ฉบับที่ ๒๗ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 6 พฤษภาคม 2006.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมีนาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    ถาม : (ถามถึงการพิจารณาคลื่นทะเลให้อนิจจัง)
    ตอบ : คลื่นทะเลที่ทยอยเข้าสู่ฝั่ง ลูกแรกหมดไป ลูกที่สองมันก็มา ลูกที่สองหมดไป ลูกที่สามก็มา มันเที่ยงแท้แน่นอนเสียที่ไหนล่ะ ? มันเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปเรื่อย ๆ

    และขณะเดียวกัน ถ้าหากทะลมันเป็นคน ลักษณะการทำงานที่อยู่ในลักษณะนั้นมันทุกข์ไหมล่ะ มานั่งดูอยู่อย่างนี้ เราเองก็ทุกข์ เขาเองก็ทุกข์ แล้วจนกระทั่งในที่สุด ผลสุดท้ายจริง ๆ ทะเลก็อาจเหือดแห้งไม่มีอะไรเหลือ ตัวเราเองก็อาจตกตายไม่มีอะไรเหลืออยู่

    สรุปแล้วมันก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น คลื่นระลอกแรกที่เข้าสู่ฝั่งอาจเหมือนคนที่เกิดขึ้นมาก่อน มันเกิดก่อน ก็แก่ก่อนแล้วก็ตายก่อน ระลอกถัดไปมันก็เกิดตามมา ตายตามมา มีสิ้นสุดเสียที่ไหน ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็วนเวียนไม่รู้จบอยู่อย่างนี้ เมื่อไรจะหลุดพ้นไปได้ เราก็จะหลุดพ้นสภาพเช่นนี้ไป
    ค่อย ๆ คิด ง่ายจะตายไป

    ถาม : ........................................
    ตอบ : หลวงปู่โลกอุดร ท่านมีที่พักปัจจุบันอยู่ที่ถ้ำใหญ่ใต้หิมาลัย เสร็จแล้วเวลาคนไปพบท่าน ท่านว่าเดินทางไปถ้ำวัวแดง ๆ ลักษณะนั้น ท่านจะให้ปรากฏอยู่ตรงไหนก็ได้ คือเดินไปสามก้าวก็ไปโผล่ตรงนั้นได้ แล้วสังเกตไหมว่า คนที่ตามสะกดรอยไป เดินทางไปตามเส้นที่ท่านเคยเดิน หากันไม่เจอ เพราะมันไม่ใช่สถานที่ ๆ ที่มีตรงนั้น

    แต่ท่านสามารถที่จะ...พูดง่าย ๆ เหมือนกับว่าพอเขามาด้วยศรัทธา ท่านก็จะพาประเภทที่เดินข้ามจากจุดนั้นไปสู่จุดที่ท่านอยู่เลย เพราะฉะนั้นอาจอยู่ตรงไหนก็ได้อยู่กันหลายองค์เหมือนกัน แต่ละองค์ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่ทั้งนั้น

    ถาม : หลวงพี่เคยไปไหมคะ ?
    ตอบ : ไปไม่ไหว หนาว
    ถาม : ในที่อย่างนั้นสามารถใช้กสิณไฟช่วยได้ไหม ?
    ตอบ : เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะพวกโยคีส่วนใหญ่เขาบูชาไฟบูชาพระอาทิตย์ทั้งนั้น เป็นพระถ้าหากทำได้ ก็จำเป็นต้องใช้เหมือนกัน เพราะร่างกายมันไม่ไหว หรือไม่ก็โน่เลย โดดไปเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน รู้สึกก็ทำเป็นไม่รู้ เดินฉับ ๆ ไป

    ถาม : หลวงพี่คะ ถ้าสมมุติวิ่งออกไปจากโลกนี้ จะไปเจอสวรรค์หรือนรกได้ไหมคะ ?

    ตอบ : เจอ แต่กว่าจะวิ่งถึงนั้นสงสัยว่าใช้เชื้อเพลิงอะไร มันถึงไปได้ไกลขนาดนั้น เพราะว่าขอบ....ต้องใช้คำว่าอะไรล่ะ เอกภพเลยมั้ง ที่เป็นที่รวมของจักรวาลทั้งหมด ก็คือต้นทางของชั้นจตุมหาราช ต้องวิ่งฝ่าไปกี่กาแลคซี่ก็ไม่รู้กว่าจะพ้น แล้วจะใช้ยานอะไรดีล่ะ ?
    เจอเหมือนกันถ้าไปได้ นี่เป็นเรื่องฟุ้งซ่านเกินตายไปแล้วนะ โปรดอย่าเพิ่งเชื่อ ถือเป็นนิทานโกหก เขาเรียก ดาราจักร คือกาแลคซี่ ส่วนรวมของกาแลคซี่เยอะ เรียกว่าเอกภพ คือยูนิเวอร์สใช่ไหม ?

    ถาม : มาฝึกกสิณตอนนี้รู้สึกว่าจะสายไปหรือเปล่า ?
    ตอบ : ไม่มีคำว่าสาย พร้อมจะเริ่มเมื่อไหร่ก็เอาได้เลย การปฏิบัติทุกอย่างลงมือเมื่อไหร่เป็นคุณแก่ตัวเมื่อนั้น
    ถาม : ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น แล้วการที่มาเล่นกสิณนี่จะถูกทางมั้ยครับ ?

    ตอบ : กรรมฐานทุกกองในกรรมฐาน ๔๐ หรือมหาสติปัฏฐานก็ตาม ถูกทางทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเราจะขมวดปลายมันเป็นมั้ย ? เราเล่นกสิณพอถึงวาระสุดท้ายเราก็พิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณว่ารูปภาพกสิณจริง ๆ มันก็มีความไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แรก ๆ มันก็เป็นภาพของอุคหนิมิตคือ เป็นรูปกสิณตามนั้น หลังจากนั้นมาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป จากสีเดิมก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ กลายเป็นสีขาวจากสีขาวก็เจิดจ้าไป ถึงวาระสุดท้ายก็อธิษฐานให้มาก็ได้ให้ไปก็ได้ มันไม่มีความเที่ยงแ้ท้แน่นอนแม้แต่อย่างเดียว

    ถ้าเราตั้งความปรารถนาว่าจะให้มันดำรงอยู่ตลอดกาลสมัย เราก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ แล้วในที่สุดแม้กระทั่งตัวเราเองที่เป็นผู้ทรงกสิณอยู่เราก็ตาย ภาพกสิณที่เราเห็นก็สลายตัวได้ วัตถุที่เราเอามาทำเป็นดวงกสิณ ก็สลายตัวได้ มันไม่มีอะไรเหลืออยู่ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรดำรงอยู่ได้เกิดมาเมื่อไหร่ก็ต้องเจอกับสภาพเช่นนี้ มีความไม่เที่ยง มีความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้เป็นปกติ แล้วเราจะเกิดมาให้ทุกข์ทำไม ขมวดท้ายเป็นมันไปนิพพานได้ทุกกอง เอากองไหนดีล่ะ ?

    ถาม : เตโชกสิณนี่เขามองเปลวไฟหรือว่าเขามองแสงไฟครับ คือว่าหาอะไรมาครอบจนเป็นจุดเป็นแสง ?

    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นกองไฟใหญ่สมัยก่อนเขาให้ใช้ผ้าตัดเป็นวงกลม แล้วก็วางให้ตรงกับกองไฟให้ลักษณะเป็นวงหลมไว้ สนใจแต่สภาพของไฟในวงกลมนั้น มันจะเป็นแสงอย่างไร มีสีอย่างไร มีขีดอย่างไร มีเส้นอย่างไรไม่เอา

    แต่ถ้าหากว่าเราเพ่งเทียนหรือเพ่งตะเกียง ก็จำลักษณะของดวงไฟมันไว้เท่านั้น เปลวไฟมันจะมีลักษณะอย่างไร ขอบมันจะเป้นอย่างไร สีสรรมันจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องไปใส่ใจ จำเฉพาะดวงไฟมันเท่านั้น พอคล่องตัวมาก ๆ แล้วอะไรก็ได้

    สมัยที่ทำอยู่เด็ก ๆ นี่โอ๊ย....มันมากเลยเพราะว่าบ้านอยู่ต่างจังหวัดไฟฟ้าไม่มี ก็เอาตะเกียงจุดในมุ้ง ถ้าจุดตะเกียงโดยไม่มีเหตุผล เจอไม้เรียวแน่ ๆ ก็เอาหนังสือมา นั่งตัวตรงแหน็วเลย แต่ตาไม่ได้ดูหนังสือหรอก ดูตะเกียงแล้วก็จำภาพเอา แล้วถึงเวลาต้องไปทำหน้าที่หุงข้าว ไฟทั้งเตาก็เป็นดวงกสิณของเราได้ ถ้าหากว่าจับคล่องตัวแล้วมันไม่มีปัญหาอะไรเลย

    ถาม : คือว่าเราไม่ต้องไปเพ่งว่ามันเป็นรูปอย่างไร ?
    ตอบ : ไม่ต้องหรอก นึกถึงลักษณะของมันแล้วจำเอาไว้แค่นั้นเอง แล้วก็นึกว่าไฟ ๆ ๆ ถ้าภาษาบาลีเขาเรียก เตโชกสิณัง เตโชกสิณัง นึกถึงลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา แล้วกำหนดจดจำเอาไว้ลืมตามองแล้วหลับตาลงนึกถึงนะ มันจะเห็นได้แว๊บหนึ่ง จำลักษณะมันได้แว๊บหนึ่ง พอลักษณะเลือนไปก็ลืมตาดูแล้วหลับตาลงนึกถึงพร้อมคำภาวนา ไม่ใช่ไปนั่งจ้องมันนะ

    คำว่ากสิณแปลว่าเพ่งคือให้มันติดตาติดใจ ไม่ใช่ว่าไปนั่งจ้องในลักษณะใช้สายตาเพ่งอย่างนั้นใช้ไม่ได้ อย่างนี้เรามองแล้วหลับตามันจะจำได้อยู่แป๊บหนึ่ง แล้วพอหายไปแล้วก็ลืมตามองดูใหม่ เป็นหมื่นเป็นแสนครั้งหลังจากที่มันติดตา แล้วหลับตาอยู่ก็นึกถึงได้ ลืมตาอยู่ก็นึกถึงได้แล้ว
    คราวนี้ก็สำคัญตรงประคับประคองให้ดี เผลอเมื่อไหร่มันหาย ตอนนั้นสนุกมากเหมือนเลี้ยงลูกแก้วบนปลายเข็ม ต้องคอยระวังอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกเลย หลังจากนั้นภาพกสิณก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย จากเปลวจะกลายจากสีเข้มก็จะมีสีอ่อนลง ๆ เป็นสีเหลืองอ่อน กลายเป็นสีขาว ๆ ทึบก็จะกลายเป็นขาวใสขึ้น ๆ จนกระทั่งใสสว่างเหมือนอย่างกับเรามองดวงอาทิตย์ทั้งดวง ทีนี้ก็อธิษฐานให้ใหญ่ให้เล็ก ถ้าอธิษฐานให้เล็กได้ใหญ่ได้ก็ขออธิษฐานให้ใช้ผลของกสิณได้

    ถาม : ถ้าหากผมปฏิบัตินี่จะใช้เวลาเท่าไหร่ครับ ?
    ตอบ : เวลาขึ้นอยู่กับเราเอง ถ้าปฏิบัติถูกก็เร็ว ปฏิบัติผิดก็ช้า มันจะมีตัวมัชฌิมาปฏิปทาพอเหมาะพอดีของเรา พอเหมาะพอดีนี่มันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ไม่ได้บอกว่าต้อง ๕๐% เป๊ะ มันเป็นการพอเหมาะพอดีกับตัวของเราเอง ซึ่งเกิดจากบุญญาบารมีต่าง ๆ ของเราที่สร้างสมมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บวกกับสภาพร่างกายด้วย

    อย่างเช่นว่าคนอื่นนั่งกันที ๓ วัน ๓ คืนพอดี แต่ของเราอาจจะครึ่งชั่วโมงมากกว่านั้นเราก็ไม่ไหว เพราะฉะนั้นตัวพอเหมาะพอดีเราต้องหามันให้เจอว่าพอมันเหมาะพอดีตรงไหน ถ้าทำได้พอเหมาะพอดี ผลมันก็จะก้าวหน้าเร็วมาก ถ้าทำเกินร่างกายมันเครียดเกินไปจิตใจเป็นกังวลอยู่กับร่างกายมันก็ก้าวหน้ายาก

    จริง ๆ แล้ว มันไม่มีอะไรหรอก ทำให้มันพอเหมาะพอดีพอควรแค่นั้นเอง ตัวนี้มันต้องค้นเอง พูดให้ฟังนี่มันง่าย ค้นเองนี่มันยาก ถึงเวลามันลงตัวโช๊ะลงไป เราจำอารมณ์นั้นได้ ต่อไปทำเมื่อไหร่เราก็ได้เมื่อนั้นแหละ ยากที่ครั้งแรกเท่านั้น ตั้งหน้าตั้งตาทำจริง ๆ จัง ๆ ของเราน่ะทำแล้วไม่รักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง ทำ ๆ ทิ้ง ๆ ว่ายน้ำไปเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้ลอยตามน้ำ ลอยตามน้ำเสร็จนึกอยากจะว่ายขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ว่ายใหม่อีก ได้แต่งานไมได้ผลงานเพิ่มขึ้นเลย ว่ายเมื่อไหร่มันก็เท่าเดิม ดีไม่ดีเหนื่อยมาก ๆ น้อยกว่าเดิมซะอีก เป็นคนขยันมาก ขยันทำงานแต่ไม่ได้ผลงานอะไรเพิ่มเลย ต้องทำให้ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ถ้าทำต่อเนื่องแล้วผลก็จะเกิดเร็วเพราะเท่ากับว่าได้ระยะทางเพิ่มขึ้น ในที่สุดมันก็จะถึงจุดหมายที่ต้องการ

    ถาม : เวลาทำงานใจมันก็ต้องคิดอยู่กับงานนี่ ?
    ตอบ : ก็คิดไปซิ เวลาทำงานใจอยู่กับงานมันเป็นสมาธิอยู่แล้ว เวลาว่างก็ค่อยย้อนมาอยู่กับกรรมฐาน ไม่ใช่เวลาว่างแล้วเราก็มาคิด ๆ ๆ ต่อ เราต้องหยุดให้เป็น แล้วลากมันออกมาให้ได้ หมดเวลางานแล้วกองไว้ที่ทำงานนั่นแหละ

    ถาม : แล้วบางทีก็ฝันเหมือนกับคล้าย ๆ ว่าบอกล่วงหน้าว่าต้องเกิดอย่างนั้นขึ้น พอฝันเหมือนเดิมก็ต้องเกิดอย่างนี้นะ ต้องเลี่ยงอย่างนี้นะ บางทีก็เหมือนกับรู้ล่วงหน้าครับ บางทีก็ฝันถึงหลวงพ่อ ?
    ตอบ : หมั่นสังเกตไว้ก็แล้วกันว่าลักษณะไหนมันเกิดขึ้นตามความเป็นจริงก็ให้ระมัดระวังเอาไว้ จุดที่จะสังเกตได้ง่าย ๆ ก็อย่างว่าถ้าฝันใกล้รุ่งนี่มักจะแม่นเพราะว่าจิตใจของเรานี่ปกติฟุ้งซ่านอยู่แล้ว

    แต่ว่าหลังจากที่มันฟุ้งมาทั้งคืน ที่โบราณเขาว่า กลางคืนเป็นควันกลางวันเป็นเปลว กลางวันมันก็โลดแล่นไปตามอำนาจของมัน กลางคืนก็อุตส่าห์เก็บไปฝันอีก ลักษณะอย่างนั้นตอนใกล้สว่างจิตมันฟุ้งซ่านมาพอแรงหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว ถึงเวลาพักของมันแล้วใจมันจะสงบลงชั่วครู่ชั่วยาม ถ้ารู้เห็นอะไรจะแม่น นั่นเขาเรียกเทพสังหรณ์

    ถาม : บางทีผมฝันถึง พอเช้าขึ้นมา คนนั้นโทรมาเลยครับเหมือนในฝันเลยครับ ?

    ตอบ : ก็ดีแล้วไง ต่อไปจะได้มีอะไรมีเครื่องหมายให้สังเกตได้ ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้นจะแก้ไขยังไงในฝันมันรู้ก่อนแล้ว เราก็เห็นช่องทางได้ง่ายขึ้น พวกลางสังหรณ์นี่จริง ๆ มันก็คือทิพจักขุญาณ แต่มันเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน มันไม่คล่องตัว ต้องรอจังหวะรอเวลาให้สภาพจิตสงบนิ่งลงล๊อคของมันพอดี

    ถาม : ในความฝันนั้น เราจะเข้าใจความฝันนั้น แปลออกอีกไม่นาน เหตุการณ์ที่เราฝันนั้นมันจะเป็นจริงตามนั้นเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าเทพนิมิต ?
    ตอบ : บางทีมันก็เป็นกรรมนิมิตเหมือนกันแล้วแต่ อาตมาเคยเจอกลางวันแสก ๆ เลยกำลังนอนภาวนา ๆ อยู่ เห็นงูจงอางตัวเบ้อเร่อเลื้อยมา ตอนนั้นบวชใหม่ ๆ ก็อยู่กุฏิเล็ก ๆ ตรงหลังร้านอาหารของป้ากิมกี กุฏิหลังนั้นมันจะมีต้นพุทราขึ้นคลุมอยู่ครึ่งค่อนกุฏิ อากาศตอนบ่ายก็จะเย็นสบายมากเลยเพราะต้นพุทราคลุมอยู่ แดดมันส่องไม่ถึงนอนภาวนา ๆ เพลิน ๆ อยู่งูจงอางยักษ์มันเลื้อยมาตามยอดพุทรา ไหวระเนมาตลอดเลย มันเหลือเห็นเราเข้าก็พุ่งเข้ามาทางหน้าต่างจะฉกใส่ ของเราตกใจตัวแข็งขยับไม่ได้ซิ หลวงพ่อไม่รู้โผล่มาจากไหน เอาไม้เท้าสะกิดคางมันเลยหัวเรา คือแทนที่จะฉกใส่หน้าเรามันเลยหัวฉกใส่พื้นเสียงดังปั้งสนั่นเลย แล้วมันก็เลื้อยลงข้างล่างบันไดไปเสียงเลื้อยไปตามพื้นเสียงดังแสก ๆ ๆ ได้ยินถนัดหูเลย เราก็ตกใจสุดขีด

    พอดิ้นหลุดออกจากอาการช๊อคได้ อารามตกใจวิ่งหนีงูด้วยการเผ่นลงบันไดตามไปด้วย กลายเป็นวิ่งตามลงบันได ไป พอลงไปถึงตีนบันไดชะงัก เฮ้ย ! งูมันลงไปนี่หว่า เราก็มองใต้บันได ไม่มี มองรอบ ๆ กุฏิไม่มีก็เหลือห้องน้ำแห่งเดียว ก็เปิดห้องน้ำดูก็ อ้าวไม่มี นึกขึ้นได้ เฮ้ย ! หลวงพ่อยังอยู่ข้างบน วิ่งขึ้นมาหลวงพ่อก็ไม่มี ไปดูก็อ้าว หน้าต่างมีทั้งเหล็กดัดทั้งมุ้งลวด ตัวนิมิตนี่เวลามันเกิดมันซัดขนาดนี้นั่นแหละ เวลาที่งูมันฉกเราผิดนี่ ตัวมันฟาดใส่เรา ๆ ยังรู้สึกจุกเลยมันหนักนี่ ก็เลยมานั่งตีความ อ๋อ....ลักษณะนี้ต้องเป็นนิมิตแน่เลย

    งูนี่โบราณส่วนใหญ่เขาว่า เป็นผู้หญิง งานนี้มันเอาเราแน่แล้วถ้าหลวงพ่อไม่ช่วยตายแหง ๆ เลย หลังจากนั้นไม่กี่วันเขามาจริง ๆ แปลกมากผู้หญิงคนนี้ถ้านับว่าสวยก็ไม่ใช่คนสวย หน้าตารูปร่างลักษณะแบบนี้ก็ไม่เคยอยู่ในความสนใจของเรา แต่มีแรงดึงดูดมหาศาลมากเลย จะให้เรามองเขาท่าเดียว กลายเป็นว่าทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าเขาอยู่บริเวณนั้นต้องมองเขาอย่างเดียว สดวมนต์ตาก็เหลือบมองเขา เวลาทำวัตรอย่างนี้ เวลานั่งกรรมฐานแทนที่จะนั่งหลับตาภาวนาก็กลายเป็นว่าลืมตามองเขา มันฟุ้งซ่านจนทำอะไรไม่ถูกเลย เราก็รู้ตัวว่าลักษณะอย่างนี้เราแย่แน่ ๆ ถ้าหากว่าเราพูดด้วยแม้แต่คำเดียวเสร็จเขาแน่นอนเลย เราก็พยายามจะเลี่ยงจะหลบ เขาเองเขาก็เหมือนจะรู้ตัว ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนเขาจะแถเข้ามาใกล้ ๆ พยายามที่จะพูดด้วย พอเขาเอ่ยปากเราเดินหนีเลย รู้ว่าขืนต่อปากต่อคำแม้แต่คำเดียวเสร็จแน่ ๆ ก็ประเภทที่เรียกว่า หมุนหัวปั่นอยู่ได้ ๒ วัน ๆ ที่ ๓ หลวงพ่อเรียกให้ไปเป็นยามหน้าตึก ตรงจุดนั้นเขาถือว่าเป็นเขตหวงห้ามกลาย ๆ ไม่มีธุระห้ามเข้าอยู่แล้ว เขาก็เลยไปไม่ได้ในเมื่อเขาไปไม่ได้แล้วเรื่องอะไรเราจะโผล่หัวออกมา (หัวเราะ)

    พอพ้นระยะพ้นเวลาของมันไป เขาก็ไม่มีอำนาจเหนือจิตใจของเราได้อีก แล้วของพวกนี้ประมาทไม่ได้ เดี๋ยวคนใหม่มันจะมาเพราะฉะนั้นนิมิตแบบนี้ถ้าหากว่าเรารู้ตัว รู้แล้วระวังล่วงหน้าก็ช่วยได้เยอะเหมือนกัน แปลกมากเลยคือผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้อยู่ในสเป๊คของเราเลยนะ แต่โอ้โหแรงดึงดูดมหาศาลมากเลย ทำอะไรไม่ถูกเลยต้องมองเขาอย่างเดียว ประเภทคู่เวรคู่กรรมกันเลยล่ะ พอพ้นระยะไปแล้วจะพ้นไปเลย แต่ทีนี้เราไม่ได้เกิดชาติเดียวนี่ เดี๋ยวคนอื่นก็จะมามีอิทธิพลอีกอย่างนี้ แต่ว่าที่หนัก ๆ แบบนี้เพิ่งเจอรายเดียว นอกนั้นเรื่องเล็ก เล่นเอาเราป่วนเหมือนกัน คนไหนเกิดร่วมกับเรามากก็มีอิทธิพลมากหน่อย เกิดร่วมกับเราน้อยอิทธิพลก็น้อยหน่อย

    ถาม : แล้วทำอย่างไรให้พ้นคะ ?
    ตอบ : รีบไปนิพพานซะ ง่ายนิดเดียว
    ถาม : ก็ตอนนั้นมันยังไม่ได้ไปนี่คะ ?

    ตอบ : ตอนนั้นสติปัญญามีเท่าไหร่ก็ต้องงัดออกมาทั้งหมดแหละ ไม่งั้นลุ้นเขาไม่ขึ้นหรอก เพราะว่ามันเหมือนกับงูเหลือมกับเชือกกล้วย มันแพ้กันไปครึ่งหนึ่งแล้ว เหลือเชื่อจริง ๆ ลักษณะอย่างนี้ รูปร่างอย่างนี้ หน้าตาอย่างนี้ไม่เคยอยู่ในความสนใจของเราเลยอยู่ ๆ มามีอิทธิพลมหาศาลเอาดื้อ ๆ ถ้าเป็นคนที่ใช่เลยนี่เราเผลอเมื่อไหร่ตายแน่ (หัวเราะ) เป็นเรื่องประหลาดเหมือนกันถ้ายังไม่เจอกับตัวเองก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลอยู่นะ

    มีอยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกันตอนนั้นไปวัดหลวงพ่ออุตตะมะ พอกราบหลวงพ่อทำบุญเสร็จก็พาโยมลงไปซื้อของที่ลานเจดีย์ เดิน ๆ ดูไปกิจการมันก็ไม่ค่อยดีหรอก มีอยู่ร้านหนึ่งแม่ค้าฟุบหลับ เราเองจะซื้อของก็เดินผ่านไปเสียงไม้มันไหวเขาก็เลยลืมตาเงยหน้าขึ้นมา พอเงยหน้าขึ้นมาใจเราหล่นวูบเลย เราก็ตกใจรีบดึงกำลังใจคืนมาใหม่ตั้งใจมองแล้วมองอีก อะไรวะ หน้าตาก็งั้น ๆ แหละ ทำไมใจเรามันไหวชนิดที่เรียกว่าเกือบจะหลุดจากสมาธิไปเลย ก็มานั่งไล่ดูว่าสภาพจิตใจของเราเป็นยังไงถึงได้เจออย่างนี้เข้า ไล่ไปไล่มาเสร็จเรียบร้อยอะไรรู้มั้ย ? ไปเจอหน้ามันเข้าตรงที่ว่า เราไปคิดไว้ก่อนว่าเขาเป็นผู้หญิงแค่นี้เองแหละ กระทุ้งเราเกือบหลุดแน่ะ ไม่น่าเชื่อเลย แค่เราไปคิดไว้ก่อนว่าเขาเป็นผู้หญิงเท่านั้นเอง

    ในเมื่อเราไปคิดไว้ก่อนว่าเขาเป็นผู้หญิงก็จะเกิดความสนใจขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัวนิดเดียวเท่านั้นเอง เผลอหน่อยเกือบล่อเราร่วงไปแล้ว

    ถาม : อารมณ์ธรรมนี่ทุกอย่างมันละเอียดมากไปหมดเลยนะคะ ?
    ตอบ : พูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงดี แต่รู้อยู่ว่ายิ่งควานไป ๆ ก็เหมือนกับว่าไม่รู้จักหมดซะที แรก ๆ เหมือนกับโค่นต้นไม้ แหม...ต้นไม้ใหญ่ล้มตึงลงฟ้าสะท้านดินสะเทือน ไชโย...เราทำอะไรได้ตั้งเยอะตั้งแยะ ที่ไหนได้ล่ะ เอาจริง ๆ ขุดตอมันเข้าไปเถอะ รากมันอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เยอะกว่ากิ่งข้างบนอีก ยิ่งขุดก็ยิ่งเยอะ แล้วมันก็เล็กลงทุกที ๆ ขุดยากขุดเย็นเป็นบ้าเลย ลองเถอะ เจอเมื่อไหร่แล้วจะซาบซึ้ง

    อาตมาอธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่เป็นจริง ๆ ที่หลวงพ่อท่านบอกแรก ๆ เหมือนกับยิงช้าง ยิงม้า ยิงกวางตัวมันใหญ่ยิงง่าย นาน ๆ ไปยิงมด ยิงยุง ยากเหลือเกิน ลองดูการปฏิบัติมันสนุกอย่างนี้แหละสนุกตอนเล่าให้ฟังนะ เจอเข้าเองจะร้องไม่ออก

    เรื่องอย่างนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า กาเลนะ ธัมมัสสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง สนทนาธรรมในเวลาอันควร ถือเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่งพอเหมาะพอสมพอดีขึ้นมาคนที่เขามาติดอยู่ตรงจุดนี้ก็อาจจะได้ประสบการณ์เรียนลัดก้าวผ่านได้เลย ขณะเดียวกันเราอาจจะปล้ำมา ๓ ปี ๕ ปี

    ถาม : กว่าจะก้าวผ่านมันยากนะครับ แต่ต้องทำได้ ?
    ตอบ : ถ้ามันยากจริง ๆ ท่านก็คงไปนิพพานกันได้ไม่เยอะขนาดนี้หรอก ต้องทำได้
    ถาม : แต่ในขณะที่เดินอยู่นี้ต้องเจอใช่มั้ยครับ ?
    ตอบ : เจอแน่นอน หนทางที่จะโรยด้วยกลีบกุหลาบไม่มีหรอก เพิ่ม
    หนามกุหลาบให้เพียบเลย อยู่ที่ว่าสติปัญญาต้องไปพร้อมกันเสร็จ แล้วก็งัดกรรมฐานคู่ศึกมารบกับมันให้ทันแล้วกัน อาวุธของเราน่ะเพียบเลยหลวงพ่อให้ไว้เยอะแล้ว เพียงแต่คว้าขึ้นมารบให้มันถูกจังหวะแล้วกัน ตอนที่เขาตีด้วยมีดสั้นเราดันคว้าขวานมาสู้มันก็เสร็จเขาล่ะ ความคล่องตัวสู้เขาไม่ได้

    ถาม : เพียงแต่ในจิตเรามุ่งว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะไปนิพพานใช่มั้ย แล้วอะไรที่จะเข้ามาให้จิตเรารู้ทัน ?

    ตอบ : ไม่ใช่ คือว่าอันไหนก็ตามต้องพยายามใช้ปัญญาดูให้รู้ถึงเหตุของมัน เช่นสตางค์นี่ถ้าเราสักเห็นแค่ว่ามันเป็นเพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม กระดาษแผ่นหนึ่งมันก็คือสตางค์ ทำอันตรายเราไม่ได้ แต่เราไปคิดต่อว่า เงิน ไปซื้อของซะหน่อยก็ดี ซื้อข้าวกิน เอ้อ...ดี เดี๋ยวจะไปกินร้านนั้น อาหารมันอร่อยหน่อยเชลล์ชวนชิม นั่นกิเลสเริ่มเกิดแล้ว ไปซะหน่อย เราเคยชวนสาวไปกินร้านโน้นนี่หว่า เอ้า ! ยิ่งหนักเข้าไปอีกแล้วจากตัวราคะ โลภะ โทสะมันจะระดมมาเลยใช่มั้ย ? ไปซื้อยาบ้าซะหน่อยก็ดี ยิ่งหนักเข้าไปอีก เงินตัวเดียวแต่ถ้าคุณหยุดมันได้แค่นี้มันก็จบ ไม่อาจจะทำอันตรายอะไรได้

    นี่คือเราตัดมันตั้งแต่ต้นเหตุ แต่ถ้าหากว่าเราสืบสาวราวเรื่องด้วยการปรุงแต่งด้วย จิตสังขาร เหตุมันจะกว้างออก ๆ จนกระทั่งกลายเป็นไฟไหม้ป่า ไม่สามารถจะดับมันได้ แต่ถ้าต้นเหตุเรารู้ว่าสะเก็ดไฟนิดเดียว ถ้าเราปล่อยต่อมันจะลาม เราก็ดับมันซะมันก็หมดปัญหาไป

    เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุตถาคตตัดถึงเหตุ และความดับแห่งธรรมนั้น ที่พระอัสสชิท่านขึ้นว่า เยธัมมาเหตุปัพพวา เตสังเหตุง ตถาคโต เตสัญจะโยนิโรโธจะ เอวัง วาที มหาสมโณ ต้องดับตั้งแต่เหตุ ทุกอย่างอยู่ที่เหตุทั้งนั้น
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : อย่างสตางค์นี่เรารู้ว่าเป็นเงิน แต่เรารู้อยู่แล้วเราพิจารณารู้อยู่ว่ามันเป็นโทษมากไปแต่เราก็ต้องใช้ ?

    ตอบ : ไม่ใช่คิดอย่างนั้น ปัญญามันจะเกิดรู้ตลอดเลยว่า ถ้าเราคิดมันจะเป็นอย่างไร ? จะรัก จะโลภ จะโกรธ จะหลงอย่างไรเราก็เลยหยุดคิด ถ้าเราหยุดคิดความคิดได้ทันกิเลสจะโดนจำกัดเขต ไม่สามารถจะงอกงามได้ ก็เลยกลายเป็นว่ารู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน แต่ถ้าหากว่าเราไปคิดนี่เผลอเมื่อไหร่นี่มันพาเละเลย ต้องหยุดคิดให้ได้

    ถาม : แต่ถ้าเราจะใช้ประโยชน์จากมันก็แค่ประโยชน์อย่างเราไปซื้อข้าวกินแค่นั้นเอง ?

    ตอบ : ก็แค่ประโยชน์เฉพาะหน้าแค่นี้เอง จบแล้วจบกันไม่ต้องไปคิดอะไรต่อ จะเห็นเหตุเลยว่าถ้าเราคิดแล้วจะเป็นทุกข์อย่างไรก็หยุดเอาไว้เลย เหมือนกับแจกันดอกไม้นี่ เราเอาไปไหว้พระบูชาครูบาอาจารย์ มันก็ดีใช่มั้ย ? กุหลาบวันวาเลนไทน์เคยเอาไปให้สาวนี่ไปโน่นเลยใช่มั้ย ? พอมองไปอีกทีเราซื้อกุหลาบสวยกว่าไปตัดหน้าซะเสียดาย กลายเป็นโทสะไปอีกแล้ว จะออกของมันไปเรื่อย จะรู้ทันที

    ถาม : มีอยู่เรื่องหนึ่งครับ เมื่อเดือนที่แล้วผมไปที่ท่านปู่ท่านย่า ผมก็เอ๊ะ...ทำไมอารมณ์ใจของผมมันคิดแต่เรื่องตายอยู่เรื่อย ๆ ขึ้นไปก็ถาม....(ไม่ชัด)....(เล่าเกี่ยวกับว่าไปถามเรื่องนางฟ้าเทวดากับท่านปู่ ท่านย่าว่าทำไมท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าแล้วทำไมไม่ไปนิพพาน) ?

    ตอบ : กำลังใจยังเข้าไม่ถึง ไปได้ก็ดีซิ ลักษณะของเทวดาจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่ามีบางพวกที่ท่านจะจุติลงมาเพื่อจะสร้างบารมีต่อ แล้วมีหลายคนที่อยากได้ลูกแล้วทำพิธีขอ ตั้งเครื่องบวงสรวงแล้วขอกับท่านปู่พระอินทร์ เทวดาองค์ไหนที่ตั้งใจจะลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีก็ขอให้มาเกิดกับเรา คราวนี้พอได้มาแล้วก็รักษาให้ดีนะ (หัวเราะ)

    ถาม : ตอนตรุษจีนมีอยู่วันหนึ่งนั่ง ๆ อยู่ก็คิดว่าลองตามไปดูซิว่า สัตว์พวกนี้จะเป็นยังไงบ้างก็เลยลองดูไปหาท่านพระยายมราช ถามท่านว่าพวกนี้จะไปไหนกันครับ ? ท่านก็เลยชี้ให้ดูเป็นที่แห่งหนึ่ง เห็นหมูโดนเขาแทงคอตาย พอตายปุ๊บหมูนั่นตายแล้ว ไอ้หมูตัวผู้นั่นเป็นผู้ชายหายแว๊บไป พอเป็นตัวเมียก็เป็นผู้หญิงหายแว๊บไป

    เสร็จแล้วท่านก็บอกว่านั่นกรรม ๕๐๐ ชาติที่โผล่มาแล้วหายนั่น ๒๐๐ ชาติเต็ม ๆ แล้ว ท่านก็บอกว่าคนสั่งการก็ดี คนฆ่าก็ดีก็ไปที่โน่นก็หายแว๊บไปเลย สเร็จแล้วก็ไปหาท่านนายบัญชีไปขอดูบัญชีท่านก็เปิดให้ดู รายการของผมนี่ยาวเหยียดเลยเป็นแถว เข่าอ่อนเลย ท่านถามว่ากลัวมั้ย ? บอกกลัวครับ ท่านก็ชี้ให้ดูท่านก็บอกว่ามันมีบาปอยู่ตัวนะ บาปตัวนี้บัญชีเขาไม่บันทึกนะ ถ้าเธอคิดว่ามันเป็นบาปเธอก็ลงนรก ตามไปดู ผมก็เลยกลับมาไม่เอาแล้ว ?
    ตอบ : เรื่องตรุษจีนนี่มีอยู่ปีหนึ่งก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกสัตว์ต้องมีปัญญาขนาดพระมหาบุรุษถึงจะรู้แจ้งเห็นจริงมันได้

    ตอนนี้สิ่งนี้วางอยู่ตรงหน้าของเราแล้ว มีคุณค่าขนาดไหน ในเมื่อเรารู้แจ้งแล้วว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างนี้ ในเมื่อเรารู้แจ้งแล้วว่าการอยู่ในโลกเป็นทุกข์อย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อทุกข์อย่างนี้ การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนอย่างนี้เรายังอยากมีมันมั้ย ? ในเมื่อเราไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็นมันอีกแล้ว รับรู้มันแล้วก็วางไว้ตรงนั้น ให้เห็นว่าทุกอย่างที่เกิดกับเราเป็นธรรมดา เราทำเราจึงได้รับ ในเมื่อทุกอย่างเราทำมาเองทำไมเราจึงยอมรับผลงานของตัวเองไม่ได้

    โบราณท่านว่าปลูกถั่วได้ถั่ว ปลูกงาได้งา เราไปปลูกพริกปลูกตำแยมันก็แสบมั่งคันมั่งเราก็ทนเอา แต่ว่าการขึ้นชื่อว่าเกิดมาแสบคันอย่างนี้มันจะไม่มีกับเราอีกแล้ว เพราะเราขอเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

    ถ้าเทียบกับการที่เราต้องทนมีชีวิตอยู่ไปถึงวันตายซึ่งไม่เกิน ๑๐๐ ปีนี้ กับการเวียนตายเวียนเกิดที่นับกัปไม่ถ้วน มันเป็นเวลาแค่นิดเดียว เหมือนอย่างกับกับชั่วหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นก็ผ่านพ้นไปแล้ว ทำไมเราจะอยู่กับอย่างมีความสุขไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นก็ เออ....ธรรมดาของมัน เราทำไว้เราถึงได้รับ เออ ! ธรรมดาของมัน ๆ ต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ถ้าเกิดมาเราต้องพบต้องเจอมัน จิตใจก็จะปล่อยวาง ถ้าปล่อยวางคราวนี้ทุกข์มหาศาลที่เรารู้สึกว่าเราต้องแบกมัน ๆ ไม่มีอะไรต้องแบกเลย กองมันลงเมื่อไหร่ก็เบาเมื่อนั้น ก็สบายเมื่อนั้น คราวนี้ในเมื่อเราวางสิ่งที่หนักลงได้ แล้วเรื่องที่จะตะกายไปนิพพานก็ง่ายแล้วไม่มีอะไรถ่วงเรา

    จำเอาไว้ว่าทุกข์มีคุณมหาศาล มีค่ายิ่งกว่าเพชรยิ่งกว่าพลอยอีก โอกาสที่จะได้รู้ได้เห็นด้วยปัญญาน่ะมันยากแสนจะยาก บัดนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้าเราแล้ว กรี๊ดโดดใส่เลย ไม่ใช่ว่าไปกรี๊ดสลบ

    พอทำไปถึงจุดหนึ่งจะรู้สึกเลยว่า ตอนนี้เรามีชีวิตอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกแค่นั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่แค่ช่วงลมหายใจเดียว มันไม่มีอะไรที่สร้างความกระทบกระเทือนให้เราได้ ตายเมื่อไหร่เราก็ไปนิพพานของเรามันก็แค่นั้นเอง

    คราวนี้ก็สบาย ๆ ไปวัน ๆ มีความสุขมากจนคนเขาอิจฉา ป่วยจะตายนางพยาบาลด่าเอาเลย ไปโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สงสัยนางพยาบาลจะชื่อสุวรรณี โอ้โห...เจ้าพระคุณเถอะ ว๊าก ! เอาซึ่ง ๆ หน้าเลย จะตายอยู่แล้วยังจะมาหน้าเป็นอีก ก็คนเรามีความสุข เห็น ๆ อยู่แล้วว่ามันเป็นทุกข์อย่างนี้ ยังไง ๆ ข้าก็ไม่เอาเอ็งอีกแล้ว ข้าก็กำลังจะพ้นมันอยู่แล้ว คนที่ประเภทติดคุกมาตลอดอยู่ ๆ รู้ว่าจะพ้นคุกวันนี้ จะมีความสุขขนาดไหน นั่นแหละบังเอิญเจอสุวรรณีเข้า เขามีแต่สุวรรณ กับ สุวารใช่มั้ย ? คราวนี้ถ้าเป็นผู้หญิงก็เป็นสุวรรณี (หัวเราะ) โรงพยาบาลนี้คนขวัญอ่อนไม่ควรเข้า ชื่อโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จริง ๆ อยู่ สุพรรณโน้น ท่านเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)ไปสร้างไว้ เลยชื่อโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราชฟังแล้วสยองขวัญเลย สงสัยว่าคนป่วยเข้าไปอาการจะทรุดหนักหรือเปล่า

    ของเรา ๆ ก็ว่าเรามีความสุขของเราอยู่ได้ทุกวัน เห็นคนอื่นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดมันแบกอะไรของมันเยอะขนาดนั้นวะ นึกไปนึกมา อ๋อ...เราก็เคยแบกไว้เหมือนกัน (หัวเราะ)

    ถาม : ถ้าเราป่วยแล้วใกล้ตายมากเมื่อไหร่ เราก็จะรู้สึก...?
    ตอบ : อารมณ์นั้นน่ะจำเอาไว้แล้วเอามาใช้ให้ได้ทุกวัน มาถึงตอนนั้นก็ปล่อย ๆ วาง ๆ ไว้แม้กระทั่งนิพพานก็ไม่เกาะแล้ว เต็มอยู่ในใจของเราแล้วจะต้องไปเกาะทำไม เหมือนเราเดินขึ้นบันไดมาเราเกาะราวบันได พอมาถึงห้องแล้วเราจะไปเกาะราวบันไดให้เสียเวลาทำไม เพราะฉะนั้นที่มันยึดมันเกาะจริง ๆ น่ะตอนแรกแต่หลังจากนั้นก็ปล่อยหมดแล้ว นิพพานก็ไม่ต้องเกาะแล้วเต็มอยู่ในใจของเรานี่แหละ

    เขาจะรู้เลยว่าตายตอนนี้ก็ไปนิพพานตอนนี้แหละ มันจะไม่มีความสุขไปได้อย่างไร ไอ้ทุกข์ ๑๐๘ ที่เขาแบกไว้พอถึงเวลาอยู่ตรงหน้าเราไม่มีอะไรเลย มีแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น กระทั่งมารก็กลายเป็นครูที่ดี กระทั่งทุกข์ก็กลายเป็นทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่าที่หาได้ยาก ตะเกียกตะกายมาตั้งกี่ชาติกี่ภพกว่าจะได้พบได้เห็นมัน

    ก็ลองดูถ้าเกิดว่าเราไปขุดหาทองขุดจนลิ้นห้อยชาติแล้วชาติเล่าไม่เจอ อยู่ ๆ ไปเจอทองเข้าจะต้องไปนั่งกลุ้มมันหรอก มันก็ต้องดีใจใช่มั้ย ? พอถึงเวลาโลกมันจะพลิกกลับสิ่งที่ไม่ดี มันจะเห็นว่าดีหมด

    ถาม : พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ?
    ตอบ : คล้าย ๆ อย่างนั้นเลย สิ่งที่เคยเห็นว่าไม่ดีไม่งามเห็นเป็นของดีไปหมด จำเป็นจะต้องเห็นถึงมันไม่เห็นก็ต้องบังคับให้มันเห็น พยายามย้ำแล้วย้ำอีกว่ามันเป็นอย่างนี้ ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วอยากได้อีกมั้ย ?

    ถาม : บางทีเวลาเดินไปแล้วไปเห็นคนจนจะถามตัวเองตลอด ?
    ตอบ : ไม่ต้องจนหรอก ดูหน้าใครก็ได้ ยิ่งตามป้ายรถเมล์น่ะยิ่งดี ดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก ชะโงกแล้วชะโงกอีก มากี่คันก็ไม่ใช่คันที่เราจะไปซักที คิดดูเถอะใจมันกระวนกระวายขนาดไหน แบกทุกข์ไว้ทั้งนั้น เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันเจ้านายจะด่า เดี๋ยวเขาก็จะขีดเส้นแดงแล้ว โอ๊ย...ประสาทจะกิน แค่ป้ายรถเมล์ป้ายเดียวมันก็จะบรรลุอยู่แล้ว

    ถาม : มันจะถามตัวเองว่าถ้าเกิดมาแล้วเราไม่รู้ว่าทำอะไรไว้ แล้วเกิดเป็นอย่างนั้นจะเอามั้ย เป็นหมาหรือเป็นหมาขี้เรื้อนเราก็ไม่รู้ว่าเราทำบาปอะไรไว้บ้างถ้าเกิดมาอย่างนั้น ใจมันบอกไม่เอา ๆ ?

    ตอบ : อาจจะทุเรศกับมันด้วย (หัวเราะ) นั่นแหละดีที่สุดเลยย้ำมันบ่อย ๆ ตอกหัวตะปูให้มันจมให้มิดให้ได้
    ถาม : บางทีไม่ทันมันก็เซเหมือนกัน ?
    ตอบ : ก็ธรรมดาเคยแพ้มันมานานนี่ พวกกิเลสนี่แหม ! เหมือนมันรู้ทางจริง ๆ จะเจาะตรงที่เป็นจุดอ่อนของเรา
    ถาม : แล้วจะทำยังไงครับถ้ามันรู้จุดอ่อนของเรา ?

    ตอบ : ไม่ต้องทำ ตั้งสมาธิไว้ก่อนเป็นอันดับแรกสเร็จแล้ว เอากำลังสมาธิทั้งหมดของเราเกาะนิพพานไว้ตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่เราจะอยู่ตรงนี้แหละ มันจะมาอีท่าไหนไม่ใส่ใจทั้งนั้น ถ้าหากว่าจิตเป็นสมาธินิวรณ์ ๕ มันดับลงชั่วคราว ถ้านิวรณ์ ๕ ดับลงชั่วคราวจิตใจเราไม่สอดส่ายวุ่นวายกิเลสละเอียดเข้ามามันจะเห็นชัด

    เสร็จแล้วมันจะละเอียดแค่ไหนเรื่องของเอ็ง ราคะเกิดขึ้นเรื่องของราคะ ข้าอยู่บนนิพพานข้าไม่ไปปรุงไปแต่งกับเอ็งด้วย โทสะเกิดขึ้นเรื่องของเอ็ง ข้าอยู่บนนิพพานข้าไม่ไปปรุงไปแต่งกับมันด้วย โลภะเกิดขึ้นข้าอยู่บนนิพพาน ข้าไม่ไปปรุงแต่งกับมันด้วย

    ไม่มีตัวจิตไปคอยใส่พริก ใส่เกลือ ใส่น้ำ ปลาโลภะ โทสะ โมหะที่เป็นสมบัติของร่างกายก็อยู่ไม่ได้ มันจืดชืดไม่เป็นท่า อย่างเก่งก็ตั้งอยู่ได้แป๊บหนึ่งก็สลายไป เพราะฉะนั้นใครได้มโนมยิทธินี่ถือว่าเป็นกุศลมหาศาลเลย เพราะสามารถตัดกิเลสอัตโนมัติตรงจุดนี้ได้ เผ่นขึ้นไปเกาะพระบนนิพพานโน่น มีอะไรเกิดขึ้นเกาะพระท่าเดียวอย่างอื่นไม่สนทั้งนั้น

    ในเมื่อไม่มีจิตไปคอยปรุงแต่ง ตัวจิตสังขารนี่แหละน่ากลัวที่สุดเลย เมื่อกี้บอกแล้วว่าถ้าคคิเราจะคิดยังไง จะมีแต่สาเหตุของความทุกข์ทั้งนั้นเลย เพราะการคิดมันมีฟุ้งซ่านไป ๒ ทาง คือไม่ไปอดีตก็ไปอนาคต
    อดีตผ่านมาแล้วไปนิพพานได้ที่ไหนกัน ถ้าไปได้ไม่มานั่งแหง็กอยู่อย่างนี้หรอก อนาคตก็ยังมาไม่ถึงรถที่ไม่ออกเราไปขึ้นมันมีประโยชน์อะไร ต้องเอาปัจจุบันนี้เอารถเที่ยวปัจจุบันที่ออกอยู่นี่แหละ ต้องรีบไปกับมัน ขืนช้าตกรถไปนิพพานไม่ทัน

    ในเมื่อเราไม่ใส่ใจกับมันไม่สนใจกับมันเราเกาะนิพพานอย่างเดียวจิตก็บริสุทธิ์ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะกิเลสมายุ่งด้วยไม่ได้เดี๋ยวมันก็หมดไม่รู้ตัว ที่ว่าหมดนั่นก็คือ กิเลสมันหมดไม่รู้ตัวโดนกดอยู่นาน ๆ เฉาตายไปเอง ตอนนั้นเราก็อยู่ยาวไปเลยไม่ต้องลงแล้ว (หัวเราะ) คนอื่นมาก็ว่าหัวใจล้มเหลว (หัวเราะ) ตายไปซะแล้ว เป็นพระนี่เสียท่านะ ถึงทำได้อย่างนั้นก็ต้องทนอยู่ต่อไป ของโยมถ้าทำได้ก็ไปเลย

    ตัวอย่างคุณจัทนา วีระผล พอทำไป ๆ ถึงตรงจุดหนึ่งจิตมันก็ยั้งเอาไว้ ตอนนั้นปัญญามากความเป็นทิพย์มีเยอะ ต้องรู้ว่าถ้าเรายั้งจิตไว้ตรงจุดนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก ๑๒ ปี แล้วถ้าหากว่าเราพิจารณาต่อเข้าถึงที่สุดนี่เราจะตายเลย เสร็จแล้วท่านก็พิจารณาดูว่ามีอะไรต้องห่วงมั้ย ? คนที่รักของที่รัก ทรัพย์สมบัติอะไรทุกอย่าง ไม่มี ในเมื่อไม่มีจะอยู่ต่อไปทำไม ร่างกายก็ป่วยตะแง็ก ๆ อยู่ ไปเลยดีกว่า ก็ไปเลยง่ายดีนอนไปเฉย ๆ

    นี่ ๆ บรรดาท่านที่ปัญญาเยอรู้แจ้งเห็นทุกข์ชัดเจน พวกที่ปัญญาน้อย ๆ เห็นท่านย่าบอกว่าจะแกล้งให้มันปวดท้องให้มันขาดใจตายไปเลยจะได้เห็นทุกข์ เหมือนวัวดื้อออกนอกเส้นทางต้องเจอไม้เรียว วัวตัวไหนอยู่ในเส้นทางอยู่แล้วไม่โดนตีหรอก เดินตรงไปเดี๋ยวมันก็ไปคอกเอง
    เพราะฉะนั้นคนไหนวัวดื้อไม่ยอมพิจารณาทุกข์นี่เดี๋ยวโดนไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเขาเอาเราจนได้ แต่ถ้าเราพิจารณาอยู่บ่อย ๆ เห็นเป็นปกติ เขาไม่ต้องบังคับเราแล้วนี่ มันก็เหมือนกับวัวไม่ออกนอกทางก็ไม่ต้องเจอไม้เรียว ก็เลือกเอาก็แล้วกันว่าจะให้เขาตีเราดีหรือว่าเราจะเลือกเดินไปเองดี เขาตีเรานี่บางทีเขาตีหนักรับไม่ได้ บางทีลูกศิษย์หลวงพ่อหลายคนกลายเป็นมิจฉาทิฐิไปเลย เป็นมิจฉาทิฐิตรงที่ว่าพอเข้ามาปฏิบัติดีเท่านั้นเองล่ะ สารพัดเรื่องเลวร้ายมันก็ถล่มเข้ามาเลย รู้อย่างนี้ไม่ทำดีกว่า ก็บรรลัยเลยซิ

    นั่นแหละ ถ้าเผลอเมื่อไหร่สติมันไม่ทัน กิเลสมันชักได้ก็กลายเป็นว่าห่างความดีไปเลย ทั้ง ๆ ที่เดินใกล้ประตูนิดเดียวจวนจะผ่านประตูไปได้แล้ว ตอนนี้อะไรเกิดขึ้นมันก็ต้องทั้งอดทั้งทน ขันติบารมีใช้ให้เยอะ ๆ ไว้ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตามเราจะไม่เปลี่ยนเป้าหมายที่เรามุ่งมั่นตั้งใจไว้ แต่แรกเป็นยังไงปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น

    ถาม : ถ้าเราเกาะร่างกายอยู่แล้วเราคิดถึงตัวนี้มันมีเลยนะคะ ?
    ตอบ : ก็ให้มันแค่นี้ ล็อคมันอยู่แค่นี้ มันได้แค่ชาตินี้ให้มันเถอะ ดอกเบี้ยด้วย ไม่ใช่เงินต้นจ่ายมันซะดี ๆ บอกแล้วว่า ธรรมดาของการเกิดมามันเป็นอย่างนี้ ในเมื่อธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ เราเองมีชีวิตแค่ชั่วลมหายใจเดียวจะต้องไปสนใจไปกังวลอะไรกับ จบแล้วจบกัน มัวแต่ไปพะวงอยู่เดี๋ยวก็เสร็จกัน ถ้ามัวแต่ไปพะวงอยู่เดี๋ยวก็เสร็จมัน
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : (ถามเรื่องเกี่ยวกับการสร้างรูปเหมือนพระองค์ที่ ๑๑)

    ตอบ : คือว่าพระองค์ที่ ๑๑ ท่านเคยมาสงเคราะห์หลายครั้ง ที่ว่าหลายครั้งก็คือประมาณ ๓ ครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ท่านมาในลักษณะของพระองค์ที่ ๑๑ ก็ได้เห็นท่าน แล้วหลังจากนั้นเวลาลำบากมาก ๆ อย่างเช่น ตอนที่อยู่ที่พม่าท่านก็เคยมาสงเคราะห์

    คราวนี้ท่านมาทีไรท่านไม่เคยมาในลักษณะพระวิสุทธิเทพ ท่านมาในลักษณะนี้ เวลามาลักษณะหน้าตาของท่านเหมือนรูปหลวงปู่ปานตอนหนุ่ม ๆ ผ่องใสเนื้อเหลืองเป็นทองเลย

    เพราะฉะนั้นเวลาสร้างลักษณะรูปขึ้นมาเพื่อเคารพบูชาก็จะสร้างในลักษณะนี้คือจากความเคยชินที่เคยเห็นว่าท่านมาสงเคราะห์เราในท่านี้ แล้วเรื่องของพระองค์ที่ ๑๐ ก็คือว่าเขามีการนิมนต์พระ ๙ องค์แล้ว องค์ที่ ๑๐ ท่านมาหลวงพ่อก็เลยเรียกท่านว่าองค์ที่ ๑๐ ทีนี้พอองค์นี้ท่านจะมาบ้างในเมื่อมีองค์ที่ ๑๐ แล้วข้าเอา ๑๑ แล้วกัน มันก็เลยกลายเป็นประวัติพระองค์ที่ ๑๑ ด้วยประการฉะนี้แล

    ถาม : เวลาเรามีอะไร มีความทุกข์อะไรก็นั่งมองท่าน ก็รู้สึก เออ...สบายใจดีเหมือนท่านยิ้ม แล้วพระขรรค์ในตู้ล่ะครับ ?

    ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก ไปที่บ่อเหล็กน้ำพี้มาเขาทำไว้จำหน่ายก็เลยซื้อมา ของที่อยู่ในตู้เป็นของอะไรบางอย่างที่หายากในสายตาคนอื่น แล้วก็มีค่าในสายตาของเขา ของเรามันบังเอิญได้มาเลยมาใส่เอาไว้ให้เขาดู ของบางอย่างบางคนหาทั้งชีวิตก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน ไปนั่งเล็งเอาก็แล้วกันว่ามีอะไรบ้าง

    ถาม : บางสิ่งที่เราเห็นแปลก ๆ ดูจริง ๆ แล้วมันก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก ?
    ตอบ : มันก็ไม่มีอะไรแปลก คือเราเองยังไม่เคยเห็นมันก็เลยเห็นเป็นของแปลก ถ้าเคยเห็นบ่อย ๆ ก็เซ็งไปเอง ของทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของมันที่จะเกิดขึ้น อย่างหลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้นเอง ธรรมะของมันเป็นอย่างนั้นเอง เพียงแต่เราไม่เคยเจอแล้วบางอย่างมันก็มีพลังงานอยู่ในตัวของมัน ๆ อาจจะเป็นของคู่บุญของเขาอย่างเช่น เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือกลวง พวกเพชรตาแมว อะไรพวกนี้ ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็คือพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีก็สิ่งที่เป็นของคู่บุญของเขามา

    ในเมื่อของเราเองนาน ๆ เจอทีมันมีความขลังอยู่ตามความเชื่อของเขาก็เลยพลอยแตกตื่นกันไปใหญ่โตเลย

    ถาม : อย่างของคู่บุญของพระโพธิสัตว์ที่ว่ากำเนิดมาพร้อมกับตัวท่านนี่ แล้วคนอื่นไปฆ่าท่านแล้วเอามาเป็นของขลังนี่มันจะมีผลหรือครับ ?
    ตอบ : พูดง่าย ๆ ถ้าหากว่าไปฆ่าเอามาไม่น่าจะมี แต่ว่าของพวกนี้ถึงวาระถึงอายุขัยของเขามันก็จะทิ้งอยู่ ในเมื่อมันทิ้งอยู่คนรุ่นหลังที่เอาไปด้วยความศรัทธาเลื่อมใสใช่มั้ย ? สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคยทำมาในลักษณะ พุทโธอัปมาโน คุณที่ไม่สามารถจะประมาณได้ก็แผ่ปกลงมาถึงเราด้วย ของเราเองถ้าหากว่าเราไปยึดถือเลื่อมใสในสิ่งนั้น ๆ มันก็มีผลเหมือนกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดมันจะอยู่ที่ใจของเรา จะเป็นมโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ คือใจของเราไปยึดมันก็มีผลนะ

    แบบเดียวกับที่เขาว่า ไปออกรบอมพระเอาไว้แล้วพระหลุดออกจากปากไปคว้าลูกเขียดมาใส่ปากแทน พอลูกเขียดมันดิ้นก็ได้ใจหลวงพ่อไม่ต้องช่วยผมเองก็ได้ พอรบชนะเสร็จคายออกมาลูกเขียดตายแหงแก๋ไปแล้วอมนานไปหน่อย นั่นแหละก็คือตัว มโนมยาคือ สำเร็จด้วยใจ เขียดตัวนั้นมันซวยจริง ๆ กำลังใจของตัวเองเกินครึ่งแล้วนี่

    ถึงได้ว่าวัตถุมงคลทุกอย่างที่ทำมาถ้าถูกต้องตามพิธีกรรมก็เหมือนกับเครื่องส่ง เครื่องส่ง ๆ พลังงานเต็มที่แล้ว มันก็สำคัญตรงเครื่องรับคือ ตัวเรานี่แหละว่าเราเปิดใจรับแค่ไหน ถ้าหากเปิดใจรับได้มากเท่าไหร่ผลก็ได้รับมากเท่านั้น

    หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ท่านบอกว่า ถ้ากำลังใจของเราเข้มแข็งถึงที่สุด ปืนยิงไม่ออก กำลังใจลดลงมาหน่อยยิงออกไม่ถูก กำลังใจลดลงไปอีกนิดนึงยิงถูกไม่เข้า ประเภทถูกไม่เข้านี่เรานึกว่าดีนี่เริ่มห่วยแล้วนะ ถ้ากำลังใจแย่ไปอีกหน่อยยิงเข้าไม่ตาย ถ้ากำลังใจห่วยแตกจริง ๆ ถึงตายก็ไปสวรรค์ เพราะใจมันคิดถึงพระอยู่ นั่นแหละอย่างน้อย ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็มีคุณ แต่คนมันไม่คิดกัน บางทีมันก็ว่า ๆ ทำให้ไปยึดติดบ้างอะไรบ้าง

    หลวงปู่ดู่ วัดสะแกท่านบอกว่า ยึดติดในวัตถุมงคลดีกว่าไปยึดติดในวัตถุอัปมงคลนะลูก เจอพระอรหันต์ท่านว่า เจ็บปวดมากเลยแบบเดียวกับที่เขาเอาเขี้ยวหมู เอานอแรด เอางาช้างไปต่างคนต่างอวดว่าของใครดีกว่า แล้วไปอวดใครไม่อวดไปอวดต่อหน้าหลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพารามนั่น หลวงปู่ดุลย์นี่ปรมาจารย์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่นองค์หนึ่งนะ แล้วไปให้ท่านตัดสินหลวงปู่ของใครดีกว่ากัน ท่านพูดว่าไงรู้มั้ย ท่านบอกมันของสัตว์เดรัจฉานทั้งนั้น (หัวเราะ) ได้ยินเข้านี่หมดราคาเลย จริงของท่านนะ มันจะเประเภทมีอำนาจมีอะไรขนาดไหนก็เป็นของสัตว์เดรัจฉาน ตัวเราเป็นมนุษย์เป็นพวกที่ประเสริฐแล้วแทนที่จะสร้างกำลังใจของตัวเองให้ประเสริฐสมกับที่เป็นมนุษย์ เปล่าหรอกดันไปยึดของสัตว์เดรัจฉานซะ

    อันนี้ก็เหมือนกันเวลาคนเขาไปฮือฮากันก็ไปเตือนเขา บอกว่าจริง ๆ แล้วเพชรตาแมว ๆ มันยังตายเลยแล้วมันจะช่วยเราได้สักเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่เขาจะไม่คิดถึงตรงจุดนี้ไง เขาจะคิดว่ามันให้ผลอย่างไรบ้าง

    ถาม : แล้วที่เป็นหินโดยธรรมชาติล่ะคะ ?
    ตอบ : ก็พวกนี้แหละคือว่า โลกเรามีพลังงานหลายอย่างด้วยกัน พลังงานอย่างหนึ่งถ้าเขาถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ถ้าลงจับกับวัตถุธาตุธรรมชาติจะทำให้วัตถุชิ้นนั้นเปลี่ยนสภาพไป โบราณเขาเรียกว่ากลายเป็นแก้วบ้าง กลายเป็นคด กลายเป็นทองแดง กลายเป็นอะไรอย่างนี้ จริง ๆ ก็คือมันจะแข็งตัวจนกระทั่งอยู่ในลักษณะที่ว่าคงทนอยู่ได้ระยะยาวนานไปชั่วระยะหนึ่ง ไม่เสื่อมสลายไปตามสภาพที่ควรเป็นของมัน

    ทางไสยศาสตร์เขาต้องการของพวกนี้เพราะว่าของพวกนี้จะมีพลังงานในตัวอยู่แล้ว เขาก็แค่มากำกับด้วยคาถาเพื่อเพิ่มพลังงานในการใช้งานของเขาให้มากขึ้น ถึงเวลาก็กลายเป็นของขลังไป ของพวกนี้ส่วนใหญ่เขานิยมในทางอยู่ยงคงกระพันนั่นแหละไปดู ๆ เอาก็แล้วกันเถอะจะเป็นแก้วเป็นหินเป็นทองแดงเป็นอะไรก็เหอะ จริง ๆ มันก็คือวัตถุธรรมชาตินั่นแหละ

    ถาม : อย่างกัลปังหานี่มันก็คือต้นไม้แล้วจนกระทั่งกลายเป็นหินก็คือแบบนี้ใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : จ้า ของทุกอย่างน่ะมันมีพลังงานในตัวของมันอยู่แล้ว ๆ ขณะเดียวกันในสภาพของกายภาพของมันก็สามารถดึงดูดพลังงานอื่นเข้ามาได้ด้วย เพราะฉะนั้นหยิบหินทุกก้อนมันก็มีพลังของมันอยู่แล้ว

    อย่าลืมว่าไอสไตน์บอกไว้ชัดเลยว่า สสารทุกอย่างแกนกลางของมันมีพลังงานทั้งสิ้น ถ้าเราสามารถทำให้แกนกลางของมันแตกตัวออกมาได้ เราก็จะให้พลังงานระดับหนึ่งแต่เพียงแต่ว่า อย่างก้อนหินทั่ว ๆ ไปมันแตกตัวมามันก็ให้พลังงานน้อยมาก แต่ถ้าเป็นยูเรเนี่ยมแตกออกมาเมื่อไหร่ล่ะก็ให้พลังงานที่ประมาณมิได้ เพราะมันเป็นปฏิกิริยาลุกโซ่ไปอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายอย่างนี้นักวิทยาศาสตร์เขาตามทันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันตามทันแบบหยาบ ๆ มันเข้าถึงได้ระดับหนึ่งเท่านั้นเอง
    ถาม : มีหินอยู่อย่างหนึ่งครับ เขาบอกว่าเป็นเพชรพญานาคอยู่ในก้อนหินเป็นของพญานาคเหรอครับ ?

    ตอบ : อันนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าถ้าหากว่าเราเชื่อถือยึดถือตามนั้น นี่ไงต้นตำรับอยู่ในหนังสือนี้ทั้งเล่มเลย อาจารย์ศักดาไง อาจารย์ศักดาจริง ๆ ท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งใจจะสงเคราะห์คน ก็จะมีเทวดาเขามาบอกว่ามันจะมีวัตถุชนิดนี้อยู่เอาไปลักษณะเพื่อการสงเคราะห์คนหมู่มาก ไปสร้างความดีเพื่อส่วนรวมอย่างที่ท่านสร้างโรงเจ ช่วยเขาสร้างวัดสร้างโบสถ์ ที่ไหนเอาจำหน่ายแล้วเอางินไปทำในลักษณะนี้ วัตถุเหล่านี้มันจะมีพลังงานของมันอยู่ คือเขาทุบออกมาต่อหน้าต่อตามันเป็นตามนั้นจริง ๆ เพราะสิ่งที่อยู่ข้างในมันไม่ใช่แกนหิน กลายเป็นลักษณะของอัญมณีที่ได้รับการเจียรนัยแล้ว ตามที่เขาเล่าต่อ ๆ กันมาเขาว่าพญานาคเขาต้องการจะร่วมบุญด้วยเขาเลยเอามาให้

    ถาม : เขาเอาไปใช้ในด้านไหน ?
    ตอบ : อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าด้านไหน ต้องถามต้นตำรับเขาดู เขาบอกว่าสีไหนมีอำนาจทางด้านไหน ก็ไม่รู้เขาแยกสีแยกสันกัน ลองไปถามอาจารย์ศักดาดู อยู่หมู่บ้านอะไรก็ไม่รู้ทางปิ่นเกล้านี่ สายปิ่นเกล้าพุทธมณฑล
    ถาม : เมื่อก่อนอยู่เชียงใหม่ใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : จ้า เดี๋ยวนี้เขาก็อยู่เชียงใหม่ แล้วที่นี่แล้วก็อีกแห่งแถวนครสวรรค์มั้ง ? สาขาอะไรต่าง ๆ เยอะแยะก็กลายเป็นว่ายุบไปมากแล้ว เพราะทำให้เงินทองมันกระจายไปมากไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้เฉพาะจุด
    ถาม : เดี๋ยวนี้มีของปลอมก็มี ?

    ตอบ : คือของปลอมมันมีขึ้นมาทัน ๆ กันเลย อะไรก็ตามที่มันมีของจริง นี่ท่าพระจันทร์หาของปลอมได้ในระยะที่ไล่เลี่ยกันได้เร็วมากเลย วิทยาการเดี๋ยวนี้ก้าวหน้ามากเลยกระทั่งประเภท เพชรเทียม พลอยเทียมที่ทำได้ดีกว่าของแท้เยอะแยะไปหมด ทำได้ในลักษณะที่ความแข็งแกร่งเท่ากัน แต่ว่ามวลสารดีกว่าเพราะสามารถควบคุมแรงกดดันและอุณหภูมิได้ไม่เหมือนกับที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แรงกดดันมันไม่สม่ำเสมออุณหภูมิมันไม่สม่ำเสมอ

    เพราะฉะนั้นวิทยาศาสตร์เดี๋ยวนี้น่ากลัวมากที่เขาเอาเพชรไปหลอกทั้งร้านเพชรได้ สายตาม่ถึงก็เจ๊ง เขาบอกว่าเพชรของแท้จะมีรอยแตกมีรอยร้าวมีฟองอากาศอยู่ในเนื้อมันต้องตาถึง จึงจะดูออกแต่ที่สร้างด้วยกรรมวิธีอย่างนี้เนื้อจะเรียบแน่นไปเลยจะสวยกว่าปกติ
    ถาม : แต่ความแข็งเหมือนกันใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : เหมือนกัน ดีไม่ดีจะแข็งกว่าซะด้วยซ้ำไป
    ถาม : อย่างนั้นก็ใส่ของแบบนี้ไม่ดีกว่าหรือคะ ?

    ตอบ : ดีกว่า ดีไม่ดีก็คอขาดไปเลย เพราะเขาคิดว่าของแท้ (หัวเราะ) เขาทำดีกว่าของจริงอีก เดี๋ยวนี้ของจริงมันกลายเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ บุญคนมันดีขึ้นมัง ในเมื่อบุญคนมันดีขึ้นวิทยาการก้าวหน้าขึ้น ฤทธิ์ต่าง ๆ มันก็มากขึ้น
    ปัจจุบันนี้วิชชามัยฤทธิ์ครองโลกแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่า ฤทธิ์ ๑๐ อย่างมันมีวิชชามัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการสร้างเสริมขึ้นมา ประเภทเหล็กแท้ ๆ หนักตั้งหลาย ๆ ตันเอาขึ้นไปลอยอยู่กลางฟ้านั่นแหละวิชชามัยฤทธิ์แหละ อยู่กันคนละทิศคนละทางคนละมุมโลกแท้ ๆ ยังพูดคุยกันได้แทนที่จะใช้อภิญญาก็ใช้วิชชามัยฤทธิ์มือถือ

    ถาม : .........................................
    ตอบ : ได้จ้ะ ไม่เป็นไร คนที่เดินทางโดยปราศจากแผนที่ แสดงว่ามีความกล้าหาญมากกว่าปกติ (หัวเราะ) อย่างน้อย ต้องมีแผนที่เอาไว้ ถึงเวลาจะได้รู้ว่าแต่ละอย่างที่เราทำไปเวลาเราพบเราเห็นแล้วเป็นยังไง จะได้ตั้งใจรับมือได้ถูก

    หลวงพ่อท่านบอกว่าก่อนท่านจะบวช หลวงปู่ปานโยนวิสุทธิมรรคให้คนละเล่ม เอาไปอ่านแล้วจำให้ได้ครบทั้งสี่สิบกอง ว่าแต่ละกองของกรรมฐานมีอะไรเป็นนิมิต ? มีสัญลักษณ์อย่างไร ? แต่ละขั้นตอนมีอาการอย่างไร ? ต้องจำให้ได้หมด จำได้เมื่อไหร่แล้วมาบอก หลังจากนั้นท่านก็เริ่มให้ไปทีละกอง เพราะว่าตอนทำตัวของเราไม่ได้เกิดมาชาติเดียว เกิดมาหลายต่อหลายชาติ ยิ่งถ้าหากว่าต้องการจะปฏิบัตินี่มันยิ่งระดับปรมัตถบารมีแล้วใช่มั้ย ?

    สามัญบารมีให้ทานได้รักษาศีลเจริญภาวนาไม่ได้ อุปบารมีให้ทานได้รักษาศีลได้บอกภาวนาก็ไม่ได้ พวกภาวนานี่ต้องปรมัตถบารมี คราวนี้กว่าจะถึงปรมัตถบารมี เกิดตายมานับชาติไม่ถ้วน ของที่ได้มีมันเยอะอยู่ เพราะฉะนั้นที่ท่านต้องบังคับให้จำได้ทั้งหมด เพราะว่าเวลาทำไป ๆ ของเก่ามันคืนมา

    ถ้าหากว่าฟังในปฏิปทาท่านผู้เฒ่าจะเห็นว่าหลวงปู่ปานบอกว่าถ้าหากว่านิมิตมันเกิดขึ้นให้ละเสีย เอาแต่กองกรรมฐานอย่างเดียว ถ้าไม่ใช่นิมิตในกองกรรมฐานไม่เอา ปรากฏว่ามีกะโหลกศีรษะลอยมา อยู่ ๆ มีกระดูกลอยมาทีละท่อน ๆ ผ่านไป ๆ พอครบแล้วก็เริ่มต้นลอยมาใหม่ หลวงพ่อท่านก็ทิ้งมันซะตามครูบาอาจารย์บอกไม่ยอมสนใจ พอไม่สนใจมันยิ่งเข้ามาใหญ่

    พอตอนเช้ากำลังจะฉันเช้าหลวงปู่ปานก็ถาม เป็นไงคุณ....เมื่อคืนผีหลอกหรือ ? ท่านบอกว่าไม่ใช่ครับกระดูกมันหลอน ท่านบอก แล้วคุณทำยังไงล่ะ ? ผมก็ช่างมันตามแบบหลวงพ่อสอน ท่านบอกไอ้นั่นมันช่างเผือกซะแล้ว (หัวเราะ) มันไม่ได้ช่างมัน ไอ้ที่ช่างเผือกเพราะว่านั่นเป็นกรรมฐานเก่า เขาเรียกอัฏฐิกัง ปะฏิกุลัง เป็นอสุภกรรมฐานกองหนึ่ง ท่านบอกต่อไปถ้าเห็นอย่างนั้น กะโหลกศีรษะลอยมาให้กำหนดใจให้ตกอยู่ตรงหน้า กระดูกคอลอยมาก็ให้ตกอยู่ตรงหน้าต่อ ๆ ๆ กันให้เป็นตัวทั้งตัว แล้วก็พิจารณาต่อไปเลย หลวงพ่อท่านบอก แหม...เจ็บใจ ท่านบอกให้เราละเราก็ละ แต่ที่ไหนได้ไปเจอนิมิตที่ต้องยึด มันรู้จักยึดซะแล้วสิ

    คราวนี้ท่านก็เลยเล่นอสุภกรรมฐานกองนั้น จนกระทั่งช่ำใจ พออารมณ์ทรงใจเต็มที่ท่านบอกจิตมันมัวไปนิดหนึ่ง ลักษณะของมันเหมือนกับเคลื่อนวื๊บ แล้วปรากฏแสงไฟขึ้นมาแทน ตอนนี้รู้แล้ว แสดงว่ากรรมฐานกองเดิมมันเต็มที่ของมันแล้วก็คลายตัวลง กรามฐานเก่าที่เคยทำได้กองใหม่โผล่มาเป็นเตโชกสิณ ท่านก็จับ เตโชกสิณังต่อไปเลย ท่านบอกว่ายอมโง่ครั้งเดียว ท่านบอกให้ละก็ละ คราวนี้รู้อยู่ว่าแต่ละอาการของกรรมฐานเป็นอย่างไร ? นิมิตเป็นอย่างไร ? ท่องตำรามาจนช่ำใจแล้วก็จำได้ จำได้ก็ต่อได้ทีเดียวเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปถามครูอาจารย์

    เพราะฉะนั้นยึดตำราไว้บ้างเพื่อเป็นหลักเท่านั้น แต่ไม่ใช่กอดตำราตายไปเลย เพราะว่าสิ่งที่ตำราเขียนไว้เป็นแค่ส่วนหยาบ ๆ สิ่งที่เราพบเองเห็นเองเป็นส่วนละเอียด มันละเอียดจนถึงระดับที่พระพุทธเจ้าท่านบอกปัจจัตตัง ผู้ที่พบรู้เห็นด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจว่าเป็นยังไง

    อย่างเช่นท่านบอกว่าพออารมณ์ใจเข้าถึงตัวสุข มันสุขเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก มันบอกไม่ถูกจริง ๆ อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ คนเรามันโดนไฟราคะ โลภะ โทสะ โมหะ สี่กองเผาอยู่ตลอดเวลา พอกำลังใจก้าวเข้าสู่ความเป็นฌานปุ๊บ ไฟสี่กองโดนอำนาจของฌานดับไฟชั่วคราว คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดอยู่ ๆ ไฟดับไฟมันเย็นขนาดไหนล่ะ ? สบายขนาดไหนอธิบายเป็นคำพูดได้มั้ยล่ะ ? ไม่ได้หรอก

    เพราะฉะนั้นในเมื่อมันเป็นลักษณะอย่างนี้ ก็เลยไม่ใช่ว่าไปกอดตำราตายตัว ถ้ากอดตำราตายตัวนี่เราเองจะไม่เข้าใจอะไรมากไปกว่าตำราที่เขียน มันเป็นส่วนหยาบเพราะส่วนละเอียดที่พบจริง ๆ มันละเอียดเกินกว่าคำพูดและตัวหนังสือจะอธิบายได้

    ขณะเดียวกันถ้าเปรียบกับแผนที่เขาขีดไปทางด้านนี้ เราเองอาจจะเห็นเส้นตรงขีดจากกรุงเทพฯ ตรงไปปทุมธานี ขึ้นไปอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ไปวัดท่าซุง วิ่งเข้าจริง ๆ ดูสิ มันขีดอย่างนั้นซะเมื่อไหร่ เดี๋ยวโน่นก็ตึก เดี๋ยวนี่ก็ห้างสรรพสินค้า เดี๋ยวโน่นสะพานลอย มันเยอะแยะไปหมดตามแต่สภาพให้เราประสบในลักษณะของการปฏิบัติจริง

    เพราะฉะนั้นมันเป็นแค่แนวทางคร่าว ๆ เท่านั้นที่จะให้เรารู้ได้ว่าจะเจออะไรบ้าง เราเองพอถึงเวลาต้องจัดการด้วยตัวเอง ตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยเฉพาะอารมณ์ใจตัดสินใจด้วยตัวเองอันนั้นสำคัญที่สุด ถ้าทำได้ทำถูกวิธี ต่อไปทุกอันมันก็เหมือนกัน ถ้ายังติดสินใจไม่ได้ ยังตัดสินใจไม่ถูกทำไปก้าวหน้ายาก บางทีไม่ได้อะไรเลย

    ถาม : .......................................
    ตอบ : การเกิดมามีวัตถุประสงค์...ตายล่ะหว่าที่ตั้งวัตถุประสงค์มา พวกน้อยคนที่จากข้างบนลงมาเพื่อสร้างบารมี เขาจะตั้งใจลงมาเลย การเกิดของเขานี่อย่างน้อยเขาจะต้องไม่เลวไปกว่าเดิม มีแต่ว่าจะต้องดีกว่าเดิมเขาจึงยอมลงมา พวกชิงมาเกิดเขาเลือกได้ ส่วนพวกทั่ว ๆ ไปที่เป็นไปตามกรรมนั่นมันแล้วแต่บุญบาปจะส่งไป

    แต่ว่าการเวียนเกิดของเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็จะใกล้ความดีเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสร้างความดีบริสุทธิ์จนถึงที่สุดก็หลุดพ้นจากการเวียนตายเวียนเกิดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เทวดา มาร พรหม

    ในที่สุดก็เข้านิพพานหมด เพียงแต่ว่าใครจะเข้าสู่กระแสพระนิพพานก่อนใครที่จะเวียนตายเวียนเกิดเนิ่นนานกว่ากันแค่นั้นเอง แล้วแต่สภาพจิตของเขาว่าเป็นมิจฉาทิฐิหรือว่าเป็นสัมมาทิฐิ ถ้าเป็นมิจฉาทิฐิกว่าจะย้อนเข้าสัมมาทิฐิกว่าจะปฏิบัติสร้างบารมีเพื่อเข้าสู่นิพพานก็เนิ่นนานจนนับไม่ได้

    เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงวัตถุประสงค์เลยพวกที่ตั้งใจเกิดถึงจะมีวัตถุประสงค์ ส่วนที่เหลือนั้นมันเป็นไปตามแรงกรรมบ้างก็เกิดมาเพื่อชดใช้ บ้างก็เกิดมาเพื่อสร้างบารมีเพิ่มเติม

    ถาม : พอจะรู้ได้อย่างไรครับ ?
    ตอบ : รู้ได้อย่างไร ? ถ้าหากว่าผู้ที่สามารถให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาได้เป็นปกติถือว่าอยู่ในระดับปรมัตถบารมี ถ้าหากว่ามีความปรารถนานิพพานเป็นปกติก็ถือว่ามีปรมัตถบารมีขั้นละเอียดสูงสุดแล้วได้ ถ้ากำลังใจเกาะนิพพานเป็นปกติ อันนี้ถือว่าเต็มได้ คือว่าถ้าปฏิบัติ มีสิทธิที่บรรลุมรรคผล ที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนว่าบัวที่โผล่พ้นน้ำแล้วเพียงกระทบแสงตะวันเท่านั้นก็จะเบ่งบานไม่ใช่บัวที่อยู่กลางน้ำ ไม่ใช่บัวที่อยู่ในโคลน

    ถาม : ............................
    ตอบ : อันนั้นก็ลำบากเพราะว่าหลวงพ่อท่านเคยเทศน์อยู่บทหนึ่ง เคยอ่านมั้ย ที่ท่านบอกว่า บุคคลที่เคยสร้างบารมีมาดีแล้วเท่านั้น ถึงจะได้พบครูบาอาจารย์ที่ดี

    แล้วท่านก็ยกตัวอย่างหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานท่านมีหลวงปู่สุ่นเป็นครูบาอาจารย์ พระอุปปัชฌาย์ก็เป็นพระอรหันต์ พระคู่สวดก็เป็นพระอรหันต์ เสร็จแล้วท่านก็ไม่ได้พูดถึงตัวท่านสักคำ เราก็ไล่ลงมา ว่าไปแล้วหลวงพ่อร่วมอุปปัชฌาย์เดียวกับหลวงปู่เหมือนกัน เพราะว่าพระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพนเป็นอุปปัชฌาย์ ไม่ทราบว่าหลวงปู่ปานนี่น่าจะหลวงปู่สุ่นอุปัชฌาย์มั้ง
    ถ้าอย่างนั้นพระครูรัตนาภิรมย์ก็ถือว่าเป็นครูบาอาจารย์รุ่นเดียวกับหลวงปู่ปาน แล้วก็จะมีหลวงพ่อเล็ก ซึ่งตอนนั้นก็เป็นพระอนาคามี ตอนหลังก็ต้องเป็นพระอรหันต์แหง ๆ เป็นคู่สวดให้ แล้วก็เปรียบเทียบมาเสร็จเรียบร้อย ท่านก็บอกว่าบุคคลที่สร้างบารมีมาดีแล้วเท่านั้นถึงจะได้ครูบาอาจารย์ที่ดี ก็ประเภทที่เรียกว่ายังไง...ถือว่าเป็นสัจธรรมเถียงไม่ได้ ของเขาเองของเขาเกิดมาโดยเฉพาะพวกอุปบารมีขั้นกลางทุกสิ่งทุกอย่างมันจะแทบจะสมบูรณ์พร้อม เพราะว่าสมบุณรณ์พร้อมก็คือกำลังใจกำลังมุ่งมั่นแรงกล้ามาก สังเกตพวกบรรดาพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงเรียงนามส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับอุปบารมี กำลังสร้างบารมีกันอย่างเข้มแข็งเลย ชนิดที่เรียกว่าตัดศีรษะเป็นทาน ตัดแขนตัดขาเป็นทานควักหัวใจเป็นทานได้กำลังใจเขากำลังมุ่งเต็มที่

    คราวนี้ว่าอยู่ในระดับนั้น การมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างเจ้าแม่กวนอิม อย่าลืมว่าถ้าหากว่าเป็นอุปบารมีขั้นปลายแล้วถึงจะเกิดเป็นผู้ชาย ถ้ายังไม่ถึงอุปบารมีขั้นปลายก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ ยกเว้นผู้หญิงบางประเภทซึ่งเป็นปรมัตถบารมีแล้วแต่ยังต้องเกิดเป็นผู้หญิงอยู่เพราะชาติก่อนเป็นผู้ชายแล้วเจ้าชู้มาก ก็เลยโดนบังคับให้เกิดเป็นผู้หญิง ให้รู้รสชาติซะมั้ง ไม่อย่างนั้นแล้วจริง ๆ ถ้าผู้หญิงทั่ว ๆ ไปการสร้างบารมีเขาจะเบากว่าจะน้อยกว่า ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิสตรี สู้ผู้ชายเขาไม่ได้ เพราะผู้ชายเขาเกิดมาเยอะกว่า การสร้างบารมีการเวียนตายเวียนเกิดมันก็จะค่อย ๆ เข้มเข้าไปเรื่อยจนในที่สุดก็หลุดพ้นไปได้

    ถาม : แล้วอย่างที่บอกว่าเราตาม ๆ หลวงพ่อมา เราก็จะชอบ อย่างน้อยรายที่ตามสายพระธรรมกายมาเขาก็จะชอบ ?
    ตอบ : บางทีเป็นการสร้างบุญมารวมกัน ร่วมกันมาเขาก็จะตามกันไปถึงได้ว่าเสียดายหลายต่อหลายคนที่ประเภทที่เรียกว่าเข้าสายผิดจนกระทั่งที่เขาสอนนรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานสูญ นั่นล่ะน่าเวทนามากเลย เพราะว่าคงจะต้องไปอีกกันยาวเลย หาทางจบยาก
    ถาม : แล้วอย่างนั้นคนที่ก่อนที่จะเกิดมานี่ก็ต้องทราบด้วยสิคะว่าก่อนที่เขาจะลงมาเกิดนี่ .....?

    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นพวกที่เลือกลงมาเขาจะทราบอยู่แล้ว เพราะว่าตอนอยู่ข้างบนนี้ความเป็นทิพย์จะรู้อยู่ รู้อยู่ว่าถ้าตัวเองลงมาเกิดในแต่ละช่วงชีวิตจะพบอะไร แต่ว่าจุดที่สำคุญที่สุดก็คือได้พบธรรมะในจุดที่ตัวเองต้องการ
    แล้วการปฏิบัติของตัวเองก้าวหน้าเพื่อส่งให้ขึ้นสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นไปดีขึ้นไป เขาถึงจะยอมเสี่ยงลงมา ตอนที่ไปอ้อนเทวดาผู้ใหญ่ให้ท่านช่วยรับรองให้นี่ลำบากหน่อย เพราะว่าท่านที่รับรองให้ท่านก็ต้องคอยควบคุมดูแลความประพฤติด้วย อย่างนี้มันก็จะลำบากหนักเข้าไปอีก อีตอนนั้นลำบากแค่ไหนก็จะทน ลงมาลำบากหน่อยเดียวบ่นกันอุบเลย (หัวเราะ)
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ความจริงก็ทราบว่าทุกข์นี่มันทำให้เราเกิดปัญญา มันเหมือนไม่อยากเจอน่ะหลวงพี่ ปวดหัวหน่อยก็กินยาให้มันหลับไปเลย ?

    ตอบ : ไม่เป็นไร เพราะว่าสภาพร่างกายของเรา เรายืมโลกมาใช้ในเมื่อเรายืมโลกมาใช้มารยาทของการยืมต้องรักษามันให้ดีที่สุด พระพุทธเจ้าไม่ได้ทิ้งให้มันเจ็บให้มันป่วยซะเมื่อไหร่ ยกเว้นว่ารักษาแล้วรักษาอีกมันไม่มีปัญญารักษาได้อย่างโรคของอาตมา กินยาเข้าไปเท่าไหร่ก็เฉยไม่รู้สึกรู้สา
    อย่างของหลวงพ่อท่านเล่นทีเป็นกำ ๆ แต่ท่านก็พยายามรักษาในเมื่อรักษาแล้วไม่สามารถจะรักษาได้ ดิ้นรนทุกวิถีทางแล้วไม่สามารถจะเอาอยู่นั่นน่ะถึงจะยอมรับว่าเป็นกฏของกรรม ไม่อย่างนั้นมีช่องทางแม้แค่น้อยนิดเดียวก็ต้องว่าไว้ก่อน ที่เราทำน่ะเราทำถูกแล้ว เวทนามันเกิดขึ้น ถ้าหากกำลังใจไปหมกมุ่นกังวลอยู่กับมันจะทำให้ใจเศร้าหมองซะด้วยซ้ำไป ว่ายาเข้าไปเรียบร้อยนั่งจับพระนิพพานให้ใสแจ๋ว จะเป็นจะตายเรื่องของเอ็งเถอะ

    ถาม : ขันธ์ห้าตอนนี้มันไม่ไหวน่ะ เอาแค่อานาปาก็ยังดี ?
    ตอบ : เอาแค่นั้นก็ยังดี ใช้วิธีง่าย ๆ ว่าหายใจก็นึกถึงภาพพระพุทธรูป พระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ หายใจปี๊ดก็ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกก็ไหลตามลมหายใจออกมา คิดว่านั่นคือภาพแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหนหรอก นอกจากนิพพาน เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราตายเมื่อไหร่ขอไปอยู่กับท่าน

    กำหนดใจอย่างนี้ หายใจเข้าก็นึกถึงภาพพระไหลเข้าไป หายใจออกก็นึกถึงภาพพระวิ่งออกมาสนุกดีซะอีก หาอะไรสนุก ๆ เล่นมั่งสิ พลิกแพลงไม่เป็นน่าเบื่อนะ จะเอาสามองค์ห้งค์อะไรก็ได้ หายใจเข้าเอาองค์แรกเข้า ไปกระทบซิ่งองค์ที่สองออกมาอะไรอย่างนั้นสนุกดีเล่นซนอย่างนี้มันซนได้

    ถาม : เมื่อก่อนนี้ชอบโครงกระดูก ดูแล้วมันก็เฉย ๆ ?
    ตอบ : เรื่องอย่างนี้ถ้าหากจิตมันชินแล้วบางทีพูดง่าย ๆ ว่าความเคยชินในด้านชั่วมันมากกว่า เคยไปพิจารณาพวกซากศพพวกอะไรที่เขาผ่า ๆ ดูไปดูมาเสร็จกำลังใจพอมันตายด้านมันก็เลือกดูแต่ที่เราชอบ ที่เขาผ่าเราไม่ดูเป็นซะอย่างนั้นไป ลองดูมั้ย ? ไปสมัครเป็นลูกมือหมอพรทิพย์ เผื่อจะได้ออกทีวีมั่ง นั่นผ่าศพอยู่ทั้งวัน
    ถาม : แต่เขากลิ่นแรงมากเลย ?
    ตอบ : กลิ่นศพนี่ได้กลิ่นปุ๊บรู้ทันทีเลยว่ากลิ่นศพ ศพใหม่ ๆ สด ๆ แท้ ๆ ยังไม่ทันจะเน่า พอผ่าเปิดหน้าอกนี่มันจะเหมือนมีแก๊สค้างข้างใน มันปี๊บออกมาเรารู้ทันทีเลยว่ากลิ่นศพ ตอนสี กลิ่น รส พร้อมกันนี่มันจะอ้วก

    บางองค์ประเภทสมาธิไม่ค่อยดีไม่ค่อยชอบเลือดด้วยเป็นลมก็มี อาเจียนอยู่ตรงนั้นก็มี คือตอนนั้นพี่สุรินทร์เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจอยู่ ตอนนี้เขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อด้วย เจ้ารังสรรค์ลูกชายเขาก็หลานโยมกิมกีนั่นล่ะ

    พอถึงเวลาเข้าเวรบอกหลวงพี่องค์ไหนจะลงมาดูศพให้ไปวันนั้นวันนี้ ก็ไป เขาก็ผ่า ปรากฏว่าเมาหัวทิ่มกันทั้งวันเลย เพราะต้องเอาเหล้ากลบกลิ่นศพ จะมีแม่โขงแบนหนึ่งเหน็บอยู่ที่กระเป๋าหลัง ถึงเวลาก็ยกขึ้นมา เสร็จแล้วก็ผ่าไปก็วิเคราะห์ไป แผลกว้างเท่าไหร่ ลึกเท่าไหร่ ลักษณะของกระเพาะ ลำไส้ อวัยวะภายในเป็นยังไงบ้าง เสร็จแล้วก็สาเหตุการตาย ลักษณะของแผลเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านบนกว้างด้านล่างแคบ แสดงว่าจะต้องเป็นมีดสันหนาอะไรอย่างนี้ แทงลึกเข้าไปห้าเซ็นติเมตร สาเหตุการตายไม่หายใจโดนถีบกระเด็น (หัวเราะ)

    บางทีเขาไม่มีอะไรทำก็แกล้งกัน ลูกพี่กับลูกน้อง แหม...โดนเสียบเข้าไปตั้งห้าเซ็นต์น่ะ มันเขียนสาเหตุการตายไม่หายใจ เขาเล่นของเขาได้อย่างนั้นล่ะ ไม่งั้นอยู่กับศพทั้งวันมันน่าเบื่อ
    ถาม : อย่างนี้ถ้าเขาปฏิบัติพระกรรมฐาน....?
    ตอบ : พวกหมอพวกพยาบาลถ้าหากว่าปฏิบัติได้เปรียบคนอื่นเยอะเลย เพราะเขาเห็นของจริงอยู่ทุกวัน อย่างน้อย ๆ ที่มานี่ไม่สบายดีสักคนล่ะ วิ่งเข้ามาหาเมื่อไหร่แปลว่าเจ็บไข้ได้ป่วยมาทั้งนั้น ถ้าพิจารณาจะเห็นชัด ๆ จะสังเกตว่าพวกหมอนี่ถ้าเขาปฏิบัติธรรมจะเข้าได้เร็วมาก ลูกศิษย์หลวงพ่อเยอะแยะไป อย่างหมอวิสุทธิ์ หมอวัชรี หมอชนะ

    ถาม : มองกายยังไงก็ไม่เห็นเกลียดเลย ถ้าผ่าศพด้วยน่ะ ?
    ตอบ : ลองไปของจริงดูสิ นั่นยังไม่มีกลิ่น ได้กลิ่นสักนหน่อยแล้วมันจะซาบซึ้ง วิธีการพิจารณาอสุภกรรมฐานมันต้องยืนเยื้องทางเหนือลม ยืนตรงเหนือลมเลยก็ไม่ได้ เพราะว่าพวกสัตว์ที่กินศพเขาจะรำคาญ เพราะว่าเขารู้ว่าเราอยูใกล้มันจะเป็นอันตราย เขาก็อาจจะเกิดปฏิกิริยาไม่ดีกับเรา ให้ยืนเยื้อง ๆ เหนือลมอย่าไปยืนใต้ลม ถ้ายืนใต้ลมเวลาเราหายใจเข้าไปมาก ๆ กลิ่นเหม็นมันจะเป็นพิษได้ จะทำให้กระเพาะอาหาร ลำไส้ ทำงานผิดปกติไปหมด บางคนท้องเสียไปเป็นอาทิตย์เลยนะ แค่ได้กลิ่นศพ บางคนก็อาเจียนซะไม่มีดีเลย

    คราวนี้ครั้งนั้นมันอยู่ในห้องแอร์ ในเมื่ออยู่ในห้องแอร์เราก็ต้องยืนข้างแอร์ (หัวเราะ) อย่างน้อยมันเป่าไปได้มั่ง แต่ว่ามันอบอยู่ในนั้นมันเหม็นซะไม่มีล่ะ
    ถาม : ขนาดดูแล้วเอามาทาบ นึกถึงภาพมันก็ยังเฉย ๆ น่ะค่ะ กระดูก ซี่โครง บางทีปวดขาตรงไหนดึงหักขา นึกน่ะค่ะ หักขามันเล่น เอ๊ะ ! มันก็ยังปวด ?
    ตอบ : ก็มันต้องประเภทหลับตานึกภาพออกลืมตาก็เห็นชัด เจออย่างนั้นจึงจะใช้ได้ อย่างเช่น ของหนุ่ย ชอบโครงกระดูกก็นึกภาพสิว่า เออ...นี่กระโหลกศีรษะนะ กระโหลกศีรษะเราถ้านึกดูมันก็จะต้องเริ่มจากเบ้าตา เบ้าตาของเรานี่มันก็จะมีกระดูกต่อเป็นรอยต่ออยู่ เห็นเป็นชิ้น ๆ ไปเชื่อมกับกระโหลกศีรษะ ไปเชื่อมกับกระดูกขมับ ไปเชื่อมกับกระดูกท้ายทอย ถ้าแยกเป็นชิ้น ๆ ออกมา มันก็ไม่ได้เป็นกระโหลกเลยมันเป็นแผ่น ๆ ซะด้วยซ้ำ

    แล้วกระดูกฟันอย่างน้อย ๆ ก็ ๓๒ ซี่มีครบบ้างไม่ครบบ้าง กระดูกกรามล่างลักษณะเหมือนกับอะไรล่ะ ใส่อยู่ในเบ้าเหมือนกับครกแทนที่มันจะตำลงมันกลับตำขึ้น ถึงเวลากระดูกก้านคอ เป็นข้อ ๆ ลงไป กระดูกไหปลาร้า กระดูกหัวไหล่ กระดูกต้นแขน กระดูกปลายแขน กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ กระดูกนิ้วมือเป็นข้อ ๆ กระดูกเล็บมืออย่างนี้ เสร็จแล้วย้อนกลับมากระดูกหน้าอก กระดูกสันหลังลงไป กระดูกซี่โครงเป็นวง ๆ วิ่งจากกระดูกสันหลังไปชนกันที่กระดูกหน้าอกทีละวง ๆ กระทั่งถึงสามชุดสุดท้ายที่ไม่ถึงมันก็จะไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น เพราะเปิดเป็นช่องท้องลงมา และก็เป็นกระดูกบั้นเอวเป็นข้อ ๆ ลงไปถึงกระดูกเชิงกราน กระดูกก้นกบ และก็จะมีกระดูกต้นขาติดอยู่กับกระดูกเชิงกราน ถัดลงไปก็เป็นกระดูกหัวเข่า จากกระดูกหัวเข่าก็จะเป็นกระดูกหน้าแข้ง เป็นกระดูกข้อเท้า เป็นกระดูกฝ่าเท้า เป็นกระดูกนิ้วเท้า กระดูกเล็บเท้า ดูมันเป็นชิ้น ๆ อย่างนี้ อย่างนี้ แล้วก็ย้อนจากข้างล่างขึ้นบนจากบนลงล่าง ถึงเวลาถ้าหากว่ามันยังคุมกันอยู่เพราะว่ามีเส้นเอ็นดึงอยู่ก็ดี พังผืดรัดอยู่ก็ดี ถ้าหากว่าโดนแดดโดนลมโดนฝนไปมันก็เปื่อย

    มันก็ละเอียด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็หลุดเป็นชิ้น ๆ กระจัดกระจาย มีสัตว์ลากไปกินบ้าง อยู่กับที่บ้าง ผ่านการเผาของแดด การซะของลมการล้างของน้ำฝน มันก็ค่อย ๆ เก่าเปื่อยผุพังไปเรื่อยจนในที่สุดก็จมดินไม่มีอะไรเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว เสร็จแล้วก็พิจารณาต่อว่า เออ.... นี่ล่ะ ร่างกายของเขาเป็นอย่างนี้ ร่างกายของเราเป็นอย่างนี้ คน สัตว์ วัตถุ ธาตุ สิ่งของทั้งหมด ในที่สุดก็เสื่อมสลายตายพังไม่มีอะไรเหลือ

    ถาม : แล้วเราก็...?
    ตอบ : แล้วแต่ความจำนั้น ของเรามันละเอียดไม่พอ การปฏิบัติใหม่ ๆ นี่จะต้องเหมือนยังกับว่าเหวี่ยงแหเอาปลาทั้งทะเล ในเมื่อเหวี่ยงแหเอาปลาทั้งทะเลพอเราตะล่อม ๆ เข้ามาจนถึงท้ายสุด มันก็เหลือนิดเดียว คือพอจิตมันเชื่อเสร็จแล้วแค่บอกว่าร่างกายมันไม่ใช่ของเรา มันก็เชื่อแล้ว แรก ๆ ก็ต้องแยกมันออกเป็นส่วน ๆ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน เป็น ธาตุดิน ได้แก่ ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ ปอด อวัยวะภายในภายนอกใหญ่น้อยที่เเข็งจับต้องได้เป็นธาตุดินทั้งหมด ที่เหลวไหลไปมาเป็นธาตุน้ำ ได้แก่ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว นึกตามไปเรื่อย ส่วนนี้เป็นธาตุน้ำ ส่วนไหนที่พัดไหวไปมาก็ถือเป็นธาตุลม ได้แก่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ลมที่ค้างในช่องท้องในไส้ที่เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง ลมที่พัดลงเบื้องต่ำ ลมที่พัดไปมาทั่วร่างกาย (ความดันโลหิต) นี่เป็นธาตุลม ส่วนที่
    อบอุ่นอยู่ในร่างกายนี่เป็น ธาตุไฟ ก็คือไฟธาตุที่เผาผลาญย่อยอาหาร ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ไฟธาตุที่ช่วยเผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง นี่เป็นธาตุไฟ ก็แยกออกเป็น ๔ กอง กองนี้เป็นธาตุดิน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ ปอด ทั้งหมด

    กองนี้เป็นธาตุน้ำนะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว กองนี้เป็นธาตุลม ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในท้องในไส้ ลมพัดขึ้นเบื้องสูง ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมพัดไปมาทั่วร่างกาย กองนี้เป็นธาตุไฟ ไฟธาตุเผาผลาญย่อยอาหาร ไฟธาตุที่ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต ไฟธาตุที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมลง พอครบสี่แล้วมันเหลืออะไร ? มันก็ไม่เหลือ เสร็จแล้วพอแยกออกเป็นชิ้น ๆ ก็จะเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา ถ้าไม่ถนัดอย่างนี้ก็ดูว่ามันตายเป็นอย่างไร ? สมมติว่า เออ... ตอนนี้เราหยุดหายใจแล้วนะ ธาตุลมขาดไป ธาตุไฟก็ดับ ลมไม่มีไฟดับแน่ ๆ
    ในเมื่อธาตุไฟดับไม่มีตัวควบคุมธาตุน้ำ น้ำมันก็จะล้นเกิน มันก็จะพังทลายทำลายธาตุดิน มันก็จะบวมขึ้น ๆ เพราะน้ำมันดันออกมา พอธาตุดินรับไว้ไม่ได้ก็ปริก็แตกออก น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ไหลโทรมเชียว กลิ่นเหม็นตลบอบอวลไปหมดบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ก็มาฉีกทึ้งมาดึงมาลากไปกิน พวกหนอนพวกเเมลงก็มาเจอะไซเละเทะไปหมด พอมันดึงกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางกระดูกทั้งหลายทั้งปวงก็หลุดเป็นชิ้น ๆ ออกไปจากกระดูก ของใหม่ก็เป็นของเก่า จากเก่าก็เปื่อยก็ผุพังจนกระทั้งในที่สุดก็ฝังจมดินไปไม่มีอะไรเหลือ

    ค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ พิจารณาแล้วแต่ว่าเราชอบลักษณะไหน ถึงเวลาก็รวมมันขึ้นมาเป็นตัวเเล้วก็ถอดมันเป็นชิ้น ๆ ใหม่ ป่นมันทิ้งไปใหม่อีก ทำกลับไปกลับมาอย่างนี้ ขี้เกียจไม่ได้จนกระทั่งเราบอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา มันยอมรับเดี๋ยวนั้นเลย ไม่มีการถกเถียง ไม่มีการต้านทานอีก ก็แปลว่ากำลังใจใช้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นแรก ๆ มันต้องเหวี่ยงเอาปลาทั้งทะเล นานไปนานไปปลาทั้งทะเลไม่ต้องล่ะ เรารู้ว่าตัวไหนดี ตัวไหนแพง จับมันตัวนั้นตัวเดียว เพราะฉะนั้นการปฏิบัติยิ่งทำไปทำไปก็เหลือเล็กลง ๆ จนในที่สุดเหลืออยู่กระจึ๋งหนึ่งนิดเดียวนั่นจับให้ติดแล้วกันสุดยอดของมันเลย กลับไปว่าให้ได้นะสัญญาก็ไม่ดี ปัญญาก็ไม่ดี ต้องเจอไม้เรียว


    ถาม : มันขี้เกียจ โครงก็กระดูกแล้วก็จนบางทีมันไม่ละเอียด ?
    ตอบ : ไม่เป็นไร เพราะว่าของเองถ้าหากมันดื้อจริง ๆ ไปไหนไม่รอด เราอาศัยสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องช่วย อย่างเช่นเราไปวัดไปวาไปฟังเทศน์ ฟังธรรม ไปสวดมนต์ ไหว้พระ ให้จิตมันเกาะอยู่ด้านดีด้านเดียวอย่าให้มันคิดชั่ว อย่าให้มันฟุ้งซ่านได้ ขณะเดียวกันอารมณ์สุดท้ายของเราตั้งใจว่าบุญกุศลทั้งหมดถ้าเราตายเราขอไปนิพพาน สรุปมันง่าย ๆ เลย เหมาะสำหรับคนขี้เกียจสร้างสิ่งแวดล้อมให้มันอยู่ทางด้านกุศลให้ตลอด เพราะว่าถ้าสิ่งแวดล้อมเป็นกุศลจิตใจก็ผ่องใส กิเลสมันก็กินได้น้อย เดี๋ยวถ้ามันไม่มีปัญญาเกิดก็ช่างมันเถอะ เราตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่เราไปนิพพาน

    ถาม : ......................
    ตอบ : สมัยก่อนนี้ไปนั่งบรรยายให้ลูกศิษย์เขาฟังละเอียดยิบ เสร็จแล้วมีคนเอาไปฟังเสร็จ เขาถามว่าพระองค์นี้เขาเปิดตำราท่องเหรอ ? บอกมันไม่ได้เปิดหรอก พูดกี่ครั้งก็เหมือนเดิมมันทำมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ในเมื่อนับครั้งไม่ถ้วนทวนไปทวนมาก็เหมือนเดิม แบบเดียวกัน พระพุทธโฆษาจารย์ ไปเขียน วิสุทธิมรรค ไปเขียนฉบับแรก พระอินทร์ ก็จิ๊กไปซะ ท่านหายเหนื่อยลืมตามาอ้าว.... ลมพัดตกทะเลไปมั้ง ก็เขียนอีก เขียนอีกฉบับพระอินทร์ก็เก็บเงียบไปอีก ก็เขียนอีกฉบับหนึ่ง พอฉบับที่สามเขียนเสร็จ พระอินทร์เอาอีกสองฉบับมาคืนปรากฏว่าบรรดาพระเถระของลังกาที่ท่านต้องการจะไปแปลพระไตรปิฏก พออ่านทวนทั้งสามฉบับแล้วก็ทึ่งมากเหมือนกันทุกตัวอักษร

    แสดงว่าของท่านก็ทำมาจนช่ำแล้ว ในเมื่อทำมาจนชินแล้วอะไรก็ตามก็เหมือนกันทั้งนั้น มีญาติโยมหลายคนเวลาที่หลวงพ่อเทศน์แล้วเขาขอจดชวเลขตามไปสมัยนี้ใช้อัดเทป สมัยก่อนเขาขยันจด จดตามไป หลวงพ่อเทศน์ครั้งนี้เรื่องนี้ก็จด ต่อไปเทศน์ซ้ำอีกทีจดเอาอีก เอาไปเทียบกันบอกเหมือนกันทุกคำเลย จะไม่เหมือนได้ยังไงล่ะถ้าทำมา คนทำมากว่าจะได้อย่างที่ต้องการมันต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทวนแล้วทวนอีก เบื่อไม่ได้เด็ดขาด กิเลสตีตาย ในเมื่อมันต้องทำขนาดนั้นมันย้ำแล้วย้ำอีกขนาดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ลงรอยที่แน่นอนของมันเพี้ยนไปไม่กี่คำหรอก จะให้ไล่กรรมฐาน ๔๐ ให้ฟังมั้ย ? เหนื่อยตายกันไปข้างหนึ่ง กรรมฐาน ๔๐ ที่มันหนักจริง ๆ สมัยที่ทำอยู่จะมีพรหมวิหาร ๔ กับอรูปฌาน ๔ เพราะว่ามันเป็นของที่จับต้องได้ยาก แล้วก็อย่างพรหมวิหาร ๔ นี่มันต้องเกิดจากสภาพจิตใจของเราเองจริง ๆ ประเภทไปดัดจริตเมตตามันไม่เอากับเราหรอก มันต้องแกะออกมาจากใจจริง ๆ ส่วนอรูปฌานนี่จะเป็นส่วนละเอียดจับต้องได้ยาก อารมณ์มันคล้าย ๆ กับอารมณ์วิปัสสนาญานเลย ยังไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้เขามีสถาบันอื่นเข้าสอนเกี่ยวกับกรรมฐานทั้ง ๔๐ หรือเปล่า ?

    แต่ว่าถ้าเป็นศิษย์สายหลวงพ่อที่ท่านสอนครบถือว่าพวกเราโชคดีเวลาไปเจอสำนักกรรมฐานไหนเขาสอนแบบอื่นขึ้นมาก็จะได้ไม่ต้องไปนั่งเถียงเขา อย่างพวกสมาธิหมุน... เคยไปลองมั้ยล่ะ ? สมาธิหมุนจริง ๆ ก็คือมหาสตินั่นล่ะ แต่บอกว่าจะกำหนดจิตหมุนตัวเองเร็วขึ้น ๆ ๆ ๆ เรื่อย ๆ ล่ะ ก็เป็นการกำหนดสติของตัวเองเท่านั้น เสร็จแล้วเขาก็บอกว่ามันสามารถที่จะเหวี่ยงกิเลสให้พ้นออกไปได้ จริง ๆ มันไม่ใช่
    สมัยก่อนหลวงพ่อท่านก็แนะนำหลวงพ่อองค์นั้นดี หลวงพ่อองค์นี้ดี หลวงพ่อวัดท่าซุงเราไม่หวงลูกศิษย์หรอก ท่านต้องการให้รู้ว่าถ้าหากว่าเป็นพระดีที่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสายไหนก็ตามพูดลงรอยเดียวกันหมด หลวงพ่อท่านก็เลยแนะนำให้ไป สมัยก่อนก็แนะนำไปหาใครล่ะ .. หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่แหวน หลวงปู่สิม หลวงปู่คำแสนใหญ่ หลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่วงศ์ หลวงปู่ธรรมชัย นั่นล่ะ มีปัญญาก็ไป

    ถาม : ถ้าจะถวาย ถ้ารวม ๆ นี่ทุกทีจะถวายหลวงปู่ปาน หลวงพ่อชุดหนึ่ง ถวายเทพพรหมชุดหนึ่ง แต่ยังบอกว่าตั้งสังฆทานทีเดียว แล้วก็ส่งให้หลวงพี่อย่างนี้ก็ได้อานิสงส์ผลเหมือนกัน ?
    ตอบ : ได้ ถ้าหากว่ากำลังใจของเราดีมันเหมือนกัน แต่ถ้ากำลังใจไม่ดียกหลาย ๆ ครั้งมันเห็นของเยอะ โดยเฉพาะเห็นพระหลาย ๆ หนก็ดีกว่าเลือกเอาก็แล้วกัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : .............................

    ตอบ : อ้าว ! หลวงปู่ปลื้มไปซะแล้วสิ มรณภาพนานหรือยัง ?
    ถาม : เมื่อสัปดาห์กว่า ๆ นี่เอง ?

    ตอบ : หลวงปุ่ปลื้ม วัดสวนหงส์ มรณภาพไปอีกองค์แล้ว พระดี ๆ ท่านจะเลือกจังหวะที่ประเทศชาติแย่ ๆ ก็ไปซะเพื่อตัดเคราะห์กรรมเพราะฉะนั้นเรื่องที่ควรจะเกิดก็เลื่อนไปหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวถ้าพ้นวาระก็ไม่ต้องเกิดเลย รู้จักหลวงปู่ปลื้ม สัดสวนหงส์ บางปลาม้า สุพรรณมั้ย ? พวกเรานี่ไม่ค่อยสรรหาก็เลยไม่ค่อยได้เจอ ขณะเดียวกันเวลาสรรหา ก็ไปสรรหาไปเจออะไรก็ไม่รู้ วิชาที่หลวงพ่อสอนเอาไว้โดยเฉพาะมโนมยิทธิน่ะเรื่องหาพระดีนี่เรื่องหมู ๆ เลย หลวงปู่ปลื้ม วัดสวนหงส์ คนสุพรรณวิ่งไปหา หลวงพ่อคูณ โคราช โน่น หลวงพ่อคูณก็ถามพวกมึงมาจากไหนกันล่ะลูก ? มาจากสุพรรณเจ้าค่ะ อำเภอไหนหว่า ? บางปลาม้าเจ้าค่ะ แล้วมึงจะมาทำไม....หลวงปู่ปลื้มเก่งกว่ากูอีก (หัวเราะ) ขนาดหลวงพ่อคูณบอกเลยนะ หลวงปู่ปลื้มอยู่ใกล้ ๆ เก่งกว่ากูอีก

    ก็แบบเดียวกับอะไร.... พวกจากตาคลี พวกจากตาคลีขึ้นไปกราบ หลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวนถามว่ามาจากไหนกันล่ะลูก ? มาจากตาคลี นครสวรรค์ โห... แล้วมาทำไมอาจารย์ฉันอยู่ตาคลีนั่นล่ะ ถามว่าใครเจ้าค่ะ ? หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำ บูนนาค ไม่รู้จัก (หัวเราะ) บางคนก็ไปต่อว่าหลวงปู่สีไม่ค่อยจะทำอะไรให้เลยครับ ว่างั้น เอาของไปเสกก็มือแปะ ๆ สามทีเท่านั้นเอง (หัวเราะ) หลวงปู่แหวนบอกว่าท่านเอามือแปะสามทีดีกว่าข้าเสกสามเดือนอีก (หัวเราะ) พระที่กำลังใจท่านทรงตัวอยู่นี่พลังงานมันส่งออกตลอดเวลาอยู่แล้ว แปะสามทีดีกว่าเสกสามเดือนอีก

    นี่ถ้าเป็นอาตมานี่ดีกว่าอาตมาเสกสามสิบปียังสู้ไม่ได้เลย นั่นล่ะคือไม่ค่อยจะรู้จักกันไง เพราะว่าพระดีนี่ท่านจะไม่ได้ประกาศตัวว่าได้อะไร แล้วทำตัวซะยิ่งกว่าธรรมดา เข้าหาง่ายอะไรง่ายไปหมดจนกระทั่งคนเขาชักจะไม่เชื่อว่า เอ๊ะ ! จะดีจริงหรือเปล่า ? คิดว่าพวกดีจริงจะต้องมีประเภทคนคอยกีดคอยกันให้อยากเข้าไป

    ถาม : เมื่อก่อน โบราณเขาบอกว่ารัชกาลที่ ๑๐ นี่ไม่มี ?
    ตอบ : ไม่มีได้ไง เยอะแยะไป ถ้าไม่ตายซะก่อนเดี๋ยวก็ได้รู้ รับประกัน ราชวงศ์จักรีอายุยาวมากเป็นร้อย ๆ รัชกาลล่ะคราวนี้ ต่อไปในภายภาคหน้าพวกประเทศต่าง ๆ ที่มีกษัตริย์อยู่เห็นว่าระบบกษัตริย์แบบไทยดี ช่วยให้ประเทศชาติร่มเย็นประชาชนเป็นสุข ก็พยายามจะฟื้นระบบกษัตริย์ของตัวเองคืนมา ประเทศที่ไม่มีเห็นว่าดีบางทีอยากจะมีบ้าง ก็อาจจะมีการตั้งราชวงศ์กันขึ้นมา
    ถ้าหากว่าใครเกิดใหม่ก็ตามดู ต่อไประบบกษัตริย์จะปกครองเยอะมาก พื้นฐานใหญ่ก็ รัชกาลที่ ๙ นี่ล่ะ กลายเป็นคนของโลกไปแล้ว เจอฝรั่งเดนมาร์กคนหนึ่งห้อยเหรียญในหลวง บอกเฮ้ย ! ยูเอาคิงของไอไปห้อยได้ยังไง ? เขาบอกว่าเราใจคับแคบ ในหลวงเป็นคนของโลกไม่ใช่คนของคนไทย เขาย่อมมีสิทธิ์ เขาว่าอย่างนั้น อ๋อ ... มันว่าเราเสียหมาเลย (หัวเราะ) เราก็ปากเสียเจอฝรั่งความคิดเค้าอิสระดี เขาเห็นว่าอะไรดีอะไรเหมาะสมเขารับไว้เลย เขาไม่มีการมาดัดจริตกัน เห็นว่าสมควรก็เอาแล้ว เขาเห็นว่าพระมหากษัตริย์ไทยของดีเขาก็เก็บไว้เป็นที่ระลึก เอาเหรียญไปเลี่ยมห้อยคอเฉยเลย เหรียญที่เราใช้ซื้อของกันนี่ล่ะ ก็ไม่ได้เลือกที่ดีที่เด่นอะไรอย่างของเรา อาตมาอุตสาห์หาเหรียญพระมหาชนกมาให้ ของเขาเขาไม่หาหรอก แสดงว่ากำลังใจมันเต็มกว่าเรา เอาเหรียญบาทเลี่ยมใส่คอ ทุกประเทศพูดถึงในหลวงก็มีแต่ชื่นชม

    จนกระทั่งบางประเทศบอกว่า ถ้าหากว่าคนไทยทำงานให้ได้ครึ่งหนึ่งของในหลวงนี่รับรองว่าไม่มีประเทศไหนในโลกสู้ได้ แต่ญี่ปุ่นนี่แสบที่สุด ญี่ปุ่นมันบอกว่าคนไทยนอกจากในหลวงแล้วมันโกงทั้งนั้นล่ะ (หัวเราะ) เหมารวมพระไปด้วย (หัวเราะ) คำว่าโกงของเขา เขาใช้คำว่าคอร์รัปชั่น คอร์รัปชั่นนี่ฟังดูแล้วมันเบา คำว่าโกงแรงหน่อย นอกจากในหลวงแล้วคอร์รัปชั่นทั้งนั้น เล่นเหมาหมดทุกวงการเลย

    อย่างน้อย ๆ ของเราถ้าเอาตั้งแต่ราชวงศ์จักรีมาเราก็มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมเป็นพระมหากษัตริย์ที่เหมาะกับยุคสมัยตลอดมา ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ ๑ ยังมีศึกเสือเหนือใต้อยู่เป็นปกติต้องรบทัพจับศึกอยู่เป็นปกติ เราก็มีรัชกาลที่ ๑ ที่เข้มแข็งเก่งกล้าในการรบ พอมาถึงรัชกาลที่ ๒ แผ่นดินเริ่มสงบลง ของท่านเองท่านก็มาทางด้านศิลปวัฒนธรรม วรรณคดี ดนตรีการ จนขนาดฝากฝีมือเอาไว้ที่ปานประตูวัดสุทัศน์ โอ้โห... แกะสลักลายนี่ประเภทที่พูดง่าย ๆ ว่าแทบจะหลุดจะบินออกมาจากข้างในได้เลย

    พอมาถึง รัชกาลที่ ๓ พวกฝรั่งต่างชาติเข้ามาเยอะ ท่านเองท่านมองการณ์ไกล ค้าขายกับต่างประเทศถึงขนาดมีกองเรือพาณิชย์ของตัวเอง ค้าขายกับจีนหาเงินเข้าท้องพระคลังเอาไว้ถ้าหากว่ารัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์จะได้มีเงินส่วนนี้เอาไว้กอบกู้ประเทศชาติเวลาที่ฝรั่งยุโรปมาเบียดเบียน
    พอ รัชกาลที่ ๔ เข้ามา พวกฝรั่งเยอะแล้วนี่ แล้วรัชกาลที่ ๔ เก่งภาษาอังกฤษมากเลยเก่งอย่างชนิดที่ฝรั่งเขาทึ่ง เขาบอกว่านึกไม่ถึงว่าคนที่อยู่ไกลขนาดนี้จะใช้ภาษาได้ดีขนาดนี้ แล้วก็ยังมีการเอาพวกข้าราชการฝรั่งอะไรต่าง ๆ มารับราชการสำรวจทำแผนที่บอกเขตประเทศให้ชัดเจน บังเอิญว่ายังทำไม่สำเร็จ พอมา รัชการที่ ๕ นี่พวกบรรดาอังกฤษ ฝรั่งเศสก็แย่งกันครอบครองดินแดน เราก็มีพระมหากษัตริย์ที่เปรื่องปราชญ์ปรีชาสามารถ สามารถตัดสินใจยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนมากได้ มีการเลิกทาส มีการนำความเจริญสมัยใหม่มา ไม่ว่าจะเป็นโทรเลข โทรศัพท์ การไฟฟ้า รถไฟ อะไรพวกนี้
    มาถึง รัชกาลที่ ๖ สมัยนี้แผ่นดินจนหน่อย เพราะว่ารัชกาลที่ ๕ ทุ่มเทเพื่อแผ่นดินมาก รัชกาลที่ ๖ ก็จะมีการดุลข้าราชกาล คือว่าปรับสมดุล สมัยนี้ก็เหมือนกับเลย์เอ้าท์ให้ออกเพื่อให้ส่วนที่เหลืออยู่สามารถทำงานได้ พระองค์ท่านก็เปรื่องปราชญ์ถือเป็นนักปราชญ์เอกเลย แต่งหนังสือหนังหาเอาไว้เยอะมาก พอมาถึง รัชกาลที่ ๗ นี่ยุคสมัยของประชาธิปไตรโดยท่านเองท่านตั้งใจจะให้นานอยู่แล้วแต่คณะราษฏร์ใจร้อนไปหน่อย รีบเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าแปลงดินไปเลย ท่านก็ไม่ได้หวงราชอำนาจอะไร วินิจฉัยได้ถูกต้องซะด้วยซ้ำไปว่าท่านมอบพระราชอำนาจให้ประชาชนทั้งประเทศไม่ได้ให้แก่หมู่คณะใดขณะหนึ่ง

    มาถึงรัชกาลที่ ๘ ช่วงสงครามโลกพอดี เราก็มีพระราชาที่เรียกว่าเป็นหนุ่มน้อยน่ารักใครเห็นก็รักใครเห็นก็ชม พระองค์ท่านสามารถวางพระองค์ได้ถูกต้องกับเหตุการณ์ได้หมดจนคนเขาทึ่ง ครองราชย์ตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ทำไมถึงทำได้ดีขนาดนี้ อันนี้ต้องยกเครดิตทั้งหมดให้กับสมเด็จย่า สมเด็จย่าอบรมมา พอมาถึงรัชกาลที่ ๙ นี่อายุท่านยืนยาวกว่า ท่านต้องทำงานเหมือนกับทำงานสองรัชกาลเลย พี่สวรรคตตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่ น้องขึ้นครองราชย์เท่ากับว่าทำงานยาวมาถึงปัจจุบันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เหมือนยังกับว่ามันเป็นไปตามวาระ ตามเวลาถึงกรรมจะมีแต่บุญก็แรงอยู่ เราก็เลยมีพระมหากษัตริย์มีผู้นำที่พูดง่าย ๆ ว่าเหมาะสมกับยุคสมัยตลอดมา เพราะฉะนั้นรัชกาลที่ ๑๐ ก็ต้องเหมาะสม

    ถาม : จะเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย ?
    ตอบ : เขาว่าอะไรน่ะ โบราณคำทำนายของ สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ สมัยอยุธยาว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์ รัชกาลที่ ๑ กับสมเด็จพระเจ้าตากสิน พอรัชกาลที่ ๒ ก็รู้จักธรรม ไม่รู้จักธรรมได้ไงบูรณะวัดไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ขนาดสร้างวัดสุทัศน์แกะสลักบานประตูเอง รัชกาลที่ ๓ จำต้องคิด ไม่คิดก็ไม่ได้ฝรั่งมันล่าเมืองขึ้นอยู่

    รัชกาลที่ ๔สนิทธรรม บวชเองตั้งยี่สิบกว่าพรรษา กำเนิดธรรมยุติด้วย รัชกาลที่ ๕ จำแขนขาด ต้องเสียแผ่นดินบางส่วนเพื่อรักษาประเทศเอาไว้ รักษาความเป็นเอกราชเอาไว้ รอบข้างของเรากลายเป็นทาสของฝรั่งเศสกับอังกฤษแต่ประเทศไทยอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ รัชกาลที่ ๖ ราษฏร์ราชาจน จนพอกันเงินหมดพระคลัง

    รัชกาลที่ ๗ นั่งทนทุกข์ ปฏิวัติต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศแล้วก็สิ้นพระชนม์ต่างประเทศด้วย รัชกาลที่ ๘ ยุคทมิฬ ยุคสงครามโลกนับอีกทีก็พระมหากษัตริย์โดนปลงพระชนม์ด้วย รัชกาลที่ ๙ นี่ ถิ่นกาขาว โดดเด่นไม่เหมือนใคร เขาเป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่เป็นกับเขา เศรษฐกิจล่มประเทศอื่นจะเป็นจะตายคนไทยก็เชื่อในหลวงอย่างเดียว

    รัชกาลที่ ๑๐ นี่ชาววิไล ถึงเวลาสบายซะที เพราะรัชกาลที่ ๙ วางพื้นฐานเอาไว้ดีแล้ว พอรัชกาลที่ ๑๑ ก็ ไทยมหารัฐ เริ่มมีอำนาจขึ้นมารอบข้างเราต้องพึ่งพา พอรัชกาลที่ ๑๒ จักรพรรดิราช ถึงเวลาประเทศอื่น ๆ เขาปกครองด้วยระบบพระมหากษัตริย์ก็ต้องลอกเลียนแบบของเราไป ก็เท่ากับว่ามาจากของเรานั่นเอง ว่าไปเรื่อยเดี๋ยวครบ ๑๕๐ รัชกาลแล้ว จะยุ่ง

    ถาม : ...........................................
    ตอบ : บอกว่าอยู่เป็นพันปี ตอนนี้เพิ่ง ๒๒๐ ปี เมื่อวานมีใครไป วัดพระแก้ว มั่งมั้ย ? ประสาทพระเทพบิตร เปิด พระบรมรูปทั้ง ๘ รัชกาลก็อยุ่ที่นั่น พระบรมอัฐิก็อยู่ที่นั่น ถ้ามีโอกาสก็ไปกราบไหว้ให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวบ้าง พวกเรานาน ๆ ไปนี่จิตสำนึกเกี่ยวกับชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์มันจาง ๆ ลง ต้องไปดูจะได้รู้ว่าบรรพบุรุษของเราน่ะทำมาอย่างไร ? ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? ประเทศชาติบ้านเมืองทุกตารางนิ้วสละเลือดทาแผ่นดินเอาไว้เขาว่าอะไร ..ดาบไทยหลายแสนเล่มตกอยู่เต็มปฐพี

    ถาม : ................................................
    ตอบ : ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่นา รู้สึกก็คือรู้สึกเราอาจจะเคยบวชมาจนนับชาติไม่ถ้วนแล้วก็ได้ แต่มันยังเอาดีไม่ได้ซักที ชาตินี้ว่าใหม่มันอีกซักรอบมั้ย เผื่อมันจะได้ดีมั่ง จำเอาไว้ว่าการบวช บวชส่งเดชแบบที่เห็นนั่น เขาว่าพวก อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย คุณยายให้บวชแก้บน พวกนั้นช่างมันเหอะ บวชไปก็เลวระยำ แต่มันมีความสุขของมันคือกำลังใจเขาไม่รู้สึกว่าผิด แต่ขณะเดียวกันอย่างพวกเรานี่ เรารู้ว่าถ้าบวชไปแล้วรู้สึกว่าผิด แต่ขณะเดียวกันอย่างพวกเรานี่ เรารู้ว่าถ้าบวชไปแล้วไม่ดีจะได้รับโทษอย่างไร ? ทำดีจะมีคุณอย่างไร ? คราวนี้ตัวเกร็งเลย แต่ละวันกว่าจะผ่านไปได้อย่างกับเป็นปี จนกว่าคุณจะทำกำลังใจของคุณให้ลงได้กับศีล ชนิดที่เรียกว่าขยับไปไหนปุ๊บ สติสมาธิพร้อมว่าศีลจะขาดหรือไม่ขาด มันระวังตัวมันเองโดยอัตโนมัติ นั่นแหละถึงจะค่อยมีความสุขขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นบวชพระไม่ใช่เรื่องง่าย เห็นพูดกันเยอะต่อเยอะแล้วบวชพระแล้วสบาย ๆ บวชทีไรมันสึกทุกที ถ้าสบายจริงมันสึกไปทำไม ที่ วัดท่าขนุน ตอนที่มีพวกระบบเสียงตามสายแล้ว ถึงเวลาเช้าตื่นขึ้นมาเปิดเทปธรรมะของหลวงพ่อนั่งกรรมฐานเสร็จก็สวดมนต์ทำวัตรกันต่อ คราวนี้พอเราเปิดระบบเสียงตามสายมันก็ดังเข้าไปตัวอำเภอด้วย ญาติโยมเขาชื่นชมกันมากเลย บางคนเขาขนาดออกปากเลยว่า ทำกันได้อย่างไร ตีสามตีสี่ลุกขึ้นมาสวดมนต์ทำวัตรนั่งกรรมฐานกันแล้ว มันต้องแหวกกิเลสกันขึ้นมาเชียวนะ (หัวเราะ) เขาใช้คำพูดอย่างนั้น รู้สึกชาวบ้านเขาชื่นชมมาก พระทำได้
    ตอนนี้มาตฐานสูงเสียแล้วสิ ชาวบ้านเขาให้เครดิตมากเลยยิ่งต้องระวังมาก เขาใช้คำว่าแหวกกิเลสขึ้นมาเลยนะ เป็นไงแหวกไหวมั้ย ? นอนเพลินเห็นหลวงตาบัว ท่านบอกเหมือนกับ หมูพาดเขียง หมูมาถึงเห็นขอบไม้เขียงที่เขาไว้สับหมูนั่นแหละมาถึง เออ... น่านอน ก็นอนอิงสบายใจเฉิบ ไม่รู้หรอกมีดมันจะมาเมื่อไหร่

    ถาม : ตอนนี้มันเหมือนรอวันตายอย่างเดียวเจ้าค่ะ ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ?
    ตอบ : จ้ะ ไม่เป็นไรจ้ะไม่เกิน ๑๐๘ ปีจ้ะ อาจจะ ๑๐๗ ปี ๑๑ เดือน ๒๙ วัน
    ถาม : ตายก็ตายไปเลย เบื่อ ...?
    ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องขยัน ถ้าเราขยันพิจารณาเป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่มันตายเลยไม่ต้องเสียเวลามาเบื่อ เพราะฉะนั้นต้องขยัน ขี้เกียจไม่ได้ ถ้าขี้เกียจมันไม่ตายหรอกมันอยู่ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้แหละ
    ถาม : มันนั่งแป๊บ ๆ เดี๋ยวนี้นั่งแล้วไอ ไปวัดนั่งแป๊บเดียว ?
    ตอบ : นอนซิ ไม่ต้องนั่ง
    ถาม : นอนก็หลับ ?
    ตอบ : (หัวเราะ)
    ถาม : มันจะมีอะไรที่เรารู้ว่าเป็นอะไรแบบนี้เดี๋ยวนี้ไม่รู้เลย มันลืมไปเลย ?
    ตอบ : อ๋อ...แสดงว่าจิตมันหยาบขึ้น ถึงว่ายิ่งฝึกยิ่งถอยหลัง (หัวเราะ) เอาใหม่จ๊ะเอาใหม่ อะไรที่เคยได้แล้วมันไม่ยากย้อนทวนไปมันได้ แต่บังเอิญว่าเราทิ้งมันนาน คนที่ว่ายทวนน้ำแล้วพอทิ้ง น้ำมันพัดไปไกลลิบเลย คราวนี้มันท้อเลยต้องพยายามสู้ใหม่ ถ้าสู้นี่ได้แน่นอน รับรองเพราะว่าเคยประสบมาด้วยตัวเอง

    ตอนที่หัดปฏิบัติใหม่ ๆ เมื่อ ๒๗-๒๘ ปีก่อนนั้น เจ้าประคุณเถอะ ประภทหกล้มหกลุกวันหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ตอนบวชพระใหม่ ๆ ก็เหมือนกัน นึกอยากจะสึกวันหนึ่งเป็นร้อยครั้งเพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ทุกคนเคยเป็นมาก่อน แต่ว่าสิ่งต่าง ๆ ถ้าเคยทำได้แล้วมันไม่ยาก ถ้าย้อนทวนมันจะได้ใหม่ เพียงแต่ว่าแรก ๆ ต้องฝืนใจหน่อย ปล่อยทิ้งมานานสนิมมันขึ้น รีบ ๆ ขัดสนิมให้เยอะหน่อย
    ถาม : จริง ๆ เราไม่ได้มีเจตนาจะละเมิดของเขา แต่ว่าเราวิสาสะหยิบมาแต่ใช้ร่วมกันอย่างนี้ ?
    ตอบ : ของพระเขาก็วิสาสะได้ แต่คราวนี้ของพระ พระพุทธเจ้าอนุญาตให้วิสาสะ ท่านบอกต้องเคยรู้จักกันมา ต้องเคยได้เห็นกันมา ต้องเคยได้พูดกันมา และข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด รู้ว่าถ้าเราทำดังนั้นแล้วเขาไม่ว่าอะไร เพราะฉะนั้นของฆราวาสนี่ผ่อนผันได้เยอะกว่าพระเยอะ เราอย่าไปเอามาเป็นของ ๆ เราก็แล้วกัน ถ้าของใช้ร่วมกันบางทีปากกาเพื่อนคว้ามาใช้ชั่วคราว วิสาสะอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอก

    ถาม : สมมุติว่า เราไปกินอาหารอะไรที่เราไม่รู้ว่าเขาผสมเหล้า หรือเปล่านี่ไม่แน่ใจ ?
    ตอบ : ก็กินอย่างพระสิ พระก่อนกินเขาพิจารณาต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลา คือถ้าคิดว่าหากว่าไม่มีรสไม่มีกลิ่นก็แล้วไป ถ้าหากได้รสได้กลิ่นเมื่อไหร่หยุดทันที
    ถาม : คนที่เขาฆ่าตัวตาย จะหยุดเมื่อไหร่ ?
    ตอบ : จะหยุดเมื่อไหร่ ....เลิกฆ่าเมื่อไหร่ ก็หยุด (หัวเราะ)
    ถาม : เขาบอกว่าอีก ๕๐๐ ชาติ ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่พวกที่ฆ่าตัวตายจะมีประวัติฆ่าตัวตายของเขามาอยู่แล้ว มันไม่แน่หรอกว่าจะ ๕๐๐ มันอาจจะเป็นชาติที่ ๕๐๐ พอดีก็ได้
    ถาม : ไม่ได้ทดไปเรื่อย ๆ ?
    ตอบ : ไม่มีจ้ะ ไม่อย่างนั้นบวกเข้าไปตายชักเลย
    ถาม : : แค่ ๕๐๐ ก็หยุด ?

    ตอบ : อื้มม์ .. พอแล้ว เรื่องของธรรมเขาตรงไปตรงมา เป็นอย่างไงจะต้องลองฆ่าดูมั่ง จะได้เริ่มนับหนึ่ง วิธีแนะนำก็คือกินให้ครบสามมื้อเสร็จแล้วก็ทำงานทำการอะไรไป พยายามหายใจเข้าไว้อีกไม่เกินร้อยปีตายแน่เลย ลองฆ่าตัวตายวิธีนี้ดูมั่งมั้ย ? กินให้ครบสามมื้อ กินอาหารที่มีประโยชน์ด้วย รับรองไม่เกินร้อยปีตายแน่ ฆ่าตัวตายบางคนไม่ใช้ความต้องการของเขานะ

    มีพระอยู่องค์หนึ่ง ต้องเรียกพระโบราณหน่อย ไม่ใช่สมัยอาตมาหรอก ในสมัยนั้นเขามีส้วมหลุม รู้จักส้วมหลุมมั้ย ? เขาขุดลงไปเอาไม้พาด ๆ แล้วก็ไปนั่งถ่ายกัน แล้วก็จะมีล้อมข้างฝาเอาไว้หน่อยหนึ่ง อาจจะเป็นประเภทใบกล้วย ใบตาล ใบจากอะไรอย่างนั้น ข้างบนก็เปิดโล่งก็มี มีหลังคาก็มี
    ปรากฏว่าที่พระท่านถ่ายประเภทที่เรียกว่าเปิดโล่งเขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งปีนขึ้นต้นไม้ แล้วก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งตามไป คนที่ปีนนำหน้านั่น แกเอาผ้าสไบของตัวเองผูกกับกิ่งไม้แล้วก็คล้องคอตัวเอง แล้วผู้หญิงคนที่ปีนตามขึ้นไปน่ะกระโดดขึ้นไปบนบ่าแล้วก็ขย่มจะให้เขาตกลงไปตาย พระเห็นก็ร้องเอะอะขึ้นพอร้องเอะอะขึ้นผู้หญิงที่ปีนขึ้นไปขย่มมันหายไป เขาก็เลยโวยวายเสียจนลูกศิษย์แตกตื่นกันมาทั้งวัด ช่วยกันหาผู้หญิงคนนั้นลงมาข้างล่าง แล้วก็มาถามว่าขึ้นไปทำอะไร จะผูกคอตายรึ ? เขาบอกเขาไม่รู้ตัวหรอก เขารู้สึกว่ามีคนชวนไปเที่ยวงาน มันเป็นงาน รื่นเริงลักษณะเหมือนกับว่าเป็นงานบุญงานวัด งานสงกรานต์ตามต่างจังหวัดอย่างนั้น

    แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เขาอธิบายหน้าตาให้ฟัง ก็คือผู้หญิงที่พระเห็นว่าปีนขึ้นไปขย่มไหล่เขานั่นแหละ ผู้หญิงคนนั้นเอาพวงมาลัยให้เขาพวงหนึ่ง บอกว่าให้คล้องคอเสียแล้วก็ไปสนุกด้วยกัน เขาเองเขารับพวงมาลัยมาแล้วแต่ว่าใจมันไม่อยากจะคล้อง คิดอยู่อย่างเดียวว่าถ้ามัวแต่สนุกเดี๋ยวกลับบ้านไม่ทันแม่จะด่า ผู้หญิงคนนั้นก็ยื้อจะใส่ให้ได้ ทีนี้ถ้าหากคล้องคอเมื่อไหร่เสร็จเขาเลย

    เพราะฉะนั้นลักษณะการฆ่าตัวตายนี่บางทีมันไม่ใช่ความต้องการของเขา เป็นช่วงที่อุปฆาตกรรมเข้ามาถึงพอดี อุปฆาตกรรม ฝ่ายอกุศลก็คือกรรมหนักที่เราได้ฆ่าคน ฆ่าสัตว์ใหญ่ในอดีตเอาไว้มันตามมาถึง ถึงวาระนั้น ถึงเวลานั้นบางสิ่งบางอย่าง ที่เขารอจังหวะอยู่เขาฉวยโอกาสสวมรอยเลย เพื่ออาศัยโอกาสนี้ ทำลายชีวิตของเราเสีย

    อีกรายหนึ่ง หลวงพ่อเล่าว่าอยู่ทางโน้น ทางสมุทรสาครนั่นน่ะ กำลังจักตอกเหลาตอกอยู่ เหลาไปเหลามาอยู่ ๆ แกก็ลุกพรวดพราดถือมีดเดินลงบันไดไป คราวนี้บ้านแกอยู่ริมน้ำ บันไดโผล่พ้นน้ำแค่สองสามขั้นเท่านั้นเองที่เหลือมันจมอยู่ในน้ำหมด แกก็เดินผลุบหายลงไปเลย ลูกหลานเขาคิดว่า เออ...ปู่ ตา ของตัวเองคงร้อนเต็มที่ก็ผ้าขาวม้า

    ปรากฏว่าหายไปนานเหมือนกันก็ร้องเอะอะขึ้นมาว่าเอ๊ะ ... ทำไมหายลงไปนานช่วยกันดำลงไปค้นปรากฏว่ากอดโคนเสาตีนบันไดอยู่ พอแงะขึ้นมาได้พยาบาลแกจนฟื้นขึ้นมาถามว่าลงไปทำอะไร ? เขาบอกว่ากำลังนั่งเหลาตอกอยู่มีคนมาท้าให้ลงไปสู้กัน เลยถือมีดลงไปสู้กันกำลังกอดปล้ำแทงกันอุตลุดเลย แล้วก็ไปลากแกขึ้นมา แต่ตอนที่ไปนั่งเห็นแกกำลังกอดตีนบันไดอยู่และก็จมอยู่ใต้น้ำ อีกสักพักคงหมดลม
    ดังนั้นว่าการฆ่าตัวตาย มันไม่ใช่ความต้องการของตัวเขาเอง อาจจะมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่มาดลใจหรือมาอาศัยจังหวะที่กรรมมันเปิดเข้าพอดี ก็มาช่วยซ้ำช่วยสวมรอยให้ ที่โบราณเขาว่า ผีซ้ำด้ำพลอย รู้จักไหม
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : สัมภเวสี คืออะไรคะ ?

    ตอบ : สัมภเวสี ก็คือ จิต หรือว่าใช้คำว่า วิญญาณ แล้วกันนะ ใช้คำว่า จิต พวกเราเข้าใจยาก เพราะพวกเราชินกับคำว่า วิญญาณก็คือวิญญาณที่ตายก่อนจะหมดอายุจริง ๆ อย่างสมมุติ เขาอายุ ๗๕ ปีแล้วมาตายตั้งแต่อายุ ๓๐ เรียกว่าตายก่อนหมดอายุ ต้องคอยเร่ร่อนเรื่อยไป เพราะว่ายังไปหาที่เกิดของตัวเองไม่ได้จนกว่ารอจนครบอายุก่อน อยากจะเห็นสัมภเวสีมั้ย ? ร่อนไปร่อนมา อย่างสมัยนี้พวกเด็กนักเรียนเป็นสัมภเวสีกันบ่อยมันใช้คำว่า สิง มันบอกว่ามันไปสิงที่หอ (หัวเราะ) เคยสิงหอมั้ย ? อาศัยเพื่อนนอน แหม... บางคนยัดเข้าไปได้ ๘ คน ๑๐ คน หัวก่ายท้ายเกยก็นอนกันเข้าไปได้

    ถาม : อย่างทานบารมี หลวงพ่อบอกว่าทานบารมีตัวเดียวสามารถไปนิพพานได้ ต้องทำได้ถึงระดับไหน ?

    ตอบ : ก็ประเภทที่ว่าให้จนกระทั่งไม่ติดทั้งดีทั้งชั่ว รู้ว่าดีก็ทำ ใครเขาอยากได้ก็ให้ ให้แล้วก็ไม่ไปตามคิดว่ามันเอาไปทำอะไร ? มันหลอกเราหรือเปล่า ? มันไปใช้สมกับคุณค่าที่เราให้หรือเปล่า ? จะไม่มี ตัวสุดท้ายก็คือ พยายามให้อภัย พยายามสร้างความดีให้ทรงอยู่ในใจ ใครทำผิดคิดร้ายกับเราก็ตามจะไม่ถือโทษโกรธเคืองทั้งสิ้น อะไรทำนองนั้น จิตใจอยู่กับการให้ตลอดเวลาพร้อมที่จะสละอยู่เสมอ เมื่อสร้างอารมณ์ใจมั่นคงเสร็จก็ภาวนาต่อไปเลย คิดอยู่ตลอดเวลาว่าที่เราให้นี้ เราทำเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จิตใจมุ่งตรงต่อพระนิพพานที่เดียว

    ถาม : เขาบอกว่าไง....ถือศีลแปด ตกดึกเขาก็กินกะหรี่ปั๊บเลย ?
    ตอบ : นั่นก็ถือได้ตั้งหลายชั่วโมงแล้ว (หัวเราะ) ตายละหว่า ตกลงน้องเขาทำถูกหมดเลย พี่เองแหละทำผิด (หัวเราะ) ใช่มั้ย ? เราก็ถือได้ตั้งหลายชั่วโมงแล้ว มันหิวมันก็กินนะซิ อย่าลืมว่าเทวดาคนใช้เขาถือได้แค่ครึ่งวันใช่มั้ย ?

    เรื่องของศีลแปดมีอานุภาพสูงกว่าศีลห้า เราถือเป็นเวลากี่นาที กี่วินาที กี่ชั่วโมงแล้วแต่เรา อานิสงส์มันได้ทั้งนั้น จะมากจะน้อยมันไม่ใช่ไม่ได้เลย น้องเขาทำถูกแท้ ๆ ไปว่าเขาได้ (อย่างนี้ได้พวกเลย) ไม่ต้องห่วงหรอก เด็ก ๆ มาที่นี่ไม่ว่าสักคำมีแต่ยุ จริง ๆ แล้วการมาหาพระก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดใช่ไหม ? ไม่อย่างนั้นมานั่งเครียด เอ๊ะ...จะนั่งท่าไหน่ ?

    บางคนใช้แทนตัวว่าอาตมาด้วย เล่นเอาพระพูดไม่ออก เล่นแย่งพูดหมดแล้ว ของเรามาใหม่ ๆ ที่ไม่ค่อยรู้ศัพท์บางคำมันยาก ถ้าหากว่าไม่รู้ถามความหมายบางทีก็ไม่เข้าใจ ไปอ่านหนังสือเจอก็ตีความไม่ออก (ไม่กล้าอ่านค่ะ) เป็นยังไงไม่กล้าอ่าน ? ก็นั่นแหละ เพราะเราไม่มีพื้นฐานตรงนี้ไงได้นั่นมันต้องดูพื้นฐานตรงนี้เอาไว้ก่อนว่า ของเราเองอันไหนไม่เข้าใจต้องศึกษาสอบถามก่อน พอถึงเวลาเข้าใจแล้วไปอ่านหนังสือมันก็จะรู้เรื่องแหละคราวนี้

    ถาม : คำว่าบารมีเต็ม เป็นอย่างไร ?
    ตอบ : บารมีเต็ม แปลว่า ทำจนถึงที่สุดของกำลังใจแล้ว บารมีก็คือกำลังใจ มีอยู่ ๓ ระดับ ๙ ขั้น
    ๑. สามัญบารมี กำลังใจขั้นต้น ประกอบไปด้วยหยาบ กลาง ละเอียด
    ๒. อุปบารมี กำลังใจขั้นกลาง ประกอบไปด้วย หยาบ กลาง ละเอียด
    ๓. ปรมัตถบารมี กำลังใจขั้นสูงสุด ประกอบไปด้วย หยาบ กลาง ละเอียด เหมือนกัน

    ถ้าหากว่าถึงปรมัตถบารมีขั้นละเอียดก็แปลว่ากำลังใจเต็ม พร้อมที่จะเข้าพระนิพพานได้ คราวนี้จะวัดจากตรงไหนได้ สามัญบารมี ให้ทานได้บอกให้รักษาศีลก็จะไม่ไหว อุปบารมีให้ทานได้รักษาศีลได้ บอกให้ภาวนาไม่ไหว ถ้าหากว่ากำลังใจพร้อมทั้งทานศีลภาวนา ตั้งมั่นว่าจะทำเพื่อพระนิพพาน อันนี้ถือเป็นปรมัตถบารมีเต็มแล้ว พร้อมจะไปแล้ว

    ถาม : ถ้าในชาตินี้เราให้ทานประจำ รักษาศีลก็ได้ ภาวนาได้ ?
    ตอบ : แสดงว่ากำลังใจของเราอยู่ระดับปรมัตถ์แล้ว เพียงแต่มันจะหยาบ จะกลาง จะละเอียดเท่านั้น ถ้าถึงปรามัตถบารมีนี้มีสิทธิ์ไปนิพพานได้แล้ว อย่างแย่ ๆ ก็เป็นดอกบัวกลางน้ำ พร้อมที่จะโผล่พ้นน้ำในวันต่อไป

    ถาม : หมายความว่า บุญเก่า บุญใหม่ มาผสมกันเมื่อไหร่จะเป็นพระอรหันต์ ซึ่งตรงนี้ต้องรอวาระ ต้องทำที่ไหนคะ ถึงจะมาบรรจบกันได้ ?
    ตอบ : ใครเป็นคนบอกล่ะจ๊ะ ?
    ถาม : อ่านในหนังสือ ?
    ตอบ : (หัวเราะ) ถือว่าของทุกอย่างมันมีวาระเวลาของมัน บุญเก่า คือสิ่งที่ทำมาดั้งเดิม ในชาติก่อน ๆ ภาษาพระเรียกบุปเพกตปัญญตา แต่ส่วนบุญใหม่ ก็คือที่เราสร้างเสริมขึ้นมาในชาตินี้ เราใช้กำลังของเก่าสร้างเสริมของใหม่ของเราให้เข้มแข็ง พอถึงที่สุดถึงวาระของมัน มันก็จะหลุดพ้นเข้านิพพานไปได้เอง เหมือนลักษณะว่าของเราบุญเก่าเราก็ทำ ทาน ศีล ภาวนา มาในอดีตแล้ว

    เมื่อมาถึงปัจจุบันนี้บุญใหม่คือของเราก็คือ พยายามสร้างเสริมทาน ศีล ภาวนานั้นให้เข้มข้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนถึงวาระสุดท้ายจิตสามารถตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน เข้าสู่นิพพาน ก็คือ จังหวะนั้นแหละที่เก่ากับใหม่มันผสมเต็มที่พอดี

    ถาม : แสดงว่าเขามีการกำหนดมาแล้วใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ไม่ใช่ อยู่ที่ความขยันหรือขี้เกียจของเรา ถ้าหากว่าประเภทบุญเก่าเยอะ ก็จะเหมือนกับยายหนุ่ยเมื่อกี้ อีกกี่ชาติไม่รู้กว่าจะได้ไป เอะอะเขาก็บอกว่าหนูขี้เกียจค่ะ อย่างนั้นยังอีกนานจ้ะ
    ถาม : แล้วที่บอกว่าการนึกถึงผลกรรมไม่ดี เราทำมา จะทำให้มีโอกาสที่จะตกนรก เคยได้ยินมาว่าคนนั้นสมมุติในชีวิตทำดีมา ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ ?
    ตอบ : ๙๙.๙๙ % ก็ลงได้จ้ะ
    ถาม : ลงไปแค่สำนักพญายม หรือลงไปเลย ?
    ตอบ : ลงนรกไปเลยก็มี น่ากลัวไหม ? ในมหากัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลผู้ตั้งใจภาวนาสามารถทรงฌานทรงสมาบัติได้สร้างทิพยจักขุญานให้เกิดสามารถรู้เห็นนรกสวรรค์ได้ มากล่าวว่าบุคคลที่ทำดีแล้วไปสวรรค์ บุคคลที่ทำชั่วแล้วไปนรก ตถาคตกล่าวว่าไม่ใช่

    เหตุที่ไม่ใช่เพราะสำคัญต้องอารมณ์สุดท้าย ทำดีมาตลอดชีวิต อย่างพระนางมัลลิกาเทวี ก่อนตายจิตใจไปว้าวุ่นว่าตัวเองล่วงเกินพระสวามีเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่โทษก็ไม่มี ก็เลยต้องแช่อยู่ในนรกเสีย ๗ วัน ถึงจะเป็นเท้าข้างเดียวก็เถอะ อย่างเราเท้าข้างเดียวโดนไฟเผาไม่ร้อนรึ ?

    ถาม : ............................................
    ตอบ : ใช้ได้จ้ะ เรื่องของคาถาพระยายม เราจะว่าเป่าให้คนอื่นก็ได้ เป่าให้ตัวเองก็ได้ ถ้าจะเป่าให้ตัวเองก็นึกถึงภาพกายในของเราไปยืนข้างหัว ตั้งใจขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ทั้งหมดมีพระยายมราชเป็นที่สุด ขอได้โปรดเมตตาบรรเทาอาการเวทนาของทางร่างกายให้หมดสิ้นไปด้วย เสร็จแล้วก็ว่า นะโมพุทธายะ เป่าทางศีรษะลงไปปลายเท้า ๓ ครั้ง

    ถาม : จุดธูป เทียนหรือเปล่า ?
    ตอบ : ก็ตอนป่วยอยู่ จะจุดไหมล่ะ ? คลานยังจะคลานไม่ขึ้นเลย


    [​IMG]


    ที่มา http://www.grathonbook.net/
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...