สมณะ การเบียดเบียนก็คือ การที่เราเบียดเบียนผู้อื่นด้วยกายคือ การกระทำด้วยร่างกาย ด้วยวาจาคือ คำพูด ด้วยใจคือ ความคิด ถ้าหากว่าความคิดของเราก็ดี คำพูดของเราก็ดี การกระทำทางกายของเราก็ดี ถ้ายังเบียดเบียนคนอื่นเขาอยู่ ยังเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเขาอยู่ไม่เรียกว่า สมณะ คือผู้ที่พ้นจากบาปแล้ว เรายังคงต้องเกลือกกลั้วกับบาปนั้นต่อไป

    พระองค์ยังทรงตรัสต่อไปว่า อนูปะวาโท เราต้องเป็นผู้ไม่ว่าร้ายใคร หมายความว่าเมื่อตัวของท่านตั้งใจเป็นผู้ถือศีล ปฏิบัติธรรมแล้วก็ให้เป็นผู้ที่มีกาย วาจา ใจอันสงบ ไม่ว่าจะกระทบกระั่ทั่งด้วยเหตุประการใดก็ตาม ให้พยายามอดทน อดกลั้น อย่าได้ว่าร้าย อย่าได้กล่าวร้าย อย่าได้เสียดสีผู้อื่น

    อะนูปะฆาโต ไม่ให้ทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ จะเล็กจะใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เขาก็ชีวิตหนึ่ง เราก็ชีวิตหนึ่ง ถ้าหากว่าเราเกรงว่าเขาจะฆ่าเรา เราก็ไม่ควรจะฆ่าเขา ไม่ควรจะทำร้ายเขา

    ปาติโมกเข จะ สังวะโร ท่านกล่าวว่าให้สำรวมในศีลของตน ๆ เอาไว้ เป็นฆราวาสก็ให้สำรวมอยู่ในศีล ๕ ศีล ๘ เป็นพระเป็นเณรก็ให้สำรวมอยู่ในศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ถ้าหากว่าเราอยู่สงบในศีลของตน ๆ กาย วาจา ใจ ก็เ้รียบร้อยไม่เป็นทุกข์เป็นโทษกับผู้อื่น

    มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสสะมิง ให้หาอาหารมาเพื่อพอเป็นเครื่องยังชีพเท่านั้น ไม่ใช่กินเอาอ้วน กินเอาสวย กินเอาร่างกายแข็งแรง กินเพื่อให้มันคึกคะนอง ท่านเหล่านั้นไม่ใช่นักปฏิบัติที่ดี

    ปัญตัญจะสะยะนาสะนัง พระองค์ตรัสว่าให้อยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด ไม่เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่ชน อันนี้เหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ ๆ ถ้าหากว่าพบกับแรงกระทบกระทั่งรอบข้างมาก ๆ ไม่อาจจะดำรงอยู่ในการปฏิบัติของตนได้ ก็ให้หลีกเลี่ยงจากหมู่เสียไปอยู่ในที่สงัด แต่ถ้าหากว่าบุคคลนั้น ๆ ได้รับการฝึกมาดีแล้ว อยู่ในที่ไหนก็ตาม ก็เป็นผู้สงัดด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ถ้าหากอยู่ในลักษณะนั้นแล้ว ท่านจะอยู่ที่ไหนก็เป็นที่สงบสงัดของท่านนั่นเอง

    อะธิจิตเต จะ อาโยโค ให้พยายามรักษากำลังใจของตนให้ตั้งมั่นคือ ให้ทรงสมาธิอยู่เสมอ การที่จิตของเราประกอบด้วยสมาธิ ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใด ไม่ว่าจะประกอบกิจการงานใด ๆ ก็ตาม ก็จะอยู่อย่างสงบก็จะเป็นผู้มีปัญญา ก็จะมีจิตอันมุ่งมั่น ประกอบกิจการงานนั้นให้ลุล่วงไปด้วยดี

    เอตังพุทธานะสาสะนัง พระองค์ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์สอนดังนี้ ดังนั้นจึงขอทบทวนให้แก่ทุกท่านได้รับฟังกันไว้อีกว่า ถ้าหากว่าท่านนำคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมสพุทธเจ้าไปสอนผู้อื่น พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง สอนให้เขาละเว้นจากความชั่วทั้งปวง กุสะลัสสปะสัมปะทา สอนให้เขาทำความดีในทาน ศีล ภาวนาทุกอย่างให้ถึงพร้อม สะจิตตะปะริโยทะปะนัง สอนให้เขาทำกำลังใจของตนให้ตั้งมั่นผ่องใสอยู่เสมอ แล้วหลังจากนั้นก็ตรัสในสิ่งที่เหมาะสมแก่ทุกผู้คนที่เป็นนักปฏิบัติว่า ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา ความอดทนเป็นสิ่งที่สมควรปฏิบัติยึดมั่นอย่างยิ่ง นิพพานังปะระมังวะทันติพุทธา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนถึงพระนิพพานเป็นที่สุดทั้งสิ้น

    นะหิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี ถ้าหากยังฆ่าผู้อื่นอยู่ไม่ถือว่าเป็นบรรพชิต สะมะโณ โหติ ปะรังวิเหฐะ ยันโต ผู้ที่เบียดเบียนคนอื่น ยังไม่ชื่อว่าสมณะ อะนูปะวาโท ต้องไม่ว่าร้ายใคร อะนูปะฆาโต ต้องไม่ทำร้ายใคร ปาติโมกเข จะ สังวะโร ให้เป็นที่ส่วนรวมในศีลของตนเอาไว้ มัตตัญุตา จะ ภัตตัสสะมิง รับประทานอาหารแต่พอสมควรกับธาตุขันธ์ของตน ปัญตัญจะ สะยะนาสะนัง ให้อยู่อาศัยในที่อันสงัดเท่านั้น อะธิจิตเต จะ อาโยโค ทำกำลังใจของตนให้ตั้งมั่นทรงสมาธิอยู่เสมอ เหล่านี้คือสิ่งที่พระองค์ท่านตรัสในวันมาฆะบูชา

    ดังนั้นว่าวันมาฆะบูชา ส่วนที่สำคัญทีสุดคือส่วนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้แสดงโอวาทปาติโมกข์ไปและบัดนี้ได้ล่วงเลยมาแล้ว ๒,๐๐๐ กว่าปีนี้ญาติโยมทั้งหลายก็พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันมาฆะบูชา ซึ่งในปีนี้เป็นปีอธิกะสุรทิน คือ ปีที่มี ๘ สองหน คือ เดือน ๘ ปรากฏมีทั้ง ๘ หน้าและ ๘ หลัง

    ถ้าปีไหนเป็นอธิกมาส เดือน ๗ ก็จะมีแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๗ ด้วย แต่ว่าปีนี้เป็นปกติมาสอธิกสุรทินนั้นก็จะมีเดือน ๘ สองหน ทำให้วันมาฆะบูชาซึ่งปกติจะตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓ แต่ปีนี้จำต้องเลื่ือนมาเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔

    เมื่อญาติโยมทั้งหลายพร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลนั้น หลักการบำเพ็ญกุศล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเราว่า การจะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ให้เราควบคุมกาย วาจา ใจ ของเราให้เรียบร้อยและสำคัญที่สุด อย่าให้เดือดร้อนแก่ตนเองและคนรอบข้าง ถ้าหากท่านทั้งหลายเป็นผู้ตั้งใจให้ทานก็ขอให้มีเจตนาอันบริสุทธิ์ คือ ตั้งใจมาให้ทานเพราะต้องการจะสละตัดออกซึ่งความโลภในจิตในใจจริง ๆ ไม่ใช่ให้ท่านเพื่อจะให้คนอื่นเขาชมว่าเราเป็นคนดี ไม่ใช่ให้ทานเพราะต้องการจะมุ่งมั่น เอานั่นเอานี่ อันดับที่ ๒ วัตถุทานนั้นบริสุทธิ์ คือ หามาได้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม อันดับที่ ๓ ผู้ให้คือตัวเราเองขณะนี้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ อันดับสุดท้าย ปฏิคาหก คือผู้รับ ได้แก่พระภิกษุสามเณรนั้นให้มีศีลบริสุทธิ์

    ถ้าหากว่าเจตนาของเราบริสุทธิ์ วัตถุทานที่เราให้นั้นบริสุทธิ์ ผู้ให้ คือตัวเราขณะนั้นมีศีลบริสุทธิ์ ผู้รับคือพระภิกษุสามเณรขณะนั้นมีศีลบริสุทธิ์ อันนี้ผลทานที่เราให้นั้นจะเต็ม ๑๐๐%

    ถ้าหากญาติโยมทั้งหลายตั้งใจเป็นผู้รักษาศีลก็ขอให้งดเว้นด้วยตนเอง เมื่อตนเองงดเว้นได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้วก็อย่ายุยงให้คนอื่นเขาทำศีลขาด เป็นต้นว่า เราตั้งใจว่าเราจะเป็นผู้มีศีล วันนี้สัตว์เล็กสัตว์น้อยเท่าไหรเราจะไม่ฆ่าล่ะ เมื่อมดขึ้นบ้านเราก็พยายามวางเฉย แต่ว่าในเมื่อตัวเราไม่ฆ่าก็อาจจะบอกน้องบอกนุ่ง บอกลูกบอกหลานว่า ไปอายามาฉีดมันทีซิ ถ้าอย่างนี้ก็ได้ชื่อว่าศีลขาด ศีลด่าง ศีลทะลุ เพราะว่าเราเ็ป็นผู้ที่ยุยงให้คนอื่นทำ

    แต่เมื่อเราทราบว่าถ้าเราทำเองศีลขาด ยุยงให้คนอื่นทำก็ไม่ถูกต้อง เราก็พยายามอดกลั้นเอาไว้ อดทั้งกาย อดทั้งวาจาไม่พยายามที่จะไปคิดไปพูดถึง แต่พอเห็นลูกหลานญาติโยมของเราคว้ายาฉีดเข้าให้ เอ้อดี....มันน่าจะทำนานแล้ว ถ้าหากว่าอย่างนี้ก็ชื่อว่าศีลของท่านบกพร่องเช่นกัน

    ดังนั้นถ้าหากว่าท่านเป็นผู้รักษาศีลก็ขอให้รักษาด้วยตนเองให้ศีลนั้นบริสุทธิ์ ไม่บกพร่อง ขอให้ท่านทั้งหลายอย่าได้ยุยงให้คนอื่นเขาทำ เมื่อเห็นคนอื่นเขาทำเราก็ต้องไม่ยินดีด้วย ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายตั้งใจเจริญสมาธิภาวนา ก็ขอให้ท่านพยายามรักษาอารมณ์อยู่กับลมหายใจเข้าออกของตนเพื่อจิตจะได้ไม่ฟุ้งซ่านไปอารมณ์อื่น ๆ เมื่อรักษาอารมณ์ของตนให้ตั้งมั่นได้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือประคับประคองอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ให้ทรงตัวให้นานที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ เพื่อที่สภาพจิตของเราได้มั่นคง เยือกเย็น มีความสุข

    ไม่ใช่ว่าขณะนี้เราภาวนาพอเลิกจากทำสมาธิภาวนาเราก็หาเรื่องด่าคนอื่น ถ้าอย่างนี้ยังไม่ชื่อว่านักปฏิบัติภาวนาที่ดีจริง นักปฏิบัติภาวนาที่แท้จริง ต้องประคับประคองสมาธิให้ทรงตัวให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ พยายามอดออมถนอมกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในขอบเขตของศีล ไม่ว่าคนอื่นจะัชักจะชวนอย่างไรก็ตามเราไปกับเขาได้ทุกรูปแบบ แต่ไปแค่กรอบของศีลเท่านั้น ถ้าหากว่าล่วงกรอบของศีลไปแล้วเราไม่ไปด้วย ถ้าท่านทำได้ดังนี้ก็ชื่อว่าท่านปฏิบัติอยู่ในทาน ศีล ภาวนาถูกต้องตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราต้องการ

    อาตมาภาพรับหน้าที่วิสัชชนามาในธรรมคาถาเนื่องในวันมาฆะบูชาก็พอสมควรแก่เวลา ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมาภาพขอตั้งสัตยาธิฐานอ้างคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมะรัตนะ พระสังฆะรัตนะ เป็นประธาน ขอได้โปรดอภิบาลรักษาญาติโยมพุึทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกาตลอดจนภิกษุสามเณรทั้งหลายให้เป็นผู้ที่เจริญพร้อมทั้งในทางโลกและในทางธรรม เป็นผู้ที่มีความปรารถนาอันสมหวังทุก ๆ ประการ รับประทานวิสัชชนามาก็พอสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้....(สาธุ)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD align=right><TD width=15 background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=15 height=11></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนาเดือนมีนาคม ๒๕๔๕
    ถาม : ....................................

    ตอบ : มันมีคาถาอยู่บทหนึ่งแค่ ๔ คำเท่านั้นน่ะ คาถาบทนี้ถ้าภาวนาไป ภาวนาไปมันจะเห็นได้

    ถาม : เห็นผีได้เหรอคะ ?

    ตอบ : จ้ะ ....เพียงแต่ว่าเห็นแล้วมันจะประเภทกลัวจนสติแตกหรือเปล่าเท่านั้นเอง คาถาบทนี้เขาว่า
     
  4. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif>



    </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ในการขับรถน่ะค่ะ บางทีสุนัขวิ่งชนตัดหน้าโดยที่เราเบรกไม่อยู่ แล้วเราไม่ได้เจตนาที่จะขับรถชนเขาเลย ?

    ตอบ : จริง ๆ ถ้าหากว่าเจตนาไม่มี กรรมอันนั้นก็ไม่เรียกว่าเป็นกรรม แต่ว่ามันเป็นเพราะว่าในอดีตอาจจะเคยมีกรรมผูกพันกันมา ทำให้เขาจะต้องมาตายลงด้วยน้ำมือเราทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เจตนาเลยตัวกรรมที่ผูกพันกันมามันส่งผลให้เขาเป็นอย่างนั้น เราเองก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเลย เคยเจอหลายทีบางทีมันนอนตายข้างถนน อุทิศส่วนกุศลให้มัน ๆ ดันจะตามมา บอกเอ็งไม่่ต้องตามเลย อยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าหากว่าไปที่ดี ๆ ได้ก็ไปซะ

    ถาม : แล้วสุนัขที่เสียชีวิตเนี่ยนะคะ วิญญาณมันยังออกไปอยู่ในรูปสุนัขหรือว่าเปลี่ยนสภาพไป ?

    ตอบ : ส่วนใหญ่ก็คือคนดี ๆ นี่เอง เพราะว่ารูปสุนัขนี่เป็นแค่เปลือกนอกที่เห็น อทิสมานกายของจะคล้ายกันหมด ตามความดี ความชั่ว แต่ว่าสัตว์เดรัจฉานนี่ถ้าหากว่าตาย...กำลังใจเกาะคนจะเกิดเป็นคนกำลังใจเกาะพระจะเกิดเป็นเทวดา อย่างเก่งของเขาก็จะเกิดเป็นเดรัจฉานอย่างเดิม โอกาสที่จะลงอบายภูมิต่ำกว่านั้นมันน้อยมาก....เพราะฉะนั้นพวกนี้จะได้เปรียบเราเยอะ เกาะอะไรได้อันนั้นเลย

    ถาม : ทำไมจิตของพวกสุนัขถึงไม่ตกต่ำมากกว่าที่มนุษย์เราเป็นอยู่ ?

    ตอบ : เพราะว่าความหยาบของจิตของเขา ทำให้เขาต้องจำกัดอยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉาน ก็เป็นการลงโทษมามากพอแล้ว อีกอย่างหนึ่งโอกาสที่เขาจะทำผิดในลักษณะที่เรียกว่า ละเมิดสิ่งที่เป็นกรรมใหญ่เป็นอะไรมันน้อย โอกาสจะลงอบายภูมิก็ยาก แต่ว่ามีเหมือนกันนะ ประเภทอย่างที่ว่าโตไทยพราหมณ์ สมัยที่เป็นลูกสุนัขไปขวางทางพระพุทธฌจ้าป่านนี้ยังอยู่้อเวจีอยู่เลย

    ถาม : แค่ขวางทางนี่เหรอครับ ?

    ตอบ : ใช่...คือตั้งใจข้ับไล่พระพุทธเจ้าไม่ให้เข้ามาในเขตของตัวเอง เพราะกลัวว่าพระพุทธเจ้าสอนเอาสาวกของตัวเองไปหมด โตไทยพราหมณ์ท่านตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า...(หัวเราะ)

    ถาม : หมานี่คิดได้อย่างงี้เลยเหรอครับ ?

    ตอบ : ตอนเป็นคนก็คิดอย่างนั้น พอเป็นหมาจำได้ก็เอาแบบเดิม

    ถาม : โห..น่ากลัวมากเลยนะเจ้าคะ ?

    ตอบ : จ้ะ...เรื่องของกรรมมันน่ากลัวมาก แต่ว่าคนเราส่วนใหญ๋มองไม่เห็นต้น ไม่เห็นปลายก็เลยไม่กลัว

    ถาม : แล้วทำไมหมานี่ถึงมีลักษณะแบบว่า จงรักภักดีต่อเจ้านาย ?

    ตอบ : พวกนี้โดยธรมชาติของเขาว่า ใครเลี้่ยงเขาเขาจะดีด้วย

    ถาม : คือคล้าย ๆ ว่าคนที่มีจิตกตัญญูหรือเปล่าครับ มาเกิดเป็นหมา ?

    ตอบ : ลักษณะแบบเดียวกัน แต่ว่ามันเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งว่า ถ้าหากว่าเขาทำให้เจ้านายพอใจ ส่วนที่เขาได้ตอบแทนก็คือได้ที่กิน ได้ที่อยู่ เขาก็เลยจำเป็นต้องทำอย่างนั้น มันเป็นสัญชาตญาณของเขาอย่างหนึ่งที่จะเอาตัวรอดได้

    ถาม : มีคนเขาเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นน่ะเจ้าค่ะ มีญาติของเขาอยู่คนหนึ่งอยู่ดี ๆ ตอนสี่ทุ่มนี่ยังคุยกันแบบคนปกติ ทีนี้พอเริ่มห้าทุ่ม ห้าทุ่มนี่ศีรษะเขาเกิดอาการมึนงง แล้วก็อาการพูดจาเพ้อเจ้อพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย ทางบ้านบอกดูอาการแล้วไม่ไหว แล้วก็เลยพาส่งโรงพยาบาล พอพามาที่โรงพยาบาลหมอเช็คสมอง มีน้ำบวมอยู่ในสมอง แล้วหมอบอกว่า คนเนี้ยจะอยู่ได้ไม่ถึงเจ็ดวันน่ะค่ะ ทีนี้พอญาติของเขาพาไปหา ไม่ทราบว่าเขาไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กราบไหว้เนี่ยนะเจ้าคะ หลังจากนั้น ๓ วันสมองที่บวมอยู่ที่หมอบอกว่าคนนั้นจะเสียชีวิต มันยุบลงแล้วหมอก็ไล่บอกว่ากลับบ้านได้แล้ว ไม่ต้องอยู่ไม่เสียชีวิตแล้ว ทีนี้ไม่ทราบว่าพลังอะไรที่มันไปมีผลให้เป็นอย่างนั้นได้เจ้าคะ ?

    ตอบ : ของลักษณะนั้น มันอาจจะอยู่ในลักษณะที่ไปโดนไสยศาสตร์ที่ที่โบราณเขาเรียกว่าลมเพลมพัด ลักษณะของการโดนลมเพลมพัด มันก็จะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยพิลึกพิลั่นเกิดขึ้นกับร่างกาย หมอทั่ว ๆ ไป เขาตรวจเขาจะหาสาเหตุไม่ออก หรือว่าสาเหตุของเขาก็รักษาไม่ได้ คราวนี้พอไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือหลวงปู่หลวงพ่อที่ท่านมีความสามารถก็ดี ของพวกนี้มันไม่สามารถต้านอำนาจได้ มันสลายตัวไปก็เท่ากับว่าหายเป็นปกติ

    ถาม : ได้ใช่ไหมเจ้าคะ พวกนี้เสื่อมลงไปได้ ?

    ตอบ : ได้จ้ะ ถ้าหากว่าเจอของที่มีอานุภาพสูงกว่าข่มเข้าก็ไม่เหลือ อย่างที่งานเป่ายันต์เกราะเพชรที่ผ่านมามีพวกที่โดนของไปก็หายไปหลายคน

    ถาม : ที่ไปที่วัดถ้ำอาชาทองน่ะครับ หลวงพ่อครูบาท่านบอกว่าท่านโดนของแบบว่าโดนประจำเลยอย่างเนี้ย ท่านบอกว่าถ้าเกิดเวลาเผลอสติปุ๊บของนี่จะเข้าตัวทันที ทำไมถึงเข้าได้ล่ะครับ เพราะว่าท่านเป่ายันต์เกราะเพชรเหมือนกัน ?

    ตอบ : เรื่องของยันต์เกราะเพชร มันสำคัญตรงที่ว่าได้อาราธนาหรือเปล่า ? หลวงพ่อท่านถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่าตอนเช้าต้องภาวนาอิติปิโสฯ ให้อารมณ์ใจทรงตัวแล้วตั้งใจนึกถึงพระ กลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง จะคลุมได้ทั้งวัน

    ถาม : ในเรื่องการของการอโหสิกรรมน่ะเจ้าค่ะ เวลาเราอโหสิกรมแล้วมีการจุดธูปเทียน แล้วมีดอกไม้ธูปเทียนให้อโหสิกรรมกัน กับการอโหสิกรรมด้วยการพูดปากเปล่าเหมือนกันไหมเจ้าคะ แล้วอิทธิพลผลของการอโหสิกรมด้วยปากเปล่า ?
    ตอบ : คือถ้าหากว่าโจทย์กับจำเลยอยู่ต่อหน้ากัน แล้วต่างเอ่ยปากยอมความอโหสิกรรมกันมันจะมีผลทันทีเดี๋ยวนั้นเลย แต่พวกประเภทไปจุดธูปจุดเทียนขออโหสิกรรม ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมก็เท่านั้นล่ะจ้ะ แล้วถ้าถามว่ามันมีผลเหมือนกันไหม ไม่เหมือนหรอกเพราะเรื่องอโหสิกรรมนี่โจทก์จำเลยมันต้องมาอยู่ต่อหน้ากัน ต่างคนต่างออกปากยกโทษให้อีกฝ่ายหนึ่งก็จบเลย ประเภทที่ว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยเราไปจุดธูปจุดเีทียนขออโหสิกรรมอยู่ฝ่ายเดียวก็อาจจะไม่ได้อะไรเลย นอกจากเปลืองธูปเปลืองเทียนไป หรือว่าเราเองขออโหสิกรรมเรายอมอยู่ฝ่ายเดียว

    ถาม : แล้วเขาสามารถจองเวรเราข้ามภพข้ามชาติได้เลยใช่ไหมเจ้าคะ ?

    ตอบ : ได้จ้ะได้ เพราะว่าของพรรค์นี้ถ้าเขาไม่เลิกมันก็ตามไปเรื่อยแหละ
    ถาม : โห....อย่างนี้ก็ถ้าเกิดเราอโหสิกรรมฝ่ายเดียวเขาจองเรา เราก็เสียเปรียบสิเจ้าคะ ?

    ตอบ : ถ้าคิดอย่างนั้นก็อีกยาว (หัวเราะ) มันจะจองหรือไม่จองเรื่องของเขา ของเราเองถึงเวลาถึงวาระเราก็ตั้งใจอโหสิกรรมให้เขาเสีย เราถอนจิตของเราออกมาจากหล่มอันนั้นซะ มันก็เป็นอันว่าจบกันไป ส่วนเขาเองจะจองยังไงเรื่องของเขาเถอะ เราไม่ว่ากันอยู่แล้่ว

    ถาม : ถามต่อนะเจ้าคะ สงสัยเรื่องเวลาจะนำศพขึ้นเมรุเผาศพน่ะเจ้าค่ะ จะต้องมาเวียนศพทางด้านซ้าย การเวียนศพทางด้านซ้ายกับทางด้านขวาที่เวลาบวชพระ ต้องเวียนขวา เวียนซ้ายกับเวียนขวานี่มันต่างกันยังไงคะ ?

    ตอบ : นั่นมันเป็นการยึดถือของคน เขาถือว่าเวียนขวาเป็นมงคล เวียนซ้ายเป็นอวมงคล ในเมื่อเขายึดถือมาอย่างนั้นเขาก็ทำกันอย่างนั้น

    ถาม : มันมีผลอะไรที่จะต้องมาเวียนศพก่อนเผาไหมเจ้าคะ ?

    ตอบ : มีจ้ะ...เหนี่อยดีอย่างน้อย ๆ ได้วนตั้ง ๓ รอบ

    ถาม : นึกว่าจะให้ปลงอนิจจังก่อนที่จะเผา ?

    ตอบ : จริง ๆ ก็คือให้ตั้งใจอย่างนั้น รอบแรกก็คืออนิจจัง รอบสองคือทุกขัง รอบสามก็คืออนัตตา ให้เห็นความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ แต่คนส่วนใหญ่เดินก็สักแต่ว่าเดินตาม ๆ กันไป

    แล้วระยะหลังเห็นอะไรแปลก ๆ เยอะเลย ปกติจูงศพก็คือพระหรือเณรใช่ไหม ส่วนชาวบ้านน่ะเขาส่งศพ แต่สมัยนี้เห็นมันแย่งกันจูงอุตลุด เคยเห็นไหม ? เออ...นั่นแหละ คราวหน้าจำไว้นะจ๊ะเดินตามโลง เราไปส่งศพ จูงศพน่ะมันหน้าที่ของพระของเณรเขา สมัยนี้มันแย่งพระแย่งเณรทำกันเยอะเลย สบายดีเหมือนกันนะ

    ถาม : ตอนไปเวียนศพต่างจังหวัดเห็นเขาเกาะกันเป็นพรวนเลยเจ้าค่ะ อันนี้เขาทำไปทำไมเจ้าคะ แตะศพนะคะแตะโลงแล้วก็อีกคนหนึ่งก็ต่ออีกคนหนึ่งก็ต่อ ?

    ตอบ : อันนั้นน่าจะถามเขาดู เห็นเขาแล้วก็ถามเขาเลยก็หมดเรื่อง

    ถาม : ไม่เข้าใจว่าเขาทำไปเพื่ออะไรน่ะเจ้าคะ ?

    ตอบ : คงลักษณะเดียวกับประเภททำบุญแล้วก็จับส่งกันมั้งหือ... วันก่อนสามีภรรยาคู่หนึ่งถวายสังฆทาน สามีถวายข้างหน้า ภรรยาก็จับหลังสามี บอกเออ...ประเคนผัวแล้วห้ามเอาคืนนะ (หัวเราะ) ก็จับผัวส่งมาข้างหน้านี่หว่า (หัวเราะ) พระรับแล้วห้ามเอาคืนะ มันนั่งงงอยู่พักหนึ่ง ก็ลักษณะเดียวกันนั่นแหละ


    ถาม : เอ่อ....แล้วที่มีคนเขาบอกว่าถ้าไปเวียนเทียนกับศพเดี๋ยวจะต้องไปเจอคนตายอีก บางคนเขาบอกว่าฉันไม่อยากเจอ ฉันไม่เวียนด้วย เขาจะไม่เจอตามที่เขาต้องการไหมคะ ?

    ตอบ : โอย...ไม่จริงหรอกจ้ะ ตัวเองมันยังตายเลย นั่นมันเป็นแค่ความเชื่อที่เขายึดถือ ถ้าหากว่ามันถึงวาระ ถึงเวลาเสร็จทั้งนั้นแหละจ้ะ

    ถาม : ศักดิ์สิทธิ์จังเลยเจ้าค่ะ ? (พูดถึงพระองค์ที่ ๑๑)

    ตอบ : ศักดิ์สิทธิ์จังเลยเจ้าค่ะ ไม่ต้องชมหรอกจ้ะ เป็นปกติอยู่แล้ว (หัวเราะ) คนที่สามารถรับได้เขาก็รู้คนที่รับไม่ได้ก็มาชื่นชมเออ...สวยจังเลย

    เรื่องของพุทธาภิเษกนะ ให้มีเทวดาหรือพรหม หรือพระอรหันต์ซักองค์หนึ่งถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว แต่ว่าถ้าพระพุทธเจ้าท่านเสด็จเองก็ยิ่งมหาศาลกันเข้าไปใหญ๋

    สมัยก่อนส่วนใหญ่ใช้กำลังของตัวเอง ถึงเวลาก็อธิษฐานภาวนากัน ใช้กำลังสมาธิสมาบัติของตัวเอง มายุคหลังที่หลวงปู่ปานสอนหลวงพ่อเล็ก ท่านบอกว่าถ้าทำเองแล้วถึงเวลามันเสื่อมได้ แต่ถ้าขอบารมีพระ หรือบารมีพรหมเทวดาท่านช่วยสงเคราะห์นี่มันจะยาวนานกว่า เพราะว่าอายุของท่านเยอะกว่ามนุษย์มากเหลือเกิน มาตอนหลังสายหลวงพ่อก็ใช้วิธีเชิญพระ เชิญเทวดากันอย่างเดียวตั้งเครื่องบวงสรวงแล้วแต่ท่านจะสงเคราะห์

    ถาม : พอดีมีคำถามของเพื่อนคนหนึ่งน่ะเจ้าค่ะ เขาต้องการทราบวิธีการตัดความผูกพันที่จิตเขาไป ผูกพันโดยที่เขาบอกว่ามันไม่ได้เกิดจากความรักมาก่อน แต่อยู่ ๆ ที่ไปผูกพันกับเขา แล้วเขาก็มีความรู้สึกว่าตัวของเขาเนี่ยผูกพันมากกว่าคนที่เขาไปผูกพันด้วย เขาก็เลยบอกว่าเขาพยายามจะตัด แต่เขาตัดไม่ได้สักที ?

    ตอบ : บอกเขาบอกว่า ต่ำสุดต้องทรงฌานให้ได้ แล้วก็อย่าเผลอหลุด ๆ เมื่อไหร่มันไปผูกใหม่หรือไม่ อันดับต่อไปก็ต้องให้เห็นความเป็นจริงว่าการเกิดมาคนเดียวมันก็ทุกข์พออยู่แล้ว สองคนมันก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น แล้วถ้าหากว่ายิ่งมีสามมีสี่ก็ยิ่งทุกข์หนักขึ้น ความทุกข์อย่างนี้เรายังต้องการมันอีกไหม ? เพราะฉะนั้นอย่างต่ำ ๆ ต้องทรงฌานให้ได้ ถ้าทรงฌานได้นี่ตัวรัก โลภ โกรธ หลง จะระงับลงชั่วคราวความผูกพันต่าง ๆ มันก็จะหยุดลงชั่วคราว ถ้าเผลอคลายออกเมื่อไหร่มันเอาอีกหรือไม่ก็พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงพอจิตยอมรับสภาพมันก็เลิกไปเอง

    ถาม : ฌานนี่ฌานระดับไหนเจ้าคะ ?

    ตอบ : ปฐมฌานก็พอ

    ถาม : ทีนี้ก็ไปตั้งจิตตัดเหมือนกับที่บอกนะเจ้าคะ พอตัดเสร็จมันกลายเป็นว่ามันไม่ได้ตัดเฉพาะคนนั้น มันตัดรอบตัวเลย ?

    ตอบ : (หัวเราะ) ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ?

    ถาม : มันเลย คนที่เคยเกลียดมันก็หยุดเกลียด คนที่เคยรักก็หยุดรัก มองสภาพเขาว่า อ๋อ...เขาเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เราที่เราเกลียดมันเป็นความปรุงแต่งจากจิตตัวเองพอนั่งปุ๊บมันเลย...?
    ตอบ : สาธุ...ความจริงตัวนี้นี่ยากมากเลยนะ ไม่รักในฐานะที่ควรรัก ไม่เกลียดในฐานะที่ควรเกลียด อันนี้หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ว่าอารมรณ์พระอรหันต์เลย รักษาให้อยู่จริง ๆ นะ

    ถาม : รักษาไว้เหรอเจ้าคะ นึกว่าตัวเองผิดปกติจะมาถาม ?

    ตอบ : ไม่ผิดปกติจ้า...หายากมาก ทำได้ยากที่สุดเลย พยายามประคับประคองเอาไว้อีกไม่นานได้ตายแน่ (หัวเราะ) อ้าว...ฆราวาสเป็นพระอรหันต์ไม่ได้อยู่เกิน ๗ วันนะจ๊ะ เพียงแต่ตอนนี้ของเรามันหันได้แป๊บเดียว พยายามประคับประคองให้มันเป็นของเราจริง ๆ

    ถาม : ตอนแรกจะมาถามว่าผิดปกติจะแก้ไขยังไง ?

    ตอบ : ไม่ต้องแก้จ้ะ รีบ ๆ ทำให้มันได้มาก ๆ เข้าไว้ให้กำลังใจมันทรงตัวอยู่ในลักษณะนี้ไปเลย

    ถาม : คือไปนั่งสมาธิ ทำอยู่หน้าของพระพุทธองค์ท่านน่ะเจ้าค่ะ แล้วพอนั่ง พอจิตอยู่ในสภาพนี้นะเจ้าคะ กายของตัวเองเริ่มมีความรู้สึกเปลี่ยนเป็นกายที่ใส ๆ ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นองค์พระน่ะเจ้าค่ะ แล้วสักพักนึงมันก็มีแสงเป็นสีรุ้งรอบ ๆ น่ะเจ้าค่ะ ก็เลยสงสัยมันเกิดอะไรขึ้นไม่เข้าใจ ?

    ตอบ : ไม่เกิดอะไรขึ้น อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหนนอกจากพระนิพพานการที่เราส่งกำลังใจขึ้นพระนิพพานเป็นการตัดกิเลสที่อัตโนมัติที่สุดและง่ายดายที่สุด เพราะว่าตัวรัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ มันเป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าไม่มีใจซึ่งเป็นตัวคอยปรุงแต่งเพิ่มเติมไป คอยที่จะกระตุ้นเร้ามันอยู่ พวกนี้มันก็ต้องดับลงของมันเองธรรมชาติของมัน ไม่ยั่งยืน มันอยู่นานไม่ได้ หลวงพ่อท่านสอนมโนมยิทธิให้พวกเราเพื่อให้เรารู้จักพระนิพพานขึ้นพระนิพพานได้ง่าย มันเป็นการตัดกิเลสที่ง่ายที่สุด ไม่มีวิธีไหนง่ายกว่านี้อีกแล้ว

    ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า มีระยะหนึ่งที่มีพระสำเร็จอรหันต์ ๗ องค์พร้อม ๆ กัน เสร็จแล้วปรากฏว่ามาศึกษามโนมยิทธิไปจากวัดท่าซุงแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาจับพระอย่างเดียว แล้วเสร็จแล้วถามท่านบอก เป็นพระอรหันต์ได้ไง ท่านบอกก็ไม่รู้อยู่ ๆ มันก็เป็นเอง คือลักษณะอย่างนี้ เพราะว่าการที่เราเอาจิตเกาะนิพพาน สภาพจิตมันจะแจ่มใส กิเลสมันกินไม่ได้พอนานไป ๆ ความเคยชินมันเกิด กิเลสมันก็จะหมดไปเองโดยอัตโนมัติ ตัวมโนมยิทธิจุดนี้แหละที่สำคัญที่สุดที่หลวงพ่อท่านต้องการให้พวกเรา

    ท่านไม่ได้ให้เราเอาไปฟื้นความสัมพันธ์กับคนอื่นนะ ท่านสอนให้เราล่ะจ้ะ แต่ส่วนใหญ่มันเอาไปยึด รีบ ๆ ทำเข้าตอนนี้มาตรงทางแล้ววิธีนี้แหละทำบ่อย ๆ เข้าอีกไม่นานจะได้เผากันแน่

    ถาม : เอ่อ....พอทำถึงตรงนี้นะเจ้าคะ มีความรู้สึกตอนนี้เนี่ยเรามีชีวิตอยู่เพื่อหน้าที่ ๆ เราจะต้องทำ แล้วทำตามหน้าที่ ๆ ควรจะทำ แล้วมันก็ไม่มีความหวังที่จะอยากได้อะไรหรือเป็นอะไรมัน ๆ ๆ ....มันดูมันว่าง ๆ ยังไงมันไม่เข้าใจว่า...?

    ตอบ : (หัวเราะ) เข้าใจจ้ะ ไม่ต้องอธิบายจ้ะ ตอนนี้ถ้าหากว่ารักษาอารมณ์ใจนั้นได้มันจะอยู่เหนือบุญเหนือบาปแล้ว รู้ว่าอันนี้ดีก็ทำ รู้ว่าอันนี้ชั่วก็ละ มันไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ไม่กลัวตาย ไม่อยากตาย แต่พร้อมที่จะตายได้ทุกเวลา ถ้าหากว่างานตัวเองหมดไปทันทีจ้ะ

    ถาม : เหรอเจ้าคะ ?

    ตอบ : จ้ะ....เพราะฉะนั้นรีบหางานให้เยอะ ๆ ไว้ (หัวเราะ) กำลังใจของคนที่ทำถึงจุดนี้ถ้ากำลังใจมันตั้งตรงจุดจริง ๆ ไม่มีใครเขาอยากอยู่หรอก

    ถาม : เลยเข้าใจว่าพระอรหันต์หรือพระพุทธองค์ท่านไม่อยากมายุ่งแล้ว พอตอนนั้นเราก็เลย ...?

    ตอบ : แต่ว่านั่นท่านก็ทำตามหน้าที่ของท่าน อันไหนที่ยังพอสงเคราะห์คนได้ตามพรหมวิหารก็สงเคราะห์ไป แต่จริง ๆ ท่านไม่ได้เกาะตรงจุดนั้นแล้ว

    ถาม : แล้วจิตเราสบายดีนะเจ้าคะ ?

    ตอบ : บ๊ะ ! ไม่สบายใครเขาจะทำกันเล่า

    ถาม : เหรอเจ้าคะ ทำต่อเหรอเจ้าคะ ?

    ตอบ : ทำต่อจ้ะ ตอนนี้เราจะเข้าใจชัดเจนว่า จริง ๆ แล้วนิพพานไม่เห็นต้องยึดต้องเกาะอะไรมันเต็มอยู่ในใจของเราเอง ตายเมื่อไหร่เรารู็ว่าเราไปแน่ พูดให้คนอื่นฟังมาเยอะแล้ว เขาคลำตรงนี้ไม่ค่อยถูกกันนะ ...

    แรก ๆ มันเกาะต้องอาศัยเกาะก่อน อย่างที่เคยเปรียบเทียบให้ฟังว่าเหมือนเกาะบันไดขึ้นมาเดินขึ้นบันไดเกาะราวบันไดเืพื่อความมั่นคง แต่พอถึงห้องข้างบนแล้วไม่จำเป็นต้องแบกราวบันไดไปด้วย เพราะเราถึงซะแล้วนะ...


    เพราะฉะนั้นอารมณ์พระนิพพานมันจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง ในเมื่อมันเต็มอยู่ในใจของเราเอง เราก็จะเกหิดความมั่นใจขึ้นมาว่าตายตอนนี้เราก็นิพพานตอนนี้่ ไม่เห็นต้องไปยึดไปเกาะอะไรอีกแล้ว

    ถาม : มีคนมายืนด่าน่ะเจ้าค่ะ เราก็ฟังแล้วก็เหมือนกับว่าไอ้คำพูดเนี่ยมันผ่านไป ๆ พอเขาด่าเสร็จเราก็เลย อ๋อ...ด่าเสร็จแล้ว ๆ เราก็เดินต่อแล้วมันรู้สึกเฉย ๆ ไปเลยเจ้าค่ะ ?

    ตอบ : จ้ะ...ประคับประคองให้ได้แล้วกัน ตัวนั้นแหละคือตัวปล่อยวางจริง ๆ เห็นก็สักแต่ว่าเห็นได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน คือมันไม่รับเอามาปรุงไม่รับมาแต่งอีกแล้ว

    ถาม : ก็กลัวว่าตัวเองจะผิดปกติน่ะเจ้าค่ะ ?


    ตอบ : ผิดจ้า ผิดปกติมาก ไม่เหมือนกับชาวบ้านเขาน่ะจ้า เริ่มใกล้ ๆ จะเป็นพระแล้ว (หัวเราะ)

    ถาม : คือมีความรู้สึกว่าคุยกับใครก็ไม่ค่อยอยากจะคุยเท่าไหร่ จะอยู่นิ่ง ๆ รักษาจิตนิ่ง ๆ อย่างนี้น่ะค่ะ ?

    ตอบ : จ้า อีตานี้ต้องระวังให้หนัก เพราะว่าอารมณ์ใจอย่างนี้ ถ้าทรงตัวก็ดีไป ถ้าไม่ทรงตัวถ้าหลุดนี่กว่าจะคลำเจออีกนานเลย เพราะฉะนั้นต้องพยายามรักษากำลังใจให้อยู่ตรงจุดนี้ให้ดีที่สุด อย่าเผลอสติหลุดไปเห็นว่าโลกมันดีอีกล่ะ

    ถาม : เจ้าค่ะ ตอนนี้มองตัวเองเหมือนศพเคลื่อนที่เจ้าค่ะ มันเกิดการปล่อยวางหมด ?

    ตอบ : คืออารมณ์ใจของมันจะเห็นชัดเจนหมดว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา มันเป็นแต่ตัวที่พาทุกข์พาโทษมาให้เรา มันก็เลยพร้อมที่จะไปจากมันทุกเวลา ขณะที่อยู่ก็ดูแลรักษาไปตามหน้าที่เท่านั้น ร่างกายมันเป็นสมบัติที่เรายืมโลกมันมาใช้ โดยมารยาทของการยืมก็ต้องดูแลมันให้ดีหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวจะคืนเขาในสภาพเละ ๆ เทะ ๆ คนเขาจะด่าเอา เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็รักษาไปตามหน้าที่ของเราใช้งานไปตามหน้าที่ของเรา หมดธุระเมื่อไหร่ก็เลิกกัน

    ถาม : ทำต่อไปนะเจ้าคะ ?

    ตอบ : จ้า...ทำต่อไปจ้า ไปรออยู่ข้างบนนะ แล้วจะตามไปทีหลังอนุญาตให้แซงก่อน

    ถาม : ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปคะ ?

    ตอบ : ไม่ต้องทำ เอาแค่เดิมพอแล้วทำมากไปเดี๋ยวมันเกิน นี่เพิ่งเจอเป็นรายแรกแล้วเขาชมมาด้วย นาน ๆ จะมีคนถวายสังฆทานให้ตรง ๆ ซักทีถวายให้พระ พระเครื่องที่ตัวเองใช้อยู่ นาน ๆ จะมีอย่างนี้ซักที แล้วทำได้ถูกจุดด้วย อันนี้พระท่านชมมาเองนะ ไม่เกี่ยวกับอาตมา


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2006
  5. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=760 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=290 background=images/thammat02.jpg>[​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ในบางครั้งที่เราไม่พร้อม แล้วเราเกิดสภาวะจิตที่อ่อนล้า และอ่อนเพลียมาก เขาก็ยังมาขอความช่วยเหลือและเราก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เราจะมีวิธีไหนมั้ยเจ้าคะที่เราไม่ต้องไปช่วย ?


    ตอบ : ช่วย แต่ว่าขณะเดียวกันว่าให้มีเวลาเฉพาะของตัวเองด้วย อย่างที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนี้ของอาตมาเองจะมีเวลาส่วนตัวที่ว่าเมื่อถึงเวลา อย่างเช่นเดือนมกราทั้งเดือนจะไม่รับกิจนิมนต์ที่ไหน จะตั้งหน้าตั้งตาใช้เวลาที่เหลือนี่ มันเหมือนกับอย่างเช่นชาร์จแบตเตอรี่ตัวเอง เพราะว่าถ้าเราไม่ทำในลักษณะนี้แล้ว ช่วยเขามาก ๆ กำลังของตัวเองมันน้อยลงมันแย่อยู่เหมือนกัน แล้วอีกทีถ้ากำลังใจมันข่มกิเลสได้ เผลอไปฟุ้งซ่านกับคนอื่นมาก ๆ กิเลสมันตีกลับอีก

    เพราะฉะนั้นเราประมาทไม่ได้ ต้องมีเวลาเฉพาะของตนเอง อย่างเช่นว่าเราตั้งใจว่าครึ่งวันแรกนี่จะช่วยแล้ว ครึ่งวันหลังนี่ฉันจะเอาเฉพาะเรื่องของฉันเอง ครึ่งวันหลังนี่ใครมาก็เรื่องของเอ็ง ไม่เกี่ยวกันแต่ต้องมีเวลาเฉพาะของตนเองเพื่อรักษาใจเราให้ได้

    ถาม : ต้องกำหนดเวลาไว้ด้วยใช่มั้ยคะ ?

    ตอบ : กำหนดเวลาไว้ด้วย ไม่ใช่ช่วยเขาเรื่อยไปอย่างนั้นเรามันจะแย่

    ถาม : ก็ไม่กล้าปฏิเสธคนที่เขามาขอความช่วยเหลือ ?


    ตอบ : อาตมาเองไม่ปฏิเสธหรอกจ้า ถึงเวลาล็อคประตูเลย

    ถาม : อ๋อ ต้องป้องกันตัวเองใช่มั้ยเจ้าคะ มีมือถือก็ปิดมือถือใช่มั้ยเจ้าคะ ?

    ตอบ : จ้า ของเราเองเราต้องป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะป้องกันจากกิเลส เผลอเมื่อไหร่มันกินเราเมื่อนั้น เผลอได้ที่ไหนล่ะ ?

    ถาม : เราต้องคอยระวังจิตตลอดเวลาใช่มั้ยคะ ?

    ตอบ : จ้า นั่นแหละคำนี้แหละที่สมควรที่ทุกคนจะทราบไว้ได้เลย ส่วนใหญ่มันก็รู้แล้วล่ะ แต่มันคลำไม่ถูกจุด ต้องระวังใจตัวเองไว้ตลอดเวลาอย่าให้เผลอได้ เผลอเมื่อไหร่กิเลสมันฟัดตาย แรก ๆ ก็ปิดมือถือซะก่อน พอต่อ ๆ เขาถามก็บอกมีเวลาส่วนตัวช่วงนี้ ๆ ไม่ต้องโทรถึงเวลาฉันปิดแน่นอน

    ถาม : คาถาที่ภาวนาแล้วเห็นผีนี่ แล้วจะคุยกับเขาได้มั้ยครับ ?

    ตอบ : ส่วนใหญ่มันจะเห็นเฉย ๆ แต่คราวนี้พวกได้มโนมยิทธิคุยได้อยู่แล้วนี่ อันนี้สำหรับคนที่เขาไม่รู้จักผีเลย อยากจะเห็นอย่างนี้ภาวนาแล้วจะเห็น แต่ตอนที่ภาวนาอยู่อยากมากเกินไป มันจะไม่เห็นจะไปเห็นตอนหลับ คราวนี้วิ่งกันเหนื่อย

    ถาม : เขาเข้าฝันยังไงเจ้าคะ ?

    ตอบ : มันไม่ใช่เข้าฝันหรอก ของผีนั่นอาจจะเป็นอำนาจของพระหรือของเจ้าของคาถาเขาช่วยทำให้ ลักษณะของการเข้าฝันนั่น เขาจูนคลืนให้ตรงเท่านั้นเอง ที่รับไม่ได้เพราะตั้งคลื่นผิด อยากมากเกินไป พออยากมากเกินไปมันไม่ได้ ถึงเวลาเขาแอบจูนคลื่นตรงกัน พอช่องเดียวกันก็รับกันได้แล้วเขาอยู่คนละความถี่กับเรา

    ถาม : แล้วแสงออกจากกายเทพ เทวดาแต่ละระดับนี่แสงเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเจ้าคะ ?

    ตอบ : กำลังความดีไง กำลังความดีพอสะสมเข้ามาก ๆ ความสว่างไสวของจิตมันก็มากขึ้นยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีศักดานุภาพมากขึ้นเท่านั้น คือบุญที่ตัวเองสร้างสะสมโดยเฉพาะที่ใครสร้างพระพุทธรูป แหม...สว่างดีแท้เลย พุทธบูชา มหาเตชะวันโต นี่ไงถึงได้ว่าเวลาถวายสังฆทานให้มีพระพุทธรูปด้วย ที่เมื่อกี้บอกหนูว่ายิ่งองค์ใหญ่ยิ่งดี เผลอไปเป็นนางฟ้าอีก คราวนี้สวยกว่าคนอื่นเขาบุญเยอะเท่าไหร่ก็สวยมากเท่านั้น

    ถาม : แล้วทำบุญอะไรเจ้าคะ พูดแล้วถึงจะมีพาวเวอร์มีพลังเป็นผู้นำได้ ?

    ตอบ : ห้ามผิดศีลข้อ ๓ ถ้าเราไม่ผิดศีลข้อที่ ๓ เราจะเป็นบุคคลที่มีอำนาจปกครองใครเขาก็เชื่อฟังหมด ถ้าไปละเมิดคนใต้ปกครองของคนอื่นเขา ก็ปกครองคนอื่นไม่ได้

    ถาม : แล้วพูดยังไงถึงจะให้คนรักเจ้าคะ ?

    ตอบ : พูดยังไงถึงจะให้คนรัก ปิยะวาจา พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ชัดแล้วใช่มั้ย ? พูดแต่วาจาอันเป็นที่รักที่ชอบใจของคนอื่นเขา รู้ว่าเขาชอบยังไงก็พูดอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ว่าเขาชอบฟังเรื่องโกหก แล้วไปโกหกให้เขานะ อันไหนที่มันละเมิดศีลละเมิดธรรมเราก็หลบซะ บ้าตามเขาไปแค่กรอบของศีลเท่านั้น

    ถาม : แล้วพวกที่ชอบพูดส่อเสียดนี่กรรมของเขาจะเป็นยังไงเจ้าคะ ?

    ตอบ : กรรมเป็นยังไง ? อย่างนางปิสุณาวาที ครอบครัวนี้คงเป็นประเภทที่พ่อแม่สร้างกรรมไว้สาหัสสากรรจ์เลย ลูกแต่ละคนไม่เหมือนกันสักอย่าง นางปิสุณาวาทีชอบยุคนให้แตกกัน เห็นใครที่ไหนเขาทะเลาะกันด้วยความสามารถตัวเองจะมีความสุขมากทีเดียว อีกคนหนึ่งก็ชอบลักชอบขโมย มีอะไรก็หยิบฉวยมันไปเรื่อย อีกคนนึงก็กินสารพัดจะกินเจออะไรฟาดกระจายหมด

    จนกระทั่งพ่อแม่ทนไม่ไหวแต่ว่าด้วยความรักลูกก็ยังเลี้ยงอยู่แต่คนร่วมหมู่บ้านเขาทนไม่ไหวด้วย เขาเล่นจับลอยแพลงทะเลไป ก็ยังบุญดีไปเจอเรือโจรสลัดเข้ารับขึ้นเรือมา นายโจรเขาเห็นผู้หญิงสวย สงสัยว่าทำไมถึงโดนลอยแพมา พอสอบถามเรื่องราวเข้าก็คิดว่า เออ....นิสัยคนเรามันต้องแก้ไขกันได้ นายโจรเขามีความสามารถปกครองพวกลูกน้องตั้งเยอะตั้งแยะก็ลองแก้ไขดู คนช่างกินก็ให้ไปเป็นแม่ครัว เคยเห็นแม่ครัวช่างกินมั้ยล่ะ ? ทำไปทำมามันหมดอารมณ์ไปเองน่ะใช่มั้ย ? เออ...รอดไปรายหนึ่ง คนช่างขโมยยกกุญแจคลังสมบัติให้มันเลย ให้มันเฝ้าคลังเอาไว้อะไร ๆ ก็เป็นของตัวเองแล้วไม่รู้จะขโมยอะไรมันก็เลยเลิกนิสัยขโมยได้ ทีนี้มาปิสุณาวาทีแก้ไม่ตก ไปเที่ยวยุลูกเรือคนโน้นยุคนนี้ทะเลาะเบาะแว้งกันยุ่งไปหมดทั้งเรือ เขาจะตีกันตาย นายโจรเขาทนไม่ไหวเขาเลยจับใส่แพลอยต่อไป ลอยเท้งเต้งไปคนเดียว
    พอลอยต่อไป เออ....บุญแกก็ยังดีอยู่ไปเจอนกอินทรีใหญ่ ๒ ตัวผัวเมียบินมาหากินในทะเลหรือว่าจะบินกลับฝั่งก็ไม่รู้ เห็นเข้าสงสารก็เลยตั้งใจจะช่วย มันก็แปลกอยู่ตอนนั้นคนกับสัตว์พูดภาษาเดียวกันได้ ตั้งใจจะช่วยก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นอินทรี ๒ ผัวเมียก็แกะเอาไม้แพมาอันหนึ่งแล้วก็ให้นางสุณาวาทีเกาะอยู่ตรงกลางแล้วก็จะพาเข้าฝั่งก็ตกลง

    ระหว่างที่อินทรีใช้กรงเล็บขยุ้มไม้อยู่แม่นางนี่เขาเกาะตรงกลางก็พาไป ยายนี่ทนปากคันไม่ไหวไต่ ๆ ไปตรงอินทรีที่เป็นผัวทำกระซิบกระซาบไปอยู่พักหนึ่ง ซักพักหนึ่งก็ไต่ไปทางเมียบอกว่าผัวแกน่ะเจ้าชู้เหลือเกินนะ เผลอแป๊บเดียวเกี้ยวฉันซะแล้ว นางเมียก็ยัวะขึ้นมา แทนที่จะหิ้วนางปิสุณาวาทีก็เลิกหันไปตีผัวแทน ผัวก็จำเป็นจะต้องป้องกันตัวก็ปล่อย ยายนั่นเลยตกน้ำตาแหงแก๋ ยัง ๆ ไม่หมดฤทธิ์ ศพโดนซัดลอยไปติดที่ชายฝั่งอยู่ที่โน่น ที่หน้าวัดพอดี พระเห็นเข้าก็เวทนาน้อ สัตว์โลกตายก็เอามาเผาใช่มั้ย ? พอเผาเสร็จเรียบร้อย ปรากฏว่าซากศพพออยู่ในวัดพระทั้งวัดก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน

    ทีนี้คิดไปคิดมาก็อะไรมันจะฤทธิ์เยอะขนาดนี้ พอสำรวจได้ว่าคงจะเป็นศพนี้แน่ก็เลยเอาไปทิ้งที่ป่าช้า เพราะว่าเผาจนเหลือแต่เศษกระดูกเศษกะโหลกหน่อยเดียว พอไปทิ้งอยู่ในป่าช้าพวกนักเลงเหล้าก็ไปต้มเหล้ากินกันในป่า หาหินมาทำเชิงตะกอนหาได้ไม่ครบ คว้าได้กะโหลกมาก็ยัดเข้าไป
    ปรากฏว่า ทุกวันกินเหล้ามันก็ไม่มีอะไรอย่างเก่งก็เมาคลานกลับบ้านไปหลับ วันนั้นตีกันหัวร้างข้างแตกหมด แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาใครกินเหล้าออกอาการเดียวกัน

    เพราะฉะนั้นโทษของการกล่าววาจาส่อเสียด ก็ลองนึกแล้วกันว่ามันรุนแรงขนาดไหน ขนาดตายเหลือแต่หัวกะโหลกมันยังมีฤทธิ์นะ ไง...ไปเจอใครเขาส่อเสียดมาหรือเปล่า ? ส่อเสียดจริง ๆ ความหมายคือ ยุคนอื่นให้เขาแตกกันนะ ปิสุณาวาทีเขาแปลว่า วาจาส่อเสียดผู้อื่น มันจะมี มุสาวาทา โกหก ผรุสวาทา กล่าวคำหยาบ สัมปลัปปรวาทา พูดเพ้อเจ้อ แล้วก็ ปิสุนาวาทา ส่อเสียดชาวบ้าน แหม....ชื่อเขาบอกตรงเลยนะ อะไรก็แก้ได้สันดานพูดส่อเสียดนี่แก้ไม่ได้ จับลอยแพต่อไป

    ถาม : ไม่ทราบว่าจะต้องทำยังไงน่ะเจ้าค่ะ มีกะเทยแถวบ้านน่ะเจ้าค่ะ มายืนด่าอยู่ตลอดเวลา เราก็ยืนดูเขาด่าเสร็จเราก็ไป แล้วพอเขาเห็นเรา เขาก็ด่ามาอีกก็ไม่รู้จะช่วยเขายังไงดีเจ้าค่ะ ?

    ตอบ : ก็ไม่ต้องช่วยจ้ะ พอเขาด่าจบเราก็ไหว้เขางาม ๆ ขอบคุณค่ะ แล้วก็เข้าบ้านเรา เจอเข้าหลาย ๆ ยกเดี๋ยวมันก็เซ่อไปเอง

    ถาม : เราไม่ต้องทำอะไรเหรอเจ้าคะ ?

    ตอบ : ไม่ต้องทำอะไร ตอบแทนความไม่ดีด้วยความดี อสาธุง สาธุนาชิเน พึงชนะความไม่ดีด้วยความดี
    ถาม : พระที่เข้าพิธี พอดีไปเจอองค์หนึ่งเจ้าค่ะ พอได้มาปุ๊บรถเมล์วิ่งเข้ามาหาเลยเจ้าค่ะ แล้วเราก็รอดมาแบบหวุดหวิด ท่านต้องการแสดงอะไรให้เรารู้เจ้าคะ ?

    ตอบ : แสดงให้เรารู้ว่าเราลาภมากราชรถเข้ืามาเกย พอดีราชรถมันคันใหญ่ไปหน่อย คือบางทีเราอาจจะประเภทนึกอะไรไม่ดีเกี่ยวกับท่านก็ได้ อย่างเช่นนึกว่าจะมีอานุภาพจริงเหรอหรือว่าอะไร ท่านก็เลยแสดงให้เห็นซึ่ง ๆ หน้า อย่างเดียวกับว่าสมัยก่อนที่หลวงพ่อสด แจกพระของขวัญองค์นิดเดียว เท่านิ้วมืออย่างนี้แล้วเสร็จแล้วก็บอกว่า โอ้โห...องค์นิดเดียวอย่างนี้จะคุ้มครองได้ยังไง กลางคืนพระท่านมาโตเต็มจักรวาลเลย ถามคนนั้นบอกว่าพอหรือยังใหญ่แค่นี้ เอาให้เข็ด

    ถาม : ก็จริงเจ้าค่ะ พอรับมาก็ดูว่าไม่น่าจะศักดิ์สิทธิ์เลย ?

    ตอบ : ก็เลยทำให้เห็นซึ่งหน้าว่าศักดิ์สิทธิ์

    ถาม : ตั้งแต่วันนั้นมาไม่กล้าพกติดตัวเลย ?

    ตอบ : (หัวเราะ) รีบ ๆ ไปพกติดตัวได้แล้วจ้า ขอขมาท่านก่อนแล้วกัน บอกว่าไม่ได้เจตนาจะดูถูกดูแคลนอะไรหรอกเจ้าค่ะ

    ถาม : ไม่กล้าพกแล้วค่ะ รถเมล์วิ่งอยู่ ๒ ข้างแล้วเราอยู่ตรกลางเจ้าค่ะ แล้วรอดมาแบบหวุดหวิด แล้วทุกคนเขาก็ยืนดูว่ารอดมาได้ยังไง ?

    ตอบ : ไม่น่ารอดเลยใช่มั้ย ?


    ถาม : พระพุทธรูปแต่ละองค์นี่ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ท่านคุมอยู่หรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ไม่ พระพุทธรูปนี่จะมีเทวดารักษา แล้วเทวดาแต่ละองค์อานุภาพท่านไม่เท่ากัน องค์ไหนที่บารมีมากก็สามารถสงเคราห์คนได้มาก คนก็จะนับถือมาก อย่างบ้านเราเมืองเราพระพุทธรูปมีเป็นแสนเป็นล้านแล้วทำไมมีที่ชาวบ้านเขาเลื่อมใสจริง ๆ อยู่นับองค์ได้

    ถาม : แล้วก็ต้องพุทธาภิเษกก่อนซิครับ ?

    ตอบ : ถึงไม่พุทธาภิเษก เทวดาท่านก็รักษาอยู่แล้ว ถ้าเป็นพระพุทธรูป แต่ว่าการพุทธาภิเษกจะเป็นลักษณะว่า จับตัววางตาย ว่าองค์ไหนมีหน้าที่รักษา เพราะว่าถึงเวลาพุทธาภิเษกพระท่านมาก็จะให้ ท้าวสหัมบดีพรหม กับพระอินทร์รับผิดชอบว่าจะจัดเทวดาองค์ไหนรักษา แต่ถ้าหากว่าท้าวสหัมบดีหรหมหรือพระอินทร์ท่านมาเองท่านก็จัดการเอง

    ถาม : แล้วของที่อยู่ในพิธีด้วยเหรอครับ ?

    ตอบ : เหมือนกัน ลักษณะเดียวกัน ถึงเวลาแล้วก็จะมีการเจาะจงว่าคุณรักษาชิ้นนี้ ของคุณรักษาชิ้นนี้ ไม่ต้องห่วงหรอกต่อให้ทำมา ๑๐ ล้านชิ้นเทวดายังได้ไม่ถึงครึ่งชั้นเลย

    ถาม : แล้วพระพุทธรูปนี่มีทุกองค์เลยเหรอคะ เทวดาน่ะ ?

    ตอบ : ถ้าเป็นพระพุทธรูปเทดวาเขารักษาอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเป็นพวกพระเครื่องพวกอะไรติดตัวนี่ต้องทำพิธีต่างหาก เพราะว่าพระพุทธรูปถ้าหากว่าบูชาไว้อยู่กับบ้าน อานุภาพของการคุ้มครองปกปักรักษาจะอยู่เฉพาะแค่นั้น แต่ถ้าหากว่าเรื่องของพระเครื่องติดตัวนี่จะเป็นการตัดเคราะห์กรรมให้ด้วย เพราะจากเคราะห์หนักก็จะเป็นเบา จากเคราะห์เบา ก็จะหายมันต้องมีพิธีกรรมต่างหากออกไป

    ถาม : ถ้าหากว่ามีเทวดารักษาแล้วทำไมผมถึงโดนตัด.....(ไม่ชัด)....ล่ะครับ ?

    ตอบ : เทวดาเขามีหน้าที่รักษาพระนี่หว่า ไม่ได้มีหน้าที่ห้ามไม่ให้คนตัด คือถ้าหากว่ามันไม่เกินวิสัยจริง ๆ ท่านก็จะช่วย

    ถาม : ที่จริงก็น่าจะสงเคราะห์นะครับ ?

    ตอบ : ก็ขอไม่ถูกนี่ ขอไม่ถูกจะไปให้ทำไมเล่า

    ถาม : แต่ว่าคนเขาเดือดร้อนอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ?

    ตอบ : การสงเคราะห์มันก็มีการจำกัดเขตเหมือนกัน อย่างเช่นว่าถ้าหากว่าบุคคลที่มีบารมีอยู่ มีการหนุนเสริมกันอะไรกัน ก็พอจะช่วยลดกระแสกรรมของเขา เพิ่มความสุขของเขาได้ คราวนี้บุคคลที่ประกอบไปด้วยบารมีอย่างหลวงพ่ออกไปจากสถานที่นั้นซะแล้ว ก็เป็นอันว่าเลิกช่วย

    ถาม : งั้นหมายถึงว่าในการที่เราขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ นี่จริง ๆ แล้วบุคคลที่ขอต้องมี...?

    ตอบ : ต้องมีทุนเดิมอยู่พอดี เพราะว่าอย่างนี้เปรียบเทียบให้ฟังเมื่อครู่นี้ว่า ถ้าหากว่ามีน้ำอยู่แค่นี้ช่วยไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าขาดอยู่แค่นี้เติมนิดเดียวเต็มพอก็ช่วยสงเคราะห์กันได้

    เป็นพระเป็นเจ้ามันลำบากลูก ไม่ใช่รับของอะไรส่งเดชไปอย่างเดียวมันต้องให้แน่นอนก่อน บางคนเขาเอาของไปทิ้งไว้ในกุฏิมันก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ เพราะว่าเขาไม่ได้บอกว่าให้ ต้องมาไล่หาว่าคนไหนเป็นเจ้าของ แล้วไปถามเขาว่าเอามากองไว้ทำไม มันไปหยิบของเขาส่งเดชก็ไม่ได้ถ้าเกิดเขาไม่ได้ให้ เราตั้งใจเอาก็ซวยเลยน่ะซิ

    ถาม : วิสาสะก็ไม่ได้เหรอครับ ?

    ตอบ : เขามีไว้ว่า ๑. ต้องรู้จักกันมา

    ๒. เคยเห็นกันมา

    ๓. เคยพูดกันมา

    ข้อที่ ๔ หนักหน่อย รู้ว่าถ้าเราเอาแล้วเขาไม่ว่าอะไร ข้อสุดท้ายนี่แหละที่จะพาเราขาดความเป็นพระหรือเปล่า ? แต่ว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ให้วิสาสะ ท่านบอกทำอย่างนั้นเลวเกินไปโอกาสพลาดมันมี ไปวิสาสะเอาของที่เขาไม่เต็มใจให้ก็เรียบร้อยแล้ว ขาดความเป็นพระไปเลย

    ถาม : แต่ถ้าเราอนุญาตให้แล้วแต่ว่าจะเอาอันไหนยังไงนี่ได้ใช่มั้ยคะ ?

    ตอบ : ได้จ้ะได้ แต่ยังไงก็ควรจะให้บอกกันต้องดูตัวอย่างสมเด็จพระวันรัตน์วัดเทพศิรินทร์ สมัยท่านเป็นเจ้าคุณพระศาสนโสภณ มารับสังฆทานแต่ละที พอโยมประเคนเสร็จให้แน่นะ ? (หัวเราะ) แน่เจ้าค่ะ ไม่เอาคืนนะ ? ไม่ล่ะเจ้าค่ะ ให้แล้วจริง ๆ ใช่มั้ย ? ใช่เจ้าค่ะ เออ....แล้วค่อยเอา ท่านต้องย้ำแล้วย้ำอีกเพื่อความมั่นใจ เพราะถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ ท่านพร้อมที่จะคืนนั่นแหละ น่ารักมากเลยองค์นั้นน่ะ แต่ว่าใครไปอยู่ใกล้ชิดอะไรเอาให้ดี ๆ นะ ถ้าคิดผิดจังหวะนี่ท่านใส่หงายท้องเลย คิดอะไรรู้หมดท่านรู้จริงนะองค์นั้นน่ะ ตอนนี้อายุมากแล้วไม่ค่อยสบายอยู่เรื่อย

    ในจำนวนพระสมเด็จพระราชาคณะที่เป็นธรรมยุติ สมัยก่อนก็จะสนิทสนมกับหลวงพ่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม เคยอยู่ใกล้รับใช้ท่านบ้าง แล้วก็มาสนิทกับท่านเจ้าคุณพระศาสนโสภณ ตอนนี้ขึ้นเป็นสมเด็จพระวันรัตน์ บางทีก็บอกกับคนบอกว่า สมเด็จ ๘ องค์ ถ้าเว้นสมเด็จพระสังฆราชนี่นิมนต์ได้ ๕ องค์ คนเขายังงง ๆ ว่าสมเด็จจะมีฝ่ายละ ๔ องค์ เราเป็นมหานิกายน่าจะนิมนต์ได้เฉพาะพระมหานิกายใช่มั้ย ? แต่เปล่าหรอกอาศัยความสนิทสนมส่วนตัวนี่นิมนต์ได้ ๕ องค์ คือเกินไปอีก ๑ คือที่สนิทชิดเชื้อกับท่านนี่ท่านเป็นธรรมยุติ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=445 background=images/topbarback.gif><TABLE height=38 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width="100%">



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=25></TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2006
  6. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ทำไมการขโมยของนี่ถึงมีโทษมากครับ ?

    ตอบ : อันนี้เกิดจากเดี๋ยวใครหว่า...จำไม่ได้แล้วจะเป็นพระโลลุทายีหรือเปล่าไม่ทราบเหมือนกัน คือว่าท่านจะสร้างกุฏิขี้เกียจไปตัดไม้ ขี้เกียจไปหาหญ้า ก็ไปที่ท้องพระคลังหลวง แล้วบอกว่าขอไม้ขอหญ้าไปสร้างกุฏิ เจ้าหน้าที่คลังก็บอกว่าให้ไม่ได้เพราะพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้อนุญาต ท่านก็บอกว่าอนุญาตแล้ว ในเมื่อบอกว่าอนุึญาตแล้วเขาก็ยกให้ไป

    คราวนี้พอจะใช้งานจริง ๆ ของมันก็ขาด พระเจ้าแผ่นดินสอบสวนเสร็จทราบว่าพระท่านเอาไป ท่านก็แปลกใจบอกว่าในเมื่อไม่ได้อนุญาตแล้วพระท่านเอาไปได้ยังไง ท่านบอกว่าพระบอกว่าอนุญาตแล้ว ท่านเองท่านก็ดีนะอุตส่าห์เรียกตัวมาสอบสวนบอกว่า โยมเป็นคนที่มีพระราชภารกิจมากอาจจะอนุญาตแล้วลืมไป ช่วยบอกหน่อยเถอะว่า อนุญาตเมื่อไหร่ ? พระไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นพระโลลุทายีหรือเปล่า บอกว่ามหาบพิตรจำได้มั้ยว่าวันที่ขึ้นครองราชย์พระองค์ตรัสเอาไว้ว่า ไม้ หญ้า น้ำ หรือว่าผ้าผ่อนสไบอะไรก็ดีที่เป็นสมบัติของพระองค์ พระองค์ท่านมอบให้เป็นสมบัติของนักบวชที่มาจากทิศทั้ง ๔ ผู้ใดต้องการก็ให้ถือเอา

    พระราชาท่านก็นึกขึ้นมาได้ว่า เออ จริงเคยบอกเอาไว้อย่างนั้น ท่านก็บอกว่าอันนั้นที่ท่านกล่าวหมายถึงผู้ที่เป็นลัชชีคือมีความละอายอยู่ในใจ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นต้องการก็จะต้องมาบอกโยมก่อน แล้วโยมก็จะมอบให้ ไม่ใช่ฉวยเอาดื้อ ๆ อย่างของท่าน ถ้าหากว่าอย่างของท่านถ้าหากว่าเป็นคนทั่ว ๆ ไปโยมก็ประหารชีวิตไปแล้ว แต่ว่าบังเอิญเป็นพระก็จะยกให้สักครั้งหนึ่ง แต่ว่าต่อไปอย่าทำอีก

    เสร็จแล้วเรื่องนี้พอโจทย์ไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสถามกับพระเจ้าปเสนทิโกศลหรือว่าพระเจ้าพิมพิสารก็ไม่ทราบ จำเรื่องไม่ถนัด ถามว่าโทษทางโลกที่พระองค์ท่านสั่งประหารชีวิตของพวกขโมยนี่ เขาจะขโมยทรัพย์สินมีราคาเท่าไหร่ ? พระเจ้าแผ่นดินท่านก็บอกว่าถ้าหากว่าทรัพย์ตั้งแต่ ๕ มาสกเขาจะประหารชีวิต ๕ มาสกนี่มันลักลั่นกัน

    สมัยนี้เขาบอกว่าบาทหนึ่งใช่มั้ย ? แต่ของพม่านี่เขาเปรียบเท่ากับทองสลึงหนึ่ง ฉะนั้นพระพม่าขโมยได้เยอะกว่าพระไทย (หัวเราะ) คือว่ามาตราโบราณเขาบอกว่่า ๔ เมล็ดข้าวเปลือก เท่ากับ ๑ กุญชา ๒ กุญชาเท่ากับ ๑ มาสก เพราะฉะนั้น ๑ มาสก จะเท่ากับ ๘ เมล็ดข้าวเปลือก ๕ มาสกเท่ากับ ๔๐ เมล็ดข้าวเปลือก ทางพม่าเขาคงเอาข้าวเปลือก ๔๐ เมล็ดมาชั่งแล้วก็ตีเป็นราคาทองคำ แต่ของไทยเราเล่นตรงไปตรงมาว่ากันเป็นตัวเงินเลยก็ประมาณบาทหนึ่ง เพราะฉะนั้นของไทยเราขาดความเป็นพระง่ายกว่า

    ในเมื่อกำหนดอย่างนั้นเสร็จพระพุทธเจ้าท่านก็เลยประกาศให้พระทั้งหลายทราบว่าขโมยของตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไปจะต้องปาราชิก ขาดความเป็นพระไปเลย ก็มีพวกหัวหมอตะแบงข้างไปอีกเล่นทีละมาสก พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องมาบัญญัติใหม่ว่า ถ้าหากว่าขโมยของครั้งละมาสกถึงจะคนละวาระกัน แต่ถ้ารวมกันได้ ๕ มาสกก็ขาดจากความเป็นพระอย่างนี้

    พอบัญญัติเสร็จประเภทที่เรียกว่า...ถือว่าเออขโมยของในบ้านท่านก็ไปขโมยของชาวบ้านพวกที่อยู่ในป่านะ พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องบัญญัติว่าห้ามขโมยในบ้าน ห้ามขโมยในป่า พวกก็ไปเอาในลานตากผ้า ลานตากผ้านี่ส่วนใหญ่เขาก็ต้องเป็นที่กว้างมากใช่มั้ย อยู่ในบ้านก็ลำบากเกะกะเขาเดี๋ยวสัตว์หรืออะไรไปทำให้ผ้าเสียหายก็ต้องเข้าไปในพื้นที่ป่าแล้วก่นถางให้มันเป็นพื้นที่กว้างใหญ่เพื่อให้ได้รับแสงแดด เขาถือว่าไม่ใช่ทั้งบ้าน ไม่ใช่ทั้งป่า เพราะว่ามันพ้นบ้านไปแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ป่าด้วย เพราะถางราบไปแล้ว

    โอ้โห....สมัยก่อนร้ายกาจจริง ๆ เขาถึงบอกเจองูกับแขกให้ตีแขกก่อน (หัวเราะ) เขาไปของเขาได้เรื่อยล่ะ บางข้อนี่ พอตั้งมูลบัีญญัติคือ ข้อแรกหัวข้อแรกขึ้นมาแล้วมันตะแบงข้างไป ๒๐๐ กว่าอย่างน่ะ โห...อ่าน ๆ เสร็จนั่งหัวเราะเลยบอกจริง ๆ

    ถาม : อย่างนี้ก็ปาราชิกเลยใช่มั้ยครับ ?

    ตอบ : เรียกว่าถ้าหากว่าโดนก็โดนปาราชิก เสร็จแล้วก็อะไรนะ ขโมยของที่ไม่มีชีวิตเขาก็ไปเอาของที่มีชีวิต ไปไล่ต้อนวัวชาวบ้านเขา พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องมาบัญญัติว่า ถ้าหากว่าเป็นสัตว์เลี้ยงไล่ต้อนไปก้าวเท้าออกจากที่ ๑ เท้า ต้องอาบัติทุกกฏ ก้าว ๒ เท้าขึ้นไปต้องถุลลัจจัย ถ้า ๔ เท้าพ้นจากที่ต้องปาราชิก อย่างนี้ มันต้องในป่าก็ไม่ได้ ในบ้านก็ไม่ได้ สัตว์เลี้ยงก็ไม่ได้ไปเจอของเขาอยู่ในเรือก็เข็นเรือไป (หัวเราะ) โอ้โห...มันไปของมันเรื่อย (หัวเราะ) นั่นน่ะอย่าลืมนั่นนักบวชนะ เอากันขนาดนั้น มานึกถึงท่านทั้งหลายเหล่านั้น ท่านมีคุณมหาศาลจริง ๆ เลย ทำให้เกิดบัญญัติศีลขึ้นมาชนิดที่เรียกว่ารอบคอบมาก

    แต่ว่ามันมีคนประเภทหนึ่งว่า เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูไม่ใช่เหรอ ? รู้อยู่แล้วว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องเกิดขึ้น ทำไมไม่บัญญัติกันไว้ก่อน ต้องให้เรื่องเกิดแล้วมาบัญญัติทีละข้อ ๆ เสียเวลาเปล่า ถ้าพระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมาก่อนจะไม่มีใครเชื่อว่าคนมันตะบี้ตะบันนอกคอกไปได้เยอะขนาดนั้น ถึงได้มาตามแก้ไปทีละจุด ๆ ถ้าเกิดเราบอกไว้ก่อนกันอย่างนี้ ๆ คนที่ไม่คิดจะทำมันก็นั่งหัวเราะใช่มั้ย ? แต่คนที่คิดจะทำมันทำได้ขนาดนั้นจริง ๆ

    ถาม : แล้วคนที่ออกนอกแนวอย่างนี้ .....?

    ตอบ : ถ้าเป็นอาทิกัมมิกะ คือผู้ที่ทำเป็นคนแรกอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านยกให้ถือว่าไม่มีโทษ แต่ถ้าหลังจากประกาศออกไปแล้วนี่คนที่ทำถือว่า ขาดจากความเป็นพระ

    ถาม : แล้วจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องของพุทธวาจา ?

    ตอบ : อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ถ้ายังไม่ประมวลขึ้นมาเป็นข้อห้าม ถือว่ายังไม่ผิด แต่ถ้าห้ามปุ๊บทำก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อยตรงนั้นแหละ

    ถาม : พวกที่โดนปาราชิกนี่อยู่ถึงอเวจี ?

    ตอบ : ปาราชิกนี่จริง ๆ คือขาดความเป็นพระไปเลย ถึงห่มผ้าอยู่ก็ไม่เป็นพระ บวชใหม่ก็ไม่เป็นพระ สำหรับของทางด้านศาสนามันเหมือนกับตาลยอดด้วน มันไม่สามารถงอกงามต่อได้แล้ว เขาเรียกว่า อสังวาโส หาสังวาสไม่ได้ คืออยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้แล้ว

    ถาม : ถ้ารู้ตัวแล้วสึกออกไปนี่.....?

    ตอบ : สึกออกไปมันแก้ไม่ได้ แต่ว่ามันเป็นการที่ว่า ห้ามมรรคผล แต่ไม่ได้ห้ามสวรรค์ ลักษณะที่ว่าห้ามมรรคผลคือ คุณเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ เพราะละเมิดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้าม ในเมื่อละเมิดสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้ามก็ถือว่า คุณไม่เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คนที่ไม่เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่แค่โสดาบันต้นก็เป็นไม่ได้แล้ว เพราะขาดคุณสมบัติข้อนี้้ไป

    แต่ว่าเขาใช้คำว่า ห้ามมรรคผล แต่ไม่ได้ห้ามสวรรค์ คือหมายความว่า ถ้าหากคุณสามารถรักษากำลังใจทรงกำลังใจได้ดีตลอดก็ยังมีสุคติเป็นที่ไปได้

    ถาม : ไม่ใช่หมายความว่าพอเราสิ้นแล้วเราต้องลงอเวจีใช่มั้ยครับ ?

    ตอบ : ไม่ใช่ คือถ้ากำลังใจเกาะความดีอยู่สามารถไปรับความดีได้ แต่ขณะเดียวกันคนที่ประเภทตะแบงข้างไปได้ถึงขนาดนั้นจิตต้องหยาบมาก โอกาสที่จะเกาะความดีให้ทรงตัวได้นี่มันลำบากมาก เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ก็เลยลงอเวจีไป

    ถาม : การลงอเวจีนี่ลงไปด้วยพุทธวาจาหรือว่า....?

    ตอบ : ไม่ใช่ คือความผิดที่ตัวเองทำมันรุนแรงถึงขนาดนั้นจริง ๆ เพราะว่าหลายอย่างเอาแค่ว่า กินเหล้าอย่างนี้ กินเหล้านี่จริง ๆ โทษทางพระเขาปาจิตตีย์ เขาปลงอาบัติได้แสดงคืนได้แต่ว่า โทษทางธรรมก็คือว่า อันดับแรก คือคุณละเมิดพระวินัย อันดับที่ ๒ ถ้าหากว่าปรับอีกก็คือ ไม่เอื้อเฟื้อพระวินัยศีลขาดอีกข้อหนึ่ง อันดับที่ ๓ คือว่าไม่เคารพครูบาอาจารย์ของตัวเองคือไม่เคารพพระพุทธเจ้า อย่างนี้ผิดเข้าไปอีกมันผิดซ้ำผิดซ้อนผิดไปเรื่อย มาเจอหลาย ๆ ข้อ รวมกันกำลังใจของตนเองหยาบถึงขนาดนั้นก็เลยโทษหนักไปด้วย สรุปว่า โทษที่ทางพระเขาปรับไว้นิดเดียวแต่ถ้าเวลาตายลงอเวจีเหมือนกัน

    ถาม : แล้วอย่างที่พม่าเขาคิดว่าเป็นทอง ๑ สลึงแต่ของเราเป็นเงินบาท แล้วพม่าถ้าหากว่าขโมยเงินเท่ากับราคา ?

    ตอบ : คือคนเราถ้าหากว่าตั้งใจจะขโมยมันไม่ใช่พระแล้วล่ะ ทางพม่ามีศีลหลายข้อที่ลักลั่นกับไทยเรา ตีความไม่เหมือนกัน ข้อนี้ข้อหนึ่งที่เขาตีความเท่ากับทองสลึงหนึ่ง คงเอาข้าวเปลือก ๔๐ เม็ดไปชั่งกันเลย แล้วก็มีศีลอีกข้อที่ว่าห้ามเข้าในบ้านเวลาวิกาล โดยไม่ได้บอกลา ทางไทยเราวิกาลหมายถึงตะวันตกดินไป พม่าก็ตะวันตกดินเหมือนกัน

    อีกข้อหนึ่งก็คือห้ามฉันอาหารเวลาวิกาล ของเราตีเอาหลังเที่ยงไปแล้ว แต่พม่าเขาถือวิกาลตัวเดียวกันก็คือตะวันตกดินไปแล้ว เพราะฉะนั้นบ่าย ๆ ถ้าเห็นเขานั่งร้านอาหารโซ้ยอาหารกันอยู่นี่ว่าเขาไม่ได้นะ เขาตีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ขณะเดียวกันของเราไปตีความผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ทีนี้มันกลายเป็นนิยม ในเมื่อกลายเป็นนิยมว่าถ้าหากว่าหลังเที่ยงไปแล้วฉันถือว่าผิด ถ้าเราทำก็จะโดนคนตำหนิติเตียนเรียกว่าทำก็จะโดนคนตำหนิติเตียนเรียกว่า โลกะวัชชะคือโลกติเตียนก็จะเกิดโทษขึ้น

    แต่ว่าอีกอันหนึ่งเขาเรียกว่า ปัณณัตติกวัชชะ ก็คือผิดเพราะบัญญัติ คือพระพุทธเจ้าห้ามเอาไว้ยังทำอันนั้นถือว่าผิด แล้วยังมีอีกข้อหนึ่งผิดเพราะโลกติเตียน อย่างเช่นว่า ภิกษุตัดต้นไม้ ภิกษุขุดดิน อย่างนี้คนนี้รู้แล้่วว่าต้นไม้เป็นของเขียวมันมีชีวิตอยู่ ภิกษุไปตัดต้นไม้ถือว่าไม่เมตตาอย่างนี้ ภิกษุไปขุดดิน ดินมันมีสัตว์เล็ก ๆ มันอาจจะลำบาก อาจจะเดือดร้อน อาจจะโดนขุดตายไปเลยก็มี พระพุทธเจ้าก็ต้องบัญญัติตามคนในยุคนั้นไป เพื่อว่าศาสนาสมัยนั้นมันมีการแข่งขันกันมาก ถ้าหากคนเขาเห็นว่าของเรามันไม่เคร่งครัด มันหย่อนยาน เขาอาจจะไม่สนใจที่จะมา เรียกง่าย ๆ ว่า หันเข้ามาปฏิบัติตามหลักของศาสนานี้จะทำให้เสียประโยชน์กับเขาไป

    พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้หวังประโยชน์ตน แต่หวังประโยชน์คนอื่นเป็นใหญ่ บุคคลที่ควรจะได้มรรคผลถ้าหากเห็นว่าข้อปฏิบัติมันหลวมแล้วเขาเองไม่สนใจที่จะเข้ามามันทำให้เขาเสียผล ท่านเองท่านเกรงตรงนั้นก็เอาบัญญัติตามเอาใจชาวโลกเขาหน่อยหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นอย่างที่หลวงปู่บุดดา ท่านบอกว่าเป็นฆราวาสรักษาศีล ๕ ศีล ๘ หรือว่าถ้าหากว่าเป็นพระเป็นเณรรักษาศีล ๑๐ เราเองก็เอ๊ะ ! พระศีลตั้งสองร้อยกว่าข้อยังไม่ทันจะถามเลย ท่านบอกว่านั่นศีลเอาใจชาวโลกเขา เณรมีศีลแค่ ๑๐ ข้อเป็นพระอรหันต์ตั้งเยอะแยะไป เราก็เออจริงไม่อย่างนั้นสามเณรจะเป็นอรหันต์ได้ยังไงถ้าหากว่าต้องรักษาตั้ง ๒๒๗ เท่ากับพระ เพราะเณรมีแค่ ๑๐ ข้อเท่านั้นเอง อันอื่นเอาใจชาวบ้านซะตั้งเยอะ

    ถาม : อย่างนี้ถ้าพระพม่าขโมยต่ำกว่าทอง ๑ สลึงก็ไม่เป็นไรซิครับ ?

    ตอบ : ลักษณะเดียวกันว่า ถ้าหากว่าขโมยจะมีกำหนดว่าแค่นี้โดนทุกกฎ แค่นี้โดนถุลลัจจัย แค่นี้โดนปาราชิก มันจะมีโทษหนัก โทษเบาต่างกัน

    ถาม : แต่เขาจะไม่ถือว่าเป็นปาราชิก ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าของเขา ๆ ไม่ถือ แต่ถ้าหากว่าเรารู้นี่เราต้องว่าไม่ให้ร่วมสังฆกรรมกับเราแน่นอน ของเรา ๆ ถือมันไม่เหมือนกัน ตอนนี้ทางวัดท่าขนุน พวกขโมยหายไปแล้ว เพราะว่าประชุมพระครั้งก่อนบอกเขาเลยบอกว่าถ้าใครขโมยอนุญาตให้อัดให้น่วมไปเลย ถ้าหากว่าจะมีโทษทางกฏหมายทางอะไรจะไปประกันตัวให้ บอกเอาให้น่วมไปเลย ล่อให้ช่ำเลย เสร็จแล้วจะเอาไปส่งตำรวจเอง มันจะฟ้องร้องข้อหาทำร้ายร่างกายยังไงก็จะไปประกันตัวให้ คือคนเราส่วนใหญ่ที่ปล่อย ๆ ไว้ที่มันเละเทะก็เพราะว่ามันไม่มีใครรับรองให้

    ทำไปอันดับแรกไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นที่ชอบใจใครหรือเปล่า ดีไม่ดีตนเองไปทำร้ายคนอื่นเขาจะถูกไล่ออกจากวัดด้วยซ้ำอย่างนี้ อันดับที่ ๒ ถ้าทำไปอย่างนั้นแล้วมันมีผลมีโทษผิดกฏหมายขึ้นมาใครจะช่วยกู อย่างนี้เขาก็เลยไม่กล้าแตะ ไม่กล้าต้อง

    ไปอยู่ที่นั้น ๓๔ เดือน สึกพระไปจะ ๒๐ องค์แล้วล่ะ บางองค์ไม่ได้ผิดแต่มันมีแววว่าจะผิดก็ขอให้ท่านสึกไป อย่างบางองค์มันจะมีประวัติยาเสพติดมาอย่างนี้ เข้ามาบวชท่านก็ไม่ได้เสพไม่ได้อะไร แต่พวกเก่ามันเวียนมาหา ในเมื่อพวกเก่ามันเวียนมาหาเดี๋ยวไม่นานก็เสร็จเขา ในเมื่อมันเป็นแบบนี้คุณอยู่ไปก็ทำให้คนอื่นเขาเสียหายเปล่า ๆ ก็ดีนะเขาก็ยอม

    ถาม : มีพระวินัยที่บอกว่าห้ามเสพยาเสพติด้วยเหรอครับ ?

    ตอบ : จริง ๆ แล้วที่ท่านบอกอะระตี วิระตี ปาปา มัชฌะปานา จะสัญญะโม บอกเอาไว้ชัดแล้วนี่อาจจะไม่ได้ห้ามเอาไว้ชัดเจนเลย แต่ว่าอย่างศีลอย่างนี้ สุราเมระยะมัชชะปะมา อย่างนี้ สุราสิ่งที่ต้องกลั่นขึ้นมาประกอบด้วยแอลกอฮอล์ เมรัย สิ่งที่หมักดองประกอบด้วยแอลกอฮอล์ มัชชะ ของที่เสพเข้าไปแล้วทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ มันเยอะเลยนะ แต่คราวนี้คนเรามันยึดแต่สุราคำเดียวน่ะซิ อีก ๒ คำมันไม่แปล

    ถาม : ไวน์กินได้อะไรประมาณนี้ครับ ?

    ตอบ : มันก็ล่อซะอ่วมไป พระสาคตะเถระ ไงเป็นผู้ที่เลิศในฌานสมาบัติ ก็คือเก่งทางเตโชกสิณ มีพญานาคอยู่ตัวหนึ่งหวงท่าน้ำมากเลย ใครลงไปใช้ท่าน้ำอาละวาดกระจาย พระสาคตะก็ไปปราบเข้าเตโชกสิณเผาซะพญานาคกระเจิดเจิงอยู่ไม่ได้ใช่มั้ย ? ชาวบ้านเขาก็สรรเสริญความสามารถของท่านก็เที่ยวไปสอบถามลูกศิษย์ของท่านว่าพระเถระท่านชอบอะไร ? ลูกศิษย์ก็แนะนำเลย สุรารสอ่อนที่สีเหมือนเท้านกพิราบ ไวน์แดงแหง ๆ เลย

    คราวนี้ออกบิณฑบาตก็คนโน้นแก้วหนึ่ง คนนี้แก้วหนึ่ง ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่ือย ทีนี้เดินกลับไม่ถึงกุฏิหรอก หมอบอยู่กลางทางนั่นแหละ พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาพอเห็นเข้ิา ก็ถามว่านั่นใคร พระอานนท์ เข้าไปดูบอกว่าพระสาคตะเถระพระพุทธเจ้าข้า ก็อ๋อ ผู้ที่ปราบพญานาคได้ที่ถือว่ามีความสามารถมากเลยใช่มั้ย ? ตอนนี้งูน้อยตัวหนึ่งปราบได้หรือเปล่า ? บอกไม่ได้พระเจ้าข้า ท่านก็เลยตรัสให้รู้ว่าโทษของสุราเป้นยังไงแล้วก็บัญญัติห้ามไม่อย่างงั้นนี่ก็ยังกินเหล้าได้อยู่นะ ได้พระสาคตะมาเริ่มต้นให้ ลูกศิษย์ก็เหลือเกินนะ อันนี้ยังดีลูกศิษย์เห็นว่าไม่ผิดใช่มั้ย ?

    ถ้าอย่างพระอุทายีนั่น ผู้หญิงเขาถามว่าถวายอะไรกับพระแล้วได้บุญมากที่สุด พระอุทายีหลอกเขาบอกว่าต้องบำเรอด้วยกามอย่างนี้ เสร็จแล้วผู้หญิงก็โอเค บอกอยากทำบุญด้วย พระอุทายีก็ประเภทไปแสดงอาการเหยียดหยามดูถูกเขาอีก เขาโกรธไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยบัญญัติว่าถ้าภิกษุหลอกล่อหญิงว่าต้องบำเรอตนด้วยกามต้องอาบัติสังฆาทิเทส อันนี้ขาดความเป็นพระชั่วคราว ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะแค่พูดบอกเขาเท่านั้นเอง ปรับขาดความเป็นพระชั่วคราวเลย

    สังฆาทิเสสนี่หนักรองจากปาราชิก ถ้าปาราชิกถูกประหาร สังฆาทิเสสก็จำคุกตลอดชีวิต เพราะว่าสังฆาทิเสสนี่ขาดความเป็นพระ พอขาดความเป็นพระเสร็จต้องอยู่กรรมชดใช้ก่อน เพราะว่าสังฆาทิเสสนี่ขาดความเป็นพระ ก็ต้องใช้หนี้เหมือนกับติดคุกที่เรียกว่าอยู่ปริวาส คืออยู่จำกัดเขตถ้าหากว่าโดนปุ๊บแล้วไม่ปกปิิดคือ รีบบอกเลยก็อยู่ใช้หนี้ ๖ วันกับ ๖ คืน แล้วก็ให้พระสงฆ์ ๒๐ องค์ สวดคืนความเป็นพระให้ถึงจะกลับเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าของปาราชิกนี่ขาดความเป็นพระ ขาดแล้วขาดเลย บวชใหม่ไม่เป็นพระ อยู่ไปก็ไม่เป็นพระ

    ดังนั้นว่าอันหนึ่งจะขาดความเป็นพระเลยแก้ไขไม่ได้ อีกอันหนึ่งแก้ไขได้แต่ยาก ถึงได้ว่าหลวงพ่อท่านย้ำบอกว่า ครุกาบัติ คืออาบัติหนัก อาบัติหนัก คือการที่ศีลต้องขาดไป อาบัติหนัก ปาราชิก ๔ ข้อ สังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ รวมแล้ว ๑๗ ข้อ อย่าให้มันโดน มันโดนแล้วมันแก้ไขไม่ได้กับมันแก้ไขยาก อันอื่นมันโดนบ้างเป็นเรื่องปกติก็ให้รีบแสดงคืนซะ ที่เขาเรียกปลงอาบัติ คือสารภาพผิด พอสารภาพเสร็จแล้วก็ให้ระมัดระวังเอาไว้ ตอนนี้มีพยานแล้ว เพราะเราไปยืนยันแล้วว่า เราจะไม่พูดอีกไม่คิดไม่ทำอย่างนี้อีก

    ถาม : พระที่ปาราชิกนี่ไปบวชที่อื่นเขาก็ไม่รู้ ?

    ตอบ : สมัยก่อนเขามีดีอยู่อย่าง คือ เขาโดนสักหน้าใครโดนปาราชิกนี่ เขาสักตัวป.ปลา ตัวเบ้อเร่อไว้บนหน้าผาก สมัยนี้มันไม่มีนี่ ไปแอบบวชที่อื่น ถ้าหากว่าพระอุปัชฌาย์ไม่มีความคล่องตัวในด้านทิพจักขุญาณก็เรียบร้อยเลย ไปบวชให้เขาใหม่เขาไม่ใช่พระ ไปกินกับพระร่วมนอนกับพระ สังฆกรรมกับพระ มันนอกจากจะเกิดโทษกับตัวเองแล้ว สังฆกรรมนั่นยังเสียด้วยเพราะเรียกว่า เป็นอนุปสัมบัน คือมีศีลไม่เท่าเขา อุปสัมบัน คือมีศีลเสมอกัน สังฆกรรมนั้นจึงจะสมบูรณ์ สังฆกรรมมีอะไรล่ะ ลงปาติโมกข์ บวชพระ สวดกฐิน สวดอัพภาณ อะไรเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่แม้แต่องค์เดียว สังฆกรรมเขาเจ๊งไม่เป็นท่ามันไม่สมบูรณ์
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ตะกรุดโสฬสมหามงคล

    ประกอบด้วยยันต์ ๔ ชั้น




    ๑. ยันต์เทพาวุธ สำหรับขับไล่ภูตผีปีศาจ ทำลายไสยเวทย์อาคม วัตถุอาถรรพ์ทุกชนิด

    คาถากำกับยันต์เทพาวุธ


    สักกัสสะ วะชิราวุธ ยะมัสสะ นะยะนาวุธัง
    อาฬะวะกัสสะ ทุสาวุธัง เวสสุวัณณัสส คะทาวุธัง
    จัตตาโร เต อาวุธา สัพพะศัตรู วินาสสันติ


    ๒. ยันต์โสฬส ป้องกันอุปัทอันตรายทั้งปวง กันฟ้า กันไฟ กันโจรภัย กันภูตผีปีศาจ กันคุณผีคุณคนทุกชนิด

    คาถากำกับยันต์โสฬส



    โสฬะสะมังคะลัญเจวะ นะวะโลกุตตะระธัมมา
    จัตตาโร จะ มะหาทีปา ปัญจะพุทธามะหามุนี
    ตรีปิฏะกะธัมมักขันธา ฉะกามาวะจะราตะถา
    ปัญจะทะสะภะเวสัจจัง ทะสะมังสีละเมวะจะ
    เตระสะธุตังคาจะ ปาฏิหารัญจะทะวาทะสะ
    เอกะเมรุ จะ สุราอัฏฐะ ทะเวจันทังสุริยังสัคคา
    สัตตะสัมโพชฌังคาเจวะ จุททะสะจักกะวัตติจะ
    เอกาทะสะวิษะณุราชา สัพเพเทวาสะมาคะตา
    เอเตนะมังคะละเตเชนะ สัพพะโสตถีภะวันตุเม



    ๓. ยันต์ตรีนิสิงเห ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ กันโรคระบาด กันภูตผีรบกวน ทำน้ำมนต์คลอดบุตรง่าย กันคุณไสยลมเพลมพัด บ้านหรือที่ใดร้ายอยู่ยาก ให้อธิษฐานฝังดินแก้ไขกลับร้ายเป็นดี

    คาถากำกับยันต์ตรีนิสิงเห



    มะอะอุ ตรีนิสิงเห สะธะวิปีปะสะอุ สัตตะนาเค
    อาปามะจุปะ ปัญจะเพชรฉลูกัญเจวะ
    นะมะพะทะ จะตุเทวา อิสวาสุ สุสวาอิ ฉะวัจฉะราชา
    ฑีฆะสังอังขุ ปัญจะอินทรานะเมวะจะ
    มิ เอกะยักขา อะสังวิสุโลปุสะพุภะ นะวะเทวา
    สะหะชะฏะตรี ปัญจะพรัหมาสะหัมปะติ
    พุทโธ ทะเวราชา เสพุเสวะเสตะอะเส อัฏฐะอะระหันตา
    นะโมพุทธายะ ปัญจะพุทธานะมามิหัง



    ๔. ยันต์จตุโรบังเกิดทรัพย์ เรียกเงินเรียกทอง ค้าขายดี รักษาทรัพย์สมบัติให้เยือกเย็นทรงตัว ร่ำรวยยิ่ง ๆ ขึ้นไป
    คาถากำกับยันต์จตุโรบังเกิดทรัพย์




    จะตุโร นะวะโม ทะเวโช
    ตรีนิ ปัญจะ สัตตะ
    อัฏฐะ เอโก ฉะวัจฉะราชา

    เวลาเสกให้ว่าคาถาทั้งหมด ๑๐๘ จบ เมื่อจะอาราธนาติดตัวให้ใช้คาถา ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2006
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...