ฉบับที่ ๒๘ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 5 มิถุนายน 2006.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนเมษายน ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ถาม : คำว่า "ตัดร่างกาย" ในขณะก่อนตาย เราจะต้องทำจิตใจอย่างไร ?
    ตอบ : ทำเหมือนกับตอนเป็นนั่นแหละ ถ้าคิดจะตัด คือว่าจริง ๆ แล้วตอนก่อนตาย ส่วนใหญ่จะมีอาการเวทนาคือการเจ็บป่วยอย่างแรงกล้า มันเป็นการตัดกิเลสไปในตัวหมดอยู่แล้ว พอเวทนาขึ้นมาอย่างแรง กิเลสมันก็เกิดไม่ได้ กำลังเจ็บป่วยร้องโอดโอยอยู่ คิดจะไปรักใคร คิดจะไปโกรธใครล่ะ หลงก็หลงไม่ไหวก็เห็นอยู่แล้วว่าร่างกายเจ็บป่วยขนาดนี้ เราก็แต่เพิ่มความคิดเราไปนิดเดียวว่า ถ้าหากว่าตายตอนนี้เราจะไปนิพพานง่ายที่สุด เพียงแต่คนที่จะคิดขนาดนั้นได้ บุญเก่าต้องสร้างมาพอทีเดียว
    ถ้าหากว่าทำมาไม่พอมันก็มืดบอด นึกไม่ออกคิดไม่ได้อยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นตุนบุญไว้ให้เยอะ ๆ เอาไว้วินาทีสุดท้าย แล้วคิดออกไปนิพพานได้ก็กำไรมหาศาลแล้ว ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นตั้งแต่ก่อนตายหรอก

    ถาม : อ้อ....แค่ตรงนั้นคิดออก และพูดออก ก็คือถึงเลย ?
    ตอบ : แค่นั้นแหละจ้ะ ไปเป็นเทวดาได้ก็กำไรบานแล้ว ถ้าขนาดนั้นนี่ถูกรางวัลที่ ๑ ที่ ๖๐ คู่เลยมั้ง ไม่ใช่...๖๐ คู่ มันกี่คู่นะ ๖๐ ล้านน่ะ
    ถาม : ทำไงถึงละสังโยชน์ได้ ?

    ตอบ : ก็ตั้งใจละจริง ๆ ซิจ้ะ ไม่ใช่ไปนั่งมองมันเฉย ๆ ทำจริง ๆ จ้ะ สังโยชน์สำคัญที่สุดข้อที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ว่าเห็นว่าตัวเราเป็นของเราละให้ได้ ถ้าหากว่าเราเป็นที่ตัวนี้แล้ว ตัวที่ ๒ วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราเข้ามาถึงระดับนี้ไม่เรียกว่าลังเลแล้ว ถ้าลังเลจะไม่เข้ามา ก็ถือว่าเป็นกำไรอยู่ในตัว ก็ไปเน้นหนักอีกนี่ ข้อที่ ๓ ทรงเรื่องของศีล พยายามรักษาสิกขาบทต่าง ๆ ให้บริสุทธิ์จนกระทั่งมันชินเป็นส่วนหนึ่งอันเดียวกับตัวเรา ไม่ล่วงศีลด้วยตัวเอง ไม่สนับสนุนคนอื่นล่วงศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นล่วงศีล ถ้าทำได้ขนาดนี้โดดไปคว้าตรงท้ายเลยตั้งใจว่าไปเมื่อไหร่จะไปนิพพาน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมันจะไปติดตรงนั้นจะไปติดตรงนี้

    ถ้าเราตั้งใจจะไปนิพพาน ตัวอวิชชาที่จะทำให้เรายึดติดในร่างกายนี้ในโลกนี้ ก็เป็นอันว่าโดนตัดไปด้วย ทำจริง ๆ อันดับแรกรักษาศีลให้บริสุทธิ์ อันดับที่ ๒ พยายามสร้างสมาธิให้ตั้งมั่นให้ได้อย่างน้อยปฐมฌาน เพื่อจะได้มีกำลังตัดกิเลสพอศีลบริสุทธิ์ สมาธิตั้งมั่นปัญญาก็จะเกิด ถ้าหากว่าปัญญายังไม่เกิด ยังไม่เห็นรู้ตามความเป็นจริง ยังไม่เข็ดยังไม่กลัวมัน ก็จะเกิดอยู่ร่ำไป
    ฉะนั้นถ้าถามว่าตัดอย่างไร เดี๋ยวหามีดมา สิ่งไหนที่มันพอตามันก็จะพอใจด้วย จำไว้ อย่างลืมว่าถ้าเราเกิดฉันทะความพอใจขึ้นมา ราคะยินดี อยากมี อยากได้มันก็จะเกิด ฉันทะบวกกับราคะ ภาษาพระเขารวมกันแล้วเรียกว่า อวิชชา เข้าใจหรือยังจ๊ะ เห็นอะไรแล้วพอตา พอใจก็เจ๊งเลย
    ถาม : เวลาเราอยู่ในภวังค์จวนจะหลับ ก็จะรู้สึกว่ามีพระท่านมาสอนอย่างนี้ค่ะ แต่ว่าพอเราตื่นขึ้นมารู้ตัวดีแล้วนี่เราจะไม่รู้เลยค่ะว่าท่านมาสอนอะไรค่ะ ?

    ตอบ : หลวงพ่อท่านสอนอยู่เสมอว่า นักปฏิบัติที่ดี กระดาษกับปากกาต้องใกล้มือไว้ พอท่านสอนเราก็เขี่ยเลย ไม่ใช่เขียน ตอนนั้นเขียนไม่ได้ บางทีเปิดไฟก็ไม่ได้ ต้องคลำทั้งมืด ๆ อย่างนั้นแหละ
    เพราะถ้าขยับมาก ๆ สมาธิคลาย สิ่งที่เราต้องการก็ไม่สามารถจะรู้ได้อีก เพราะฉะนั้นเขี่ยให้มาเป็นเลา ๆ ไว้ก่อนว่าท่านสอนเรื่องอะไร แล้วพอตื่นขึ้นมาก็มาอ่านมันจะได้ อาตมาเขี่ยประจำล่ะ พอถึงเวลาขึ้นมามันจะได้มีเค้าอยู่

    เรื่องของพระของเทวดาหรือผีบอกอะไรนี่มันแปลกอยู่อย่างว่า อย่ารอให้สว่าง รอสว่างปุ๊บมันค้นไม่เจอเลย หลวงพ่อเคยมาบอกให้ทำโน่นทำนี่อยู่ ๓ ข้อ เราก็ โอ๊ย...สบายมาก ๓๐ ข้อยังจำได้ มั่นใจหัวตัวเองใช่มั้ย ? ตื่นขึ้นมาเหลืออยู่ข้อเดียว อีก ๒ ข้อแคะเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ หาไม่เจอมันหายเงียบไปเฉย ๆ เหมือนกับไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่จำได้ว่าท่านให้ไว้ ๓ ข้อเป็นซะอย่างนั้น เพราะฉะนั้นให้รีบ ๆ เขี่ยไว้ก่อนให้มันมีเค้าว่าเป็นเรื่องอะไรถึงเวลามันจะได้แคะออก

    ถาม : แล้วอย่างบางทีเราได้ยินเสียงนะคะ แต่มองไม่เห็นตัวตน แต่ตอนนั้นยังไม่หลับเท่าไหร่ พอได้ยินเสียงมาเหมือนจะทำนองแบบไม่รู้ว่าหนูโดนทดสอบหรือเปล่าน่ะค่ะ แบบว่าเรานี่ดี อย่างเช่นเป็นคนดี เรียนดี เรียนเก่งอะไรอย่างนี้และมีอีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งเราคิดว่ามันไม่ได้เป็นไปตามนั้นเลย ?
    ตอบ : อันนั้นไม่ต้องห่วงอันนั้นข้อสอบชัวร์ ๆ เลย พระนั่นเจอมาเยอะต่อเยอะเลย อย่างของหลวงพ่อท่านทำ ๆ ไปก็มีคนเดินมาถึง ก็ถือดาบมา ๒ เล่ม โยนให้เล่มหนึ่งบอกมาฟันกัน หลวงพ่อบอกไม่เอาหรอก ถ้าแกอยากจะฟันก็ไปฟันเอา แกอยากจะฟันแขน ฟันขา ฟันคออะไรก็เชิญ ฉันยอมตาย เขาว่า เอ๊ะ เรามาเจอพระอรหันต์เข้าแล้วก็ก้มกราบ แล้วถ้าหลวงพ่อเชื่อว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์แล้วก็เจ๊งเลยสิใช่ไม๊ ?

    อย่างเช่นว่าบางทีพระปฏิบัติไป ปฏิบัติไป อยู่ ๆ เห็นเทวดาเดินมาตัวสว่างโร่มาเลย รู้เลยว่าพระหรือเทวดาในลักษณะนี้ เป็นพระอริยเจ้าแน่นอนเลย เพราะรัศมีส่ว่างผิดปกติไม่เหมือนเทวดาทั่วไป มาถึงก็กราบ ๆ ก้นโด่งเชียวนะ แหม...ชื่นใจเหลือเกิน นาน ๆ ได้กราบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบซะที เป็นเราคนกิเลสท่วมหัวก็เจ๊งเลย เทวดารู้ว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าแน่ ๆ มากราบเราแล้วก็บอกด้วยว่าเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมันจะไปหลงว่า เอ๊ะ...เราก็ไม่เลวนี่หว่า ดีไม่ดีจะเป็นโน่นเป็นนี่ซะหน่อยแล้วมั้ง แล้วเราก็ไม่ปฏิบัติต่อไม่ทำต่อ

    อย่างนี้เราก็เสียท่าเขา พวกนี้เป็นข้อสอบทั้งนั้น อย่าไปเชื่ออะไรง่าย ๆ รับรู้รับทราบไปด้วยความเคารพ อะไรไม่เหลือบ่ากว่าแรงพยายามทำไป ถ้าหากว่ามันเหลือบ่ากว่าแรงตะกายไม่ถึงก็ละไว้ก่อน ต่อไปเขาจะเปลี่ยนเป็นด่าแทน ชมแล้วมันอยากไม่พังดีนัก
    ถาม : แล้วอย่างที่ ...ถามเฉย ๆ นะคะ อย่างที่พระโสรยานี่คือ ?
    ตอบ : หูเป็นทิพย์
    ถาม : ได้ยินแต่เสียง ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นทิพโสต ได้ยินแต่เสียง จะใกล้จะไกลขนาดไหนในโลกนี้ก็ได้ ในโลกอื่นก็ได้ ถ้าต้องการฟังจะได้ยินหมด ถ้าหากว่าทิพจักขุญาณถึงจะเห็น

    ถาม : แล้วที่เราได้ยินเสียงเทวดาพูดคุยกันอย่างนี้คือ เป็นยังไงคะ ?
    ตอบ : ก็ลักษณะของทิพโสต แต่ว่ามันจะเป็นในลักษณะที่ว่าเขาปรับมาหาเรา ของเรากับเขานี่มันคนละคลื่นความถี่กัน ถ้าเราปรับไปหาเขาก็คือเราสร้างทิพโสตหรือทิพจักขุขึ้นมา แต่ถ้าเขาปรับมาหาเรา เขาจะใช้กำลังของเขาปรับมาเอง ถ้าเขาปรับมาหาเรานี่ชัดเป็นพิเศษ ถ้าเราปรับไปหาเขาส่วนใหญ่ความสามารถเรามันแย่ ก็ไม่ค่อ่ยชัดเท่าไหร่

    ถาม : แล้วอย่างเป็นเรื่องสมมุติน่ะค่ะ อย่างไปออสเตรเลียแล้วฝันว่ามีดวงวิญญาณดวงหนึ่งเขาเดินมาคุยกับเราเลย เขาบอกเราว่า เขาชื่อนี้เขามาตายที่นี่ เขาเป็นชาวที่นี่ แล้วก็อีกพวกหนึ่งก็จะเดินมาแบบมาขอบุญ แบบทำมืออย่างนี้น่ะค่ะ ที่ปลายเตียงเราแล้วก็เดินออกไปอย่างนี้ค่ะ
    คือในสิ่งที่เราเห็นดังกล่าว ณ พื้นที่ตรงนั้นเนี่ยแสดงว่าเรามีความสัมพันธ์กับพวกเขามาแต่เก่าก่อนหรืออย่างไรคะ เราจึงได้สัมผัสแล้วเจอ ?

    ตอบ : มีทั้งว่าเรามีความสัมพันธ์กับเขามาแต่เก่าก่อนก็ได้ ขณะเดียวกันเขารู้ว่าเราเป็นผู้ที่มีบุญเป็นนักปฏิบัติมั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา เขาสามารถที่จะได้ส่วนบุญกับเราได้ เขามาขอเอาเฉย ๆ ก็มี
    คราวหน้าให้เพิ่มความขึ้สงสัยขึ้นนิดหนึ่ง อย่างเช่นเขาบอกเสร็จเรียบร้อยถามว่ามีอะไรเป็นหลักฐานมั้ย อย่างเช่นว่าไปถามใครหรือว่าไปหาดูได้ที่ไหน เพื่อจะได้ยืนยันว่าเรื่องที่เธอบอกฉันเป็นเรื่องจริง แล้วเขาจะบอกให้ มันจะพิสูจน์ได้ง่าย ๆ อย่างว่าเขามีญาติมีโยมเหลืออยู่ที่ไหนบ้าง ที่เราจะติดต่อสอบถามเรื่องนี้ว่ามันถูกต้องมั้ย แล้วเขาจะบอกหมด แต่ตอนนั้นต้องรีบจดนะ อย่าให้สว่าง ๆ ลืมอีก

    ถาม : ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะแบบ อย่างเช่น เราไม่ได้ตั้งใจ คือตอนนี้กำลังจะเรียนต่อนะคะ คือเราไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นประเทศไหน พอดีในฝันนี่มาอีกแล้วค่ะ ชัดมาก เป็นชาวอินเดียมาบอกเราว่า ถ้าได้ไปอังกฤษให้ไปที่เมืองแทนสฟิว แล้วบอกว่าที่แห่งนี้จะเป็นป่าทึบแล้วมีลำธาร ก็แสดงภาพให้ดูเลย ซึ่งเราก็เอ๊ะ อะไร...เราไม่เคยคิดว่าเราไปจะไปไหนเลย ปรากฏหลังจากฝันได้มา ๑ ปี ตัวเองก็ไปสมัครไปก็ปรากฏว่า ที่อังกฤษรับเข้าเรียนแต่ว่าตอนนี้ยังสอบไม่ผ่าน แต่อังกฤษรับแล้วก็เลยไปค้นหาดูในอินเตอร์เน็ตน่ะค่ะ ว่าเมืองแทนสฟิวที่เขาพูดนั่นมันมีจริงหรือเปล่า ปรากฏไปเช็คดูมันมีจริง ๆ น่ะค่ะ ซึ่งเราก็ตกใจขนลุกซู่เลย เฮ้ย มันเป็นไปได้ด้วย แล้วลักษณะอย่างนี้มันเป็นเหมือนกับว่าเป็นเทพมาบอกก่อนล่วงหน้าหรือว่าอย่างไรคะ ?

    ตอบ : เรียกว่าอย่างนั้นก็ได้คือว่าเราอาจจะมีความสัมพันธ์เคยอยู่ที่นั่น เคยทำอะไรไว้ที่นั่น เขาเองเขาต้องการให้เรากลับไปสถานที่นั้น มันเป็นไปได้ ๒ อย่างว่า ถ้าอยู่ในสถานที่ ๆ เราคุ้นเคยสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำมันจะง่ายหรือว่าอยู่ในสถานที่ ๆ เขามีอำนาจถึง เขาสามารถช่วยเหลือสงเคราะห์เราได้ง่ายนะ คราวนี้บอกเขาด้วย จุดธูปบอกเขานึกถึงหน้าคน ๆ นั้นน่ะ บอกเขาบอกว่าตอนนี้จะไปแล้วล่ะ ช่วยสงเคราะห์ให้ทุกอย่างมันง่าย ๆ หน่อย

    ถาม : ค่ะ ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ตอนนี้ยังหาทุนยังไม่ได้เลยเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : บอกเขาไปตรง ๆ เลยเดี๋ยวเขาจัดการเอง เรื่องของผี ของเทวดา ถ้าเขาโอเค. ถ้าเขาต้องการจะช่วยต้องการให้เราไปจริงมันจะง่าย วิธีง่ายที่สุดคบกับผีคบกับเทวดาสบายใจ เขาไม่หลอกเราหรอก ของเขาได้เขาก็บอกว่าได้ ไม่ได้เขาก็บอกว่าไม่ได้ แต่ว่าอย่าตั้งใจมากนะ ทำใจสบาย ๆ ภาวนาหลับไปเหมือนเดิม

    ถ้าหากจุดธูปบอกเขาแล้วมีอะไรขัดข้องเดี๋ยวเขามาบอกเอง หรือว่าจะให้เราแก้ไขยังไง ไปหาใคร หรือขอทุนที่ไหนอย่างนี้ เดี๋ยวเขามาบอกเอง
    ถาม : การที่บุคคลซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่เราไม่รู้จักเลย อยู่ดี ๆ ก็อยากจะเข้ามาแย่งคิวที่จะสอนภาษาอังกฤษให้ ก็เลยว่าคนเหล่านี้นี่เพียงแค่เราเอ่ยปากว่า เราต้องการเรียนภาษาอังกฤษก็มาทั้งหมด ๓ คนเรียงกัน มาทั้งหญิงทั้งชาย แสดงว่าเราเคยมีความสัมพันธ์...?
    ตอบ : พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่เกิดมาในโลกแล้วได้พบกัน ในอดีตไม่มีความสัมพันธ์มานั้นไม่มี ต้องเคยมีความสัมพันธ์กันมาอย่างน้อย ๆ ในฐานะใดฐานะหนึ่ง

    หลวงพี่ประทีปพระที่น่ารักของท่าซุง เดินทางไปพร้อมกับหลวงพ่อ ทีนี้อเมริกามันหนาวนี่ พระใส่เสื้อกันหนาวไม่ได้ ก็ได้แต่ห่มจีวร ปรากฏว่ามีคุณมืดหลายคน เดินมาก็ส่งตังค์ให้เอาไปซื้อสเวตเตอร์ อีกคนหนึ่งก็มาส่งตังค์ให้บอกเอาไปซื้อซะ อีกคนก็ส่งตังค์ให้เอาไปซื้อซะ พระทั้งกลุ่มมันให้อยู่องค์เดียว ไม่ให้องค์อื่นด้วย ทีนี้ท่านก็งง ๆ ว่า อะไรกันวะ ? หลวงพ่อบอก เอ็งเคยเกิดที่นี่ เป็นหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง พวกนั้นลูกน้องเก่าเอ็งทั้งนั้นแน่ะ มันเห็นเจ้านายมันจำได้ มันก็เลยให้สตางค์ มันห่วงกลัวจะหนาวตาย
    ปรากฏว่าหลวงพี่ทีปแกกลับมา แกบอกว่า เฮ้ย...เล็ก ข้าไม่อยากจะเชื่อว่ะ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใจมันมีความผูกพันอะไร แกก็เปิดต้นขาให้ดูแกสลักรูปหัวอินเดียแดงอยู่น่ะ คือแสดงว่าใจลึก ๆ ของแก ๆ ก็ยังนึกถึงเรื่องเดิม ๆ ของแกอยู่ แต่ว่ามันไม่รู้ตัว พอไปถึงโน่นชัดเลย ยิ่งหลวงพ่อยันไว้ด้วยเถียงไม่ออกเลย ให้อยู่คนเดียวจริง ๆ พระนั่งอยู่ตั้ง ๔-๕ องค์ เป็นยังไงเจอหัวหน้าอินเดียนเข้าแล้ว
    นั่นน่ะลักษณะเดียวกัน คนเราที่เกิดมาในโลกนี้ได้พบได้เจอได้อะไรกัน ในอดีตไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมานั้นไม่มีหรอก อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีไม่ฐานะใดก็ฐานะหนึ่ง อาจจะเป็นครอบครัวเดียวกัน อาจจะเป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นสามี ภรรยา เป็นเพื่อนฝูง เป็นครูบาอาจารย์อะไรกันมาอย่างนั้น
    พวกนั้นอาจจะเป็นเพื่อนที่เรารักมากก็ได้ เคยซี้กันมาก่อนในอดีต มาชาตินี้ถึงเวลาเจอเพื่อนก็อยากจะช่วย เขาเองเขาก็ไม่รู้ตัว แต่ว่าความสัมพันธ์จะทำให้เหมือนกับมันดึงดูดกันเข้ามา เดี๋ยวพอไปแล้วก็จะเจอพวกนี้อีก ยิ่งสถานที่ ๆ เป็นถิ่นเก่าที่เป็นอะไรนี่นะ แต่ว่าให้ระวัง ๆ เอาไว้นิดหนึ่ง สถานที่เก่าที่ไหนก็ตามคนที่รักเรามีอยู่ อย่าลืมว่าคนที่เกลียดเราก็มีอยู่

    เพราะฉะนั้นถึงไปอยู่ก็ตามอย่าประมาท ต้องตั้งหน้าตั้งตาอยู่ในทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะภาวนารักษาอารมณ์ให้ทรงตัวไว้เสมอ ถึงเวลาอะไรจะเกิดขึ้นพรรคพวกเขาจะได้บอกเราได้
    ถาม : การที่เราจะได้ไม่ได้นี่ขึ้นอยู่กับจังหวะชีวิตด้วยหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : ขึ้นอยู่กับจังหวะ ถ้าหากว่าจังหวะไหนกุศลส่งอะไรก็ง่ายไปหมด ถ้าหากว่าเป็นช่วงอกุศลคือความไม่ดีที่เราทำไว้มันเข้ามา อะไรมันเข้ามาก็สะดุดติดขัดไปหมด จำเอาไว้ว่า เราเกิดเป็นมนุษย์ ต้นทุนเราพอแล้ว บุญเราต้องทำมาพอสมควรทีเดียวถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ได้ ในเมื่อบุญเราทำมาพอสมควรแล้วก็อย่าประมาท ต้องรีบเร่งทำไปให้มันมากขึ้น โดยเฉพาะตัวที่มันไม่เสียอะไรเลย ก็คือศีลกับภาวนา รักษาศีลให้ปกติ ภาวนาเจริญสมาธิให้เป็นปกติ พวกนี้จะเป็นบุญใหญ่กำลังสูงมาก

    ถ้าหากว่าเราให้ทานอย่างเดียว มันเสียทรัพย์เสียของเสียอะไร แต่ศีลกับภาวนาเราไม่ต้องเสียอะไรเลย เป็นบุญใหญ่ง่ายที่สุด บุญกุศลพวกนี้แหละที่จะตามส่งผลให้กับเรา ถ้าจะมีเคราะห์กรรมอะไรเนื่องด้วยสิ่งไม่ดีเก่า ๆ ที่เราทำมา ถ้าเราเป็นผู้มั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะตามสนองเราได้ไม่ถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เต็มที่ก็ได้แค่ ๑ ใน ๔ เท่านั้น อีก ๓ ส่วนนี่อานุภาพของทาน ศีล ภาวนากันไปเรียบร้อยแล้ว

    ยิ่งไปต่างประเทศยิ่งต้องอาศัยเยอะเลย เพราะว่าเราไปต่างบ้านต่างเมือง มันเหงาบ้าง เครียดกับการเรียนบ้าง เดี๋ยวถึงเวลาร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าเลย เคยเห็นเขาเผาเต่ามั้ย ? เขาจะเอากาบกล้วยพัน ๆ ๆ แล้วก็โยนเข้ากองไฟเลย เต่าก็ตะเกียกตะกายตายยากตายเย็นน้ำตาไหลน้ำตาร่วง โบราณเขาว่าอะไรมันมีเหตุ มีผลแต่บางคนเขานึกไม่ถึง ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่ามันจะเผาทำไม มันก็เผาไปกินนั่นแหละ (หัวเราะ) เต่าก่อนจะตายมันก็ดิ้นก็รนของมันน้ำตาไหลน้ำตาร่วง

    ถาม : ช่วงนี้ถ้าทำวิปัสสนาให้กายว่าง แต่ทำไม่ค่อยบ่อยน่ะค่ะ นาน ๆ ทีจะจับลมหายใจจะจับตอนนอนแล้วช่วงกลางวันนึกถึงความตายบ้าง วันหนึ่งประมาณครั้งเดียว ?
    ตอบ : ดีกว่าไม่นึกเลย จริง ๆ แล้วชีวิตเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกมันก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าไปใหม่มันก็ตาย เพราะฉะนั้นให้นึกถึงทุกลมหายใจเข้าออก นึกได้เมื่อไหร่ก็ เอ๊ะ นี่เราจะตายแล้วนี่หนอ ถ้าหายใจเข้าไม่หายใจออก ก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งเป้าไว้เลยว่าตายแล้วจะไปไหน
    ถ้าหากว่าเราคิดว่าเทวดาดีตายแล้วเราจะไปเป็นเทวดา คิดว่าพรหมดีตายแล้วเราจะเป็นพรหม ถ้าคิดว่าพระนิพพานดีตายแล้วเราจะไปพระนิพพาน ตั้งเป้าของเราเอาไว้
    ลักษณะของกำลังใจมันเหมือนกับสมาร์ทบอม ถึงเวลาเสร็จล็อคเป้ายิงมันถึงเวลามันทำงานของมันเอง เช้า ๆ ของเรา ๆ ก็ตั้งการงานของเราที่เราดำเนินมาแล้วทุกวัน ถ้าหากมันหมดอายุขัยหรือว่าเกิดอุบัติเหตุอันทำให้เราต้องตายไปภายในวันนี้ เราขอไปนิพพานที่เดียว แล้วภาวนาให้กำลังใจทรงตัวซักพักหนึ่งอาจจะ ๕ นาที ๑๐ นาที ถ้าทำอย่างหนี้ได้ วันนั้นทั้งวันต่อให้จิตมันวุ่นวายด้วยเรื่องงานเรื่องการอะไรก็ตามที ถ้ามันตายมันจะไปนิพพาน เพราะเราล็อคเป้าเอาไว้ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว สมัยนี้โทมาฮอคมันทำได้ใช่มั้ย ? เราเอามั่ง

    ถาม : ขนเจียมคืออะไรครับ ?
    ตอบ : ขนเจียมก็คือขนสัตว์ แต่คราวนี้มันเป็นขนสัตว์ที่เป็นเส้น ๆ มันไม่ใช่ขนที่เป็นหนัง อย่างเช่นว่า เขากร้อนมาอย่างนี้ ประเภทที่เราตัดตัดผมเลยล่ะ คำว่าหล่อสันถัดด้วยขนเจียม ก็คือทำที่นั่งด้วยขนสัตว์ แต่ที่เขาเรียกว่าหล่อก็เพราะว่า สมัยก่อนนี่เขาหล่อจริง ๆ เขาจะทำเป็นกะบะขึ้นมานะ แล้วเสร็จแล้วก็เอากาวลงครั้งหนึ่ง แล้วก็เอาขนสัตว์โรยให้ทั่วลงกาวอีกชั้นหนึ่งแล้วก็ขนสัตว์โรยให้ทั่ว ไล่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหนาตามต้องการ ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วก็ลอกออกมาทั้งผืน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ขอให้หลวงพี่อวยพรให้หน่อยค่ะ .....(จะแต่งงาน ขอพรจากหลวงพี่) ?
    ตอบ : ช่วยอวยพรให้หน่อย คำอวยพรทั้งหมดมันจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อ
    ๑. เราเป็นผู้มีความอดทน การที่เราครองคู่กันไป ช่วงที่เรารักกันอยู่มันเหมือนกับว่าเราต่างคนต่างนำเสนอในสิ่งที่ดี ๆ ของตัวเองให้อีกฝ่ายหนึ่งรับรู้ ข้อบกพร่องนี่เราเก็บมันเอาไว้ ในเมื่อเราเสนอแต่แต่สิ่งที่ดี ๆ ไปเขาชินกับสิ่งนั้น พอไปอยู่ร่วมกันเข้าข้อบกพร่องก็ปรากฏขึ้น ถึงตอนนั้นเราต้องทำใจให้ได้ว่าเขาเป็นปุถุชนคนหนึ่งย่อมมีอะไรที่มีส่วนไม่ดีอยู่เป็นธรรมดา ในเมื่อเรารักกัน เราใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เราก็ต้องยอมรับเขาให้ได้ อย่าถือทิฐิมานะปรับตัวเข้าหากันซะคนละครึ่งหนึ่ง

    อันดับต่อไปก็คือว่า ต้องมีความจริงใจต่อกัน มีอะไรพยายามพูดกันก่อน อย่าประเภทไปใช้อารมณ์ ถึงเวลางอนไป ๓ วัน กว่าจะเจรจากันรู้เรื่องคนง้อก็เหนื่อย คนงอนก็เหนื่อย มันไม่มีอะไรดีนอกจากจะทำให้ชีวิตครอบครัวแตกร้าวกันเสียเปล่า ๆ พองอนหลาย ๆทีเขาเลิกง้อขึ้นมาก็บ้านแตกอีก
    เพราะฉะนั้น สัจจะ จริงใจกัน ทมะ ต้องมีความข่มกลั้นเห็นอะไรที่มันไม่ดีไม่งามอะไรขึ้นมาหรือว่าในสิ่งที่เราคิดว่าเราถูก เขาไม่ถูกอะไรเหล่านี้พยายามข่มกลั้นเอาไว้ หาอะไรใส่ปากคาบไว้ก็ได้ อย่าเพิ่งว่าเขา

    ขันติ อดทนต่อการดำเนินชีวิต ชีวิตคู่น่ะมันเหนื่อยเพิ่มขึ้นอย่างน้อยเท่าหนึ่ง แทนที่จะเป็นตัวเราคนเดียวมันกลายเป็นเขาไปแล้วใช่มั้ย ? ก่อนหน้านี้เราไม่ซักผ้าซัก ๓ วัน ๗ วันก็เรื่องของเราได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว จะกินข้าวซักวันละมื้อ ๒ มื้อ กินเช้า กินดึกยังไงก็ได้ ตอนนี้ไม่ได้แล้ว มีอีกคนหนึ่งต้องคิดถึงอีกคนหนึ่งเขาไว้ เพราะฉะนั้นต้องเพิ่มความอดทนขึ้นอีกหลายเท่าตัว
    ตัวสุดท้ายคือ จาคะ เสียสละ ตัวนี้ก็คือว่า มีอะไรในส่วนที่เราคิดว่าเราพอที่จะสละ พอที่จะอภัยให้กับอีกฝ่ายได้ก็รีบ ๆ ทำเอาไว้ แล้วขณะเดียวกันว่าอะไรที่เรามีอยู่มันดีมันเหมาะมันสมสำหรับอีกฝ่ายหนึ่งก็พยายามหาให้เขา

    เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าชีวิตคู่ของเรามีความจริงใจต่อกัน มีความข่มกลั้น มีความอดทน มีความเสียสละต่อกัน มันก็จะอยู่ด้วยกันได้ยืนนาน ไม่มีพรอะไรที่จะรักษาชีวิตคู่ของเราเอาไว้ได้ นอกจากสิ่งที่เรากระทำดีต่อกันเท่านั้นเอง

    เทศนาวสาเน ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา (หัวเราะ) ไป ๆ มา ๆ มันจะกลายเป็นเทศน์ไปซะแล้ว เอาแค่นั้นแหละ ตั้งใจเอาไว้จำเอาไว้ว่ารักกันได้ กว่าจะตกลงกันได้มันยากมันเย็น ได้มาแล้วรักษาเอาไว้ให้ดี โดยเฉพาะถนอมน้ำใจต่อกัน พยายามประเภทปิยะวาจาต่อกันมีอะไรพูดดีต่อกัน เราแต่งงานไปเราไม่ได้แต่งงานกับเขาคนเดียว แต่ว่าเราต้องแต่งกับครอบครัวกับญาติพี่น้องของเขาอีกเยอะแยะ คนที่เรารักอาจจะดี แต่ญาติของคนรักของเราอาจจะงี่เง่าไม่เอาไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องอึดมาก ๆ เลย
    อาตมาทุกวันนี้เคยบอกกับรุ่นน้องว่าให้นางสาวไทย พ.ศ. ล่าสุดมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า บอกว่า ท่านเจ้าขาสึกไปแต่งงานกับดิฉันเถิด บอกไม่ไหวนึกแล้วมันสยดสยอง คือมานึกแล้วว่าเราแต่งกับเขามันไม่ได้แต่งคนเดียว มันต้องแต่งกับครอบครัวเขา กับญาติพี่น้องของเขาอีก ตั้งเยอะตั้งแยะ แล้วเดี๋ยวจะต้องมีลูก มีหลาน มีเหลน มีโหลน จะต้องไปดำเนินชีวิตในลักษณะของฆราวาส บอกมันได้ยินแล้วมันสยอง ไปไม่ไหว ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดี เขาดีแต่เราเองมันไปไม่รอด

    เพราะฉะนั้นต่อให้เป็นนางสาวไทย พ.ศ. ล่าสุดมาขอแต่งงานขอชมว่ากล้าหาญมากต้องให้เหรียญอะไร ? กางเขนเหล็ก ?
    ....ชีวิตคู่พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้ามีศีลมีทานเสมอกันอยู่กันได้นาน ท่านบอกว่าเป็นคู่เทวดากับเทวดา มันจะมีคู่เทวดากับเทวดา เทวดากับมนุษย์ เทวดากับนางผีเสื้ออะไรอย่างนี้ ไล่ไปเรื่อยสลับกันไปสลับกันมา ถ้าได้คู่เทวดากับเทวดา มนุษย์กับมนุษย์ ผีเสื้อกับผีเสื้อ ผีเสื้อนี่ก็คือยักษ์ ยักษ์กับยักษ์อย่างนี้ มันก็เรียกว่ายังไง ถูกฝาถูกตัว มันไม่ผิดฝาผิดตัว
    เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ากระโดดข้ามไปกระโดดข้ามมาล่ะก็ ชีวิตคู่อาจจะไม่ดีพอหรืออาจจะไม่ยืนยาวอย่างนี้เป็นต้น โบราณเขาถึงจะต้องมีการดูดวง แต่จริง ๆ แล้วดวงนั้นน่ะมันขึ้นอยู่กับเรามากกว่า ถ้าตั้งใจจะประคับประคองมันให้ดีจริง ๆ อยู่กันด้วยความอดทนอดกลั้นมันต้องได้ดีอยู่แล้ว
    แต่งงานก็มาหาพระใช่มั้ย ? ถึงเวลาวันแต่งก็ทำบุญเลี้ยงพระ มีลูกก็หาพระตั้งชื่อให้ ถึงเวลาก็มีการโกนผมไฟเดือดร้อนพระอีก

    สมัยก่อนนี่ถ้าหากว่าเข้าเรียนก็ส่งไปโรงเรียนวัดอีก ถึงเวลาจะแต่งงานแต่งการก็ถึงพระอีก เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาพระสวดต่อนาม ตายขึ้นมาพระสวดบังสุกุล โบราณเขาเก่งเขาผูกพวกเราอยู่กับความดีตลอด พวกเรามันสู้โบราณไม่ได้ ไม่เห็นความฉลาดล้ำลึกของคนโบราณ
    ถาม : อย่างคนที่เขาไป (ไม่ชัด) แต่หลังจากที่เขาผิดแล้ว แล้วเขาก็ไม่ได้ผิดอีก เพราะเขาไม่ได้คืน อย่างนี้ถือว่าเขาผิดมั้ย ?
    ตอบ : ถ้าหากว่ายังไม่มีการไปขอขมากันความผิดนั้นก็ยังมีอยู่ โบราณเขาถึงได้ว่า ถ้าหากว่าเวลามีการหนีตามกันไป มีการฉุดกันไป โบราณเขาถึงมีการขอขมา การขอขมานี่ ถ้าหากว่าอีกฝ่ายหนึ่งยกโทษให้ถือว่าเป็นการอโหสิกรรม คือจะไม่มีโทษอีกเลย
    ถาม : อย่างศีลข้อ ๑ นี่เราฆ่าไปแล้ว ๆ เราขอขมานี่ตรงนั้นอาจว่าศพ ศพนี่เขาอาจจะไม่ให้อภัยเรา แต่หลังจากนั้นเราไม่ฆ่าอีก ตรงนี้จะถือว่าผิดมั้ยคะ ?

    ตอบ : ตรงนั้นน่ะ โทษเก่าจะถือว่าไม่ผิดไม่ได้ มันผิดอยู่ แต่ว่าโทษใหม่มันไม่มี เพราะเราพยายามทำในด้านดีให้มากเข้าไว้ ให้จิตมันเคยชินกับความดี จะได้ไม่นึกถึงความชั่วที่เคยทำไว้ตรงนั้นอีก ไม่ว่าศีลข้อไหนก็ตาม เมื่อเราล่วงเราละเมิดไปแล้ว ให้ตั้งหน้าตั้งตารักษามันใหม่ทันที อย่าไปหวนคิดถึงของเก่า
    เพราะว่าถ้าคิดถึงของเก่าแล้วใจมันจะหมอง ตั้งหน้าทำดีเข้าไว้ให้ความดีมันเคยชินอยู่ในใจเรา ถ้าหากว่าจิตมันเกาะความดีจนชิน ถึงเวลาตายมันไปดี

    ถาม : เพราะฉะนั้น คนที่ผิดศีลข้อ ๓ นี่ถ้าฝ่ายเจ้าของเขาไม่อภัยอยู่แล้ว แต่ว่าผู้ที่เข้ามาอยู่ด้วยกันเขาก็พายามปฏิบัติธรรมน่ะนะคะ ตอนนี้มันได้นิดหน่อย แต่...?
    ตอบ : ผิดน่ะผิด แต่ถ้าหากว่าเราทำความดีสูงกว่ากำลังของความดีมันก็สามารถส่งให้เราไปได้แต่ว่ามันประมาทไม่ได้เลยนะ
    ถาม : เราจะถือว่าเขาจะไม่ผิดอีกแล้วตอนนั้น แต่ว่าเขาไม่คืนให้ตอนนี้นี่จะถือว่าเขาถือศีลบริสุทธิ์ได้มั้ยคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเราไม่ละเมิดคนของเขาอีกก็ไม่เป็นไร
    ถาม : ถ้าเราไปเอาของเขา แล้วได้รับความยินยอมจากเขา ?
    ตอบ : อันนั้นไม่ผิด
    ถาม : แต่ว่าต้องยินยอมด้วยใจจริง ๆ ใช่มั้ยคะ ?

    ตอบ : หลอกให้เขาเอ่ยปากยอมก็ใช้ได้แล้ว เรื่องของธรรมะเขาตรงไป ตรงมา ถ้าบอกว่ายอมก็เป็นอันว่าจบเลย พยายามไปกล่อมเขาหน่อยก็แล้วกัน
    ถาม : แล้วอย่างกรณีที่เรานั่งสมาธินี่ อย่างความรู้สึกเราจะรู้สึกว่าหลวงพ่อท่านมาโปรดเราหรือมาสงเคราะห์เรานี่ มันจะมีเกณฑ์อะไรวัดคะ เพราะบางครั้งมันเหมือนกับว่าเราคิดเองเพียงแต่ว่าภาษาพูดมันเหมือนกับเป็นตัวแทนอะไรอย่างนี้ ?

    ตอบ : บางที บางอย่างบางเวลา เราถามท่านในเรื่องที่มันจะเกิดขึ้นในระยะใกล้ ๆ ไม่ใช่ว่าเราปรามาสในครูบาอาจารย์ แต่ต้องการจะทราบจริง ๆ ว่าที่มาท่านมาจริง ๆ มั้ย ?
    เพราะฉะนั้นถามเรื่องที่จะเกิดขึ้นใกล้ ๆ อย่างเช่นว่า สมมุติว่าพรุ่งนี้เราออกไปข้างนอกจะเจอใครก่อน คนนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไรแล้วเราก็จดจำไว้
    ถ้าหากว่ารุ่งขึ้นเป็นไปตามนั้นจริง ๆ ก็แปลว่าใช่อย่างนี้เป็นต้น แต่ถ้าถามหวยก็คงจะโดนไม้ตะพด เพราะฉะนั้นก็เลือกถามเอาหรือไม่ก็จะมีเหตุดีหรือไม่ดีเกิดขึ้นในครอบครัว ถ้าเกิดขึ้นจะเกิดในลักษณะไหนอย่างนี้ ถามเพื่อต้องการความมั่นใจไม่เป็นไร

    ถาม : แล้วอย่างการที่เรารู้สึกว่าท่านมาโปรดนี่ อาจจะไม่ใช่ทุกครั้งที่เป็นท่านใช่มั้ยคะ บางครั้งเราอาจจะคิดเองก็ได้ใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : มันอาจจะมีได้ทั้งสองอย่าง แต่ถ้าหากว่าเราเคยใช้อารมณ์ใจนั้นจนชินแล้วมั่นใจ พอความรู้สึกนั้นมันเกิดขึ้นมา เราจะรู้ทันทีว่านั่นแหละของจริง หลวงพ่อท่านถึงได้ย้ำแล้วย้ำอีกบอกให้จำอารมณ์นั้นไว้ ถ้าเราจำได้ถึงเวลาอาการเกิดขึ้นตามนั้นก็แปลว่าใช่ ถ้าหากว่าผิดไปจากนั้นก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจจะไม่ใช่

    ถาม : ที่เมื่อวานบอกว่าถ้าเรื่องงานให้ติดต่อกับพระวิสุทธิเทพนี่ คำว่าพระวิสุทธิเทพนี่ในความหมายก็คือ.....?
    ตอบ : พระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน จุดธูปบอกท่านกลางแจ้งก็ได้
    ถาม : จะองค์ไหนก็แล้วแต่หรือคะ ?
    ตอบ : ก็เอาว่า องค์ปัจจุบันแล้วกัน
    ถาม : มีอีกอันหนึ่งคือ เพื่อนเขาถามมาคือเขาจะจับลมหายใจไม่ค่อยจะได้ พอจับไปซัก ๓-๔ หนมันก็จะหายไปทุกครั้ง เขาก็มีความรู้สึกว่า ทำไมเขาถึงจับไม่ได้ ?
    ตอบ : บางทีเขาอาจจะมีสมาธิสูงไปเลยก็ได้นะ ลมหายใจหายไปเลยนี่อย่างน้อย ๆ มันจะต้องเป็นปฐมฌานละเอียดหรือไม่ก็เป็นฌานที่ ๒ ความรู้สึกของจิตกับกายมันแยกออกจากกันเราจับอาการของลมหายใจเข้า-ออกไม่ได้นะ

    เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นบอกเขา บอกว่าลองอย่าไปควานหาลมหายใจ ทำเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ให้กำหนดสติรู้ไว้ว่าตอนนี้ลมมันไม่มีแล้ว มันจะมีคำภาวนาหรือไม่มีคำภาวนาก็ให้รู้ไว้อย่างนี้เป็นต้น
    ถ้าหากว่าเราทำใจรักษาไว้ในระดับนี้ได้ มันจะก้าวหน้าไปอีก ถ้าหากว่ามันเป็นฌาน ๒ อย่างที่ว่า ว่าจริงนะจ๊ะ แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ก็แปลว่าจิตของเขาหยาบ เผลอไปกับลมหายใจเข้าออก ก็ให้ย้อนกลับมานึกถึงลมหายใจเข้าออกใหม่ เป็นไปได้ทั้ง ๒ อย่าง ทีนี้ตัวเขาเองต้องสังเกตเองว่ามันเป็นแบบไหน
    ถาม : ไม่สอนนั่งสมาธิเหรอคะ ?

    ตอบ : คือว่าบ้านสายลม เขาสอนเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเราไปสอนมันเหมือนกับสอนแข่งกับสำนักใหญ่ มันน่าเกลียด เพราะฉะนั้นถ้าใครปฏิบัติมาติดขัด สอบถามตรงนี้ดีกว่า
    ถาม : ............ปกติจะหยอดทุกวัน ทีนี้จะไม่อยู่บ้านเดือนหนึ่ง ก็เลยจะหยอดเผื่อไว้ ๓๐ วันที่กำลังจะมาถึงข้างหน้านี่ถือว่าถูกต้องมั้ยคะ ?
    ตอบ : ก็ได้เหมือนกัน คือความตั้งใจของเรา แต่จริง ๆ ถ้าหยอดทุกวัน จิตก็คือจิตใจของเราได้สละออกทุกวัน ประเภทที่ว่าทำบุญทีละบาท ทำ ๓๐ ครั้งโอกาสดีกว่าทำบุญที ๓๐ บาทแต่ทำครั้งเดียว ดีกว่าตรงที่ว่าจิตใจเราได้สละออกทุกวัน ได้นึกถึงบุญทุกวัน มันจะอยู่ในกุศลที่มากกว่า แต่อันโน้นมันจะได้นึกถึงครั้งเดียวได้ทำครั้งเดียว

    เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วก็คือมันใช้ได้ทั้งคู่ แล้วแต่ว่าโอกาสมันจะอำนวย แต่ถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้วหยอดทุกวันโอกาสมันจะดีกว่า เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสทำทุกวันก็ทุกวัน ถ้าไม่มีทุกวันก็เล่นมันทีหนึ่ง ๓๐ เหรียญไปเลยหรือจะเอา ๓๖๕ เหรียญ (หัวเราะ) เล่นมันปีละครั้งเลย
    ถาม : แล้วถ้าเรามีการแผ่เมตตา สวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน นี่ถ้าเราทำทุกวันเป็นกิจวัตรไม่มีพลาดอะไรเลย ถือว่าเป็นการดีใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่ามันไม่มีพลาดเลย ถ้าไม่ได้ทำแล้วรู้สึกทันทีว่าเราขาดการกระทำอันนั้นจำเป็นต้องรีบไปทำ อันนั้นถือว่าทำเป็นฌานแล้ว ความดีมันมั่นคงแล้ว

    แต่ทีนี้การแผ่เมตตาของเรานี่ลักษณะไหน การแผ่เมตตา กำหนดจิตของเราให้มีความรู้สึกว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร เรายินดีเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วโลก ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายภพไหนภูมิไหน ก็ขอให้เขาพ้นจากความทุกข์อยู่ดีมีสุขด้วยกันในลักษณะนี้
    ส่วนอีกอย่างหนึ่งไม่ได้เรียกว่าแผ่เมตตา เรียกอุทิศส่วนกุศล ของเราใช้คำพูดผิด อุทิศส่วนกุศลก็คือ เราทำความดีในทาน ในศีล ในภาวนาเสร็จก็ตั้งใจให้เขา อันนั้นดีมากเลย เพราะว่าบุคคลที่เขามารอรับน่ะมีอยู่ทุกครั้งแหละ เพียงแต่เราจะเห็นหรือไม่เห็นเท่านั้น ถ้าหากว่าเขามาแล้วเราไม่ให้เขาก็ถือว่ามาเก้อ บางทีเสียใจเดินน้ำตาร่วงไปเลยอุตส่าห์ตะกายมาทั้งทีแล้วทำไมไม่ให้เราวะ ?
    ถาม : หนูใช้วิธีตามของหลวงพ่อน่ะค่ะ ?
    ตอบ : ทำตามนั้นก็ถือว่าสมบูรณ์แล้ว
    ถาม : แต่ไม่มีตรงที่ให้พ่อแม่น่ะค่ะ ?
    ตอบ : ในนั้นเขาบอกอยู่แล้ว บอกว่าให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วใช่มั้ย ? จะเป็นญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี ถ้าหากว่าจะให้พ่อแม่ที่มีชีวิตอยู่บอกท่านตรง ๆ เลยว่าเราทำอะไรขอให้ท่านโมทนาด้วย ถ้าหากว่าท่านไม่เอ่ยปากคัดค้านก็ถือว่าใช้ได้แล้ว คนเป็นต้องบอกกับตัวเอง แต่ว่าคนตายนี่เหวี่ยงแหได้

    ถาม : ..................................
    ตอบ : การสวดมนต์ทำวัตร ถึงเราจะชอบภาวนาก็ตามพยายามทำไว้ เพราะว่า การภาวนาจิตใจของเรามันอาจจะฟุ้งซ่านไม่ทรงตัวก็ได้ การสวดมนต์ทำวัตรจริง ๆ ถ้าเราทำเป็นมันก็คือ การทำสมาธิดี ๆ นี่เอง อีกอย่างหนึ่งถ้ากำลังใจเราเฮงซวยห่วยแตกจริง ๆ ตอนนั้นจะคิดชั่วอย่างไรก็ตามมันพูดชั่วไม่ได้ เพราะสวดมนต์อยู่ ทำชั่วไม่ได้เพราะนั่งอยู่ ต่อหน้าพระ อย่างน้อย ๆ ความเลว ๓ อย่างมันโดนตัดไป ๒ อย่างเป็นอย่างน้อยแล้ว
    เพราะฉะนั้นหลวงพ่อท่านถึงได้สั่งพระของท่านว่า ให้สวดมนต์ทำวัตรทุกวันอย่าให้ขาด ถ้าหากว่าทำเป็นการสวดมนต์ทำวัตรสร้างเป็นทิพจักขุญาณได้ เข้าฌานเข้าสมาบัติได้ไปนิพพานได้ง่ายนิดเดียว จะทำเป็นทิพจักขุญาณก็นึกถึงตัวหนังสือขึ้นมาเลย อิติปิโสภะคะวา อะระหังสัมมาสัมพุทโธ ขึ้นมาทีละตัวเลย ชัดเจนแค่ไหนทิพจักขุญาณก็ชัดแค่นั้น จะไปนิพพานก็โดดพรวดขึ้นไปกราบพระบนนิพพานเลย ตั้งใจสวดถวายเป็นพุทธบูชาอยู่ตรงนั้น
    ตราบใดที่จิตยังมีงานทำมันก็จะไม่เคลื่อนไปจากจุดนั้น เราสวดได้นานเท่าไหร่เราก็อยู่บนนิพพานได้นานเท่านั้น ตกลงว่าถ้าทำเป็นทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทรงความดีได้จนถึงที่สุดทั้งนั้น

    ถาม : หนูสวดคาถาพระอินทร์น่ะค่ะ สหัสสเนตโต จะสวดก่อนอ่านหนังสือแล้วอ่านเสร็จก็จะสวดอีก ๑ จบ แล้วคืนนั้นนอนแล้วหนูรู้สึกว่ามีคนมาบอกว่า ในฝันน่ะนะคะ เหมือนเราเข้าไปนั่งทำในห้องสอบเลย แล้วเป็นข้อสอบแบบสอบฟังค่ะ ภาษาอังกฤษ พูด ๆ มาหมดเลยแล้วเราก็ทำในนั้นในฝันน่ะค่ะ เป็นข้อสอบเดิมย้ำ ๆ ๒ รอบน่ะค่ะ พอตื่นมาจำไม่ได้เลยค่ะ คือแสดงว่ามีเทพมาหรืออะไร ?

    ตอบ : คือจริง ๆ แล้ว ตัวคาถาท่านปู่พระอินทร์นี่เป็นทิพจักขุญาณอย่างหนึ่ง ทิพจักขุญาณนี่ก็สามารถจะล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้าหากว่าเราทำคาถานี้คล่องตัวจริง ๆ ท่านบอกว่าเวลารับกระดาษคำถามมาแล้วให้คว่ำลง ตั้งใจขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดาทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้ทำข้อสอบนี้ได้ถูกต้องและก็ถูกใจกรรมการผู้ตรวจข้อสอบด้วย แล้วก็คว่ำกระดาษลง ตั้งใจว่านะโม ๓ จบว่าคาถานี้ ๓ จบพอพลิกขึ้นมาอ่านคำถามดู ถ้ายังทำได้ไม่หมดคิดว่าทำได้ไม่หมดก็คว่ำลงว่าคาถาซะอีก ๗ จบ คราวนี้รู้สึกอยากทำอย่างไรให้ทำอย่างนั้นเลย
    เคยทดลองมาแล้วได้ผลดีมาก มันดีขนาดตอบตรงทุกตัวอักษรเลย ของพระนี่จะไม่มีช้อยให้เลือก ของพระมีแต่จงอธิบายความ แล้วจงอธิบายความนี่ ถ้าเจอ ๓ หน้ากระดาษ ๕ หน้ากระดาษ มันแย่เหมือนกันใช่มั้ย ? แต่ทีนี้ของเรามันแย่หนักกว่าตรงนั้นอีกก็คือว่า แย่ตรงที่มันดันตรงทุกตัวอักษร ถ้าเขาจับเราว่าเราลอกข้อสอบนี่เจ๊งเลย เถียงเขาไม่ออก คุณไม่ได้ลอกมันเขียนตรงได้ยังไงเยอะขนาดนั้นน่ะ ความรู้สึกมันชัด ๆ เลยว่ามีพลังงานวิ่งปี๊ดลงตรงนี้ แล้วมันกระจายไปทั่วตัว โดยเฉพาะมือ มันสั่นเลยล่ะ ประเภทแทบจะบังคับไม่อยู่ ต้องประเภทใจเย็น ๆ ถ้าขืนเขียนไม่สวยเดี๋ยวเขาไม่อ่าน แล้วมันจะแย่จะเป็นอย่างนั้น ความรู้สึกเป็นยังไงว่าไปตามนั้น ข้อสอบไม่มียากเลย บางคนที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อถามหลวงพ่อว่า เด็กไม่อ่านหนังสือแล้วไปทำข้อสอบในลักษณะนั้นเด็กมันไม่โง่หรือ หลวงพ่อบอกว่าไม่ว่าข้อสอบออกอะไรเด็กมันก็ทำได้แล้วมันโง่มั้ยล่ะ เหลือเชื่อเหมือนกันนะ แต่ถ้าหากว่าเราได้อ่านซะหน่อยหนึ่ง มันจะเป็นการดีมากกว่า อันนี้ลองมาด้วยตัวเองได้ผลเกิน ๑๐๐%

    ถาม : แล้วตอนอ่านหนังสือความจำจะดีด้วยมั้ยคะ ?
    ตอบ : ความจำจะดีด้วย ถ้าหากว่าเวลาที่เราจะสอบถ้าเราว่าคาถาว่าอะไร ถ้าจิตของเรานิ่งจริง ๆ ความรู้สึกมันจะย้อนกลับไปถึงตำราที่เราอ่านย้อนทวนได้หมดเลย เหมือนเรากางตำราลอกเลย ค่อย ๆ ทำซ้อมไว้ทุกวัน
    ถาม : นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่อ่านได้มั้ยคะแต่ท่องคาถา ?
    ตอบ : ก็ให้อ่านไว้ซะหน่อยเผื่อเหนียวไว้ จริง ๆ แล้วที่อาตมาทำข้อสอบก็คือว่าปีนั้นป่วยหนัก พอป่วยหนักเสร็จไม่มีเวลาอ่านหนังสือ แล้ววิชาของพระหนังสือมันตั้งแค่นี้มันออกข้อเดียว (หัวเราะ) คุณอ่านมันอาจจะไม่ออก แต่ถ้าคุณไม่อ่านมันออกแน่ ๆ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : การแก้กรรมมีจริงมั้ยคะ ?

    ตอบ : การแก้กรรมมีจริง แต่บุคคลที่แก้กรรมให้ต้องรู้จริง ๆ สามารถติดต่อเจ้ากรรมนายเวรได้จริง ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเขาบอกให้ทำแบบไหนแล้ว ทำแบบนั้นสิ่งนั้นก็จะพ้นไปได้ อย่างเช่นว่า บางคนเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยกรรมอะไรบางอย่าง เขาต้องการทดแทนแบบไหน แล้วทำให้เขาไป อาการป่วยนั้นจะหายทันทีเลยไม่ต้องรักษาไม่ต้องอะไรก็ได้ แต่อย่าลืมนะคนนั้นต้องรู้จริง ๆ ถ้ารู้ไม่จริงอาจจะลำบากหน่อย โดนหลอกได้ง่าย

    ถาม : มีโฆษณาเยอะมาก ?
    ตอบ : โฆษณานั้นอย่าเพิ่งเชื่อ เรื่องกฏของกรรมนี่ถ้าเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา เขาจะสนองเราได้ไม่ถึง ๒๕% อีก ๓ ส่วนนั่นโดนอานุภาพของทาน ศีล ภาวนาป้องกันไว้แล้ว

    เพราะฉะนั้นเราแก้กรรมทำด้วยตัวเองก็ได้ โดยเฉพาะทาน ศีล ภาวนามันมีผลบุญสูงสุด ทานให้ผล ๑๐๐ ส่วน ศีลให้ผล ๑๐,๐๐๐ ส่วน ภาวนาให้ผล ๑,๐๐๐,๐๐๐ ส่วน เพราะฉะนั้นภาวนาจะให้ผลสูงสุด ถ้าเราทำจนกระทั่งกำลังใจทรงตัวเป็นปกติพวกกรรมเก่ามันจะตามได้ยาก แล้วถ้าหากว่าเรายิ่งหลุดพ้นไปเลยก็เป็นอันว่าจบกันไม่ต้องตามกันเลย

    ถาม : แล้วเราอธิษฐานช่วยคนอื่นได้มั้ยคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าถึงระดับที่ว่าจบกันไปแล้วมันจะเกิดฤทธิ์อย่างหนึ่ง เขาเรียกว่า อธิษฐานฤทธิ์ กับบุญฤทธิ์ ๒ อย่างนี่สามารถช่วยคนได้
    ถาม : ถ้ายังไม่ถึงก็ไม่ควรใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ถ้ายังไม่ถึงช่วยได้แต่มันก็ได้น้อย
    ถาม : เพราะว่าอย่างแม่เขาจะเป็นโรครักษาไม่หายซักที เสร็จแล้วอย่างหนูสวดมนต์หรือคนอื่นเขาจะทำบุญนี่หนู ๆ ก็จะ...(ไม่ชัด) ?
    ตอบ : ไม่เป็นไร ทุกครั้งก็บอกให้เขาโมทนาอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเขาด้วย ทำไปเรื่อย ๆ ทีละนิดทีละหน่อยดีกว่า ถ้าหากว่าไปแก้กรรมประเภทที่ว่าไม่ถูกต้องตามศีลตามธรรมเดี๋ยวจะเสียหายกันยกใหญ่เพราะมันจะเรียกกันเยอะ ๆ
    ถาม : ก็จะมีเพื่อนแนะนำให้ไปวัดโน้นวัดนี้บ้างแต่ก็ไม่กล้าไป ?
    ตอบ : ลำบากหน่อย ถ้าหากว่าไม่มั่นใจก็ย่อง ๆ ไปดูเขาก่อนอย่าเพิ่งพาคนไข้ไป ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เข้าไปเหมือนนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ไปสังเกตการณ์ก่อนก็ได้ ถ้ายิ่งได้ทิพจักขุญาณก็ดูมันเลย ดูมันทำได้จริงหรือเปล่า ?
    ถาม : แล้วอย่างหนูทำบุญทุกวันหยอดเงินบาทหนึ่ง หยอดเงินหน้าหิ้งพระค่ะ แล้วหนูยังไม่ได้เอามาถวายถือเป็นการทำบุญหรือเปล่าคะ ?

    ตอบ : เป็นแล้ว เพราะว่าเราตั้งใจอยู่แล้วว่าเงินส่วนนี้จะทำบุญ ถ้าหากว่าเราตายตอนนั้นผลบุญอันนั้นเราได้เลย แต่พระขาดทุน เพราะยังไม่ได้รับสตางค์ (หัวเราะ) อันนี้ไม่ต้องกังวล อันนี้เป็นบุญอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าของเรานี่ เจตนามันเป็นบุญอยู่แล้ว พอเราได้ทำไปผลบุญนั้นก็เป็นอันสำเร็จแล้ว มันก็เหลืออยู่เพียงว่ามีวาระมีโอกาสก็เอาเงินนั้นมาถวายพระ เพราะฉะนั้นห้ามตายก่อน ตายก่อนพระขาดทุน

    อธิษฐานบารมีนี่สำคัญนะ เป็นบารมีที่สำคัญมาก คนที่ไม่ถึงระดับปรมัตถบารมีใช้อธิษฐานไม่เป็นด้วยซ้ำไป บางคนก็เข้าใจผิดว่า อธิษฐานบารมี อย่างเช่นว่า ทำบุญแล้วขอให้เป็นนั่นขอให้เป็นนี่ ขอให้ได้นั่นขอให้ได้นี่ปรากฏว่าเป็นการโลภเขาไปคิดอย่างนั้น อันนั้นไม่ใช่ อธิษฐานบารมีเป็นการเจาะจงว่าผลบุญที่เราทำจะให้มันเกิดอะไร จะให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ สำหรับตัวเราเป็นการเจาะจงเวลา ถ้าหากว่าเราต้องการของอย่างหนึ่งตอนนี้ ถ้าเราไม่ตั้งใจไว่กอนมันมาอีกโน่นปี ๒ ปี ข้างหน้า ซึ่งไม่มีประโยชน์กับเราแล้ว

    อธิษฐานบารมีเป็นการยิงปืนเล็งเป้าเพื่อให้ถูกต้องเป้าหมาย ถ้าหากยิงเหวี่ยงแหส่งเดชไปมันอาจจะไม่ถูกเป้าหมายเลยก็ได้ สิ่งที่เราทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วเขาส่งผลอยู่แล้ว
    อธิษฐานบารมีนี่เป็นการจำกัดว่าจะให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดผลอย่างไร มันไม่ได้โลภอะไรเลย เพียงแต่กำหนดให้มันแน่นอนลงไปเท่านั้น เรื่องของอธิษฐานบารมีนี่ถ้าหากว่าเราสร้างสาเหตุได้เพียงพอ ผลมันก็จะเกิด ทีนี้ถ้าหากว่าเหตุมันยังไม่พอผลมันก็ยังไม่เกิดหรอก
    อย่างเช่นว่าน้ำขวดนี้ ยกตัวอย่างน้ำนี่ง่ายดี ถ้าหากว่าโยมสร้างเหตุเพียงพอก็คือ น้ำมันจะเต็มขวดแล้ว โยมตั้งใจอธิษฐานขอน้ำขวดหนึ่งโยมได้แน่นอน แต่ถ้าหากว่าน้ำมันแค่นี้ แล้วโยมตั้งใจขอน้ำขวดหนึ่งโยมได้แน่นอน แต่ถ้าหากว่าน้ำมันแค่นี้ แล้วโยมตั้งใจขอน้ำเต็มขวด เขาก็ให้เราไม่ได้เพราะว่ายังไม่เต็ม
    เพราะฉะนั้นเราต้องทำเหตุให้เพียงพอ ผลถึงจะได้ เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องตรงไปตรงมา

    ที่หลวงพ่อโตวัดระฆัง ท่านบอกว่า ถ้าเจ้าไม่สร้างเอาไว้แล้ว เที่ยวไปขอร้องขอต่อคนอื่นเมื่อไหร่เจ้าจะได้ เพราะฉะนั้นก็เลยจำเป็นอยู่ตรงนี้ว่า เราต้องทำให้เพียงพอ ถึงเวลาอธิษฐานว่าเราต้องการอย่างไรมันถึงจะเป็นอย่างนั้น

    ถาม : การสวดมนต์นี่ถือเป็นภาวนาอย่างหนึ่งมั้ยครับ ?
    ตอบ : เป็นแน่นอน เมื่อกี้อธิบายไปแล้วว่ากันได้ยันนิพพานไปเลย สวดมนต์อย่างเดียวแท้ ๆ
    ถาม : มีอานิสงส์เท่ากับการนั่งสมาธิมั้ย ?
    ตอบ : ถ้าหากาว่านั่งสมาธิแล้วจิตใจไม่มีคุณภาพ กับสวดมนต์แล้วแล้วจิตใจทรงตัวมากกว่า ก็มีอานิสงส์มากกว่าซะด้วยซ้ำไป มันก็ต้องดูว่าคนทำ ๆ ได้แค่ไหน
    ถาม : ที่บอกว่าจิตมีคุณภาพหมายความว่ายังไงครับ ?
    ตอบ : จิตมันไม่ฟุ้งซ่านไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ถ้าหากว่ามันทรงตัวแน่นอนไปเลยก็สบาย
    ถาม : ถ้าเปิดเทปธรรมะนี่แทนที่ตาจะดูหนังสือแล้วสวดตามนี่หลับตาสวดตามได้มั้ยครับ ?
    ตอบ : ได้เหมือนกัน อย่างน้อย ๆ ถ้าหากว่าไม่มีสมาธิมันจะสวดผิด สมาธิขั้นต้นมันต้องได้อยู่แล้ว
    ถาม : (ถามเรื่องคนเอาเงินจั๊ตมาถวาย)

    ตอบ : พวกนี้ไปพม่ามาแล้วเขาเห็นอาตมาไปสร้างวัดไว้ที่พม่า ไปเที่ยวพม่ากลับมาเงินเหลือเขาก็เอามาถวาย เงินพม่าตั้งเยอะตั้งแยะ แลกเป็นเงินไทยได้นิดเดียว ของพม่าเองจริง ๆ เขาอยากถือดอลลาร์มากกว่า ใครเข้าไปนี่เขาบังคับให้แลกดอลลาร์
    ถ้าเข้าไปถูกต้องตามพิธีกรรมของเขา นี่จ่ายอานเลย เพราะเขาจะบังคับให้แลกอย่างน้อย ๓๐๐ ดอลลาร์ ๓๐๐ ดอลลาร์นี่มันตั้ง ๑๒,๐๐๐-๑๓,๐๐๐ เชียวนะ เสร็จแล้วใช้ไม่หมดนี่ห้ามเอากลับด้วย เท่ากับบังคับเราใช้ให้หมด พม่านี่เขาแสบไส้ จริง ๆ ใช้ไม่หมดห้ามเอากลับด้วย
    อะไรก็ไม่ว่าหรอก เงินที่ไปแลกตามสถานที่อย่างเป็นทางการ มันใช้ได้เฉพาะแหล่งเที่ยวเท่านั้น มันเป็นเงินพิเศษต่างหากออกไป ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปใช้ไม่ได้ ถ้าเงินอย่างนี้เขาใช้กันทั่ว ๆ ไป เราไปแลกในตลาดมืดนี่ถ้าหากว่าบาทหนึ่งได้ ๑๙ จั๊ต ปัจจุบันนี้นะ

    แต่ถ้าหากว่าคุณไปแลกดอลลาร์ ปัจจุบันในธนาคารนี่ ดอลลาร์หนึ่งได้ ๕-๖ จั๊ตเท่านั้นเอง พม่ามันไม่ชอบอเมริกา มันกดเงินอเมริกา เลยเล็กกว่าเงินไทยตั้งหลายเท่า จริง ๆ แล้วในตลาดมืดนี่ดอลลาร์หนึ่งแลกได้ประมาณ ๖๐๐ จั๊ต ความไม่ชอบหน้ามันก็เล่นกดซะเลยหมดเรื่องหมดราว เงินพม่าเป็นเงินตลกมาก เงินของเขามันจะมี ๑ จั๊ต, ๕ จั๊ต ๑๐, ๑๕ จั๊ต ๒๐,๒๕,๓๐,๓๕,๔๐,๔๕,๕๐ ไปจนถึง ๙๕ แล้วก็ ๑๐๐ โอ้โห...เราเองมันไม่เคยชินกับเขา เวลาเขาทอนเงินมาทีนี่นับตาเหล่เลย ของเขาชินนี่เขาจับรวบ ๔๕ กับ ๕ เป็น ๕๐ ๙๕ กับ ๕ เป็น ๑๐๐ ส่งมาเรานับจนตาเหล่เลยกว่าจะครบ ไอ้นั่นมันนับแป๊บเดียว แล้วเสร็จแล้วพอถึง ๑๐๐ มันก็จะเป็น ๒๐๐ เป็น ๕๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ แต่ว่าแรก ๆ นี่มันลงท้ายด้วย ๕ หมดเรียงเป็นแถวไปเลย ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงทำเงินอัตรานี้ออกมา

    ถาม : คืบพระสุคตคืออะไรครับ ?
    ตอบ : คืบพระสุคตก็คือ คืบของพระพุทธเจ้า ๑ คืบ มีอยู่ ๒๘ นิ้วเศษ ๆ คือ ๒ ฟุตกว่า เพราะฉะนั้นที่บอกว่ากว้างคิบครึ่ง ชายคืบหนึ่งนั่นจริง ๆ แล้วของเรามันเกือบเท่าผ้าห่มแน่ะ สมัยก่อนคนหัวโต ในเมื่อคนตัวโตก็จะอยู่ในลักษณะที่ว่าใช้ของชิ้นใหญ่หน่อย

    ถาม : ..............................
    ตอบ : คืบมือของพระพุทธเจ้าตามอัตราส่วนแล้วก็ประมาณ ๒๘ นิ้วเศษ ๆ ของปัจจุบันนี้เท่ากับว่าคืบหนึ่งของพระพุทธเจ้าเท่ากับ ๒ ฟุตกว่าของสมัยนี้
    ถาม : เช็งเม้งนี่ถ้าเราถวายสังฆทานแทนการไปไหว้ ?
    ตอบ : โอ๊ย ตรงกว่ากันเยอะเลย แต่ว่าตามประเพณีนั่นเราควรจะทำ ไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นเขาว่าเอาแล้วเราจะไม่สบายใจ จริง ๆ แล้วมันได้เยอะ ประเพณีเช็งเม้งนี่คือการแสดงออกซึ่งความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ

    หลวงพ่อท่านบอกว่าให้สังเกตคนจีนดู คนจีนประกอบไปด้วยความกตัญญูเพราะฉะนั้นจะหาคนตกต่ำได้ยาก ท่านบอกว่าตัวความกตัญญูนี่สร้างความรุ่งเรืองให้คนจีนไปอยู่ไหนจะลำบากแค่พักเดียว ไม่ช้าก็ตั้งหลักได้ ท่านบอกพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี
    เพราะฉะนั้นประเพณีบางอย่างนี่มันก็ตรงกับความดีเหมือนกัน แต่ว่าส่วนบุญกุศลที่ทำน่ะมันไม่ค่อยตรง ในเมื่อมันไม่ค่อยตรงถึงเวลาเราก็ถวายสังฆทานทางด้านนี้ตั้งใจอุทิศให้ท่านไปแล้วก็ไปทำตามประเพณีของเขาซะให้มันได้ทั้งสองฝ่ายไปเลย

    ถาม : ที่เขาเผา ๆ อะไรเขาได้จริงหรือเปล่าครับ ทำไมเขาชอบเอามาเผา ?
    ตอบ : มันไม่ได้หรอก ไม่มีอะไรได้ อันนั้นเขาเชื่ออย่างนั้น เผาต่อไปก็แล้วกันไม่เป็นไรหรอก อย่างที่บ้านก็เหมือนกัน พอเตี่ยตายเขาทำกงเต็กกัน ตอนนั้นปี ๒๕๑๘ กี่ปีมาแล้วล่ะ ตอนนั้นกงเต็กคืนละ ๗,๐๐๐ ล่อไป ๗ คืน สมัยนั้นเงิน ๔-๕ หมื่นนี่ซื้อรถได้หลายคันเลย (หัวเราะ)
    ถามพี่ชายบอกว่าจะทำไปทำไมก็รู้ ๆ อยู่ว่าทำไปก็เท่านั้นแหละ เขาบอกว่าถ้าทำได้แล้วไม่ทำเดี๋ยวเพื่อนบ้านจะดูถูกเอา เลยกลายเป็นว่าซื้อการดูกถูกของเพื่อนบ้านไปซะเยอะ เสียสตางค์ไปมากเลย

    เรื่องของการปฏิบัติ เราต้องโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยคัดค้านใคร เพราะฉะนั้นประเพณีเคยทำมาอย่างนั้นก็ทำไป รู้ว่าอะไรดีกว่าเราก็แอบทำอย่างนั้นไปซะ
    ถาม : แต่ถ้าไม่มีคนว่าเราก็ทำในสิ่งที่เราอยากทำ ?
    ตอบ : ทำไปเลย โดยเฉพาะถ้ารุ่นของเราจะเปลี่ยนแปลงแล้ว รุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก ส่วนใหญ่เขาเบื่อด้วยซ้ำไป บางทีไปตากแดดร้อนก็ร้อนรถก็ติด แม่เจ้าพระคุณตั้งครึ่งค่อนวันวิ่งไม่ถึงซะทีหนึ่ง ลองดูตอนเช็งเม้งออกชลบุรีดูซิ สระบุรีอีกที่หนึ่ง โอ้โห...มันติดได้ติดดี

    ถาม : แต่เดี๋ยวนี้เขายินยอมเวลาเผาเสร็จแล้วเอาไปลอยน้ำหมด ?
    ตอบ : ของไทยเขาทำกันอย่างนั้น ง่ายดี บางทีก็เหลือกระดูกไว้นิดเดียวสำหรับทำบุญเท่านั้นเอง นอกนั้นลอยน้ำไปเกลี้ยงเลย ไม่เปลืองที่น่ะ
    เรื่องของฮวงจุ้ยเรื่องของอะไรมันมีผลเหมือนกัน แต่ก็อย่างว่าแหละ ถ้าหากว่าเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา เรื่องเหล่านี้ก็ให้ผลเราน้อย แต่ถ้าหากว่าเราไม่มั่นคงในทาน ศีล ภาวนาเรื่องเหล่านี้ก็พอมีผลกับเราเหมือนกัน เพราะว่าโลกของเรามีสนามแม่เหล็กโลก มันจะมีพลังงานอะไรของมันอยู่ ถ้าหากว่าถูกที่ถูกทางถูกจุดมันก็หนุนเสริมได้เหมือนกัน

    ถาม : อย่างนี้คนเราก็ต้องขึ้นอยู่กับดวงเหมือนกันนะครับ ?
    ตอบ : คือว่าเรื่องของพื้นฐานดวงสำคัญที่สุด ถ้าคุณทำบุญทำกุศลมา กุศลจะส่งซะอย่าง ประเภทที่เรียกว่าไปนอนใต้ต้นไม้ยังได้ทองไปเข่งหนึ่ง ขำก็ขำ
    ถาม : แต่เห็นคนทำชั่วเยอะ ๆ ก็ได้ดีอะไรอย่างนี้นะ ของเก่าเขาเยอะเหรอครับ ?
    ตอบ : อย่างนั้นเขาเองเขายังไม่เจอสิ่งที่ทำชั่ว เวลาส่งผลมันเป็นยังไง ก็เลยไปสบายอกสบายใจอยู่กับการกระทำอย่างนั้น พอถึงเวลากุศลมันหมด อกุศลคือ ความไม่ดีมันเข้ามา คราวนี้ร่ำร้องไปก็ไม่ทันการณ์แล้ว
    ถาม : คนตายนี่เขาเอากระดูกเก็บไว้ไหว้ ถึงเวลา ๒๐-๓๐ ปีนี่ถึงเวลาคนนั้นมันเกิดแล้วนี่....?
    ตอบ : คือกำลังใจของเรานี่ถ้าหากว่าเรายังยึดอยู่ เช่นว่า รัชกาลที่ ๕ ของเราคนให้ความเคารพมาก ถ้าหากว่าท่านไปเกิดแล้ว แต่คนยังกราบไหว้เคารพอยู่เป็นปกติ ข้างบนจะจัดเทวดาหรือพรหมที่มีบารมีใกล้เคียงกันลงมารับหน้าที่นั้นแทน ท่านเองท่านก็จะสามารถสงเคราะห์ได้ใกล้เคียงเหมือนเดิม

    ถาม : คนจีนน่ะ บางคนทีตายไปแล้วนี่ พ่อ แม่ พี่น้องคนที่ตายนี่เขาจะเชิญวิญญาณเขาเรียกทังซีกุ้ยอันนี้จะเป็นจริงมั้ย ?
    ตอบ : อันนี้รู้จัก เป็นปลอมก็ได้ เพราะว่าบรรดาร่างทรงถ้าหากอย่างเป็นเปรต อสุรกายอะไรเหล่านี้ ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะมีความเป็นทิพย์อยู่ เขาจะรู้ว่าคน ๆ นั้นลักษณะท่าทางเป็นอย่างไร ชอบแสดงออกอย่างไรเป็นปกติ เขาจะทำอาการพวกนั้นออกมาหมดเลย เสร็จแล้วสภาพครอบครัวอะไรเป็นอย่างไร
    พวกนั้นเขาจะมีความเป็นทิพย์เขารู้เขาจะบอกถูก แต่ว่าเขาจะถูกเฉพาะในส่วนที่เป็นอดีตเท่านั้น ถ้าถามถึงอนาคตเมื่อไหร่พวกนี้ไปไม่ถึง เพราะว่ากำลังบุญของเขาไม่ถึงตรงจุดนั้น
    เพราะฉะนั้นถามพวกนี้ถามอดีตมันตอบได้จ๋อย ๆ แสดงท่าทางเหมือนกันหมดเคยนั่งไขว่ห้างสูบยายังไงมันทำได้หมด แล้วที่เป็นของแท้น่ะมันหายาก แต่ว่ามันก็ยังดีอยู่อย่างนะ อย่างน้อยเวลาเราไปทำอย่างนั้นเราก็สบายใจใช่มั้ย คิดว่าญาติพี่น้องของเราไปดี

    ถาม : คือความจริงถ้าไม่เชิญมานี่คนที่ตายไปนี่ต่อไปจะเกิดมาเป็นใบ้ แต่นี่ก็ไม่เชื่อนะครับ เพียงแต่ว่า โบราณเขาเล่าให้ฟัง ?
    ตอบ : อันนี้ก็เจอมาเยอะ แต่ว่ามันแปลกอยู่อันหนึ่ง อยู่ในลักษณะแบบมโนมยิทธิของหลวงพ่อเลย จะมีการประเภทพอคนตายแล้วเขาจะดูว่าคนตายนั้นไปไหนก็จะมีการนั่งภาวนา เสร็จแล้วตัวอาจารย์ก็เอาตั่วป้อมาปิดหน้าให้ แล้วก็มีการจุดธูปจุดเทียน ลักษณะคล้าย ๆ กับการฝึกมโนมยิทธิที่จะมีกระดาษนะโมพุทธายะปิดหน้า แล้วก็จะมีการส่องไฟแบบนั้น แต่ว่าเขาบอกเอาไว้อย่างหนึ่งเลยว่า ถ้าหากว่าคนตายอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำอย่าข้ามไป ถ้าข้ามไปเราจะตายไปด้วย ให้ตะโกนติดต่อถามกันอยู่ตรงนั้นแหละ ให้ตะโกนถามไปว่าเป็นยังไงตายแล้วสบายมั้ย อยู่ตรงนั้นแหละ เป็นยังไงมีอะไรจะฝากถึงลูกถึงหลานบ้าน เขาจะมีข้อห้ามของเขาอยู่เหมือนกัน

    อันนี้เป็นเรื่องแปลกมาก อันนี้เป็นอาการของคนจีนแท้ ๆ แต่มันมาตรงกับมโนมยิทธิของหลวงพ่อได้ แสดงว่าเรื่องของคนที่เขาทำได้จริง ๆ ถึงวาระ ถึงเวลามันก็คล้ายกันหมด อันนี้ตามดูเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ

    ถาม : ก็อย่างของคนจีนน่ะ ๗ วันเขาก็จะมีทำกงเต็กสะพานก็มี....(ไม่ชัด) ....คือสะพานนี้ ....?
    ตอบ : ถ้าหากว่าข้ามไปฝั่งโน้นจะเป็นโลกวิญญาณไปเลย แล้วถ้าหากว่าคนเป็นนี่ถอดจิตไปแล้วข้ามไปฝั่งโน้นจะกลายเป็นคนตาย ทางด้านโน้นพวกยมบาลเขาจะจับตัวไว้ไม่ปล่อยคืนมา
    เพราะฉะนั้นเขาจะกำชับนักำชับหนาว่าอย่าให้ข้ามไป แล้วก็ลักษณะที่เขาภาวนาอะไรไป มันก็จะมีการสั่นตบขาตัวเอง ทุบอกตัวเองเหมือนกับมโนมยิทธิเต็มกำลังอย่างนั้น ตลกมากเป็นไปได้เหมือนกันยังไงไม่รู้
    ถาม : อันนี้มีจริงมั้ย ?
    ตอบ : ลักษณะนี้ที่ดูแล้วิชาการมันเหมือนกันมันก็น่าจะจริง แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่งว่า เขาดูได้เฉพาะที่มันไปตรงนั้นเท่านั้นแหละ ถ้าหากว่าจะไปนรกไปสวรรค์อะไรแบบที่ของมโนมยิทธิเต็มกำลังนี่เขาทำไม่ได้ เขาติดต่อได้แค่ตรงจุดนั้นเท่านั้นแหละ เด็ก ๆ ชอบยุ่งไปดูเขาอยู่เรื่อย เวลาเขาเข้าทรงอะไรก็ไปดู มันอัศจรรย์จริง ๆ เขาเชือดลิ้นออกมาให้เห็น ๆ เลย พอเขียนฮู้เสร็จเขาก็ใส่คืนไป ก็ไม่เห็นมีร่องมีรอยอะไรเลย

    ถาม : แต่เขาแสดงอภินิหารแบบนี้ไม่เป็นการ ...?
    ตอบ : อันนี้ไม่เป็นไรหรอก เขาถือเป็นการสงเคราะห์คนได้ระดับหนึ่งเป็นการสร้างศรัทธาได้
    ถาม : ถ้าเช้าเราถือศีล ๘ แล้วไปทำงานแล้วงานเราเลิกเที่ยงนี่ เที่ยงเราทานอะไรได้มั้ยครับ ?
    ตอบ : ได้ ถ้าเราถือศีล ๘ แล้วงานเลิกเที่ยงนี่ หลวงพ่อท่านบอกไว้ว่า อนุญาตให้ไม่เกินบ่าย ๒ โมง ถ้ายังไม่เกินบ่าย ๒ โมง ยังถือเป็นศีล ๘ อยู่
    ถาม : ศีล ๑๐ ข้อที่ ๙ กับข้อที่ ๑๐ คืออะไรครับ ?
    ตอบ : ศีล ๑๐ ข้อที่ ๙ ข้อที่ ๑๐ มันก็เป็นข้อที่ ๗ ที่มันยืดออกมา นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสสนา นี่จะเป็นข้อที่ ๗ แล้ว มาลาคันธะ วิเลปนะ นี่เป็นข้อที่ ๘ ไปเพิ่มข้อที่ ๑๐ ก็คือ ชาตะรูปะ ระชะตะ ไม่ให้จับเงินจับทองเพราะมันเป็นศีลของเณร

    ถาม : ฝันว่าพระที่ใส่แตก แล้วหยิบขึ้นมาพอดีเป็นพระหลวงพ่อโสธรค่ะ มันหมายความว่ายังไงคะ กรอบแตกแต่พระไม่เป็นไร แต่พอหยิบมามองเป็นพระหลวงพ่อโสธรแทนค่ะ ?

    ตอบ : ก็หลวงพ่อโสธรเป็นพระมหาลาภ นั่งอยู่เฉย ๆ สร้างโบสถ์ได้ตั้ง ๑,๘๐๐ กว่าล้าน
    ถาม : แล้วช่วงหลังจะฝันเห็นพระบ่อยมากค่ะ แล้วช่วงหลังจะเดินทางไปไหนจะมีเหมือนพระมาคุยกับเรา เหมือนสอนหรืออะไรอย่างนี้ค่ะ ?
    ตอบ : ฝันเห็นพระถือว่าเป็นมงคลใหญ่ ถ้าหากว่าฝันเห็นพระใจยังเกาะพระอยู่ แสดงว่ากำลังใจของเราอยู่ในด้านดีมากกว่าก็ควรจะดีใจ
    ถาม : หนูกลัวว่าจะมีเหตุอะไรหรือเปล่า ?
    ตอบ : ถ้ามีเดี๋ยวท่านบอกเองล่ะ พระแตกท่านอยากได้กรอบใหม่มั้งเลี่ยมทองไปเลย (หัวเราะ)

    ถาม : .............................
    ตอบ : ดอกบัว พระองค์ที่ ๑๐ ท่านเคยเปรียบไว้ว่า คนเราก็เหมือนกับดอกบัวเกิดขึ้นมากจากโคลนตมแล้วก็พยายามดิ้นรนให้มันพ้นน้ำเบ่งบานขึ้นมาให้ได้กลายเป็นสิ่งที่เขาเอาไปบูชาไปถวายพระ ท่านบอกว่าเท่ากับ เราสร้างคุณค่าให้มันมากขึ้นให้มันสูงขึ้น จนในที่สุดก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากรากเหง้าดั้งเดิมของตัวเอง ไปสู่จุดมุ่งหมาย ที่ดีที่สุดที่จะพึงมี ท่านเปรียบคนเหมือนกับดอกบัว ๔ เหล่า

    ดอกบัวเหล่าแรกเปรียบเหมือนกับพวก อุคติตัญญู ฟังธรรมแต่ห้วข้อก็สามารถเข้าใจได้เพราะว่าสั่งสมปัญญาบารมีไว้มาก มีความเฉลียวฉลาดมาก เพราะฉะนั้นท่านเปรียบเหมือนดอกบัวที่พ้นน้ำแล้วพร้อมที่จะเบ่งบาน ทันทีที่กระทบกับแสงตะวัน

    เหล่าที่ ๒ เปรียบบุคคลเป็น วิปปัญจิตัญญู ท่านบอกว่าเหมือนดอกบัวที่ปริ่มน้ำพร้อมที่จะโผล่ขึ้นมาเพื่อรับแสงอาทิตย์ในวันรุ่งขึ้นบุคคลประเภทนี้ฟังธรรมขยายความเล็กน้อยก็เข้าใจ
    เหล่าที่ ๓ ท่านบอกว่า เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่กลางน้ำ ท่านบอกว่าเปรียบเหมือนบุคคลที่เรียกว่า เนยยะ คือเป็นผู้ที่ควรแก่การฝึกหัดสั่งสอนได้ก็ต้องเคี่ยวเข็ญกันหน่อย

    ส่วนเหล่าสุดท้ายเป็นพวก ปทปรมะ ท่านบอกว่าเป็นเหมือนกับดอกบัวที่จมอยู่ใต้น้ำ พร้อมที่จะตกเป็นภักษาหารของเต่าและปลา คำว่าปทปรมะนี่มันแปลจริง ๆ มากด้วยบทบาท คน พวกนี้ไม่ใช่คนโง่แต่ฉลาดเกินไป พวกตะเเบงข้างเก่ง พวกนี้เขาประเภทที่เรียกว่าฟังธรรมแล้วจะไม่น้อมจิตตามไป แต่จะหาช่องว่างรอยโหว่เพื่อที่จะเถียงมันก็เลยกลายเป็นว่าสอนไม่ได้ เพราะฉะนั้นบางทีเราไปคิดว่าปทปรมะ นี่พวกโง่เต่าตุ่น ไม่ใช่ พวกปทปรมะนี่ฉลาดเกินไปจนสอนไม่ได้ โง่จริง ๆ ถ้าหากว่าเป็นบุคคลที่บำเพ็ญบารมีมาถึงขนาดได้ฟังเทศน์ฟังธรรมกับพระพุทธเจ้า ถ้าโง่จริง ๆ ไม่มีหรอก อย่างดีก็เป็นพวกเนยยะ เคี่ยวเข็ญกันได้ ปทปรมะนี่ฉลาดเกินเหตุ
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : ช่วงนี้ท่านบอกว่าราหูแรง ?

    ตอบ : ท่านให้ใช้ของดำ คือจะมีธูปดำ ๑๒ ดอก เทียนดำ ๑๒ ต้น จำง่าย ... ๑๒ ทั้งหมดเลย เพราะ พระราหูกำลัง ๑๒ นะ ธงดำ ๑๒ อัน ธงดำนี่ทำง่ายตัดกระดาษเป็นสามเหลี่ยมเล็ก ๆ ทำเป็นธง ใช้ไม้เสียบลูกชิ้นทำตามก็ได้ง่ายออก ธูปดำ เทียนดำ ธงดำ อาหารสีดำอย่างเช่นว่าพวกอะไรล่ะ (พวกขนมเปียกปูน เฉาก๊วย ) ได้จ๊ะ อย่างนั้นล่ะ อย่างละ ๑๒ แล้วก็สตางค์ ๑๒ บาทเอาไปถวายพระ และก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้พระราหูท่านว่าอะไรที่จะเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะร้ายจะดีอย่างไร เราขอดีอย่างเดียว (หัวเราะ) ตำราอื่นเขาใช้ ๘ ไอ้ ๘ นี่มันกำลังพระอังคารไม่ใช่พระราหู จริง ๆ แล้วมันต้อง ๑๒ ถึงจะถูก
    ถาม : คราวนี้มันมีเครื่องรางที่เป็นพระราหูติดตัวไว้จะดีมั้ย ?
    ตอบ : ตั้งใจนึกถึงท่านให้ดี พระราหูจริง ๆ แล้วท่านเป็นพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้ในภัทรกัปนี้ด้วย จะเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่า นารทะ ท่านเคยช่วยงานหลวงพ่อสมัยอยู่วัดท่าซุงอยู่ด้วย หลวงพ่อก็ถามท่านว่าทำไมท่านไปเที่ยวไล่อมพระจันทร์ ท่านบอกว่าใครจะไปอมขี้ดิน (หัวเราะ) คือพระจันทร์ในสายตาท่านก็ขี้ดินก้อนหนึ่ง คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแล้วคนไปบอกว่าราหูอมจันทร์ ท่านบอกว่าไม่ได้เกี่ยวกัน อสุริทราหูนี่ท่านก็ในสมัยพระพุทธเจ้า ก็เคยไปโปรดท่าน

    ก็จะมีพระพุทธเจ้าปางหนึ่งคือ ปางไสยาสน์ ถ้าหากว่าเป็นปางไสยาสน์พระบาทเสมอกันนั้นเรียกว่า ปางปรินิพพาน แต่ถ้าพระบาทเหลื่อมกันเขาเรียก ปางโปรดอสุรินทราหู กายท่านใหญ่มาก คราวนี้ว่าถ้าเราบูชาเราก็บูชาพระราหูในแง่พระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตถ้าอย่างนี้จะได้ตรงกันจ้ะ

    ถาม : บางคนเขาบูชาธรรมจักรกะลา ?
    ตอบ : มันจะเป็นกะลาตาเดียวแบบนั้น ถ้าหากว่าเขาเอามาทำแล้วก็จะมีการปลุกเสกตามวิชาการของเขาก็เชื่อว่าจะตัดเคราะห์ได้ จริง ๆ ก็คือว่าถ้าหากว่าราหูจริง ๆ ก็เป็นดาวนพเคราะห์ดวงหนึ่ง คราวนี้บรรดาดาวนพเคราะห์ทั้งหมด จะมีเทวดาชั้นจาตุมหาราชเป็นผู้รักษา จริง ๆ แล้วแขกเก่งตั้งเทวดาได้ คือเขาจะบอกว่าพระอาทิตย์เป็นอย่างนั้นมีอานุภาพอย่างนั้น ๆ พระอังคารเป็นอย่างนั้น ๆ พระนารายณ์ พระอิศวรเป็นอย่างนั้น เขาต้องหาเทวดาที่มีอนุภาพใกล้เคียงหรือความสามารถใกล้เคียงอย่างที่เขาว่ามาเพื่อมารับตำแหน่งนั้น

    คราวนี้ราหูในดาวนพเคราะห์ก็จะเป็นเทวดาองค์หนึ่งในจาตุมหาราชที่ดูแลอยู่ คราวนี้ว่าในเมื่อเราจะตั้งใจบูชาท่านก็นึกถึงเทวดาชั้นจาตุมหาราชก็ได้ แต่ว่าถ้าจะเป็น อสุรินทราหู จริง ๆ นั่นจะเป็นพระโพธิสัตว์
    ถาม : เห็นบางคนบอกว่าคนบางวันบูชาไม่ได้ ?
    ตอบ : จริง ๆ การทำความดีมันได้ทุกวัน เรื่องหลักการต่าง ๆ เขากำหนดขึ้นมาทีหลังทั้งนั้น แล้วอีกอย่างเรื่องเคราะห์กรรมต่าง ๆ ที่จะบังเกิดขึ้นก็ต้องชมอีกเหมือนกันว่าแขกเขาเก่ง เขาช่างสังเกตและเก็บมาเป็นสถิติต่อเนื่องกันมาเป็นพัน ๆ ปีว่า คนที่เกิดในวันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ลักษณะแบบนี้ใกล้เคียงกันจะมีดีมีร้ายอะไรที่มันเข้ามาใกล้เคียงกันในแต่ละระยะของชีวิต เขาก็เก็บสถิติมาจนกระทั่งจดจารเป็นตำราขึ้นมา

    จริง ๆ แล้ว ถ้าเปรียบทางพุทธศาสนาก็คือว่าคนที่เกิดในระยะเวลาใกล้เคียงกัน คือคนที่ทำบุญทำบาปมาใกล้เคียงกัน ถึงเวลาผลบุญผลบาปก็เลยส่งผลให้ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันด้วย ก็เป็นอันว่าของเขาใช้ได้เหมือนกัน

    หลวงพ่อท่านบอกว่าตำราที่แม่นจริง ๆ ได้ผลถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าไม่เลวเทีเดียว เพราะฉะนั้นพอถึงวาระถึงเวลาอย่างเช่นราหูเข้า ก็คือมันเป็นช่วงระยะที่กุศลกรรมของเราขาดช่วงลง อกุศลกำลังจะเข้า
    ถ้าเรามีการทำบุญมันก็เหมือนกับเราเพิ่มกำลังในการหนีห่างเคราะห์กรรมนั้นไปได้ เสร็จแล้วว่าเราประมาทเมื่อไร เคราะห์กรรมนั้นก็ตามใกล้เข้ามาอีก เราต้องหาทางทำบุญใหญ่เพื่อหนีไปอีกอย่างนั้น เคราะห์กรรมไม่สามารถจะล้างได้ คำว่าสะเดาะทำให้หลุดก็ไม่หลุด แล้วก็ไม่สามารถจะกลบได้ด้วยความดี หากแต่ว่าเราทำความดีเพื่อหนีห่างไปได้

    ถาม : เรื่องวันนี้ก็ไม่ใช่สาระที่....?
    ตอบ : อยู่ที่ว่าเราจะตั้งใจทำความดีมั้ย ? ถ้าอยากจะทำความดีวันไหนก็ได้ ถ้าหากว่าเรามั่นใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งที่เราทำมา เราทำความดีเอาไว้พอ คงจะไม่ตกระกรรมลำบากอะไรก็ตามสบายมันเลยจ้ะ
    ถาม : ( ถามเรื่องการท่องคาถาเงินล้าน )

    ตอบ : อย่างนี้ยิ่งได้เปรียบเลย เวลาคนอื่นเขาลำบากเราก็ไปของเราเขาได้เรื่อย ๆ สังเกตดูลูกศิษย์ของหลวงพ่อหลายต่อหลายคนใช้คาถาเงินล้านเป็นปกติเวลาคนอื่นเขาลำบากกันพวกนี้เขาไปของเขาได้ลื่นเลย แบบประเภทที่อย่างแย่ ๆ เลย ขี้เกียจ ๆ ไม่ค่อยจะท่องเท่าไหร่อย่างน้อย ๆ ก็หมุนทัน เพราะฉะนั้นถ้าเราได้ทำอย่างสม่ำเสมอด้วยในลักษณะนี้ดีไม่ไดีก็มีความคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา

    ถาม : (ถามเรื่องคาถาอิติปิโสแปดทิศ)
    ตอบ : บทแรกเรียกว่า กระทู้เจ็ดแบก ถือว่าเป็นเรื่องของทรหดอดทนโดยเฉพาะ รู้จักไม้กระทู้มั้ย ? ไม้ไผ่นั้นล่ะแบกมาตั้งเจ็ดหอบตีเท่าไหร่ไม่รู้สึกล่ะ บทที่สองเรียกว่า ฝนแสนห่า ใช้ในทางแคล้วคลาดเดินตากฝนเม็ดฝนไม่ถูกตัว ต่อไปบทที่สามเรียกว่า นารายณ์เคลื่อนสมุทร เขาจะเอาไว้รักษาโรคภัยไข้เจ็บอะไรต่าง ๆ บทต่อไปเรียกว่า นารายณ์ถอดจักร นี่เอาไว้ถอนคุณไสย ต่อไปเรียกว่า นารายณ์ขว้างจักรตรึงไตรภพ อันนี้ไว้ขับพวกผีร้ายต่าง ๆ ต่อไปเรียก ตวาดป่าหิมพานต์ บทนี้ให้เป็นมหาอำนาจ

    บทสุดท้ายเขาเรียกว่า นารายณ์แปลงรูป เวลาตกอยู่ในวงล้อมศัตรูตั้งใจภาวนาคาถาบทนี้เขาจะเห็นเราเป็นคนอื่น สมมุติว่าเขาเห็นหน้าเราเขาจำได้ว่าศัตรูเขาจะเฉ่งเราแน่ ๆ แต่ถ้าภาวนาคาถาบทนี้เขาจะเห็นเป็นคนอื่น เขาก็ไม่รู้จะทำอะไรมันไม่ใช่ศัตรูเขาแล้วนี่
    อาตมาเองเวลาไปพม่าถ้าทหารมันจะตรวจมากก็แปลงเป็นพระพม่าไปเลยใช้มาเยอะแล้วจ้ะ มันต้อง นารายณ์พลิกแผ่นดิน ก่อน จากตวาดป่าหิมพานต์แล้วก็เป็นนารายณ์พลิกแผ่นดินนี่เขาใช้ตอนสู้ความคดีความอะไรเปลี่ยนจากร้ายเป็นดี อันสุดท้ายเรียกว่านารายณ์แปลงรูปลองแปลงตัวดูบ้างสิเผื่อจะกลายเป็นอุลตร้าแมน

    ถาม : (อานุภาพของมีดหมอดาบฟ้าฟื้น)
    ตอบ : ติดตัวก็เป็นมหาอำนาจ สามารถล้างอาถรรพ์ได้ เหนียวแค่ไหนก็ฟันเข้า เสร็จแล้วท่านก็เฉย ๆ น่ะสิ ท่านจะมีประเภทบรรจุกระดูกผีตายโหง ผงผีพรายตายท้องกลมอะไรไว้ ถึงเวลามีอะไรที่มันจะเป็นภัยมาถึงเจ้าของดาบจะเตือนภัยให้ได้ด้วย

    ถาม : ตรงบนตัวดาบนี่ต้องมียันต์อะไร ?
    ตอบ : อันนี้จริง ๆ แล้วสมัยนั้นไม่มี เขาไม่ได้มาลงยันต์แบบสมัยนี้ สมัยก่อนเขาจะทำเป็นอาวุธใช้งาน แต่ว่าอาวุธใช้งานนี่ของเขาจะมีตำราของเขาอยู่ ว่าเขาจะทำด้วยโลหะแบบไหนบ้าง ต้องเสาะหากันอุตลุดเลยล่ะกว่าจะได้ครบ เขาเรียกว่า ตำรามหาศาสตราคม คือตำราที่ว่าด้วยอาวุธที่ว่าด้วยอาคม เขาจะสร้างขึ้นมาเป็นอาวุธคู่มือเป็นอาวุธพวกขุนศึกถึงเวลาฝึกปรือวิชาของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องหาอาวุธคู่มือที่ถนัดและก็เหมาะใจตัวเอง เขาว่าอะไร... จะจัดแจงตีดาบไว้ปราบศึก ตรองตรึกหาเหล็กไว้หนักหนา เสร็จสมอารมณ์ตามตำรา ที่ว่าไว้ในมหาศาสตราคม เอาเหล็กยอดเจดีย์มหาธาตุ ตั้งพานชำระหนี้สงฆ์ด้วยนะ มันเล่นยอดเจดีย์เลย ยอดปราสาททวารามาประสม

    อันนี้มันต้องประเภทมีเส้นมีสายหน่อยยอดปราสาท เก่าที่ไหนมันผุพังแล้วเก็บเหล็กอันนั้นมา เขาถือว่าเป็นของสูงเป็นของสูงเป็นของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม ไอ้เหล็กที่เขาสะกดผีตายทั้งกลมเลยล่ะ ถอนออกมาเมื่อไหร่ ผีมันก็อาละวาดเมื่อนั้น ไม่แน่จริงมันก็เดี้ยง เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชรหอกสัมฤทธิ์กริชทองแดงพระแสงหัก เหล็กปฏักสลักประตูตะปูเห็ด ตะปูเห็ดนี่มันไม่ใช่ตะปูสังกะสีสมัยนี้ ตะปูเห็ดนี่สมัยโบราณเขาเรียก ตะปูสังขวานร เป็นตะปูหล่อหัวโต ๆ ส่วนใหญ่เขาเอาไว้ย้ำประตูโบสถ์ อีกทั้งเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง เหล็กกำแพงน้ำพี้ทั้งเหล็กแร่อีกทองคำสัมฤทธิ์นาคอะแจ เงินที่แท้ชาติเหล็กทองแดงดง ไปหาเอาเหอะ นั่นล่ะหาเสร็จเรียบร้อยก็หาวันเสาร์ขึ้น ๑๕ ค่ำนุ่งขาวห่มขาวตีดาบไปก็แล้วกัน

    ถาม : แล้วช่างตีนี่ชำระหนี้สงฆ์ ?
    ตอบ : อะไรก็ตามที่เป็นของสงฆ์นี่รีบชำระซะ เพราะว่ามีหลายอย่างอยู่ด้วยกันที่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเกี่ยวข้องส่วนใหญ่เขาถือขลังกัน อย่างเช่นว่าของโบสถ์อย่างนี้พระต้องลงอุโบสถกันทุกกึ่งเดือนสวดกันอยู่ทุก ๆ ครึ่ง ๆ เดือนทีหนึ่งก็ว่ากันต้องเต็มที่ทีหนึ่ง เขาถือว่าขลังในตัวอยู่แล้ว ถึงได้ว่ากระเบื้องหลังคาโบสถ์ วัดหลวงพ่อโสธร มาเท่าไหร่ไม่เหลือหรอก พวกป่นสร้างเป็นพระเกลี้ยงเลย
    จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ไม่ใช่กระเบื้องหลังคาโบสถ์ หลวงพ่อโสธรก็ว่าไปเรื่อย แล้วก็อ้างว่ากระเบื้องหลังคาโบสถ์ยันเตเลย อะไร ๆ ก็พระเป็นที่พึ่งไว้ก่อนใช่มั้ย ? ไอ้ที่อะไรน่าโก้งโค้งแล้วจะเห็นผีเวลาเขาแห่ศพน่ะ เขาให้โก้งโค้งมองลอดหว่างขา มองให้ดี ๆ ว่ามีโบสถ์อยู่ใกล้ ๆ รึเปล่า พวกนี้ถ้าเราเห็นเขาลักษณะนั้นเขาจะไล่มาทำร้ายเอา หนีเข้าโบสถ์ให้ทันก็แล้วกัน (หัวเราะ) ถ้าอยู่ห่างโบสถ์เดี๋ยววิ่งกันตับแตก

    แต่ว่ามีอยู่หลายรายสมัยเด็ก ๆ จะเป็นการแห่ศพแถว ๆ บ้าน คนแบกมันก็บ่นว่าอะไรวะยิ่งแบกยิ่งหนัก ปรากฏว่ามีหลายคนที่เห็นด้วยตาเปล่า ๆ เลย เห็นว่ามีพวกผีเจ็ดตัวแปดตัวกระโดดโลดเต้นอยู่บนโลง ดีใจได้เพื่อนใหม่อย่างนั้น คราวนี้มันขึ้นไปกระโดดโลดเต้นอย่างนั้น คนความรู้สึกดี ๆ รู้สึกว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้นเยอะเลย เหมือนกับแบกคนหลาย ๆ คนพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่แบกศพ ๆ เดียว นั่นล่ะไอ้คนเห็นก็รีบไปหาน้ำมนต์มาล้างมาอาบอะไรให้ยุ่งกันไปหมด ความจริงมันเป็นความดีกำลังใจของเราอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในอุปจารสมาธิถึงจะเห็นเขาได้ แล้วก็ดันไปกลัวเขา ถือว่าเห็นผีแล้วซวยต้องรีบล้างซวยซะ บางคนอาบน้ำมนต์เจ็ดวัด น้ำมนต์เจ็ดวัด
    น่ะจริง ๆ แล้วก็คือบทที่พระสวดที่เรียกว่า มงคลจักรวาลน้อย จะมี....อายุวัฑฒโก ธะนะวัฑฒโก สิริวัฑฒโก ยะสะวัฑฒโก พละวัฑฒโก วัณนวัฑฒโก สุขะวัฑฒโก ทั้งหมดความเจริญเจ็ดประการ ตัววัฒนะน่ะเวลาเขาว่าสั้น ๆ เขาเสียกว่าวัดเฉย ๆ เล่นการันต์นอหนูไปอย่างนั้น เขาเรียกน้ำมนต์เจ็ดวัดคือเสกด้วยบทนี้ คนไม่รู้ แหมตระเวณหาพระซะเจ็ดวัดเลย จริง ๆ น้ำมนต์เจ็ดวัด ทำวันเดียวก็ได้แล้ว

    สมัยก่อนอย่างเช่นของเมืองจีนเขา เขาทำกระบี่วิเศษอะไรกันทีหนึ่งก็ลักษณะนี้ล่ะ เหล็กสามร้อยชั่งหลอมเหลือสามสิบตำลึงยี่สิบตำลึงเป็นหนึ่งชั่ง เหล็กสามร้อยชั่งหลอมเหลือสามสิบ เหล็กสามร้อยชั่งหลอมเหลือสามสิบตำลึงคือเหล็กแค่ชั่งครึ่ง สร้างกระบี่ได้เล่มเดียว โอ้โห ! สงสัยหมดไม้เป็นป่าไอ้ที่หมดไม้เป็นป่า เพราะมันต้องสุมหลอมเหล็กไล่ขี้ไปเรื่อยไงเคยไปดูเขาหลอมเหล็กมั้ย ถึงเวลาพอหลอมปุ๊บนี่เวลาที่มันเป็นส่วนที่ไม่ดีมันจะลอยหน้า ๆ เป็นฝ้าขึ้นมา ก็นั่นล่ะหลอมไล่ไปเรื่อย เสร็จแล้วก็ที่เหลือก็มาตีควบเป็นแท่ง จากแท่งก็ตีเป็นรูปอาวุธมาขัดมาเกลามาตะไบกว่าจะเป็นอาวุธได้ แต่ว่ามันเหลือเชื่อจริง ๆ ว่าคมมันจะขนาดนั้นแล้วความคงทนมันจะขนาดไหน เราดูถูกโลหะศาสตร์แบบโบราณไม่ได้เลยนะ นั่นล่ะ ยายหมวย เธอไปดูปืนใหญ่ที่กระทรวงกลาโหมมีกระบอกไหนมีสนิมกินบ้างมั้ย ? ไม่มีเขียวปลอดเลย นั่นล่ะ วิชาโลหะศาสตร์ แบบโบราณเขาใช้หลาย ๆ อย่างมารวมกัน

    อันนั้นก็เหมือนกันเคยดูสารคดีเรื่องจีนแผ่นดินมหัศจรรย์เขาขุดได้กระบี่วิเศษเล่มหนึ่ง จากสุสานของฮ่องเต้องค์ไหนจำไม่ได้ ลักษณะก็จะเป็นตัวกระบี่ยาวแค่เนียะ ส่วนด้ามที่เป็นโลหะหรือเป็นไม้อย่างอื่นผุหายไปหมดแล้วเหลือแต่ตัวกระบี่ของเขาส่งแสงเป็นประกายรุ้งเลย ไม่มีสนิมแม้แต่แต่จุดเดียว เคยอ่านมั้ยของโก้วเล้งที่ฟันผ่าสองซีกแล้วมันยังไม่รู้ตัว ๆ เองโดนน่ะ มันต้องลักษณะอย่างนั้นล่ะ
    ถาม : มันยังวิ่งต่อไปได้ซักพัก ?
    ตอบ : มันวิ่งต่อไปซักพักหนึ่งแล้วมันก็แบะเป็นสองซีกร่วงแผละลงไปกับพื้น น่ากลัวขนาดเห็นแล้วสยองเลย เหมือนกรีดกระดาษปรี๊ดทั้งปึกเลย ไม่ใช่แผ่นเดียวซะหน่อย เพราะฉะนั้นวิชาการของโบราณดูถูกไม่ได้เหล็กเหนียวเหล็กแข็งของไทยเรานี่สูญไปแล้ว แต่จริง ๆ ถ้าเขามานั้นสูตรใหม่น่าจะได้นะ อย่าง เหล็กแข็ง พวกอะไรยังมีตัวอย่างอยู่ เหล็กเหนียว นี่ไม่รู้จะหาตัวอย่างที่ไหน
    เห็นหลวงพ่อท่านบอกสมัยหนุ่ม ๆ ท่านได้ดาบมาเล่มหนึ่ง ดาบเหล็กเหนียวท่านเรียก เหล็กกำพล เหล็กกำพลคือเหล็กเหนียวเหมือนกับผ้าท่านบอกว่าสามารถงอปลายมันติดด้ามได้ ของเขาน่ะเราหยิบเล่มไหนก็สั่นหัวเล่มนั้นล่ะ น้ำหนักมันไม่ได้ จนกระทั่งเขาทนไม่ไหวเขาเอาไอ้ที่เขาตียาวพิเศษเมตรห้าสิบมาให้เราจับดูก็เบาเกินไปอีก ถึงได้บอกเขาว่าถ้าอาตมาสั่งตีพิเศษต่างหากได้มั้ย ? เขาบอกว่าได้ ถามว่านานมั้ย ? เขาบอกว่า ๒ อาทิตย์ถึงจะได้ ก็เลยบอกเขาว่าถ้าหากว่าโยมทำดาบลักษณะอย่างนี้สำหรับอาตมาสันมันต้องหนาอย่างน้อยเซ็นต์หนึ่งเพราะของเขา ๆ พยายามที่จะลดวัสดุมันเหลือบางน้ำหนักมันไม่ได้สำหรับเรา คืออย่างน้อย ๆ สันมันควรจะหนาสักเซ็นต์หนึ่งถึงจะพอเหมาะสำหรับเรา ที่เขาทำลักษณะเหมือนกับให้ซื้อไปโชว์หรือไม่ก็ไปเข้าพิธีแล้วก็เป็นของป้องกันภัยอะไรอย่างนั้น ไม่รู้จะเอาอันไหนดี

    พอดีไปเจอเล่มนี้เข้าน้ำหนักมันดี อันนี้ไม่ขี้เหนียวมันตีหนาหน่อย ก็เลยซื้อมาอันนี้พร้อมกับฐานของเขา อันนี้เขาทำเป็นพระขรรค์มีลงยันต์อะไรมาด้วย ถามว่าเหล็กน้ำพี้ขึ้นสนิมมั้ย ? เผลอก็เอาเหมือนกัน แต่ว่าอันนี้ตั้งแต่ซื้อมามันยังไม่เป็นไร ที่โบราณเขาว่า สีปีกแมลงทับ น่ะ จริง ๆ มันน่าจะ สีปีกแมลงภู่ มากกว่า ปีกแมลงทับมันออกเขียว แมลงภู่สีปีกมันออกสีน้ำเงิน
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : วิชาชาตรีนี่เป็นยังไง ?
    ตอบ : ชาตรี... จริง ๆ แล้วมันเป็นการตั้งธาตุปลุกธาตุในตำราการต่อสู้โบราณเรียก พาหุยุทธ์ พาหุยุทธ์นี่เป็นการใช้อาวุธหลาย ๆ อย่างพร้อมกันจนกระทั่งหมัด เท้า เข่า ศอกในร่างกายของเรานี่ต้องใช้เป็นอาวุธหมด ชาตรี มันพูดยาก ต้องใช้คำว่าเหนือกว่าใคร ไม่รู้จะแปลยังไงมันถึงจะได้เต็มใจเต็มอารมณ์อย่างนั้น พวกวิชาการเหล่านี้คนสมัยก่อนต้องศึกษาเอาไว้ อันดับแรกก็คือป้องกันตัว ป้องกันครอบครัวตัวเอง อันดับต่อไปก็คือถ้าเกิดศึกเสือเหนือใต้ขึ้นมา บ้านเมืองต้องการทหารรับใช้ชาติก็จะได้ออกรบได้เลย
    ดังนั้นว่าสมัยโบราณบังคับก่อนแต่งงานคุณต้องบวชเพราะว่าวิชาการทั้งหมดมันอยู่ในวัด คุณต้องบวชไปศึกษาก่อน จะเอาประเภทท่องบ่นเวทมนต์คาถา ดูฤกษ์ล่างฤกษ์บน ดูตำราพิชัยสงครามหรือจะฝึกอาวุธอะไรก็ว่ากันไปเลย ให้มันมีวิชาความรู้เพื่อที่จะรักษาครอบครัวตัวเองได้ ถ้าคุณแต่งงานสมัยก่อนคุณต้องเรียนประเภทคาถาเสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากไป เวลาเมียท้องก็จะได้เสกให้คลอดลูกง่ายอะไรยุ่งไปหมด
    ถาม : แล้วคนสมัยนี้ต้องเรียนวิชาพวกนี้ ?
    ตอบ : สมัยนี้ ปืนง่ายกว่า ถ้าหากจะไปเรียนมันจะทำให้ช้า จริง ๆ แล้ว เราเรียนตรงตามกรรมฐานที่หลวงพ่อสอนก็เหลือเหลือเฟือแล้ว กรรมฐาน ๔๐ นี่ถ้าหากว่ากองใดกองหนึ่งอย่างกสิณอะไรที่เราทำได้มันเหนือกว่านั้นเยอะ เรื่องของคาถาเป็นแค่อารมณ์สมาธิที่ไม่ต้องมากนัก เกินอุปจารสมาธิขึ้นไปหน่อยใกล้ ๆ ปฐมฌานคาถาก็ได้ผลแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าสมาธิสูงเท่าใดผลก็จะได้ยิ่งสูงเท่านั้น
    ดังนั้นว่าสมัยนี้ของเราเอาพุทธคุณเป็นหลัก (กลัวว่าวิชาจะสูญหายไป)....ไม่ต้องกลัวมันสูญไปเยอะแล้ว ขนาดของหลวงพ่อท่านศึกษาเอาไว้เยอะ แต่ท่านก็บอกมาไม่กี่อย่าง อย่างเรื่องยันต์เรื่องอะไรของหลวงพ่อนี่เท่าที่เรียน ๆ มาก็ ๑๐ กว่าอย่างเท่านั้น คือท่านเอาที่มันชัวร์จริง ๆ น่ะ แล้วก็ทำไม่ยากจนเกินไป หลวงพ่อท่านมีคติประจำใจว่าถ้ายากไม่ทำ จริง ๆ แล้วงานยาก หลวงพ่อท่านทำได้ทุกอย่าง แต่ว่าถ้าหากมันเสียเวลามากอย่าง ธงมหาพิชัยสงคราม กว่าจะเขียนเสร็จแต่ละผืนมันยากแสนยากเย็นแสนเข็นท่านก็ไม่เอา จนกระทั่ง ท้าวมหาชมพู ท่านต้องอนุญาตให้ไปปั้มมา เพราะฉะนั้นท่านประเภทที่คำที่พูดว่ายากไม่เอาก็คืออะไรที่ทำยากไม่เอาขี้เกียจแล้ว
    ถาม : :แล้ววิชามวยล่ะครับ ?
    ตอบ : มันก็ยังมีสืบทอดกันมาตามสายครูบาอาจารย์อยู่ แต่ว่าคนมันทำไม่ถึงอย่างสมัยนี้ประเภทที่ใช้อำนาจจิตรวมกับการต่อสู้นี่รู้สึกว่าปัจจุปันนี้ ถ้าหากว่าไม่มีคนอื่นทำได้ก็คงเหลือแต่ สเกน แก้วผดุง คนเดียว สเกน แก้วผดุงตอนนี้เปิดค่ายมวยอยู่ที่ประเทศอังกฤษ มวยไทยขั้นสุดท้าย ๆ สุด มันจะมีวิชาหนึ่งเขาเรียกว่า เหินเตะ ลักษณะนี้เขาเรียกว่า หนุมานเหินหาว มันจะลอยตัวตามคู่ต่อสู้เตะไปเรื่อยจนกว่า เขาจะหมอบ มันจะเป็นการใช้อำนาจจิตรวมเข้าไปด้วย
    ตามที่เห็นปัจจุบันอยู่นี่เห็นสเกนเขาทำได้ เขาให้ฝรั่งคนหนึ่งขี่คออีกคนหนึ่ง แล้วก็ถือดาบที่เสียบลูกแอปเปิ้ลแล้วชูไว้เขาเตะถึง ก็แค่เตะถึงก้านคอฝรั่งมันก็เหลือเกินแล้วใช่มั้ย ? นี่สูงขนาดนั้นเขาเตะลอยขึ้นไปเตะได้ ถ้าไปโน้นเขาบอกมาสเตอร์สเกนเดี๋ยว ๆ ก็จะมีพวกฝึกวิชาการต่อสู้มาขอลองที เดี๋ยว ๆ ก็ขอลองทีเขาบอกสงสารมัน แต่ว่าเพื่อความอยู่รอดของค่ายก็ต้องอัดมัน เพราะว่าถ้าไม่สู้มันก็จะไปว่าของเรามันแหยไม่มีฝีมืออะไร เดี๋ยวคนก็ไปเรียนกับของมันหมด ไม่มาเรียนกับของเราสะตุ้งสตางค์ก็ไม่มี (หัวเราะ) พออัดมันไป ก็ไปหาคนที่เก่งกว่ามาอีกก็ไม่รู้จบกันซะที
    ถาม : แล้วในประเทศไทยล่ะครับ ?
    ตอบ : ที่เรียนรู้อยู่มันก็มีนะ เพียงแต่ว่าอาจจะเบื่อสอนแล้วก็ได้ อยู่ตรงนี้ก็มีอยู่คนหนึ่ง (หัวเราะ) วิชาการต่อสู้ทุกอย่างหลังจากที่ฝึกมาแล้ว ลงท้ายแล้วเหมือนกันหมด ลงท้ายแล้วมันจะเป็นเรื่องของจิตใจควบคุมร่างกาย ถ้าหากว่าสภาพจิตเรามั่นคง โอกาสชนะมีเกินครึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันฝึกหนักเกินไปรึเปล่า อยู่มาจนป่านนี้มันยังอ้วนไม่เป็นเลย จะรอดู ท่านต้า ถ้าท่านต้าเหมือนกันก็แปลว่าเรื่องนี้น่าจะใช่ถ้าหากว่าฝึกหนักเข้าที่จริง ๆ มันไม่อ้วนหรอกเขาบอกว่าอะไรล่ะ กล้ามเนื้อมันตายกล้ามเนื้อตายก็คือมันฝึกหนักไม่สามารถจะเติบโตไปได้มากกว่านั้นแล้วมันรีดไขมันซะจนหมดเหลือแค่ไอ้ที่จำเป็นเท่านั้นเองล่ะ คนอื่นเขาบวชกัน ๒ พรรษา แหม....หุ่นเจ้าอาวาส หุ่นเจ้าคุณ ตูล่อมาจะ ๒๐ แล้วได้แค่นี้ (หัวเราะ)
    สมัยที่เป็นทหารเป็นยุคที่เรียกว่าน้ำหนักร่างกายดีที่สุด ๖๓ กิโลครึ่ง เต็มรุ่นไลท์เวทเลย ๑๓๐ ปอนด์เป๊ะ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน อดเท่าไหร่ก็ไม่ลด มวยทหารนี่รุ่น ๑๓๐ ปอนด์ นี่ไม่มีใครกล้ายุ่ง (หัวเราะ) เคยสอน ท่านตู่ เขาไปหน่อยหนึ่ง รายนั้นเขาใจร้อน เอางี้ดีกว่าครับหลวงพี่ออกท่ามาให้ดูแล้วผมจะหัดเอง ก็เลยทำให้มันดูเข้าท่าดีว่าเรื่องของมันสำคัญตรงจังหวะ อย่างพวกนาคมุดบาดาล หนุมานถวายแหวน หิรัญม้วนแผ่นดิน อย่างนี้ ถ้าพลาดท่ามันจะชักเองอย่างนี้สิ บางอย่างนี้มันต้องล่อให้เขาเตะมันต้องยื่นหน้าไปหาตีนเขาน่ะ คือถ้าเขาออกอาวุธมาตามจังหวะที่เราต้องการได้ก็เสร็จเรา
    งวดนั้นหลอกท่านตู่บอกว่าคุณเตะผมน่ะ ไม่ต้องคิดว่าผมเป็นอาจารย์นะลองเตะดู (หัวเราะ) นึก ๆ แล้วก็ขำดี มันต้องขยันซ้อมด้วยนา ประเภทเรียนรู้ไปแล้วขี้เกียจก็เท่านั้นล่ะเดี๋ยวจะเป็นพี่มารถอ่อนซ้อม พอขยันซ้อมไปแล้วเรื่องลูกไม้มันจะตามไปเอง แม่ไม้กี่ขบวนท่าถ้าหากว่าเราขยันซ้อมจนกระทั่งมันกลายเป็นอัตโนมัติ ถึงเวลาการต่อสู้ขึ้นมา มันจะมีพวกลูกไม้อะไรต่าง ๆ ออกไปเองตามช่วงจังหวะที่มันเกิดขึ้นในลักษณะนั้น มันจะกลายเป็นอัตโนมัติไปที่ฝรั่งเขาเรียกว่าเคาเตอร์แอทแทคมันจะเป็นการตอบโต้อัตโนมัติ
    สมัยที่เป็นทหารอยู่นี่ หลับ ๆ นี่เพื่อนเเตะตัวไม่ได้หรอกเราเตะกลิ้งเลยเหลือเชื่อจริง ๆ ว่าจะออกอาวุธได้ขณะนั้น มีอยู่คนหนึ่งชื่อว่า ทวี วงศ์รัตน์ มันมาปลุกเราไปเข้าเวร มันก็ปลุกไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา มาถึงมันเอามือตบพุงเรา เฮ้ย ! ลุก ตีนถึงหน้าพอดี (หัวเราะ) มันไปของมันเอง ไอ้เราไม่ได้เจตนาเลย ขอโทษเพื่อน
    แล้วไอ้ที่แย่ที่สุดก็คือว่าก่อนบวชไม่นานน่ะไปเที่ยวกับเพื่อนผู้หญิงแล้วเขาสะกิดเอว โอ้โห....เรียกก็ไม่เรียกสะกิดเอว ไอ้เรากระชากศอกกองอยู่กับพื้น มันไม่นึกเลยมันออกไปเองโดยอัตโนมัติด้วยล่ะโห....อีงานนั้นขอโทษขอโพยกับเป็นเดือนกว่าจะยอมเชื่อ บอกว่าคราวหน้าเรียกนี่ให้เรียก อย่าไปสะกิดอย่างนั้น น่าอเน็จอนาถมากเลย กระทั่งผู้หญิงยังไม่ละเว้น มันไม่ได้เจตนาจริง ๆ สัญชาตญาณติดตัวล่ะ เพราะฉะนั้นจำไว้นะให้เรียกนะ อย่าไปสะกิดอย่างนั้นนะ
    ถาม : ตอนนี้ยังเป็นอยู่มั้ยค่ะ ?
    ตอบ : ตอนนี้มันเบาลงเยอะแล้ว ตอนก่อนนั้นมันเรียกว่าประเภทยังไงล่ะ .. มันยังระแวงอยู่ วีรกรรมเรื่องเพื่อนผู้หญิงมีเยอะ ตั้งแต่สมัยทหารนั่นน่ะ เพื่อนผู้หญิงไปหาพาไปฝากแม่ชีไว้ ต้องยอมรับว่าผู้หญิงนี่ร้ายจริง ๆ เขาก็รู้อยู่ว่าทหารที่อยู่ชายแดนที่ไปตั้งค่ายไปอะไรนั้น ร้อยวันพันปีผู้หญิงมันก็ไม่ได้เห็น ประเภทควายยิ้มได้อย่างนั้นน่ะ ควายเดินผ่านยังว่าไอ้ตัวนั้นยิ้มสวย แล้วมันกล้าเข้าไปหา อู้ย...จริง ๆ เราก็เวทนาเห็นเขาเป็นลูกเป็นหลาน ทำไง...พาไปฝากแม่ชีไว้ที่วัดใกล้ ๆ โน้น ตรงจุดที่ตั้งค่ายมันอยู่ห่างจากหมู่บ้านซัก ๒ กิโลมันมีวัดอยู่เหมือนกัน นั่นวีรกรรมครั้งนั้นพวกโห่ไปเป็นปีเลย คนอื่นเขาถือว่าลาภลอย (หัวเราะ)
    เพราะฉะนั้นของเราโดนโห่ไปเป็นปี ผู้หญิงแถวนั้นเขาจะยังไงล่ะ ทหารเขาจะเปลี่ยนกำลังกัน ๔ เดือนครั้งหนึ่งน่ะ จะเป็นหน่วยเดียวกันในหนึ่งปี หน่วยเดียวกันก็จะมี ๓ กองร้อยหมุนเวียน เพราะฉะนั้นปีหนึ่งจะเปลี่ยนกำลังพล ๓ ครั้ง พอครบ ๓ ครั้งแล้วก็หน่วยอื่นจะมาเปลี่ยน อย่างของเราขึ้นไปก็ไปเปลี่ยน ร. ๑๑ พอของเราลงมา ร. ๒ ก็ขึ้นไปแทนมันจะหมุนเวียนไปเรื่อย ผู้หญิงแถวนั้นเขาจะหาสามี ๔ เดือนครั้ง มันก็ตำหนิเขาไม่ได้ เพื่อความอยู่รอดจริง ๆ เพราะว่าชายแดนนี่พวกสินค้าหนีภาษีราคามันดีเหลือเกิน ซิบ YKK ยาวประมาณคืบแค่เนียะ ๖๐ บาท สมัยปี ๒๕๒๔ บุหรี่ตอนนั้นซองละ ๖ บาท แต่มันไปถึงโน้นมันซองละ ๑๒๐ เพราะว่าของพวกนี้เราถือว่าเป็นยุทธปัจจัยไม่ให้ข้ามไปฝั่งโน้น กลายเป็นของขาดตลาด ราคามันจะแพง
    เพราะฉะนั้นพวกนี้ เขาจะพยายามมาตีสนิทจนกระทั่งได้ทหารเป็นสามี แล้วก็รอจังหวะที่สามีตัวเองเข้าเวรที่ด่าน แล้วก็ขนของข้าม มันข้ามได้เที่ยวมันคุ้มแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นพวกนี้เขาจะมีสามี ๔ เดือนคนหนึ่ง ฟังดูแล้วประเภทยังไงล่ะ อเน็จอนาถมั้ยโห.... ทหารแต่ละคนก็เหลือเกินทำยังกะไม่เคยเห็นผู้หญิง พวกสาว ๆ ในหมู่บ้านนี่เย็น ๆ เขาออกมาก็เข้าไปแซวสาวเขาว่ามาหาอะไร มาหาคนจ๊ะ ? พวกนั้นก็ข้อยมาหาด้วย มันเลี้ยงควายมันทิ้งอยู่กลางทุ่ง ภาษาอีสานเขาว่าอย่างนั้นจริง ๆ ใช่มั้ย ? ไอ้พวกนั้นมันบอกเข้ามาข้างในสิมีเยอะเลย (หัวเราะ) โอ้โห....เหลือเกินตกลงมันความหมายอะไรกันแน่ ๆ (หัวเราะ) นั่นน่ะเป็นอย่างนั้น
    เพื่อนบางคนไปเจอไอ้เพื่อนร่วมเบิม เบิมก็คือบังเกอร์ที่เขาขุดเอาไว้เวลาปะทะกับคนอื่น เขามันจะใช้ไม้ท่อนใหญ่ ๆ มาล้อมรอบแล้วทำเป็นหลังคาแล้วก็จะมีกระสอบทรายพวกอะไรกันเอาไว้ นั่นล่ะเบิมหนึ่งจะนอน ๒ คนน่ะ เบิมไหนที่ประเภทที่เรียกว่าตัวเองไม่สนใจเรื่องผู้หญิงแล้วเพื่อนพาเข้าไปทุกคื้นทุกคืน ก็นอนห่มผ้าอุดหูไปเถอะ (หัวเราะ) มันเป็นยังไงมันไม่อยากฟังประเภทเสียงในฟิล์ม เรื่องพวกนี้ตอนอยู่ชายแดนนี่เยอะจริง ๆ เรื่องผีเรื่องสางเรื่องอะไรนี่ก็เจอประจำ ตายซับตายซ้อน ตายทับตายถมอยู่นั้นล่ะ เพราะช่วงที่ขึ้นไปรับหน้าที่โดนเหตุการณ์โนนหมากมุ่นใหม่ ๆ น่ะ ประเภทผีตายเกลื่อนทุ่งน่ะ งานนั้นงานเดียว ๓๐๐ กว่าศพ
    ถาม : ..................................
    ตอบ : น้ำมันสังคโรคก็คือน้ำมันชาตรีที่ หลวงปู่ปาน ท่านทำ ท่านเอามาให้พวกเราใช้ก่อนน้ำมันชาตรีหลายปี ท่านไม่ได้บอกว่าเป็นน้ำมันชาตรี คือว่าหลวงพ่อท่านกลับไป กลับไป วัดบางนมโค กลับไปเยี่ยมวัดเก่านั่นล่ะ แล้วท่านก็ขึ้นกุฏิเก่าของท่าน ท่านบอกว่าอะไรต่อมิอะไรมันปล่อยรกรุงรังหมด ข้าวของอะไรที่เคยเป็นของหลวงปู่ ที่หลวงพ่อท่านรักษาเอาไว้ดี มันก็ปล่อยกระทั่งฝุ่นจับหยากไย่ขึ้นเละเทะไปหมด
    ท่านบอกว่าอะไรก็ไม่ว่าหรอก ไปเจอขวดน้ำมันชาตรีหลงอยู่มันแห้งเกือบจะติดก้นขวดท่านบอกว่าเห็นเข้าก็ดีใจแทบตาย ก็ไปถามเขาบอกว่าขอได้มั้ย ? เขาบอกว่าเอาไปเหอะขวดเก่า ๆ น้ำมันชาตรีนี่มีอานุภาพพิเศษก็คือเติมเท่าไหร่ก็ตามอานุภาพยังเหมือนเดิม แต่ท่านไม่ได้บอกเราเพราะว่าอนุภาพของน้ำมันชาตรีถ้าเราสังเกตหลวงพ่อท่านจะเน้นเรื่องรักษาโรค
    คำว่าสังคโรคมันแปลว่ารวมทุกโรค คราวนี้น้ำมันชาตรีนี่ท่านจะเน้นทางรักษาโรค เพราะว่าถ้าไม่เน้นคนมันเอาไปใช้นี่ดีไม่ดีเละ เพราะว่าเห็นคา ๆ ตามาว่าคนโดน ๑๑ ชนิดที่กระสุนแบนแต็ดแต๋ติดเอวเลย เขาบอกไม่รู้สึกอะไร รู้สึกเหมือนกับตัวเเมงบินมาชน มันได้ขนาดนั้น แล้วลองคิดดูว่าถ้าเกิดคนมันเฮี้ยนขึ้นมามันไม่ตีกันกระจายทั้งบ้านทั้งเมืองหรือ ใคร ๆ รักจะเป็นนักมวยก็เอา
    หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านขโมยน้ำมันชาตรีหลวงปู่มาครึ่งขวดยานัตถุ์ขโมยเลย พอหลวงปู่กลับมาถามว่าใครขโมยน้ำมันวะ ? บอกว่าผมเองครับ บอกแล้วมึงขโมยทำไมวะ ? ผมคิดค่าเฝ้ากุฏิครับ (หัวเราะ) ไม่ได้ขโมยค่าเฝ้ากุฏิ เออมีมึงคนเดียวล่ะที่กล้าพูดอย่างนี้ แล้วเสร็จแล้วท่านก็บอกว่าให้ เจ้าอั๋น ลูกศิษย์ที่จะขึ้นชกมวย เจ้าอั๋นเวลาขึ้นชกมวยใช้ชื่อนิตย์ ท่านก็เอาก้านไม้ขีดก้านธูปอะไรนั่นล่ะ จิ้มแล้วเจิมหัวให้มันไป ไปชกชนะน็อคเขามายกสาม ถามมันบอกตอนชกรู้สึกยังไง มันบอกว่าเวลาคู่ต่อสู้เตะมาต่อยมาโดนน่ะโดนจัง ๆ แต่รู้สึกว่ามันเบาเหมือนไม่มีน้ำหนัก
    โบราณท่านถึงได้เรียกน้ำมันชาตรีว่า ลูกเบา โดนอะไรมันเบาไปหมด ไม่เบาได้ยังไงล่ะ ฟูลเมตัลเเจ๊คเก๊ตนะ หัวตันน่ะความเร็ว ๙๕๐ ฟูตต่อวินาที นี่แรงปะทะของมันนี่นักมวยปล้ำตีลังกาแล้วโยมผู้หญิงผอม ๆ แห้ง ๆ โดนเข้าไปเต็มเอวแบนเเต๋ติดอยู่อย่างกับประเภทเอาดินเหนียวไปแปะเลยล่ะ นั่นล่ะเขาบอกมันรู้สึกเหมือนยังกะแมงมันบินมาชน เราก็ขอดูแผลมันแดง ๆ หน่อยเดียวเอง เหมือนยังกับเราเอาอะไรไปขว้างแรง ๆ ใส่หน่อยแค่นั้นน่ะ หนังมันเป็นสีแดง ๆ
    ถาม : อันนี้นี่คือทาไว้ก่อนหรือว่า ?
    ตอบ : เขาบอกว่าเขากินวันละช้อน (หัวเราะ) หรืออาจจะเอาอย่าง พี่อาจินต์ ก็ได้ พี่อาจินต์เขากินวันละแก้ว พักเดียวอ้วนปี๋เลย ใครเห็นรูปเก่า ๆ หลวงพี่อาจินต์ แหม....หนุ่มน้อยเอวบาง เล่นน้ำมันชาตรีวันละเเก้วพักเดียวล่ะ ตันตึ๊กเลย
    ถาม : แล้วเวลาเติมนี่ต้องใช้น้ำมันอะไร ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วใช้ น้ำมันมะพร้าว ก็ได้ น้ำมันพืชก็ได้อะไรก็ได้ แต่ว่านิยม น้ำมันงา เพราะกลิ่นมันหอม ใช้น้ำมันชาตรีเติมลงไปในน้ำมันใหม่อย่าเอาของใหม่เททับของเก่า ถ้าของใหม่เททับของเก่าของเก่าจะเสื่อมไปด้วย ให้เอาของเก่าเทใส่ของใหม่ ไม่ต้องว่าคาถงคาถาอะไรทั้งนั้นล่ะเทลงไปเฉย ๆ ด้วยความเคารพก็พอ
    ถาม : หลวงพ่อค่ะทำไมน้ำมันงาแพงจังค่ะ ?
    ตอบ : ก็มันอาจจะเป็นเพราะคนใช้น้อย เขาผลิตน้อยมันก็ต้องขายแพงหน่อยไม่งั้นมันไม่คุ้มต้นทุนเขาน่ะ
    ถาม : แล้วจะใช้....?
    ตอบ : จะกินจะทาอะไรก็ได้ แต่ว่าถ้ารักษาโรคลองเอาแตะเนื้อดูก่อน ถ้าหากว่าร้อนรักษาโรคไม่หาย แต่ถ้าหากว่าปกติหรือหากว่าเย็นโรคอะไรก็รักษาได้
    ถาม : เฉพาะคนเหรอค่ะหลวงพ่อ ?
    ตอบ : ถ้ารักษาสัตว์นี่เราไม่รู้จะลองยังไง มันบอกว่าเย็นได้มั้ยล่ะ ถ้ามันบอกได้ก็เอา น้ำมันชาตรีเป็นวิชาการที่ทำยากที่สุดตามสายของหลวงพ่อ ต้องรอพระท่านอนุญาตเท่านั้นถึงจะทำได้ ไม่งั้นต่อให้คุณได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ อะไรก็ไม่ได้ทั้งสิ้น หลวงพ่อท่านบอกว่าในชีวิตท่านเห็นแค่ ๒ องค์ที่ทำได้คือ หลวงปู่ปาน กับ อาจารย์โภคา ลืมถามท่านไปว่าอาจารย์โภคาอยู่วัดไหนหรือว่าเป็นฆราวาสที่ไหน
    สมัยที่เคยได้ยินคำว่าน้ำมันชาตรีครั้งแรกก็ได้ยินจาก ครูเขตร นั้นล่ะ เพราะท่านสอนวิธีตั้งธาตุ ปลุกธาตุ เรียกธาตุเข้าตัวอะไรเสร็จ สอนวิชาเสร็จท่านบอกว่าเสียดายวิชาการปลุกน้ำมันชาตรีท่านทำไม่สำเร็จ ท่านบอกว่าถ้าทำสำเร็จนี่เราจะสร้างแชมป์เปี้ยนโลกกี่คนก็ได้ แล้วเสร็จแล้วพอพระท่านอนุญาตให้ทำหลวงพ่อก็สั่งโรงงานเลย ผลิตมา ๓๐๐ ปี๊บ เข้าพิธีรวดเดียว ๓๐๐ ปี๊บ เพราะฉะนั้นออริจินอลอย่างน้อยก็มี ๓๐๐ ปี๊บ แต่ว่าจริงแล้วมันเติมเท่าไหร่ก็ได้ แล้วท่านก็บอกว่าในชีวิตของข้า หลวงปู่ปานท่านทำได้ ๒ ครั้ง ตัวข้าเองอาจจะทำได้ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะว่าต้องรอพระท่านอนุญาต ปรากฏว่าท่านทำได้ครั้งเดียวจริง ๆ ไม่ทันจะทำใหม่ก็มรณภาพซะเสียก่อน
    น้ำมันชาตรีไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร ชาตรีมันก็เหนือกว่าอื่นใด ขืนไปบอกมันว่าชาตรีใช้ได้ขนาดนั้นรับรองมันตีเขากระจายหมดไม่ต้องกลัวใคร หลวงพ่อท่านถึงได้เน้นไปทางรักษาโรค รู้แล้วอย่าเอ็ดไป (หัวเราะ) ไม่งั้นเดียวมันไม่หามามั่ง ต่างคนต่างต่อยครบ ๆ ยกเหนื่อยลิ้นห้อยมันไม่มีใครแพ้ใครชนะ
    ถาม : ของทุกอย่างมันมั่นใจกับตัวของผู้ใช้ด้วยหรือเปล่า ?
    ตอบ : อันนั้นมีส่วน เรื่องของน้ำมันชาตรีนี่มันประเภทที่เรียกว่านอกเหตุเหนือผลคือถ้าคุณใช้อานุภาพก็มี
    ถาม : แล้ววัตถุมงคลด้วยรึเปล่าค่ะ ?
    ตอบ : วัตถุมงคลนี่สำคัญอยู่ที่กำลังใจ ถ้ากำลังใจเปิดรับมากเท่าไหร่มีผลมากเท่านั้น แต่ว่าน้ำมันชาตรีนี่ ประเภทที่เรียกว่าคำว่าชาตรีนี่คงตั้งใจสงเคราะห์โดยตรงละมั้ง หลวงพ่อท่านบอกว่าก่อนหน้านี้ ท่านเสกของเสกอะไรก็มีชาตรีเหมือนกันแต่ซุก ๆ อยู่ข้างใน นี่คราวนี้ว่าตั้งแต่ยุคนั้นมานี่ชาตรีนำหน้า เตรียมไว้ให้ตีกับชาวบ้าน
    ถาม : เรื่องที่ว่าเปิดรับนี่หมายความว่า...?
    ตอบ : คือ จิตใจของเราเคารพ มีการอาราธนาเป็นปกติ เป็นสมัยของเรานี่ไม่ต้องเสียเวลาเสกน่ะ ถึงเวลาก็กรอกเติมไปเรื่อย ตอนนี้ที่ วัดท่าขนุน นี่ ท่านเอ ทำแจกเลย เป็นไงจ๊ะยังมาโชว์ปานแดงอยู่อีกไม่ดีขึ้นใช่มั้ย ? มันเหมือนกับรอยสักสวยดี เขาเป็นทั้งตัวเขาบอกว่ารักษาแต่หน้าสวยไว้ก่อน นางขุชชุตรา เป็นคนหลังค่อมเพราะว่าไปทำท่าหลังโก่งเลียนแบบพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านหลังค่อมของเราอาจจะไปหัวเราะเยาะพระที่ท่านเป็นขี้กลากล่ะมั้ง ?
    ถาม : แล้วถ้าเกิดว่าบางทีเราก็มีอาการคุยกับเพื่อนว่าท่านอ้วนท่านหลังโก่ง ?
    ตอบ : อันนั้นคุยไม่เป็นไร แต่คราวนี้นางขุชชตรา เพื่อนเขาถามว่าพระคุณเจ้าของเราน่ะรูปร่างเป็นยังไง เพราะว่าพวกสาวสรรกำนัลในนี่กว่าจะได้พบผู้ชายยากเต็มที ขนาดจะฟังเทศน์นี่เขายังกั้นม่านเจ็ดชั้นน่ะ คราวนี้นางขุชชตราเป็นผู้หญิงหลังค่อมคนก็ถือว่า เออ.. ยังไง ๆ ก็ไม่สวยไม่งามก็ให้ออกไปจัดการน้ำใช้น้ำฉันอะไรได้ท่านก็มีโอกาสได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็เอาหม้อมาใบหนึ่ง เอาผ้ามาห่มเอาหม้อซ่อนไว้ในข้างในผ้าทำท่าเหมือนกับถือบาตรแล้วก็ทำท่าก้มหลังโก่งเดินให้ดู ลักษณะทำท่าล้อเลียนแค่นั้นเองโดยไม่ได้เจตนาร้าย เกิดเป็นคนหลังค่อม ๕๐๐ ชาติ
    ถาม : แล้วอย่างนั้น ถ้าเกิดว่าเขารู้ตัวก่อนจะตายแล้วก็....?
    ตอบ : ขอขมาซะก่อน ขอขมาก็แล้วไป ก็ไม่ได้ขอขมานี่น่ะ
    ถาม : แล้วสมัยปัจจุบันนี่พระปัจเจกพุทธเจ้านี่ไม่มีใช่มั้ย ?
    ตอบ : ไม่มีจ๊ะ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นก็ในยุคที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้าเท่านั้นแล้วไม่ได้เกิดขึ้นทีละองค์แบบพระพุทธเจ้าทั่วไป เกิดขึ้นทีหนึ่งเป็นหลาย ๆ ร้อย ๆ หลาย ๆ พันบางทีก็เป็นแสน พระปัจเจกพุทธเจ้าจะสร้างบารมีมาอย่างน้อย ๒ อสงไขยแสนมหากัป คือในระดับเดียวกับพระอัครสาวก แต่ว่าท่านจะเป็นผู้ที่ต้องการจะตรัสรู้ทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ต้องการจะเป็นครูสอนใครก็เลยใช้คำว่าปัจเจกะ (ไม่ชัด )...เป็นช่วงที่โลกว่างจากศาสนาเท่านั้น
    ประวัติของพระเถรีก็คือภิกษุณีผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่ มีอยู่องค์หนึ่งก็คือ นางอุบลวรรณเถรี จะเป็น อัครสาวิกาเบื้องซ้ายผู้เลิศไปด้วยฤทธิ์ นางอุบลวรรณาเถรีในชาติหนึ่งท่านเคยมีลูกเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๑ องค์ แล้วมีโอกาสได้ทำบุญกับลูกด้วยดอกบัว เกิดมาชาติใหม่จะเดินไปไหนก็ตาม แผ่นดินจะมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ อานุภาพบุญ
    แล้วถามว่าทำไมมีลูกเยอะอย่างนั้น ปรากฏว่าท่านตั้งท้องคนเดียว แต่ตอนคลอดลูกบอกว่าเหงื่อกาฬมันไหลท่วมตัวแล้วเม็ดเหงื่อมันกลายเป็นเด็กไปหมด มันเป็นเรื่องของบุญจริง ๆ ท่านจะมาเกิดน่ะ แต่รุมลงมาในท้องทีเดียวมันไม่ไหว อาศัยเกาะก็ยังดี เสร็จแล้วก็เลยกลายเป็นว่าเม็ดเหงื่อกลายเป็นเด็ก ๆ ๕๐๐ คน แล้วก็ลูกที่จริง ๆ อีกคนหนึ่ง
    ปรากฏว่าทั้งหมดกลายเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหมด พอบรรลุมรรคผลก็มาโปรดแม่ แม่ก็ได้ทำบุญด้วย เพียงแต่ว่าแม่ไม่ได้เข้าถึงมรรคถึงผล เพราะอาจจะประเภทที่ตั้งความปรารถนาจะเป็นอัครสาวิกาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ได้ แต่ว่าพอเกิดมาชาติใหม่ท่านก็กลายเป็นอัครสาวิกาที่เลิศไปด้วยฤทธิ์
    ถาม : แล้วพระรามของพระพุทธเจ้านี่เป็น...?
    ตอบ : พระรามของพระพุทธเจ้า.... ราโมจะ รามสัมพุทธเจ้า ก็รอเวลาตรัสรู้สิจ๊ะ ไม่ต้องห่วงหรอกยุคของเรานี่ล่ะ ถ้าหากว่าคนยอมรับกฏของกรรมมากกว่านี้หน่อยเดียวเท่านั้นเอง พวกอภิญญานี่จะปรากฏออกอีกเยอะเลย เพราะอภิญญานี่สามารถทำอะไรก็ได้เกินกว่าคนทั่ว ๆ ไปมาก ถ้าหากว่าไม่ยอมรับกฏของกรรมนี่มันทำเขาวุ่นหมด ก็เลยรออยู่นิดเดียวว่าถ้าหากกำลังใจยอมรับกฏของกรรมเมื่อไหร่ กำลังอภิญญาก็ขึ้นมาใช้ได้เต็มที่
    สมัยเด็ก ๆ มี หลวงพ่อยี อยู่ วัดดงตาก้อนทอง ที่ พิษณุโลก นั่นไม่ได้ยึดอย่างเดียวนั่นสารพัดที่จะทำได้เลย คนไปฟ้องร้องจะปรับปาราชิกท่าน ปาราชิกขาดความเป็นพระนี่ต้องบอกอุตริที่ไม่มีมนุษธรรมในตน คราวนี้ของท่าน ๆ ทำได้นี่ก็เดือดร้อน จนกระทั่ง พันเอก ปิ่น มุทุกัณฑ์ ที่เป็นอธิบดีกรมศาสนาตอนช่วงนั้นเดินทางไปดูด้วยตัวเองแล้วก็กลับมาเขียนรายงานว่าท่านทำได้จริงปรับท่านไม่ได้ พันเอกปิ่น มุทุกัณฑ์นี่ท่านรู้จริงเพราะท่านศึกษาพวกนี้มาลึกซึ้งมากตัวเองเคยบวชด้วย
    ถาม : ท่านทำอะไรได้บ้าง ?
    ตอบ : สารพัดอภิญญาเลย ประเภทบิณฑบาตข้าวเทวดามาเลี้ยงลูกศิษย์ก็มี ชาวบ้านคนไหนสงสัยไปเอามาให้กินซึ่ง ๆ หน้า บางทีก็มีสมบัติใต้ดินมีอะไรอยู่ตรงไหนท่านก็ประเภทก็ไปล้อมสายสิญจน์วง ๆ ไว้แล้วก็ขุดขึ้นมาหน้าตาเฉยเลย ที่เขาว่าเอาเหรียญบาทมาดึงปื้ดยึดออกมายังกับประเภทยืดหมากฝรั่งอย่างนั้น เป็นโลหะแท้ นั่นจริง ๆ ก็แค่กสิณน้ำ แต่ว่าคนที่ทำไม่ได้จะเห็นเป็นเรื่องประเภทที่เรียกว่ายังไงล่ะ.... ตื่นเต้นก็มีมากต่อมากด้วยกันที่หาว่าท่านเล่นกลหลอกเขา ก็เลยไปกล่าวหาว่าท่านอวดฤทธิ์อวดเดชจะปรับปาราชิกเรื่องของการเล่นฤทธิ์เล่นเดชอะไรจริง ๆ นี่พระพุทธเจ้าท่านก็สั่งห้ามอยู่แล้ว เพราะว่าไม่อย่างนั้นศาสนาจะตั้งอยู่ไม่ได้ เหตุที่ศาสนาตั้งอยู่ไม่ได้เพราะว่าพระไม่ได้มีอภิญญาหมวดเดียว ยังมีพระสุกขวิปัสโก พระวิชชาสาม พระอะไร
    คนเราโดยธรรมชาติมันชอบบุคคลที่มีความสามารถพิเศษเหนือกว่าคนอื่นเขา ในเมื่อชอบลักษณะนั้นพอมีใครเล่นฤทธิ์เล่นอภิญญาให้ดูมันจะแห่ไปที่เดียว แล้วก็จะไปทำบุญอยู่ที่เดียว ที่เหลือก็อดตายแหงแก๋แล้วศาสนาจะอยู่ได้ยังไง ? ท่านถึงได้ต้องห้าม บางคนอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าห้ามทำไม พระทำได้น่าจะปล่อยให้ลุยไปเลย ถ้าขืนปล่อยให้ลุยไปเลยศาสนาไม่น่าจะอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีหรอก
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <CENTER>เหรียญทำน้ำมนต์</CENTER><CENTER> </CENTER>
    เมื่อปลายปี ๒๕๔๘ ต่อต้นปี ๒๕๔๙ อาตมาป่วยหนัก พระ ท่านเสด็จมาบอกว่า
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...