ฉบับที่ ๒๕ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 5 มีนาคม 2006.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    เดือนมีนาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    ถาม : (ถามเรื่องการใช้กริช) ?

    ตอบ : พวกนี้ก็ใช้ลักษณะของมีดหมด ถ้าตามสายหลวงพ่อใช้มีดหมอนี่ถ้ารักษาโรคใช้คาถา ทุกขา ทุกขัง ปติฏฐิตัง สัมปฏิจฉามิ ถ้าหากว่าใช้ไล่ผีให้ใช้ว่า นะโมพุทธายะ แต่จริง ๆ ถ้าพกมีดหมอของหลวงพ่อไม่ต้องเสียเวลาไล่หรอก เดินเหยียบบ้านมันก็เปิดแล้วไม่อยู่หรอก

    วันก่อนไม่ได้ตั้งใจแกล้งยายเขียวเขาหรอก ยายเขียวแกเป็นผีที่น่ารักมากเลย อายุ ๙๔ ปีถึงจะตาย พอตายเสร็จเขาเผาก็มาบอกหวยลูกหลาน
    แต่คราวนี้แกเล่นประเภทว่าวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน ลูกหลานกลัวเลยเอากระดูกไปฝากไว้ที่วัด เราก็เอากระดูกไปวางไว้บนชั้นวางของ วันนั้นจะออกไปกิจนิมนต์ก็ไม่ได้เจตนา กำลังจะไปกิจนิมนต์ไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อน ตัวเองสะพายย่ามอยู่คว้าย่ามได้ก็ยัดเข้าไปชั้นล่างยายเขียวเผ่นกระเจิง เราลืมไปว่าในย่ามมันมีมีดหมอ เล่นเอาผีเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว

    ถาม : .............................

    ตอบ : มีอย่างไรก็แล้วแต่ ๆ ว่าคาถากำกับในการใช้มันอย่างนั้น คือว่ามีดหมอนี่ในสมัยก่อนเขาใช้ในทางหมอจริง ๆ คือ รักษาโรค โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากไสยศาสตร์ เป็นโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ ถ้าไปบ่อย ๆ หมอเขาจะว่าเป็นอุปาทานเพราะเขาตรวจหาไม่เจอ
    เคยเจอมากับตัวเอง ตอนแรกเป็นอยู่ที่บริเวณท้อง พอเอ็กซเรย์ที่ท้องมันเลื่อนไปที่หัวเข่า เลื่อนให้เรารู้ ๆ เลยล่ะ แล้วเราไปบอกหมอเขาว่าเอาแน่ ๆ เลยต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ ถึงเวลาเราก็ต้องมารักษากันเอง

    สมัยก่อนเขาใช้เป็นหมอจริง ๆ พอมาถึงยุคของหลวงพ่อเดิม วันหนองโพธิ์ หลวงพ่อเดิมเป็นครูบาอาจารย์ร่วมสมัยกับหลวงปู่ปาน ท่านคงได้รับพรจากพระหรือจากเทวดา ท่านเลยทำมีดหมอลักษณะเล่มเล็ก ๆ เอาไว้ติดตัวได้ ติดตัวเป็นมหาอำนาจป้องกันคุณไสยได้ทุกอย่าง
    นั้นล่ะโดยเฉพาะสมัยนั้นพวกโจรเป็นเสือปล้นเขาจะหนังเหนียว เจอมีดหมอหลวงพ่อเดิมนี่สยอง เหนียวแค่ไหนก็เข้า ทุกขา ทุกขัง ปติฏฐิลัง สัมปฏิจฉามิ ตัวนี้เขาแปลว่าสำเร็จทุกประการ ไม่ต้องไปแปลหรอก คาถาแปลแล้วไม่ขลัง

    ถาม : ...............................

    ตอบ : ทุกวันนี้เวลาอยู่ที่วัด เวลาทดสอบกับพวกพระ เขาเอาของมาถวายในหีบในห่อนี่จะถามเขาว่าอะไร เขาจะตอบกันไม่ได้ บอกรู้มั้ยทำไมคุณตอบไม่ได้ คุณกลัวเสียฟอร์ม คุณกลัวว่าตอบผิดแล้วจะขายหน้า จำไว้เลยว่าจะผิดหรือถูกเรามีแต่ได้ไม่มีเสีย ตอบถูกได้กำไรกำลังใจมันมี ตอบผิดได้บทเรียน เราจะได้รู้ว่าเราตั้งกำลังถูกหรือผิดยังไง เสร็จแล้วก็บอกให้เขาว่ามันมีอะไร แล้วแกะออกมาก็จะตรง บอกว่าถึงผมตอบผิดผมก็ไม่เสียกำลังใจ ผมถือว่าผมเฮงซวยเองที่รู้ผิด มันจะเป็นอย่างนั้น ส่วนใหญ่จะไปกลัวผิดกลัวเสียฟอร์ม

    ถาม : อย่างสมัยนี้มีอินเตอร์เน็ตเข้ามาแล้ว เราเข้าไปดูในเว็บไซต์นั้น เป็นข้อความก็ดีหรือเป็นรูปภาพแล้วเราไปดูรูปภาพหรือข้อความในนั้นแล้วถูกใจ ผมก็ไปก๊อปปี้ของเขามาโดยที่ผมไม่ทราบเจตนาเขาว่าเขาจะให้หรือไม่ให้ จะถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้อ ๒ มั้ยครับ ?

    ตอบ : ถ้าหากว่าเขาไม่ได้ระบุชัดเจนว่าต้องเป็นสมาชิก ต้องเสียค่าสมาิชิก ก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาระบุชัดเจนว่าต้องเสียค่าสมาชิกจะมีระบบป้องกันเราอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ให้รหัสผ่านมาเราเจาะเข้าไปไม่ได้หรอก ได้แต่ดูแล้วก็น้ำลายยืดอยู่นั่นล่ะ

    ถาม : ไม่ได้ตั้งใจไม่ผิดใช่มั้ยครับ ?

    ตอบ : ลองกินยาพิษดูไม่ตั้งใจ ตายมั้ยล่ะ ? ประเภทเดียวกัน

    ถาม : ที่หนูฝึกมโนดูมันไม่ชัดเลยค่ะ ?

    ตอบ : มันไม่จำเป็นต้องชัด จำไว้ว่ามโนมยิทธิจริง มีแบบเดียวก็คือ ชัดเจนแจ่มใสเหมือนอาทิตย์ยามเที่ยง เพราะว่าเราขอบารมีพระพุทธเจ้าท่าน ถ้าหากว่าเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านจะชัดเจนแบบพระจันทร์วันเพ็ญ คือจะมีเงามืดอยู่บ้าง เงามัวอยู่บ้าง แต่ว่าก็สว่างสดใส ถ้าเป็นพระอัครสาวกเหมือนคบไฟดวงใหญ่ ถ้าหากว่าเป็นพระอรหันตสาวกทั่ว ๆ ไปเป็นเหมือนอย่างกับเทียนดวงน้อย ถ้าเป็นผู้ที่ทรงฌานโลกีย์อย่างพวกที่ได้อภิญญาได้สมาธิเหมือนกับยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำ

    คราวนี้เราขอบารมีพระสงเคราะห์มันจะชัดอย่างนั้น แต่เนื่องจากว่ากำลังใจของเราก่อนที่เราจะใช้มโนมยิทธินี่ ครูฝึกเขาจะสอนให้เราตัดร่างกายเสียก่อน ตัดความเกาะในโลก ตัดความอยากในร่างกายเพื่อให้จิตมันผ่องใส ทีนี้ถ้าเรายังตัดไม่ได้จริง ๆ นี่มันไม่ค่อยผ่องใสไม่ค่อยชัดเจน ขอให้เรามั่นใจว่าตรงหน้าเราใช่ ถ้าความรู้สึกบอกว่าตรงหน้าเราคือพระพุทธเจ้าถึงไม่เห็นเลยก็ขอให้น้อมจิตกราบลงไป

    อาตมาเองบางวันป่วยหนัก ๆ ร่างกายมันแย่ เรื่องของฌานสมาบัตินี่ถ้าร่างกายเจ็บป่วย หิว กระหายมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ มันไม่เอากับเราเลย บางวันป่วยหนัก ๆ นี่ตั้งใจกำหนดเต็มที่เห็นยอดเกศเแหลม ๆ นิดเดียวเอง นิดเดียวก็นิดเดียวถือว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนั้น เราก็น้อมใจกราบลงไป
    คราวนี้ความรู้สึกแรก ๆ เหมือนกับหลับตาคลำของ เขาส่งของมาชิ้นหนึ่ง เขาถามว่าเป็นอย่างไร ? เราก็บอกตามสภาพว่า ลักษณะอย่างนี้ อันนี้มันน่าจะเป็นปากกา หรือไม่ก็อาจจะเป็นเศษไม้อันหนึ่ี่ง ตอบไปตามความมั่นใจของเรา ถ้าครูฝึกเขายืนยันปุ๊บ ความมั่นใจมันเพิ่มขึ้น ๆ จิตมันจะนิ่ง

    แหม ! แรก ๆ ใจเต้นตึ้กตั้ก ๆ จะถูกหรือเปล่า ? พอตอบไปตอบมา เออ.....เราเก่งนี่ แม่นเหมือนกัน ใจมันชักจะนิ่ง พอชักจะนิ่งตอนนี้ภาพจะเกิด เพราะจิตนิ่งแล้วมันเหมือนกับน้ำที่นิ่ง พอไม่กระเพื่อมเราชะโงกเห็นหน้าตัวเองชัดมั้ย ? ภาพเกิดปุ๊บเราก็ตั้งใจมองให้ชัดปั๊บก็หายปุ๊บ เพราะว่าจิตต้องไปถึงสถานที่นั้น

    ตอนนี้เรานึกถึงบ้าน คนที่ได้อภิญญาสมาบัติคนที่ได้มโนมยิทธิจะเห็นเราอยู่ที่บ้านแล้ว เราต้องไปที่บ้านเราถึงเห็นบ้านนั้น แต่ที่เราเห็นบ้านนั้นเพราะความเคยชินของเรา ๆ จึงนึกออก บอกได้มั้ยว่าเราเห็นด้วยตา ไม่ใช่หรอกแต่ทำไมมันชัดล่ะ นั่นล่ะคือตัวมโนมยิทธิ

    คราวนี้เมื่อเราไปถึงตรงนั้นเราถึงเห็น พอเราเห็นภาพปุ๊บเราต้องเพ่ง พอเราเพ่งปุ๊บเราใช้อะไร ? สายตากล้ามเนื้อตาใช่มั้ย ? ก็คือเรานึกถึงตัวก็ดึงจิตกับ เราดึงออกมาจากตรงนั้นแล้วเราจะเห็นอะไรล่ะ ? มันก็หายวับไป ในเมื่อมันหายวับไป เราเอาใหม่ตั้งท่าใหม่ พอไปถึงเห็นอีก เพ่งอีก หายอีก บางคนติดอยู่ตรงนี้เป็น ๑๐ ปีก็มี ขอให้เราทำความเข้าใจว่า ก่อนหน้านี้แค่เราคลำ ๆ ไม่เห็นแค่ความรู้สึกอย่างเดียวก็แม่นแล้ว รถมาสีอะไรบอกได้หมด คนนั่งมากี่คนบอกได้หมด เห็นไม่เห็นช่างหัวมันปะไรเราพอใจของเราแค่นี้ ถ้าทำใจสบาย ๆ อย่างนี้ได้ภาพจะอยู่ได้นานเท่าที่เราต้องการ สำคัญอยู่ตรงจุดนี้เอง

    เพราะฉะนั้นแรก ๆ มันเหมือนกับเราหลับตาคลำของ ตอนแรกก็กิ่งไม้ ผิดนี่หว่าคลำไปคลำมามีห่วงอยู่หน่อยหนึ่งมีที่กดอยู่นิด ปากกานี่ พอครูฝึกเขายืนยันว่าใช่ ต่อไปคลำใหม่ปากกา คลำอีกครั้งก็ปากกา ต่อไปคลำปุ๊บก็ปากกา มันจะยิ่งแม่นยิ่งคล่องขึ้นเรื่อย ๆ ในเมื่อเราไม่เห็นมันคล่องแล้ว ไม่จำเป็นต้องเห็นก็ได้ ถ้าเราวางกำลังใจอย่างนี้ ภาพก็จะเริ่มปรากฎ

    ถาม : โยมนี่หลับตาจะมืด ๆ ลืมตาจะเห็นชัดค่ะ ?

    ตอบ : มโนมยิทธินี่ จะลืมตาหรือหลับตามีผลเหมือนกัน เพียงแต่ว่าที่เขาให้หลับตาเพราะว่าบางคนตัดประสาทตาที่รับภาพอื่นออกไม่ได้ อย่างเช่นว่า เห็นคนนั่้งอยู่ เห็นคนเดินอยู่ เห็นรถวิ่งไปวิ่งมา ไม่สามารถจะตัดออกจากภาพที่ตัวเองต้องการได้ ยิ่งภาพพระนิพพานนี่ถ้าหากว่าใช้ตายแบบลืมตาดูนี่ มันเหมือนกับเห็นลมเป็นตัว อธิบายยากมากบอกไม่ถูกหรอก เหมือนกับเห็นลมเป็นตัว รู้สึกว่าอยู่ตรงหน้าเรานี่สว่างเจิดจ้าสดใสมากเลย ลักษณะวิมานเป็นยังไงรู้หมด พระพุทธเจ้าอยู่ยังไงรู้หมด

    แต่ว่าจริง ๆ แล้วก็คือไม่ได้เห็นอะไรเลยทั้ง ๆ ที่เราลืมตาใส ๆ อยู่ อยู่ในห้วงความนึกที่เรียกว่า มโนเท่านั้น แต่ว่าเราสามารถอธิบายได้ถูกหมดว่าเป็นอย่างไร คราวนี้เมื่อคนที่ชำนาญอย่างนี้ไม่ถือว่าผิดปกติ เก่งซะด้วยซ้ำไป แต่ถ้าคนทั่ว ๆ ไปแล้ว ถ้าลืมตามันไม่มีความคล่องตัวเขาตัดประสาทตาไม่ได้เห็นภาพอะไรจะไปสนใจ ภาพที่เราต้องการจะหายไป เขาถึงได้บอกว่าให้หลับตาซะก่อน ถ้าคล่องตัวแล้วค่อยลืมตา พอลืมตาขึ้นมาต่อไปคล่อง ๆ ตัวมากลืมตาหลับตาอารมณ์ใจมันเท่ากัน

    ถาม : คือว่าทีแรก ๆ พอฝึก ๆ ไปแล้วจะวิปัสสนารู้สึกเหมือนว่าตรงนี้มัน....(ไม่ชัด).....?

    ตอบ : ไม่จำเป็นหรอกขึ้นไปกราบพระบนนิพพานแล้วอยู่บนนั้นให้ได้นานที่สุด เป็นวิปัสสนาชัดเลย


    ถาม : คือตอนนี้ขึ้นไปกราบพระอย่างเดียวแล้วก็ลงมาดูใจตัวเองข้างล่าง ?

    ตอบ : อันนั้นพอแล้ว ดูใจก็ไม่ต้องลงมาดูข้างล่างดูต่อหน้าพระข้างบนนั่นล่ะถ้ามีสิ่งที่ไม่ดีอยู่ก็ขับไล่มันออกไป เอ็งไม่ต้องเข้ามาอีกข้าไม่ต้องการแล้ว ถ้ามีสิ่งที่ดี ๆ อยู่พยายามสร้างให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เราอยู่กับพระเป็นการตัดรัก โลภ โกรธ หลง ไปในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาไปคิด ไปพิจารณาอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่หาวิธีให้อยู่ตรงนั้นให้นานที่สุด คราวนี้เมื่อเราทำอย่างนี้บ่อย ๆ พอจิตมันเคยชินมันจะอยู่ได้นานขึ้น ใหม่ ๆ นี่ไม่ชินกับพระนิพพานยังไม่ทันรู้ตัวเลย เพ่ิงรู้ว่าเราจะกราบพระ อ้าว...ลงมาอยู่ข้างล่างแล้ว พวกเราส่วนใหญ่จะมีประสบการณ์อย่างนี้

    สมัยก่อนที่ฝึกใหม่ ๆ อาศัยว่าสวดมนต์ได้เยอะ ในเมื่อสวดมนต์ได้เยอะก็หาวิธีการทำอย่างไร เราจะล็อกกำลังใจของเราให้อยู่กับพระให้นานที่สุด ก็ตั้งใจว่าเราจะสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา ถ้าไม่จบข้าไม่ลงล่ะ
    คราวนี้ในเมื่อมีงานให้ก็เท่ากับว่ามีที่ให้เกาะ มันก็อยู่ได้แม้จะหยาบไปหน่อยแต่ก็สามารถจะเกาะพระนิพพานได้นาน อารมณ์เคยชินจะมากขึ้น ๆ ต่อไปอยู่ได้นานเท่าที่เราต้องการ

    ถาม : ถ้าเรารู้สึกว่าเราขึ้นไปนี่อยู่ที่อารมณ์แล้วเราจะให้รู้สึกนี่ ให้เชื่อว่าเราอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ?

    ตอบ : ไม่ต้องให้เชื่อ มันอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ทำอย่างไรจะให้เราอยู่ตรงนั้นให้นานที่สุด ให้เราอยู่บนพระนิพพานไม่ต้องไปไหนหรอก น้อมเชิญพระพุทธเจ้าเข้ามาอยู่ในวิมานของเราด้วยตั้งใจนึกถึงท่านตลอดเวลาตั้งใจว่าถ้าเราหลับก็ขอให้หลับในลักษณะนี้แหละ กำหนดใจนึกถึงภาพของท่านสว่างไสวเฉพาะหน้าของเรา จะองค์ใหญ่องค์เล็กแค่ไหนแล้วแต่เราชอบใจ ตัวเราข้างบนจะนอนท่าไหนแล้วแต่เขาชอบใจ ส่วนข้างล่างปล่อยมันหลับไป

    ถาม : ถ้าไปให้ไปนิพพานที่เดียวที่อื่นต้องไปหรือเปล่าคะ ?

    ตอบ : ไม่ต้องไปหรอก ให้ไปนิพพานที่ดียวก็พอแล้ว เพราะว่าส่วนใหญ่ถ้าหากว่าไปที่อื่นกำลังจะเกาะจุดนั้น ๆ ถ้าเราตายตอนนั้น ดีไม่ดีก็เป็นได้แค่พรหม เพราะว่าไปด้วยกำลังของสมาธิสมาบัติ แต่ถ้าหากว่าเราไปนิพพานนี่มันได้แน่นอนว่า ถ้าตายก็อยู่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องเก่ง คนอื่นเขาเก่งปล่อยเขาเที่ยวไปเถอะ เดี๋ยวมันหลงทางไปเองแหละ เที่ยวมาก ๆ หลง

    ถาม : ส่วนใหญ่จะไปได้....?

    ตอบ : อันนั้นไปได้ อาตมาทำอะไรตรงร่องอยู่เสมอ มันเหมือนกับโบราณที่ว่า ขี้ตรงร่อง สมัยก่อนจะเป็นบ้านใต้ถุนสูง เขาจะมีร่องกระดานอยู่ กลางค่ำกลางคืนลงไปข้างล่างไม่ได้หรอก พวกสัตว์ร้ายมันมีเขาก็จะเอาโอ่งเอาไหไว้ข้างล่างถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงไป

    เพราะฉะนั้นกลางคืนคลำ ๆ ไปคลำ ๆ มาบังเอิญถ่ายตรงร่องได้ ก็จะไม่เลอะข้างบน อาตมาเองสมัยใหม่ ๆ ทำอะไรหลายอย่างตรงร่อง อย่างเช่นว่าเราชอบนิพพานอย่างเดียวที่อื่นไม่ค่อยอยากไป ขี้เกียจขึ้นมาก็ใช้วิธีอาราธนาขอบารมีพระ ขอให้พรหม เทวดาผู้มีพระคุณของเราทั้งหมดขึ้นมาบนนิพพาน แล้วเราก็กราบท่านทีเดียวพร้อมกับพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหมด ทำไปทำมาเสร็จกูบ้าหรือเปล่าวะทำไมทำอย่างนี้ได้ ? พอมาตอนท้าย ๆ ก่อนหลวงพ่อมรณภาพไม่นาน ท่านบอกว่าท่านพาพรหม พาเทวดาไปนิพพานหมดเลย นั่นก็คือขี้ตรงร่อง

    ส่วนอีกยกหนึ่งก็คือว่า เรื่องของคาถาเงินล้าน เคยท่องคาถา สัมปจิตฉามิ กับ สัมปฏิจฉามิ ต่อเนื่องกันมาตลอด พอมาเจอคาถาเงินล้านมี สัมปฏิจฉามิ มันก็สัมปจิตฉามิไปด้วย ๒ อย่างรวมกันไปเลย มาตอนหลังก่อนหลวงพ่อมรณะไม่นาน ท่านก็บอกให้เอาสัมปจิตฉามิใส่ลงไปด้วย ของเราใส่ไปหลายปีแล้ว เลยกลายเป็นว่าทำอะไรฟลุค ๆ ถูกเข้าพอดี อันนี้ถือว่าบังเอิญโชคดี

    ถาม : การเดินทางขึ้นรถขึ้นอะไรก็แล้วแต่เราจะเอาจิตไปเกาะ...(ไม่ชัด)....?

    ตอบ : อาตมาจะยกจิตขึ้นไปกราบพระ ตั้งใจว่าถ้ามันเกิดอุบัติเหตุอันตรายอะไรถึงแก่ชีวิตขออยู่กับท่านที่นั่น แล้วอีกอย่างหนึ่งเวลามีอะไรตอนนั้นจะกราบทูลถามท่านเลย

    มีอยู่เที่ยวหนึ่งภาวนายกจิตขึ้นไปกราบเห็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาอ้วนสวยเลย ไม่เคยเห็นมาก่อนเหลืองอร่ามอย่างกับทอง กราบทูลถามว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใด ท่านตอบว่าจำสมเด็จพ่อของเธอไม่ได้เหรอ ? คำว่าสมเด็จพ่อหมายถึงพระพุทธกัสสป เพราะว่าเคยเกิดเป็นพ่อเป็นลูกกันมา บอกว่าตามที่ตกลงกันมา ถ้าสมเด็จพ่อมาต้องมาในลักษณะพระพุทธรูปปางลีลา แล้วทำไมถึงมาในลักษณะอย่างนี้ ท่านบอกว่าให้เธอจำไว้นะ ถ้าหากว่าพ่อมาในลักษณะนี้เธอจะมีลาภมาก งวดนั้นรวยจริง ๆ

    ถาม : ทำถูกต้องใช่มั้ยคะ ?

    ตอบ : คือว่าอย่างไรก็อย่าประมาท แต่ว่าอีกเที่ยวหนึ่งนั่นประเภทที่เรียกว่าตั้งหลักไม่ทัน เพราะว่าหัวหน้าป่าไม้ไปกับเขา ๆ ไปส่งก็ชวนคุยถามเรื่องโน้นเรื่องนี้ จนกระทั่งเรื่องงานเรื่องการเรื่องการโยกย้ายของเขาไปเรื่อย เพราะว่าเวลาชวนคุยบางทีเราก็เผลอหลุดให้เขาเหมือนกัน เขาก็ได้ประโยชน์ของเขาอยู่ คุยไปคุยมาจนกระทั่งหมดเรื่อง เราก็พิงพนักหลับตานึกถึงพระของเรา พอนึกปั๊บเห็นภาพพระเหมือนกับพระแตกลายงาร้าวทั้งองค์เลย ก็เลยเอ๊ะวันนี้พระเป็นอะไร พอเราพึ่งจะเอ๊ะเท่านั้นเสียงดังเปรี๊ยะ กระจกหน้าหมดเกลี้ยงเลย ร้าวลักษณะที่เราเห็นชัด ๆ เลยตั้งหลักไม่ทันเลย ยังไม่ทันได้ถามพระเลยว่าเป็นเพราะอะไร วิ่งตามรถอื่นหรือไงไม่รู้ มันดีดหินใส่หรือไงไม่รู้ อันนั้นตั้งหลักไม่ทันมัวแต่คุยอยู่ สมน้ำหน้าหมดไป ๒,๕๐๐ (หัวเราะ)

    ถาม : เวลาใส่บาตรเราไม่ได้ใส่บาตรเองน่ะค่ะ เราให้แม่ใส่เราจะได้บุญไม๊คะ ?

    ตอบ : เราได้ ๒ ต่อ อันดับแรกถ้าหากว่าเราทำด้วยตัวเอง เสียเิงินเสียทองด้วยตัวเอง อันนี้เป็นทานบารมีของเรา ถ้าหากว่าให้แม่ใส่จะได้ตัวปัตตานุโมทนามัย พลอยยินดีในบุญของคนอื่นด้วย แล้วก็ได้่ตัวเวยยาวัจจมัย คือช่วยงานบุญคนอื่นเขาให้สำเร็จด้วย คือแม่เขาจะทำได้้อย่างนั้นเพราะเรา ได้เพิ่มขึ้นอีกเยอะ ดีกว่าใส่เองมั้ย ?

    ถาม : เราไม่ได้ใส่เองนี่คะ ?

    ตอบ : ไม่เป็นไร ขอให้สิ่งนั้นเป็ของเราเท่านั้น แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าถึงไม่ใช่ของเรา แม่หามาเอง แม่ใส่เองเราก็สาธุพลอยยินดีไปด้วย เป็นปัตตานุโมทนามัยไป ได้บุญเหมือนกัน ปัตตานุโมทนามัยนี่ถ้าหากว่าออกจากจิตของเราจริง ๆ ๘๐% ของคนทำเลย เพียงแต่ว่าถ้าหากว่าจะได้รับผลอันนั้นจะรับผลช้ากว่าคนที่เขาทำเองหน่อยหนึ่ง ต้องให้คนที่ทำเองได้รับผลอันนั้นแล้ว ตัวปัตตานุโมทนามัยนี่เป็นกำลังใจที่ยินดีที่คนอื่นเขาได้บุญที่เราไม่ได้ทำ มันเป็นมุทิตาจิตที่ออกจากำลังจิตกำลังใจจริง ๆ

    ตอนนั้นเห็นว่าคนทั้งสัตว์ทั่วโลก มันล้วนแต่น่ารัก น่าสงเคราะห์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทีนี้เราไม่สามารถจะทำได้แต่มีคนอื่นเขาทำมันน่ายินดีจริงหนอ มันจะอยู่ในลักษณะอย่างนั้น แต่ปัจจุบันพวกเราเห็นเขาทำแล้วสาธุ สาธุของเรามันแฝงความหมายว่า กูเอาด้วย ตรงนี้ตั้งกำลังใจผิดไปนิดหนึ่ง ให้เปลี่ยนกำลังใจนิดหนึ่งจะเป็นปัตตานุโมทนามัยที่แท้จริง อย่างนั้นไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ ดี เพราะถือว่ากำลังใจของเราเกาะด้านดีอยู่ แต่ว่ามันประกอบไปด้วยตัวความอยากได้อยู่หน่อย ๆ

    ถาม : ผู้เป็นลูกปฏิบัติ แต่เป็นผู้หญิง ปฏิบัติได้ถึงที่สุดแล้ว พ่อแม่จะได้ด้วยมั้ยคะ ?

    ตอบ : ได้ พ่อแม่ได้ด้วยเพราะว่าเรื่องของการบวช ถึงคุณบวชเข้าไปก็เถอะ ถ้าไม่เป็นพระซะอย่างก็แย่เลย แต่ว่าเราเป็นลูกผู้หญิงไม่จำเป็นต้องบวชเองก็ได้ เห็นคนอื่นบวชเราร่วมเป็นเจ้าภาพ คนที่บวชเองได้ผลบุญ ๖๐ กัป ตัวคนเป็นเจ้าภาพล่อไปซะ ๑๕ กัป พ่อแม่ได้ ๓๐ กัป คนเป็นเจ้าภาพได้ ๑๕ คนช่วยงานบวชได้ ๖ เราได้ ๑๕ ก็บวชซะ ๑๐ องค์เป็นไงล่ะ ล่อไปซะ ๑๕๐ เยอะกว่า ๖๐ ของเขาตั้งเยอะ หรือไม่ก็ทำตัวเองให้เป็นพระอริยเจ้า จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียอกเสียใจ พอเราทำตัวเป็นพระอริยเจ้าตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่สบายบอกแล้วว่า ถ้าหากว่าทำได้เท่าไหร่ คนที่ได้เขาได้ด้วยอย่างน้อย ๆ ก็ ๘๐% ในเมื่อเขาโมทนา ถ้าถึงที่สุดเขาไปนิพพานด้วย

    หลวงพ่อบอกว่าเจอหลายคน เขาไปคอยอยู่ข้างบน บอก เฮ้ย...มาได้ยังไง ก็โมทนาบุญของท่านไงครับหลวงพ่อ บอก แหม...เสียท่า เราปล้ำอยู่เป็น ๑๐ ปีแป๊บเดียวมันเอาไปซะแล้ว

    ถาม : มโนมยิทธิปีที่แล้วเหมือนมีพระพุทธเจ้ามาที่วิมานหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อก็กราบท่านเหมือนว่าจะประกาศให้เทวดาทั้งหมดรู้ว่าลูกคนนี้จะได้ไปนิพพาน เทวดาก็โมทนาแต่โยมทำไมไม่รู้สึกดีใจ ?

    ตอบ : ตอนนั้นอารมณ์ใจมันปล่อยหมดแล้วนี่ ดีชั่วมันไม่เกาะแล้ว มันต้องประกอบด้วยสังขารุเบกขาญาณอย่างสูงสุด ทีนี้มันไม่ปรุง ไม่แต่งอะไรแล้ว ไปรู้สึกดีใจอะไรก็เฉยไปเฉย ๆ


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.grathonbook.net/
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : ................................

    ตอบ : แต่ถ้าเรื่องมันผิดไม่ถูกต้องตามนั้นก็ขอบคุณท่านด้วยว่า ขอบคุณที่อุตส่าห์มาทดสอบกำลังใจ ถ้าหากว่ารู้พร้อม ๆ กัน ๓ เรื่อง ๔ เรื่อง ๆ ที่ ๑ ถูก ที่ ๒ ถูกที่ ๓ ถูกอย่าเพิ่งเชื่อเรื่องที่ ๔ เพราะว่าการทดสอบกำลังใจกันเขามาทุกเวลาและทุกโอกาส ยิ่งได้ทิพจักขุญาณชัดเจนแจ่มใสเท่าไร ยิ่งทดสอบเราหนักเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นในช่วงที่อยู่วัดท่าซุงมาด้วยกัน สมัยนั้นจะขยัน โดยเฉพาะเพื่อนพระรุ่นเดียวกัน ๑๒-๑๓ คนนี่จะมีการซ้อมกันอยู่ทุกวัน เสร็จแล้วจะมาสนทนาธรรมกัน ก่อนที่จะจำวัด สอบถามไปเถอะ พอเหลือระยะสุดท้ายทุกองค์เหลือคาถาเหมือนกันอยู่บทเดียวก็คือ กูไม่เชื่อ คือเชื่อเมื่อไหร่มันต้มเราเมื่อนั้นแหละ ทั้ง ๆ ที่เรื่องสุดท้ายถูกเจ๋ง ๆ เลย พอขยับมาอีกเรื่องหนึ่งเราเชื่อซะก่อนนี่ เจ๊งเลย เพราะฉะนั้นรับรู้ไว้เฉย ๆ ถ้าเป็นไปตามนั้นเราก็น้อมจิตด้วยความขอบคุณว่า อุตส่าห์ที่มาบอก ต้องเหนื่อยต้องยากมาบอกเราล่วงหน้าก็ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้ามันผิดเราห่วยเองช่้างหัวมันเถอะ เพราะฉะนั้นบอกได้คำเดียวไม่ต้องเชื่อ มันจะจริงไม่จริงช่างมัน เรื่องของมันไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราหน้าที่เฉพาะหน้าคือ ทำอย่างไรที่ให้ชำระจิตใจให้ผ่องใสปราศจากกิเลสให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เรื่องอื่นทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องถ่วงทั้งนั้น

    ถาม : แล้วถ้าอย่างเพื่อนชอบทายว่าพรุ่งนี้เช้าจะเจออะไรแต่เราไม่ได้สนใจอย่างนี้ ....(ไม่ชัด).....?

    ตอบ : ถ้าหากว่าเขาทาย เราก็นึกถึงพระ ถ้ายิ่งจับภาพพระเป็นปกตินึกถึงว่าพระองค์ท่าน พร้อมกับวิมานอยู่เหนือเศียรเรานิดเดียวเท่านั้น ถึงเวลาก็นึกถึงท่าน นิพพานอยู่แค่นี้ไม่ได้อยู่ไกลเลย

    ถาม : เขาพยายามจะใช้มโนอย่างนี้จะเป็นอะไรมั้ย ? เอาเองคิดว่าช่างหัวมัน ?

    ตอบ : เป็นการซ้อมบ่อย ๆ มันก็คล่องตัวดี คือว่าเราสักแต่ว่ารู้เท่านั้น รู้อย่างไรตอบไปอย่างนั้นไม่ต้องกลัวผิดหลับหูหลับตาตอบผิดมันก็ถือว่าปกติ แต่ถ้าถูกเราเก่ง เรารู้จักให้กำลังใจตัวเองบ้าง

    ถาม : ถ้าเราไม่สนใจล่ะคะ ?

    ตอบ : ถ้าไม่สนใจก็ถือว่าเราทำถูก มีอะไรก็กินไปอย่างนั้น แต่ถ้าเขาต้องการรู้ว่ามันคืออะไร เราสามารถตอบได้ก็ตอบไป
    ถาม : ทำไมเวลานั่งขัดสมาธินั่งสมาธิมันถึงเจ็บขา ?
    ตอบ : ธรรมดา ขัดอยู่มันจะไม่เจ็บได้ยังไง
    ถาม : มันเจ็บแรงมากเลย ?

    ตอบ : เขาเรียก ขันธมาร เขาพยายามทดสอบกำลังใจของเรา พระสายหลวงปู่มั่น เรียกว่า นั่งทับทุกข์ คือให้มันมั่นใจไปเลยว่า ร่างกายนี่มันทุกข์จริง ๆ แล้วเขาจะพิจารณาต่อไปเลย ถ้าหากว่าในลักษณะนั้นอาตามเคยทำมาแล้ว นั่งทีหนึ่ง ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง โอ้โห....เจ้าพระคุณเหงื่อมันไหลอย่างกับงูเลื้อยเลย คือใจของเรามันยังไม่นิ่ง พอไม่นิ่งจะไปกังลวลกับอาการเวทนานั้น กว่าจะแยกออกว่า เวทนา นั่นเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันใช่เราหรือเปล่า ? หรือว่ามันเป็นเรื่องของร่างกาย ? กว่าจะแยกตรงนั้นออกได้กันเกือบทะลุ รู้สึกว่าก้นมันบางลง ๆ กระดูกเกือบทะลุออกมาแล้ว

    จริง ๆ สายหลวงพ่อไม่ได้ให้ปฏิบัติอย่างนั้น ที่สายหลวงปู่มั่นจำเป็นต้องปฏิบัติอย่างนั้น เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ภาคอีสาน ภาคอีสานจะลำบากเรื่องการทำมาหากิน ลำบากด้วยดินฟ้าอากาศ คนต้องต่อสู้ดิ้่นรนมาตั้งแต่เล็ก ๆ กำลังใจจะเข้มแข็งกว่าคนอื่น พูดง่าย ๆ ก็คือภาษาพระจะเรียกว่า ดื้อกว่าคนอื่นเขา ถ้าไม่เจอการทดสอบลักษณะว่าให้อดอาหารบ้าง นั่งกันข้ามวันข้ามคืนบ้าง จิตมันจะไม่ยอมสงบ ไม่ยอมลงง่าย ๆ ก็เลยต้องทรมานกันลักษณะนั้น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า หลักการปฏิบัติมี ๔ อย่างคือ

    สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติง่าย ๆ แล้วบรรลุเร็ว อย่างสายของหลวงพ่ออย่างนี้
    ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่บรรลุเร็ว อย่างสายของ หลวงปู่มั่น
    สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติสบายแต่บรรลุยาก
    อันสุดท้าย ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติก็ลำบาก บรรลุก็ยาก
    เพราะฉะนั้นในเมื่อมันมีแนวปฏิบัติถึง ๔ แนวอย่างนี้ เราก็รู้อยู่แล้วว่าเราอยู่แนวไหนก็จับแนวนั้นไป หลวงพ่อไม่เคยสอนให้ลำบาก ท่านบอกให้นอนสบาย ๆ ด้วยซ้ำ อาตมาเองหากินทางนอนจนเตียงเป็นร่องไปแล้ว

    ถาม : อย่างเรื่องสัญญาที่เราจำได้ อย่างเราน้อยใจใครซักคนนี่เรารู้ว่าทำไม แต่ทำไมเราตัดไม่ได้คะ ?

    ตอบ : เพราะว่าสติและปัญญายังมีกำลังไม่เพียงพอ จำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตให้มากกว่านี้ด้วยการภาวนา การภาวนาจะสร้างสติของเราให้มั่นคง ทำให้กำลังใจของเราเข้มแข็ง พอถึงเวลาถึงวาระเราต้องรู้จักพิจารณาดูว่า เราน้อยใจเขามันได้ประโยชน์อะไร เขาก็ตายเราก็ตายในที่สุด ก็ต่างคนต่างตาย ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์ เราเองเราน้อยใจเขาเราโกรธเขา เราคิดมากอยู่คนเดียวเขานอนสบาย เราหาเรื่องทุกข์ใส่ตัวหรือเปล่า ? พอปัญญาเกิดมันจะค่อย ๆ ละ ค่อย ๆ ตัดไปเรื่อย แล้วในที่สุดพอเจอหน้ามันก็รู้สึกเฉย ๆ ไม่กระเืทือนอีก แผ่เมตตาให้เขาบ่อย ๆ แรก ๆ ก็ให้คนที่เรารักก่อน ถ้าไปให้คนที่เราเกลียดมาก ๆ มันจะต่อต้าน แรก ๆ ให้คนที่เ่รารักก่อน แล้วหลังจากนั้นพอกำลังใจมั่นคงก็ให้คนที่เราไม่รักเราไม่เกลียดคือบรรดา คนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย จะเป็นคนก็ดี เป็นสัตว์ก็ดี จะเป็นภพใดภูมิใดก็ตาม แล้วหลังจากนั้นให้คนที่เราเกลียดน้อย แล้วค่อยให้คนที่เราเกลียดมาก ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วไปให้คนที่เกลียดมากทีเดียวแล้วมันตีกลับ แรงเขาเยอะกว่าเด้งกลับ ยังมีใครยังขี้น้อยใจอีก พิจารณาดูนะ แหม....ไปเจ้าคิดเจ้าแค้นน้อยใจเขา อดนอนข้ามวันข้ามคืนไอ้นั่นหลับครอกไม่รู้เรื่องปล่อยให้เราฉลาดอยู่คนเดียว จะว่าคิดมากก็ไม่ได้ มันคิดอยู่คนเดียว คิดคนเดียวมันจะคิดมากได้ยังไง ?

    ถาม : ...........................................
    ตอบ : ยกให้มันไปเถอะ จำไว้เลยว่า เรื่องของกำลังใจสำคัญที่สุด สมัยของหลวงพ่อไปอเมริกา คณะที่ติดตามไป ๔๒ คนค่าเครื่องบินอย่างเดียวล้านกว่า กราบเรียนหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ ค่าเครื่องบินเยอะขนาดนี้มันจะคุ้มกับที่ไปเหรอครับ ? ท่านบอกว่า แกเห็นแต่ตัวเงินแกก็ว่าไม่คุ้มแต่แกจำไว้เลยว่า ถ้ามีคนสามารถยกจิตขึ้นนิพพานสักคนเดียว เงินล้านซื้อนิพพานไม่ได้ นั่นคือความเมตตาของหลวงพ่อ ท่านสงเคราะห์ให้ถึงขนาดนั้น

    อาตมาถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่ยอมไปต่างประเทศเสียดายเงินตั้ง ๔ หมื่น ๕ หมื่นลองคิดดูพันเดียวของอเมริกาแล้วตอนนี้ล่อไปเท่าไหร่แล้ว ๔ หมื่นกว่า ไปกลับก็เกือบแสน เจริญมั้ยล่ะ ? แล้วลองคิดดูซิว่า ไปกลับเกือบแสนแล้วตีซิว่า ๔๒ คนมันล่อเข้าไปเท่าไหร่ ๔ ล้านกว่า ทีนี้มันไม่ถึงแสนน่ะซิมัน ๘ หมื่่นกว่า ๘x๔ = ๓๒ ล้านกว่าบาทแล้ว ๓ ล้านกว่าซื้อนิพพานได้มั้ย ? ไม่ได้หรอก
    อ้าว....นั่งรักษาอารมณ์อย่าไปฟุ้งซ่านปล่อยไปไกลอีกแล้ว ดึงให้อยู่แค่ตรงนี้ อยู่แค่ลมหายใจเข้าออกตรงนี้ ทุึกอย่างที่เราคิด ถ้าไม่อดีตก็อนาคตเท่านั้น อดีตทำให้เราไปนิพพานไม่ได้หรอก ถ้าไปได้มันไม่มานั่งทุกข์อยู่ตรงนี้หรอก อนาคตยังมาไม่ถึง รถที่มาไม่ถึงเราขึ้นมันได้มั้ย ? มันไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องอยู่กับปัจจุบัน คือตอนนี้เดี๋ยวนี้เป็นการจำกัดทุกข์ให้อยู่เฉพาะหน้า มันก็จะเหลือแค่นิพัทธทุกข์ คือ ทุกข์เนืองนิจที่เกิดขึ้นกับเราอย่างเช่นว่า เจ็บ ป่วย หนาว ร้อน หิวกระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ แต่ถ้าหากว่าเราคิดเมื่อไหร่มันจะเพิ่มทุกข์ให้ทันที แรก ๆ หยุดความคิด คือควบคุมขอบเขตของมันให้ได้ก่อน แล้วหลังจากนั้นแล้วค่อยวางความคิด ตอนนี้เอาแค่หยุดมันให้ได้ก่อน ไม่ยาก เดี๋ยวจะไล่กวดให้ไปนิพพานให้หมด รู้ตัวว่าใกล้ตายแล้วไม่ค่อยปิดไม่ค่อยบังหรอก มีความสามารถเท่าไหร่งัดออกมาหมด แล้วยิ่งปีนี้เจ้าพระคุณเถอะ ทั้งในทั้งนอกเละเทะไม่เป็นท่า อาตมาเองก็แย่ ตอนนี้มะเร็งมันกินออกข้างนอกแล้ว แข้งขาเละเทะ ๔ แผล ๕ แผลปล่อยมัน ๆ กินได้แต่รถผุ ๆ คันนี้แหละ กินคนขับรถไม่ได้หรอก เดี๋ยวคนขับรถลงโน้นนั่งปอร์เช่ไป ถ้าขืนทำไม่ดีไปเจอจักรยานโปเกขี่ขันหน้าเสือกถอยหลังอีกล่ะยุ่งเลย (หัวเราะ)

    (เล่าเรื่องหลวงปู่) หลวงปู่มหาอำพัน อายุ ๘๐ กว่าแล้ว ลูกศิษย์มากี่คนสอบถามถึงพ่อถึงแม่ถึงลูกถึงหลานถึงเหลนได้หมด แต่ละคนชื่ออะไรนึกออกหมด นั่นแหละผู้ที่มีจิตตั้งมั่น ผู้ที่มีสติตั้งมั่นพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วนาน ๆ เรื่องที่พูดผ่านมาแล้วนาน ๆ ก็จำได้ เพราะว่าจิตมันมีสภาพจำ แต่ว่าไม่ได้จำในลักษณะสับสนวุ่นวาย จะเก็บซุกเอาไว้มุมใดมุมหนึ่งของมัน พอต้องการแล้วมันจะดึงของมันขึ้นมาเอง

    ถาม : (ถามเกี่ยวกับเรื่องของอารมณ์และการรับรู้)

    ตอบ : ใช้คำว่า สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้เรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา จำไว้ว่าเราไม่สามารถจะแก้ไขคนรอบข้างได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องของโลก เราแก้ไขได้เฉพาะเรื่องของเรา เพราะฉะนั้นอย่าไปเอาเรื่องของโลกมาเป็นเรื่องของเรา กอง ๆ ไว้ตรงนั้นแหละ รู้ก็สักแต่ว่ารู้ไม่ต้องรับเข้ามาเลย ตัวนี้มันเป็นกิเลสของมารอย่างหนึ่ง ให้เรารู้ว่ากิเลสแท้จริงของมารเป็นอย่างนี้ รู้แล้วพูดไม่ได้อกมันจะแตกตาย คันปากยิบ ๆ อยากจะบอกเขา โดยเฉพาะเรื่องหลายเรื่องนี่คนพูดต่อหน้าเรามันพูดอย่างหนึ่งแต่สิ่งที่เขาทำเขาทำอย่างหนึ่ง รู้ ๆ อยู่ว่าโกหกแต่ต้องนั่งยิ้ม ๆ ฟังมันพูด เพราะฉะนั้นถึงรู้เราก็รับรู้ไว้เฉย ๆ อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน เรื่องของมันไม่ใช่เรื่องของเรา

    ถาม : ...............................

    ตอบ : ดูใจของเราเองดูว่าตอนนี้มีกิเลสมั้ย ? มีรีบ ๆ ไล่ออกไป ระวังไว้อย่าให้มันเข้ามา ตอนนี้มีความดีมั้ย ? ถ้าไม่มีให้รีบ ๆ สร้างมันขึ้นมามีอยู่แล้วทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้น ย้อนกลับมาดูที่ตัวเอง ดูคนอื่นมีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ดูตัวเองมีแต่เสมอตัวกับกำไร
    ถาม : นั่งดู ๆ ตัวของเราเหมือนเป็นแก้ว ๆ ค่ะ ?

    ตอบ : นั่งสมาธิขับกำลังใจของเราให้ผ่องใสเต็มทั้งดวง เต็มทั้งดวงไม่ต้องมีแสงก็ได้เอาขาวเฉย ๆ ก็ได้ แล้วจับความว่างสบายตรงนั้น ทำตัวเหมือนกับบ้านโล่ง ๆ แล้วนั่งอยู่ท้ายสุดของบ้านเลย แล้วมีประตูอยู่บานหนึ่งที่เปิดอยู่หน้าบ้านเรา ระวังเอาไว้ว่ากิเลสตัวไหนจะเข้ามาแล้วเราจะเห็นมันทัน เราจะรู้มันทัน
    ก่อนที่จะทำให้กราบพระตั้งใจอยู่ตรงหน้าพระ ขับกำลังใจของเราให้ผ่องใสที่สุดก่อนแล้วก็เอากำลังตัวนั้นแหละมาสร้างสติ สร้างปัญญาในการระมัดระวังป้องกันตัวเอง ค่อย ๆ ทำเดี๋ยวมันจะชินไปเอง แรก ๆ ยังต้องกดมันอยู่เหมือนอย่างกับเราแบกอะไรไว้ หนักเหลือเกินแต่พอนานไป ๆ จะวางไปเองแล้วมันจะสบาย
    ถาม : รู้สึกว่าเพื่อนที่มาด้วยกันเขามาทำให้....(ไม่ชัด)....แล้วเราเป็นทุกข์ ?
    ตอบ : อย่าไปบอกเขาซิ ขืนไปบอกเขาเดี๋ยวเขาด่าเอา แหม...มาด้วยกันแท้ ๆ ไม่เอาเพื่อนเอาฝูงอะไรเลยหนีไปซะแล้ว อย่าไปกังวลมาก เรื่องของการปฏิบัติพระพุทธเจ้าท่านบอกชัดแล้ว เอกายโน เป็นเรื่องของคน ๆ เดียวคนอื่นรอบข้างไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเดียวกัน สามี ภรรยา พ่อ แม่ บุตร หลานอะไรก็แล้วแต่ เป็นเรื่องรุงรังมากกความทั้งนั้น
    เอกายโน อะยัง ภิกขเว ภิกษุทั้งหลายนี่เป็นเรื่องของคน ๆ เดียว มัคโคสัตตานังวิสุทธิยา เป็นหนทางที่นำพาสัตว์เข้าสู่ความบริสุทธิ์สิ้นเชิง โสกะปริเทวานัง สะมะติกะมายะ ทำให้ความโศกเศร้าร่ำไรต่าง ๆ ตกล่วงไปได้ ทุกขะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ ความทุกข์โทมนัสเสียใจน้อยใจต่าง ๆ ก็จะดับไป ญายัสสะอะธิคะมายะ ธรรมทั้งหลายก็จะเจริญขึ้น นิพพานัสสะ สัจกิริยายะ ทำนิพพานให้แจ้งได้
    เพราะฉะนั้น อยู่คนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบายแต่ไม่สนุก ถ้าอยู่สองครองทุกข์ถึงสนุกก็ไม่สบาย ทำกำลังใจให้ได้อย่างนี้รู้ว่าไม่ดีก็ไปเลย แต่ว่าคนที่จะเด็ดขาดเข้มแข็งอย่างนี้ มันต้องเป็นระดับปรมัตถบารมีเท่านั้น ระดับอื่น ๆ โอ๊ย...แหม...กว่าจะจากกันได้แต่ละทีแทบจะขาดใจตาย
    ถาม : คนเขาว่าโยมใจดำ ?
    ตอบ : ลองดูใจตัวเองซะว่ามันดำหรือเปล่า ? นั่นมันคำพูดของเขา จำไว้ว่าถ้าหากว่าเราใจดี ใจสบาย คนรอบข้างของเราจะดีไปด้วย มันจะช่วยเขาซะด้วยซ้ำไป เดี๋ยวกลายเป็นว่าของเรามาตกระกำลำบากอยู่กับวัด ของเขาเองทำมาหากินมีความสุขความเจริญร่ำรวยกันใหญ่โต ร่ำรวยกันไปเลย แล้วเขาก็จะมาด่าเราอีกยกหนึ่ง โดนทดสอบทั้งขึ้นทั้งล่อง
    เพราะฉะนั้นทำใจของเราให้ดี คนรอบข้างเขาจะได้ดีไปด้วย เราเองพอถึงเวลาถึงวาระก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้แก่เขาไปด้วย ผลบุญทั้งหมดที่เราทำในครั้งนี้ขอให้มีส่วนของเขาด้วย ตั้งใจทำอย่างนี้ทุกวันแล้วเราจะเจริญขึ้นเอง
    ถาม : รู้สึกว่า....(ไม่ชัด)....?

    ตอบ : ไม่ต้องห่วง อย่าไปหวังความปราณีจากมาร ครูบาอาจารย์คนนี้โหดจริง ๆทดสอบทุกวินาทีที่เราเผลอ ข้อสอบมีแค่ ๔ หัวข้อคือ รัก โลภ โกรธ หลง แต่เขาออกมาได้เป็นล้าน ๆ ข้อเลย เผลอหน่อยเดียวเสียบเข้ามาแล้ว ขาดสติเมื่อไหร่สอบตก

    ถาม : การที่บุคคลคนหนึ่งเขาบอกว่า จิตเขาไปถึงไหนแล้วรู้มั้ย ก็เลยถามว่าศีล ๕ ข้อนี่รักษาได้มั้ย เขาตอบว่าไม่ได้ ?

    ตอบ : อย่างนั้นก็เป็นพวกโลกียฌาน ไม่ต้องตำหนิกัน คนเราจริง ๆ ไม่มีดีไม่มีชั่ว ทุกคนล้วนแล้วแต่กำลังเป็นไปตามกรรมทั้งสิ้น ดีชั่วเป็นสมมุติที่เราแยกออกเอง ถ้าหากว่าประกอบในด้านกุศลบุญก็จะตกอยู่ในกระแสสีขาวพาไหลขึ้นตลอด แต่ถ้าหากว่าทำบาปอกุศลก็จะตกในกระแสสีดำไหลลงตลอด จนกว่าเราจะหลุดพ้นจากกระแสทั้ง ๒ สายนั้นถึงเข้านิพพานได้
    เพราะฉะนั้นไม่มีใครดี ไม่มีใครชั่ว มีแต่คนกำลังเป็นไปตามกรรม เรามาถึงตรงจุดนี้แล้วเห็นใครทำในสิ่งที่ไม่ดี อย่าไปตราหน้าว่าเขาชั่ว สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเราต้องเคยทำมาแล้ว ในเมื่อเราเคยทำมาแล้ว ตอนนี้เขามาทำต่อ เขาก็คือผู้ที่เป็นทายาทมารับผลงานที่เราทำเอาไว้
    ในเมื่อเราเป็นทายาทเขาคือลูก คือหลาน คือญาติคือโยมของเราต้องไปรังเกียจเขาทำ มีโอกาสสามารถช่วยเขาได้ก็ช่วย ๆ ไม่ได้ก็วางเฉยยอมรับว่ามันเป็นกฎของกรรม แต่ว่าไม่ได้วางเฉย ธรรมดา ๆ ตัวอุเบกขาตัวนี้ก็ยังมีเมตตา มีกรุณาแฝงอยู่ คือ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่เราพร้อมที่จะช่วยเขาอีก

    ให้วางกำลังใจอยู่ในลักษณะอย่างนี้ คนไม่มีดีไม่มีชั่วหรอก แต่มันมีสมมติทั้งนั้น ต่างคนต่างทำเขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำน่ะดีแล้วเขาถึงทำ แต่ว่าเขาเข้าใจผิดด้วยอกุศลมันชักพาไป ในเมื่อเขาคิดว่าดีแล้วเขาทำ มีโอกาสก็แนะนำในสิ่งที่ดีให้เขา

    ถาม : แนะนำไม่ได้เลยค่ะ ?

    ตอบ : แนะนำไม่ได้ก็ปล่อยวาง เมตตา กรุณา มุทิตาก็แล้ว ไม่ได้ก็อุเบกขา อุเบกขาไม่อยู่ก็เบรกมือเบรกปากไว้ก่อน

    ถาม : คือเราเอาคำสอนของหลวงพ่อไปพูดให้ฟังแล้ว พูด ๆ ไปเขาก็ยืนชี้หน้าด่าเป็นชั่วโมงเลยค่ะ ?

    ตอบ : ลักษณะนั้นก็ไม่ต้องสอนเขา หลวงปู่หลวงพ่อหลายต่อหลายองค์ไม่เคยสอน ท่านทำตัวท่านเองให้เป็นตัวอย่างเท่านั้น เราเองเราก็ทำเป็นตัวอย่างในลักษณะอย่างนั้น ให้มันดีเท่าดี ตีถูกตีแล้วถึงเวลาถึงวาระเขาเห็นเอง

    ในเมื่อเขาเห็นเองกุศลกรรมมันเข้าเมื่อไหร่เขาจะทำตาม แต่ถ้าอกุศลกรรมยังครองใจเขาอยู่เราก็เหนื่อยเปล่า เพราะฉะนั้นทำตัวเราเองดีกว่า จะได้ไม่ต้องไปปากเปียกปากแฉะกับเขา

    ถาม : อยากจะถามเกี่ยวกับการรักษากำลังใจค่ะ อยากทราบว่าคน ๆ นี้เราจะรู้ได้ยังไงคะว่าเขาดีหรือไม่ดี ?

    ตอบ : ดีหรือไม่ดีมี ๒ อย่าง ดูกันไประยะหนึ่ง คือระยะยาวนานพอถ้ากำลังใจเขาไม่อดทนหางมันก็จะโผล่เอง อีกอย่างหนึ่งก็คือ ฝึกเจโตปริยญาณให้ได้ ถึงเวลาขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ จะรู้ได้เลยมาแง่ไหนมีลวดลายยังไง หลอกเราไม่ได้ทั้งนั้นแหละ

    ถาม : อย่างกรณีหนึ่งนะคะว่าคนนี้มันไม่ดี แม้กระทั่งพระก็ชี้นำเราแล้วว่าไม่ดี แต่เราก็ยังมองเขาดีอีก แต่บางครั้งเราก็มองเขาไม่ดีนะ มีบางอารมณ์มันมองเขาดีเหมือนให้โอกาสเขา เราจะแก้ไขกับกำลังใจยังไงกับตรงนี้ ?

    ตอบ : จริง ๆ แล้วเป็นกำลังที่ดีนะตรงนี้ แต่ถ้ามันพาเราทุกข์มันก็น่าจะเข็ดบ้าง ให้มองต่อไปข้างหน้าซิว่า เรื่องมันเกิดขึ้นแบบเก่าอีกแล้วเราจะลำบากอีกมั้ย ? ถ้าเห็นทุกข์แล้วมันก็จะท้อไปเองหรือต้องตีกะบาลเสียก่อน ถ้าไม่เห็นทุกข์ก็ยังไม่กลัวหรอก เห็นทุกข์แล้วมันจะท้อ
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : เราจะทราบได้ยังไงว่าเราต้องฝึกกรรมฐานแบบไหนถึงจะตรงกับเรามากที่สุด ?

    ตอบ : เอาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานบูชาหน้าหิ้งพระเลย จุดธูปอธิษฐานชอบอันไหนเอาอันนั้น ถ้าชอบเยอะก็เอาอันที่ชอบที่สุด เพราะอันที่ชอบที่สุดก็คือ เราเคยทำมามากที่สุดแล้วก็เริ่มลุยเลย

    ถาม : ตอนนี้ที่ทำอยู่ก็คือวาโยกสิณ ?

    ตอบ : วาโยกสิณ ก็ง่ายดีจับลมหายใจเข้าออกตัวเอง เพียงแต่นึกภาพให้เห็นเท่านั้น

    ถาม : แล้วภาพนี่ต้องเป็นภาพเดียวกันตลอดมั้ยคะ ?

    ตอบ : ไม่จำเป็น เพราะว่าขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา บางทีมันก็ชัดเจน บางทีมันก็ไม่ชัด บางทีก็มัว บางทีก็ใส ตอนไหนกำลังใจกิเลสเกาะเยอะ มัว ๆ ก็ช่างมัน เรามีหน้าที่ประคับประคองไว้ มันจะมั่วก็เอาทั้งมั่ว ๆ นั่นแหละ พอกำลังใจทรงตัวมันก็ดีขึ้นเอง

    เรื่องของกสิณเรื่องเป็นเรื่องของคนที่ฝึกแรกเริ่ม มโนมยิทธิข้ามมาถึงตรงจุดนี้ใช้ผลของกสิณแล้ว กสิณทั้งหมดมันก็กลายเป็นของเด็กเล่นไปคือ เรารู้จักนิพพานแล้วมันก็ผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ไม่ต้องไปเล่นของเด็ก ๆ เกาะนิพพานเอาไว้ดีกว่า

    ถาม : จะไปฝึกเขาบอกว่าไม่ต้องฝึก ?

    ตอบ : ไม่ต้องหรอก อาตมาก็ยืนยันว่าไม่ต้อง ถ้าหากว่าเราทำกำลังใจของเราในด้านมโนมยิทธิไปเรื่อย เกาะพระไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพอเวลากำลังใจมันทรงตัวของเก่ามันมาทั้งหมดเอง ตอนนี้ที่เราไม่สามารถจะใช้อภิญญาเต็มที่ได้ทั้ง ๆ ที่อดีตเราเคยทำมาแล้วเพราะว่า เรายังไม่ยอมรับกฎของกรรมอย่างจริงจัง อภิญญานี่ถ้าเต็มสภาพเต็มกำลังของมันนี่มันฝืนกฎของกรรมได้ เห็นคนเจ็บไข้ได้ป่วยมาคิดให้เขาหายเขาก็หาย เห็นคนเป็นง่อยมา แขนขาดขาขาด คิดให้เขามีแขนมีขาให้มันหายง่อยมันหายเดี๋ยวนั้นเลย เพราะเป็นการอธิษฐานอำนาจของกสิณโดยเฉพาะธาตุ ๔

    คราวนี้พวกเราถ้าไม่ยอมรับกฎของกรรม เห็นปั๊บสงสารช่วยเขา จะทำเอากฎของกรรมอลเวงไปหมด เพราะว่าเราลืมดูไปว่าเขาเป็นอย่างนั้น เพราะอดีตทำอะไรมา เขาก็มีกรรมที่จำเป็นที่เขาจะต้องรับ ดังนั้นว่า ถ้าตราบใดที่เรายังไม่ยอมรับกฎของกรรมอย่างจริงจังนี่ โอกาสจะใช้อำนาจอภิญญาได้เต็มที่อย่างอภิญญาใหญ่นั้นอย่าหวังเลย โดนล๊อคหมด จะได้โล่งใจซะที ไม่งั้นมัวจะคิดอยู่นั่นล่ะ เอ๊ะ...ทำได้ขนาดนี้อภิญญาไม่เกิดซะที เกิดเมื่อไหร่บรรลัยเมื่อนั้นล่ะ โดยเฉพาะพวกเรา พวกเรามันเชื้อสายพุทธภูมิเก่า พุทธภูมิคือผู้ที่ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า คนที่ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้านี่ คนอื่นลำบากแค่ไหนตัวเองก็ยอมช่วยเขา ช่วยเขาโดยไม่เห็นแก่ความลำบากของตัวเอง

    ในเมื่อทำในลักษณะนั้นมันจะเผลอไปฝืนกฎของกรรม ลองดูซิพอได้แล้วลองไปช่วยใครเข้าซักยกหนึ่งซิเดี๋ยวมันก็เสื่อม นี่ไม่ใช่กำลังใจเราเสียเอง บางทีท่านตัดผลมันไปดื้อ ๆ ต่อให้จับภาพกสิณได้ชัดเจนแจ่มใสโตเต็มฟ้าเลย ขยายให้ใหญ่ก็ได้ ให้เล็กก็ได้ ให้มาเมื่อไหร่ก็ได้ ให้หายไปเมื่อไหร่ก็ได้ ใช้อะไรไม่ได้หรอก ถ้าหากไปฝืนกฎของกรรม


    ถาม : หมายความว่าต้องมีกำลังใจมั่นคงใช่มั้ยคะ ?

    ตอบ : ถ้ากำลังใจไม่มั่นคงนี่ไม่ได้รับประทานหรอก ถ้ายิ่งปฏิสัมภิทาญาณ นี่ยิ่งหนักเลย เพราะว่าอำนาจของปฏิสัมภิทาญาณนี่ สามารถคุมได้ทั้งสุกขวิปัสสโก คือผู้ที่ปฏิบัติเรียบ ๆ แล้วบรรลุมรรคผลไป เตวิชโช คืิอผู้ที่ปฏิบัติแล้วมีความสามารถพิเศษ ๓ อย่าง ฉฬภิญโญ คือผู้ที่ปฏิบัติแล้วได้อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณจะคลุมได้หมด ความสามารถเหมือนเขาหมด เก่งกว่าเขาด้วย แล้วมีความสามารถเหนือขึ้นไปอีก ๔ อย่างคือ ธัมมาปฏิปทาสัมภิทา คือรู้เหตุทุกอย่าง อัตถปฏิสัมภิทา รู้ผลทุกอย่าง แล้วก็ ปฏิภาณปฏิสัมภิทามีปฏิภาณว่องไวมากไม่ว่าใครเขาจะไล่ต้อนจะถามท่าไหนไม่เคยจนแต้ม นิรุกติปฏิสัมภิทา รู้ทุกภาษาทั้งในโลกนี้และโลกอื่น

    เพราะฉะนั้นว่ายิ่งมาก็ยิ่งใช้ยากขึ้น ๆ น่ะ แต่ถ้าเรารู้จักควบคุมกำลังใจของเราให้ยอมรับกฎของกรรมมันก็จะใช้ได้บ้างไม่มาก สมัยที่อยู่วัดท่าซุง ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้าโดยเฉพาะพระอรหันต์วัดท่าซุงนี่ตั้งแต่ตั้งวัดมาสมัยหลวงปู่ใหญ่จนกระทั่งถึงปัจจุบัน สมัยหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้ ยังไม่นับหลวงพ่อของเรามีพระอรหันต์ต่อเนื่องกันมา ๗๒ องค์ด้วยกัน ระยะเวลา ๒๐๐ กว่าปีมีพระอรหันต์ต่อเนื่องกันมา ๗๒ องค์ไม่เคยขาดเลย

    ในเมื่อเป็นในลักษณะดังนี้เวลาพระปฏิบัติก็จะมีท่านทั้งหลายเหล่านี้มาช่วย อย่างของอาตมานี่ หลวงปู่ขนมจีน ท่านคุมแจเลย เพราะว่าโดนท่านเฉ่งก่อนถือว่าเป็นลูกคนโต ท่านเลยตามเฆี่ยนตามตีตลอด เมื่อฝึกมโนมยิทธิก็ดี ฝึกกรรมฐานอื่น ๆ ก็ดี เสร็จแล้วเราจะไปคุยผลกัน

    มีอยู่วันหนึ่งข้องใจกันว่า ในขอบเขตของความเป็นพระ เราจะใช้อภิญญาได้เท่าไหร่ ปรากฏว่าเมื่อถึงตอนกลางคืนก็มีหลวงปู่องค์หนึ่ง มรณภาพตอนอายุ ๙๐ กว่า ท่านมาปรากฎตัวให้ บอกว่าลูกอยากรู้เรื่องนี้เหรอ พระก็กราบ เรียนท่านว่าใช่ครับ ท่านก็บอกว่าลูกคอยดูนะ แล้วท่านก็เดินข้ามถนนให้ดู คนแก่อายุ ๙๐ กว่าตัวก็สั่น หลังก็โกงถือไม้เท้าก๊อก ๆ เดินข้ามถนนสะดุดขาตัวเองล้ม ปากแตกข้ามไปฝั่งโน้นหันกลับมาให้ดู นี่แหละลูก เราเป็นพระเราต้องยอมรับกฎของกรรม

    แต่ถ้าเรื่องมันจำเป็น พ่อจะทำอย่างนี้ ท่านพูดจบนี่มายืนจมูกชนกับเราเลย มาตอนไหนไม่รู้นั่นแหละ เสร็จแล้วท่านก็ทำภาพให้ดูว่า มีบ้านที่เขาจัดงานนิมนต์พระไปฉันเช้าฉันเพลก็นิมนต์หลวงปู่ด้วย มันสายแล้วหลวงปู่อายุมากแล้วต้องพักมากหน่อย ก็สายไปนิดหนึ่งยังไม่ถึงเวลาของเขาหรอก แต่มันก็สายแล้่วล่ะ ญาติโยมเขาก็เริ่มบ่นกัน หลวงปู่เป็นอะไรไปหรือเปล่าหนอ อายุปานนั้นแล้ว เป็นลมเป็นแล้งไปหรือเปล่า ? ป่านนี้ยังไม่มาซักที ท่านคว้าไม้เท้้าเดินก๊อก ๆ ๆ ก๊อกที่ ๓ โผล่อยู่ตีนบันได ดูไม่ทันด้วยว่าไปตอนไหน คนคิดว่าท่านมาแล้ว ก็ยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ก็ล้างเท้าให้คนนั้นก็ประคองขึ้นไปข้างบน เป็นไงหลวงปู่ ทำไมถึงมาช้านักล่ะครับ ท่านก็บอกเออ...คนแก่มันก็เดินช้าหน่อยล่ะูลูก นั่นน่ะเดินช้านะ ไม่ถึง ๓ วินาทีเดินถึงน่ะ แล้วท่านก็บอกนี่แหละลูก ถ้าหากว่าเพื่อกำลังใจของคนหมู่มาก โดยเฉพาะในลักษณะของบุญกุศล ถ้ากำลังใจเขาขุ่นมัว เพราะมีวิตกมีกังวลอะไร ทำให้กระแสบุญเขาลดลง เราก็ใช้ได้ แต่ถ้าหากว่าโดยทั่ว ๆ ไป เจ้าต้องยอมรับกฎของกรรม


    อะไรก็ตามที่สภาพร่างกายมันสามารถใช้ได้ตามปกติ ก็ตะเกียกตะกายเหนื่อยยากไป เพราะว่าถ้าเราไม่ยอมรับกฎของกรรมจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ก็เลยสรุปว่า อภิญญาถ้าพระได้หรือไม่ได้ก็เหมือนกัน เขาไม่ให้ใช้

    พระพุทธเจ้าปรับเอาไว้ชัดเลย ผู้ใดใช้ฤทธิ์ใช้อภิญญาท่านปรับเป็นโทษแล้วไม่ได้บอกว่าด้วยปรับขั้นไหน ของพระนี่ปรับโทษ ๗ ชั้นด้วยกัน ชั้นแรกเรียกว่า ปาราชิก ปรับขาดจากพระไปเลย ถือว่าเหมือนกับโทษประหารของทางโลก ชั้นที่ ๒ นี่เรียกสังฆาทิเสส อันนี้ขาดความเป็นพระชั่วคราวจนกว่าจะยอมไปอยู่จำกัดเขต จำกัดบริเวณประพฤติมานัดตามแบบแล้วออกมาให้สงฆ์ ๒๐ รูปขึ้นไปสวดคืนความเป็นพระให้ถึงจะกลับเป็นพระอีกครั้ง หลังจากนั้นมาก็มีถุลลัจจัย มีปาจิตตีย์ มีปาฏิเทสนียะ มีทุกกฎ มีทุกภาษิต รวมแล้ว ๗ อย่างโทษมันก็ ลดหลั่นกันลงไป

    แต่เรื่องการปรับผู้ใช้อภิญญาพระพุทธเจ้าท่านละเอาไว้เฉย ๆ ไม่บอกว่าปรับระดับไหน เพียงแต่บอกว่าถ้าใครใช้ปรับโทษบรรลัยเลย ก็รออยู่อย่างเดียว พอบวชใหม่ ๆ หลวงพ่อท่านก็ให้ ภาวนา สัมปจิตฉามิ บอกว่าสร้างกำลังใจให้มันคุ้นเคยกับสภาพของอภิญญาไว้ นานไปข้างหน้าในแวดวงของพระภิกษุสงฆ์จะมีเดียรถีย์เกิดขึ้นมาก พวกคนเหล่านี้จาบจ้วงพระพุทธศาสนา ถึงกับกล่าวว่า อภิญญาสมาบัติเป็นของปลอม เป็นของหลอกลวงกัน ถ้าหากว่าถึงเวลานั้นแล้วพวกแกต้องไปแสดงให้เขาดู
    ก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า แล้วจะไปแสดงให้เขาดูได้เหรอครับ ? หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าพระท่านสั่งก็ทำได้นะ เจ้าของกฎหมายสั่งเองใช่มั้ย ? ถ้าเจ้าของกฎหมายสั่งเองก็ทำได้

    ถาม : ถ้าพูดให้จับใจคนเยอะ ๆ นี่ต้องใช้คาถาแบบไหน ?

    ตอบ : ใช้ จิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ คาถานี้มันจะดึงความสนใจของเขามาที่เราทั้งหมด ภาวนาให้กำลังใจทรงตัวซักครึ่งชั่วโมงก่อนจะไป เสร็จแล้วก่อนขึ้นพูดก็ว่า สหัสสเนตโตฯไปเลย รับรองได้ว่าลื่น อันนี้สำหรับพระนักเทศน์เขาใช้กัน บางทีคนฟังมันมัวแต่จะคุยกันแล้วใช้คาถาบทนี้แล้วนั่งฟังกันเงียบเลย แล้วถ้าอยากสนุกพูดอะไรแล้วให้คนฮาตลอดนี่ อันนี้หลวงพ่อบอกว่า ให้ใช้ อิติปิโสถอยหลังทั้งบท แล้วเวลาว่าให้เอามือขวาลูบหน้าแข้งข้างซ้าย เวลาเราพูดอะไรมันจะกลายเป็นเรื่องสนุกทั้งหมด อาตมาไม่เคยใช้หรอก เพราะตัวเองตะแบงข้างเก่งอยู่แล้ว ขืนไปใช้ เดี๋ยวชาวบ้านขากรรไกรค้างกันพอดี อิติปิโสถอยหลังนี่จัดเป็นชุด ๆ มันจะได้ท่องง่ายว่า ติวาคะภะ โธพุทนังสานุสมะวะเทถาสัตถิระ สามะทัมสะ ริปุโรตะนุอะทูวิกะโลโตคะ สุโนปันสัมณะระจะชา วิโธพุทสัมมาสัมหังระอะวาคะกะโสปิติอิ จัดเป็นชุด ๆ อย่างนี้มันจะ่ท่องง่าย ถ้าไม่จัดเป็นชุดมันจะ่ท่องยาก ท่องแบบนี้แล้วพูดอะไรคนจะฮาได้ตลอด รับรองว่าอาจารย์จตุพลก็สู้ไม่ได้หรอก
    สมัยก่อนนี่นักเทศน์จะมีการหักกันจะใช้คาถาข่มกัน ใช้กำลังใจข่มกัน ส่วนใหญ่พวกคาถา จะเป็นพวกตวาดป่าหิมพานต์ หรือหัวใจราชสีห์อะรไอย่างนี้ เวลาหลวงพ่อท่านจะเทศน์ ท่านก็จะเจอพวกคู่แข่งจะข่มกันด้วยคาถา หักกันด้วยคาถา ปรากฏว่าวันนั้นท่านเทศน์คู่กับคุณมหาคนหนึ่งปรากฏว่าคุณมหาเหงื่อแตกพลั่กเลย ตอบอะไรก็ไม่ค่อยได้ ผิด ๆ ถูก ๆ ชนิดที่เรียกว่า ถ้าหากตัดสินผลแพ้ชนะก็คือแพ้ราบไปเลย

    พอเทศน์เสร็จคุณมหา มากราบหลวงพ่อว่า ท่านมหาครับ คือหลวงพ่อก็เป็นมหาเหมือนกันว่า ท่านมหาครับผมได้คาถาหัวใจราชสีห์มา เวลาผมเทศน์คู่กับใครผมจะว่าคาถานี้ก่อน แล้วทุกคนจะตกประหม่าเทศน์คู่กับผมก็ผิด ๆ ถูก ๆ ไม่สามารถทำอะไรได้แต่กับคุณมหา ผมกับใช้ไม่ได้ โดยเฉพาะว่าผมเองผมกับมีอาการอย่างนั้นซะเอง คุณมหามีคาถาอะไรดีครับ ? หลวงพ่อบอกของผมก็หัวใจราชสีห์ครับ ท่านมหาองค์นั้นท่านก็ถามบอกว่า แล้วท่านมหาใช้อย่างไรล่ะครับ ? ผมว่าตอนขึ้นธรรมาสน์ตามครูบาอาจารย์สั่ง หลวงพ่อท่านบอกว่าครูบาอาจารย์ผมก็สั่งให้ว่าตอนขึ้นธรรมาสน์ แต่ว่าผมเล่นมาซะตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องแล้ว เอาก่อนได้เปรียบ เพราะฉะนั้นว่าก่อนได้เปรียบ กำลังใจอีกฝ่ายโดนควบคุมไปเรียบร้อยแล้ว

    แต่ว่าถ้าเป็นทางใต้นี่น่ากลัวมาก ทางใต้เขาจะใช้คุณผีคุณคน คุณผีเขาจะใช้ผีทำ คุณคนเขาจะใช้คนทำ มีหลวงพ่ออะไรจำไม่ได้ท่านไปเทศน์ เสร็จแล้วก็ได้กลิ่นธูปเหมือนเหมือนศพแล้วก็หน้ามืดหมดสติไป แล้วหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาจมูกก็จะบวมแดงแล้วก็เน่าลามไปเรื่อยจนจมูกแหว่งเลย
    แล้วอยู่ ๆ วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังจะฉันเช้า ท่านก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงปุ๊บปั๊บขึงขังกลายเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย บอกว่าลูกกูป่วยแค่นี้พวกมึงรักษาไม่ได้หรือ คนเขาก็แปลกใจ แต่คนแถวนั้นเขาเชื่อเรื่องอย่างนี้อยู่แล้ว ก็ถามว่าท่านเป็นใคร ท่านก็บอกว่ากูเป็นพระอินทร์ ลูกกูไปโดนเขาทำมา มันใช้น้ำเหลืองผีตายโหงผสมกับผงธูปปั้นเป็นธูปแล้วจุดในพิธี

    เพราะฉะนั้นใครเทศน์คู่อยู่โดนผีมันคุมหมด แล้วนั่นมันไม่อย่างเดียว ใครหายใจเข้าไปจมูกเน่าไปด้วย ก็ถามบอกว่าในเมื่อรักษาไม่ได้แล้ว พ่อปู่จะรักษาอย่างไร ท่านบอกไปเอาน้ำมาเดี๋ยวเสกน้ำมนต์ให้ พอท่านเสกน้ำมนต์ให้ ๆ ทั้งกินทั้งอาบก็หายแต่จมูกยังแหว่งอยู่ ทางใต้นี่เล่นกันหนัก ยิ่งทางอิสานออกไปทางด้านเขมรต่ำอย่างพวกสระแก้ว บุรีรัมย์นั่นยิ่งสาหัสเลยสมัยหลัง ๆ นี่อาตมาไปยังโดนเลย

    ถาม : สระแก้วนี่เหรอคะ ?

    ตอบ : โดยเฉพาะตาพระยา พื้นที่ของสระแก้ว ทางด้านตาพระยาอรัญประเทศ นี่พื้นที่จะติดเขมรเยอะ บุรีรัมย์ก็เหมือนกันแถวละหานทรายเล่นพวกนี้มหาศาลเลย พวกนี้จะสู้คุณพระไม่ได้ ถ้าหากว่าเราภาวนานึกถึงพระเป็นปกติจนอารมณ์ใจทรงตัว ไสยศาสตร์ทุกอย่างทำอะไรไม่ไำด้ ในเมื่อไสยศาสตร์ทุกอย่างทำอะไรเราไม่ได้ มันมีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่งคือว่าเราห้ามเผลอ ถ้าเราเผลอสติเมื่อไหร่ เขาจะทำเอาได้ ช่วงที่เผลอก็คือ ช่วงที่เคลิ้มใกล้จะหลับอย่างหนึ่ง ตอนกำลังกินอย่างหนึ่ง ตอนกำลังเข้าส้วมอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าเผลอสติหลุดเมื่อไหร่บางทีมันจ้องอยู่มันจะเล่นเราได้
    ดังนั้นหลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่าให้หาพระเครื่องที่เรามั่นใจของครูบาอาจารย์อาราธนาพระไว้ทุกวันจะป้องกันได้ โดยเฉพาะยันต์เกราะเพชรอย่างนี้ เป็นคู่ปรับของไสยศาสตร์โดยตรง

    วันก่อนที่เป่ายันต์เกราะเพชรมีอยู่รายหนึ่งมันดื้อ โดนไสยศาสตร์มา รายนี้ซวยจริง ๆ ไปมีศัตรูเป็นหมอไสยศาสตร์ ปกติมีศัตรูแล้วศัตรูไปจ้างหมอไสยศาสตร์ นี่ดันมีศัตรูเป็นหมอไสยศาสตร์รับเละอยู่คนเดียว มาตรงนี้ก็บอกเขาบอกว่าช่วยเต็มที่ไม่ไ่ด้นะ ช่วยได้แค่ว่าให้หายกลับบ้านได้เท่านั้น เขาบอกครับไม่เป็นไร แล้วผมจะหายยังไง ก็บอกเขาว่าต้องไปงานเป่ายันต์เกราะเพชร พอดีเราจะทำพอดี มาตอนกำลังจะมีงานพอดีแสดงว่าคนจะหมดกรรม
    วันงานเขาก็ไป ทีนี้เขาอยู่รอบ ๒ รอบแรกมาไม่กล้ากระดิกกระเดี้ยเพราะเป็นงานใหญ่ที่สุดในชีวิต กลัวผิดพลาด ก็ต้องเอาใจจับพระแล้วก็ทำตามพระท่านบอก พอผ่านไปรอบหนึ่ง รอบ ๒ นี่ชักจะเคยชิน เราก็เริ่มดูฟ้าดูดิน เห็นว่าเวลาที่บารมีพระท่านคลุมลงมาลักษณะเป็นพุทธนิมิต ลักษณะคลุมลงมา สิ่งที่ไม่ได้ต่าง ๆ ที่เป็นสีดำมันกระจายออกรอบข้าง เหมือนกับที่เราโยนถ่านที่ร้อน ๆ ออกไปกลางฝูงมดน่ะ แล้วเจ้าพวกนี้ก็ทั้งเต้นทั้งร้อง เขาร้องว่าไงรู้มั้่ย บอกกูไม่ไป ๆ อย่าเอากูไป คือว่าก่อนที่จะทำพิธีจะมีการอาราธนาบารมีพระ โดยเฉพาะถึงท้าวมหาราชและบริวารเป็นที่สุด ถ้าหากว่ามีสิ่งไม่ดีให้ขับไล่ออกไป นี่มันดื้อจนกระทั่งเทวดาท่านต้องหิ้วคอไป

    เมื่อวานนี้คุณวิทูรย์มาเล่าหัวเราะกันแทบตาย เราเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาบอกครับ นั่งอยู่ข้างผม ผมเองกลัวก็กลัวไม่มีสมาธิเลย สงสัยจะไม่ได้รับยันต์ (หัวเราะ) บอกว่าถ้าตั้งใจมันได้อยู่แล้ว เพียงแต่สมาธิเราไม่ดีมันถึงไม่เกิดอาการ

    ถาม : ทำให้เห็นเลยเหรอ ?
    ตอบ : อาตมาน่ะเห็น แต่ว่าคนอื่นจะเห็นแค่เขาดิ้นแล้วร้อง แต่ว่าเวลาที่พระมา ถ้าเราใช้ทิพจักขุญาณกำหนดตามจะเห็นเป็นปกติอยู่แล้ว
    ถาม : อย่างนี้เขาถูกอาจารย์คนที่เป็นหมอนั่นใช้เขาให้คนนี้มาเหรอ ?

    ตอบ : แต่ว่าตั้งแต่บัดนี้ไปถ้าเขาตั้งใจภาวนา อิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน ทุกวันพอกำลังใจตั้งมั่นแล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง อธิษฐานขอให้บารมีพระช่วยคลุมเอาไว้ คนทำซวยแน่ ๆ เลยเพราะว่ายันต์เกราะเพชรนี่มันจะสะท้อนกลับไสยศาสตร์ทุกประเภท ถ้ารับยันต์ไปให้ปลุกด้วยอิติปิโส แต่ว่าของเรานี่ถ้าหากไม่ใช่อย่างนั้นก็นึกถึงภาพพระให้คลุมตัวเราลงมาเลย แล้วก็ภาวนาอิติปิโส ให้กำลังใจทรงตัวกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง เอาแบบเดียวกันเลย เราไม่ได้รับยัั้นต์เราก็อาศัยภาพพระเป็นหลักไปเลย

    เรื่องของยันต์เกราะเพชรเป็นปฏิปักษ์กับไสยศาสตร์โดยตรง ใครทำมาเท่าไหร่มันคืนไปเท่านั้น รอบแรกมีแค่ ๒ คน รอบหลังนี่เยอะหน่อย นัดกันมาสงสัยเทวดาท่านเบื่อต้องไปไล่มันหลายรอบ ก็เลยเอามันมาไว้รอบเดียวกัน
    ถาม : ถ้าเราสวดอิติปิโสนี่ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ?

    ตอบ : ตั้งใจเอาพระคลุมเราลงมานึกง่าย ๆ นึกสบาย ๆ ชอบพระองค์ไหนก็นึกถึงภาพพระองค์นั้นโต ๆ หน่อยคลุมตัวเราลงมาแล้วก็อธิษฐานขอให้ท่านคุ้มครองทั้งวัน
    ถาม : เห็นทุกข์ก็คือว่าเห็นธรรมคู่กันเลยนะคะ ?

    ตอบ : ใช่ โยธัมมังปัสสะติ โสณังปัสสะติ พระพุทธเจ้าบอกผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ธรรมะคือ ตัวทุกข์นั่นแหละ สมัยก่อนก็คิดเหมือนกันคิดว่า เป็นพระอนาคามีแล้วค่อยบวชถึงจะสบาย ปล้ำอยู่ ๑๑ ปีเต็ม ๆ แม้แต่คาก็ไม่คา มีก็ไม่มี หมดเกลี้ยง

    เพราะฉะนั้นตอนหลวงพ่อชวนบวชก็ไปบวช ปรากฏว่าสิ่งที่อยากได้ตอนเป็นฆราวาสทำแทบเป็นแทบตายก็ไม่ได้ ไปได้มากตอนที่บวชแล้ว หลวงปู่ฝั้นท่านบอกว่าท่านมี คาถามหาละรวย คนก็ชอบซิ เมตตามหานิยม มหาละรวยใช่มั้ย ? ท่านบอกว่าไม่ใช่ ละ แล้วจะ รวย (หัวเราะ)
    หลวงปู่มหาอำพัน ท่านก็บอกว่า คนไม่พอพาจนเป็นคนเข็ญ พอแล้วเป็นเศรษฐี มหาศาล คนเราถ้าพอซะอย่างมีอะไรมันก็แบ่งปันคนอื่นได้ก็เหมือนกับคนรวยนี่เอง จนทั้งนอก จนทั้งใน ไม่ได้การติดคิดอ่านแก้จนเป็นคนพอ ถ้าไม่พอยังไง ๆ มันก็ไม่รวยหรอก มีหมื่นล้านมันก็จะเอาแสนล้าน
    ถาม : คนแซ่งก ?

    ตอบ : แซ่นี้ว่าไม่ได้ ถ้าหามาถูกต้องตามทำนองครองธรรม เขาถือเป็นสัมมาอาชีวะ ตัวอย่างก็อย่าง อนาถบิณฑิกเศรษฐี อย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกา ยิ่งนางวิสาขาตระกูลของคุณท่านนี่รวยจนนับเงินไม่ถูก ใช้เกวียนตวงเอาถึงจะรู้ว่าตัวเองมีเท่าไหร่ แล้วนับไม่ไหวด้วย นั่นน่ะรวยขนาดนั้น แต่ยังทำมาค้าขายด้วยเป็นปกติ ถือเป็นสัมมาอาชีพ

    สมัยก่อนเขาถึงได้มีคำอธิษฐานว่า ขอให้รวยเหมือนนางวิสาขา ขอให้มีปัญญาเหมือนพระมโหสถ ขอให้มีน้ำใจอดเหมือนพระเตมีย์ ขอให้เป็นเศรษฐีเหมือนเจ้ากรุงสญชัย ขอให้มีศรัทธาเลื่อมใสเหมือนพระเวสสันดร เจ้ากรุงสญชัยนี่พ่อพระเวสสันดร พระเวสสันดรจะเอาเงินไปทำบุญเท่าไหร่มีให้เท่านั้นน่ะ รวยขนาดนันน่ะ ขอให้มีศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนาเหมือนพระเวสสันดร ใครขออะไรให้หมด
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : ระยะหลังนี่พอนั่งแล้วหลับตาแป๊บหนึ่ง จะมีเหมือนแสงพุ่งขึ้นมาแล้วจะเป็นรูปเหมือนกับเม็ดข้าวสารใหญ่ ๆ ปะทะหน้าผาก บางทีก็จะสะดุ้งเหมือนกับจะหงายหลังเลย หรือบางทีก็ไม่หงายหลัง คือเรารู้แล้วเราก็จะเฉยแล้ว แต่มันเหมือนกับแสงที่เราจุดไม้ขีดแล้วพุ่งใส่หน้า ทีนี้ไปเรียนถามคนที่นั่งกรรมฐานแล้วเขาบอกว่าไม่ดี หนูก็เลยใจไม่ดีค่ะ ?

    ตอบ : ใครบอกว่าไม่ดี คือลักษณะของแสงที่เราอธิบายมา เป็นไปได้ ๒ อย่าง ๆหนึ่งเขาเีรียกว่า โอภาส มันจะเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตของเราจะเข้าอุปจารสมาธิ ส่วนอีกอย่างหนึ่งเป็นกำลังของอภิญญา กำลังขออภิญญานี่ถ้าเราเปลี่ยนมาภาวนาว่า สัมปจิตฉามิ หรือว่าโสตัตตะภิญญา ถ้าเห็นแสงสว่างลักษณะแบบนี้ ให้ดึงเข้ามารวมกันอยู่ในอกของเรา พอมันรวมขึ้น ๆ กลายเป็นวงกลมโตสีทองเจิดจ้าอยู่ในอกของเรา ตัวเราจะเริ่มลอยได้ พอเริ่มลอยได้ตอนนี้ต้องพยายามระมัดระวังคุมสตินิดหนึ่ง เพราะมันอาจจะฟู คือปีติมาก หรือไม่ก็อาจจะประเภทสนุกลอยพรวดพราดไปเลย ค่อย ๆ นึกว่าเราจะไปตรงไหนวนรอบห้องก่อนก็ได้ จนชำนาญคล่องตัวนึกเมื่อไหร่ก็ลอยได้ ทีนี้เราค่อยขยับพื้่นที่ออกไปอย่าไกลนัก เอาสักกิโลหนึ่งเผื่อหล่นตุ้บตั้บไปเรายังได้เดินกลับทัน ไม่งั้นถ้าไปไกล ๆ เดี๋ยวเดินอานเลย

    ถาม : ตอนประมาณตี ๓ มีเสียงผู้ชายมาที่หูข้างซ้ายมาปลุกให้ไปจดคาถา ให้มา ๓ คำ เราก็ไม่สนใจ ท่านก็ดุแล้วก็ดีดหูเรา บอกให้ลุกขึ้นมา บอกให้ไปจดเดี๋ยวนี้เลย ?

    ตอบ : มันน่าเขกกะบาลด้วย เรื่องของพระหรือเทวดาที่ให้มา ถ้าท่านสั่งห้ามมันจะมีผลเฉพาะตน ถ้าเราทำตามนั้นมันจะมีผลเร็วมาก แล้วต้องรีบจดด้วยเพราะว่าถ้าทิ้งไว้ให้สว่างเมื่อไหร่ มันจะลืมหมด ลืมชนิดที่ว่าไม่เคยนึกได้เลย อาตมาเคยเจอมากับตัวเอง หลวงพ่อท่านถึงได้เตือนไว้ว่า นักปฏิบัติที่ดี กระดาษกับปากกาจะต้องอยู่ใกล้มือเสมอ ถึงเวลาพระหรือเทวดาท่านบอกเรื่องสำคัญอะไรให้รีบจดไว้

    ถาม : จดในที่มืด ๆ หลับหูหลับตาอย่างนั้นหรือคะ ?

    ตอบ : นั่นล่ะ เขี่ยให้มันมีเลา ๆ อาตมาก็ทำอย่างนั้นแหละ พลิกตัวได้พลิกเอากระดาษมาเขี่ย ๆ ไว้ก่อน

    ถาม : มันง่วงมากเลยค่ะ ก็เลยเขี่ย ๆ ?

    ตอบ : นั่นแหละ พอตอนเช้าจะได้มีเค้าเอาไว้ดูว่าอะไรเป็นอะไร

    ถาม : ทีนี้ตรงที่่ว่าคาถานี่เราจะใช้ยังไง ?

    ตอบ : ก็ไม่ถามท่านล่ะ ?

    ถาม : ท่านไม่ได้บอก ?

    ตอบ : จุดธูปบอกท่านด้วยบอกว่ามาบอกทั้งทีว่าใช้ยังไงมาบอกด้วย บอกใหม่อีกที ลืมถามไปว่างั้น

    ถาม : จุดกี่ดอกคะ ?

    ตอบ : เอาซักกำใหญ่ ๆ ก็ได้ หมดเยอะดี กลับไปจุดธูปบอกท่านใหม่ นึกถึงท่านเจ้าของเสียงที่ให้คาถาว่าคาถาที่ท่านเมตตาให้นั้น ตอนนี้นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะใช้อย่างไร ? ช่วยมาบอกใหม่อีกที มาบอกอีตอนสติดี ๆ หน่อยอย่ามาตอนง่วงนอนมาก ๆ เดี๋ยวลืม

    ถาม : แล้วถ้าเราอยากรู้ล่ะคะว่าท่านเป็นใคร ?

    ตอบ : ก็ถามได้เลย แหม ! มาขนาดดีดหูเราเล่นแล้วน่าจะถามก็ไม่ถาม แล้วมาถามอาตมา ไม่ได้มาหาอาตมานี่หว่า

    ถาม : พอดีแล้วเราตกใจ มองหาไม่มีคน เลยเปิดไฟในห้อง ?

    ตอบ : ถ้าเป็นหลวงพ่อถ้าดื้อกับท่าน ไม้เท้าลงหัวนี่ดาวกระจายว่อนเลย โยมอาจจะเห็นว่าหัวอาตมาเป็นสัน ๆ อยู่หน่อยนึง โดนประจำโดนตีซะจนหัวแหลม

    ถาม : อย่างเวลาเรานั่งสมาธิแล้วเราต้องอัญเชิญท่าน เราจะอัญเชิญท่านอย่างไรคะ ?

    ตอบ : เปิดเทปหลวงพ่อ เทปบวงสรวงให้ตั้งใจว่าสิ่งที่เราทำนี่เป็นความดีทั้งหมด ขอให้เทวดา พรหม ตลอดพระบนนิพพานก็ดีหรือเหล่าสัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานใด ๆ ก็ดี ถ้าท่านมาโมทนากุศลนี้ได้ก็ขอให้มาโมทนา ถ้าหากว่ามีสิ่งใดที่จะไม่ดีเข้ามาในระยะนั้น ก็ขอให้ขัดขวางป้องกันให้ด้วย อธิษฐานตอนที่หลวงพ่อท่านขึ้น ปุริมันจะทิสังราชา

    ถาม : ตอนที่นั่งระยะหลังนี่นอกจากแสงแล้วนะคะ เป็นบางครั้งมันเหมือนกับกระสือจะถอดร่างอย่างนั้นน่ะ เหมือนกับมีอะไรอยู่บริเวณนี้มันจะหลุดอย่างนี้น่ะค่ะ ตรงบริเวณนี้ ?

    ตอบ : อาการนี้จะเป็นปีติของอาการตัวที่ ๕ เรียกผรณาปีติ บางทีรู้สึกตัวพองตัวใหญ่ บางทีรู้สึกเหมือนอะไรในตัวจะลอยออกไป บางทีเหมือนกับมีแต่หน้าตัวเอง บางทีรู้สึกว่ามันระเบิดตูมตาม กลายเป็นผงไปเลยเหล่านี้เป็นต้น
    อันนั้นเป็นอาการของปีติ แต่ไม่ต้องไปสนใจ การภาวนาเขาไม่ให้ใส่ใจกับร่างกายอยู่แล้ว เขาแกล้งให้เราไปสนใจกับร่างกายแล้วเราไปสนใจผลการ ภาวนาก็เสีย ไม่ต้องกลัวถ้าเราหลุดออกไปก็เราจะกินอะไร เราก็ลอยไปเลย (หัวเราะ)

    ถาม : ขอบพระคุณมากค่ะ ?

    ตอบ : แหม ! อยู่ ๆ ไปได้ไม่ต้องเอาตัวไปสบายออกนะ เอามั้ยมีแต่หัวลอยออกไป อีตอนนั้นสวยแค่ไหนก็วิ่งตับแลบเลย แต่อย่าเผลอไปผ่านร้านตือฮวนนะรับรองได้มันจับสับลงหม้อแน่เลย ด้วยความเคยชินเห็นไส้เมื่อไหร่จับสับลงหม้อไว้ก่อน (หัวเราะ) ทำอารมณ์ใจ สบาย ๆ ทำเหมือนกับไม่มีอะไร อาการอย่างนี้มันเป็น ๒ อย่าง ๆ หนึ่งเป็นสังขารุเบกขาญาณ อีกอย่างหนึ่งเป็นอรูปฌาน ทำตัวสบาย ๆ ลักษณะอย่างนี้อะไรเกิดขึ้นมันก็ไม่รับ ในเมื่อเราไม่รับ คนถ้าหากว่าทำอะไรเรามันกลับไปหาเขาเอง ลำบากเขาเอง

    ถาม : .............................

    ตอบ : ถ้าหากว่าลักษณะของภาพพระถ้าเราทำในลักษณะของพุทธานุสสติภาพพระอะไรเกิดขึ้นเอาทั้งนั้น ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตของพุทธานุสสติอยู่ แต่ถ้าหากว่าสมมติว่าเราจับกสิณดินแล้วภาพพระปรากฎขึ้นก็ต้องเพิกภาพพระไปซะก่อน เอาแต่กสิณดินเท่านั้นอย่างนี้เป็นต้น

    เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะที่ว่าเราเคารพองค์นี้ แต่ว่าอีกองค์หนึ่งมาจับได้ง่ายเหลือเกิน ก็เอาที่ง่ายไว้ก่อน พอที่ง่ายทรงตัวแล้ว เราย้อนไปที่องค์ที่เราเคารพมันก็ง่ายไปด้วย

    ถาม : แล้วเวลาฝึกนี่จะรู้สึกปวด ๆ รู้สึกหนัก ๆ ตาหนักหัวไปหมดเลย แล้วรู้สึกเครียดค่ะ ?

    ตอบ : อันนั้นอาจเป็นเพราะว่าเราเผลอไปใช้สายตาแทน พอไม่ชัดเราไปเอาตาเพ่งเข้า เพ่งมาก ๆ มันก็เครียด ปวดหัวบ้าง ตึงขมับบ้าง ต่อไปอย่าใช้ตา มโนมยิทธิไม่เกี่ยวกับตาเลย เป็นความรู้สึกทางใจล้วน ๆ เรานึกถึงบ้านตอนนี้ภาพบ้านปรากฏชัดเจนตาเห็นหรือเปล่า ? ไม่ได้เห็นหรอก ถามว่าอะไรเห็น ? ใจเห็น ถามว่าทำไมถึงชัดเจน ? คุณเคยอยู่ที่นั่นมาคุณจำได้ แต่ถ้าหากว่าเรื่องของสวรรค์ พรหม นิพพานเราไม่เคยชิน ทำความรู้สึกในลักษณะนั้นปุ๊บ ความรู้สึกบอกว่าอย่างไรครูฝึกถามให้อธิบายไปตามนั้น

    ถ้าเราเชื่อความรู้สึกแรกจะแม่น แต่ถ้าเอ๊ะ ! ควรจะเป็นอย่างนั้นมั้ง ? เอ๊ะ ! ควรจะเป็นอย่างนี้มั้ง ? ก็เตรียมเจ๊งได้เลย อุปาทานจะกินเอา โดยเฉพาะบรรดาท่านที่เมื่อถึงเวลาเสร็จแล้วก็ไปยึดเอาของเก่า ที่เขาเล่าให้ฟังว่าพระอินทร์ต้องเป็นอย่างนั้น เทวดาต้องเป็นอย่างนี้ นางฟ้าไม่มีเสื้อใส่อะไรอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็โดนท่านหลอก

    อาตมาเองขึ้นไปบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ครั้งแรกไม่ได้เห็นพระอินทร์หรอก เห็นแต่ลุึงกำนันแก่ ๆ นุ่งกางเกงสามส่วนผ้าขาวม้าพาดไหล่ สูบบุหรี่มวนเบ้อเริ่ม กราบ ๆ เสร็จก็ เอ๊ะ! นี่น่ะเหรอพระอินทร์ ? ท่านก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง ถามว่าเอ็งจะดูแบบไหนล่ะ ไม่ถึงวินาที ท่านเปลี่ยนให้ดูเป็นร้อย ๆ แบบ ในที่สุดแบบสุดท้ายก็เป็นแบบเขียว ๆ ที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นเราต้องเชื่อความรู้สึกแรกไม่อย่างนั้นโดนหลอกแน่เลย

    ถาม : รู้สึกว่าไม่อยากคุยกับใคร เพราะรู้สึกว่าเรารักษาศีล ๕ ได้ไม่ครบทุกวันเลย มันก็เลยไม่อยากพูดกับใคร ?

    ตอบ : ตอนฝึกตรงนั้นศีลมันไม่ขาด เรานั่งอยู่ตรงนั้นจะไปฆ่าใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราจะไปขโมยใคร นั่งอยู่ตรงนั้นจะไปแย่งคนรักของใคร นั่งอยู่ตรงนั้นจะไปโกหกใคร นั่งอยู่ตรงนั้นจะไปกินเหล้าได้อย่างไร

    ตอนช่วงนั้นเวลานั้นเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ อย่าลืมว่ามโนมยิทธิสำหรับพวกเราก็คือ โลกียอภิญญา ถ้าเรารวบรวมความมั่นใจได้เมื่อไหร่มันก็ได้เมื่อนั้น มันก็ได้ตอนนั้น มันก็ได้เดี๋ยวนั้น แต่ในขณะเดียวกันถ้าศีลบกพร่องเมื่อไหร่มันก็เสื่อม มันก็คลายตัวไป เรามั่นใจใหม่เมื่อไหร่มันก็ได้อีกเมื่อนั้น

    เรื่องของอภิญญาโลกีย์ มันก็เป็นอย่างนี้ ถามว่าในเมื่อเป็นอภิญญาโลกีย์ ทำไมถึงไปนิพพานได้ เพราะว่าตอนช่วงนั้นครูฝึกจะสอนให้เราตัดกิเลสให้วางกำลังใจเราเทียบเคียงพระโสดาบัน พระโสดาบันแปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน เราก็เลยไปนิพพานได้ แต่ของเราไปได้แค่ชั่วคราวถึงเวลาเขาไล่กลับ เขาไม่ให้อยู่หรอก

    เพราะฉะนั้น ทำเอาไว้เถอะ เพราะถ้าหากว่าเราทำมโนมยิทธิได้แล้วให้เกาะพระนิพพานโดยตรง ให้เกาะพระพุทธเจ้าบนนิพพานโดยตรง อันนั้นเป็นวิธีตัดกิเลสโดยอัตโนมัติที่สุด รู้สึกว่าจะโกรธใครวิ่งเข้าไปกราบพระบนนิพพาน รู้สึกว่าราคะเกิดก็วิ่งไปกราบพระบนนิพพาน ถ้าหากว่าราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นอยู่กับตัวของเรานี้ไม่มีจิตไปปรุงแต่ง มันเจริญงอกงามไม่ได้ มันจะเฉาตายไปในเวลาอันรวดเร็วไม่เกินนาที สองนาที ถ้าเราทำอย่างนี้บ่อย ๆ จะเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติ ถ้ามันเคยชินจะเป็นพระอรหันต์ไปเลย มโนมยิทธิที่หลวงพ่อสอน จุดสำคัญที่สุดมันอยู่ตรงจุดหนี้ อย่าไปใช้ผิดจุด

    ส่วนใหญ่เที่ยวดูอดีต ระลึกชาติเสร็จแล้ว ก็ไปฟื้นความหลัง เขาให้ดูแล้วใช้ปัญญาว่าเข็ดหรือยัง แต่ละชาติที่เกิดมามันทุกข์ทั้งนั้น ถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก ปัจจุบันที่ทุกข์อยู่ในเมื่อถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นแล้ว เราก็เกาะนิพพานเอาไว้อย่างเดียว หมดกิเลสเอาเฉย ๆ ของที่หลวงพ่อสอนให้นั่นราคามหาศาล เอาไปใช่แค่บาทหนึ่ง สลึงหนึ่งยังไม่พอ ยังเอาไปใช้ผิดอีกต่างหาก จำไว้ว่าอย่างทิ้ง ขอยืนยันว่าตั้งแต่ทำมาไม่มีกรรมฐานที่ไหนหรือของใคร สอนได้ง่ายกว่านี้อีกแล้ว

    อาตมาตั้งแต่เด็กมาช่างค้นคว้า ครูบาอาจารย์สายไหนก็ตาม บอกว่าดีลุยไป ไปขลุกอยูกับครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นตั้งหลายปีนะ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่่ขาว หลวงปู่เทสก์ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ประเภทเรียกใช้สอยมาทั้งนั้น เพราะว่าของเราเป็นเด็ก ๆ มันวิ่งคล่อง

    ตอนนั้นที่วัดธรรมมงคล ซอยปุณวิถี สุขุมวิท ๑๐๑ หลวงพ่อวิริยังค์ ท่านจะสร้างพระเจดีย์ใช่มั้ย ? ที่บ้านเป็นกรรมการร่วมสร้างกับท่านทุกคน พอถึงเวลาเดือนมกราทุกปีก็จะมีการชุมนุมครูบาอาจารย์ สายหลวงปู่มั่นของเราก็จะไปวิ่งรับใช้ท่านอยู่ เพราะว่าเป็นเด็ก ๆ วิ่งคล่องตัว ท่านก็บอกว่าอยากได้ความดีก็ทำเอานะ ภาวนาเอานะ แต่ท่านไม่ได้บอกว่าทำอย่างไร ภาวนาอย่างไร ไม่เหมือนหลวงพ่อของเรา บอกรายละเอียดเอาไว้ครบหมด แล้วอันโ้น้นนี่ทำกันประเภท ต้องทุ่มเททั้งชีวิตจริง ๆ แลกกันไปเลย ตายเป็นตายขอให้ได้ธรรมะก็แล้วกัน อาจจะอดข้าวทีหนึ่ง ๗ วัน ๑๕ วัน หรือไม่ก็ฉันวันละคำ สองคำ แล้วก็เดินจงกรม ภาวนามันทั้งวันตั้งแต่วันยันค่ำคืนยันรุ่ง นั่งมันตั้งแต่หัวค่ำยันสว่างอย่างนี้ ของเรากำลังใจของเรามันสู้ท่านไม่ได้ แต่ว่าก็มั่นใจว่า ถ้าทุกคนทำถึงแล้ว สภาพจิตของมันจะเข้าถึงธรรมเหมือนกันหมด

    อย่างหลวงปู่บัว ใคร ๆ ก็ว่าท่านดุ ใคร ๆ ก็ว่าท่านเด็ดขาด เคยขอหวยท่านมาแล้ว ท่่าานให้แล้วก็ออกตามนั้นด้วย คือท่านรู้ว่าไอ้เด็กตัวกระเปี๊ยกนี่มันข้องใจว่า พระที่ปฏิบัติตามสายบริสุทธิ์คือ วิสุทธิมรรคแบบนั้น ถึงเวลาแล้วจะมีฤทิธิ์ มีเดช มีตาทิพย์ หูทิพย์อะไรมั้ย ? ก็ปรากฏว่าก็มีจริงตามนั้น อีกอย่างหนึ่งคือ เป็นคนไม่ชอบเล่นการพนัน ท่านก็เลยให้ สมัยนี้ลองไปขอท่าน ดูซิหัวจะแตกมั้ย ? ท่านรู้ว่าเราขอเพื่อต้องการพิสูจน์ ท่านก็ให้พิสูจน์ของจริงเขาไม่กลัวการพิสูจน์ แต่ขณะเดียวกันว่าคนที่ขอแล้วเอาไปเล่นเผลอเมื่อไหร่บอกคนอื่น พวกนั้นไม่ได้รับประทานหรอก

    ถาม : .....................................

    ตอบ : โห...ไม่ต้องห่วง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบุคคลที่ได้ฌาน ๔ เป็นแสนคนจะทรงทิพจักขุญาณสักคนก็แสนยาก บุคคลที่ได้ทิพจักขุญาณเป็นแสนคนจะทรงอภิญญาสักคนก็แสนยาก ไม่ใช่พ้น...มโนมยิทธิเป็นการฟื้นของเก่าล้วน ๆ ถ้าไม่มีพื้นฐานเก่าในชาติก่อน ในด้านทิพจักขุญาณไม่ได้รับประทาน
    ถาม : ในขณะที่บางทีเวลานอนนี่ถ้า ๑. นอนเต็มอิ่มแล้วตื่นขึ้นมาตอนกลางวัน ๒. ไม่ได้เป็นการหลับเพื่อหลับตอนกลางวัน ๓. ไม่ได้ป่วยเป็นอะไร ถ้ากรณีอย่างนี้คือว่า พอหลับปุ๊บมันก็จะตื่นขึ้นมาคล้าย ๆ กับว่าตัวมันจะแยกออกมันจะมีความรู้สึกว่าคล้าย ๆ ตัวจะแยกออก ตัวมันจะเจ็บเหมือนกับมันจะแตกออก พอตัวมันจะแตกออก ทำไมบางทีถ้ากำหนดเข้าไปมากๆมันยิ่งเจ็บ เหมือนกับว่าเราก็พุทโธ เพื่อให้จิตมันแยกจากความเจ็บมันก็ยิ่งเจ็บ ?

    ตอบ : ลักษณะอย่างนี้ มันเป็นการทดสอบเราว่า เราแน่จริงหรือเปล่า?

    อาจารย์ตัวที่สำคัญที่สุดของนักปฏิบัติมี ๓ ตัวคือ ๑. สติ ๒. ปัญญา ๓. ความทุกข์ อาจารย์ ๓ องค์นี่สำคัญที่สุดจะสอนเราอยู่ตลอดเวลาถึงเวลาท่านก็จะทดสอบเรา พอเจ็บปุ๊บก็ไปโอดครวญอยู่กับมัน อันนั้นผิดแล้ว เขาให้รับรู้อยู่เฉยๆ แล้วพิจารณาแยกแยะออกให้ได้ว่า

    อาการเวทนาจากความเจ็บปวดนี้เป็นของเราหรือเป็นของร่างกาย ถ้ามันเป็นของร่างกายก็เรื่องของมันเถอะ เราไม่ใส่ใจกับมัน เราก็อยู่กับการภาวนา ถ้าสามารถแยกแยะออกลักษณะนี้ จิตจะรวมตัวเร็วมาก ให้ก้าวข้ามขั้นนั้นไปเลย แต่ถ้าหากว่าเราไปภาวนาเพื่อระงับกายสังขารลักษณะเหมือนกับยิ่งไปสู้มัน มันยิ่งเอาหนัก บางคนนี่เหงื่อไหลพลั่ก ๆ ออกมา คือเจ็บชนิดที่เรียกว่า ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปก็ไม่สามารถจะทนได้ แต่ว่าเนื่องจากว่าเราตั้งใจอยู่แล้ว ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นี่เป็นสิ่งที่ดีเรามั่นใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าจะตายตอนนี้เราก็ขอไปอยู่กับท่าน ให้มันตาย ๆ ไป ถ้าเราตั้งกำลังใจอย่างนี้ได้มันก็จะทดสอบ เราอย่างชนิดว่าถึงใจเหมือนกัน พอถึงเวลาก้าวข้ามตรงจุดนั้นไปแล้วจะไม่เป็นอีก

    ถาม : ข้อที่ ๒ นี่พอนอนบางทีตัวเหมือนจะแตกแล้วบางทีพอขยับมือแล้วมันก็ขึ้นมาครึ่งตัว...(ไม่ชัด)...บางทีมันจะงง...(ไม่ชัด)...ไม่รู้ว่าอยู่ที่สภาพอากาศหรือเปล่า...(ไม่ชัด)...และบางทีมันจะเงียบ แล้วพอเดินก้าวออกมาก้าวหนึ่งปุ๊บมันเหมือนกับมีกระแสมาที่ตัว แล้วตัวมันเหมือนจะลอยเราต้องเกาะข้างฝากไว้ แล้วกระแสนี่คืออะไร?

    ตอบ : จริง ๆ ลักษณะนั้นเหมือนกับมโนมยิทธิเต็มกำลัง มันสามารถที่จะแยกจิตกับกายออกเป็นคนละส่วนได้แล้ว แต่บังเอิญว่าถ้านับแล้วลึก ๆ ใจของเรายังกลัวอยู่ ในเมื่อลึก ๆ แล้วกำลังใจ ของเรายังกลัวอยู่เราจะต้องตัดตัวความกลัวนี้ให้ได้ โดยเฉพาะก่อนที่จะนอนให้พิจารณาวิปัสสนาญาณให้ชัดเจนก่อน อันนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรายังไง? แยกเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟออกเป็นส่วน ๆ แล้วประกอบมันเข้าไปใหม่ ประกอบเข้าไปแล้วก็แยกมันใหม่ เอาจนกระทั่งยืนยันกับตัวเองอย่างแน่แฟ้นเลย ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเรา จิตจะได้ไม่ต้องห่วง ถึงเวลามันจะออกไปได้อย่างชัดเจน แจ่มใส ส่วนที่ว่ามีกระแสอะไรบางอย่างดึงเราไป นั่นเป็นความตั้งใจเดิมของเรา เราตั้งใจไว้ว่าเราจะไปไหนถึงเวลามันจะไปที่นั่น แล้วส่วนใหญ่ ก็จะกลัว ถ้าเป็นไปตามที่หลวงพ่อท่านทำ ท่านให้อาราธนา พระพุทธเจ้า นึกถึงว่าจะไปไหนก็ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ให้ไปที่นั่น
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : บางทีสังเกตดูเวลาออกมาบรรยากาศมันจะไม่เหมือนกัน ?

    ตอบ : ขึ้นอยู่กับตัวเรา บอกแล้วว่ากำลังใจของเราตอนนั้นมันเป็นยังไง ถ้าเราพิจารณาวิปัสสนาญาณได้ชัดเจนแจ่มใส บรรยากาศทุกอย่างก็จะโปร่งโล่งสบาย แต่ถ้าหากว่าขาดการพิจารณาบางทีมันก็มืด มันก็มัว มันก็ตึง แล้วตัวที่ชัดเจนที่สุดอีกตัวหนึ่งก็คือว่า ถ้าหากว่าเราออกในลักษณะมโนเต็มกำลัง สัมผัสทุกอย่างเหมือนกับตัวนี้เองเลย ลมพัดกระทบตัวก็รู้สึกว่ามันกระทบตัว ถ้าหากว่าเดินไปบนถนนรถวิ่งมาก็เผลอกระโดดหลบ มันชัดเหมือนกับเอาตัวนี้ไปจริง ๆ ให้สังเกตตรงจุดนี้ไว้

    ถาม : แต่ที่สงสัยคือว่าเดิมทีผมมีความเข้าใจว่า ถ้าสมมุติว่าเวลาเราหลับนี่ ถ้าอยู่ ๆ จะออกมามันสามารถจะออกมาได้มั้ย?

    ตอบ : กำลังของมันพอแล้ว เพียงแต่ว่าเวลาที่เราต้องการจะไปนั่นจิตเรามุ่งมั่นจนเกินไป พอมุ่งมั่นเกินไปกำลังมันเกินมันไปไม่ได้ แต่ว่าตอนที่เรานอนลงนั่น จิตมันผ่อนคลายก็ไปได้ ถ้าหากดูประวัติ พระอานนท์ พระอานนท์เร่งเดินจงกรมคืนยันรุ่งเลย เพื่อที่จะให้บรรลุมรรคผลจะได้ทันสังคายนาพระไตรปิฏก เพราะว่าพระที่ร่วมสังคายนาพระไตรปิฏก ๔๙๙ องค์ท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณล้วน ๆ กำลังรอท่านอยู่องค์เดียว เดินจนกระทั่งจวนสว่างก็ไม่ได้มรรคไม่ได้ผลซะที ก็เออ...ช่างมันเถอะนอนดีกว่า พอเอนตัวลงครึ่งนั่งครึ่งนอนยกเท้าพ้นพื้นขึ้นข้างหนึ่งก็ได้ตอนนั้นเลย เพราะจิตมันคลายออกมันตรงร่องพอดี ถ้าหากว่าดูประวัติ หลวงปู่ จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย อำเภอ วังทรายพูน พิจิตรนั่น ของท่านก็เหมือนกันนั่งสู้กับมันวันยันค่ำคืนยันรุ่งนั่งไปจนกระทั่งก้นจะทะลุตัวจะแตกเป็นชิ้น ๆ มันก็ไม่ได้ซะที เบื่อขึ้นมาก็นั่งค้ำคาง พอค้ำลงปุ๊บได้เลย...

    ถาม : ทีนี้มีเรื่องจะเรียนถาม พอมันออกมาปุ๊บสภาพ... (ไม่ชัด)...แต่พอนึกจะไปสวรรค์ตัวนั้นมันก็จะพุ่งไป แต่พอไปถึงสว่างมันก็จะหยุด... (ไม่ชัด)...อยากจะรู้ว่าตัวมันเป็นอะไร... (ไม่ชัด)...?

    ตอบ : เป็นสภาพจิตใจที่แท้จริงของเรา คนเราจริง ๆ ที่บอกว่าไม่กลัว ๆ อาตมาเจอกับตัวเองมาแล้ว ไม่กลัวผีหรอก ผีมาคุยกับมันได้ด้วย ตัวไหนมาไม่ดีตีกับมันได้ด้วย แต่ขณะเดียวกันรู้สึกสันหลังเย็นวาบ ๆ ขนลุกเกรียวเป็นปกติ

    เวลาไปธุดงค์อยู่ในถ้ำงูใหญ่มาตัวซักประมาณแค่นี้ได้มั้ง ? พอมันโอบรัดรอบตัวเองนี่แข็งทื่อเป็นหินไปเลย หลับตาตัวเย็นเฉียบ ไล่ตามดูอารมณ์ใจตอนนั้นก็รู้เลยว่า ในใจเรายังกลัวอยู่แต่มันกลัวแบบมีสติ กลัวไม่หนี กลัวพร้อมที่จะแก้ไขเหตุการณ์ถ้าแก้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ยอมรับมันไปเลย ไม่ใช่ไม่กลัวนะ ตราบใดที่ยังไม่ไช่พระอรหันต์ก็ยังกลัวอยู่ ลองไล่ดูเถอะไล่ไปไล่มาจะลงตรงกลัวตายทั้งนั้น เข้าไปอยู่ในป่ากลัวเสือกัด กัดเป็นอย่างไร? ตาย ผีหลอก ๆ มันทำยังไง? แลบลิ้น แหกอก บีบคอ มันบีบคอแล้ว เป็นยังไงล่ะ? ตาย กลัวงูกัด กลัวงูรัด งูกัดเป็นยังไง? งูรัดเป็นยังไง ตาย ไล่ไปไล่มาจะลงตัวตายหมด ตราบใดที่เรายังกลัวตายอยู่ ตราบนั้นความกลัวนั้นจะฝังลึกอยู่ข้างใน ในเมื่อฝังลึกอยู่ข้างในพอถึงเวลามันจะเป็นตัวยับยั้งของมันเอง

    คนที่ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังจะติดอยู่ที่ส่วนนี้เยอะมากเลย
    มันเต้นปั้บ ๆ พร้อมที่จะไปแล้ว แต่ใจกลัวก็เลยรั้งเอาไว้ ยิ่งรั้งไว้ก็ยิ่งดิ้นใหญ่เพราะกำลังมันพอแล้วนี่ กำลังมันพอแล้วจะไปแล้วลึก ๆ มันกลัว ก็ชักคะเย่อกันไปชักคะเย่อกันมา บางคนหกล้มตีลังกา ๓-๔ ตลบก็มี ดูแล้วสงสารไม่รู้จะช่วยยังไง คำสอนของครูบาอาจารย์ที่บอกว่าสู้แค่ตาย สู้แค่ตายนั่นลองดูเถอะตายจริง ๆ ตายฟรีด้วย เพราะว่าตอนนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของปัญญาตัวเองจริง ๆ ถ้าปัญญาไม่พอยังกลัวอยู่มันไม่เอาด้วยหรอก ไปเมื่อไหร่ก็เด้งกลับ ไปเมือ่ไหร่ก็เด้งกลับ บางคนออกไปไม่ได้พิจารณา ออกไปลักษณะที่คุณว่านี่แหละออกไปมืดตึ๊ดตื๋อเลย ประเภทที่เหมือนอย่างกับหลับตาอยู่ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้ง ๕ เลย วนไปวนมาอยู่พักหนึ่งไปไหนไม่ถูกก็วืดกลับตัวตามเดิม มันจะเป็นอยู่ลักษณะนี้

    ถาม : แล้วถ้าสมมุติเราออกมาจะช่วงสว่างหรือไม่สว่างนี่จะ... (ไม่ชัด)...?

    ตอบ : ตั้งใจนึกถึงพระ ขอบารมีพระจะไป ถ้านึกขอบารมีพระปุ๊บนี่มันจะสว่างขึ้นเดี๋ยวนั้นเลย บางทีก็เหมือนกับท่านทดสอบ อย่างเช่นว่าตั้งใจจะไปพระจุฬามณี ทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่เชิงบันไดจุฬามณีแล้วนะ ตัวมันพุ่งไปอย่างกับเอฟ ๑๖ น่ะ แต่...แหม ! มันผ่านบันไดไปไม่รู้จักหมดเสียที คือสภาพจุฬามณีจริง ๆ ใหญ่โตมโหฬารขนาดไหนล่ะ? เทวดาทั่ว ๆ ไปอัตภาพอย่างน้อยสามคาวุต ไอ้สามคาวุตนี่ ๑๒ กิโลนะ อย่างเล็ก ๆ ของเขานะ แล้วเราตัวน้อยหนึ่งจะไปเปรียบกับเขาได้อย่างไรล่ะ เลยวิ่งเท่าไหร่ไม่รู้จักถึงซะที บางทีเบื่อกลับเองเลย แต่ถ้าหากว่าเรานึกถึงว่าจะไปหาพระในจุฬามณีบางทีวืบเดียวถึงเลย พอคล่องตัวขึ้นมาก็จะไม่มีอาการอย่างนั้น แต่บางคนไม่คล่องตัวนี่วิ่งฝ่าอากาศของมันไปเรื่อย บางทีโอ้โห...เร็วจริง ๆ รู้สึกหลังเหมือนมันแสบไปหมด เนื้อมันจะไหม้เอาเร็วขนาดนั้นน่ะ แต่ว่าขณะเดียวกัน ความรู้สึกลัวลึก ๆ ก็ยังมีอยู่

    เพราะฉะนั้นต้องเกาะพระให้มั่งคง นึกว่าอย่างน้อยเราก็ไปนิพพานแล้ว ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าแล้วตัดสินใจได้ด้วยปัญญาขนาดนั้นก็จะไปได้ถึงที่ ๆ เราต้องการ
    ถ้าปัญญาไม่พอตัดสินใจไม่ได้มันก็ชักคะเย่อกันไป เข้า ๆ ออก ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ

    ถาม : แล้วอย่างนี้ขณะเวลาที่ออกไปแล้วไม่มีวิญญาณในตัวแล้ว...?


    ตอบ : วิญญาณมันอยู่กับตัว จิตมันไม่อยู่ หลวงพ่อท่านสอนให้ทำน้ำมนต์ด้วยอิติปิโสทั้งบท แล้วก็พรมเอาไว้ก่อนเพื่อเป็นการกัน แต่ว่าถ้าอย่างของเราเองทำไม่เป็น ก่อนไปก็อาราธนาบารมีท่านท้าวมหาราชให้ช่วยสงเคราะห์ ถ้าหากว่ามีผีมีอะไรจะมายืมร่างนี้ใช้ก็ขอให้ช่วยกันให้ด้วย

    ถาม : อย่างนี้มันก็สามารถเข้ามาได้?

    ตอบ : เข้าได้ทันทีเลย ถ้าหากว่าดวงเราตกนี่มันยืมร่างของเราไปใช้เลย ตัวเราก็ลอยเท้งเต้งไปซิ หาตัวเข้าไม่ได้

    ถาม : พอดีมีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นตอนกลางคืนพอออกมาปุ๊บเราก็ไม่ได้ดูตัวเองว่าเป็นอะไร แล้วมีความรู้สึกว่าเหมือนมีผู้เชายคนหนึ่งแล้ว มันเหมือนกับไม่ใช่ตัวเราที่พูดออกมา มันพูดเหมือนกับว่ามันรู้ว่าจะไปไหน มันมีความรู้สึกนึกคิดแล้วมันก็ไป แล้วพอแป๊บเดียวกับกลับมา แล้วมันก็เหมือนกับว่าผู้ชายคนนั้นมาทับร่างอยู่แล้วมันก็บอกว่าท่านมาทับร่างเราทำไมไม่ขึ้นมา พูดเหมือนกับว่าไม่มีตัวแต่ตอนั้น... (ไม่ชัด)...?

    ตอบ : คือนตอนนั้นเราออกไปด้วยกำลังของฌานสมาบัติ กำลังของฌานสมาบัติกำลังเราจะเท่ากับพรหม มันกลัวคนอื่นยาก แต่ว่าเคยลองดูแล้ว ถึงเวลาขึ้นไปพระนิพพานขอเห็นตามสภาพความเป็นจริง กำลังบุญของเราที่ว่าออกด้วยกำลังของฌาน ๔ นี่อย่างเก่งก็สูงแค่ครึ่งแข้งพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นของเราเองมันยืดกับคนอื่นได้หมดแหละ แต่อย่าไปยืดกับพระบนนิพพาน ไม่สำเร็จหรอก ตั้งแต่สุทธาวาสพรหมขึ้นไป พรหมอนาคมีขึ้นไปนี่บารมีท่านสูงกว่าเราเยอะ ส่วนเทวดาจะมีบรรดาท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านที่เป็นพระอริยเจ้า ลักษณะอย่างของเราอยู่ในฐานะที่ว่าออกไปด้วยกำลังของฌานกำลังของเราเท่ากับพรหม เราก็ไม่ต้องไปกลัวใคร ดีไม่ดีก็ลากคอมาตีเข่าซะชุดหนึ่งก่อน

    ถาม : เวลาถ้าทำสมาธิบทถ้ามันจะได้ มันจะเข้าไปจนทุกอย่างเงียบไปหมด แล้วมันเหมือนกับว่า มันตกปล่องมันก็เลื่อนลงมาแล้วพอถึงจุด ๆ หนึ่ง มันก็เหมือนกับว่ามันไม่รู้จะไปตรงไหนต่อ เราจะคิดให้มันหยุด มันก็หยุดได้ จะให้มันไปมันก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนอยากรู้วิธีแก้ไขต้องแก้ยังไง?

    ตอบ : ไม่ต้องแก้ไข กำหนดใจให้รู้ไว้เฉย ๆ ลักษณะที่บางสำนักให้ภาวนาว่า รู้หนอ ๆ ถ้าตอนนั้นยังมีลมหายใจอยู่ให้จับลมหายใจเป็นปกติ ถ้าตอนนั้นยังมีคำภาวนาอยู่ ให้จับคำภาวนาอยู่ ถ้าลมหายใจขาดคำภาวนาขาดให้กำหนดจิตรู้ตามไปเรื่อย ๆ อย่างเดียว จะไปถึงไหน อย่างไรเรื่องของมันเรากำลังทำความดีอยู่ ถ้าตายตอนนี้เราก็ไปดีอยู่แล้ว ถ้ากำหนดใจตามไปลักษณะอย่างนี้เดี๋ยวมันก็ไปถึงที่สุดของมันเอง

    ถาม : แต่มันจะมีปัญหาอยู่จุดหนึ่งคือ ถ้าเราต้องการอยากจะเลิกแล้วแต่ว่ามันเลิกไม่ได้?

    ตอบ : ถ้ากำลังใจของมันดิ่งลึกจริงๆ นี่บางทีมันสลัดไม่หลุด อาตมาเองเคยหลับ ๆ แล้ววิ่งไปรับโทรศัพท์ หลับสมาธิลึกมากเลย แต่คราวนี้เฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพันอยู่ ลูกศิษย์...ยายตายตอนตี ๒ มันก็โทรมารายงานพระแก่ตอนตี ๒ พอโทรศัพท์กริ๊ง ความเคยชินของเราก็พรวดออกไปรับไว้ก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวหลวงปู่ตื่น พรวดไปถึงคว้าหูขึ้นมาอ้าวนี่กูยังหลับอยู่นี่หว่า หลับลึกมากด้วย มันรู้ตัวเองอยู่ตลอดยังหลับอยู่หลับลึกมากด้วย แงะยังไงก็แงะไม่ออก งัดยังไงก็งัดไม่ขึ้น ไอ้นั่นก็ฮัลโหล ๆ ๆ มันอยู่นั่นแหละ ไอ้เราก็พยายามขยับแล้วขยับอีก ดิ้นแล้วดิ้นอีก จนกระทั่งกำลังใจหลุดออกมาอุปจารสมาธิได้ก็ถามว่า อะไร มันก็บรรยายว่าตอนนี้ยายของมันม่องเท่งแล้วไปไหน ไม่เตะเอาก็บุญแล้ว ลักษณะเดียวกันว่าถ้าสมาธิลึกจริง ๆ มันจะดำเนินงานตามหน้าที่ของมันเอง เราจะบังคับก็บังคับยากแล้ว

    ถาม : ตอนนี้ถ้าพูดถึงวิธีที่เราจะบังคับมันล่ะครับ?

    ตอบ : ต้องหัดเข้าฌานแบบชนิดที่เรียกว่า สลับฌานให้คล่องตัว สมัยที่ทำอยู่จะใช้นั่ง ๆ นอน ๆ เป็นไอ้บ้าอยู่อย่างนั้น พอลุกพรวดขึ้นมา สมาธิก็คลายพรึบออกมา พอนั่งตัวตรงก็เป็นอุปจารสมาธิ พอนอนลงก็ ๑,๒,๓,๔,๕,๖,๗,๘ แล้วแต่ว่าทำได้อันไหน สลับกันไปสลับกันมาสนุกอยู่คนเดียว แต่ถ้าคนอื่นเห็นเขาก็ว่าเราบ้า ลุก ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่คนเดียวนั่นแหละ ต้องใช้ลักษณะนี้จนกระทั่งคล่องตัวทีเดียว พอคล่องตัวแล้ว เราต้องการอยู่ในอารมณ์ไหน อยู่ในลักษณะไหนก็สามารถทำได้ทันที จะถอนออกจากจุดนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ จะเข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้ จะข้ามขั้นก็ได้ จะสลับขั้นก็ได้

    ถาม : กสิณนี่ถ้า...(ไม่ชัด)...ได้แต่พอจะจับจริง ๆ มันก็หลุดจับไม่ได้อย่างนี้ก็แสดงว่ามันน่าจะได้หมดแล้ว ปัญหาก็คือว่าเราจะ... (ไม่ชัด)...?

    ตอบ : มี ๒ อย่าง อย่างแรกใช้คาถารวมของหลวงพ่อมันมีอยู่ ๒ บท คือ สัมปจิตฉามิ กับ โสตัตตะภิญญา ถ้าใช้ สัมปจิตฉามิ ให้ตั้งนะโม ๓ จบ พุทธังสรณังคัฉฉามิ ทุติยัมปิ ตะติยัมปิ แล้วก็ท่องบทสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (สวดอิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน) แล้วก็น้อมจิตตั้งใจภาวนา สัมปจิตฉามิไป อีกบทหนึ่งก็คือ โสตัตตะภิญญา

    ถ้าหากว่าภาวนา ๒ บทนี้จะฟื้นกำลังของกสิณ ๑๐ ทั้งหมดคืนมา ถ้าทำได้คล่องต้วเมื่อไหร่ก็จะใช้กำลังเดิมได้ทั้งหมด แต่ว่าตามที่เคยทดสอบมาแล้ว โสตัตตะภิญญา จะมีผลที่เข้มแข็งมากกว่า แน่นมากกว่า ถึงเวลากำลังใจรวมตัวกันมันรวมเปรี๊ยะแบบสลัดไม่ออกเลย แต่ว่ามีข้อแม้อยู่นิดหนึ่งว่า ถึงเวลาภาวนาไป ภาวนาไปเคล็ดลับตรงนี้คนไม่ค่อยรู้ ภาวนาไปจะเห็นแสงสว่างก่อน บางทีมาเป็นริ้ว ๆ เหมือนกับคลื่น บางทีก็ วิ่งมาเป็นเส้นเป็นสาย บางทีมาเป็นแผ่นเป็นผืน บางทีก็สว่างโร่มาเลย ให้กำหนด เอาแสงสว่างนั้นเข้ามารวมกันในอกของเรา พอมารวมกันอยู่ในอกจนกระทั่งสว่างสดใสดีแล้ว ตัวเราจะลอยขึ้น ขั้นตอนนี้ต้องใช้สติควบคุมด้วยความระมัดระวัง ค่อย ๆ ลอยอยู่ในห้องก่อน ขยับตรงนี้ ขยับตรงโน้นให้มันชินก่อนขึ้น ลง ต่ำ หมุนไปรอบ ๆ ก่อนอะไรก็ได้ พอมันชินมันคล่องตัวแล้วค่อยออกไปที่อื่นแต่อย่าไกลนักล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวสมาธิคลายขึ้นมาเดินอานเลย เพราะมันไปไกลเกินไป ทำจนกระทั่งคล่องตัวอย่างนี้ทำได้อย่างนี้แล้วจะเริ่มเหาะได้ เราก็อธิษฐานใช้ผลอย่างอื่นได้ตามแบบของกสิณ

    ส่วนอีกวิธีหนึ่ง ก็เริ่มต้นจับกสิณใหม่ไปหานิมิตกสิณ ของที่เราเคยได้แล้วมันจะจับเป็นปฏิภาคนิมิตเร็วมาก อุคหนิมิตนี่บางทีแค่มองปุ๊บมันจำได้เลย เพราะเวลาปกติเราก็นึกติดตาได้แล้วใช่มั้ย
    ทีนี้พอถึงเวลาปฏิภาคนิมิตเสร็จของเรานี่ก็พยายามจับภาพให้มันสว่างสดใสเจิดจ้าให้ได้ เมื่อสว่างไสวเจิดจ้าเต็มที่แล้วก็อธิษฐานให้เลยได้ให้ใหญ่ก็ได้ หายไปก็ได้ มาเมื่อไหร่ก็ได้อะไรอย่างนี้ ถ้าอย่างนี้ก็เริ่มอธิษฐานใช้ผลกสิณเป็นกอง ๆ ไป ก่อนที่จะทำกองต่อไปก็ฟื้นของเก่าให้เต็มที่แล้วก็จับกองใหม่ ถ้าได้ ๒ กอง ก็ฟื้น ๒ กองเก่าเต็มที่แล้วจับกองที่ ๓ ต่อไปให้ทำลักษณะนี้ แต่ถ้าใช้คาถารู้สึกว่าง่ายกว่าเยอะ ไม่ต้องไปเสียเวลาจับภาพภาวนามาก ของเราเองอาจจะเคยชินกับการภาวนา พอหลวงพ่อบอกวันนั้น ภาวนาปุ๊บนี่มันเป็นกระแสสีทองเหมือนกับคลื่นกระเพื่อมเต็มทั้งห้องเลย เราก็ยังโง่ปล่อยให้มันกระเพื่อมอยู่อย่างนั้นแหละ ลักษณะเหมือนกับมันกดเราติดพื้นแน่นเปรี๊ยะเลย แล้วดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด มาทีหลังหลวงพ่อเห็นว่าเราโง่มากแล้ว ท่านเลยบอกอธิษฐานดึงมันเข้ามาในอกซิ พอมันรวมกันในอกแล้วตัวมันจะลอง ลองทำตามมันลอยจริง ๆ แต่ว่าตอนลอยมันเร็วไปหน่อยมันลอยพรืดขึ้นไปทั้งตัว เรานอนอยู่นี่มันไปอัดแบนแต๊ดแต๋อยู่บนเพดาน มันหายใจไม่ออก จมูกมันบี้...(หัวเราะ) ต้องค่อย ๆ บังคับให้ลอยไปรอบ ๆ ห้องก่อน

    ถ้าลักษณะอย่างนั้น ไม่ต้องเปิดประตูไม่ต้องเปิดหน้าต่างนึกจะออกไปข้างนอกมันออกไปทั้งตัวเลย ไม่รู้มันออก ไปทางไหนด้วย คราวนี้โยมสุภาภรณ์โอ้โห...แสนรู้เลยนั่นน่ะ พระทำอะไรระวังให้ดีนะ แกรู้หมดจริง ๆ ด้วย พอเราทำลักษณะนั้นเสร็จ แกมาเตือนหลวงพี่ระวังนะคะ ถ้าตอนที่มันกำลังออกไปซะครึ่งตัวแล้วจิตมันคลายมันก็ติดเด่อยู่ตรงนั้นแหละแหม... ดันมาขู่เราซะได้ยังไม่เคยเป็นเลย แล้วก็มีลูกศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง อันนั้น หนักกว่าเขาภาวนาเสร็จแล้วมันลอยขึ้น ไม่ลอยแต่ตัวลอยไปทั้งเตียงเลย เสร็จแล้วมันก็ไป ๆ ป่า ไปดง ไปเรื่อยเลย กลับมาถึงถ้าห่มเปียกโชกเลย เพราะมันดึกแล้วนี่ น้ำค้างลง เป็นไงสนุกมั่ยล่ะ?


    ถาม : รบกวนถามเรื่องคนทรง คือ มีญาติอยู่คนหนึ่งเดิมทีเขาก็ไม่ได้จะทรง แต่อยู่ ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์อะไรพิเศษ... (ไม่ชัด)...จนสุดท้ายเขาก็พยายามไม่ยอมรับ ไม่ใช่แน่ จนมาสุดท้ายอยู่ ๆ ก็มีอะไรเข้ามาจนเชื่อ?


    ตอบ : พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกของพระ ของพรหม ของเทวดา แล้วที่สำคัญที่สุด การจะทรงใครนั้นต้องมีกรรมเนื่องกันมา ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมาก่อนนี่ทรงเขาไม่ได้ ถึงมีกรรเนื่องกันมาก็ตาม กฎของกรรมมันจะบังคับ คุณไม่ได้อยู่ในภพนี้ในภูมินี้คุณจะไปยุ่งกับเขาไม่ได้ ถ้าเจ้าของร่างไม่ยอม ทำให้ตายก็ไปบังคับเขาไม่ได้ แต่ว่าเขาอาจจะใช้วิธีบังคับว่าทำให้เจ็บปะหงับ ๆ อยู่ ถ้ายอมรับเป็นร่างทรงเมื่อไหร่หายทันที หรืออาจจะทำให้ฐานะทางบ้านเรือนเดือดร้อนไปหมด ถ้ายอมรับเป็นร่างทรงเมื่อไหร่หายทันทีอย่างนี้ เคยต่อรองให้เขามาแล้ว ต่อรองในลักษณะที่ว่า จะให้รับเป็นร่างทรงก็ได้แต่
    ข้อที่ ๑ อย่าให้มีอาการอะไรผิดปกติจนทำให้เขาและครอบครัวของเขาต้องอับอายขายหน้าคนอื่น เขาก็รับปาก โอเค

    ข้อที่ ๒ สิ่งที่คุณบอกเขาว่าช่วยได้ขอให้มีผลตามนั้น อย่าหลอกกันนะ เขาก็โอเค รับปากเรื่องของผี ของเทวดานี่เขาไม่โกหกกันบอกว่ารับปากคือรับปาก

    ข้อที่ ๓ ถ้าคุณจะใช้เขาชนิดหัวไม่วาง หางไม่เว้นจนเขาทำงานไม่ได้ คุณต้องทำให้เขารวยก่อน ชะงักไปหน่อยแล้วก็ โอเค รับปาก เอ้า...สบาย อย่าลืมว่า เทวดาเขาไม่โกหก ต้องต่อรองให้เป็น ต่อรองเป็นสบายเลย ใช้วิธีนี้แหละอนุญาตให้เอาไปใช้ได้ แต่ถ้าเขาไล่เตะก็ตัวใครตัวมันนะ

    ถาม : เราไม่รู้วัตถุประสงค์การมาของเขา?

    ตอบ : ถามเขา เขามาอย่างนี้เราถามได้ อย่างรายนั้นก็เหมือนกัน มาถึงก็มาเอะอะโวยวายอยู่ตรงนี้กูยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีใครใหญ่กว่ากูอีกแล้ว บอก เออ นั่งลงเถอะถ้าขืนยืนใหญ่อยู่ตรงนั้นเดี๋ยวจะโดนพระเตะเอา ก็เลยยอมนั่งลง คนอื่นนี่กระจายหมดแล้ว ถ้าอาตมาไม่อยู่วันนั้นตรงนี้ไม่มีคนเหลือหรอก พอดีคนกำลังแน่นเลย เสร็จแล้วก็ถามเขาว่า มาเพราะอะไร? ต้องการอะไร? แล้วก็ต่อรอง
    ถาม : แล้วถ้าเขาพูดไม่ได้ พูดไม่ออกล่ะคะ?

    ตอบ : พูดไม่ได้ ถ้าหากว่าเราถามเขา เขาก็ต้องจะสื่อสารเราได้ บอกกับเขาว่าถ้าไม่ยอมสื่อสารกับเรา เป็นตายอย่างไร เราก็จะไม่ยอมให้ใช้ร่างนี้ ดีไม่ดีก็ไปหาพระไปหาหมอผีที่มีความสามารถพิเศษมาขับไล่กันเลยล่ะ แต่ถ้าต้องการอะไรให้บอก มีอยู่รายหนึ่งอยู่ที่ปักธงชัย นครราชสีมา รายนั้นอยู่ ๆ ก็นั่งนิ่งไปเฉย ๆ ๒ วันกว่าพอวันที่ ๓หลวงพี่บรรจงไปถึง พอญาติโยมรู้ว่ามีลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงไป เขาเห็นเป็นผู้วิเศษ ลูกศิษย์หลวงพ่อน่ะ ไปถึงก็นิมนต์ให้ช่วยไล่ผีให้ด้วยเจ้าข้าหลวงพี่จงก็ไปบอกรู้สึกตะหงิด ๆ ตั้งแต่ไปแล้ว จะใช่ผีรึ? ว่าอย่างนั้นไปถึงเดินเข้าไปในบ้านมันก็นั่งอยู่มองตาขวาง บอกท่านไม่ต้องยุ่ง หลวงพี่ก็ชะงัก ก็จะถอยใช่มั้ย? โยมก็ประเภทจับให้ขึ้นหน้า แกก็เอื้อมมือจับมีดหมอในย่าม พอจับมีดหมอปุ๊บมันก็บอกท่านไม่ต้องยุ่ง หลวงพี่จงบอกว่าไม่ใช่แล้วล่ะ

    ลักษณะอย่างนี้ ถ้าหากเป็นผีเข้าจริง ๆ นะ คนที่พกมีดหมอหลวงพ่อ ถ้าอาราธนาเป็นปกตินี่ พอเหยียบหัวกระไดบ้านผีเผ่นเลยไม่อยู่หรอก ประเภทที่แตะมีดหมอมื่อไหร่แล้วมันรู้แล้ว แถมบอกไม่ต้องยุ่งนี่ไม่เสี่ยงด้วยดีกว่า ปรากฏว่าเขาเองเขาก็บอกว่าเขาไม่ช่ผีหรอก เป็นรุกขเทวดา ไอ้นั่นมันไม่เคารพนับถือไม่ว่า ไปเยี่ยวรดต้นไม้เขาด้วย มันเมาเหล้าแล้วดันไปเยี่ยวรดต้นไม้เขาด้วย จะดัดสันดานมันหน่อยทรมานมันซัก ๓ วันเท่านั้นแหละ เดี๋ยวพอถึงเวลาเย็นก็เป็นอันว่าเลิกกัน ตกลงพอครบเย็นเขาก็เลิกไป ปล่อยให้อดข้าวซะ ๓ วันหัวโตไปเลย

    ของอาตมาเองก็เจอ รายนี้เมาแล้วซ่าไปพังศาล ไปพังศาลก็เจอในลักษณะนี้แหละ ถึงเวลาก็นั่งบื้ออยู่ พอเอาข้าวไปให้กิน บอกขอช้อนเท่านั้นคันเท่านี้คัน บอกพวกมาเยอะต้องให้ เสร็จแล้ว พวกป่าไม้ก็ลากมาหา ปรากฏว่าอยู่ในลักษณะนั้นมา ๔ วัน ๕ วันแล้ว พอรู้ว่าจะไปหาพระ ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว โกนหนวด หวีผมอย่างดีเลย กินข้าวกินปลาเรียบร้อย เดินยิ้มแย้มแจ่มใสมาบอกรู้แล้วว่าจะต้องมาหาพระ แล้ว ถามว่าทำไมล่ะ? เขาบอกว่ามันเมาแล้วมันไปพังศาลผมครับ แล้วจะแก้ยังไงล่ะ? ก็บอกว่าให้ตัวเขาหรือญาติพี่น้องของเขาสร้างศาลคืนมา แล้วก็ให้ทำบายศรีขอขมาด้วยเขาถึงจะยอม แหม ! ไอ้นี่แสนรู้จริง ๆ ตัวอยู่บางปลาม้าโน้น มันรู้ว่าทางนี้มาหาพระ พอญาติมาถึงขึ้นรถมาแต่โดยดี

    ลักษณะของผีเข้าอย่างหนึ่ง ลักษณะของการทรงอย่างหนึ่ง ถ้าเรารู้สึกว่าคนดี ๆ อยู่ๆ ผิดปกติไปนี่ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าไปขับอย่าไปไล่เขา ถ้าต่อรองกันได้ ให้ต่อรองกันก่อน ถ้าไม่เกินวิสัยจริง ๆ ทำอะไรให้เขา ๆ ก็จะไป เพราะว่าพวกผีเขาไม่โกหก แต่ว่ารายที่ว่านี่บอกเขาบอกว่าพรุ่งนี้ต้องให้เขาหายนะก็รับปาก

    ปรากฏว่ารุ่งขึ้น ตอนเช้าพวกปล้ำกันเอะอะโวยวายมากันอีกแล้ว เราก็อะไรวะผีไม่เคยโกหกทำไมมันมาอีก เลยรดน้ำมนต์ให้มัน ๆ ก็นิ่ง ให้มันนอนอยู่บนเตียงนั่นแน่ะ มันนอนไป ๆ เราก็รับสังฆทานไปเรื่อย สักบ่าย ๒ มานั่งพิงตรงคุณนั่งน่ะ พิงเสร็จมันก็มองอยู่ มันก็นั่งมองไปมาองมาซักครึ่งชั่วโมงก็ลุกขึ้นกราบ หลวงพี่ครับผมไม่ได้ฝันใช่มั้ย? บอกเออ ตอนนี้เอ็งอยู่ตามสภาพความเป็นจริง มันบอกว่าตอนก่อนหน้านี้น่ะผมรู้สึกเหมือนกับฝัน ฝันร้ายมากด้วย ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรต่ออะไรไปบ้างแล้ว อยู่ ๆ ก็หายเอาดื้อ ๆ ผมตื่นขึ้นมาเหมือนเพิ่งตื่นลุกขึ้นมารู้สึกตัวเต็มที่เหมือนกับผมยังฝันอยู่ เห็นหลวงพี่ก็เหมือนก็ยังอยู่ในฝัน ผมก็เลยนั่งมองดูก่อน เห็นรับสังฆทานเห็นพูดเห็นอะไรลักษณะนี้ไม่ใช่ฝันก็เลยถามดู แล้วคุณรู้มั้ยล่ะว่าคุณเป็นอะไร? เขาบอกว่า เขาไปเชิญผีถ้วยแก้ว แต่ปรากฏว่า ไปเจอประเภทที่มีเวรมีกรรมผูกพันกันมาก่อน แทนที่จะลงแก้ว มันลงตัวเลย แล้วมันรับปาก มันก็รับปากจริง ๆ บอกพรุ่งนี้จะปล่อยให้เป็นปกติ เราลืมบอกว่าเวลาไหน มันล่อซะบ่าย ๓ หือ...? น่ารักมั้ย ผีเขาไม่โกหกจริง ๆ แต่ถ้าเราไม่รอบคอบมันเอา

    เมื่อวันเป่ายันต์เกราะเพชรบอก ยายเขียว ยังไง ๆ ต้องหาเงินให้ได้ล้านหนึ่งนะ ยายผีก็รับปากบอกได้เจ้าค่ะ จริง ๆ เขาบอกเรื่องหาเงิน เรื่องของพระไม่เกี่ยวกับฉัน บอกแกมาอยู่กุฏิฉันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ต้องทำประโยชน์ให้ด้วยก็โอเค รับปากปรากฏว่าในงานมันได้ ๕๐๐,๐๐๐ กว่า บอกอะไรวะผีไม่เคยโกหก บอกว่าได้ล้านหนึ่งบอกได้สิ แต่ปรากฏว่าพอตัดยอดบัญชีได้ล้านกว่า เอายอดทางกรุงเทพมารวมด้วย เราไม่รอบคอบเอง

    ยายเขียวแกเป็นผีน่ารักมากเลย อายุ ๙๔ แล้วตาย พอเสร็จแล้วไปให้หวยลูกหลานตัวเอง ลูกหลานเอาแต่หวยแต่มันกลัว เพราะว่าแกไปวน ๆ เวียน ๆ อยู่ให้เขาเห็นง่าย ๆ ด้วย เลยเอามาฝากพระไว้ เราเองเคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนเลยรับไว้ เอากระดูกแกวางไว้บนชั้นวางของนั่น ทีนี้แกอยู่ชั้นกลาง ชั้นบนคือพระ วันนั้นรีบ ๆ ร้อน ๆ จะเข้าห้องน้ำจะไปกิจนิมนต์นี่จะเข้าห้องน้ำก่อน ขืนไปบ้านโยมจะเข้าห้องน้ำลำบาก จะสะพายย่ามเข้าส้วมก็ลำบากเลยยัดย่ามไว้ข้างล่างแป๊บเดียว ยายเขียวร้องจ๊ากเผ่นแน่บไปเลย เราก็ลืมไปนึกขึ้นมาได้ มีดหมออยู่ข้างล่างไปยัดอยู่ใต้กระดูก เราก็บอกเรื่องอะไรอยู่ ๆ มาเล่นสนุกอะไรอีก
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : (ถามเกี่ยวกับเทพที่มาหานึกอยากจะมาก็มา) อย่างนี้ถ้าหากว่าเขาคิดจะมาก็มาอย่างนี้ถือเป็นความผิดมั้ยครับ?

    ตอบ : บอกแล้วว่ามันต้องมีกรรมเนื่องกันมา ถ้าไม่มีกรรมเนื่องกันมาให้ตายเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ ผิดมั้ยล่ะ? เขามีสิทธนี่ ถ้าไม่มีสิทธิเขาก็ผิด ถ้ามีกรรมเนื่องกันมาเขาก็มีสิทธิที่จะทำอย่างนั้นได้

    ถาม : อย่างนี้วิธีต่อรองคือเจ้าตัวเอง?

    ตอบ : คือของเขาเองตอนนั้นส่วนใหญ่จะขาดสติ ของเรานี่ต้องรักษาสติเอาไว้ แล้วต่อรองแทนที่เจอมา ๒ ราย ๓ ราย ล้วนแล้วแต่ ไม่มีสติเป็นตัวนั้นล้วน ๆ เลย เจอมาตอนนั้นอีกรายหนึ่งเก่งมาก เป็นหมอผีของมอญสืบทอดกันมาตามตระกูลเลย พอแล้วถึงเวลาผีเข้ามันเอง ไล่ไม่ออก ปล้ำอยู่ทั้งคืนยันสว่าง พอมันปล้ำอยู่ทั้งคืนยันสว่างเขาก็หามกันมา ยายนี่มันมีสติอยู่เกินครึ่งนะรู้ว่าผีเข้ามันด้วย แก้ไขยังไงก็แก้แล้วด้วยแต่แก้ไม่ตก แสดงว่ากำลังใจกำลังสมาธิเขาดีจริง ๆ มาถึงก็ยกพานครูตั้งใจบูชาพระขอให้สงเคราะห์ด้วย พอเสร็จเรียบร้อยก็ถามเขาว่าลักษณะเป็นอย่างไร มันเป็นอย่างนี้ ๆ ล่ะ กินน้ำมนต์แล้วก็ไม่อ้วก ทีนี้ พวกนี้มันจะเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าจะอ้วก ๆ ออกมาเป็นแต่ลมกับน้ำมนต์ ลักษณะอาการอ้วกก็คือ ผีมันออกใช่มั้ยล่ะ?

    นั่นรู้จริง ๆ แสดงว่าศึกษามาอย่างช่ำชอง แต่โดนเข้าซะเอง ก็เลยถามเขาว่าเอาอย่างนี้มั้ย? อยากไปเกิดหรือเปล่า? บอกว่า ถ้าอย่างนั้นให้ตั้งใจว่า นะโม ๓ จบ รับไตรสรณคมน์ ก็ว่านะโมให้เขาตาม พอว่าพุทธัง สรณังคัจฉามิ เขาบอกเห็นแสงสว่างแล้ว เห็นแสงสว่างแล้ว บอกไปตามแสงสว่างนั้นแหละ พวกเราฝึกมโนนี่โง่กว่าผีนะ เห็นแสงสว่างแล้วไม่ค่อยยอมไปหรอก บอกให้เขาไปตามนั้นพรมน้ำมนต์ให้ ไม้แตะหัวว่า คาถาหลวงพ่อ แล้วตีหัวป๊อกหนึ่ง มันส่งเสียร้องโอ๊ยนะ ได้ยินเสียงเบานิดเดียว ไปที่สำนักงานป่าไม้ห่างกัน ๔-๕๐๐ เมตรวิ่งมาดูกันทั้งสำนักงานเลย เขาบอกเสียงร้องสนั่นยิ่งกว่าออกลำโพงเลย อยู่ต่อหน้าเราได้ยินนิดเดียว รายนี้เก่งมาก เป็นหมอผีเจอผีเข้าเองแก้ไม่ตก แต่ว่ารายนี้ดีสติเขาเกินครึ่ง เขาสู้ได้แก้ไขได้แต่ปล้ำไม่ไวจริง ๆ คืนหนึ่งเต็ม ๆ แล้วผีมันไม่ต้องนอนไม่ต้องกินต้องนี่ ตัวเองไม่ได้กินไม่ได้นอนมาคืนหนึ่งก็เจ๊งน่ะซิ รู้ว่าสู้ไม่ไหวถึงต้องยอมพึ่งพระ เพราะว่า พวกที่เป็นหมอผีส่วนใหญ่จะมีพวกของอาถรรพ์ของเขาอยู่ กลัวว่าถ้าเข้ามาในวัดเดี๋ยวมันจะเสื่อมหมด เห็นทำขันมาขอขมาตั้งแต่ปากทางเข้าวัดตรงหัวสะพาน ขอแล้วขออีก เป็นยังไงวันนี้กลายเป็นเรื่องผีไปซะแล้ว

    ถาม : ผมไปเจอคนอยู่คนหนึ่งดูแล้วแกไปได้ลึกไปได้ไกล... (ไม่ชัด)...?

    ตอบ : มันก็น่าจะมีส่วน แต่ทีนี้ถ้าเป็นผู้ที่หลุดพ้นแล้ววิบากตัวนี้ท่านไม่ได้ แต่ว่าขณะ (ทำอะไร) ท่านไม่ได้ แต่ว่าขณะเดียวกันเราเองก็ต้องมีสติอยู่ว่านั่นเป็นสมบัติของมหาเศรษฐีเขา เราชมสมบัติเศรษฐีเสร็จแล้วอยากรวยแบบเศรษฐีมั่งเราก็ต้องทำตามแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเราชมสมบัติเศรษฐีเสร็จ เราก็ชื่นชมอยู่แต่ของเขา ไม่สร้างของเราให้มีซะทีหนึ่ง

    ถาม : อย่างนี้ถ้าเราทำแบบนั้นแล้วคนที่ไปชื่นชมตัวเขาจะไม่มีวิบากจากตรงนี้ไปตรงอื่น?

    ตอบ : อันนั้นมันเป็นความผิดของเราเองถ้าเราไปเกาะตรงนั้น แต่ว่าถ้าตัวของเขา ๆ ทำไปโดยเจตนาดีอยู่แล้ว คือต้องการจะช่วยให้เราพ้นทุกข์อย่างนี้

    ถาม : วิบากเขาก็จะไม่ได้... (ไม่ชัด)...?

    ตอบ : ของเขาเองต้องดูเจตนา พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้แล้วว่า เจตนาภิกขเว กัมมังวทามิ เจตนาเท่านั้นที่จะเป็นกรรม คราวนี้ของเขาๆ เจตนาดีต้องการจะช่วยสงเคราะห์ เราเองไปตื่นเต้นกับข้อธรรมะที่เขาได้แล้วไปยึดไปเกาะ กลายเป็นไปเกาะตัวบุคคล เกาะผิดที่ ในเมื่อไปเกาะตัวบุคคลแทนที่จะไปเกาะธรรมะแล้วปฏิบัติตาม ถือเป็นความผิดของเราเองมากกว่า

    ถาม : ผมได้ไปสถานที่หนึ่ง สุดท้ายได้ไปฟังธรรมะของคน ๆ นี้คือผมก็อยากได้เหมือนกัน พอไปฟังท่านแล้วก็รู้สึกว่ามันผิด คือมันเป็นลักษณะที่เป็นของเขาเอง?

    ตอบ : อันนี้เป็นลักษณะอาการเคลื่อนของจิต เขาเองเขาจะสามารถกำหนดให้เป็นในลักษณะนี้ ๆ ของจีนก็มี ของอินเดียก็มี พวกโยคีเขาจะทำในลักษณะนี้

    ถาม : ของเขาเป็นลักษณะที่เขาคิดขึ้นมาเอง?

    ตอบ : ในลักษณะนั้น จริง ๆ แล้วก็ไม่พ้นจากที่พระพุทธเจ้าท่านรู้หรอก เพียงแต่ว่าอันไหนที่รู้แล้วจะทำให้ช้า พระพุทธเจ้าท่านไม่สอน ท่านบอกแล้วให้ละวางในธรรมอันเนิ่นช้า เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนจะเป็นทางที่มุ่งตรงอย่างเดียว ไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านไม่รู้ เพราะท่านบอกอยู่แล้วว่าความรู้ของท่านเท่ากับใบไม้ในกำมือเดียว ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

    ถาม : อย่างที่เขาปฏิบัติกับคนอื่นนี่ขอให้พิจารณาไปละไปทีเดียวเลย แล้วลักษณะอย่างนี้มันไล่ไปทีละจุด ๆ ?

    ตอบ : อย่างสมาธิหมุนนั่น เคยลองมั้ยล่ะ ? ลักษณะเดียวกัน ทีนี้อันนั้นมันเป็นลักษณะวิสัยเฉพาะของคนใดคนหนึ่งเขา ๆ อาจจะต้องได้ในลักษณะอย่างนั้น ทำในลักษณะอย่างนั้นมันถึงจะตรงจริต ตรงกำลังใจเขาแต่ว่าคนที่ร่วมบุญกับเขามามันก็มี ถ้าไม่ใช่คนที่ร่วมบุญกันมาจะฟังเขาไม่เข้าใจ

    ถาม : สมาธิหมุนคืออะไรครับ ?

    ตอบ : สมาธิหมุนนี่เป็นของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโน สำนักปฏิบัติธรรมรัตนประทีป จังหวัดแม่ฮ่องสอน สมาธิหมุน จะเป็นการกำหนดจิตของตัวเองหมุนวนอยู่ให้เหวี่ยงตัวรัก โลภ โกรธ หลง ให้กระเด็นออกไป แล้วพอสามารถเหวี่ยงตัวรัก โลภ โกรธ หลงกระเด็นออกไป สามารถที่จะคลายตัวราคะ โลภะ โทสะ โมหะออกไปจากตัวเองได้จริง ๆ ก็คือการใช้สมาธิกดมันนั่นแหละ เป็นตัว เจโตวิมุติ แต่ทีนี้เขามั่นใจว่าเขาสลัดลักษณะนั้นทำให้หลุดได้ อาตมาก็เจอคน ๆ หนึ่ง ลูกสาวฉันเองล่ะไปฝึกสมาธิหมุนมาจนกระทั่งเขามั่นใจว่าเขาเป็นพระอรหันต์แล้ว ๆ ยืนยันว่าเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นจำเป็นต้องตายเลยเป็นอย่างของเขาก็ได้ ที่พระพุทธเจ้าหรือที่หลวงพ่อบอกว่าถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ภายใน ๗ วันจะต้องตายมันไม่ใช่ ตอนนี้ลูก ๑ คนแล้ว กำลังคนที่ ๒ เป็นพระอรหันต์แล้วลูกโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นคนเราเวลาทำไปถึงระดับกดเงียบจริง ๆ ทำให้พระหลายองค์เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์

    ถาม : จริง ๆ แล้วมันก็คือเป็นหินทับหญ้า ?

    ตอบ : มันเป็นหินทับหญ้าอยู่ถ้าหากว่าหินขยับเมื่อไหร่ หญ้ามันก็งอกแล้วหญ้ามันงอกในลักษณะเก็บกดด้วยโดนทับมานาน ถึงเวลางอกงามเป็นพิเศษ

    ถาม : อาจารย์คนนี้ที่เขาว่าตรงนี้มามาก็จะย้ำตรงนี้อยู่เสมอ ๆ ทีนี้วิธีที่ปฏิบัติของเขาก็คือ...?

    ตอบ : มันจะดำเนินจิตต่อเนื่องกันอยู่ไม่ยอมคลายเพราะถ้าคลายเดี๋ยวมันยันกลับ

    ถาม : มันเหมือนกับทะลุทะลวงเข้าไปหรือเปล่า ?

    ตอบ : ลักษณะคล้าย ๆ อย่างนั้นก็คือว่าทรงฌานอยู่ตลอดเวลา ทีนี้ยายหนูนี่เขาทำได้ถึงขนาดนี้แล้วรัก โลภ โกรธ หลงมันหายเงียบไป เขาก็คิดว่าเขาบรรลุมรรคผลแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดเพราะว่าตัวของเขาเองเขาคิดอย่างนั้น ขณะเดียวกันพระในยุคพระพระพุทธเจ้าท่านก็คิดอย่างนั้น ถึงขนาดพยากรณ์ว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พอกำลังใจลดลงกิเลสตีกลับขึ้นมาตกใจ เราพยากรณ์มรรคผลที่ไม่มีจริงสงสัยต้องอาบัติปราชิกแล้วไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในเมื่อเธอว่าไปด้วยความเข้าใจผิดโดยไม่ได้มีเจตนาจะโอ้อวดกับคนอื่นเขา ก็ไม่ถือว่าเป็นอาบัติปาราชิก

    ถาม : การขุดหาพระเครื่องในบริเวณวัดแล้วเอาพระไปขาย บาปหรือไม่แล้วมีโทษอย่างไร ?

    ตอบ : ลงอเวจีมหานรกเพราะฉกเอาของสงฆ์ไปเป็นของที่เขาตั้งใจจะบูชาพระรัตนตรัยด้วย สิ่งที่ถวายบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วยิ่งเป็นของสงฆ์ด้วยโทษยิ่งหนัก

    ถาม : ...................................

    ตอบ : ลองดูมั้ยล่ะที่โบราณเขาว่า.....
    รวิสิทธิด้วย อาภรณ์
    แดงพิจิตรอลงกรณ์ ก่องแก้ว
    ทรงแสงธนูศร ลีลาศ
    เสด็จสู่สงความแผ้ว ผ่องพัน ไพรี
    ระวิก็วันอาทิตย์ใส่สีแดง ต้องใช้ธนูด้วยนะถนัดไม่ถนัดก็ต้องใช้
    จันทรวารภูษณพื้น โขมพัสตร์
    กรกลึงดาบขัด เพลิดแพร้ว
    เสด็จจรกำจัดดัส กรราช
    โดยพิชัยฤกษ์แล้ว ล้มล้าง ศัตรู
    วันจันทร์ใช้สีขาวนวล ผ้าพื้น แล้วใช้ดาบเป็นอาวุธ
    ภุมวารวิศิฏฐ์ด้วย ชมพู
    ทรงพระแสงกรชู ดาบตั้ง
    เฉกองค์มฤตยู ยุรยาตร
    มวลอรินทร์ต่อตั้ง แตกด้วย เดชา
    ถ้าเป็นวันอังคารใช้สีชมพู ภุมวารคือ วันอังคาร แล้วก็ใชดาบดับตั้ง ๆ ก็คือ โล่เล็ก โล่เเคบ ๆ ยาว ๆ
    พุธวารสารสวัสดิ์สร้อย สีนิล
    เขียวคู่องค์อมรินทร์ รุ่งฟ้า
    ทรงดาบพิชัยยุทธลิน ลาลาศ
    ยกพยุหะกาจกล้า วากว้าง ชิงชัย
    พุธใช้สีนิลสีเขียวแล้วก็ใช้ดาบ
    พฤหัสพิพัฒน์ภาคพื้น ภูษา
    สีม่วงเมฆยาตรา รุกเร้า
    ทรงแสงศักดิ์เดชา ไชยเยศ
    คลายคลี่พิริยะพลเต้า ต่อต้าน รณรงค์
    วันพฤหัสใช้สีม่วง
    สุกโรวโรฤทธิ์เรื้อง อาภรณ์
    เหลืองเลื่อมลายอลงกรณ์ ก่องแก้ว
    ทรงแสงธนูรอน อริราช
    เสด็จปราปสงครามแผ้ว ผ่องพื้น ผฐพี
    แปลก....วันศุกร์ใช้สีเหลืองเลื่อม
    เสาโรรุจิล้วน ดำดี
    ทรงสรรพาวุธลี ลาศเต้า
    วันเสาร์ใช้ชุดสีดำอาวุธอะไรก็ได้ สรรพวุธแล้วแต่ใช่มั้ย เขาว่า...
    ทรงสรรพาวุธลี ลาศเต้า
    ออกแย้งยุทธไพรี รณภาพ
    ทวยเทพอวยชัยเช้า ค่ำให้ สถาพร
    แล้วก็สรุปท้ายว่า...........
    เสด็จสรรพเสาวภาคย์เบื้อง เบาราณ
    ตามลัทธิอาจารย์ กล่าวไว้
    สำหรับปิ่นจุฑาธาร ทรงสู่ ศึกนา
    ชาวพ่ออุตสาห์ได้ เร่งรู้ เรียนจำ
    ศึกษาไว้แล้วบอกเจ้านายด้วย สำหรับปิ่นจุฑาธารสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน วันเสาร์สีดำนะ ถ้าหากของสนทรภู่ก็คล้าย ๆ กันใช่มั้ย ? แต่ว่าอีกตำราหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาว่า
    อนึ่งภูษาทรงณรงณ์รบ
    ควรมีครบเครื่องเสร็จทั้งเจ็ดสี
    วันอาทิตย์สิทธิโชคโฉลกดี
    เอาเครื่องสีแดงทรงเป็นมงคล
    เครื่องวันจันทร์นั้นควรสีนวลขาว
    จะยืนยาวชนษาสถาผล
    อันนี้ตรงกันนะ
    อังคารช่วงม่วงงามสีครามปน
    เป็นมงคลอดิเรกอุดมดี
    อันนี้มันเพี้ยนกันเพราะอันนั้นอังคารเขาใช้สีชมพู
    เครื่องวันพุทธสุดจะดีด้วยสีแสด
    กับเหลือบแปดปนประดับสลับสี
    อันนี้ของเขา ๆ เล่นสีแสดไปเลย มันไม่ใช่สีเขียวใช่มั้ย ?
    พฤหัสทรงเครื่องเขียวเหลืองดี
    วันศุกร์สีเมฆหมอกออกสงคราม
    พฤหัสใช้สีเขียวเหลือง สีเหลืองเปลือกมะนาว วันศุกร์มีเมฆหมอก สีเมฆหมอกไม่ใช่สีดำนะสีขาวจ้ะ ขาวขุ่น
    วันเสาร์ทรงเครื่องดำจึงล้ำเลิศ
    แสนประเสริฐเสี้ยนศึกจะนึกขาม
    อีกพาชีที่ขี่ขับประดับงาม
    ให้ต้องตามสีสันจึงกับภัย
    ม้าต้องเอาสีเดียวกับเครื่องทรงด้วย ตายชักแล้ว เดี๋ยวไปเจอม้าสีชมพูนี่ยุ่งเลย ย้อมสีกันใหญ่ ตำราโบราณศึกษาไว้บ้าง พวกนี้เจนจบพิชัยพุทธเสียเปล่า ๆ ลืมหมดเลย สมัยก่อนต้องศึกษาไว้ ตำราพิชัยสงคราม ตำราอะไรต้องรู้ ฤกษ์ล่าง ฤกษ์บน รู้กัน รู้แก้ ศึกษาพยุหะแบบนี้แก้ด้วยอย่างนี้ เข้าหม้อหมดแล้วนึกไม่ออก ของอาตมายังอยู่ปากหม้อเปิดล้วงเอาเมื่อไหร่ก็ได้

    ถาม : หนูไม่สบายหมอตรวจ ๖-๗ คนไม่มีทางรักษา ?

    ตอบ : โรคบางอย่างกรรมมันบัง ตรวจอาการยังไงก็ไม่เจอ มันก็เล่นของมันไปเรื่อย อาตมาก็เจอมาหลายยกแล้ว บางทีปวดท้องใจจะขาดอย่างกับใครเอามีดมาเสียบคาพุง ไปให้หมอเอ็กซเรย์ ปรากฏว่ามันวิ่งจู๊ดไปที่หัวเข่า เราขืนไปบอกหมอตอนนี้มันอยู่ที่หัวเข่าแล้ว เขาว่าเราบ้าแน่ ๆ เพราะอย่างนั้นทำไม่รู้ไม่ชี้ทนเจ็บไปคนเดียว

    ถาม : แล้วบางครั้งมีบ้างมั้ยเจ้าคะ ที่เราเจอทุกขเวทนาแล้วไม่ไหว เราต้องหลบ ใช้วิธีหลบได้มั้ย ?

    ตอบ : จริง ๆ มันก็หลบเป็นปกติอยู่แล้ว ใครที่ทรงอานาปานสติได้ ส่วนใหญ่ก็ใช้อานาปานสติเป็นที่อาศัยเขาเรียก ปัสสัมภะยัง กายะสัง ขารัง ระงับกายสังขารของตนคือ ถ้าหากไม่ระงับมันไว้ก็เจ๊ง

    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...