ฉบับที่ ๒๔ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 12 กุมภาพันธ์ 2006.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมีนาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ









    ถาม : อย่างนี้ก็น่ากลัวซิเจ้าคะ คนที่เขาไปทำกฐิน ทำผ้าป่าไม่รู้แล้วเราก็แย่ซิเจ้าคะ ?
    ตอบ : ก็ถ้าหากว่าเราต้องใจทำนั้นอานิสงส์เราได้เต็มน่ะ แต่คราวนี้ว่าสังฆกรรมของพระมันไม่สมบูรณ์
    ถาม : กรรมฐานที่ต้องพิจารณาน่ะครับ พิจารณาแล้วเกิดการเบื่อหน่ายอย่างเช่น เนวสัญญาอะไรต่าง ๆ น่ะครับจริง ๆ แล้วกรรมฐานนี่จริง ๆ กรรมฐานนี่คือทำแล้วเพื่อให้จิตเกิดความสุข ทีนี้พอเริ่มต้นคิดก็ไม่รู้ว่าจะมีความสุขอย่างไร เพราะจิตไม่มีความสุขอะไรอย่างนี้น่ะครับ ?

    ตอบ : กรรมฐานจริง ๆ จะมีลักษณะว่า รู้เห็นตามความเป็นจริง ๆ ในเมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง ระยะแรกนี่จะเกิดการรังเกียจ เกิดการเบื่อหน่าย เห็นเป็นทุกข์เป็นภัย เห็นเป็นโทษ เห็นเป็นของน่ากลัวนะ เราต้องก้าวล่วงตรงจุดนั้นไปได้มันถึงจะมีความสุข มันจะมีความสุขตรงที่ว่าเรายอมรับมันได้ ลักษณะของการยอมรับนี่ลำบากหน่อย ถ้าปัญญาไม่ถึงนี่มันไม่ค่อยยอมรับหรอก เรื่องของ อาหารเรปฏิกูลสัญญา ก็เหมือนกันถ้าหากว่าเราพิจารณาไป พิจารณาไป มันรังเกียจบางคนนี่ประเภทถึงกับข้าวปลาไม่กินเอาเลย คราวนี้มันกระจายออกถึงขนาดนั้น แล้วพระท่านเคยบอกไว้ หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ว่า มันต้องรวมกลับเข้ามา พิจารณาให้เห็นว่าในเมื่อร่างกายมันยังคงอยู่ตามสภาพร่างกายมันต้องอาศัยอาหารเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ก็ฝืน ๆ กินเข้าไปหน่อย ท่านใช้คำพูดลักษณะที่ว่าเหมือนกันกินเนื้อของบุตรสุดที่รักของตนเอง ให้ความรู้สึกเป็นอย่างนั้นน่ะ

    ถาม : หมายความว่าจิตของผู้ฝึกกรรมฐานอย่างนี้จะมีความสุขอยู่ที่จิตเหรอครับ ?
    ตอบ : ยอมรับแล้ว ยอมรับความเป็นจริง ถ้าไม่ยอมรับความเป็นจริงแรก ๆ ก็ต้องข่มไว้ ข่มไว้ก็ต้องอาศัยกำลังของฌานสมาบัติ ถ้าหากว่าข่มไม่อยู่ก็ กะบะแตก (หัวเราะ) ไม่ได้ใช้แม็คลายเนอร์
    ถาม : พระที่ท่านธุดงค์ในป่านี่วันอุโบสถนี่ไม่มี ...?

    ตอบ : วันอุโบสถนี่ ถ้าหากว่าอยู่ร่วมกันตั้งแต่ ๕ องค์ขึ้นไปก็สวดปาติโมกข์ สวดปาติโมกข์อย่าคิดว่าต้องใช้โบสถ์เสมอไปนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดอย่างนั้น ท่านกำหนดแค่ว่าเขตในทิศทั้ง ๘ นั้นมีอะไรเป็นนิมิตเป็นเครื่องหมาย แล้วเสร็จแล้วพอประกาศเสร็จเรียบร้อยก็ยืนยันว่าบริเวณนั้นเป็นเขตอุโบสถสังฆกรรมแล้ว องค์ที่สวดปาติโมกข์ได้ก็สวดไป ถ้าหากว่าต่ำลงมาไม่ครบองค์สงฆ์อย่างเช่นว่า ๓ องค์ขึ้นไปก็ให้ประกาศอุโบสถแล้วให้ตั้งในอฐิษฐานว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถของตน เขาจะมีวิธีกรรมของเขาอยู่

    ถาม : ไม่มีพระสวดปาติโมกข์ได้เหรอครับ ?
    ตอบ : ไม่มีสวดปาติโมกข์ได้ ก็อย่าพยายามอยู่รวมกันให้ครบองค์สงฆ์แยก ๆ กันไปซะ พอถึงเวลาเลยวันก็ค่อยกลับมา (หัวเราะ) นี่ประเภทเลี่ยงบาลีนะ จริง ๆ มันน่าจะได้ซักองค์หนึ่ง
    ถาม : แต่ว่ายาวมากเหมือนกันนะครับ ?
    ตอบ : ๒๒๗ ข้อจะว่ายาวมันก็ไม่ยาวนะแต่ว่าต้องใช้ความพยายามเอาเรื่องเหมือนกัน
    ถาม : องค์สงฆ์นี่ ๕ องค์ขึ้นไปเหรอครับ ?
    ตอบ : ๔ องค์ขึ้นไปถือว่าเป็นองค์สงฆ์ แต่ทีนี้ว่าส่วนใหญ่แล้วมันต้องสวดองค์หนึ่ง เขาก็เลยมักจะนิยม ๕ องค์แต่จริง ๆ ๔ องค์นี่เขาต้องสวดแล้ว
    ถาม : มีวัดที่แบบว่ามีพระที่สวดปาติโมกข์ไม่ได้บ้างมั้ยครับ ?


    ตอบ : อันนั้นเขาต้องเชิญจากวัดอื่นมา มีอยู่ วัดที่ไม่ได้อย่างปัจจุบันนี้เขาจะมีตำแหน่ง วินัยธร วินัยธรแปลว่าผู้ทรงวินัย คนสวดปาติโมกข์ได้ อย่างของเมืองกาญจน์นี่ทางจังหวัดเขาจะทำการสอบบางทีก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมาตรงกลางอย่างนี้ ยกตัวอย่างขึ้นมาข้อหนึ่ง สัมปะชามุสา วาเท ปาจิตตียัง ข้อต่อไปอะไรอย่างนี้แล้วเสร็จแล้วก็จะมีการบอกอุโบสถ กี่อุโบสถแล้วเหลือกี่อุโบสถ ฤดูกาลที่เท่าไหร่แล้วอะไรอย่างนี้ ขึ้นหัวขึ้นกลางขึ้นท้ายทดสอบว่าเราได้แล้วแน่นอนก็โอเค เขาจะออกหนังสือรับรองให้ทีนี้พอออกหนังสือรับรองให้ ก็มีการตระเวนสวดคือวัดไหนถ้าหากว่านิมนต์ก็เอา แต่ว่ามันเสียอยู่อย่างเดียวคือระยะหลังนี่เขานิมนต์แค่ว่าสวดมนต์ทำวัตรเฉพาะเข้าพรรษาหรือไม่ก็สวดปาติโมกข์เฉพาะตอนเข้าพรรษา ตอนนี้วัดท่าขนุนนี่ไปปรับปรุงว่าสวดมนต์เช้าเย็นทุกวันแล้วปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือนตามพุทธบัญญัติเลย ก็จะมีพระเวียน ๆ กันมาสวดเพราะว่าเราบอกแล้วว่านิมนต์มา ก็ไม่นิมนต์เปล่าหรอกมีค่ารถให้กลับแน่ ก็เลยแย่งกัน เราให้เยอะ



    ถาม : กลายเป็นอาชีพไปเลยครับ ?
    ตอบ : กลายเป็นอาชีพไป แต่ว่าของเราไม่ได้คิดตรงจุดนั้น มีหลายองค์อย่าง อาจารย์เตชะ สวดเป็นการสงเคราะห์จริง ๆ ถึงถวายท่าน ๆ ก็ถวายคืนมาให้เป็นส่วนของสงฆ์ไป แต่ว่าอย่าง อาจารย์ม่า นี่ถ้าไม่ถึงคิวตัวเองก็แย่งเขาสวด อันนั้นเราไม่ว่า เราเอาเฉพาะตรงที่ว่าอานิสงส์ของการทบทวนอาบัติแต่ละข้อ ถ้าหากว่าฟังออกนี่เหงื่อแตกกันจริง ๆ นะเพราะว่า เขาจะขึ้นกันทีละอุเทส อุเทสหนึ่งก็คือตอนหนึ่ง อย่างเช่นปราชิกุเทสก็คือ ตอนหนึ่งของปาราชิก สังฆาสิเสสุเทส คือตอนของสังฆาทิเสสอย่างนี้ ตอนท้ายนี่เขาจะบอกไว้ ตัตถา ยัสสะมันเต ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปะริสุทธา ? เราขอถามว่าท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ในสิกขาบทนี้แล้วหรือ ? ทุติยัมปิ ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปะริสุทธา ? ขอถามท่านเป็นครั้งที่ ๒ ว่าบริสุทธิ์แล้วแน่หรือ ? ตะติยัมปิ ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปะริสุทธา ? ขอถามเป็นครั้งที่ ๓ ว่าบริสุทธิ์แล้วแน่หรือ ? ถ้าฟังออกนี่เหงื่อหยดติ๋งเลย (หัวเราะ) ถ้าประเภทนั้นย้ำกันทีละชุดเลย ถ้าหากว่าไม่บริสุทธิ์ใช่มั้ย ต้องอาบัติหนักอย่างเช่นว่า ปาราชิกหรือสังฆาทิเสสออกไปเลย ถ้าคุณขืนอยู่ต่อสังฆกรรมเขาเสียเขาตั้งท่าสวดกันใหม่ แต่ถ้าหากว่าเป็นอันหลัง ๆ นี่ถึงเวลาก็ถ้ารู้ตัวว่าไม่บริสุทธิ์ รีบสารภาพก็แสดงอาบัติกัน แต่ปัจจุบันนี้เขาใช้ในลักษณะว่า ก่อนทำการปาติโมกข์ก็แสดงอาบัติกันก่อนก็ถือว่าโอเคบริสุทธิ์เสมอกันไป
    ถาม : จะได้นั่งฟังอย่างเดียว ?

    ตอบ : อือ... นั่งฟังอย่างเดียวไม่ต้องนั่งเสียเวลาฟังไปแสดงไป แต่จริง ๆ ถ้าเป็นแบบของหลวงพ่อนี่ผิดตรงไหนเขาให้เจอะเอาเฉพาะตรงนั้น สมัยนี้เขาเล่นใช้ สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย มันรวมกันไม่รู้กี่ข้ออาจจะ ๒๒๗ ก็ได้อย่างนี้ ถ้าหากว่าสมัยยังอยู่ วัดเทพศิรินทร์ นี่ละเอียดหน่อยโดนอันไหนปลงเฉพาะอันนั้น อย่างเช่นว่า โดนอาบัติถุระใจก็ใช้ ถุลลัจจะยาโย โดนอาบัติปาจิตตีก็ ปาจิตตียาโย โดนอาบัติทุกกฏก็ ทุกฏาโย อย่างนี้เอาเฉพาะจุด แต่ถ้าเป็น วัดท่าซุง นี่ผิดข้อไหนปลงข้อนั้นเลยเล่นภาษาไทยด้วย ข้าแต่สงฆ์ทั้งหลายผู้เจริญ ข้าพเจ้าต้องอาบัติปาจิตตีย์ เนื่องจากโกหกผู้อื่นเขา ขอให้สงฆ์ทั้งหลายโปรดรับทราบอาการชั่วหยาบที่ข้าพเจ้าได้ล่วงสิกขาบทไปแล้วด้วย ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะไม่คิดเช่นนี้อีก ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะไม่พูดเช่นนี้อีก ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดรับทราบด้วยเถิด อันนี้เป็นสไตส์วัดท่าซุงเล่นภาษาไทยด้วยให้มันรู้ ๆ กันไปเลยว่า ถ้าต่อไปผิดอีกจะไปสารภาพอีกเอ้า ...มึงตอแหลอีกแล้ว พวกก็จะชี้หน้าว่าเอา มันก็เลยจะมีการควบคุมกันได้
    ถาม : แต่ว่าที่พระสวดปาติโมกข์ไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นบาลีไปเรื่อย ๆ ใช่มั้ยครับ ?
    ตอบ : ก็จะเป็นบาลีไปเรื่อย ๆ แต่ว่าจะทวนกันไปถ้าใครฟังออกก็จะรู้เรื่อง
    ถาม : แล้วถ้าฟังไม่ออกล่ะครับ ?

    ตอบ : ถ้าฟังไม่ออกก็ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ นึกถึงพระไปเลย ของเราบางทีก็แหม....มันมีความสุขใช่มั้ยเข้าสมาธินึกถึงภาพพระจับภาพพระไปอะไรไป ไป ๆ มา ๆ สวดกันก็ดันสวดผิดคนตรวจก็บอกผิด เราก็เลยต้องคลายสมาธิออกมา ๆ เตือนมันบ้าง บางทีมันผิดนิดผิดหน่อยมันไม่ได้ เพราะว่าของเขาเอง เขาระบุเอาไว้ชัดเลยว่า อักขระทุกตัวต้องชัดเจน มันพลาดไม่ได้ใช่มั้ย อย่าง อาจารย์สังเวียนนี่แกสวดนี่ ตัวสุดท้ายของแกนี่ ติณะวัตถา ระโกติ ของแกเองแกจะเป็น กะโร ประจำเลยของเราก็ต้องคอยเตือนแกอยู่เรื่อย ไอ้คนอื่นมันฟังพรืดเดียวมันผ่านไป มันจะจับจุดตรงนี้ไม่ได้ มันจะเป็น ระโกติ หรือ กะโรติ กันแน่อย่างนี้ มันพรวดเดียวผ่านไปแล้ว เพราะสวดมันต้องเร็ว
    ถาม : แล้วท่านสวดปาติโมกข์ได้มั้ยครับ ?

    ตอบ : ไม่ได้สวดเพราะตั้งแต่แรกบวชเลยเพราะว่าบวช ๘ ค่ำ พอ ๑๕ ค่ำ ลงโบสถ์แล้วละ ก็ประมาณแค่ ๖ วัน แล้ววันที่ ๗ ก็ลงโบสถ์แล้วเห็นพี่เขาสวดแล้วโอ้โห....เหนื่อยแทบขาดใจตั้งแต่นั้นมาไม่เคยคิดอยู่ในหัวแลยว่าจะสวด แต่คราวนี้มันอาศัยความจำดี มันฟังแล้วมันจำได้ไง พอเขาผิดตรงไหน เราจำแล้วมันแม่นยำเราก็ทักท้วงเขาได้ ระยะหลัง ๆ นี่เวลาเปลี่ยนอุโบสถหรือว่าจำนวนสงฆ์มีเท่าไหร่นี่ เราต้องคอยบอกเขา เพราะคนอื่นไม่ค่อยแม่นบาลี พอไม่แม่นบาลีจำนวนพระสงฆ์เท่าไหร่ก็ต้องไปเปิดดู ตัวเลขนี้ภาษาบาลีเขาว่าอะไร ระยะหลังมันเลิกเปิดแล้วหันมาถามเท่าไหร่ครับอาจารย์ เราก็ต้องบอกเพราะว่าจะมีอยู่ตอนหนึ่งที่เขาว่าจำนวนพระมีอยู่เท่าไหร่ อย่างเช่นว่า มี ๒๐ องค์ก็ วีสติภิกขูสันนิ ปาติตา สันนิบาตนี้ประกอบด้วยภิกษุ ๒๐ องค์ก็ว่าไป ที่นี้ภาษาบาลีจำยากก็ต้องไปเปิดตำราเอา ทีนี้ไอ้ของเรามันหลวงพ่อท่าน ๆ คล้าย ๆ กับว่าสอนเทศน์ คือลักษณะคล้าย ๆ หลวงพ่อท่านทำให้เป็นตัวอย่าง จะมีบอกศักราช มีการบอกวัน บอกเดือน บอกปี เป็นภาษาบาลี ซึ่งมันเปลี่ยนไปเรื่อยน่ะ พอมันเปลี่ยนไปเรื่อย ของเรามันต้องจำเอา พอมันจำได้แล้ว เรื่องตัวเลขมันก็ง่ายแล้ว บอกศักราชก็จะให้ขึ้น อาทินิตสสะภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ปรินิพานะโตปัฏฐายะ พระพุทธเจ้าของเราปรินิพพานมาแล้วขณะนี้ล่วงเลยมาเป็นเวลาเท่าไหร่ วันนี้เดือนนี้ ปีนี้ตรงกับอะไรแล้วก็จะสรุปได้ว่าอะไรล่ะจะใช้ว่า เอวังตัสสะ ภะคะวะโต ปรินิพพานาสาสะนายุกาละคะณะนา สัลลักเขตัพพาติ จะว่าอายุของพระศาสนาที่ล่วงเลยมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานแล้วสามารถกำหนดนับได้ด้วยประการฉะนี้ นี่ยังดีสมัยนี้มันย่อแล้ว สมัยก่อนเขายังประเภทที่เรียกว่า วันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ผ่านมาเท่าไหร่ แล้วก็ยังเหลือกี่วัน กี่เดือน กี่ปีกว่าจะครบ ๕,๐๐๐ ปีอย่างนี้ ตอนนี้ตัดไปตั้งครึ่งแล้วนะ ไม่งั้นเล่นเอาเดี้ยง ปัจจุบันนี้รู้สึกว่าแถวเมืองกาญจน์ ฯ ทองผาภูมิมีอาตมาคนเดียวล่ะมั้งที่เทศน์แล้วยังบอกศักราชอยู่ คนอื่นเขาไม่แล้ว เขาเล่น นะโม เลยอะไรที่แบบโบราณมีอยู่น่าจะรักษาไว้ไม่งั้นมันสูญไปเรื่อย พอที่จะทำได้โดยที่ไม่หนักมากนักก็เอาเถอะ
    ถาม : ต้องทำบุญอะไรคะถึงจะฉลาด ?

    ตอบ : ฉลาดมันต้องในเรื่องของธรรมทาน และอีกตัวหนึ่งก็คือตัวภาวนา ตัวภาวนานี่เป็นตัวสร้างปัญญาโดยเฉพาะ สมมุติว่าถ้าหากว่าชาตินี้เราภาวนาจนสามารถทางฌานทรงสมาบัติได้ เกิดชาติใหม่ฉลาดแน่นอน แต่ขณะเดียวกันถ้ามีผลทางด้านธรรมทาน อย่างเช่นว่า ถวายพระไตรปิฎก ไว้ หรือว่า ข้อธรรมอันใดที่เรามั่นใจว่าปฏิบัติได้แล้วนำไปสั่งสอนคนอื่นต่อ อันนี้ก็จะเป็นตัวที่สร้างความฉลาดให้โดยตรง การบริจาคหนังสือทุกประเภท ถือเป็นธรรมทานแต่ ถ้าหากว่าได้พระไตรปิฎกนี่ เป็นธรรมทานโดยตรง อานิสงส์ก็จะมากกว่าอันอื่นเขา เอามั้ยเกิดกี่ยกดี ?
    ถาม : รอสังคายนาอยู่ครับ ?
    ตอบ : รอสังคายนาอยู่ ... จริง ๆ ไม่ต้องก็ได้ ฉบับสยามรัฐ ดี มันผิดอยู่คำเดียว มันไม่ได้ผิดหรอกมันเพี้ยนกันระหว่าง ชะโน กับ ชะนัง มันก็ชนหมู่มากเหมือนกัน ต่างกันอยู่นิดเดียวเท่านั้นเอง
    ถาม : พระไตรปิฎกนี่จริง ๆ ไม่มีอรรถกถาเลยใช่มั้ยครับ ?
    ตอบ : พระไตรปิฎกนี่จริง ๆ ไม่มี อรรถกถานี่ประเภทที่เรียกว่าเห็นว่ากระดูกเยอะไป เติมน้ำให้หน่อยอะไรอย่างนี้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะแทะไม่ออกแล้วเสร็จแล้วก็ใบฎีกา แล้วก็อธิบายอรรถกถา อนุฎีกา อธิบายฎีกาใช่มั้ย ? เสร็จแล้วก็ยังมีเกจิอาจารย์ อธิบายอนุฎีกาอีกอันนี้อีก ยิ่งมาต่อปีกต่อหางยิ่งยาวไปเรื่อย อย่างเช่นว่า ถ้าหากว่ากล่าวถึงพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎกก็จะว่าพระพุทธเจ้าเกิดในตระกูลศากยะอย่างนี้ เสด็จออกบวชเมื่ออายุ ๒๙ ปี ต่อมาอรรถกถาก็ พระพุทธเจ้าเกิดในตระกูลศากยะใช่มั้ย ? มีบิดาชื่อนั้น มีมารดาชื่อนั้น แต่งงานเมื่อนั้น มีบุตรเมื่อนั้น เสด็จออกบวชเมื่อนั้นอย่างนี้ พอใบฎีกาเขาจะต่อปีกต่อหางไปอีก มีภรรยาชื่อนั้น พี่น้องชื่อนั้นอะไรอย่างนี้ มันก็จะเยอะขึ้น ๆ ไปเรื่อย ถ้าหากว่าอรรถกถานี่ยังเชื่อได้เพราะว่า อรรถกถาเป็นสัมภิทาญาณแล้วหลังจากนั้นเขาก็จะอธิบายเฝื่อมากขึ้น เพราะว่ามันจะอยู่ลักษณะที่เรียกว่าเหมือนจะพยายามเอาความเก่งของตัวเองมากลบความเก่งของคนเก่า ในเมื่อในลักษณะนั้นมันก็จะจิตมันก็จะประกอบไปด้วยกิเลสด้วยอะไรด้วยมันก็จะอธิบายเข้าป่าเข้าดงไปก็เยอะ
    ถาม : อย่างพระสูตรนี่ พระพุทธเจ้าท่านจะดูตามเฉพาะบทบาลีอย่างเดียวเหรอครับ แนวเรื่องมันไม่ได้ต่อกันเลย ?
    ตอบ : เขาเอามาจัดอยู่เป็นหมวดหมู่เดียวกัน เพราะว่าจะเป็นเนื้อหาในลักษณะที่สอนคนประเภทเดียวกัน อย่างเช่นว่า พระสูตรแต่ละสูตรนี่จะสอนคนในลักษณะอย่างนี้ ๆ ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปลายแล้วจบลงในลักษณะอย่างนี้ ท่านจะขึ้นหัวแล้วสรุปท้ายตั้งแต่ เอวัมเมสุตัง ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ เอกังสะมะยังภะคะวา สมัยหนึ่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า.... ไล่ไปเรื่อยแล้วก็จะมาสรุปลงท้าย อิทะมะโว จะภะคะวา ปัญจวัคคียาภิกขุ ภะคะวะโตภาสิตัง พระปัญจวัคคีพอได้ฟังภาษิตก็คือ คำเทศน์ของพระพุทธเจ้าแล้วอย่างนี้นี่ก็จะไล่ลงไปว่าผลเป็นอย่างไร ขึ้นต้นอย่างไร เนื้อหาอย่างไร สรุปอย่างไรนี่ ละเอียดมากมาสมัยหลัง ๆ ตัดออกเยอะ ยิ่งถ้าหากว่าเกี่ยวกับชาดกต่าง ๆ ซึ่งเราเห็นเป็นนิทานไปเลยอย่างนี้ เขาจะตัดหัวตัดท้ายหมดเหลือแต่เนื้อหาที่มา ๆ อย่างไรไม่บอก ผลลัพธ์รับอย่างไรก็ไม่บอก มันจะทำให้เสียผลถ้าหากว่าคนที่ไม่ใช่ประเภท อุคคติติญญู คือประกอบไปด้วยปัญญาอย่างยิ่งฟังแค่เนื้อหาแทงตลอดเลย ก็จะเสียผลไปเลย เพราะส่วนใหญ่ชาดกแต่ละเรื่องจะเริ่มจากว่ามีสาเหตุมาจากอะไร อย่างเช่นว่าทำไม พระโลลุทายี นิสัยเสียขนาดนี้ ทำอะไรก็จับจดโลเลมีแต่สิ่งผิดพลาดอยู่ตลอด พอคนเขากล่าวนินทาขึ้นมา พระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงถามว่าภิกษุทั้งหลายเธอพูดกันด้วยเรื่องอะไร พอพูดกับถึงเรื่องนี้เสร็จแล้วท่านก็อธิบายว่า โลลุทายีไม่ได้เป็นชาตินี้ชาติเดียว อดีตชาติเขาเป็นมาอย่างนี้ ๆ ท่านเกิดเป็นคนนี้ ๆ ว่าไปเรื่อย ๆ แล้วก็สรุปว่า อะหังเอวะ ตัวตถาคตเองก็เกิดเป็นอย่างนี้ ท่านโลลุทายีเป็นผู้นี้ ท่านผู้นี้เกิดเป็นอะไรอย่างนี้ พอสรุปเสร็จเรียบร้อยคนฟังก็บรรลุมรรคผลเป็นแถว ของเราเองยังไม่ได้อะไรเลย เพราะว่าไม่ได้ตรองตามในปัญหาในเนื้อหาตามที่ท่านว่ามา เพราะว่าคนมี ปัญญาเขาตรองตามเออ... ขนาดพระพุทธเจ้าเองท่านก็ยังเวียนตาย เวียนเกิดไม่รู้จบเนาะ กว่าจะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ท่านเองก็ต้องทุกข์ต้องยากมาอย่างนี้ แต่ละท่านแต่ละองค์ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ๆ แรงกรรมมันหนุนส่งเป็นอย่างนี้ ถ้าเกิดอีกมันก็จะทุกข์อีก เป็นแบบนี้เราอย่าเกิดอีกดีกว่า จะมีการสรุปท้ายอะไรด้วย ลักษณะท่านตรองตามด้วยปัญญา ดังนั้นว่า ทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ท่านเน้นเอามรรคผลทั้งนั้น เพียงแต่สมัยนี้หลวงพ่อท่านบอกว่าสัญญาและปัญญาของคนมันทรามลงไม่ได้คิดถึงตรงจุดนี้ ฟังเอามันอย่างเดียวก็มี หรือไม่ก็อยากรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงแค่นั้นเอง

    ถาม : แล้วเรื่องที่ต่อเนื่องอย่างนี้เราก็จะพบอยู่ในอรรถกถา ?
    ตอบ : จะมีอรรถกถาที่ท่านอธิบายอยู่แต่ว่าเนื้อหายังไม่ละเอียดอย่างที่บอกแล้วว่า ส่วนใหญ่ก็ประเภทเนื้อล้วน ๆ อย่างนี้ถ้าใส่น้ำลงไปหน่อยค่อยคล่องคอขึ้น
    ถาม : เลยมีความรู้สึกว่า เอ้... พระพุทธเจ้าเวลาท่านเล่าเรื่องท่านตรัสเป็นบท ๆ อย่างนี้หรือเปล่าหรือท่านเล่าเป็นเรื่องกันแน่ ?
    ตอบ : จะเป็นเรื่องไป แต่ว่า แต่ละเรื่องแต่ละตอนไม่ได้ต่อเนื่องกันเพียงแต่ว่าพอถึงเวลาสังคายนาเขาจะมาจัดเป็นหมวดหมู่เข้า พอจัดหมวดหมู่เข้า อันที่เป็นพระวินัยก็เป็นพระวินัย ท่านอาจจะประเภทวันนี้เทศน์พระสูตรไปซักครึ่งวันอย่างนี้ อยู่ ๆ มันมีเรื่องราวเกี่ยวกับพระวินัยขึ้นมา ก็ต้องเรียกสงฆ์มาประชุมกัน ตรัสถามว่าเธอทำอย่างนี้จริงมั้ย ? เสร็จแล้วก็โทษของการที่ทำอย่างนี้เป็นอย่างไร ? ประโยชน์ของการละเว้นเป็นอย่างไร ? แล้วก็บัญญัติเป็นข้อห้ามขึ้นต่อสงฆ์ทั้งหลาย ก็อาจจะเป็นว่า วันนี้อย่างนี้ วันนี้อย่างนี้สลับกันไปกันมา แต่ว่า พระอานนท์ ท่านจำได้ทั้งหมด ท่านก็เอามาจัดหมวดหมู่ตอนสังคายนาพระไตรปิฏก เนื้อหามันก็เลยเหมือนอย่างกับว่าบางทีมันกระโดดไม่ได้ต่อเนื่องกันไม่ได้อะไรกัน
    ถาม : อ่านตามบทแปลของบาลีอย่างเดียวนี่ไม่ต่อเนื่องกันเลยครับ ?
    ตอบ : ไปคนละทิศคนละทาง ยังดีว่าท่านมาแยกหมวดแยกหมู่นี่พวกเราสบายกันเยอะ ไม่งั้นมันต้องคลำกันทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ กว่าจะเจอส่วนที่ตัวเองชอบ
    ถาม : ฉบับสยามรัฐนี่ผิดตัวเดียวเท่านั้นเหรอครับ ?
    ตอบ : ไม่ได้ผิดหรอก เพี้ยน (หัวเราะ) ไม่ถือว่าผิด คำเดียวเท่านั้น

    ถาม : แล้วฉบับภาษาไทยล่ะครับ ?
    ตอบ : ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดของเขา แต่ส่วนใหญ่แล้วมันก็จะเป็นไทยที่ต้องแปลเป็นไทยอีกทีพอเป็นไทยที่ต้องแปลเป็นไทยอีกทีคนอ่านถ้าไม่คุ้นกับภาษาไทยโบราณก็เรียบร้อยเลย เจ๊งสนิท สมัยก่อนเขาว่าอะไรนะ ปลูกเรือนใกล้ท่าไม่มีน้ำจะกิน ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน อยากขึ้นสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด ปลูกเรือนใกล้ท่าไม่มีน้ำจะกิน บ้านอยู่ริมน้ำไม่มีน้ำจะกินน่ะ ลูกบ้านนั้นขี้เกียจบรรลัยเลย ตักน้ำขึ้นบ้านแค่นั้นมันยังไม่ตัก ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ ก็สไตส์เดียวกัน เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน อันนี้เขาหมายถึงว่าประเภทที่ว่าถึงเวลาชาวบ้านใส่บาตรเลี้ยงพระไปเรื่อย บทจะเอาจริงขึ้นมาพระเอาแต่ขี้เกียจ กินแล้วนอนสวดมนต์ไหว้พระอะไรไม่ป็นสักอย่าง ถึงเวลาจะจัดพิธีสงฆ์อะไรก็ทำไม่ได้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน อยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด สมัยก่อนส่วนใหญ่จะเป็นใบลานหรือไม่ก็กระดาษสาอะไรที่เป็นพับ ๆ ถึงเวลาจารึกเป็นคำสอนเป็นพระสูตร เป็นพระวินัย พระอภิธรรมเสร็จก็จะห่อผ้าเก็บไว้ อยากไปสวรรค์ต้องไปแก้ผ้าในวัด ไปแกะอ่านเอาเอง
    ถาม : นึกว่าให้ไปแก้ผ้าจริง ๆ ?
    ตอบ : ยายบ๊อง ขืนไปแก้ผ้าจริง ๆ พระ เณรแตกตื่นหมด




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.grathonbook.net/book/24.html
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ตอบ : มีอยู่ครั้งหนึ่งมางานศพ หลวงปู่ธรรมชัย ที่วัดเทพศิรินทร์ หลวงปู่มรณภาพวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ มรณภาพก่อน หลวงปู่มหาอำพัน ๒ ปีคราวนี้พระผู้ใหญ่ท่านก็มากราบศพหลวงปู่ธรรมชัยกันมาก สมเด็จพระญาณสังวร ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชก็มา สมเด็จญาณฯ นี่ร่างกายท่านไม่ค่อยแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เวลาเดินท่านลากเท้าไปกับพื้นน่ะ ลากแบบถู ๆ ไปกับพื้น ถ้าหากว่าใครใส่รองเท้าในลักษณะนั้นก็คือพังเร็ว

    คราวนี้ ศาลากวีเนรมิตร ที่ตั้งศพหลวงปู่ครูบาธรรมชัยมันจะมียกชั้นขึ้นมาประมาณสักฝ่ามือหนึ่ง แล้วก็จะเป็นพื้นศาลาข้างบน เราก็ตายล่ะวาพระผู้ใหญ่เป็นสิบเป็นร้อยยืนไหว้สมเด็จพระญาณสังวรกันหมด ไม่มีใครไปเตือนท่านสักองค์หนึ่งว่า ตรงนั้นน่ะถ้าลากเท้าต่อในลักษณะนั้นน่ะหน้าทิ่มแน่เลย เราก็เลยพรวดเดียวเข้าไปถึงจับแขนท่านบอกพระเดชพระคุณขอรับ มันเป็นขั้นอยู่นะครับ ยกเท้าขึ้นนิดหนึ่ง ท่านก็ เออ...เออ...ขอบใจนะ แล้วท่านก็ยกเท้าก็เดินไป เราก็ประคองท่านเข้าไปจนกระทั่งท่านกราบหลวงปู่เสร็จเรียบร้อย ประคองท่านนั่งกราบท่านเสร็จแล้วเราก็กลับที่เดิม พระข้างหลังเขาซุบซิบกันว่า พระองค์นั้นมาจากไหนทำไมไม่กลัวสมเด็จ ฯ ท่านเลย เราก็ได้แต่นึกในใจว่าอยู่กับดวงอาทิตย์มาทั้งดวงไปกลัวอะไร (หัวเราะ)

    โอ้โห... อยู่กับหลวงพ่อนี่อกสั่นขวัญแขวนน่ะ ไม่มีใครอยู่กับหลวงพ่อได้อึดกว่าอาตมาอยู่แล้ว นี่กล้ายืนยันเลย เพราะว่า ๖ ปีสุดท้ายเฝ้าหน้าห้องให้หลวงพ่อมาตลอดโดนเข้ากระเจิงหมด เวลาหลวงพ่อด่าแล้วเขาอยู่ไม่ได้ เขารู้สึกมัน... ไอ้ที่เรียกว่าจะขาดใจตายน่ะ ขอเผ่นก่อน ไม่กล้าสู้หน้าหลวงพ่อ ของเราน่ะ....มันคิดอยู่อย่างเดียวว่า หลวงพ่อด่าเพราะอยากให้เราได้ดี ถ้าเราแก้ไขในสิ่งที่เป็นความผิดต่อไปมันจะไม่ผิดอีก แล้วส่วนใหญ่หลวงพ่อด่าท่านจะด่ากลางคนหมู่มาก ด่าให้จำมันจะได้เข็ด เคยโดน... รู้สึกเลยล่ะว่าหัวหูมันร้อนวูบวาบไปหมด แต่ว่าแล้วเราจะจำนานมันจะไม่ผิดอีก

    ตัวอย่างคนอื่นเขาโดนด่าแล้วมันเข็ด เอาใครดีล่ะ... พี่บัญชา สึกไปแล้ว ตอนนั้นประมาณปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อท่านจัดการสะเดาะเคราะห์มันจะมีงานลอยกระทง มีคนเข้าไปดูดวงมา พวกพี่เปี๊ยกนี่แหละ พี่เปี๊ยกสมพร บุญยเกียรติเปลี่ยนชื่อเป็น คณิตพร ไปแล้วมั้ง นั่นล่ะ พี่เปี๊ยกแกเป็นครูมโนด้วย ก็ชอบดูหมอด้วยก็ดูราหูจะเข้าทำอย่างไรหลวงพ่อก็แนะนำวิธีรับให้ต้องทำกระทง หลวงพ่อก็แนะนำวิธีรับให้ต้องทำกระทงกี่กระทง ดอกไม้กี่กระทงธูปเทียนธงอะไรเท่าไหร่แล้วเสร็จแล้วก็เอาไปลอย ลักษณะเป็นการบูชาพระเคราะห์ วันแรกมา ๔ กระทง ลูกศิษย์หลวงพ่อทำอะไรมันเห่อตามกัน วันที่สอง ๑๑ กระทง วันที่สาม ศาลานวราช ไม่มีที่พอให้วางกระทง ข่าวมันเร็วขนาดนั้นน่ะ

    คราวนี้ในช่วงก่อนที่จะไปลอยกระทงสะเดาะเคราะห์ หลวงพ่อท่านจะชุมนุมเทวดา เสร็จแล้วก็ถามท่านท้าวมหาราช ท่านว่าใครมีเคราะห์กรรมอะไรที่ต้องแก้ไขเป็นพิเศษบ้าง จะได้สงเคราะห์เขาเป็นรายตัวไป ท้าวมหาราชท่านก็จะบอกหลวงพ่อท่านก็จะบอกเออ.... หมายเลขนั้นนะชื่อนั้นชื่อนั้นต้องทำอย่างนั้น ๆ พิเศษกว่าเขา คราวนี้อ่านไป ๆ ไล่ไปถึงหมายเลข ๑๑ ใครหว่า ? โคตรแม่มันลายมือยังกะไส้เดือน ใครจะไปอ่านของแม่มันออกวะ พี่บัญชาเขาคนเขียน คนมันมาเป็นร้อย ๆ น่ะ แล้วเวลาหลวงพ่อท่านกำลังจะลงรับแขกก็ต้องรีบเขี่ยให้เสร็จใช่ไหม ? พี่ท่านก็คงจะไม่ได้เจตนาให้หลวงพ่ออ่านยากหรอก พอโดนด่าเต็ม ๆ ท่านนั่งหน้าเขียวอยู่ตรงนั้น ทำอะไรไม่ถูกเลยนะจะตายเอาน่ะ โดนแค่นั้นนะไม่ได้โดนด่าแบบเราชนิดจิกหัวด่า หลวงพ่อท่านพูดลอย ๆ น่ะ แกนั่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น

    จนกระทั่งทำพิธีเสร็จ ๔ โมงเย็นหลวงพ่อเลิกจะรับแขกใช่ไหม เห็นว่าขืนปล่อยอยู่ตรงนั้นนี่คืนนี้มันขาดใจตายแน่เลย เดินผ่านว่า เออ...เป็นไงบัญชา วันนี้ขายของได้เท่าไหร่หว่า ? ขายดีไหมลูก ? ขายดีครับ พ่อ เออ...ค่อยหน้ามีสีเลือดขึ้นมาหน่อย ถ้าขืนโดนซ้ำอีกที ตายอยู่ตรงนั้นน่ะ ไม่ต้องไปไหนหรอก

    นั่นน่ะลักษณะนั้นน่ะ แล้วจะกลัวหลวงพ่อกันมากเป็นพิเศษ ถึงว่าถ้าไปได้ถามประวัติวัดท่าซุงนะจะเห็นสังโฆอัปปมาโณ คุณของพระสงฆ์ประมาณไม่ได้ยังไง

    มีโยมบางคนเขามาปรารภ หลวงพี่เจ้าขาไม่ทราบว่าพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ พยายามพิจารณายังไงก็พิจารณาไม่ออก เราเองนั่งอยู่หน้าห้องยามหลวงพ่อ เออโยม เคยเดินรอบวัดหรือยังล่ะ ยังเจ้าค่ะ เออไปเดินนะโยมนะ เดินให้รอบวัดเดี๋ยวก็เห็นเอง เสร็จแล้วโยมเขาไปเดินหายไปสัก ๒ ชั่วโมง กลับมาเหงื่อหยดติ๋งเลย เป็นไงจ๊ะโยม เห็นบ้างหรือยัง ? ยังเจ้าค่ะ เออ... มันโง่ มันน่าเดินอีกรอบหนึ่งนะ บอกโยมลองคิดดูสิว่านี่คือศรัทธาที่ชาวบ้านเขาถวายมาสำหรับพระองค์หนึ่งพระแก่ ๆ องค์หนึ่งเลยน่ะ ถ้าหากว่าท่านไม่ได้สร้างบารมีมาถึงขนาดนี้ใครเขาจะให้ วัดท่าซุงตอนนั้นการก่อสร้าง ๓๐๐ ล้านกว่า ๆ เกือบ ๆ ๔๐๐ ล้านแน่ะ แต่ว่าทางพวกวิศวะเขาไปตีราคาเขาบอกว่าประมาณ ๔ พันล้านบาทเป็นอย่างน้อย ๔ พันล้านนี่ถ้าเป็นงบประมาณของกรมอะไรสักกรมหนึ่งมันก็ไม่มาก ถ้ายิ่งของกระทรวงยิ่งน้อยใหญ่เลย แต่ลองนึกถึงหลวงตาแก่ ๆ องค์หนึ่งอยู่วัดบ้านนอกด้วย มีคนเอาเงินไปถมวัดให้ ๔ พันล้านมันเป็นยังไงล่ะ ? คราวนี้เห็นสังฆคุณบ้างหรือยัง ? ถ้ายังไม่เห็นไปเดินอีกรอบหนึ่ง เอาให้เข็ด

    หลวงพ่อท่านขึ้นพระไง พระชำระหนี้สงฆ์หน้าตัก ๔ ศอก ตอนแรกก็อยู่ข้างศาลา ๒ ไร่ ๒๘ องค์ เสร็จแล้วก็มาใหม่ขึ้นที่ที่ของโยมมา ๑๒๐ องค์ แล้วก็มาขึ้นที่ศาลา ๒ ไร่ ๒๐๙ องค์ แล้วก็ไปขึ้นที่หน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร ๖๘ องค์ แล้วตอนนี้ที่รอบที่ธุดงค์ ๑๐๐ ไร่กับที่ห้องกรรมฐาน ๒๕ ไร่ มิปาเข้าไป ๓- ๔๐๐ องค์เหรอ ? ลองคิด ๆ ดูว่าพระประธานหน้าตัก ๔ ศอกน่ะ เป็นพันองค์แล้วนะ หลายวัดในประเทศไทยยังหาพระประธานขนาดนั้นยังไม่ได้เลย

    อาตมาไปทำเป็นพระประธานไว้ที่ ศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษี เขาบอกพระประธานที่ใหญ่ที่สุดของ อำเภอทองผาภูมิ ไม่มีใครใหญ่กว่านี้อีกแล้ว ของวัดท่าขนุนเขา ๓๐ นิ้ว แล้วคิดดูว่าทั้งชีวิตเขาสร้างกันไม่ได้แต่หลวงพ่อว่าทีละหลายร้อยองค์ อันนี้ต้องถาม ช่างประเสริฐกับช่างจำเนียร อยู่วัดตั้งแต่เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ ๆ จนกระทั่งวันนี้หลานโต แล้วงานยังไม่หมดเลย คราวนี้รู้หรือยังว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปมาโณเป็นยังไง? ไม่งั้นจะไล่มันไปเดินเอาให้เข็ด วิหาร ๑๐๐ เมตร โคมไฟทั้งหมดถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่า ๑๓๗ ช่อมั้ง ช่อหนึ่งแสนสี่หมื่นกว่าบาท บริษัทเขาต้องส่งคนของเขามาทำความสะอาดฟรีให้ทุกปี เขาบอกว่าหลวงพ่อสั่งซื้อเขานี่เขาไม่ต้องสั่งนำเข้าไป ๕ ปีก็ได้ ภายใน ๕ ปีมันจะขายได้ไหม ร้อยสามสิบกว่าช่อเนี่ย ? เขายอมลดให้หลวงพ่อตั้ง ๓๐-๔๐ % เพราะสั่งเขามาก

    ( เรื่องเป่ายันต์เกราะเพชร)

    ท่านสังเวียน ท่านจะมาสวดปาติโมกข์ให้ประจำ วัดท่าขนุน เขาไม่รู้หรอกว่ามีพิธี แต่เขาบอกว่าเขาฝันเห็นคืนนั้น ว่าเข้ามาในวัดท่าขนุนน่ะ ต้นโพธิ์ใบมันกลายเป็นธรรมจักรหมดเลย แล้วพระทุกองค์ในวัดเหมือนยังกับปิดทองเหลืองอร่ามไปหมด พระสงฆ์นะไม่ใช่พระพุทธแล้วเสร็จแล้วก็เลยบอกเขาว่าเออ... มัน่าจะปิดทองอยู่หรอกเพราะว่าเพิ่งเป่ายันต์ไปนะ เพียงแต่ว่ามันจะรักษาทองไว้ได้นานเท่าไหร่เท่านั้นเอง

    ส่วน พ่อเจ้าอ้อย คนอื่นเขาโดนผีหลอก พ่อไอ้อ้อยโดนพระหลอก รายนี้ก็เมาเช้าเมายันค่ำเหมือนกัน เมาชนิดที่ว่าเราโทรไป เขาวิ่งไปตามแม่เจ้าอ้อย บอกหลวงพ่อโทรมา แม่เจ้าอ้อยถามว่าละเมอหรือเปล่า ? (หัวเราะ) มันเมาซะจนคนเขาไม่เชื่อน่ะ คราวนี้วันนั้นเขาอยู่คนเดียวนี่ แม่เจ้าอ้อยกับน้าเขามาเป่ายันต์ที่วัด เขาได้ยินพระสวดมนต์ที่หิ้งพระ ไอ้เราเคยให้พระไปแกไม่สนใจหรอกแกก็วางกองไว้บนหิ้งนั่นแหละ

    คราวนี้แกได้ยินพระสวดมนต์แกก็ไปหยิบมาฟังทีละองค์ องค์ไหนสวดวะ ? (หัวเราะ) มันฟังซะหมดทั้งหิ้งแล้วสรุปไม่ได้ว่าองค์ไหนสวด (หัวเราะ) บอกเป็นเรื่องที่ตลกมากเลย คนอื่นเขาโดนผีหลอก อีตาอัมพร โดนพระหรอก (หัวเราะ) ดีไม่ดีงานหน้าเขาอาจจะนึกอยากมาเป่ายันต์ก็ได้ แต่อย่างของ ผู้หมวดมนัส นั่นของเขาอัศจรรย์จริง ๆ เพราะว่ากินเหล้ามาตลอดชีวิตเลย แล้วกินหนักขนาดต้องกู้เงินเขามาซื้อกิน ประเภท ๒ วัน เบียร์ ๒ ลัง ไม่พอกิน....เลิกซะเฉย ๆ งั้นล่ะ แต่ว่าแกอธิษฐานเป็นจริง ๆ นะ แกเล่นท้าใครไม่ท้า ... ท้าพระเลย เออ...ถ้ายันต์เกราะเพชรแน่จริงต้องทำให้แกไม่อยากเหล้า ถ้าแกไม่อยากเหล้าแกจะไม่กิน เลิกเอาดื้อ ๆ เล่นเอาคนเขาแตกตื่นกันทั้งอำเภอ ตอนนี้กำลังรอ รอเด็กมันคลอด เพราะว่ามีอยู่ ๒ รายที่ไปเข้าพีธี

    ถาม : คลอดเมื่อไหร่คะ ?
    ตอบ : ยังไม่รู้เลย ไม่ได้ถาม เดี๋ยวคลอดเมื่อไหร่ถ้าเป็นผู้ชายเขาก็จะส่งข่าวมาเองแหละว่าลายไหมเดี๋ยวกลับไปจะดูแมวว่าแมวลายหรือเปล่า เพราะไอ้ตัวที่มันเดินแกว่งอยู่ในพิธีมันคลอดแล้ว ๔ ตัว ตามที่อาตมาบอกแป๊ะเลย
    ถาม : แล้วมันท้องแรกเหรอคะ ?
    ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน คลอดแล้ว .... หลังงาน ๔ วัน
    ถาม : สีอะไรบ้างคะ ?

    ตอบ : ยังไม่ได้ไปดูเลย ท่านพงศ์ เขาเข้าไปดูคนเดียว เพราะว่าแมวนี่ถ้าไปกวนเขามาก ๆ เดี๋ยวมันคาบลูกหนี แปลกเหมือนกัน เผื่อเป็นท้องแรกแล้วมีตัวผู้จะดูซิว่ามียันต์ติดหรือเปล่า ไม่เคยมีในตำรานะ เขามีแต่คนใช่ไหม ? ถ้าเกิดเป็นผู้ชายจะมียันต์ติดตัว ไอ้นี่แมว ตอนทำพิธีมันเดินไปเดินมาอยู่น่ะ มันหาที่คลอด มันเลยไปเข้าพีธีโดยอัตโนมัติ

    เรื่องพระต้องถาม ยายเจี๊ยบ เมื่อวานนี้ เขามานั่งถาม ๆ ปัญหาตรงนี้ ก็ส่งให้ เทพฤทธิ์ เขา ยัยนั่นก็มือไวคว้าหมับไปดูเสร็จ....โอ้โห....พระศักดิ์สิทธิ์จังเลย ก็ยังสงสัยว่าอะไรมันขนลุกทั้งตัวลูบเท่าไหร่ก็ลูบไม่ลง รายนั้นสมาธิเขาดีทรงอารมณ์วิปัสสนาญาณได้เป็นปกติเลย เขาได้อยู่ในระดับที่ว่าอยู่ก็ได้ตายก็ดีน่ะ พร้อมที่จะไปแล้ว
    ถาม : ทรงฌานเหรอคะ ?
    ตอบ : อันนั้นเป็นวิปัสสนาญาณจ๊ะ
    ถาม : ต่างกับทรงฌานยังไง ?
    ตอบ : ฌานอย่างเดียวน่ะมันบื้อ ถ้าวิปัสสนาญาณปัญญามันมี
    ถาม : อย่างงั้นก็ต้องยากกว่าใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ง่ายกว่า ทรงฌานต้องเสียเวลาไปนั่งภาวนา วิปัสสนาญาณเราก็พิจารณาไปเลย
    ถาม : แล้วทำยังไงถึงจะทำแบบเขาได้ ?

    ตอบ : ทำแบบเขา....(หัวเราะ) ก็ทำแบบเขา กำปั้นทุบดินดีมั้ย ? เขาเอาใจขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าเป็นปกติ แล้วเสร็จแล้วก็พิจารณาอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งใสเป็นแก้วทั้งองค์ แล้วก็ค่อยกราบลาพระลงมา แล้วก็ประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ ตัวนี้แหละคือการใช้มโนมยิทธิที่ถูกต้องตามที่หลวงพ่อต้องการ คนอื่นที่เอาไปดูอดีต ไปดูปัจจุบัน ดูอนาคต ถ้าดูแล้วไปยึดล่ะเจ๊งหมด ทุกรายแหละ แต่ว่ารายนี้เขาทำตรงพอดี เขาจะขึ้นไปกราบพระข้างบนพิจารณาจนกระทั่งใจของเขาใสสว่างสะอาดหมดทั้งดวง แล้วก็ประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ เขาก็เลยสงสัยตอนนี้เขาผิดปกติหรือไง อะไรก็เฉย คนเขาด่าก็ยิ้มเฉย พอมันด่าเสร็จแล้วก็ไป ฟังเขาด่าได้ตลอดโดยที่ไม่คิดอะไรเลยน่ะ มันได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้เห็นสักแต่ว่าได้เห็น ไปแล้วรายนี้ถ้าไม่ยั้งไว้อีกไม่นานตายเพราะว่ามันใกล้จุดสุดท้ายเต็มทีแล้ว

    ถาม : ยั้งเอาไว้ให้ช่วยกัน ...?
    ตอบ : เขาบอกว่า ตอนนี้ความรู้สึกผูกพันระหว่างครอบครัวมันไม่มี ที่เคยรักก็เฉย ๆ ที่เคยเกลียดก็เฉย ๆ มันไม่รักไม่เกลียดไปแล้ว ถ้าใครฟังปฏิปทาท่านผู้เฒ่าบ่อย ๆ จะจำได้ ตรงจุดนี้จะเป็นสุดท้ายของอารมณ์ที่หลวงพ่อท่านบอก ไม่รักในฐานะที่ควรรัก ไม่เกลียดในฐานะที่ควรเกลียด ไม่ขัดเคืองในฐานะที่ควรขัดเคือง อันนั้นขนาดคนข้างบ้านด่าก็ยืนฟังเขาด่าจนตลอด ประเภทให้กำลังใจมันหน่อยมันด่าแล้ว พอฟังเสร็จเรียบร้อยเขาด่าจบแล้วก็ไป เฉย ๆ ไม่ได้ติดหูมาซักกะคำเดียวเลย ของพวกเราอย่างน้อย ๆ ก็เก็บมาคิด ของเขานี่ตัวความคิดปรุงแต่งมันไม่มีแล้ว มันจบแล้ว ใครเอาอะไรมา ก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ

    ถาม : แล้วไปยืนฟังเขาทำไมล่ะคะ ?
    ตอบ : ให้กำลังใจมันหน่อย มันอุตสาห์มาด่าแล้ว ถ้าไม่ยืนฟังเดี๋ยวมันไม่มีอารมณ์จะด่า สงสารมันน่ะ นึกออกมั้ย ? ที่พูดมาพวกเราก็ทำได้ แต่ว่าทำแล้วมันไม่ทรงตัวอย่างเขา มันได้แป๊บเดียว มันได้ตอนที่มีสติ พอขาดสติไปไหลตามตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเมื่อไหร่มันก็ขาดไปด้วย ของเขานี่เขาควบคุมมันได้ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส ป้องกันไม่ให้มันเข้ามาในใจ แรก ๆ ต้องระวังป้องกันมันอยู่ พอนานไป ๆ ไม่ต้องระวังแล้วเพราะไม่เก็บเอาไว้เลย ฟังดูง๊าย...ง่าย เนอะ


    ถาม : แล้วอย่างนี้เวลาเขาก็ทำงานปกติก็เป็นคนประหลาดสิคะ ?
    ตอบ : ก็ประหลาดไงถึงได้บอกเขาบอกว่า คิดว่าเราทำหน้าที่รอเวลาตายเท่านั้น เพราะฉะนั้นงานของเรา ๆ ก็ทำให้มันดีที่สุด หลังจากนั้นแล้วมันจะเป็นยังไงก็เรื่องของมัน เราก็ไปนิพพานของเรา เมื่อวานลองไล่อารมณ์ให้เขาดูหลายอย่างมันตรงกันหมด ถ้าตรงกันหมดนี่เราก็โอเค ไม่ใช่ว่าโอเคอะไรหรอก โอเคว่าที่เราทำมา เออ.. มันก็คล้าย ๆ เขา นี่ก็พัฒนาการอย่างหนึ่ง คล้าย ๆ พัฒนาการทางจิตน่ะ อ่านแล้วแคะประโยชน์ของมัน
    ถาม : คนที่ทำแบบนี้ได้แล้วเขาต้องได้อะไรตามมาเยอะ ?

    ตอบ : เยอะหรือไม่เยอะรายนี้เขาอยู่ ๆ ก็ได้ ทิพจักขุญาณ ขึ้นมาเองแล้วก็ไปเที่ยวไล่ช่วยชาวบ้านเขา แล้วเขาก็ช่วยแบบประเภทที่เรียกว่าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ อย่างเมื่อวานนี้เล่าให้ฟังว่าเขาไปเจอโยมคนหนึ่งไม่สบาย เสร็จแล้วมาถึงก็บอกว่าเธอได้ตาในไม่ใช่เหรอ ? ดูให้ฉันทีสิฉันเป็นอะไร ? เขาไม่ยอมเล่าอาการให้ฟัง รายนี้พอจับมือเขาเสร็จก็บอกว่าอันนั้นไม่ดี อวัยวะส่วนนั้นบกพร่อง ส่วนนี้บกพร่อง รายโน้นเขาก็บอกว่าจริง เขาเป็นอยู่ตามที่ว่ามา แล้วหมอก็รักษาไม่หายด้วย รายนี้เขาก็มาถามว่าแล้วเขาจะทำยังไงดีบอกแหม .... มันน่าแขกกะบาล คือตัวเขาเองน่ะ หมอชีวกโกมารภัจน์ ท่านมาบอกว่าให้เรียนวิชาหมอแล้วท่านจะช่วย แหม... บรมครูหมอมาขนาดนั้นแล้วน่ะนะ มันก็แค่กำหนดใจถามหมอเอาก็หมดเรื่องแล้วน่ะ คือเขาเองเขาได้แบบซื่อ ๆ อย่างที่หลวงพ่อบอกจริง ๆ


    (เพื่อนพาไปดูรถ) ไอ้ผีตายโหงมันก็บอกให้ยัยนี่รีบห้ามไว้อย่าขับไปเลย เพราะว่ามันอยู่เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ ผีมันก็ดีนะมันอุตสาห์บอกน่ะ เสร็จแล้วถามว่าจะทำยังไง ผีบอกว่าหาพระมาบังสกุลมันจะได้ไปเกิด เพราะว่ารถคันนี้ไปชนมันตาย แล้วเจ้าของมันลงมายืนดูเหมือนอย่างกับเขาเองน่ะเป็นตัวอะไรตัวหนึ่งก็ไม่รู้ แล้วก็ขับรถหนีไปเฉย ๆ ไม่ช่วยอะไรเขาเลย ใจเขามันผูกโกรธมันก็เลยเกาะติดรถคันนั้นมาด้วย เสร็จแล้วก็บอกว่าทำไมไม่บังสกุลให้เขาไป เขาบอกว่าไม่ต้องใช้พระทำเหรอ ? บอกถ้าต้องใช้พระทำก็นึกถึงหลวงพ่อครอบเอ็งลงมา แล้วก็ อนิจจา วต สังขารา ไปมันก็หมดเรื่องแล้ว คือของเขาน่ะมันสักแต่ว่าได้จริง ๆ มันพลิกแพลงใช้ไม่เป็น ซื่อดี ซื่อจนเซ่อเลย
    (หัวเราะ) รู้แล้วแก้ไขไม่ได้ บางทีก็เอามาแบกไว้ (หัวเราะ) อยากจะช่วยเขาแต่ช่วยไม่เป็น

    ถาม : แล้วที่เขาได้นี่ตกลงว่าเพราะศึกษาธรรมะของหลวงพ่อหรือเปล่า ?
    ตอบ : ก็...ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ ๆ มันเป็นเอง แล้วแกไปสายลมก็โดนเขาไล่กระเด็นออกมาเพราะท่าทางไม่เหมือนเขาน่ะ ไอ้คนที่เป็นมันจริง ๆ มันได้จริง ๆ มันเฉื่อย มันรักษาด้วยอารมณ์ใจตัวเอง มันไม่ร้อนไม่หนาวอะไรกับใคร คนอื่นเขาประเภทเห็นเข้าพวกกับเขาไม่ได้ก็ดีดมันออกมา อาการอย่างนี้ยังมีอีกเยอะนะ พวกม้าดีดกะโหลกมันยังเยอะ เข้าใกล้มัน ๆ ดีดออกมาหมดน่ะ (หัวเราะ ) คนเรานี่ก็แปลกนะแทนที่จะดูใจเขากลับไปดูตัว พอไปดูตัวความประพฤติไม่เหมือนกันเหมาว่าเป็น คนละพวกกันไป

    มีอยู่สมัยหนึ่งที่หลวงพ่อเอ่ยถึงพระอรหันต์ ๗ องค์ พระอรหันต์ ๗ องค์ที่มีไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงมี ๕ หรือ ๖ องค์นะ เสร็จแล้วก็ใช่สไตล์นี้แหละ เห็นว่าวัน ๆ หนึ่งก็ใช้มโนขึ้นนิพพานไปเกาะอยู่หน้าพระอย่างเดียวแล้วอยู่ ๆ ก็หมดกิเลสเอง ถามว่าหมดกิเลสยังไงก็ไม่รู้ เพราะว่ากิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมอะไรต่าง ๆ โดยเฉพาะรัก โลภ โกรธ หลง นี่มันกินได้แต่ร่างกาย ใจมันเป็นคนละส่วนกัน พอใจมันเป็นคนละส่วนกัน ถึงเวลาแล้วรู้ว่าราคะจะเกิด วิ่งไปกราบพระบนนิพพาน โทสะจะเกิด วิ่งไปกราบพระบนนิพพาน โมหะจะเกิด วิ่งไปกราบพระบนนิพพาน พอไม่มีใจอยู่คอยปรุงคอยแต่งให้พวกกิเลสต่าง ๆ ก็เกิดไม่ได้ มันก็ดับเองอัตโนมัติ มันเป็นวิธีตัดกิเลสที่สั้นที่สุดแล้วก็ง่ายที่สุดที่หลวงพ่อท่านต้องการ แต่ว่าส่วนใหญ่พอได้แล้วมันไปดูโน่นดูนี่ซะ แล้วดูแล้วแทนที่จะรู้เพื่อละก็รู้แล้วไปยึด คนโน้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะหลุดพ้นได้ ก็กลายเป็นมัดกันเป็นพวงอยู่ตรงนั้นแหละไม่ต้องไปไหนมาไหนหรอก เพราะฉะนั้นที่เขาทำน่ะเขาทำถูกโดยบังเอิญ จะเรียกว่าบังเอิญก็ไม่ใช่นะ คนอื่นทำไมไม่บังเอิญอย่างนั้นมั่ง
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : จะถามเรื่องคาถาย่นระยะทาง เราจะใช้ภาวนาคาถาเงินล้านหรือว่าภาวนาพุทโธนี่ถือเป็นการย่นระยะทางได้หรือเปล่าคะ ?

    ตอบ : จริง ๆ การย่นระยะทางมันต้องเป็นพื้นฐานของวาโยกสิณ แล้วโดยเฉพาะมันไม่ใช่วาโยกสิณตัวเดียว ลักษณะของการย่นระยะทางเป็นของผู้ชำนาญในกสิณ ๑๐ พอตั้งใจใช้กำลังของอภิญญา กำลังของกสิณอธิษฐานแล้วมันจะเป็นไป แต่ว่าเท่าที่เคยใช้ได้ผลน่ะ สัมปจิตฉามิ อาตมาเดินน่ะเขาควบมอเตอร์ไซค์ไล่ไม่ทัน เราไม่รู้หรอก เรารู้สึกว่าเราเดินปกติ

    สมัยที่ไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ แล้วเดินบิืณฑบาตไป ๕ กิโลกว่า กลับ ๕ กิโลกว่ารวมแล้ว ๑๐ กิโลเศษ ๆ น่ะ คราวนี้มันก็ขึ้นเขาขึ้นเนินตั้งหลายลูก พอไปบิณฑบาตได้พวกข้าวของมาเยอะ พอได้ข้าวของมาเยอะ ชาวบ้านเขาก็ถือมาส่ง ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เป็นพวกมอญพวกทวายที่ทำงานอยู่กับหน่วยป่าไม้นั่นล่ะ ไปอยู่กันแค้มป์ข้างบน เขาก็ถือของมาส่ง วันแรกวันสองวันสามก็มาส่ง พอท้าย ๆ มันหายกันหมด พอหายกันหมด ไอ้เราก็ไม่รู้

    พอจนกระทั่งวันหนึ่งหัวหน้าคนงานเขาบอกว่าหลวงพี่เดินเร็วจริง ๆ ครับ ถามว่าทำไมวะ ? เขาบอกปกติพวกคนงานมันเดิน ผมต้องวิ่งไล่ตาม แต่หลวงพี่เดินน่ะคนงานมันต้องวิ่งไล่ มันก็เล่ไล่กันไม่ไหว...มันเหนื่อยเขาว่างั้น เสร็จแล้วผมก็สงสัยหลวงพี่เดินยังไงผมเอามอเตอร์ไซด์ไล่ตามดูไล่ไม่ทันจริง ๆ ครับ มันว่างั้น เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้อยู่อย่างเดียวว่าเราเดินปกติ
    ถาม : ภาวนาอะไรคะ ?
    ตอบ : สัมปจิตฉามิ เพราะว่าหลววงพ่อท่านสั่งไว้ตั้งแต่บวชพรรษาแรกบอกว่าให้ภาวนาบทนี้ให้เป็นปกติ เพราะว่าบทนี้จะเป็นคาถาสำหรับสร้างอภิญญา ถ้าใครทำทรงตัวจะเหมือนกับได้กสิณ ๑๐
    ท่านบอกว่านานไปข้างหน้าบรรดาเดียรถีย์จะโจมตีศาสนาพุทธมาก โดยเฉพาะเรื่องของอภิญญาสมาบัติเขาจะกล่าวว่าเป็นเรื่องหลอกลวงกัน เมื่อถึงเวลานั้นแล้วพวกแกจะต้องไปแสดงให้เขาดูว่าเรื่องของอภิญญาเป็นเรื่องจริง ท่านสั่งให้ทำตั้งแต่พรรษาแรกเลย
    แล้วอีกครั้งหนึ่งก็เดินทางไปเยี่ยมสถานีวิจัยลุ่มน้ำแม่กลอง ก็เดินขึ้นไปดูพื้นที่การจัดการลุ่มน้ำของเขาน่ะ เดินไปเรื่อย ๆ มันก็ ๑๑ โมงครึ่งแล้ว ๑๑ โมงครึ่ง ห่างจากสถานีประมาณ ๔ กิโลเมตรเศษ หัวหน้าเขาบอกว่านิมนต์ฉันเพลด้วยครับ เพราะว่าสั่งเขาจัดของไว้แล้ว เราก็มองนาฬิกาตายห่า ! ๔ กิโลครึ่งชั่วโมง.....ยังไงก็ไม่ทันอยู่แล้วใช่ไหม ? ก็เลยต้องใช้วิธีนี้ บอกเออ.....ถ้าอย่างนั้นขอเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้วกันนะ พวกโยมตามมาทีหลังก็แล้วกัน แล้วก็เิดินของเรา ตั้งใจเสร็จเดินมา มาถึงข้างสถานีรถมันออกมาบอกว่ากำลังจะไปรับพอดีเออ.....ไปรับหัวหน้ากับคนอื่นเขามาก็แล้วกัน ไอ้ของฉันแค่นี้มาถึงแล้ว ก็...ลงไปนั่งฉันดูนาฬิกามันเพิ่งจะ ๑๑ โมง ๔๐ นาทีเท่านั้น ปรากฎว่าเขาตามมาถึงก็โน่นน่ะ แม่จุ๊บเขาบอกว่าท่านเดินยังไงเร็วขนาดนั้น จุ๊บมันวิ่งตามซะจนเลือดกำเดาไหลไล่ไม่ทัน บอกไม่รู้เหมือนกัน เราเดินปกตินี่แหละ รู้สึกว่าระยะทางมันไกลเท่าเดิม แต่ว่ามันถึงเร็ว เท่าที่ใช้ดูก็ใช้บทนี้แหละ แต่ว่าถ้าหากว่าอย่างหลวงปู่จงพาหลวงพ่อไปสุวรรณวิหารอย่างนี้ อันนั้นเป็นอำนาจของกสิณ ๑๐ ไม่ใช่ประเภทคาถงคาถาอย่างนี้หรอก
    ถาม : แล้วเวลาถ้าเราจะบวงสรวงแบบชุดใหญ่น่ะค่ะ เราจะทำในบ้านได้ไหมคะ ไม่ต้องทำกลางแจ้ง ?
    ตอบ : ต้องดูว่าเรามุ่้งหมายเรื่องอะไร ถ้าหากว่าเป็นการไหว้พระบูชาพระในร่มก็ได้ แต่ถ้าหากว่าต้องการสังเวยเทวดาเขานิยมกลางแจ้งก็ต้องกลางแจ้ง
    ถาม : ทำวันเกิดของเราค่ะ ?
    ตอบ : วันเกิดของเราต้องการเทวดาช่วยไหมล่ะ (หัวเราะ) งานของหลวงพ่อวันเกิดเมื่อไหร่นี่ท่านเชิญพรหม เชิญเทวดามาหมดน่ะนะ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วก็เป็นผู้มีคุณให้การสงเคราะห์มาโดยตลอดของเราเอง ถ้าเราจะทำก็เอากลางแจ้งดีกว่า ถ้าคนอื่นมาสงสัยก็บอกไปเลยบนเอาไว้ แก้บนน่ะ....หมดเรื่อง
    ถาม : คือ....ไม่อยากให้บ้านอื่นเขาเข้าใจผิดน่ะค่ะ ?
    ตอบ : จ้ะ ก็ลักษณะนั้นแหละ ถึงได้บอกไงถ้าเขาสงสัยบอกว่าแก้บนจ้ะ บนไว้รางวัลที่ ๑ ถูกสองตัวเท่านั้นแหละ (หัวเราะ)
    ถาม : คุณยายเพื่อนน่ะเขาให้ผีด้วยค่ะ ?
    ตอบ : ก็ไม่ผิดอะไรนี่ เลี้ยงผีด้วยก็ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอย่า เอาแบบแม่ชีกายสิทธิ์ยายชีผ่องศรีแล้วกัน ยัยนั่นไปไหนผีตามไปเป็นกองทัพเลย เพราะว่าเขา่นอกจากให้กินด้วย แล้วยังอนุญาตให้ตามด้วย ยัยนั่นไปไหนที คนอื่นจะเดือดร้อนกันไปหมดนะ เพราะถ้าคุมไม่อยู่นี่มันเอาจริง ๆ ใครที่ดวงตก คือช่วงจังหวะอกุศลกรรมเข้า เจ้าพวกนี้มันจะช่วยซ้ำ
    ถาม : เอาลูกน้องเกเรติดตัวไปด้วยหรือคะ ?
    ตอบ : ก็...เกเรไม่เกเรเขาไม่รู้ เขาเองเขาตั้งใจสงเคราะห์อย่างเดียว แล้วอนุญาตให้ตามได้ด้วย ถึงเวลากินเรียกกินด้วย
    ถาม : เวลาเราบวงสรวงที่บ้านเรากลางแจ้งเสร็จแล้วนี่นะคะ เราต้องจัดของอีกชุดหนึ่งน่ะ ไปไหว้ที่พระพรหมประจำหมู่บ้าน แต่ไม่ได้เปิดเทปบวงสรวง ตอนที่เราไปบูชาท่าน อย่างนี้....?
    ตอบ : เอาอย่างนี้สิ ตั้งใจเสร็จพร้อมกัน พอตั้งให้เสร็จพร้อมกันแล้วเราก็มาเปิดเทปในบ้านเรา ตั้งใจนึกถึงท่านด้วย ถ้าหากว่าเราตั้งในบ้านเรา เปิดเทปบวงสรวงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปตั้งที่โน่น อันโน้นผลมันจะน้อยไปหน่อย เพราะงั้นเอามันตั้งพร้อมกันไปเลย เพราะของพรรค์นี้บางทีทำผลมันกระทบกับคนรอบข้างมันมี เลี่ยง ๆ เขาได้ก็ดี
    ถาม : เหมือนกันทั้ง ๒ ชุดเลยใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : จ้ะ
    ถาม : ของที่เราใช้เวลาพิธีบวงสรวงแล้วนี่ เป็นถั่วเขียว งา ข้าวตอก ดอกไม้ ดอกไม้ที่ในชามบายศรี เก็บไว้จนแห้งแล้วเราไม่ทิ้งนี่ เวลาจะตั้งเมื่อคืนแล้วไปไว้ใต้ถุงนี่ ....?
    ตอบ : ได้จ้ะได้
    ถาม : ไม่บาปใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเราเจตนาบรรจุอะไรไปในลักษณะนั้นได้
    ถาม : ที่เกาะฯ ให้ใครดูล่ะคะ ?
    ตอบ : มีพระลูกศิษย์อยู่ ตอนนี้มีแต่จะแย่งกันจะอยู่ ไอ้ที่ ๆ มันดีทำไว้เรียบร้อยแล้ว มันแย่งกันไป ที่ไหนลำบาก มันปล่อยเราทำให้เสร็จก่อนเดี๋ยวมันถึงจะตามไป
    ถาม : ยังสงสัยนิดหนึ่งค่ะ ที่บอกว่าภาวนาคาถาสัมปจิตฉามิเนี่ย เรานั่งรถคนอื่นขับให้เราเี่นี่ย แล้วเรา่ภาวนาคาถานี้ จะช่วยทั้งคันเลยใช่ไหมคะ หมายถึงว่าไปถึงเร็ว ?
    ตอบ : ช่วยได้ แต่ว่า...ถ้ารู้สึกว่ามันเร็วกว่าปกตินะ ตอนนั้นเราอย่าเพิ่งพูด เราปล่อยมันไปก่อน คนอื่นน่ะถ้าหากว่าอำนาจของคาถามันแสดงผลน่ะ เขาจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ จะไปรู้อีกที เอ๊ะ ! ทำไมมัน ถึงเร็วแต่ว่าตัวเราถ้าตั้งใจจับอยู่นี่บางทีระยะทางมันสั้นไปเฉย ๆ
    สมัยก่อนไปทองผาภูมิ พอรู้สึกก็บอกให้คนอื่นเขาช่วยเป็นพยาน เอ้า ดูสิ ตอนนี้มัน หลักกิโลเมตรที่เท่าไหร่แล้ว บอกเขาเขียนอีก ๒๐ กิโลถึงทองผาภูมิ บอกจ้องไว้เลยนะว่าหลักกิโลต่อไปเป็นหลักกิโลที่เท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่จ้อง นั่นแหละ กิโลต่อไปคือ ๘ กิโลถึงทองผาภูมิ หายไป ๑๒ กิโล...วึ๊บเดียว
    ถาม : คาถากันหมากัดนี่ คือ....พวกหนูน่ะค่ะ โดนหมากัดไปแล้ว เราใช้คาถานี้ก่อนที่จะโดนหมากัดหรือภาวนาให้เป็นประจำคะ ?
    ตอบ : ภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว เพราะว่าถ้าหากว่าสมาธิไม่ทรงตัว...ให้มันขึ้นเต็มที่ไปสักครั้งหนึ่งก่อน ได้ตามอารมณ์ของสมาธิสูงสุดครั้งหนึ่งก่อน อย่างที่เขาเรียกว่าทำให้คาถามันขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็ภาวนาเป็นปกติ
    เช่น ถึงเวลาก็นึกถึงบ้าง หรือว่าแบ่งเวลาไปเลยว่าภาวนาคาถานี้กี่นาทีโน้นกี่นาทีไล่ไปเลย หรือว่าภาวนาคาถานี้กี่จบคาถาโน้นกี่จบ ซ้อมเอาไว้ไม่งั้นสนิมมันจะกิน ไม่ใช่ว่าถึงเวลาปึ๊บหมาวิ่งมาค่อยไปภาวนา ตอนตกใจกลัวเข้าสมาธิหายเกลี้ยงเลย เดี๋ยวก็โดนงับกระจายอยู่ตรงนั้น นี่...ตรงท่ารถตู้นี่จะมีหมาดำ ๆ อยู่ ๒ ตัว ลองเดินไปดูสิ มันกัดเอาจริง ๆ นะนั่นน่ะ นี่เดินไป ๒ วันแล้วมันวิ่งมาเอาปากไล่ชน...นั่งหัวเราะมันอยู่
    ถาม : ภาวนาอะไรคะ ?
    ตอบ : ไม่ได้ภาวนาอะไรหรอก จับภาพพระเป็นปกติอยู่เท่านั้นเอง ถึงเวลาจะชนก็ให้มันชนไป เราก็เดินเอ้อระเหยลอยชายของเราไปเรื่อย มันคงอยากจะกัดแต่มันอ้าปากไม่ได้มันก็เลยชนเอา ลองไปดูเหอะ ดูสิว่าคนอื่นไปมันจะชนหรือมันจะกัด มันหวงที่มัน...เดินผ่านที่มัน ๆ ไล่นชนเอา ตัวดำ ๆ ๒ ตัวน่ะจ้อนเจอบ้างไหม ?
    ถาม : เจอครับ ?
    ตอบ : นั่นล่ะ ลองดู ว่ามันจะมาชนบ้างไหม ? แต่อย่าลืมจับภาพพระให้ดีก่อนนะ ถ้าจับไม่อยู่ก็น่องแหว่ง อยู่ ๆ หมาเอาปากไล่ชนแปลกไหมล่ะ ? มันอยากจะกัดแต่มันอ้าปากไม่ขึ้น (หัวเราะ) สำคัญที่สุดตรงสมาธิอย่าไปตกแล้วกัน...เวลาตกใจ
    ไปพม่ามาคราวที่แล้ว พวกกะเหรี่ยงคริสต์มันบังคับให้รถหยุด ซ้อมคนขับซะเกือบตาย เสร็จแล้วมันก็ยิงด้วย เราเองก็เฉย ๆ กำลังใจไม่ได้ลดไม่ได้สะทกสะท้าน มันยิ่งโกรธใหญ่ ครูบาน้อยเขาบอกอีตอนมันหันปืนมาทางอาจารย์นั่นน่ะมันเหนี่ยวไกแล้วนะครับ แต่มันไม่ลั่นบอกไม่รู้เหมือนกัน ผมรออยู่อย่างเดียวว่าถ้ามันตีคุณด้วยปืนน่ะผมจะอัดมัน คราวนี้พอมันทิ่มลงดินมันลั่นดินกระจายเต็มเท้าเลย เวลาฉุกเฉินกำลังใจสำคัญมาก อย่าไปสมาธิตก
    หลวงพ่อท่านเคยสอนว่า....ประเภทที่ว่าวิ่งอยู่ก็ต้องเข้าสมาธิได้ทันที จะทรงฌานไหนต้องทรงได้ กำลังเหนื่อย ๆ อยู่นั่งปุ๊บลงจะเอาฌานไหนต้องได้เลย สมัยของท่านก็...หาบน้ำ กลัวจะเหนื่อยน้อย หาบน้ำวิ่งรอบป่าช้า แต่ขีดเส้นไว้น่ะ มาถึงเส้นนี้ปุ๊บฉันจะเข้าฌานนี้ ถึงเส้นนี้ปุ๊บจะเข้าฌานนี้ ท่านซ้อมกันถึงขนาดนั้นนะ ๓-๔ องค์นั่นน่ะ แล้วเสร็จแล้วตากำนันเถา กำนันบางนมโค ตานี่กินสะบัดเลย มันไม่ได้กินอะไรหรอก กำนันเถาน่ะกินข้าวเก่ง ข้าวกาละมังนึงกินหมด หลวงปู่ปานเรียกไอ้เถากะเพาะยาง กะเพาะคงจะยืดได้นะ กำนันเถาไปฟ้องหลวงปู่ปาน หลวงพ่อครับ ๆ พระของหลวงพ่อไม่มีความสำรวมเลยวิ่งกันใหญ่เลยครับ หลวงปู่ปานถามเขาวิ่งกันที่ไหนล่ะ ? ในป่าช้าครับ เออ...เขาอุตส่าห์ไปหลบในป่าช้าแล้วมึงตามไปดูทำไม ? (หัวเราะ) จ๋อยไปเลย...(หัวเราะ) คนมันจะหาเรื่องซะอย่างใช่ไหม ? เขาอุตส่า่ห์ไปหลบในป่าช้าแล้วยังอุตส่าห์ตามฟ้องอีกเอากับมันสิ ไม่รู้หรอกว่าเขาวิ่งทำอะไรกันน่ะ เล่นหาบน้ำ...คือว่าร่างกายมันเหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ ร้อนมาก ๆ หนาวมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนต้องทรงฌานได้ เอากันขนาดนั้น...ถึงได้ว่าพระสมัยก่อนทำไมถึงได้ดี ? ท่านฝึกกันชนิดว่าเอาชีวิตเข้าแลก รุ่นของเราก็อีเหละเขละขละ ทำบ้างไม่ทำบ้าง ไป ๆ มา ๆ ฟัง ๆ ดูไอ้รุ่นหลัง ๆ ของเรามันยิ่งเละหนักเข้าไปอีก เออ...รุ่นหนึ่งมันก็เสื่อมลงไปหน่อยหนึ่ง (หัวเราะ)
    ถาม : อย่างนี้เวลาเข้าห้องน้ำต้องถอดไหมครับ ?
    ตอบ : ไม่จำเป็นจ้ะ ยิ่งเข้าห้องน้ำยิ่งต้องใส่ไว้ จำไว้ว่า เวลาเราจะเผลอนั่นก็คือตอนกินข้าว ตอนเข้าห้องน้ำ ตอนใกล้จะหลับ เพราะฉะนั้นยิ่งอยู่ในห้องน้ำยิ่งต้องอาศัยพระหนักเข้าไปอีก
    ถาม : แล้วใส่เข้าสถานเริงรมย์อย่างนี้บาปไหมครับ ?
    ตอบ : บาปไหม ? .....ก็อย่าชวนพระเที่ยวก็แล้วกัน (หัวเราะ) ขอให้่ท่านช่วยคุ้ามครอง จะอยู่ในสถานที่ไหนก็ได้ แหม...ถ้าไปนรกเอาพระไปได้อาตมายังอยากจะพกไปเลย
    ถาม : อานุภาพของพระกริ่งที่ทำเป็นอย่างไรครับ ?
    ตอบ : เจตนาจริง ๆ ก็คือท่านทำไว้ทุกด้าน แต่ว่าจะเป็นการป้องกันอันตรายโดยเฉพาะ เพราะว่าคำว่าพิชัยสงครามก็คือชนะในสงคราม แต่อย่าเอาไปตีกับใครนะ
    ถาม : เพื่อนผมที่บูชาไปเขาเอาไปให้อาจารย์ที่วัดแห่งหนึ่งจับบอกว่าแรงจริง ๆ
    ตอบ : บอกเขาว่าระวังจะตายเอา (หัวเราะ)
    ถาม : เขาบอกว่าพุ่งปรี๊ดเลย พุทธคุณดีทางไหนครับ ?
    ตอบ : ถ้าชื่อว่าสมเด็จองค์ปฐมเลิศแล้วในทุกที่ ถามว่าดีทางไหนตอบไม่ถูก
    ถาม : เข้าสงครามได้ไหมครับ ?
    ตอบ : ลองดูสิ ไม่ยาก อนุญาตใ้ห้ลอง
    ถาม : กันรังสีปรมาณูได้ไหมครับ ?
    ตอบ : ต้องถามท่าน (หัวเราะ) เรื่องของพุทธคุณ ถ้าหากว่าจิตใจยึดมั่นจริง ๆไม่ต้องมีพระเครื่องก็ได้ โดยเฉพาะพวกได้มโนมยิทธิ อาราธนาท่านคลุมตัวไปเลย
    ถาม : ไปลงมาที่วัดท่าขนุนเจ้าค่ะ รอบแรก ?
    ตอบ : รอบแรกไม่ค่อยสนุกเลย รอบสองเขาดิ้นกันมัน
    ถาม : รอบแรกรู้สึกว่าดิ้นกัน ๒ คนค่ะ ?
    ตอบ : รอบสองเยอะเลย
    ถาม : เป่ายันต์เกราะเพชรแล้วบูชายังไง ?
    ตอบ : ให้ตั้งใจสวดอิติปิโสตอนเช้า ๆ ๓ จบ ทุกวัน ถ้าหากว่าเป็นพระกริ่งพิชัยสงครามเขามีคาถากำกับ ถ้าอาราธนาปกติทั่ว ๆไปก็ใช้ อิทธิฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแ่ก่มะอะอุนี้เถิด
    แต่ถ้าหากว่า ประเภทที่ว่าจะใช้งานเฉพาะด้าน สมมติว่าไปตกอยู่กลางศึกกลางสงคราม อย่างนี้ ให้ใช้คาถาว่า มหาวิชชะ โยโหหิ อะสังวาโส สัมปะติจฉามิ ถ้าเขามีปืนมีระเบิดหนักที่สุด ทางด้านไหนก็อออกไปทางด้านนั้นแหละ อันนี้เป็นเรื่องแปลกมาก ตำรา หลวงพ่อนี่เขาห้ามกลัวจริง ๆ นะ
    สมัยก่อนที่ใช้ธงมหาพิชัยสงคราม ท่านก็บอก บอกพอภาวนากำลังใจตั้งมั่นแล้วเสียงปืนทางด้านไหน แน่นที่สุดให้ออกด้านนั้นแหละ แต่ว่าอย่าไปทำอันตรายเขา เขาจะเหมือนกับว่ามองเราไม่เห็นไปเฉย ๆ อันนี้ต้องถามผู้กองอรรณพ ผู้กองอรรณพตอนนี้รู้สึกว่าจะเป็นผู้การตรวจคนเข้าเมืองอยู่มั้ง ? ตอนนั้นแกเป็นแค่ร้อยตำรวจโท ต.ช.ด. ไปโดนเขาล้อมยิงแล้วใช้วิธีนั้นแหละออกมาได้
    สมัยก่อนตอนหลวงพ่อท่านทำธงมหาพิชัยสงคราม ท่านหวงมาก แจกเฉพาะทหารและจะต้องอยู่ชายแดนเท่านั้น ถ้าไม่ได้อยู่แนวหน้าไม่ให้ มีมาตอนหลังทำพิธีใหญ่ที่วัดบวรได้มาคันรถหนึ่งอันนั้นแหละถึงให้ทั่วไป ไม่อย่างนั้นนี่ธงมหาพิชัยสงคราม จะได้ก็แต่ทหารที่อยู่แนวหน้าเท่านั้น อาตมาบังเอิญอยู่หน้าแนวซะ...ก็เลยได้ (หัวเราะ)
    ถาม : มีประสบการณ์ไหมครับ (พระกริ่งมหาพิชัยสงคราม) ?
    ตอบ : บอกไม่ถูก เขารายงานมาเยอะจนเรางง ๆ คนก็ไปไม่มากรอบหนึ่งประมาณ ๒,๐๐๐ คนเท่านั้น ทำไมรายงานประสบการณ์มาเยอะกันจัง เจตนาเอาไปลองกันหรือเปล่าก็ไม่รู้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : สอบมันติดขัดน่ะค่ะ ?
    ตอบ : สอบยังไงล่ะ ? เราทำอะไรติดขัดตรงไหนต้องถาม
    ถาม : มันไม่ทรงตัวค่ะ ?
    ตอบ : ไม่ทรงตัวต้องขยันทำ แล้วก็ประคับประคองรักษาอารมณ์เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติจะมีจุดบกพร่องตรงที่ว่าทำเสร็จลุกแล้วก็เลิกเลย ถ้าเลิกเลยนี่ใช้ไม่ได้ เรารักษาอารมณ์ตอนนั้นได้ดีเท่าไหร่ พอลุกจากตรงนั้นแล้วพยายามประคองไว้ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด แรก ๆ ก็อาจจะได้สักครึ่งชั่วโมง ได้สักชั่วโมงหนึ่ง นานไปก็ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ครึ่งวัน วันหนึ่ง สองวัน สามวัน ห้าวัน เจ็ดวัด สิบวัน จะมากขึ้นไปเรื่อย พอจิตเคยชินกับลักษณะนั้นมันจะเกาะจนกระทั่งสภาวะจิตมั่นคง ต่อไปก็จะยาวไปเรื่อย
    ถาม : ลักษณะจิตที่เราทำน่ะค่ะ เราใ้ช้....?
    ตอบ : แบ่งความรู้สึก ใช้ความรู้สึกส่วนหนึ่ง แบ่งความรู้สึกสัก ๒๐ หรือ ๓๐เปอร์เซ็นต์ก็ได้ ไม่ต้องมาก นึกถึงภาพพระไว้ตลอดเวลา รักษาอารมณ์ไ้ว้ตลอดเวลา ส่วนที่เหลืออีก ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ บังคับร่างกายให้ทำงานตามหน้าที่ของมันต่อไป ถ้าเรารักษากำลังใจลักษณะนี้ไปเรื่ื่อยมันจะเคยชิน แล้วต่อไปก็สบาย
    แต่ถ้าหากว่าทำ ๆ ทิ้ง เหมือนกับเราว่ายน้ำทวนน้ำ พอว่าย ๆ ไปจนกระทั่งเต็มที่ของเราแล้วก็ปล่อยลอยตามน้ำไป พอถึงเวลาก็มาว่ายน้ำใหม่ พอเสร็จแล้วก็ปล่อยตามน้ำไปเรื่อย จะสนุกมากเพราะได้แต่งาน ผลงานไม่มีเพิ่มขึ้นเลย นึกออกไหม ? มันไปแล้วนี่ พอกลับมาแล้วอย่างดีก็แค่เดิม ขยันจริง ๆ แต่เป็นการขยันในทางที่ผิด เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดคือประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นไว้ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    ถาม : เรื่องขอบารมี ขออภิญญาทั้ง ๖ ช่วยด้วยหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : ถ้าอภิญญา ๖ ก็ลำบากนิดหนึ่ง เอาแค่ ๕ ก็พอ อภิญญา ๖ เป็นเรื่องของพระอริยเจ้า เพราะว่าตัวอาสวักขยญาณตัวที่ ๖ จะมีอยู่ แต่ถ้าเป็นคนอื่น ๆ นี่แค่ ๕ ก่อนจ้ะ
    ถาม : .........................
    ตอบ : คำอธิษฐานของหลวงพ่อสมัยก่อนก็มี พวกเราทันกันไหมล่ะ ? ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่ภาวะแห่งเมฆจิต แล้วพอตอนท้าย ๆ ก็จะมี ญาณอันใดที่เป็นผลของสมถภาวนา ญาณเหล่านั้นซึ่งมี.....ไล่ไปเลย อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุปปันนังสญาณ จุตูปปาตญาณ ยถากัมมุตาญาณ ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ เจโตปริยญาณ อธิษฐานขอหมดแหละ มาตอนหลัง ๆ มันยุ่ง ยาวไป ก็เลยตัดลงเหลือหน่อยหนึ่ง
    ถาม : ถ้าทำทุกอิริยบถนี่แล้วกลับมานั่งเฉย ๆ ได้ไหมคะ ถือว่าผิดไหมคะ ?
    ตอบ : ไม่ผิด เพราะว่ายืน เดิน นั่ง นอน ทำอิริยาบถไหนก็ได้ ยิ่งสามารถทำตามอิริยาบถปกติ ก็คือเคลื่อนไหวทำอะไรก็ได้ แต่กำลังใจทรงตัวอยู่ อันนี้ต้องคอยพิจารณาอารมณ์ใจของตัวเราให้ดี ลักษณะจะเหมือนกับน้ำในบ่อ เวลาลมพัดมาน้ำปากบ่อมันจะเคลื่อนไหวกระเพื่อมไป แต่ว่าข้างล่างมันจะนิ่งสนิท ลักษณะของจิตก็จะนิ่งในลักษณะอย่างนั้น แต่ว่ากายอาการภายนอกก็จะปฏิบัติหน้าที่ไปตามปกติ ถ้าทำอย่างนี้ได้เก่งกว่า นั่งเฉย ๆ น่ะ ยังไม่แน่ เพราะนั่งเฉย ๆ แล้วพอลุก สมาธิอาจจะเคลื่อนหลุดได้ แต่ถ้าเราทำในลักษณะเคลื่อนไหวจนชินมันจะหลุดยาก
    ถาม : กลับไปนั่งสมาธิไม่ได้เลยค่ะ ?
    ตอบ : เราไปชินกับอริยาบถอื่นแล้ว ถ้าหากว่าต้องการจะให้ได้ลักษณะนั้นใหม่ ต้องกลับไปนั่งแล้วจับลมหายใจเข้า - ออกอย่างจริง ๆ จัง ๆ ใหม่ เอาสติกำหนดจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออกคือเอาอานาปานสติอย่างเดียว ถ้าหากไม่ทำอย่างนั้นก็นั่งยากเพราะว่ามันชินกับอันอื่นซะแล้ว คนเคยวิ่งแล้วไม่อยากจะนั่งหรอก
    ถาม : แล้วการเดินจงกรมนี่ได้มากกว่า ......?
    ตอบ : ลักษณะเดียวกัน อานิสงส์ของการเดินจงกรมมีอยู่ข้อหนึ่งบอกชัดเลยว่า ธรรมะที่ได้ในระหว่างที่เดินจงกรมจะเสื่อมยาก เพราะว่าได้ในลักษณะที่ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่ ทำให้เป็นผู้เดินได้ทนเดินได้นาน ทำให้เป็นผู้มีโรคน้อยทำให้อาหารย่อยได้สะดวก พระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึงอานิสงส์ไว้เยอะ
    ถาม : อย่างนี้ถ้าได้แล้วจะไม่มีเสื่อมเลยเหรอคะ ?
    ตอบ : ไม่ใช่ไม่มี โอกาสเสื่อมน่ะมี แต่ยากหน่อย แล้วถ้าหากว่าเราเผลอสติหรือทิ้งไปนานจริง ๆ ก็พังเหมือนกัน แต่เพียงว่าเราได้ในขณะที่เคลื่อนไหว พอเราเคลื่อนไหวในลักษณะอื่นในอิริยาบถอื่น ๆ จิตจะไม่เคลื่อนออกจากการภาวนา เพราะว่าทรงตัวได้ มันเดินจนชินซะแล้ว (มีคนถวายรูปหลวงปู่ดูลย์)
    ..........โอ้โฮ .......งามจัง สาธุ....อยากได้มานานแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มี ที่มีโดนเขาจิ๊กไปหมด (หัวเราะ) นี่ยอดพระเลย จำไว้ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นแทบทั้งหมด จะต้องเคยฝากฝังตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ดูลย์มาแล้วทั้งนั้น คำว่าอตุโล แปลว่าไม่มีใครเปรียบได้
    ...........ลักษณะของพระที่เข้าถึงตรงจุดนั้นแล้วจะอยู่ก็เฉพาะมีงานเท่านั้น ถ้าไม่มีงานก็ไปเลย สมัยที่หลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ ก่อนมรณภาพสักปีหรือสองปี มีพระหนุ่ม ๆ องค์หนึ่งจากราชบุรี อายุแค่ ๓๗ ปี ไปกราบลาหลวงพ่อขออนุญาตไปพระนิพพาน เพราะว่าพิจารณาแล้วว่าตัวเองเกิดมาหน้าที่ ๆ สำคัญที่สุดก็คือทำตัวเองให้หมดกิเลส หมดแล้วหมดเลยไม่มีงานอื่นแล้วไปเลย โห....น่าอิจฉามากอายุึแค่ ๓๗ เอง ถ้าหากพระที่ท่านหมดกิเลสแล้วท่านไม่มีงานประจำ ไม่มีใครอยากอยู่กันหรอก ถ้ายังมีงานต้องทำก็ทนต่อไป ทนจนกระทั่งร่างกายมันไม่ไหวก็พังไปด้วยกัน
    ถาม : ถ้าอารมณ์จิตจะชอบตรงสวดมนต์ภาวนาจะพอไหมคะ ?
    ตอบ : เหลือเฟือเลย สวดมนต์ภาวนาถ้าสวดเป็น ไปนิพพานง่ายที่สุดเลยตั้งใจยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน อธิษฐานสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา ถ้ายังไม่จบเราจะไม่ลง ถ้ามีงานให้ทำใจจะเกาะอยู่ตรงนั้นนาน
    พวกที่ได้มโนมยิทธิลองสังเกตดูว่าอารมณ์พระนิพพานจริง ๆ มันยังไม่ใช่อารมณ์ใจที่แท้จริงของเรา เพราะฉะนั้นเรายังเกาะได้น้อย เกาะได้ไม่นาน ป๊อบแป๊บ ๆ บางทีไม่ทันรู้ตัว ลงมาแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วก็ขึ้นไปใหม่
    แต่ถ้าหากว่ามีงานทำอยู่ พอจิตมีงานทำมีอะไรให้เกาะก็ทรงตัวอยู่ตรงนั้น เพราะเราไปตั้งใจว่าถ้ายังสวดมนต์ไม่จบเราจะไม่ลง ทำลักษณะนั้นบ่อย ๆ แล้วขยายเวลายาวขึ้นไปเรื่อย ๆ หาเรื่องสวดให้มาก ๆ บทหน่อย พออยู่นานเข้ามันจะชินอารมณ์พระนิพพาน พอชิน ๆ นานไปก็เกาะได้นาน ไม่ใช่พอขึ้นไปวินาทีหนึ่งยังไม่ทันได้มองหน้าพระเลยหล่นแปะลงมาแล้ว พอไหมสวดมนต์อย่างเดียว ? ทำเป็นน่ะพอ ถ้าอยากจะทำลักษณะทิพจักขุญาณ เวลาสวดมนต์นึกถึงตัวหนังสือไปด้วย อิติปิโส ภควา ให้เห็นเป็นคำ ๆ ไปเลย ถ้าหากเห็นได้ชัดเจนเท่าไหร่เวลาเราดูผีดูเทวดาเราก็เห็นได้เท่านั้น เลยกลายเป็นว่าทำเป็นไหม ? ทำเป็นได้ทุกคน ได้ทุกอย่าง
    อย่าลืมกรรมฐาน ๔๐ อารมณ์ทรงตัวจริง ๆ มีอยู่ก็คืออานาปานสติ กสิณ ๑๐ อารมณ์อื่นจะเป็นอารมณ์พิจารณาบ้าง อารมณ์แค่อุปจารสมาธิบ้าง อารมณ์แค่ปฐมฌานบ้าง แต่ว่าหลวงพ่อสอนพวกเรานี่ ท่านจับยัดเป็นฌาน ๔ หมด ออกสมาบัติ ๘ ไปเลยซะด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ทำเป็นไหม ? ถ้าทำเป็นสามารถดัดแปลงใช้งานได้ทั้งหมด
    ถาม : ..................................
    ตอบ : ตัวไหนก็ได้ ใช้ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าหากว่าเราจับตัวเดียว แล้วทำให้ถึงสมาบัติ ๘ ไปเลย สมาบัติ ๘ จริง ๆ กำลังแค่ฌาน ๔ เพราะฉะนั้นมันจะมี ๔ ที่ห้า ๔ ที่หก ๔ ที่เจ็ด ๔ ที่แปด (หัวเราะ) กำลังของมันเท่ากัน ถ้าทำได้อันหนึ่งแล้วอันอื่นมันไม่ยาก
    ถาม : ที่เราปฏิบัติอยู่มันยังพร่องอยู่ใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : พร่องแหง ๆ ถ้าไม่พร่องไปกันหมดแล้ว หลวงพ่อท่านสอนอยู่เสมอ ๆว่าให้พิจารณาในสังโยชน์ ๑๐ ต้องละให้ได้ บารมี ๑๐ ต้องทำให้เต็ม ท่านเขียนสังโยชน์ ๑๐ กับบารมี ๑๐ ติดหัวนอนไว้เลย ตื่นนอนขึ้นมาพิจารณาดูเลย สังโยชน์ ๑๐ ของเรา ๆ ตัดข้อไหนได้บ้าง เราละข้อไหนได้บ้าง ถ้ายังไม่ได้ก็ตั้งหน้าตั้งตาละไป บารมี ๑๐ ของเราตัวไหนยังพร่องบ้าง ถ้าพร่องก็เน้นตัวนั้นให้หนักเข้าไว้ ตัวอื่น ๆ ก็อย่าลืมซะ ถ้าทำอย่างนั้นทุกวัน ๆ แล้วมันจะชิน จะเข้าถึงได้เร็วที่สุด เพราะว่าสนามรบสนามสุดท้ายนี่มันเป็นสนามของสังโยชน์ ๑๐ กับบารมี ๑๐ เท่านั้นแหละ อย่างอื่นไม่มีอะไร
    ถาม : .................................
    ตอบ : จะเอาอะไรนักหนาล่ะ ทุกวันนี้ที่เรื่ืองมากที่สุดก็เพราะมันผูกไม่ยอมปล่อย ถ้าปล่อยซะอย่างมันก็ปล่อยหมดแหละ ไม่ต้องไปตามเขา ของเขาถนัดอย่างนั้นเขาก็ตัดตัวนั้น
    ถาม : เห็นเคสใกล้กันก็เลยปรึกษากัน ?
    ตอบ : ใกล้กันที่ไหน อ้วนกว่ากันตั้งเยอะ (หัวเราะ)
    ตอบ : น่ายินดีแทนเขา อย่าลืมนะ ๑๗๕,๓๐๐ คนใช่ไหม ? หายไปแล้ว ๑ ตำแหน่งเป็นอย่างน้อย ถ้าขืนช้าอยู่เดี๋ยวแสนกว่าตำแหน่งคนอื่นเขาแย่งหมด (หัวเราะ) เคยได้ยินคำพยากรณ์หลวงพ่อใช่ไหม ? บุคคลที่นำธรรมะของท่านไปปฏิบัติอย่างจริง ๆ จัง ๆ จะเข้านิพพานในชาตินี้ ๑๗๕,๓๐๐ คน ที่เหลือหลังจากปี ๓๔ เป็นต้นมา ส่วนใหญ่แล้วอภิญญาเยอะ จะไปเพลินอยู่ตรงจุดนั้น เลยจะเหลือแค่พระอนาคามี ๓๖ องค์ พระสกิทาคามี ๑๔๗ องค์ พระโสดาบันประมาณ ๓,๐๐๐ มากี่ล้านก็ได้แค่นั้นแหละ เพราะฉะนั้นตอนนี้อย่างน้อย ๆ หายไปตำแหน่งหนึ่ง ๆ แล้ว จริง ๆ แล้วพี่ ป้า น้า อา นี่เขาหายกันไปเยอะแล้วนะ
    ถาม : ที่พยากรณ์นี่รวมพระภิกษุสงฆ์ด้วยหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : รวมด้วยสิ ลูกศิษย์ท่านน่ะ จะไปเสียท่าพระหรือเปล่า ? พระเสียท่าโยม ถนนของพระหลุมมันเยอะ ๒๒๗ หลุม ของโยมแค่ ๕ หลุม หลบไปหลบมาพ้นมั้ย ?
    เราอยู่ตรงจุดนี้จริง ๆ มันสบายใจแล้วใช่ไหม ? ประคับประคองตัวสบายใจให้อยู่กับเราให้นานที่สุด เสร็จแล้วถ้าหากว่าพ้นจากตรงจุดนี้ไป เราก็ลองมานั่งนึกดูว่าที่เราสบายใจเพราะอะไร ? หนึ่งเราได้เห็นพระสงฆ์ สองเราได้ฟังสิ่งที่ท่านพูด สามขณะที่ท่านพูดเราคิดตามไป คิดตามแต่ในด้านที่ดี พูดถึงนิพพานคิดถึงนิพพาน พูดถึงพรหม คิดถึงพรหม พูดถึงเทวดา คิดถึงเทวดา ต่อไปเราก็สร้างสิ่งแวดล้อมทางใจของเราให้อยู่ในลักษณะอย่างนี้ เราตั้งใจกราบพระบูชาพระรัตนตรัยเสร็จนึกถึงตรงจุดนี้ก็ได้ มันจะเป็นอตีตังสญาณคือการย้อนอดีตสร้างความคล่องตัวให้กับใจเราด้วย ขณะเดียวกันใจก็จะมีงานทำจะไม่ฟุ้งซ่านไปอารมณ์อื่น
    เราจะสามารถรักษาอารมณ์ที่สงบเย็นใจอย่างนี้ได้อีก ถ้าหากว่าหมั่นทำบ่อย ๆ ก็จะรักษาได้ยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่พวกเรามันดีแต่กินผล ไม่รู้ว่าเหตุมันเป็นยังไง ในเมื่อไม่รู้ว่าเหตุมันเป็นยังไงมั่วไปถูกเข้า บังเอิญได้ผลขึ้นมากินจนเกลี้้ยงแล้วก็ไปเดือดเนื้อร้อนใจอีก ทำเหตุที่ตัวเองสบายใจต่อไปไม่เป็น ก็เชิญกลุ้มต่อไปเลยจ้ะ มาอยู่ตรงนี้ดีอยู่อย่างหนึ่ง .... ไม่หวงวิชา พ่อไม่เคยสอนให้หวงวิชา พยายามบอกให้ครบทุกอย่าง คนยิ่งรู้ืมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแบ่งเบาภาระของท่านได้มากเท่านั้น ของเรามาถึงตรงจุดนี้ก็เหมือนกัน เมื่อมาถึงตรงจุดนี้แล้ว รู้อะไรต้องรีบบอกให้หมด พอเขาทำได้เองแล้วเราเองก็ไม่เหนื่อยมาก ไม่งั้นอาศัยเกาะอย่างเดียว เกาะไม่เกาะเปล่าดูดอีกต่างหาก ถึงเวลาเขาจะไปชาร์จพลัง เล่นเอาเราเดี้ยงไปเลย แหม...ชาร์จอย่างเดียวเดี๋ยวเราดูดคืนมั่ง พอจะเอาคืนก็ไม่มีให้ซะด้วย (หัวเราะ)
    สมัยบวชใหม่ ๆ หลวงพ่อท่านตั้งฉายาว่า สุธมฺมปญฺโญ ท่านบอกว่าพระตั้งให้โดยตรงเลยนะชุดนี้...ใครมีลักษณะจริตนิสัยการปฏิบัติอย่างไรท่านบอกหมด แล้วท่านแปลให้ฟังว่า เป็นผู้มีปัญญาในการปฏิบัติธรรม เราก็ เอ๊...มันจะมียังไงว้า....มันเฮงซวยอยู่ทุกวัน แต่พอก้าวเข้ามาถึงตรงนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วว่า สิ่งที่เราคิดว่าเราทำได้น้อยไม่มีวันที่จะเทียบพ่อได้แม้แต่หนึ่งในล้าน กลายเป็นพวกเราไล่ไม่ทันเหมือนกันว่า เออ...ยอมรับว่ามีปัญญาเหมือนกัน เป็นหัวหมาจ้ะ หางราชสีห์ไม่ได้เป็นหรอก ไล่พ่อไม่ทัน เลยมาเป็นหัวหมาอยู่ตรงเนี้ย (หัวเราะ)
    การปฏิบัติจริง ๆ ไม่ใช่นั่งภาวนาอย่างเดียวนะ ลักษณะอย่างนี้คือการปฏิบัติ นั่งอยู่ต่อหน้าพระเห็นพระสงฆ์ พระพูดถึงธรรมะเป็นธรรมานุสติ เห็นพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสติ พูดถึงนิพพานเป็นอุสมานุสติ ตอนนี้เรากำลังปฏิบัติในอนุสติเหล่านี้ อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเต็มกำลังด้วย เป็นฌานก็เป็นฌานใช้งานด้วยที่เป็นฌานใช้งานคือไม่ไ้ด้นั่งภาวนาเฉย ๆ หากแต่ว่าในขณะที่เราทรงอารมณ์ปกติ
    อย่างเช่นว่า ตอนนี้เราสามารถนึกถึงได้อย่างชัดเจนทุกขั้นตอน ลองดูสิว่าเรามานั่งอยู่ตรงนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง ให้เราภาวนาเอง ครึ่งชั่วโมง มันเกาะความดีได้อย่างนี้มั้ยล่ะ ? หายไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น คราวหน้าก็หาเรื่องหลอกพระให้คุยไปเรื่อย ๆ เราเองก็ เกาะตาม (หัวเราะ) ภาวนาแปลว่าทำให้เจริญ วิธีไหนก็ได้ที่ให้ใจของเราอยู่กับความดีถือเป็นการภาวนาทั้งหมด
    ถาม : ถ้ามีคนมาถามเราว่าการปฏิบัติที่นี่มีจุดเด่นอย่างไร เราบอกว่านิพพานโดยตรงเลยจะได้ไหมคะ ?
    ตอบ : เขาถามมีจุดเด่นยังไง บอกว่า ...จุดเด่นก็คือนั่งรับสตางค์อย่างเดียว (หัวเราะ) มันอธิบายยาก บอกเขาแล้วกัน บอกว่าท่านสอนในเรื่องของทาน ศีล ภาวนา เราทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นล่ะ ง่ายดี ยังไงก็เอามวยหลักไว้ก่อน
    ส่วนใหญ่ไปเจอบางทีตอบไม่ถูก เขาถามอะไรล่ะ .......ปฏิบัติสายไหน ? ฟังดูแล้วมึน ๆ สายไหนก็มาจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อย่างน้อย ๆ ต้องมีผู้คน ๘๔,๐๐๐ แบบ เพราะว่าแต่ละคนจะรักจะชอบไม่เหมือนกัน ในเมื่อ ๘๔,๐๐๐ แบบ ครูบาอาจารย์ท่านถนัดตรงจุดไหน หรือว่าได้รับการสอนสั่งมาอย่างไร ท่านก็ถือเอาแบบแผนนั้น ๆ สอนสั่งต่อ ๆ กันมา เขาเลยไปแยกออกเป็นสายโน้นมั่ง เป็นสายนี้มั่ง จริง ๆ แล้วก็คือศากยบุตรพุทธชิโนรส ลูกพระพุทธเจ้าเหมือน ๆ กัน คิดธรรมะเองได้เสียเมื่อไหร่เล่า พระพุทธเจ้ารู้มาแล้วทั้งนั้นแหละ
    ถาม : สมัยอดีตกาลตอนพระพุทธเจ้าออกบวช ในโลกนี้มีศาสนาเดียวหรือหลายศาสนาครับ ?
    ตอบ : มีหลายศาสนาเหมือนกัน มีการยึดถือกันไปต่าง ๆ เหมือนกัน แต่ว่าท้ายที่สุด ศาสนาพุทธที่ประกาศอริยสัจ คือความจริงอันเจริญ จะมีลักษณะที่ว่าสามารถครองใจคนได้จนกระทั่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เพราะว่าเป็นของจริงของแท้พิสูจน์ได้ทุกเวลา จำไว้นะว่า ศาสนาพุทธเป็นอริยสัจ คือความจริงอันเจริญทำตามอย่างเดียว ไม่ต้องไปเสีียเวลาวิเคราะห์วิจัย
    สมัยนี้พวกเรียนหนังสือมันเรียนมากไป เล่นเอาปรัชญาจากพุทธศาสนา ปรัชญามันเป็นการเทียบเคียง มันไม่ใช่ความจริง พุทธศาสนาเป็นอริยสัจ ไม่ต้องเสียเวลาไปค้นคว้า พระพุทธเจ้าท่านค้นคว้าแทนเราแล้ว เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือทำตามแล้วผลจะเกิดเอง
    ท่านกล่าวเอาไว้ในคำสรรเสริญว่า เกวลปริปุณณัง ปริสุทธัง บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยสิ้นเชิงแล้ว ตัดออกก็ขาด เติมเข้าก็เกิน ไม่ต้องไปยุ่งหรอก ทำตามอย่างเดียวพอ สมัยนี้คนเก่งมันเยอะ วิเคราะห์พระไตรปิฎกกัน (หัวเราะ) แค่นี้เราสู้เขาไม่ได้แล้ว ลักษณะนี้นอกจากจะเป็นวิจิกิจฉาแล้ว ยังเป็นปรามาสพระรัตนตรัยด้วยไปวิเคราะห์พระไตรปิฎก อันนี้คนทุกคนทำได้....เชื่อ อันนี้ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง...ละไว้ก่อน ถ้าหากว่าอันนี้คนโดยทั่วไปไม่สามารถจะทำได้...มันไม่เชื่อเอาเลย บอกว่าพระไตรปิฎกเขียนขึ้นสมัยหลัง วิสัยของศิษย์ย่อมสรรเสริญครูบาอาจารย์จนเกินจริงเป็นธรรมดา น่าทุบไหม ? คนเก่งมันมากขึ้นทุกที ๆ
    ถาม : อย่างพระเยซูนี่ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์หรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : เป็น พระเยซูนี่พระโพธิสัตว์แท้เลย เพียงแต่ว่าในระหว่างที่บำเพ็ญบารมีไป สิ่งที่ท่านบัญญัติขึ้นมาเพื่อความดีของคนนี่ พอระยะหลัง ๆ ก็เพี้ยน เพี้ยนตรงที่ว่าจุดที่ล้างบาปได้ จริง ๆ แล้วท่านสอนให้สารภาพบาปแบบเดียวกับพระปลงอาบัติ ถึงเวลาพระทำผิดก็จะไปปลงอาบัติว่าข้าพเจ้าทำผิดอย่างนั้น ทำผิดอย่างนี้ ต่อไปนี้จะไม่คิดอย่างนี้อีก จะไม่พูดอย่างนี้อีก จะไม่ทำอย่างนี้อีก ท่านสอนให้สารภาพบาปแบบนั้น
    คราวนี้การสารภาพบาปแบบนั้นคนมันอายกัน มาระยะหลังบรรดาพวกผู้นำของเขา ก็เลยใช้ปรับเปลี่ยนไปว่าล้างบาปได้ ในเมื่อล้างบาปได้ใครทำอะไรมาก็ตาม มาทำพิธีรับศีลจุ่มทีหนึ่ง ก็เป็นอันว่าจบกันไปเลย ก็สบายน่ะสิ ศาสนาไหนคล้อยตามกิเลสคน ศาสนานั้นคนก็ถือเยอะหน่อย อย่างของศาสนาอิสลาม เขาว่าการฆ่าคือการปลดปล่อยเขาไปสวรรค์ โดยเำฉพาะสัตว์ต้องฆ่าเองถึงจะกินได้ ถ้าให้คนอื่นฆ่าให้ ศาสนาอื่นฆ่าให้กินไม่ได้ เอะอะก็จะปลดปล่อยเขาไปสวรรค์ พอเขาจะปลดปล่อยมันไปสวรรค์มั่งดันหนีซะนี่ ก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่ได้ดูความเป็นจริง

    สมัยก่อนที่ได้มโนมยิทธิใหม่ ๆ ชอบมากเลยตะลุยนรก ตะลุยสวรรค์ โดยเฉพาะโลกันต์นี่ชอบที่สุด เพราะไม่เคยไป ขุมอื่น ๆ ไปมาซะชินแล้ว ...ลงบ่อย จำได้ ไม่สงสัย สงสัยว่าโลกันต์มันเป็นยังไง ลงโทษด้วยความเย็นเลยไปดูบ่อย แล้วก็ขึ้นสวรรค์ไปดูว่าศาสนาโน้นมีใครบ้าง ศาสนานี้มีใครบ้าง ปรากฎว่าอิสลามนี่หายากหาเย็นจริง ๆ อิสลามที่ได้ขึ้นสวรรค์ เหมือนกัยเราเทข้าวสารมากระสอบหนึ่ง แล้วหาข้างเปลือกให้เจอ ส่วนใหญ่ที่ไปนี่ไม่ได้ไปเพราะหลักการปฏิบัติตามศาสนาของเขานะ กลายเป็นว่าพวกที่ไป คือพวกที่ตายก่อนหมดอายุขัย แล้วมีโอกาสไปโมทนาบุญที่ศาสนาอื่นเขาทำความดีกัน หายากหาเย็นดีแท้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : อย่างหลวงปู่ปานที่ทำบารมีครบแล้ว ถ้ามาเกิดเป็นพระเวสสันดรอย่างนี้ ท่านเกิดมาหรือยังครับ ?

    ตอบ : ถ้าหากว่าบารมีเต็มก็รอตรัสรู้นี่เกิดมาครบแล้ว
    ถาม : ครบแล้วเหรอครับ ?
    ตอบ : ครบแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าเกิดเป็นพระเวสสันดรนะ อาจจะเป็นเป็นผู้ใดก็ได้ที่มีโอกาสได้ถวายทานลักษณะปรมัตถบารมี ถึงวาระสุดท้าย แล้วให้ลูกเป็นทาน ให้เมียเป็นทาน
    สมัยนั้นเขาทักท้วงแล้ว พระเวสสันดรละเมิดสิทธิเสรีภาพของสุภาพสตรี จริง ๆ อันนั้นเขาอธิษฐานตามกันมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติแล้ว แล้วก็รับรู้แล้วด้วยว่า อธิษฐานมาเพื่อจะให้ท่านถวายเป็นทาน ในคำอธิษฐานจะมีลักษณะว่าอยากจะเป็นสำเภาทองรองรับพระองค์ท่านให้ข้างวัฏฏสงสารเพื่อบรรลุซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาน เขาตั้งใจกันมาอยู่แล้ว

    แต่ว่าลักษณะของปุถุชน เมื่อถึงเวลาต้องพลัดพรากจากกัน ก็จะต้องเดือดเนื้อร้อนใจเศร้าโศกอาลัยเป็นปกติ พวกแก่ ๆ หน่อยเรียนกันทันหรือเปล่าหว่า ? ตรง ม.ศ. ๕ เขาจะมีเหมือนเทศน์มหาชาติ เกี่ยวกับเรื่องพระเวสสันดรกัณฑ์กุมาร โส โพธิสัตตัง สมัยนี้ตัดออกเกลี้ยงเลย ไม่ได้เรียนกัน ไหวมั้ย ? ตัดแขน ตัดขา ควักหัวใจ เชือดเนื้อตัวเอง สละเลือดตัวเอง ตัดศรีษะตัวเองเป็นทาน ได้ยินก็สยองแล้ว

    สมัยนี้บริจาคเลือดก็ถือว่าสละเลือดเป็นทาน ๓ เดือนบริจาคได้ทีหนึ่ง สมัยก่อนวิทยาการไม่ก้าวหน้า อย่างอสุรกายไล่ตามกวางทองมา พระโพธิสัตว์อยู่บริเวณนั้นก็ไปกั้นเอาไว้ อสุรกายเกรงอำนาจของพระโพธิสัตว์ไม่กล้าที่จะทำร้ายกวาง แต่ก็ต่อว่าท่านว่าเมตตาแต่กวางเท่านั้น ไม่เมตตาตัวเขาผู้หิวโหยเลย ท่านเลยต้องสละเลือดตัวเองให้กิน กินซะจนตายไปเลย หรือไม่ก็เหยี่ยวไล่นกพิราบมา ท่านเองท่านไปช่วยนกเอาไว้ เหยี่ยวโวยวายว่าท่านช่วยแต่นกพิราบเท่านั้นแหละ ตัวของเขาเองหิวจะตายลูกเมียเขาจะหิวตายอยู่แล้ว ทำไมไม่คิดห่วงเขาบ้าง ท่านก็ต้องเชือดเนื้อตัวเองให้เขา เชือดเนื้อให้เท่ากับน้ำหนักนกตัวนั้น นกก็หนักเหลือเกินกว่าจะเชือดครบตายก่อนอีก สงสัยนกพิราบสมัยก่อนตัวเท่าตึก

    ถาม : แล้วอย่างนี้หลวงปู่ท่านอยู่บนสวรรค์ก็รอนานล้าน ๆ ปี เลยสิครับ
    ตอบ : จะไปเดือดร้อนอะไรล่ะ ? ตายแล้วนี่ รอนานเท่าไหร่ก็รอได้ คนที่ยังต้องเกิดสิต้องเดือดร้อนของท่าน ๆ ลงมาครั้งเดียวก็จบแล้ว

    ถาม : พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ กับวิริยาธิกะ มีความสามารถต่างกันอย่างไรครับ ?
    ตอบ : ต่างกัน อย่างปัญญาธิกะบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่านก็จะมีดี มีชั่ว มีรวย มีจน มีสวยงาม มีอัปลักษณ์ ปะปนกัน ถ้าหากว่าศรัทธาธิกะ ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่านจะดี รวย สวย เสมอกันหมด เขตที่ท่านประกาศศาสนาคนชั่วจะเข้าไม่ได้ แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป นอกจากบริวารจะดี รวย สวย เสมอกันหมดแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วไม่ได้เกิด ตกลงที่ท่านต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นเขาเป็นเท่าตัวไป เหนื่อยเพื่อบริวารของตัวเอง แต่ว่าสิ่งที่ท่านทำก็จะทำให้บุญญาบารมีท่านมากกว่าองค์อื่นที่ทำมาน้อยกว่า ถ้าหากว่าอยู่ข้างบนพระวรกายของท่านจะใหญ่โตกว่าเขา

    ถาม : การที่เราพูดตรง สิ่งที่เรารู้มากการพูดตรงของเรานี่มัน....(ไม่ชัด)....?
    ตอบ : มันต้องดูกาละเทศะด้วย ขาดสัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือธรรมะ ๗ ประการที่เหมาะสำหรับนักปฏิบัติหรือฆราวาสทั่ว ๆ ไป จะมีตั้งแต่ ธัมมัญญุตา-รู้เหตุ, อัตถัญญุตา-รู้ผล, อัตตัญญุตา-รู้ตน, มัตตัญญุตา-รู้ประมาณ, กาลัญญุตา-รู้กาล (เวลา), ปริสัญญุตา-รูุ้ชุมชน (หมู่คน), ปุคคลปโรปรัญญุตา-รู้บุคคล แต่ปุคคลปโรปรัญญุตานี่รู้เฉพาะคน กาลัญญุตาน่ะกาลไหนเหมาะ กาลไหนควรกับอะไร จำเป็นต้องรู้ ถ้าไม่รู้นี่เอาดียาก ไปพูดตำหนิติเตียนการกินเหล้ากลางวงเหล้าก็เจ๊งเลยใช่ไม๊ ? นั่นล่ะ ไม่รู้กาล ไม่รู้บุคคล

    เรื่องนี้อาตมาเจอมาแล้ว สมัยออกจากวัดท่าซุงไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ ตรงจุดที่อยู่เป็นสำนักงานป่าไม้เขาจะมีพวกครูบาอาจารย์เอาพวกลูกเสือมาเข้าค่ายกันทีหนึ่ง ๒๐๐-๓๐๐ คน อาจารย์กินเหล้าไปคุยกับพระไป กินไปกินมาสักพักหนึ่งทนไม่ได้มันถาม ถามจริง ๆ เถอะอาจารย์ ใจคอจะไม่ห้ามผมเลยเหรอ ? กินเองจะให้เราห้าม เลยบอกเงินของเอ็งข้าไม่ได้เสียอะไรด้วยสักอย่างจะห้ามทำไมล่ะ ? นาน ๆ จะเจอพระแบบนี้สักทีหนึ่ง เขาบอกส่วนใหญ่แล้วเขาเจอพระ เพียงแต่รู้ว่าเขากินเหล้าก็โอ้โห...สาระพัดจะบรรยายเลย ของเราเองทั้ง ๆ ที่กินต่อหน้าปล่อยมันไปเรื่อย

    แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกว่า ถ้าหากว่าเขาไม่เลิกด้วยตัวเอง คนอื่นว่าให้ตายไม่รู้ตัวหรอก บทจะเลิกก็เลิกได้ดื้อ ๆ เยอะ อย่างสมัยหลวงพ่อทำหนังสือประวัติหลวงปู่ปานมานี่ คนอ่านแล้วเลิกเหล้าไปตั้งเยอะ คนได้ยินข่าวก็เอาไป ภรรยาอุตส่าห์เมตตาซื้อไปให้สามีอ่าน จะให้เลิกเหล้า โดนสามีด่ากลับมาอีกว่า ซื้อหนังสืออะไรมาไม่รู้อ่านไม่รู้เรื่อง ของพรรค์นี้มันขึ้นอยู่กับวาระอยู่กับเวลา จังหวะของบุญของกรรมเหมือนกัน บทมันจะเลิกมันเลิกเอาดื้อ ๆ ก็มี

    ถาม : พ่อผมท่านก็ทานเหล้าบ่อยนะครับ ทานเป็นประจำเหมือนกัน แต่ว่าตอนเย็นพ่อก็นั่งสมาธิบ้าง ไหว้พระสวดมนต์บ้าง กินเบียร์ตอนเช้าบ้าง ผมกลัว...?
    ตอบ : ทำดีส่วนทำดี ทำชั่วส่วนทำชั่ว มันหักกลบลบล้างกันไม่ได้ แต่ถ้าอำนาจของความดีมีสูงกว่า มันสามารถจะหนีความชั่วได้ อย่างพระองคุลีมาล พระองคุลีมาลนี่ถ้าหากว่าคนไหนติว่าตัวเองชั่วต้องถามว่าขนาดรพะองคุลีมาลหรือเปล่า ? ฆ่าคนมาเป็นพันเสร็จแล้วพอท่านตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระอรหันต์ กลายเป็นพระอรหันต์ไปได้ บรรดาพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี ที่เข้าพระนิพพานไปแล้วไม่มีใครใช้กรรมเก่าหมด ส่วนใหญ่ความดีของท่านมากกว่าจนหลุดพ้นไปนิพพานทั้งนั้น เพราะฉะนั้นความดีส่วนความดี ความชั่วส่วนความชั่ว

    ถาม : ..............................
    ตอบ : เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว เรื่องของญาติพี่น้องไม่เหมือนอาตมา พอหลวงพ่อถาม หลวงพ่อว่าจะให้ผมไปอยู่วัดเมื่ือไหร่คือตอบรับตกลงท่านแล้ว ท่านบอกไปเดี๋ยวนี้เลย บอกไปเดี๋ยวนี้เลยก็โดดขึ้นรถไปเลย เรามันตัวคนเดียวอยู่แล้ว อยู่ไหนก็ได้ใช่มั้ย ?
    ปรากฏว่าสมัยก่อนเวลาวัดมีงานจะไปก่อนงาน ๒ วัน ไปเพื่อไปเตรียมงานช่วยงานวัด แล้วหลังจากงานไปแล้ว เก็บงานวันหนึ่งเพราะฉะนั้นไปก่อนงาน ๒ วันกลับหลังงานวันหนึ่งยังไงก็ไม่เกิน ๕ วัน งวดนั้นพอวันที่ ๗ แม่ก็หอบผ้าไตรหอบอะไรไปเพียบเลย รู้ใจลูกไม่มีใครเกินแม่หรอก ลองว่าไปอยู่วัดเกิน ๕ วันนี่มันตั้งใจบวชแน่แล้ว แกหอบไปให้เลย พอไปถึงเอาไปถวายหลวงพ่อ บอกว่าตั้งใจจะบวชพระลูกชาย หลวงพ่อบอกว่าให้เปลี่ยนความตั้งใจใหม่ ให้ตั้งใจว่าหลวงพ่อบวชพระกี่องค์เอาหมด ถ้าบวชลูกชายได้องค์เดียว นี่ ตกลงงวดนั้นแม่ได้บวช ๓๖ องค์ ๓ โหล เหลืออยู่องค์เดียว
    ถาม : ตั้งใจ ๗ วัน ?

    ตอบ : ตั้งใจ ๗ วันจริง ๆ แต่ว่าช่วงนั้นบังเอิญว่าครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ โดยเฉพาะหลวงปู่ขนมจีน รู้จักหลวงปู่ขนมจีนมั้ย ? หลวงปู่ขนมจีนเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๒ ถัดจากหลวงปู่ใหญ่ ไปกวนหลวงปู่ขนมจีนท่านเข้า ท่านเฉ่งซะเกือบตาย เรามันก็คนหน้าด้าน พอรู้ตัวว่าเป็นฝีมือหลวงปู่ ก็เอาพานธูปเทียนแพไปขอขมา บอกว่าหลวงปู่ครับ...ฟังให้ดี ๆ นะ คนหน้าด้านเขาทำยังไง....บอกหลวงปู่ครับ หลวงปู่เฉ่งผมก่อนเป็นคนแรก ผมถือว่าผมเป็นลูกคนโต ขอความเมตตาหลวงปู่ด้วยครับ ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าพระที่ท่านปฏิบัติถึงจริง ๆ อารมณ์ใจเป็นอย่างไร ? ถ้าหลวงปู่สามารถสงเคราะห์ให้ผมรู้ได้ ต่อไปถ้าผมทำถึงตรงจุดนั้น ผมจะได้รู้ว่าผมถึงแล้ว
    ในเมื่อเราท้าท่านก็รบด้วย ท่านบอกเอ็งจะเอานานเท่าไหร่ล่ะ ? บอกว่าถ้าหลวงปู่ให้ได้ ๓ เดือนผมจะบวชเอาพรรษาเลย ท่านบอกตกลง โอ้โหทันทีที่่ท่านตกลงพอเย็นนั้นทำการภาวนาคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์จริง ๆ อารมณ์ใจมันละเอียดมาก ละเอียดจนบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าจะหลับจะตื่นจะยืนจะนั่งจิตมันรู้ตลอด อารมณ์มันทรงตัวตลอด กิเลสมันจะเข้ามาตอนหลับตอนตื่นมันกันทันหมด มันรู้ตั้งแต่สาเหตุมันเลย

    สมมุติเราหยิบปากกาขึ้นมาอันหนึ่งอย่างนี้ เออ....มองเองรู้แค่ปากกากองไว้ตรงนั้นแหละ มันรู้หมดเลยว่าถ้าคิดต่อมันจะเป็นยังไง เอ้านี่ปากกาเขียนหนังสือได้นี่หว่า อ้าว...ไอ้นั่นมันเคยว่าเรา เขียนไปด่ามันดีกว่า ออกไปโทสะแล้วใช่มั้ย ? เออ...ปากกาเราเคยเขียนจดหมายไปจีบสาวนี่หว่า่เออ....คนนั้นเขาก็สวยดีตอนนี้เขาเป็นยังไงน้อ ? อ้าว....หนักเข้าไปอีกแล้ว มันคิดต่อหน่อยเดียว แต่ว่าอารมณ์ใจตอนนั้นท่านจะตัดตั้งแต่ต้นเหตุเลย ในเมื่อตัดเหตุผลมันก็ไม่เกิด ความฟุ้งซ่านต่าง ๆ จะไม่มีกับใจนึกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์แล้ว ๓ เดือนนั้นน่ะ พอวันที่ ๙๑ ร่วงลงมาเป็นหมาตามเดิม
    ถาม : ถ้าตายตอนนั้นไปนิพพาน ?

    ตอบ : สงสัยจะไปเหมือนกัน เพราะว่ากำลังใจมันเกาะหนับเลย ทำให้มั่นใจว่าเรื่องของมรรคผลนิพพานมีจริงแน่นอน ที่เราไขว่คว้ามาตั้ง ๑๐ กว่าปีนั้น เพราะว่าเรายังทำไม่จริงทำไม่ถึง เอ้า บวชต่อก็บวชต่อ เลยลุยกันมายาวตลอด จนกระทั่งทุกวันนี้ท่านยังตามสงเคราะห์อยู่ อย่าคิดว่าออกนอกวัดท่าซุงแล้วท่านไม่ช่วยนะ นึกถึงท่านเมื่อไหร่ ท่านก็ช่วยเมื่อนั้นแหละ
    ถาม : แปลว่าได้มโนก่อนที่จะบวช ?
    ตอบ : อาตมาได้ตั้งแต่ก่อนอายุครบ ๒๐ บวชเอา ๒๘ แล้ว
    ถาม : แล้วหลวงปู่ขนมจีนท่าน...(ไม่ชัด)...?

    ตอบ : จริง ๆ ท่านชื่อหลวงปู่เส็ง แต่ว่าถ้าเรียกตามนั้น มันเสียมารยาท เหมือนกับไปจิกหัวเรียกผู้ใหญ่ คราวนี้ท่านชอบขนมจีนจริง ๆ จะเป็นขนมจีนน้ำพริก ขนมจีนน้ำยา ขนมจีนซาวน้ำเอาทั้งนั้นแหละ ให้เป็นขนมจีนเถอะ พวกเราก็เลยเรียกหลวงปู่ขนมจีนกันเป็นปกติไป น่าลองมั้ย ?
    ถ้าเจออย่างนี้เข้า น่าลองรึเปล่า ? ถึงได้บอกคนหน้าด้านทำความดีมันต้องหน้าด้านเหมือนกัน ถ้าหน้าไม่ด้านพอ มันทำไม่ทน ทำไม่นานหรอก เอามั้ยอนุญาตให้เลียนแบบได้
    ถาม : แล้วหลังจากบวชพระมา หายไปซักสองสามปียังจำอารมณ์นี้ได้ ?
    ตอบ : จำได้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็จำได้ ถึงได้จะพยายามตะเกียกตะกายไปให้ถึง
    ถาม : จำได้เป็นเพราะว่าอยู่นั่น ๓ เดือน ?

    ตอบ : มันมีเลา ๆ อยู่แล้ว อะไรที่มันเคยได้นี่มันมั่นใจแล้วว่าไม่ยาก พยายามทำไปพยายามค่อย ๆ ตัดค่อย ๆ ละไป ของเราตอนนี้มาพิจารณาดูเราบกพร่องตรงไหนแก้ไขตรงจุดนั้น อันไหนที่มันดีอยู่แล้วทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป มันก็เท่่ากับว่าเราค่อย ๆ สลัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปทีละน้อย ๆ ตัวมันจะเบาขึ้นใจมันก็จะเบาขึ้นไปเรื่อย

    ถาม : พระโสดา พระสกิทาคาเขาจะมีความ....(ไม่ชัด).....ความสุขจะมีตลอดเลย ?
    ตอบ : ตลอดเพราะว่า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านเป็นพระอริยเจ้าแล้วมีแต่เจริญขึ้นไม่มีต่ำลง อริยะคือเจริญขึ้นโดยฝ่ายเดียว คราวนี้ท่านเปรียบเอาไว้ว่า ความสุขของพระเจ้าจักรพรรดิที่อยู่สุขอยู่เย็น มั่นใจว่าโลกนี้ไม่มีใครเป็นศัตรูของท่านได้ มีความสุขเท่าไรไม่ได้เศษหนึ่งส่วนสิบหกของพระโสดาบัน พระเจ้าจักรพรรดิท่านเป็นหนึ่งในสี่ประเภทที่กลัวอะไรไม่เป็นจำได้มั้ย ?
    สี่ประเภท หนึ่งช้างศึก สองม้าอาชาไนย สามพระเจ้าจักรพรรดิ สี่พระอรหันต์ สี่ประเภทนี้กลัวอะไรไม่เป็น พระอรหันต์ท่านกลัวอะไรไม่เป็น เพราะท่านไม่เป็นทุกข์เป็นโทษกับใครอยู่แล้ว ใครจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับท่าน ๆ ก็ไม่สนใจ เพราะมันเบียดเบียนได้แค่ร่างกาย เบียนเบียนจิตใจท่านไม่ได้

    ส่วนพระเจ้าจักรพรรดิท่านปราบได้ในทวีปทั้งสี่ไม่มีใครเป็นศัตรูกับท่านได้ คนที่มั่นใจได้ขนาดนั้นจะไปกลัวอะไร เรื่องของช้างศึกกับม้าอาชาไนยเขาผ่านการฝึกฝนมาดี ผ่านการเคี่ยวกรำมาอย่างสาหัสสากรรจ์จนกลัวอะไรไม่เป็น เสียงดังแค่ไหนก็บุกไปข้างหน้า อาวุธขนาดไหนก็บุกไปข้างหน้า เจ็บแค่ไหนก็บุกไปข้างหน้า
    ถาม : ท่านเคยลองฝึกกสิณ ?
    ตอบ : ฝึกกสิณรึยัง ? ฟาดมาตั้งแต่อายุยังไม่ทันจะครบยี่สิบไม่ได้ลอง เอาจริง ๆ เลย
    ถาม : ทำให้น้ำแข็ง ?
    ตอบ : สะใจมากเลย อ๋อ ! น้ำแข็งสมัยนี้เหรอห้าบาทก็ได้แล้ว ถุงเบ้อเร่อไปมันเรื่อย เขาว่าพอไปถึงท้าย ๆ แล้ว เหมือนปลาไหลแช่น้ำ มันจับไม่ค่อยติดหรอก (หัวเราะ)
    ถาม : การไปธุดงค์นี่จะได้อภิญญาเร็วขึ้นไม๊คะ ?
    ตอบ : ถ้าอภิญญาก็ได้เร็วขึ้น ได้เร็วขึ้นตรงว่ากำลังใจเข้มแข็งขึ้น พอกำลังใจเข้มแข็งขึ้นการปฏิบัติมันก็ง่ายขึ้น
    ถาม : หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านจะมาสอนอยู่ประจำ ถามตรงได้เลยใช่มั้ยเจ้าคะ ให้แต่กำลังใจให้ทำได้เต็มที่ ?
    ตอบ : อย่างนั้นมันน่าจะโดนไม้เท้า ของอย่างนี้ถ้าหากมีโอกาสต้องทำจริง ๆ เพราะว่าเรื่องของบุญเรื่องของกรรมนี่เราไม่ได้ทำอย่างเดียวกัน เราทำสลับกันไปสลับกันมา ผลบุญผลบาปมันจะให้ผลสลับกันไป

    ช่วงระยะเวลาที่กุศลกรรมเข้า ส่งผลให้นี่ต้องรีบกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่อย่างนั้นพอจังหวะเลยไป อกุศลกรรมเข้ามาเราอาจจะฟุ้งซ่านไม่เป็นท่าเลย เพราะฉะนั้นตอนช่วงที่ความดีเข้านี่ต้องตุนเอาไว้ให้เยอะที่สุด จะได้เพียงพอที่ไปจะลุ้นตอนที่ความดีมันถอยไป เรื่องของพระนี่เขาห้ามประมาท ถ้าขี้เกียจแปลว่าประมาทมาก

    ถาม : การที่ต้องนั่งสมาธิ....(ไม่ชัด)....?
    ตอบ : ท่านบอกอย่างไรให้ทำอย่างนั้น เพราะว่าเวลาของพระของเทวดาเขาแน่นอน ถึงเวลาท่านจะมาสงเคราะห์ช่วงไหนก็ช่วงนั้นเลย ทำงานทำการอะไรก่อนให้วางให้หมด ถ้ารู้ตัวว่าเราเป็นคนขี้ง่วงนอน เรานอนตั้งแต่หกโมงเย็นแล้วตั้งนาฬิกาปลุกไว้เที่ยงคืน พอถึงเวลาเที่ยงคืนขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเสร็จจุดธูปเทียนบูชาพระ ตั้งใจอาราธนาบารมีพระบารมีหลวงพ่อท่านช่วยสงเคราะห์
    ถาม : ส่วนใหญ่ท่านจะไม่ให้หลับเลย ?

    ตอบ : ถึงได้ว่าถ้าหากว่าของเราเองคิดว่ามันอาจจะง่วงนอน ตอนนั้นก็นอนตุนไว้ก่อน น้อยคนนะที่พ่อจะไปสอนอย่างนั้น ของอาตมาเองยังต้องมาตามเก็บอยู่เลย
    สมัยที่ไปสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ พวกช่างกินเหล้าเมาหัวราน้ำทุกวัน พอเรามากรุงเทพฯ หลวงพ่อไปคุมงานโผล่ให้มันเห็นเป็นตัว ๆ เลย เราก็มานั่งน้อยใจ ของเรากว่าจะเจอหลวงพ่อได้ปล้ำกันแทบเป็นแทบตาย ใช้มะนงมะโนให้ยุ่งไปหมด พวกนี้มันกินเหล้าทุกวันหลวงพ่อโผล่มาให้มันเห็น อันนั้นมันประเภทไม่เข้าเรื่อง น้อยใจครูบาอาจารย์
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : (ถามเรื่องเรียน) ?
    ตอบ : ต้องเลือกอันที่เราชอบ เราจะถนัดอันนั้นมากที่สดุ ทำในสิ่งที่ตัวเองรักสิ่งที่ตัวเองชอบจะทำได้ผลดีกว่าเขา ถ้าชอบหลายอย่างก็ต้องดูความสามารถในปัจจุบันของเรา อย่างเช่นว่าคะแนนของเราถ้าเอ็นท์รอบที่แล้วได้ประมาณท่าไหร่ ก็เลือกเอาให้ใกล้เคียงคณะไหน คณะหนึ่งที่เราชอบ
    ถาม : ไปอ่านเจอเขาบอกว่าให้ใช้พวกมโนไปถามได้...(ไม่ชัด)....?

    ตอบ : ถ้าหากว่าในลักษณะอย่างนั้น ของเราเองขาดความคล่องตัวใช้อาจจะผลน้อยหน่อย มีคาถาบทหนึ่ง คาถาสหัสสเนตโต เคยได้ยินมั้ยล่ะ ? นั่นล่ะใช้บทนั้นสอบเท่าไรก็ได้ เรียงหน้าเข้ามาเถอะ ขอให้ใจเป็นสมาธิเท่านั้นแหละ อันนี้กล้ายืนยันเพราะทำมาด้วยตัวเอง ได้ผลเกินร้อย ข้อสอบพระไม่เหมือนข้อสอบฆราวาส ข้อสอบพระไม่มีช้อยให้เลือกมีอยู่อย่างเดียวก็คือ จงอธิบาย ขนาดจงอธิบายเล่นกันทีสามหน้าห้าหน้า นี่ว่ากันชนิดตรงทุกตัวอักษร ถ้าึถึงขนาดนั้นเขาจับว่าเราลอกข้อสอบนี่เสร็จเลย ไม่ลอกแล้วเขียนเหมือนได้ยังไง
    เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าทุ่มเทหน่อยคือภาวนาใช้คาถาสหัสเนตโตนี่เป็นกรรมฐานไปเลยทำทุกวัน กะซะว่าวันหนึ่งครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงหนึ่งอะไรก็ว่าไป ทำจนอารมณ์ใจทรงตัวถึงเวลาก็ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดาทั้งหมด ให้ช่วยสงเคราะห์โดยเฉพาะท่านปู่พระอินทร์ ขอให้เราทำข้อสอบได้ถูกต้อง และก็ถูกใจคนตรวจด้วย

    ถาม : เป็นเมียน้อยบาปมั้ย ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเมียหลวงไม่ยินยอมเราไปพรากเขาออกมาก็บาป คือเรื่องของเมียหลวง เมียน้อย ผัวหลวง ผัวน้อย ต้องดูเจ้าของเขาเต็มใจมั้ย ? ถ้าเจ้าของเขาไม่เต็มใจแต่เราดันไปยุ่งเราก็แย่เอง ถามว่าบาปมั้ยต้องถามว่าเจ้าของเขาอนุญาตมั้ย ? ถ้าเจ้าของเขาอนุญาตเป็นเมียน้อยซักกี่คนมันก็ไม่บาปหรอก ตัวเราเองถ้าตั้งใจไปพรากเขามันก็ยุ่ง เดี๋ยวเกิดชาติใหม่ไม่มีน้ำจะกิน

    ถาม : ก็ตั้งใจว่าจะ.....(ไม่ชัด)....?
    ตอบ : (หัวเราะ) เอาให้ได้นะ ถ้าไม่ได้เดี๋ยวจะกลายเป็นสองตายายขุดบ่อเท่าไหร่ไม่มีน้ำ เคยจำประวัติพระเจ้าปเสนทิโกศลมั้ย ? พระกาลบอกว่าอีกเจ็ดวันจะตาย พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เร่งระดมเงินจากท้องพระคลังเอามาตัดถนนสร้างสะพาน สร้างที่พัก ให้เป็นสาธารณประโยชน์ ครบเจ็ดวันแล้วไม่ตายก็ยัวะ พระกาลที่ไหนวะมาหลอกกันได้ หาคนไปติดต่อกับพระกาล
    ปรากฏว่าพอคนติดต่อไประหว่างทางก็เจอสิ่งแปลก ๆ หลายอย่าง มีอย่างหนึ่งก็คือ ตายายสองคนขุดบ่อเท่าไหร่ไม่มีน้ำ อยากน้ำแทบเป็นแทบตายขุดเข้าไปเท่าไหร่ก็หาน้ำไม่ได้ ปรากฏว่าพอถามพระกาลท่าน พระกาลท่านบอกว่าชาติก่อนหวงลูกสาว (หัวเราะ) ถ้าหากว่าขืนเกิดใหม่ของเรานี่เดี๋ยวก็ไม่มีน้ำจะกินหรอก ปล่อยเขาเหอะเด็กโต ๆ ด้วยกันแล้วมันรู้จักคิดของมัน

    ถาม : คนนี้มันมายุ่งเอง ?
    ตอบ : ของพรรค์นี้บางทีก็อยู่ที่เรา ถ้าเราอคติ พอสิ่งที่เขาทำดีมันก็กลายเป็นไม่ดีไป เพราะฉะนั้นเขาของเราเองไม่ชอบเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในเมื่อไม่ชอบเขาเป็นทุนเดิมเราเองอาจจะมองเขาในแง่ไม่ดีก็ได้ อคติอย่าให้เกิดขึ้นในใจเกิดขึ้นเมื่อไหร่มันเสีย ฉันทาคติ ลำเอียงด้วยรัก โทสาคติ ลำเอียงด้วยโกรธ ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง อันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นความยุติธรรมจะหายไป

    ถาม : ..................................
    ตอบ : การคิดพึ่งพิงคนอื่นเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าสอนว่า อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ขนาดพระองค์ท่านยังไม่สามารถจะตั้งอยู่ได้แล้วใครจะอยู่ให้เราพึ่งได้ อัตตาหิ สุทันเตนะ นาถังลภติ ทุลลภัง ถ้าหากว่าตัวของเราฝึกดีแล้ว จะเป็นที่พึ่งที่ไม่มีใครพึ่งได้มากยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว ถ้าจะเกาะพระให้เกาะในความดีของท่านที่เป็นสังฆานุสสติ ไม่ใช่ไปเกาะองค์ท่าน เกาะร่างของท่าน พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานให้เห็นแล้ว พระอรหันต์ทุก ๆ องค์ก็ไปให้เห็นแล้ว หลวงปู่หลวงพ่อก็เป็นให้เห็นแล้ว
    ถ้ายังขืนเกาะต่อไปก็เตรียมพลาดหวังต่อไปอีก ให้เกาะในส่วนของความดีพยายามพึ่งตนเองยืนหยัดด้วยนตนเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่าทำตัวเป็นภาระของใคร ให้เป็นภาระของตัวก็พอ จะอาศัยซะหน่อยไม่ให้เกาะเลยเนอะ....ไหล่ไปโดนอะไรมา ?

    ถาม : เป็นโรคเจ้าค่ะ เห็นหมอบอกว่าเป็นโรคสะเก็ดงูเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : อ๋อ...ดีสิ ให้เป็นสะเก็ดทองได้รวยกัน สังขารัง โรคนิทธัง สังขารเป็นรังของโรค ปภังคุณัง เน่าเปื่อยเป็นธรรมดา ยังไม่ทันจะตายเลยเปื่อยซะแล้ว (หัวเราะ) ข้างหลังยังมีอีก โห...เวรกรรม ไปห่าง ๆ เลยไป เดี๋ยวจะพาไปติดคนอื่นเขาด้วย
    ถาม : ไม่ติดต่อเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : เอางี้สิลองดูนะ เอาเปลือกต้นแค ถากมาซักสี่ห้าแผ่น แช่กับน้ำซาวข้าว ทิ้งไว้สองคืน กำลังบูดได้ที่เลย แล้วเอามาทาดู เพราะว่าหมาขี้เรื้่อนเขาทาหาย เพราะฉะนั้นคนขี้เรื้อนน่าจะหาย อย่าไปเอาน้ำมันขี้โล้ทาคนอื่นเขาทาหมา แล้วหมอเขาว่าไงวิธีรักษา
    ถาม : ก็ดูแลตัวเองอะไรอย่างนี้ ?
    ตอบ : ฉีดยา กินยาไม่มีเลย ?
    ถาม : มีแต่สเตรียรอยซึ่งทาแล้ววันสองวันก็เป็นอีกเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : ยาที่พวกเข้ากำมะถันมันจะช่วยได้มั้ย ? โน่นเลยไปทองผาภูมิอยู่มันซักเดือนหนึ่ง มันมีบ่อน้ำร้อนอยู่แช่มันทุกวัน แช่ให้เปื่อยกันไปข้างหนึ่งเลย เคยไปมั้ยพุน้ำร้อนหินดาดมันจะถึงก่อนวัดเก่าซักสี่กิโล แต่ถ้าวัดใหม่นี่ก็ยี่สิบกว่าโลแล้ว
    ถาม : เตรียมไปเลยหรือคะ ?

    ตอบ : เอาให้ชัวร์ ๆ เลยแช่มันทุกวัน แช่มันวันละสามรอบเลยก็ได้ เดี๋ยวไปฝากอาจารย์เคิงไว้ให้ วัดอาจารย์เคิงอยู่ใกล้ ๆ พุน้ำร้อน มันจะหายมั้ย ติ๋วมียาอะไรบ้างรึเปล่า ? สะเก็ดเงินเนี่ยะ
    ถาม : มีแป้งหลวงปู่บุดดาที่บ้าน ?
    ตอบ : อ๋อ ...แป้งหลวงปู่บุดดา อย่าไปเอาอะไรกับยายนี่เลย เขาเป็นพยาบาลจ้ะ แต่ถ้าหากว่าคนไข้มา เขารักษาด้วยน้ำมนต์กับน้ำมัน
    ถาม : ยังมีฟ้าทะลายโจรอีกอย่าง ?
    ตอบ : สรุปแล้วไม่รู้มันเรียนพยาบาลมาทำไม น่าสนใจมั้ย ? เรียนหมอเรียนพยาบาลมาถึงเวลารักษาด้วยน้ำมนต์กับน้ำมัน เสียสถาบันเขาหมด ตอนแรกก็นึกว่าไปสักไปอะไรมา แหม...เห็นลายมันคล้าย ๆ ดอกไม้ คิดว่าจ๊าบกับเค้ามั่งที่ไหนได้ เป็นโรคก็ไม่บอก แล้วมันมีสาเหตุมาจากอะไร ? ซกมก ?

    ถาม : เลือดเป็นพิษน่ะเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : อ๋อ...เลือดเป็นพิษ
    ถาม : เขาบอกเลือดมันแบ่งเซลล์ผิดปกติ ?
    ตอบ : ถ้าเลือดเป็นพิษมันต้องขึ้นหน้า แล้วเมื่อไหร่มันจะขึ้นหน้าซะทีล่ะ
    ถาม : ขึ้นนะคะ แต่ว่าหนูก็พยายามทายา ?
    ตอบ : ถ้าเลือดเป็นพิษมันจะขึ้นหน้าพิสูจน์ได้ง่ายที่สุดเลย อ๋อ.....แสดงว่าเอาหน้าสวยไว้ก่อนที่ช่างมันใช่มั้ย ?
    ถาม : ....................................

    ตอบ : อ๋อ.........สมควร สมัยอยุธยาต้องเคยไปเผาพระลอกทองมาแน่ เลยเจอสะเก็ดเงิน ถ้าเจอทองจะหนักกว่านี้อีก สมัยอยุธยาพวกทหารพม่าลอกเอาทอง เอาไฟสุมทองมันไหลลงมาก็รวมกันสิ เพราะว่าทองยังไงก็เป็นทองไม่รวมกับโลหะธาตุอื่น ใช้วิธีอย่างนั้นลอกพระไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ พวกนี้เกิดมาถ้าเศษกรรมจะทำให้มันเป็นโรคเรื้อน อันนี้ของเราคงลอกไม่มากหรอก แต่ถึงเวลาไปแคะ ๆ มาใช้หน่อยหนึ่งใช่มั้ย ? แล้วลองถามอาจารย์ต้าดูรึเปล่าว่า มียาอะไรที่มันล้างพิษล้างอะไรมั่ง ?
    ถาม : ยายิ่งกินยิ่งเป็นมากจนทนไม่ไหวเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : อาตมาก็ยังแปลกใจเลยว่ายิ่งกินก็ยิ่งเป็นมากเนี่ยจะเลิกดีมั้ย ? หลวงปู่ธรรมชัยแน่นอนที่สุด ท่านบอกว่าโรคบางอย่างต้องรักษาถึงจะหายถ้าไม่รักษาจะตาย โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย ส่วนโรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย ส่วนโรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็ตายแหง (หัวเราะ) ขึ้นอยู่กับกรรมที่เราทำมา ถ้าเราทำเอาไว้ก็ยอมรับซะเหอะ
    ประเภทที่เรียกว่าอยากกินของพิสดารใช่มั้ย มันจะกินอะไร มันจะกินแลนน่ะสิ ไอ้ตัวหางยาว ๆ คนภาคกลางเค้าเรียกตัวเงินตัวทอง ถ้าเขาจับได้เขาจะจับมันไขว้หางมัดคอเอิาไว้ มันไปไหนไม่ได้ เสร็จแล้วผูกเอวโยนเข้ากองไฟ เผาแล้วก็ขุดหนังมันให้ขาวเชียว สับ แกง พวกนี้เกิดชาติใหม่หนังเว่อหมด

    ถาม : หนูจะได้ทำใจกับเขา ?
    ตอบ : ทำใจได้เลย ปล่อยให้มันเป็นเยอะ ๆ ไปทั้งตัวแล้วก็พิจารณามัน อยัมปิโข กาโย ร่างกายนี้หนอ เอวัง ธัมโม เป็นอย่างนี้ ธรรมดา เอวัง ภาวี ภาวะของมันคือสภาพของมันเป็นอย่างนี้แน่ ๆ เอสะว อะนะ ตีโต ไม่อาจจะล่วงพ้นไปได้ ปูตีนิ เน่าเปื่อยเป็นธรรมดา จุณณะกะ ชาตานิ เดี๋ยวก็กลายเป็นผุยเป็นผง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นผล จากการกระทำของเราทั้งนั้น ในเมื่อเราทำเอาไว้เราก็ยอมรับมันหน้าชื่นตาบานไปเถอะ เป็นไงมองแล้วสยดสยองมั้ย ?
    แหม...เห็นสาวหน้าตาดี ๆ แถเข้าไปจะจีบซะหน่อยลายทั้งตัวเชียว หนุ่มคนไหนถ้ามองอย่างนี้แล้วมองทะลุข้างในได้จะสยองกว่านั้นอีก ทีผีมันแหกอกให้ดูก็ แหม...ตกใจใช่มั้ย ? ถ้ามองทะลุเข้าไปเห็นข้างในเครื่องในเต้นอีลุบตุ้บตั้บไปหมดนี่ช็อค

    ถาม : สวดมนต์ที่วัดพระแก้ว....(ไม่ชัด)....ให้ศีลแปดอย่างเนี่ยครับ ?
    ตอบ : ได้...ทำไมล่ะ ศีลแปดอานุภาพสูงกว่าศีลห้าเยอะ ในเมื่ออานุภาพของศีลสูงกว่าเยอะ ถึงปฏิบัติเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แค่ชั่วโมงครึ่งชั่วโมง นาทีสองนาทีก็ได้อยู่ที่เรา ของเราจะขาดตอนกินข้าวเย็นเท่านั้นล่ะมั้งใช่มั้ย ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ได้ไปตั้งค่อนวัน
    เทวดาคนใช้ของอนาถบิณฑิกเศรษฐีรักษาศีลแปดแค่ครึ่งวัน แต่ตัวเองไม่ได้กินข้าวมาก่อนเป็นลมตายกลายเป็นเทวดา นั่นน่ะศีลแปดครึ่งวัน เพราะฉะนั้นของเรามีโอกาสรักษาไปเถอะจะมากจะน้อยให้มันได้ไว้ก่อน

    ถาม : ..............................
    ตอบ : พวกนี้มันตัดความดีเราซะแล้ว อย่าไปเชื่อ จะมากจะน้อยให้มันได้เข้าไว้ นาทีสองนาทีก็เป็นปัจจัยเพราะเสริมความดีของเราไปในภายภาคหน้า
    ถาม : ตามที่ว่าการบวชนาคนี่ .....?
    ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องจริง คือเขาเองเกิดศรัทธาอยากจะบวชก็แปลงร่างเป็นมนุษย์ขึ้นมา แต่ตอนหลับขาดสติก็เลยคลายฤทธิ์ลงโดยไม่รู้ตัวกลายเป็นงูใหญ่ พวกเห็นก็วิ่งกันตับแลบ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยต้องสั่งระงับไป ก็ถึงได้อันตรายิกธรรมสิ่งที่คู่สวด เขาจะถามพระก่อนบวชมีข้อหนึ่งว่าเป็นพญานาคหรือเปล่า ? ต้องตอบว่า นัตถิ ภัณเต คือไม่ได้เป็นครับ ถ้าตอบว่า อามะ ภัณเต เป็นครับก็ไม่ได้บวชเลย

    ถาม : ทุกวันนี้ยังใช้คำนี้ ?
    ตอบ : ยังใช้อยู่เป็นปกติจ้ะ มนุสโสสิ เป็นคนมั้ย ? ปุริโสสิ ผู้ชายหรือเปล่า ? ภุชชิสโสสิ เป็นนาคหรือเปล่า ? อะณะโนสิ เป็นหนี้หรือเปล่า ? อย่างนี้ นะสิราชะภะโฎ เป็นคนของทางการมั้ย ? คือเป็นข้าราชบริพารของพระเจ้าแผ่นดินหรือเปล่า ? เดี๋ยวจะกลายเป็นเลี่ยงงานหนีมาบวช แล้วก็ อนุญญาโตสิมาตาปิตูหิ พ่อแม่อนุญาตแล้วหรือยัง ? ปริปุณณะวีสะติวัสโสสิ อายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์แล้วหรือยัง ? ปริปุณันเตปัตตะจีวะรัง มีบาตรมีจีวรพร้อมแล้วหรือยัง ? จะเป็นสิ่งที่ถาม ถ้าตอบผิดก็ไม่ได้บวช

    แต่ส่วนใหญ่สมัยนี้จะสอนกันถึงเวลาทำท่าตอบ ไม่ได้กระซิบบอก แรก ๆ เป็นโรคกุฏฐังคัณโฑเป็นพวกโรคเรื้อนเป็นพวกกลากเกลื้อนอันนี้เกิดจากท่านปู่หมอชีวกโกมารภัจน์ท่านขอเอาไว้ เพราะว่าปู่หมอโกมารภัจน์ท่านเป็นยอดบรมครูของแพทย์จริง ๆ ไม่มีโรคอะไรที่ท่านรักษาไม่ได้ ขอให้ถึงมือท่านต้องรักษาหาย
    คราวนี้พอท่านปวารณาเป็นแพทย์ประจำพระองค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว รักษาแต่พระพุทธเจ้าแล้วก็บรรดาภิกษุเท่านั้นไม่รักษาคนทั่วไป คนป่วยอยากจะหายใช้วิธีบวชเข้ามาให้ท่านรักษา พอหายแล้วก็สึกไป ไป ๆ มา ๆ มีแต่คนป่วยเต็มวัด ท่านทนไม่ได้ท่านเลยขอเอาไว้ ขอเอาไว้ว่าถ้ายังไงเสียพวกที่เจ็บไข้ได้ป่วยอย่าให้บวชเลยเพราะว่างานของท่านมากอยู่แล้ว มีการถามกันว่าเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอะไรบ้างห้าหกอย่าง

    สมัยนี้ต้องถามว่าเป็นเอดส์หรือเปล่า ? เรื่องทุกอย่างในพระพุทธศาสนามีสาเหตุมาทั้งนั้นค้นคว้าไปบางทีสนุกน่าดูเลย รู้หรือเปล่าว่าคนเราถ้าอยู่ได้ถึงอายุห้าหกสิบปี เสียเวลคลำผมไปห้าปี ผมอย่างเดียวนอนนี่ไปเกือบครึ่งหนึ่ง มีกิน มีนอน มีแต่งตัว มีอะไรไปเขาแยกแยะเวลาออกมาชัด อ่าน ๆ ดูแล้วขำพวกทำวิจัยมันอุตส่าห์ไปเจาะหามา

    ถาม : เวลาจิตจะสงบต้องสะดุ้ง ....?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วเขาไม่ให้้สนใจข้างนอก ให้ใจเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น อาการสะดุ้งอาการตกใจ คือจิตเราส่งออกไปที่อื่นพอเกิดอะไรขึ้นกระทบตา หู จมูก ลิ้น กายก็ดีจิตจะรีบวิ่งกลับมาเพื่อที่จะรับอาการนั้น อาการที่มันวิ่งกลับมาเร็วเกินไปเป็นอาการที่เราเรียกว่า ตกใจ
    เพราะฉะนั้นถ้าใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกไม่ไปไหน ต่อให้ฟ้าผ่ามาข้างหูก็ไม่ตกใจหรอก แสดงว่าเราส่งใจออกไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนอีกอย่างหนึ่งมันจะมีอาการหวิวเหมือนกับตกจากที่สูง อาการนั้นเราเริ่มจะเป็นฌานอย่างหยาบแล้ว จิตเกาะไม่ติดพลัดหล่นลงมา มันเป็นอาการที่พลัดจากฌานจะวูบเหมือนมันจะตกจากที่สูง อันนั้นใกล้จะได้ดีแล้วตั้งหน้าทำใหม่อีกสักพักก็จะเป็นฌานไปเลย

    ถาม : .....................................
    ตอบ : อันนั้นเราทำอาการรับรู้ไว้เฉย ๆ ไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นอะไร รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ถ้าลมหายใจเข้าออกยังมีให้จับลมหายใจเข้าออก ถ้าคำภาวนายังมีให้จดจ่อกับคำภาวนา ถ้าไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนาก็รับรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้อาการเป็นอย่างนั้น ถ้าเราไปสนใจมันมาก ๆ มันจะไม่ก้าวหน้า แต่ถ้าเรารับรู้ไว้เฉย ๆ แค่ว่าเป็นอะไรับรู้ไว้ ๆ เดี๋ยวจะก้าวหน้าไปเอง
    ถาม : พระจันทร์สวยมั้ยเวลามองใกล้ ๆ ?
    ตอบ : พระจันทร์น่าเกลียดมากเลยมีแต่หลุม ๆ ไม่มีอะไรหรอก ที่เห็นเป็นแสงสะท้อนได้เพราะแร่ทองคำเยอะ มันเลยสะท้อนออกมาเป็นแสงสีเหลือง แต่ว่าถ้าของโลกเรานี่น้ำเยอะ ถ้าเราขึ้นไปที่ดวงจันทร์จะเห็นโลกเป็นสีฟ้าขาว โลกสวยกว่าเยอะ พระจันทร์แห้งแล้วมีแต่หลุมแต่บ่อหุบเหว ลองไปมั้ย ?
    ถาม : แล้วบนสวรรค์สวยมากมั้ยคะ ?
    ตอบ : บนสวรรค์สวยมากมั้ย ? สวยน้อกว่าพรหม พรหมสวยน้อกว่านิพพาน แต่ถ้านับโลกมนุษย์แล้ว นางงามจักรวาลของเราไม่ได้ปลายแถวของนางฟ้าเขา ก่อนหน้านี้เห็นสาวที่ไหนชอบไปหมด ตอนนี้เห็นแล้วชักเซ็ง ๆ คือมันประเภทผ่านมหาสมุทรแล้วเห็นน้ำไร้ความหมายไปแล้ว คือนางฟ้าเขาสวยจริง ๆ สวยงามสมบูรณ์พร้อมทั้งลักษณะท่าทางทั้งกริยามารยาททั้งบุญญาบารมี บอกไม่ถูก มันเห็นแล้วมันอิ่มตาอิ่มใจไปเลย พอเห็นคนทั่ว ๆ ไปกลายเป็นประเภทปลาย ๆ แถวไป เลยไม่รู้จะสนใจไปทำอะไรเพราะเห็นที่ดีกว่ามาแล้ว

    นางฟ้าปลายแถวรู้จักมั้ย นางฟ้าปลายแถวนี่เคยเจอรุกขเทวดา เป็นนางฟ้าที่อยู่ประจำตามต้นไม้เขามาใส่บาตร ตอนเช้า ๆ ตั้งใจกำหนดใช้พิทพจักขุญาณดู วันนี้ใครจะใส่บาตรเราเป็นคนแรก พอเดินไปถึงจะได้รู้ว่าที่เรากำหนดใจรู้นั้นรู้ถูกหรือรู้ผิด เห็นว่าเป็นลักษณะผู้หญิงอายุเท่านั้นหน้าตาอย่างนั้น ใส่เสื้อผ้าสีอย่างนั้น พอไปถึงเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ตั้งใจสำรวมจิตก้มลงเปิดบาตรแล้วอธิษฐานจิตให้โยมมีความสุขความเจริญ ตอนก้มลงความลับแตก เราไปเผลอเห็นซะว่าผ้าข้างในไม่เหมือนข้างนอกเลยปิดฝาอย่าเพิ่งใส่เป็นใครบอกมาซะดี ๆ เขาเลยเปลี่ยนเป็นรุกขเทวดาคือเป็นนางฟ้า หรือนางไม้ที่อยู่กับต้นไม้ สวยเช้งเชียว แต่ว่าที่รู้ว่าเขาบุญน้อยเพราะว่าเนื้อเขาทึบ เทวดายิ่งบุญมากเท่าไหร่เนื้อจะใสมากเท่านั้น ยิ่งใสมากยิ่งเป็นประกายมากเท่าไหร่ก็บุญเยอะเท่านั้น
    คราวนี้เนื้อเขาทึบ เขาบอกว่าเขาอยากจะทำบุญบ้างด้วยความสงสารเขาก็บอกเอานะ บุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์รับความสุขเท่าใดขอให้เธอได้รับด้วย เขาก็โมทนาสาธุเป็นนางฟ้าสวยเช้งแล้วไปเลย อดรับประทานสิเรา รู้งี้ให้ใส่บาตรก่อนก็ดีโง่ไปหน่อย
    ครั้งหน้านี่จะไม่เผลอแล้ว เอาก่อนถ้าไม่ได้เต็มบาตรไม่ให้หรอก แต่นางฟ้าเทวดาเขาใส่บาตรไม่เคยเต็มบาตรนะ ใส่เยอะเท่าไหร่ก็ตามบางทีมา ๔๐ คน ๕๐ คน ใส่คนละทัพพีสองทัพพีจะได้ประมาณครึ่งบาตรไม่ถึงครึ่งบาตรแค่พอดี ๆ เรากิน กินหมดแล้วหมดเลย

    ถาม : ..................................
    ตอบ : กำลังใจโยมจำไว้ว่าอย่าเกาะตัวบุคคล หลวงพ่อไม่เคยสอนให้เกาะองค์ท่านเลย ท่านสอนให้เกาะพระุพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนที่เป็นนามธรรมคือความดีเท่านั้น แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีนั้น ให้เกิดขึ้นแก่ตัวเรา ถ้าไปเกาะตัวบุคคล เดี๋ยวก็ตาย เกาะได้ไม่นานหรอก
    ถาม : .............................
    ตอบ : อันไหนก็ได้ที่เราถนัด พุทโธก็ง่ายเพราะว่าคำภาวนามันสั้นดี ถ้าหากว่าคนที่เคยชินแล้วคำภาวนายาวสั้นแค่ไหนมันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากว่าใหม่นี่ควรจะใช้สั้น ๆ หน่อยมันจะได้สะดวก
    ถาม : (ถามเรื่องวัตถุมงคล)
    ตอบ : คือเห็นแล้วชอบได้ติดได้ เพราะถือว่าเป็นวัตถุมงคล ถ้าไปติดวัตถุอัปมงคลแล้วมันแย่ คือตอนแรกต้องมีที่เกาะก่อน พอเกาะไป ๆ ระยะสุดท้ายก็จะเลิกเกาะ เคยยกตัวอย่างหลายครั้งว่าเราขึ้นบันไดเพื่อความมั่นคงแน่นให้เกาะราวบันได้ไว้ก่อน แต่พอเราเข้ามาถึงในห้องนี่เราไม่ได้แบกราวบันไดมาหรอก

    แรก ๆ ของการปฏิบัติก็เหมือนกันต้องเกาะพระนิพพานเกาะพระุพุทธเจ้าจนชิน แต่ทำไปทำมา พอกำลังของพระนิพพานเข้าสู่ใจเป็นปกติแล้ว ไม่ต้องเกาะอะไร เพราะความรู้สึกมันจะบอกเลยว่าตอนนี้ถ้าเราตายเราไปนิพพานแน่ ไม่ต้องเสียเวลาเกาะแล้ว ถึงตอนนั้นรู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละไม่ติดทั้งดีทั้งชั่วแล้ว
    เพราะว่าหลายคนพอติดดี โบราณเขาเรียกคำว่า อุปาทาน อย่างเช่นว่า ยึดว่าสิ่งที่ตัวเองทำดี คนอื่นทำไม่ดีทั้งหมดอย่างนี้มันก็จะมีโทษ ทำให้ไม่สามารถจะหลุดพ้นไปได้ ทำ ๆ ไปถึงจังหวะสุดท้ายจะเหลือว่ารู้ว่าดีก็ทำรู้ว่าชั่วก็ละ กำลังใจมันปลดวางซะแล้ว ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ถ้าอย่างนั้นถึงจะหลุดพ้นได้ ไม่งั้นจะติดอยู่ข้างใดข้างหนึ่งมันไม่อยู่ตรงกลาง ถ้าหากว่าอยู่ตรงกลางได้เมื่อไหร่ก็พ้นเมื่อนั้น
    อันนี้ฟังดูมันยากแต่ว่าถ้าทำจริง ๆ ก็สามารถทำได้ไม่เกินวิสัยของพวกเราหรอก ไม่น่าเชื่อน่ะติดดีก็ไม่ได้ แรก ๆ ต้องติดก่อน ถ้าหากว่าเราไม่ติดเราไม่เกาะมันจะไม่มีอะไรให้เราปล่อย มันต้องติดก่อนเกาะก่อน พอเกาะดีไปจนชินจนกระทั่งประเภทที่เรียกว่ามั่นคงแน่นอนมันเต็มซะแล้ว
    คราวนี้พอเต็มไปแล้วมันต้องไปเกาะอะไรอีกล่ะ มีครบแล้วคราวนี้ก็ปล่อย ของเราสงสารเพราะว่าตัวเองเคยเสียเวลามาเยอะ พอเราก้าวพ้นจุดนั้นไปแล้ว เราก็บอกคนอื่นเขาไปมันจะง่ายกว่า เขาไม่ต้องเสียเวลานาน จะอาศัยกุศลตรงที่ช่วยบอกเขานี่ เผื่อยังไงเสียเราจะได้สบายมั่ง

    ถาม : ให้ธรรมะเป็นกำลังใจ ?
    ตอบ : สัจจะจริงใจต่อกัน ทมะรู้จักข่มกลั้นเอาไว้ ขันติอดทนต่อสภาพทุกอย่างเบื้องหน้า จาคะต้องรู้จักเสียสละแบ่งปันต่อกันโดยเฉพาะเสียสละความสุข ไม่ใช่ความทุกข์ ๔ ข้อเท่านั้น ใครทำได้จะสามารถดำรงสภาพครอบครัวอยู่ได้อย่างมีความสุข จริงจังต่อกัน จิรงใจต่อกันไม่ละเมิดสิทธิของกันและกัน
    ทมะอันนี้ต้องรู้จักข่มใจอารมณ์ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น รัก โลภ โกรธ หลง มันเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา แต่ต้องรู้จักเก็บมันไว้ข้างใน ที่โบราณบอกว่าไฟในอย่านำออกแล้วก็ไฟนอกอย่างนำเข้า เรื่องเดือดร้อนข้างนอกรับรู้แล้วก็กองไว้ตรงที่ทำงานนั้น ไม่ต้องเอาเข้ามา
    แล้วเสร็จแล้วก็ขันติ อันนี้อดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น การดำรงชีวิตอาจจะทุกข์ยากลำบากบ้าง มีครอบครัวไม่ได้นอนเต็มตาเพราะต้องคอยไปเลี้ยงลูกมันต้องอดทนอดกลั้น
    จาคะตัวเสียสละนี้ สำคัญที่สุดโดยเฉพาะเสียสละความสุขส่วนตัวของเราเพื่ออีกคนหนึ่ง
    ถาม : พระเวลาเข้าสมาบัติ....(ไม่ชัด)....พระฉันอะไรได้รึเปล่าครับ ?
    ตอบ : อนุญาตให้ฉันน้ำอย่างเดียว ตามระเบียบ เขายอมให้ฉันน้ำสะอาดได้อย่างเดียว ต้องเป็นน้ำกรองด้วยนะ

    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...