ฉบับที่ ๒๙ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 2 กรกฎาคม 2006.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ถาม : แล้วอย่างนี้ คนสมัยก่อน .....(ไม่ชัด)....?
    ตอบ : จริง ๆ ระยะการเดินนี่ถ้าเป็นเส้นตรงนี่มันไม่ไกลนะ มันไม่ไกลจาก ชมภูทวีป ของสมัยก่อน ถ้าออกมาของเรานี่มันเป็นเขตปัจจันตชนบท จริง ๆ แล้วผืนแผ่นดินนี่มันต่อเนื่องกันมา

    ถ้าสมัยก่อนการเดินทางรอนแรมค้าขายอะไรไปกัน ถ้าไปแบบสบาย ๆ นี่ประมาณเดือนหนึ่งก็ถึงเอาเร่ง ๆ หน่อยสิบเจ็บ สิบแปดวันก็ถึง เพราะว่าสมัยก่อนนี้ของพวกเรามันจะเป็นปัจจันตชนบทอย่างเช่นว่า ตักศิลาก็กำแพงเพชร ปรันตบะ ก็พวกสระบุรีอะไรของเรา สมัยนี้ก็ลองดูได้เดินลุยตรง ๆ ออกจังหวัดตากเข้าไปเลย พอเข้าพม่าไปก็ผ่านยะไข่ก็ทะลุเข้าอินเดียเลย

    ถาม : ถ้าโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบว่าใช้ของก๊อปปี้เขามาถือว่าเป็นการ .....?
    ตอบ : คุณเป็นคนก๊อปรึเปล่า ? ถ้าคุณไม่ได้ก๊อปและไม่ได้ขโมยเขา จ่ายเงินให้เขาตามปกติคุณไม่เป็นไร เรื่องของธรรมะเขาตรงมา ใครทำโทษเป็นของคนนั้น
    ถาม : .................................

    ตอบ : เขาอนุญาตให้ก๊อปมั้ยล่ะ ถ้าหากว่ามันดาว์นโหลดได้ก๊อปได้เป็นปกตินี่มันไม่มีปัญหาอะไร โดยเฉพาะว่าเรื่องของธรรมะ มีอยู่เที่ยวหนึ่งที่พวกหนังสือโลกทิพย์เขายกขบวนไปขอหลวงพ่ออนุญาตนำเอาธรรมะของหลวงพ่อลงในหนังสือเครือโลกทิพย์ มันจะมีโลกทิพย์ โลกลี้ลับ ตายแล้วไปไหน อะไรพวกนั้น หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ต้องขออนุญาต ถ้าทำเพื่อเป็นธรรมทานทำได้เลย อนุญาตให้ตลอดไป เพราะฉะนั้นของเขาก็เหมือนกันน่ะ ถ้ามันดาว์นโหลดได้มันก๊อปได้แปลว่าเขาเต็มใจให้ลุยไปเถอะ

    ถาม : .................................................
    ตอบ : เข้าใจผิดกันไปยกใหญ่แล้ว คนเป็นโรคจิตคือสภาพจิตของเขามันฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้นไม่สามารถจะเข้าถึงธรรมได้ บุคคลที่จะเข้าถึงธรรมได้อย่างน้อย ๆ ต้องทรงสมาธิได้ถึงระดับปฐมฌานขึ้นไป
    ดังนั้นว่าถ้าหากว่าคนเป็นโรคจิตทรงปฐมฌานได้เขาก็จะไม่เป็นน่ะสิ เพราะกำลังใจมันตั้งมั่นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นที่เป็นอยู่มันไม่ใช่แน่ ดังนั้นว่า ถ้าเป็นโรคจิตอยู่ไม่สามารถจะบรรลุมรรคผลได้ ถ้าใครทรงฌานได้ก็ไม่เป็นโรคจิต

    ถาม : คือว่าร้อน ๆ หนาว ๆ น่ะค่ะ ?
    ตอบ : ไอ้นั่นไม่ได้เกี่ยวกับโรคจิต
    ถาม : มันเป็นเรื่องที่เราบังคับไม่ได้ ?

    ตอบ : จ้ะ ....บังคับไม่ได้หรอก อาจจะกำลังอยู่ในวัยทองก็ได้ (หัวเราะ) ไม่ต้องไปบังคับมันหรอก รำคาญมันหน่อยแค่นั้นเอง ถ้าไม่สนใจมัน ๆ ก็หายเอง พวกนี้มันประเภทเรียกร้องความสนใจ คนไม่สนใจกับมัน ๆ ก็หายเอง....นั่งกรรมฐานแล้วชอบบังคับลมหายใจ ต้องดูให้ดี ๆ ว่ามันเป็นการบังคับรึเปล่า ?
    เพราะว่า ถ้าหากว่าเรามีความคล่องตัว พอกำหนดใจปุ๊บมันจะกระโดดไปถึงระดับอารมณ์นั้นเลย ลมหายใจมันอาจจะเบาลงโดยอัตโนมัติเหมือนยังกับว่าเราบังคับให้มันเบาลง รึว่าบังคับให้มันเบาลง รึว่าบังคับให้มันยาวขึ้นหรือละเอียดขึ้นอะไรอย่างนั้น คอยดูให้ดี ๆ อาการบังคับก็คือว่าตั้งแต่แรกเริ่มเราบังคับให้มันต้องหายใจยาวแค่นี้ ต้องหายใจสั้นแค่นี้ เบาแค่นี้
    เพราะฉะนั้นต้องสังเกตตัวเองด้วย หลายคนที่คิดว่าตัวเองไปบังคับลมหายใจแต่ความจริงไม่ใช่ เขามีความคล่องตัวในสมาธิแต่ละระดับนั้นซะแล้ว พอถึงเวลานึกปั๊บมันก็เข้าตรงนั้นเลย เหมือนกับเราไปบังคับมัน
    ถาม : เวลาเรานั่งกรรมฐาน ก็จะมีหมาไปด้วย หมาก็จะนั่งใกล้ ๆ คราวนี้มันก็เห่าก็ตกใจแล้วก็กลัวก็เลยออกจาสมาธิเลย

    ตอบ : ลักษณะตกใจจริง ๆ ก็คือว่าสภาพจิตใจเราไปสนใจข้างนอกโดยไม่รู้ตัว พอสนใจข้างนอกมีอะไรมากระทบประสาทตาประสาทหูปั๊บ มันจะรีบดึงจิตกลับมารับรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร คราวนี้จิตที่กลับมาเร็วเกินไปจะมีอาการที่เรียกว่า ตกใจ แสดงว่าตอนนั้นจิตไม่เป็นสมาธิหรอก ถ้าเป็นอย่าว่าแต่หมาเห่าเลยฟ้าผ่ายังเฉย ๆ ดีแล้วเขาจะได้เป็นตัววัดอารมณ์ของเรา ถึงเวลามันไม่เห่าก็แหย่ให้มันเห่า จะได้รู้ว่าเราไปถึงไหนแล้ว
    ถาม : หลายคนก็โทษพระเจ้าว่าหน้าตาไม่ดีก็.......?
    ตอบ : พระเจ้าไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย ตัวเองทำเองแท้ ๆ เกิดมาอายุยืนเขาว่าเป็นผู้มีเมตตาปราศจากปาณาติบาตหรือทำปาณาติบาตแต่น้อย ปาณาติบาตก็คือฆ่าคนฆ่าสัตว์ เกิดมาอายุสั้นพลันตายเพราะทำปาณาติบาตไว้มาก ไปตัดชีวิตเขาไว้เยอะ พอถึงชึวิตตัวเองก็น้อยไปด้วย

    เรื่องการกระทำกรรมอะไรต่าง ๆ พระพุทธเจ้าท่านบรรยายเอาไว้ละเอียดยิบ พวกประกวดนางงามผิวงามแล้วตกตั้งแต่รอบแรกอย่างนี้ อันนี้พูดเล่นน่ะ ถ้าหากว่าระดับประกวดนางงามมันก็ต้องผิวดีอยู่แล้ว เพียงแต่มันดีสู้คนได้รางวัลไม่ได้เท่านั้นเอง ผู้มีผิวพรรณดีเป็นผู้มีเมตตามีอารมณ์ใจเยือกเย็น ผู้มีผิวพรรณทรามประกอบไปด้วยโทสะ มีจิตใจเร่าร้อน ผู้ที่เกิดในตระกูลสูงเพราะว่าเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนยกย่องผู้อื่น ผู้เกิดในตระกูลต่ำเพราะว่าเป็นผู้ที่ชอบยกตนข่มท่านดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น

    ถาม : ..........................................
    ตอบ : เอาให้ดี ๆ นะ ผีอำมันอย่างหนึ่ง มันจะบังคับให้เราแข็งกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ เสร็จแล้วเขาก็แกล้งเรา ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกของเรา หรือไม่ก็เราไปอยู่ในสถานที่ของเขาแล้วเขาไม่ชอบใจเขาจะแกล้งเอา ส่วนอีกอันหนึ่งมันจะมีลักษณะเหมือนมีก้อนอะไรดำ ๆ กดทับอยู่อึดอัดแน่นมาก นั่นจะเป็นเลือดลมภายในของเราเดินไม่สะดวก เราอาจจะนอนทับร่างกายบางส่วนที่ทำให้เลือดลมมันเดินไม่สะดวก มันอั้นอยู่ก็เลยทำให้มันเกิดความรู้สึกนั้นขึ้นมา
    ส่วนอาการของเร่างกายที่มันแข็งไปเฉย ๆ ถึงเวลาแล้วขยับไม่ได้บางทีมันเป็นการทรงฌาน มันต้องแยกให้ออกว่าพอสมาธิทรงเป็นฌานปุ๊บนี่จิตกับประสาทมันแยกออกจากกัน ประสาทร่างกายกับจิตมันคนละส่วนพอลืมตาตื่นความรู้สึกใหม่ ๆ มันยังไม่เต็มที่ มันควบคุมร่างกายไม่ได้มันก็ต้องรอเวลานิดหนึ่งเพื่อให้ประสาทร่างกายมันสมบูรณ์พร้อมถึงจะขยับได้ ถ้ายิ่งไปภาวนากลัวว่าผีมันจะหลอกผีมันจะอำสมาธิยิ่งแน่นก็เลยพาลยิ่งขยับไม่ได้เข้าไปใหญ่

    ถาม : แล้วทุกครั้งจะรู้สึกเหมือนมีใครมาอยู่ข้าง ๆ คือเราเรียกว่าถูกควบคุมรึเปล่า ?
    ตอบ : ก็ตั้งใจกำหนดถามเขาดูสิว่าเขาเป็นใคร เพราะว่าขณะที่เราตั้งใจปฏิบัติภาวนาแค่ทรงเป็นอุปจารสมาธิท้าวมหาราชก็จะให้บริวารมาช่วยดูแลความปลอดภัยเราอยู่
    ถาม : แต่ที่มันลึก ๆ มันจะรู้สึกกลัว ?
    ตอบ : แน่นอน ไม่กลัวก็เป็นพระอรหันต์เท่านั้นน่ะ
    ถาม : การนั่งสมาธินี่มันหวาดระแวง กลัวคนเข้ามา จะรักษากำลังใจยังไงถึงจะทำให้ใจเราสบาย ?
    ตอบ : พยายามให้ใจอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าใจอยู่กับลมหายใจเข้าออก สมาธิมันทรงตัวความฟุ้งซ่านจุดนั้นจะไม่มี ถ้ายิ่งทรงตัวเป็นฌานได้ความกลัวต่าง ๆ มันก็จะไม่มี ยกเว้นว่าเจอขั้นตอนของฌานใหม่ ๆ มันกลัวตายมันจะเสียวลึก ๆ อยู่ในอก แต่ว่าอาการที่หวาดระแวงกลัวจะมีคนเข้ามากลัวคนจะทำร้ายอะไรมันจะไม่มี ตั้งใจจับลมหายใจเข้าออกให้จริงจัง

    ถาม : .................................................
    ตอบ : สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พวกฝรั่งเขาเข้ามาเผยแพร่ศาสนาก็จะมีหมอมารักษาคนเพื่อดึงศรัทธา เขาเขียนรายงานส่งกลับไปบอกว่าคนไทยตัวเล็กไม่ได้กินอาหารเหมือนอย่างของทางยุโรป แต่ว่าแต่ละคนแข็งแรงจนเหลือเชื่อ ไม่เห็นเขาขาดสารอาหารอะไรเลย
    คราวนี้พอมาระยะหลังก็หลักสูตรอาหาร ๕ หมู่ มันมาจากฝรั่งเขาบังคับให้เด็กกินนม ของเราเองมันไม่ใช่พวกฝรั่ง นมเนยนี่มันจะเป็นอาหารของเขา เพราะว่ามันให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ดี พอเรามากินเข้าส่วนใหญ่มันก็เลยอ้วนไปหมด สังเกตว่าตอนนี้คนอ้วนจะเยอะมาก โดยเฉพาะวัยรุ่นกลายเป็นโรคอ้วนไป เพราะว่าพลังงานมันล้นเกิน นมเป็นอาหารของฝรั่งกับวัวเขาไม่ใช่ของคนไทย

    ถาม : เวรกรรรมเป็นของคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะไม่สามารถจะรับแทนกันได้ ?
    ตอบ : รับแทนกันไม่ได้จ้ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเราทำไม่ดีลูกก็ไม่ต้องรับหรอก ถ้าลูกทำไม่ดีเราก็ไม่ต้องรับหรอก ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างได้ แต่ว่าบางครอบครัวเหมือนยังกับว่าพ่อแม่ทำแล้วลูกได้รับมันเป็นเพราะว่าคนที่เกิดมาครอบครัวเดียวกันเขาจะทำบุญทำบาปมาใกล้เคียงกัน บางทีอาจจะทำกรรมอย่างเดียวกันมา ถึงวาระ ถึงเวลามันสนองเข้าพอดี ก็เลยคิดว่าตัวเองทำแล้วคนอื่นได้ คนข้างเคียงได้ ไม่ใช่ ใครทำใครได้ตรงไปตรงมา คิดไม่ถึงน่ะพ่อแม่ทำไม่ดีกับคนอื่นเอาไว้แล้วมาเกิดกับลูกตัวเอง ก็คิดว่าพ่อแม่ทำ แล้วลูกได้รับ ไม่ใช่ล่ะจ้ะ บังเอิญลูกมันทำกรรมชนิดนั้นมา กรรมมันถึงวาระมันมาสนองเข้าพอดี แต่มันก็ดีไปอย่างถ้าเข้าใจอย่างนั้มันทำให้คนกลัว ๆ เหมือนกันจะเลิกทำชั่วไปซะหน่อย

    ถาม : ถ้าเราทำความผิดโดยที่เจตนาดีน่ะ ?
    ตอบ : ความผิดโดยที่เจตนาดีมันก็เป็นโทษ แต่เนื่องจากว่าเจตนาที่จะให้ร้ายคนอื่นมันไม่มีโทษมันก็น้อยลง คือว่าอย่างเช่นว่าการฆ่าสัตว์ ตัวเองอยากจะรักษามันแต่ให้ยาผิด เจตนาการที่ฆ่าเขามันไม่มีแต่สัตว์นั้นตาย ถ้าหากว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ เราตั้งใจฆ่า เราลงมือฆ่า เราฆ่าสำเร็จ ถ้าอย่างนี้ผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์จ้ะ

    แต่ว่าอันนี้ของเรานี่เราไม่ได้ตั้งใจฆ่าเราตั้งใจช่วยเขาแต่สัตว์นั้นตาย โทษมันก็เหลือส่วนเดียวหรือบางทีเขาเองก็มีกรรมมา กรรมนั้นมันเนื่องด้วยกันทำให้เขาต้องมาเสียชีวิตลงด้วยเงื้อมมือของเราก็มี
    ถาม : ทำยังไงเจ้ากรรมนายเวรถึงจะอโหสิกรรมให้ ?
    ตอบ : รีบ ๆ เป็นพระอรหันต์ เขาไม่ได้อยากอโหสิกรรมหรอก แต่ความดีมันสูงจนเขาตามทวงไม่ได้ก็เลยกลายเป็นอโหสิกรรมไปโดยปริยาย การที่จะให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมต้องตกลงกันต่อหน้าว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ เธออโหสิกรรมให้แก่เราได้มั้ย ? ถ้าหากว่าเขาเอ่ยปากว่าได้ก็เป็นอันว่าจบกันลงตรงนั้นเลย อันนี้โจทย์กับจำเลยต้องตกลงกันเอาเอง มีคนกลางด้วยก็ได้แต่ว่าทำยังไงให้เขาเอ่ยปากขออโหสิให้ หลอกให้เขาพูดคำว่าได้ออกมาแล้วมันจบ

    ถาม : ใช้วิธีนี้กับเจ้ากรรมนายเวรได้รึเปล่าคะ ?
    ตอบ : ไม่ได้จ้ะ เพราะว่าเราเองนี่เจ้ากรรมนายเวรนี่ตัวตนเขาไม่มีแล้ว มันเหลือแต่พลังงานส่วนที่เราทำมันเหลืออยู่ กลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ตามทวง ตัวตนจริง ๆ นี่บางทีถ้าเราฆ่าเขานี่เขาก็ไปเกิดใหม่แล้วใช่มั้ย ? หรือไม่ก็ไปเสวยสุขเสวยทุกข์อยู่ในภพภูมิของเขาแล้ว

    แต่ว่าสิ่งที่เรากระทำต่างหากล่ะที่ตามทวงเรา เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเจอตัวตนที่เราเคยกระทำเขาแล้วรู้เรื่องนี้ขึ้นมา เอ่ยขึ้นยอมรับด้วยกันทั้งทั้งสองฝ่าย เอ่ยปากอโหสิกรรมกันก็เป็นว่าอันว่าจบ
    ถาม : .................................................
    ตอบ : ไปใต้มา ๑๐ วัน คราวนี้ ๑๐ วัน ๑๐ คืนน่ะกินไม่พอนอนไม่พอเหนื่อยตลอดมันก็เครียดมากใช่มั้ย ? กลับมาถึงวัดก็มาทำงานเลย ต้องมาทำใบสุทธิให้หลวงตาน้อย กับท่านก้องเขา ก็ให้ท่านบ่าวเขาช่วยเขียน ลายมือเขาสวยหน่อย ปรากฏว่าวันนั้นไม่รู้ว่าเป็นอะไร ท่านเขียนผิดแล้วผิดอีก ลบแล้วลบอีกอยู่นั่นแหละ เราก็เออ...รักษาอารมณ์ใจของเราใช่มั้ย? ปากดุก็จริง แต่ใจของเรา ๆ ดูอยู่ตลอดว่ามันเป็นยังไง จนกระทั่งเขาเขียนเสร็จเรียบร้อยเราก็ติดรูป ใบสุทธิมัน ๒ ฉบับ โอกาสพลาดมันมีแน่ ๆ อยู่แล้วถ้าติดสลับกัน เราก็ระวังจุดนี้ดูแล้วดูอีกว่าใช่แน่ พอติดเสร็จกลายเป็นสลับกัน เอ....มันทำยังไงมันแหกตาเราได้ถึงขนาดเห็นชื่อคนหนึ่งเป็นอีกคนหนึ่งไปได้น่ะ เราก็เออ....ไม่ว่าอะไร ก็บอกหลวงตาน้อยเขาเซ็นต์ใบสุทธิไปแล้ว บอกกลับมาเซ็นต์ใหม่ พอหลวงตาน้อยเขามาเซ็นต์เสร็จเรียบร้อย เราก็แกะรูป แล้วแทนที่แกะรูปเสร็จแล้วจะขอรูปใหม่เขามาติด....เปล่าหรอก ส่งรูปที่เหลือให้หลวงตาน้อยไป หลวงตาน้อยแกก็ไปแน่บเตรียมจะขึ้นรถ ไอ้เราพอนึกขึ้นมาได้ อ้าว...มันเอากูอีกยกแล้วหรือเนี่ย ? ทำไม๊.....มันมาเร็ว มาเป็นชุด ๆ เลย แล้วมาจังหวะที่เรากำลังเครียดสุด ๆ ด้วย มันจะเอาให้ได้เลย

    ไอ้เรา เออ....ไม่เป็นไรวะ ไหน ๆ มันก็ไหน ๆ มาถึงขนาดนี้แล้วใช่มั้ย ? จะดุจะด่าจะโทษใครก็ไม่ได้หรอกนอกจากตัวเราเอง ก็บอกพี่มุกดาวิ่งตามไปทีซิ ไปเอามาหน่อย เขาก็ลงทางหลังวัดที่เป็นสะพานจะไปขึ้นรถน่ะ พี่มุกดาแกวิ่งอีท่าไหนไม่รู้แกไถพรืดลงไป ๕-๖ แผล ตกลงว่าเรารักษากำลังใจของเราเอาไว้ได้ แต่คนอื่นเจ็บตัวแทน มันเอาจนได้ล่ะ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วพี่เขาก็บ่นกะปอดกะแปดขึ้นมา สอบตกไปเรียบร้อยแล้ว (หัวเราะ) เราสอบได้พี่เขาสอบตกแทน เจ็บตัวฟรี มันมาลักษณะอย่างนี้ ต้องคอยระวังอยู่ตลอดเลย เผลอเมื่อไหร่เป็นโดน ๆ พอรู้ตัวว่าเครียดนี่ สติต้องประเภทจดจ่ออยู่ตรงหน้าเลย อย่าเผลอให้มันเป็นอันขาด ถ้าเครียดนี่มันจะไม่อยู่แค่เรา มันจะไปลงคนอื่น

    อย่างพวกเรานี่ยังรักษาอารมณ์ใจลักษณะนี้ไม่เป็น ยังคลายมันออกไม่เป็น ยังปลดมันทิ้งไม่เป็น ให้มันอยู่แค่ตัวเอง อย่าให้มันไปใส่คนอื่นเขาแทน ขังเสือไว้ในอกให้มันกัดเราคนเดียวพอนะ อย่างนี้ยังถือว่าใช้ได้ คือมันเสียแค่ใจ กายวาจามันไม่เสีย อย่างน้อย ๆ เราก็ได้กำไร ๒ ส่วน แต่ถ้าหากว่าใจเสียด้วย กายวาจาเสียด้วย มันไม่เหลือซักสลึงหนึ่ง มันกินหมดทุกส่วนเลย มีอย่างหนึ่งนะ คือถ้าเรารู้สึกว่ามันเครียดแล้ว มันไม่ไหวแล้ว มันจะระเบิดแล้วนี่ ไม่ต้องไปถือมารยาทอะไรมากเดินหนีไปเลย ไม่ต้องไปอยู่ตรงนั้น ถ้าอยู่ต่อไปเป็นเรื่องแน่ ๆ เลย หลวงปู่หล้า ท่านถึงได้บอกหัดเป็นนักหลบซะบ้าง อย่าเป็นนักรบอย่างเดียว หลบให้เป็น ไม่ไหว...มันมีแต่สู้แล้วแพ้ท่านบอกไม่ใช่ผู้มีปัญญารู้ว่าสู้ไม่ไหวหลบมันก่อน

    ถาม : ......................................
    ตอบ : ค่อยสู้ไป ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวค่อย ๆ สั่งสมประสบการณ์ ตอนนี้ของเรามันยังอายุน้อยอยู่ ถ้าไม่ตายซะก่อนยังมีโอกาสลำบากอีกเยอะ (หัวเราะ) เมื่อถึงเวลานั้นแล้วเราจะค่อย ๆ เก็บเอาประสบการณ์ไป แล้วก็จะเห็นช่องทางมากขึ้นเรื่อย ๆ กำลังใจมันจะเข้มแข็งไปเรื่อย เรื่องที่เคยรับไม่ได้ต้องแอบไปร้องไห้ จะต้องไปบูด ไปโกรธมันก็จะไม่เป็นอีก

    ถาม : จริง ๆ ที่คนเราจะรู้วันตายของเราได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ได้จ้ะ ถ้าหากว่ามีความชำนาญในอานาปานสติจะรู้วันตายล่วงหน้า รู้ทีหนึ่งล่วงหน้านาน ๆ
    ถาม : แล้วอย่างของหลวงพ่อล่ะคะ ?
    ตอบ : อาตมาน่ะเหรอ....วันที่ไม่หายใจแน่นอนจ้ะ
    ถาม : ทำยังไงครับอานาปา.....?
    ตอบ : ก็อยู่กับลมหายใจเข้า-ออกตลอด ยิ่งอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกมากเท่าไหร่จิตก็ยิ่งสงบ ยิ่งสงบเท่าไหร่ปัญญาก็จะยิ่งผ่องใสชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ความเป็นทิพย์มันก็จะเกิดขึ้นมากขึ้นเท่านั้น ตัวความเป็นทิพย์นั่นแหละที่มันจะบอกได้ เพียงแต่เราอย่าไปมั่นใจอย่าไปประมาทว่า อีก ๑๐ ปีตาย ๒๐ ปีตาย ให้คิดอยู่เสมอเราอาจจะตายวันนี้

    ถ้าใครไปมั่นใจว่า โอ๊ย...อีก ๒๐ ปีข้างหน้าเราค่อยตายล่ะเดี๋ยวเจ๊ง นั่นเป็นการพยากรณ์ตอนนั้น การพยากรณ์ตอนนั้นก็คือตามกำลังใจของเราตอนนั้น ถ้าความดีความชั่วมันเปลี่ยนแปลง มีอุปฆาตกรรมเข้ามาแทรกบ้าง ปัจจัยมันจะเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นต้องคิดอยู่เสมอว่าเราอาจจะตายวันนี้ ถ้าหากว่าตายวันนี้ที่ ๆ เราจะไปมันมั่นคงแล้วหรือยัง ? ถ้ายังไม่มั่นคงก็พยายามทำให้มั่นคงเอาไว้
    ถาม : ตอนนี้หนูก็พยายามจะอยู่ตรงนี้ให้ได้ จิตใจจะได้อยู่กับคำภาวนา แต่ความรู้สึกหนูทำไมมันเครียด มันอะไรต่ออะไร .....?

    ตอบ : การภาวนานี่ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเริ่มมากขึ้นมันก็จะเครียด จะมีขั้นตอนหนึ่งที่ทุกคนจะต้องประสบเลยก็คือว่าระหว่างที่ยังไม่สามารถปรับตัวเองให้พอดีการปฏิบัติมันจะเครียด ถ้าเมื่อไหร่ที่เห็นจุดพอดีของตัวเองแล้วทำตามนั้นมันก็จะเริ่มสบาย เป็นทุกคน
    ถาม : ตอนนั้นทุกคนจะไม่เหมือนกันหรือครับ ?
    ตอบ : ใช่ มันจะมากจะน้อยจะสูงจะต่ำมันต่างกัน คราวนี้ถ้าหากว่าเราปรับตัวเขาได้เมื่อไหร่ก็สบาย สมัยบวชใหม่ ๆ ๓ พรรษาแรก โอ๊ย...เจ้าประคุณอยากสึกวันเป็น ๑๐๐ หน คือลักษณะนั้น จนกระทั่งเราปรับตัวได้ว่า เออ....เป็นอันหนึ้งอันเดียวกับศีล ขยับตัวเมื่อไหร่รู้ว่าศีลจะขาดหรือเปล่า แล้วเราระมัดระวังได้นั่นล่ะค่อยสบายใจขึ้นมา

    เพราะฉะนั้น ของโยมก็เหมือนกัน อันดับแรกเราก็ระวังศีลด้วย ระวังสมาธิ รักษาใจของเราด้วยมันเท่ากับงานหลายอย่าง แล้วงานประจำวันก็ต้องทำด้วย อย่างนี้มันรับไม่ไหวก็เครียด ถึงเวลาพอปรับอยู่ตัวเมื่อไหร่ก็สบาย
    ถาม : เราก็ต้องพยายามทำไปเรื่อย ๆ หรือคะ ?
    ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จ้ะ รู้สึกว่าเครียดก็ลดลงมานิดหนึ่ง รู้สึกว่ามันหย่อนก็เพิ่มขึ้นไปนิดหนึ่ง ต้องคอยสังเกตตัวเองไว้ตลอดแล้วก็จะเจอจุดพอดีของตัวเอง

    ถาม : อะไรก็ได้ใช่ไหมคะ ที่จะทำให้เป็นคำภาวนาของเราก็ได้ ?
    ตอบ : ได้ โดยเฉพาะอนุสสติทั้ง ๑๐ อย่าง เริ่มต้นด้วยอานาปานสติคือนึกถึงลมหายใจเข้า-ออก พุทธานุสสติ นึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าว่ามีอะไรบ้าง ธัมมานุสสติ นึกถึงความดี ของพระธรรมว่ามีอะไรบ้าง สังฆานุสสติ นึกถึงความดีของพระสงฆ์ว่ามีอะไรบ้าง สีลานุสสติ คุณของศีลดีอย่างไร จาคานุสสติ การบริจาคให้ทานดีอย่างไร เทวตานุสสติ คุณความดีของเทวดามีอย่างไรบ้าง มรณานุสสติ ความตายจะมาถึงเราอยู่ตลอดเวลาแล้ว ถ้าเราประมาทอาจไม่ได้ความดีจุดที่ต้องการ กายคตานุสสติ ระลึกถึงร่างกายของเราให้เห็นตามความเป็นจริงว่า มันไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งสวยงามที่ดีที่มั่นคงเลย เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง ตายไปสลายไปในที่สุด อุปสมานุสสติ ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ รวมแล้ว ๑๐ อย่าง ในแต่ละวัน ๑๐ อย่างนี้ เวลาใดเวลาหนึ่งก็ตามต้องให้มี ๑ ใน ๑๐ อย่างนี้อยู่ในใจของเราให้ได้ เอาอันไหนก็ได้จุดไหนก็ได้ให้เป็นความดีอันนั้น

    เพราะว่าอนุสสติทั้ง ๑๐ อย่างนี้เป็นของที่ทำได้ง่าย รักษาได้ง่าย มันไม่ลำบากด้วยอุปกรณ์ อย่างกสิณ ๑๐ ก็ต้องไปหาอุปกรณ์เพ่งกสิณมา อสุภกรรมฐาน ๑๐ ก็ต้องไปดูศพ มันจะลำบาก จตุธาตุวัฏฐานกับอาหารเรปฏิกูลสัญญาก็ดี พรหมวิหาร ๔ ก็ดี มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้กำลังใจกำลังปัญญาสูงมาก เราแตะเข้าไปอาจจะลำบาก ก็เล่นอนุสสติ ๑๐ อย่างสบาย ๆ



    ที่มา http://www.grathonbook.net/book/

    ฉบับที่ ๒๙ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : ....(ไม่ชัด)....ส่วนตัวของเรา เราจะทำยังไงที่จะส่งของเราไปให้ถึงแม่ได้มากที่สุด ?
    ตอบ : เอามากที่สุด ถ้าหากว่าเป็นทั่ว ๆ ไปอย่างของอามิสบูชา เป็นข้าวเป็นของเป็นเงินเป็นทองเป็นอะไรที่ถวายพระเป็นชิ้นเป็นอันได้ ก็ให้ทำให้สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน ซึ่งถือว่าเป็นทานสูงสุดของพระพุทธศาสนา แต่ถ้าหากว่าเป็นการปฏิบัติบูชาให้ตั้งใจรักษาศีลบำเพ็ญภาวนาของเราไป นั่งสมาธิของเราไปแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน บุญกรรมฐานนี่เป็นบุญใหญ่มาก
    เท่าที่ประสบการณ์ที่ผ่านมาผีหลายต่อหลายตัวด้วยกัน ที่เวลาเขามาขอโมทนาบุญ ให้บุญอื่นรับไม่ได้เลย เพราะกรรมของเขาหนักมาก แต่ว่าถ้าให้บุญกรรมฐานแล้วเขาโมทนาได้ เพราะบุญกรรมฐานเป็นบุญที่ใหญ่มาก เพราะงั้นถ้าหากเราตั้งใจแล้วก็มีการถวายสังฆทาน รักษาศีล สวดมนต์ภาวนาของเราไปแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่าน
    ถาม : ในตอนนั้นหรือว่าในวันนั้นหรือว่าตอนเรากลับมาแล้ว ?
    ตอบ : หลังจากกลับมาแล้วก็ได้ แต่ว่าให้เร็ว ๆ หน่อยแหละดี เพราะว่าผีบางทีเขาก็ไม่ค่อยมีเวลานัก ปลีกตัวมาได้แป๊บเดียว เดี๋ยวจะเหมือนกับตัวอย่างที่หลวงวพ่อท่านเจอ หลวงพ่อท่านเจอจะมีผู้คุมเขาก็คุมผีมาโมทนาบุญ หลวงพ่อท่านก็มัวแต่อิมินาปุญญากัมเมนะอยู่ ผู้คุมก็ลากคอไปเพราะเขามีเวลาให้แป๊บเดียว ให้ยาวเกิน เพราะฉะนั้นให้ไว ๆ ให้เร็ว ๆ ง่ายที่สุด
    ถาม : สรุปว่าตอนที่พระให้พรนี่เราพยายามให้ตอนนั้นเลย ?
    ตอบ : ตั้งใจเลยจ้ะว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตอนนี้เราจะอุทิศให้กับใคร ขอให้เขาผู้นั้นมาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใดขอให้เขาได้รับด้วย แค่นั้นล่ะ
    การกินยานอนหลับบางคนจะคิดว่ามันตายสบาย จริง ๆ ก็คือมันไม่ได้ทุรนทุรายอะไรมาก หลับไปเฉย ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าตายแล้วจะไปดี การจะไปดีไปชั่วมันสำคัญว่าจิตสุดท้ายของเราเกาะอะไร พอตอนกินยาเข้าไปถึงก็ห่วงทั้งตัวเองห่วงทั้งลูกทั้งหลานทั้งอะไรก็เรียบร้อยล่ะ
    ถาม : ......................................................
    ตอบ : ก็....มันอยู่ที่วาระสุดท้ายแว้บเดียวเท่านั้นเอง อย่างสุปติฏฐิตะเทพบุตรไง นั่นน่ะชั่วมาตลอดชีวิตนะ ก่อนตายนึกถึงพระพุทธเจ้าแว้บเดียวไปอยู่ข้างบนนู้น และก็พระนางมัลลิกาเทวีทำดีมาตลอดชีวิต ก่อนตายนึกถึงเรื่องไม่ดีนิดเดียวลงนรกซะ ๗ วันของมนุษย์ ถ้าถามว่า ยุติธรรมมั้ย? คนที่ทำดีมาตลอดทำชั่วมาตลอดแล้วไปรับในสิ่งที่ตรงกันข้าม ก็ตอบว่ายุติธรรมมาก ยุติธรรมตรงที่เขาไปรับเขาก็รับแป๊บเดียว อย่างสุปติฏฐิตะเทพบุตร นั่นถ้าไม่ได้ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าต่อก็เรียบร้อยนะ นรกทุกขุมแกเหมาคนเดียว (หัวเราะ) เพราะทำมาครบทุกอย่างจริง ๆ
    ถาม : แล้วเขาไม่ได้มารับเหรอคะ ?
    ตอบ : ก็ได้ฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้ากลายเป็นพระโสดาบันนี่ พระโสดาบันพ้นอบายภูมิโดยสิ้นเชิงเกิดอยู่ระหว่างมนุษย์กับเทวดาเท่านั้น ไม่เกิน ๗ ชาติก็ไปนิพพานแล้ว
    ถาม : แล้วทำไมเขาถึงไม่ต้องรับตรงนั้นล่ะคะ เพราะเขาได้ทำมาแล้ว ?
    ตอบ : ก็ในเมื่อลักษณะนั้นกลายเป็นพระอริยเจ้าไปแล้วกำลังบุญมันสูงกว่า กรรมตามไม่ทัน ในเมื่อกรรมตามไม่ทันก็กลายเป็นอโหสิกรรมไปโดยปริยาย อย่างเก่งในตอนมีชีวิตอยู่เศษกรรมก็ตามทวงได้เกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้นเอง มันก็ป่วยแค่ทางกายนะ ใจไม่เกี่ยวนี่
    ถาม : ต้องอโหสิไปโดยปริยาย ?
    ตอบ : ไม่อโหสิก็ไม่ได้ เผ่นไปต่างประเทศแล้วจะไปทวงที่ไหนล่ะ (หัวเราะ) ลูกหนี้โกยแน่บไปถึงไหนแล้วไม่รู้ แล้วจะไปทวงที่ไหน
    ถาม : .....................................
    ตอบ : อันนั้นก็คือการกระทำกับเราโดยตรง คือ... ถ้าหากว่าเรายังไปยึดกับตัวบุคคลเราก็จะเศร้าหมองเอง แล้วก็อย่าลืมว่าเขาเองก็ต้องมีผลกรรมที่เขารับในจุดนั้น เขาก็ฉวยตรงนั้นให้เป็นประโยชน์ มันตีซิ่งเราหลายทอดน่ะ โอ๊ย...รบกับมารนี่มันส์ เซียนหมากรุกอย่างคาสปารอฟ สู้มันไม่ได้หรอก มันวางหมากกินเรา ๒๐ ชั้นน่ะ พูดง่าย ๆ ว่าเขาเก็บประโยชน์ได้ทุกชั้น ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่อะไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเราเขาสามารถดึงมาใช้งานได้หมด คนรอบตัวเราพร้อมจะเป็นมารทดสอบเราได้ทันทีเลย นั่นเป็นงานของเขา เขาเองเขาก็ฝืนกฎของกรรมไม่ได้ก็อาศัยช่องว่างรอยโหว่พวกนี้แหละ มาจัดการกับเราแทน เขาจะทำให้เราตายไปเลยได้มั้ย ? ถ้าไม่มีอุปฆาตกรรมเข้ามาก็ทำไม่ได้ มัจจุมารก็ไม่มีสิทธิ์ ก็ใช้อย่างอื่น ฉะนั้นจะว่าแล้วเขาก็ยุติธรรมอยู่ ของเราถ้าปัญญาไม่ถึงแพ้เขาก้เป็นเรื่องปกติ เผลอเมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้นแหละ
    ถาม : ก็นึกอยู่เหมือนกันว่าวันนี้ว่าน่าจะเป็นความยุติธรรมเหมือนกัน เพราะว่าถ้าคน ๆ นั้นไม่เคยทำมาก็ไม่สมควรจะได้รับ ?
    ตอบ : เรื่องนี้ไม่ต้องไปถกกับเขาหรอก บอกง่าย ๆ ว่าถ้าถึงเวลาเขาเล่นเรานี่เขาเล่นทุกนาทีไม่มีคำว่าปราณีหรอก
    ถาม : แต่ยังมีกฎกติกาอยู่บ้างใช่ไหมครับ ?
    ตอบ : กติกาก็คือมันจะไม่เกินกฎของกรรม
    ถาม : พอมันนิ่งจิตเป็นจิตแล้วน่ะค่ะ จะเห็นเป็นกองไฟน่ะค่ะ แล้วจะตกใจ ....กลัวลงนรก ?
    ตอบ : มะเหงกแน่ะ ! ถ้าหากว่าทำสมาธิเห็นไฟมันอาจจะเป็นอุคหนิมิตของเตโชกสิณก็ได้ ?
    ถาม : คือ....มันเป็นหลายครั้งแล้วค่ะ ?
    ตอบ : จ้ะ นั่นแหละ ในอดีตของเรา ๆ อาจจะเคยได้เตโชกสิณมาก่อน ถึงเวลานั้นก็รักษาอารมณ์เดิมให้ตั้งมั่น แล้วก็ภาวนาเตโชกสิณัง จับภาพนั้นต่อไปเลย สบายเลยคราวนี้ไม่ต้องไปเสียเวลาหาอุปกรณ์ เพราะอันนั้นเท่ากับเป็นนิมิตติดตาแล้ว มันต่ออีกแป๊บเดียวเท่านั้นล่ะจ้ะ
    ถาม : เป็นสิบ ๆ ครั้งหลายทีแล้วค่ะ ?
    ตอบ : จ้ะ โอ้โห...ฉลาดมาก (หัวเราะ) เดี๋ยวก็เหมือนกับหลวงพ่อ ของหลวงพ่อท่านภาวนาไป ๆ ก็เห็นกะโหลกศีรษะลอยมาแล้วก็ผ่านไป กระดูกซี่โครง กระดูกแขน กระดูกขา ลอยมาก็ผ่านไป หลวงปู่ปาน สอนไม่ให้สนใจนิมิต เมื่อไม่ให้สนใจนิมิตหลวงพ่อท่านก็ปล่อยไป นั่นก็ลอยมาอยู่อย่างนั้นแหละเป็นชั่วโมง ๆ ลอยมาแล้วก็ขึ้นต้นใหม่ ท่านก็ไม่สนใจมัน
    จนกระทั่งพอรุ่งเช้าพอจะฉันเช้าไปกราบหลวงปู่ปานก่อน พอฉันเสร็จหลวงปู่ปานท่านก็ถามว่าเป็นไงคุณ เมื่อคืนผีมันหลอกรึ ? หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ผีไม่ได้หลอกหรอกครับ แต่กระดูกมันหลอน ท่านบอกแล้วคุณทำยังไงล่ะ หลวงพ่อบอก ผมก็ช่างมันตามที่หลวงพ่อว่าล่ะครับ ท่านบอกนี่ไม่ใช่ช่างมันแล้ว คุณน่ะช่างเผือกซะแล้ว ท่านบอกว่าอันนั้นน่ะมันเป็นกรรมฐานเก่าที่เราได้มาคืออสุภกรรมฐาน ข้อที่เรียกว่า อัฏฐิกังปฏิกุลัง การเพ่งกระดูกใช่มั้ย?
    ต่อไปถ้าหากว่าเจอภาพอย่างนั้นให้อธิษฐานมันตกลงตรงหน้า แล้วก็ค่อย ๆ ต่อมันขึ้นมาจนเป็นรูปร่าง แล้วก็จับนิมิตต่อไปเลย หลวงพ่อท่านบอก แหม...เสียดายก่อนหน้านี้ครูบาอาจารย์บอกให้ละก็ละท่าเดียวใช่มั้ย ? หารู้ไม่ว่ามันมีนิมิตบางอย่างที่เป็นกรรมฐานเก่าที่เราทำมา
    สังเกตมั้ยว่าก่อนที่มันจะเกิดขึ้นนี่เหมือนยังกับว่าอารมณ์ของเรา เคลื่อนไปวูบหนึ่งจากจุดที่เราตั้งอยู่มั่นคง ๆ เคลื่อนไปวูบหนึ่งแล้วก็จะเห็นภาพนั้นขึ้นมาเลย อาการนั้นเป็นอาการกรรมฐานเก่ามันคลายตัวลงแล้ว เตรียมจะรับของใหม่ ต่อไปว่าต่อได้เลยจ้ะ น่าอิจฉามั้ย ? (หัวเราะ) ถ้าได้ซะกองหนึ่ง ๙ กองหมูในอวยเลย
    ถาม : .......................................
    ตอบ : เบื่อจ้ะ เขาไม่ไล่ก็ไล่ตัวเองออก พอ ๆ กับฉันนั่นแหละ ฉันเบื่อฉันก็ไล่ตัวเองออกมาบวช แต่ของฉันนี่เพื่อนมันจะไล่เตะเอา คือทุกอย่างที่มันอยากได้มันไม่ได้ ทุกอย่างที่เราอยากได้เราได้หมดแล้ว ก็เลยพอ มีอยู่เที่ยวหนึ่งสอบแข่งกัน ๑๕ กองพันเขาเอาตำแหน่งเดียวแล้วได้ แล้วเราสละสิทธิ์ โอ๊ย...เพื่อนมันยัวะใหญ่ คือว่าถ้าปล่อยให้เขาก็หมดเรื่องไปแล้ว คือสอบให้เขารู้ว่าถ้าเราจะเอามันต้องได้ แล้วหลังจากนั้นก็พอ เบื่อ ๆ ก็มาบวช
    สังเกตดูผู้ชายอยู่ใกล้หลวงพ่อไม่นานก็บวชกันหมดแหละ ฉันเองก็มีโอกาสรับใช้หลวงพ่อที่สายลม ได้แค่ ๓ ปีกว่า ๆ ก็บวช มีหลวงตาวัชระชัยน่ะอยู่อึดกว่าเพื่อน อยู่ ๘ ปีกว่า นอกนั้นอยู่กันแป๊บ ๆ ก็บวชกันหมด
    ถาม : ...........................................
    ตอบ : ไม่ต้องเลยจ้ะ จับภาพนั้นแทนเลย ตั้งใจภาวนาว่าเตโชกสิณังแทน หายใจเข้าก็นึกว่าเตโชกสิณัง หายใจออกก็นึกว่าเตโชกสิณัง นึกถึงภาพนั้นแทน จับภาพนั้นเอาไว้ ถ้าหากว่าเลิกกรรมฐานแล้วจะไปทำอย่างอื่นก็กำหนดใจส่วนหนึ่งนึกเอาไว้เสมอ แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งจะ ๒๐-๓๐% ก็ได้ นึกถึงภาพนั้นอยู่ตรงหน้านี่เสมอ เราจะทำอะไรจะลืมตาหลับตานึกว่าอยู่ตรงนี้ แล้วภาพนั้นจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย จากสีของไฟธรรมดาก็จะจางลง ๆ กลายเป็นสีเหลือง กลายเป็นขาว แล้วคราวนี้ความขาวมันจะสว่างขึ้น ๆ มากขึ้นไปเรื่อย ๆ สว่างจ้าเลย เหมือนยังกับเราเอากระจกสะท้อนแสงอาทิตย์ใส่หน้าอย่างนั้นน่ะ ถ้าหากว่าได้ขนาดนั้นแล้วก็อธิษฐานดูว่าให้ใหญ่ได้มั้ย ? ให้เล็กได้มั้ย ? ให้หายไปเลยได้มั้ย ? ให้กลับมาใหม่ได้มั้ย ? ถ้าหากว่าได้ทุกอย่างคราวนี้อธิษฐานใช้ผลได้ ทีนี้ทิพจักขุญาณนี่เรื่องเล็กเลยจ้ะ เพราะว่ามันเป็นกำลังเต็มที่ของเขาเลย แต่จำเอาไว้อีกอย่างหนึ่งว่า บัดนี้เรารู้แล้วว่ามันคืออะไร ตอนภาวนาอย่าไปอยากถ้าอยากไม่ได้เจอมันหรอก ทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเดิม ภาวนาบอกไม่อยากได้เลยกลัวตกนรกเหมือนเดิม แหละเดี๋ยวมันมาเอง....
    เพราะฉะนั้นเราต้องระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา อันนี้ก็เหมือนกัน ที่บอกว่ามันเป็นของเก่าของเรา ถ้าเราไปยินดีแล้วฟูกับมันเดี๋ยวเถอะทำไม่เจอหรอก แล้วขณะเดียวกันถ้าทำแล้วอยากให้เป็นมันก็ไม่เป็นหรอก ทำใจสบาย ๆ เรามีหน้าที่ภาวนา ถ้ามันเกิดขึ้นเรารู้อยู่ขั้นตอนต่อไปเป็นยังไงเราทำตามนั้น ถ้ามันไม่เกิดขึ้นก็ไม่ต้องไปอยากได้มัน ทุกอย่างเขาลองเราได้ทุกเวลา ต้องระวังให้ดี
    ตอนนี้ที่บอกว่าแข็งแรงผิดปกตินี่ล่ะปกติ ไอ้ฉันมันป่วยประจำโดยเฉพาะมาเลเรียเรื้อรังนี่มันดีเอาปางตายเลย ระยะนี้ฝนตกบ่อยมันมีอาการหวัดเข้ามาหน่อยหนึ่ง แล้วมันเป็นหวัดครั้งแรกที่ไม่มีมาเลเรียช่วยซ้ำ แล้วหลังจากนั้นมาประมาณอาทิตย์ที่ผ่านมาตลอดมันก็ไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วยอะไรกับใคร ชักมานั่งระแวงว่ามันจะมาไม้ไหนกับเราอีกแล้วเนี่ย ? ต้องตั้งท่าให้ดีเลยล่ะ พลาดเมื่อไหร่เดี๋ยวมันฟันเราเละ
    ถาม : ขนาดหลวงพี่ยังเละ แล้วผมจะไปเหลือเหรอครับ ?
    ตอบ : (หัวเราะ) รักษาตัวให้ดี กว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ให้เขากราบให้เขาไหว้ได้ กว่าจะมาแนะนำสั่งสอนคนอื่นได้นี่ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัวเย็บกันจนเข็มหลง ลักษณะอย่างที่ว่ามานี่แหละ อันไหนที่เป็นประโยชน์แก่เราได้ก็เก็บไปใช้
    ถาม : ...................................
    ตอบ : มันสำคัญอยู่ตรงว่าทำจริงมั้ย ? ทำจริง ๆ อย่างที่หลวงพ่อท่านบอกให้มันตายลงไปดูซักทีสิน่า (หัวเราะ) ส่วนใหญ่พวกเรามันยังทำไม่จริง จนพ่อระอาหนีไปแล้ว (หัวเราะ) มัวแต่มั่นใจว่าท่านจะอยู่อีกเป็นร้อย เออ...มั่นใจไปเหอะ อาตมาวันไหนฟ้าฝนผิดปกติลุกขึ้นมานั่งกรรมฐานรอเลย...หลวงพ่อไปแล้ว หรือยังว้า...? (หัวเราะ) เตรียมส่งอยู่เสมอ แต่บอกคนอื่นไม่ได้หรอกนะ บอกคนอื่นเขาจะหาว่าเราแช่งพ่อ เขาจะด่าเอา เมื่อเช้ายังคุยกับโยมที่มาเลี้ยงอาหารเช้าบอก เขาไปบวชอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง ก็บอกเขาบอกว่าทบทวนดูซิว่าช่วงที่บวชอยู่กับช่วงนี้กำลังใจมันต่างกันอย่างไร ? ช่วงก่อนบวชกับช่วงนี้มีอะไรที่ก้าวหน้าบ้าง ?
    อย่างลืมว่ากระทั่งของเราถ้าหากว่าทำงานทำการอยู่มันยังต้องมีการประเมินผลตลอดเพื่อจะได้รู้ว่ากำไรขาดทุนเท่าไหร่ ? แล้วเราเป็นนักปฏิบัติถ้าหากว่าไม่มีการทบทวนกำลังใจของเรานี่ เราอาจจะเสียท่าเขาเมื่อไหร่ก็ได้ เขาก็บอกให้ว่ากำลังใจเป็นลักษณะอย่างนั้น ๆ อยู่ เราบอกว่าพวกคุณมันประมาทอยู่จุดหนึ่ง ประมาทอยู่จุดถ้าคิดว่าครูบาอาจารย์ยังอยู่ ในเมื่อคิดว่าครูบาอาจารย์ยังอยู่ พวกคุณก็ทำกันด้วยความสบายใจเลย แต่ว่าในสมัยที่ผมอยู่กับหลวงพ่อผมคิดอยู่เสมอว่าหลวงพ่ออาจจะตาย เพราะฉะนั้นอะไรที่ผมเร่งรัดได้ผมเร่งรัด อะไรที่ผมกอบโกยได้ผมกอบโกย พยายามเอาให้มันได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นั่นแหละคุณประมาทเกินไป คิดอยู่เสมอว่าครูบาอาจารย์ยังอยู่ ตัวเองมันยังจะตายเลย ไปมั่นใจว่าครูบาอาจารย์ยังอยู่
    เพราะฉะนั้นเป็นการประมาทเกินไปอะไรที่ทำได้ให้รีบทำ โดยเฉพาะพวกเรามันทันรุ่นหลวงพ่อมา สิ่งใดที่พ่อสอนเราย่อมมั่นใจแล้ว ถ้าหากว่ารุ่นลูก ๆ มาใครบอกอะไรถูกอะไรไม่ถูก เราก็จะเข้าใจเราก็จะรู้อยู่ เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามีพื้นฐานดีมาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อก็เร่งซะ เร่งเอาไว้ ๆ ถึงเวลาเหยีบบคันเร่งไว้ แต่ไม่ใช่เร่งอย่างเดียวนะ ให้มันมีตัวพอเหมาะพอดีของมัน ที่ปรารภกันเมื่อครู่นี้ ตัวพอเหมาะพอดีมันจะมีของมัน ถ้ารู้สึกว่าหย่อนไปก็เร่งขึ้นหน่อย ถ้ารู้สึกว่าเครียดไปก็เบาลงหน่อย คอยประคับประคองหลอกล่อมันไปเรื่อยเดี๋ยวมันก็ตามเรามาเองล่ะ
    ถาม : ............................................
    ตอบ : ๙ พฤศจิกาจ้ะ เป็นวันเสาร์ห้า ปีนี้มีวันเสาร์ห้า ๒ เสาร์ ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ทำ เพราะว่างานเป่ายันต์แต่ละครั้งก็คืองานของพระใหญ่ท่าน ซึ่งเราไม่ต้องการที่จะรบกวนเบื้องสูงขนาดนั้น ก็ตั้งใจจะหาข้ออ้างว่าที่ไม่ทำเพราะว่าไม่มีใครเขาทำบายศรีบวงสรวงให้ ปรากฏว่าหลังจากตั้งท่าเบี้ยวได้หน่อยเดียว ต้นเดือนมีโยมอาสาทำบายศรีให้ แหะ..แหะ...บีบคอกันชัด ๆ เลย ลักษณะนี้ไม่ต้องไปปฏิเสธให้เสียเวลาเลย น้อมรับไว้แต่โดยดี (หัวเราะ) ไม่อย่างนั้นอย่างอื่นจะมาแทน
    โยมเขามีความสุขมากเลยที่ได้ปวารณาว่าจะทำบายศรีให้ เขาไม่รู้หรอกว่าเราทุกข์ขนาดไหน (หัวเราะ) ร้อยวันพันปีก็ไม่ปวารณา มาปวารณาตรงที่เราตั้งใจจะเบี้ยวงานพอดี
    ถาม : ที่บอกว่าธูปเทียนที่ใช้ในการเป่ายันต์เกราะเพชรเอาไปจี้คนที่ .....?
    ตอบ : ถ้าใครผีเข้าล่ะก็ได้เลยจ้ะ
    ถาม : ต้องจุดก่อนไหมคะ ?
    ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ เอาแค่ว่าแตะมันก็เผ่นแน่บแล้ว
    ถาม : เอาไปแตะเฉย ๆ หรือคะ ?
    ตอบ : จ้ะ ถ้าไปจุดด้วยนี่คนดี ๆ ก็เผ่นจ้ะ (หัวเราะ) ไม่ต้องจุดจ้ะ ใช้ได้เลย
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ..............................
    ตอบ : เรื่องของอาหาร ถ้าเราทรงอาหาเรปฏิกูลสัญญา เป็นปกติอยู่ มันก็แทบจะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ว่ามันจะมาเพิ่มความระมัดระวังอยู่จุดหนึ่งตรงที่ว่า คอยระวังว่าอาหารนั้นจะเป็นโทษแก่เราหรือเปล่า ? กินลงไปจะดีกับร่างกายเรามั้ย ? บางคนแพ้อาหารบางอย่างอย่างนี้ บางคนตัวเองธาตุไฟพร่องกินอาหารเย็นเข้าไปก็เจ๊งเลย
    เพราะฉะนั้นถึงตอนนั้นต้องพิจารณาเองแล้วว่าอะไรเป็นอะไร แล้วยังมีของที่ภิกษุไม่ควรฉันอีกเยอะ อย่างเช่นเนื้อที่ต้องห้าม ๑๐ อย่าง เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อหมา เนื้อหมี เนื้องู เสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว ราชสีห์ อย่างนี้ห้าม ต้องคอยระวังไว้ แล้วก็อาหารสด อาหารดิบไม่ได้ ถ้าหากว่าเป็นพวกเนื้อสดเนื้อดิบไม่ได้หรอก ใครเล่นลาบเลือดมาก็อดเลย เขาจะมีข้อห้ามอยู่ แล้วก็พวกน้ำผลไม้ที่เป็นมหาผล ผลโตเกินกำปั้นหรือเกินลูกมะตูม อย่างเช่น มะพร้าว ส้มโอ แตงโม สับปะรด ถ้าหากว่าเป็นพวกนี้ห้าม
    เพราะฉะนั้นต้องคอยระวังอยู่ตลอด ถ้าหากว่าหลังเพลหลังเที่ยงไปแล้วนี่ถ้าหากว่าเป็นน้ำที่....ตอนแรกอนุญาตไว้แค่ ๘ อย่างเรียกว่า อัฐบาน เป็นน้ำ ๘ อย่างเกิดจากผลไม้ ๘ อย่างด้วยกัน เช่น น้ำกล้วยมีเมล็ด น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด น้ำเหง้าบัว อะไรอย่างนี้ แล้วตอนหลังพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงบัญญัติเพิ่มให้ว่าอย่างอื่นก็ได้ยกเว้นที่เป็นมหาผล
    คราวนี้มหาผลนี่เขาใช้คำว่าโตกว่ากำปั้น ในอรรถกถาท่านบอกว่า ถ้าหากว่าใหญ่เกินกว่าลูกมะตูม ก็ถือว่าไม่ได้ สิ่งนี้พระพุทธเจ้าท่านห้ามเอาไว้สองพันกว่าปีแล้ว ฝรั่งเขาเพิ่งตามทัน ฝรั่งเขาเพิ่งพิสูจน์ได้ว่าพวกมหาผลส่วนใหญ่จะมีฮอร์โมนเยอะมาก กินลงไปนี่ เดี๋ยวมันอยู่ไม่สุขกันหรอก โดยเฉพาะก่อนหน้าที่เขาว่าอะไรนะ ...ผู้หญิงท้องห้ามกินน้ำมะพร้าวใช่มั้ย ? สมัยนี้หมอเขาบอกว่าให้กินเข้าไปให้เยอะ ๆ เลยมันมีประโยชน์แก่เด็กในท้องมาก พวกฮอร์โมนพวกนั้นมันจะกระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกายได้สมบูรณ์กว่าปกติ เห็นว่ากินน้ำมะพร้าวเยอะ ๆ แล้วเด็กออกมาตัวขาวจ๋อง (หัวเราะ)
    ถาม : ตาขาวจนเป็นสีฟ้าเลยค่ะ ?
    ตอบ : มันขาวจนเป็นสีฟ้าเลยเหรอ ? จ้ะ ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามหรือว่าอนุญาตมีเหตุผลทั้งนั้น เราตามถึงมั้ย ? ห้ามมาสองพันกว่าปี ฝรั่งมันเพิ่งตามทันว่าห้ามเพราะอะไร เพราะฉะนั้นถึงเวลานั้นแล้วก็ต้องระวังเอง นักปฏิบัติที่เข้ม ๆ จนกระทั่งไม่ติดในรสอาหาร แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะฉันอะไรส่งเดช สิ่งที่ห้ามหรือว่าสิ่งที่ไม่เหมาะกับธาตุขันธ์ของตนเองก็ต้องระวังไว้ พระบางองค์ไปอยู่อีสานไม่ได้หรอก ....แพ้ข้าวเหนียว ฉันจะมากจะน้อยยังไงก็ตาม มันหลับหัวไถพื้นอย่างเดียว ภาวนาไม่ได้เลยล่ะ ถ้าอย่างเขาก็ต้องเลิกข้าวเหนียว ต้องย้ายที่ ย้ายที่มาอยู่แถวภาคกลางมากินข้าวเจ้าแทน พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอกว่าถ้าอาหารสัปปายะ คืออาหารเหมาะสม อุตุสัปปายะ อากาศเหมาะสม ไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป สถานที่สัปปายะ สถานที่เหมาะสม การปฏิบัติจะเจริญ ก็เลือกหาที่เหมาะที่ควรแก่ตัวเอง อยู่ที่นี่ไม่มีความสงบก็ขยับซะหน่อย ขนาดบ้านหลังเดียวกันแต่ละมุมยังทำกรรมฐานได้ไม่เท่ากันเลย หลวงพ่อท่านเคยบอกว่าถ้านั่งที่ไหนแล้ว กำลังใจมันรวมตัวได้เร็วนะ เอาชอล์กขีดไว้เลย ถึงเวลานั่งที่นั่นใหม่ (หัวเราะ)
    ถาม : (ถามเรื่องพระกริ่งพิชัยสงคราม)
    ตอบ : เอาพระกริ่งแช่น้ำนะ จุดธูป ๕ ดอก อาราธนาบารมีพระขอให้ช่วยสงเคราะห์ทำน้ำมนต์ที่เป็นยารักษาโรค สเร็จแล้วก็ว่าอิติปิโส ๓ จบ อิติปิโสที่ว่านี่หมายถึง อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ด้วยนะ จะให้รักษาโรคอะไรก็อธิษฐานไปจะรักษาคนรักษาสัตว์ยังไงก็ว่าไป ตอนนี้กำลังให้เขาไปทำอยู่ ๒ องค์จะใช้เอง (หัวเราะ)
    ถาม : ถ้าจะใช้ขอโชคลาภนี่ใช้ยังไงครับ ?
    ตอบ : อันนี้ลองดูแล้วกัน เพราะว่าจริง ๆ ที่ทำมานี่เน้นหนักในเรื่องเกี่ยวกับการศึกการสงครามมากกว่า แต่จริง ๆ ท่านบอกว่าใช้ได้ทุกอย่างล่ะ ลองดู ถ้าใช้ในด้านโชคลาภก็ต้องกำกับคาถาเงินล้านไปด้วย เดี๋ยวเป่ายันต์ครั้งหน้าทำใหม่ คราวนี้เอาเป็นสีเงินจะได้ไม่ซ้ำกัน โทรบอกช่างเขาแล้วว่าไม่ต้องประหยัดงบประมาณหรอกใส่ไปให้เต็มที่เลย .....คิดราคามาก็แล้วกัน เพราะเราทำเราต้องการให้สวย พระสวยคนมองมันติดตา ได้อนุสสติถึงแม้ว่าจะแพงขึ้นแต่คิดราคาเท่าเดิม
    ถาม : ถ้ามีคนทำคุณไสยในน้ำในอาหารนี่ แล้วเราไม่รู้ตัวนี เราจะแก้ไขได้ยังไงโดยที่เราไม่รู้ ?
    ตอบ : เท่าที่หลวงพ่อท่านสอนพระ ท่านให้เสกอาหารก่อนทุกครั้ง เสกด้วยคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ต่อด้วย นะโมพุทธายะ ตั้งใจอาราธนาบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ทำลายไสยศาสตร์ เสร็จแล้วก็ว่าคาถาบารมี ๓๐ ทัศต่อด้วยนะโมพุทธายะ บางทีท่านบอกให้ทำน้ำมนต์พรมแต่ว่ามันประเจิดประเจ้อจนเกินไป อาตมาเองถนัดประเภทอาราธนาพระคลุมลงมาเลย ลักษณะนั้นถ้าหากว่าเขาทำมาในอาหาร ไสยศาสตร์มันจะสลายตัวหมด เคยไปลองกับพวกหมอผีกะเหรี่ยงมาหลายยกแล้วจ้ะ กินมันไปหน้าตาเฉยเลย แล้วมันเองก็นั่งมองด้วยความหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่เรา ก็เกิดเหมือนกันแหละ....อร่อยดี (หัวเราะ) เล่นเอาประสาทกลับไปหลายรายแล้วจ้ะ อันนี้ขึ้นอยู่กับสมาธิของเราเหมือนกัน
    ถาม : บารมี ๓๐ ทัศนี่กี่จบครับ ?
    ตอบ : จบเดียวก็พอ แล้วถ้าจะให้ดีก็ภาวนาตลอดเวลาที่กินก็ได้
    ถาม : มีวันหนึ่งน่ะค่ะ นอนอยู่ในห้อง เห็นมีเงาคนตัวใหญ่ ใหญ่กว่าคนสัก ๓-๔ เท่าน่ะค่ะ มาจับตัวเอาไว้ นิ่มก็หันไปมองหน้าเขาก็หันไม่ได้ เขากดหัวไว้ด้วย ก็เลยไปถามพี่เจี๊ยบค่ะ พี่เจ๊ยบเขาบอกว่านิ่มเคยสั่งฆ่าคนน่ะค่ะ ฆ่าเขาทั้งโคตรเลย เขาก็เลยอธิษฐานว่าจะตามมา แล้วก็ตามมาทุกภพทุกชาติเลยจนกว่าจะเอาเลือดของนิ่มไปล้างกันได้ ก็เลยถามเขาดูถามว่าจะบวชให้เขาค่ะ ทำบุญอย่างอื่นเขาไม่เอาต้องบวชให้เขา แล้วพี่เจี๊ยบบอกว่ามีตังค์ต้องไปซื้อโลงศพมาน่ะค่ะ แล้วเขียนชื่อของทุกคน .....(ไม่ชัด).....แล้วก็มอบดวงให้วัดไปไว้อุทิศให้เขาค่ะ ?
    ตอบ : แล้วคิดจะทำวิธีไหนคะ เอาวิธีไหนดี ไปบวชง่ายที่สุด
    ถาม : จะถามว่าจริง ๆ มันใช่หรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : อาตมาก็ไม่ทราบสิ แต่ถ้าเป็นอาตมามันอยากได้งั้นบอกว่าอีก ๒๘ วันแล้วค่อยมา
    ตอบ : เออ...ก็พอดีเมนส์มาไง
    ถาม : อ้าว....(หัวเราะ)
    ตอบ : อยากได้ให้มันเลย ไอ้พวกนี้มันพลิกแพลงไม่เป็น ถ้าเรานี่พวกผีระอา แกล้งมันชนิดที่ ....หัวทิ่มหัวตำไปเลย
    ถาม : แล้ว...คือพี่เจี๊ยบเขาบอกว่าเขายังไม่....?
    ตอบ : คือเรื่องของกรรมนี่เราอาจจะเคยทำไว้จริง ๆ เพราะว่าเราเกิดมาแต่ละชาติ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราอยู่ในสถานภาพอย่างนี้ อาจจะเคยเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมา ถึงเวลาอาจจะประหารที ๗ ชั่วโคตร อย่างนั้นน่ะ มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน
    ขณะเดียวกันถ้าหากว่าเราตั้งใจทำ ทำความดีของเรา มั่นคงอยู่ในทานศีลภาวนา ถึงเขาจะเพียรพยายามตามเท่าไหร่มันก็ตามไม่ทันหรอก แต่อย่าให้ความดีขาดช่วงลง ถ้าความดีขาดช่วงลงเขาก็มีโอกาสตามเหมือนกัน
    ถาม : คือ....เขาก็ไม่ไปไหนสักทีน่ะค่ะ สงสารเขา มันเสียเวลาเขาด้วยน่ะค่ะ แล้ว....?
    ตอบ : ไม่เห็นเป็นไร แล้วเขาได้บอกเราตรง ๆ หรือเปล่า ถ้าเขาไม่ได้บอกคราวหน้ามาก็บอกว่าจะให้หวยก็ให้ซะทีสิ (หัวเราะ) มัวแต่ช้าอยู่นั่นแหละขี้เกียจรอแล้วนะ
    ถาม : พี่เจี๊ยบบอกว่าเขาน่ะอยากจะไปเต็มแก่แล้วค่ะ ....(ไม่ชัด)....เขาก็คงเบื่อเต็มแก่แล้วค่ะ แต่เขาก็ไม่ไปสักที ทำไมเขาไม่ไปล่ะคะทั้งที่เขาเบื่อจะแย่อยุ่แล้ว ?
    ตอบ : ใจของเขายังผูกอยู่มันกลายเป็นตัวเองผูกตัวเองอยู่ตรงนั้น คราวหน้าถามเขาเองนะ ให้คนอื่นถามมันไม่เคลียร์ พอเขามาแล้วถามเขาเองเลย เป็นใคร มีธุระอะไร ตอนั้นกลัวเขาหรือเปล่า กลัว ๆ เหมือนกันใช่มั้ย ? ตั้งใจถามเขาจำไว้ว่า เรื่องของผีเรื่องของเทวดา ถ้าไม่ใช่วาระของอุปฆาตกรรมเข้ามาจริง ๆ เขาทำให้เราตายไม่ได้หรอก อย่างเก่งก็แกล้งให้เรากลัวแค่นั้นเอง เขาไม่มีสิทธิที่จะฆ่าเรา บีบคอเราไม่ได้ แลบลิ้นเลียหน้าแบบแม่นาคพระโขนงก็ไม่ได้ (หัวเราะ) อย่างดีเขาทำให้กลัวเท่านั้น
    เพราะฉะนั้นก็รวบรวมกำลังใจไว้หน่อย ถึงเวลาก็ถามเขาว่าเขามาด้วยเหตุใด มีธุระอะไร ถ้าหากว่าช่วยเหลือได้ไม่เกินวิสัยจะช่วย ถ้าเกินวิสัยคุณก็ไปหาทางช่วยตัวเองก็แล้วกัน
    ถาม : แล้วถ้าเกิดว่าอุทิศส่วนกุศลให้เขา ทีแรกหนูก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาน่ะค่ะ หนูบอกให้เขาอโหสิกรรมให้ด้วยค่ะ แล้วเสร็จแล้วก็ไปถามพี่เจี๊ยบว่าเขาได้รับหรือเปล่า พี่เจี๊ยบบอกว่าเขาไม่รับ ก็เลยเอาใหม่ค่ะ อุทิศส่วนกุศลให้เขาโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ไม่รู้ว่าถ้าสมมติบุญมากเยอะมากขึ้นแล้วเขาจะทำอะไรเราได้มากหรือเปล่า ?
    ตอบ : แรงมันดีขึ้นมันได้บีบคอเราหนักขึ้น (หัวเราะ) อันนี้พูดเล่นนะ จริง ๆ แล้วที่เขาบอกว่า ตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลกน่ะ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน ตั้งใจทำดีให้เขาไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันทนความดีของเราไม่ไหวมันก็ไปเองแหละ ตื๊อบ่อย ตื๊อทุกวัน โดยเฉพาะว่าบุญกรรมฐานให้ไปเยอะ ๆ ตั้งใจว่าเราจะได้รับประโยชน์รับความสุขสักเท่าไหร่จากผลบุญอันนี้ขอให้เขาได้รับตามนั้นด้วย จะให้บวชชีก็จะบวชให้แต่รอเวลาหน่อย ลางานได้แล้วจะบวช เขาเอากี่วันนะ....บวช ?
    ถาม : เขาไม่ได้บอกค่ะ ?
    ตอบ : ไม่ได้บอกใช่มั้ยอ๋อ...ถ้าอย่างนั้นเขาต้องการแค่อานิสงส์ในการบวชเท่านั้น แบบเดียวกับบวชพระไงล่ะ บวชพระทันทีที่ญัตติเสร็จน่ะ เขาจะใช้แค่ว่า อุปสัมปันโน สังเฆนะ บัดนี้อุปสมบทเป็นสงฆ์แล้วนะ ตอนนั้นน่ะอานิสงส์ของการบวชจะได้เต็มที่เลย
    ถ้าหากว่าเป็นเจ้าตัวของคนที่บวชเองก็จะได้ ๖๐ กัปเลย พ่อแม่ได้ ๓๐ เจ้าภาพได้ ๑๕ คนช่วยงานได้ ๘ อานิสงส์ได้ตอนนั้นเลย ส่วยการที่อยู่ต่อยาวนานเท่าไหร่ก็ตามถ้าทำดีก็บวกเข้าไป ถ้าทำชั่วก็ลบออกมา หลายคนอยู่นาน ๆ อยู่ซะขาดทุนเลย เพราะฉะนั้นเขาอาจจะต้องการแค่อานิสงส์ของการบวช ถ้ามีเวลาแค่วันสองวันก็บวชให้เขาก็ได้
    ถาม : ถ้าเผื่อเราฆ่าคนมาก ๆ อย่างนี้น่ะค่ะ แล้วยังไม่ตกนรกสักที มันก็จะตามเราไปอย่างนี้หรือคะ ?
    ตอบ : มันก็จะตามไปเรื่อย อย่างอาตมามันก็ตามมาเรื่อย ไม่ได้ใช้หนี้มันมาเยอะหลายชาติเต็มทีแล้วล่ะ แต่มันตามทวงไม่ได้เองช่วยไม่ได้
    ถาม : หนี้เสียหรือคะ ?
    ตอบ : (หัวเราะ) ไม่ใช่ NPL เราเต็มใจจะคืนให้แต่มันไม่มาเอาสักทีน่ะ แล้วเขาก็จะรอระยะรอโอกาสรอเวลาที่ตัวกุศลของเราขาดช่วงลง ถ้ากุศลที่เราทำขาดช่วงลงพวกนี้ก็จะหาจังหวะแทรกเข้าแทน เพราะฉะนั้นอย่าเผลอเป็นอันขาด อย่างพวกเรานี่ถ้าลงนรกนี่มันซ้ำเลย ของเก่าเท่าไหร่มันคิดดอกทบต้นหลายเท่าเลยล่ะ
    ถาม : แล้วถ้าเผื่อว่าปรารถนาพุทธภูมินี่ก็แย่ ?
    ตอบ : จะแย่ตรงไหนล่ะ....ก็หนีมันไปทุกชาติสิ สร้างกำลังใจให้เข้มแข็งอย่างน้อย ๆ ทรงปฐมฌานให้ได้ก็เผ่นหนีจากมันได้แล้ว ถึงเวลากำลังบุญสูงกว่าเราก็เกิดเป็นเทวดาเป็นพรหมอยู่ข้างบนโน้น บ๊ายบาย...เอาไว้ชาติต่อไปนะจ๊ะ แล้วชาติต่อไปถ้าตามไม่ได้ก็ไปต่ออีก (หัวเราะ) ฉันเต็มใจที่จะจ่ายแต่ตามมาให้ทัน
    เป็นไง...เกิดมาแต่ละชาติ การสร้างบุญสร้างบารมีเราไม่ได้ทำความดีอย่างเดียว ความชั่วก็ทำด้วย ถ้าหากว่าเกิดมาเป็นนักรบต้องปกป้องครอบครัวตัวเอง ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันก็ยิ่งต้องทำบาปหนักขึ้นไปอีก แต่ขณะเดียวกันท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็คือ สิ่งที่ทำแทบจะไม่มีโอกาสได้ทำเป็นส่วนตัวเลย ทำเป็นส่วนรวมมากกว่าในเมื่อทำเป็นส่วนรวมมากกว่า เจตนามุ่งร้ายใครมันไม่มี เพราะฉะนั้นโทษเกิดเหมือนกันแต่มันไม่ได้เกิดเต็ม ๑๐๐% แล้วอีกอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่กำลังใจเข้มแข็งมากถึงเวลาก็อาศัยการฝึกสมาธิทรงฌานทรงสมาบุติได้ก่อนตายก็เข้าสมาบัติไปแน่บ (หัวเราะ)
    ไม่เห็นต้องกลัวมันตามเลย ทุกวันนี้ยังสบายใจอยู่เลย ดูเอาแค่ลุ้นแค่ว่าให้ไปอยู่ตรงหน้าท่านลุงพระยายมเท่านั้นแหละ รับรองว่ารอดแน่ ฝากไว้เยอะ ทำเมื่อไหร่ก็ฝากไว้ ๆ นึกไม่ออกจริง ๆ ท่านก็ต้องบอกอยู่แล้ว อาตมาลุ้นแค่นั้นแหละ เอาเท่านั้นพอ ได้มากกว่านั้นถือว่าฟลุค
    ถาม : แล้วถ้าอย่างนั้นในส่วนที่ไม่ได้ให้ท่านลุงเป็นพยานไว้จะส่งผลเมื่อไหร่ครับ ?
    ตอบ : ถึงเวลามันจะมารวมตัวหมด
    ถาม : เรามีสิทธิ์ใช้จนหมดแล้วค่อยลงไม่ได้เหรอครับ ?
    ตอบ : โอ้โห....ถ้าหากว่าขึ้นไปข้างบนแล้วยังลงอีกแสดงว่าเซ่อสะเด็ดเลย พอขึ้นไปข้างบนก็เห็นแล้วว่าพลาดเมื่อไหร่นี่ยับเยินแค่ไหน เราก็ไปต่อซิ ใครจะอยู่ล่ะ อย่าหนีไปมาเลเซียแล้วก็กลับมาให้จับได้นะ....ตาย
    ถาม : ไปวัดท่าขนุนนี่ โดนทั้งคืน ให้ผมตื่นทุกชั่วโมงเลย ?
    ตอบ : ยังดี บางทีนี่ไม่ให้หลับเลย พอเคลิ้ม ๆ จะหลับมันกระตุกขาให้ตื่น
    ถาม : กลับบ้านมานอนอีก ๓ วันก็ไม่ได้หลับเลย ?
    ตอบ : แล้วตอนนี้หลับได้หรือยัง ?
    ถาม : ตอนนี้ก็หลับแต่ไม่สนิทน่ะฮะ ?
    ตอบ : มา เดี๋ยวจะช่วยตีให้สลบเลย ก้มหัวมา
    ถาม : เป็นทุกข์จริง ๆ (เสียงตีหัว) ?
    ตอบ : เอาให้แตกกระจาย มีสาวบ้านอู่ล่องคนหนึ่งชื่อบัวเงิน ไม่ได้นอนมา ๔ เดือนกว่าแล้ว หน้าเหี่ยวมาเชียว มาบวชชี เขามาถึงก็....หลวงพ่อช่วยหนูด้วยค่ะ หนูโดนไสยศาสตร์มา ถามว่ารู้ได้ยังไงวะ ? มันบอกว่ามีคนเขาตั้งใจทำ ของเราเองคือว่าตั้งใจแล้วว่าถ้ามันไม่มาดิ้นพราด ๆ อยู่ตรงหน้าก็ไม่ช่วยมันหรอก แต่นี่มันมาแล้วก็จำเป็น ก็ใช้วิธีนี้แหละ ตีหัวมันไปทีหนึ่ง มันนอนไป ๒ วันกับ ๒ คืนถึงตื่น คุ้มกับไม่ได้นอนมา ๔ เดือน
    ถาม : (ถามเกี่ยวกับสุนทรภู่)
    ตอบ : เขาอธิษฐานทีไร เขาจะอธิษฐานแสดงถึงความปรารถนาพระโพธิญาณทุกที อย่างไปไหว้ภูเขาทอง
    ขอเดชะพระเจดีย์คิรีมาศ บรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์ ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวัน เป็นอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย จะเกิดชาติใด ๆ ในมนุษย์ ให้บริสุทธิ์สมจิตที่คิดหมาย ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กราย แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์ ทั้งโลโภโทโสแลโมหะ ให้ชนะใจได้อย่าไหลหลง ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายง อีกทั้งทรงศีลขันธ์ในสันดาน อีกสองสิ่งหญิงร้ายและชายชั่ว อย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ ตราบนิพพานชาติหน้าให้ถาวร เป็นไง....เขาเลี้ยวเข้าหาพระโพธิญาณจนได้เลย
    เพราะฉะนั้นสุนทรภู่ รับประกันว่าต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ ๆ ไปเถอะไปอธิษฐานเอาตรงนั้น แต่อย่าไปอธิษฐานตราบนิพพานเอาชาติหน้านะ เราเอาชาตินี้นะโว้ย
    วันก่อนหลวงพี่กิตติชัย เขาก็ไปอยู่ที่วัดท่าขนุนด้วย รายนี้ก็พระโพธิสัตว์ พวกเราพอทำกรรมฐานทำวัตรเสร็จก็อธิษฐานขอนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ แกสะดุ้งยึก (หัวเราะ) รีบปฏิเสธพัลวันไม่เอาด้วย ไปคนละทางกันล่ะสิ ของเขา ๆ จะเกิดใหม่ ของเรา ๆ เอานิพพานในชาติปัจจุบันนี้แกก็เลยต้องเปลี่ยน ให้แกให้ศีลแทนที่แกจะให้ เขาขอศีลห้านี่ ไปกาเมสุมิฉา จะหลุดอะพรัหมจริยาออกมา ไอ้เรานี่ขำก็ขำ เขาก็รีบเปลี่ยนเป็นกาเม เขาไม่ได้หลุดออกมาหรอก แต่ใจมันคิดแล้ว ว่าให้ศีลเสร็จก็เลยถามเขาว่าจะให้อะพรัหมจริยา แล้วเสือกอมกลับเข้าไปทำไม เขาหัวเราะใหญ่ ตัวเองมันชินกับอะพรัหมจริยาเวระมะนีใช่มั้ย ? โยมขอศีลห้าก็จะให้อะพรัหมจริยา

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ได้หอพักที่หนึ่งก็ไปนอน คืนแรกก็ไม่เป็นไร คืนที่สอง คืนที่สาม คืนที่สี่นี่ก็จะฝันไปว่ามีดวงวิญญาณอยู่แถวนั้นเยอะเขาก็มาเหมือนกับว่ามา แล้วก็ด้วยความกลัวจิตมันเป็นไปเองมันไม่ได้ไปบังคับ จิตมันก็เลยขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พ่นใส่เขาก็กลัวสิค่ะ เขาก็หนีเลย มีความรู้สึกว่า....?
    ตอบ : คราวหน้าอุทิศส่วนกุศลแทน พวกที่เขามาส่วนใหญ่เขาจะลำบากเราไปนี่เราสร้างสมบุญเอาไว้เยอะทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา ไม่เพียงแต่ชาติก่อน ชาตินี้ก็เอาไว้ทำไว้มาก เขาเจอเขาก็อยากจะเข้ามาขอความช่วยเหลือ แต่เรานี่ส่วนใหญ่แล้วมันจะกลัว คราวหน้าให้ตั้งใจว่า ผลบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ขอให้เธอทั้งหลายได้โมทนา เราจะได้รับประโยชน์รับความสุขเท่าไรขอให้เธอได้รับด้วย แค่นั้นล่ะ รับรองได้ว่าเขารีบไปเลย เขาไม่อยู่เกะกะลูกกะตาเราหรอก ไม่ต้องไปไล่เขาด้วย
    ลักษณะอย่างนั้นมันเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน แสดงว่าในอดีตเราเคยทำได้แล้ว ถ้าหากว่าสภาพจิตใจเรามันนิ่งพอ มันก็จะรับรู้เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ ลักษณะของการนิ่งมันก็คือต้องหลับไปสักพักหนึ่ง โดยเฉพาะตอนใกล้ ๆ สว่างจิตที่วุ่นวายมาทั้งวันพอมันได้พักไป ก็เหมือนยังกับว่า รถถึงเวลาถึงเราจะดับเครื่องแล้ว แต่แรงเฉื่อยมัยังมีอยู่เรื่อย ๆ พอแรงเฉื่อยมันหมดมันนิ่งเมื่อไหร่ ตอนนั้นมันก็จะเริ่มแล้ว คราวนี้ไอ้โน่นก็มาไอ้นี่ก็มา ชักจะเห็น
    ถาม : เขาพูดในลักษณะว่าเราเป็นอาจารย์เขา ?
    ตอบ : อาจจะมียิ่งกว่านั้นอีก อาจจะเคยเป็นลูกเป็นหลานเป็นญาติ เป็นโยมอะไรเยอะกว่านั้นอีก
    ถาม : เลยโทรไปหาลูกศิษย์ที่พิษณุโลก ว่าใครเป็นอะไรไปบ้าง เพราะว่าเห็นมาแล้วส่วนใหญ่.....แต่ช่วงนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติ ไม่รู้ว่าได้ปฏิบัติรึเปล่า แต่พอดีอยู่แถวบางเขนซึ่งมีเครื่องบิน ๆ ผ่านตลอดเลย ได้ยินเสียงวืด ๆ ตลอดเลยดัง เรากลัวว่าเครื่องบินจะตก ก็เลยบอกว่าถ้าตายตอนนี้ นึกถึงพระพุทธเจ้าทุกครั้งที่เครื่องบินมันบินผ่าน ก็คือว่าถ้ามันหล่นนี่หนูต้องตายแน่ ก็กลัวมันจะหล่นโดนที่เราอยู่ ตอนนั้นบินมาทีไรก็เอาและต้องตายแน่เลย?
    ตอบ : นี่เป็นคุณูปการของการบินไทย น่าให้รางวัล จริง ๆ สิ่งที่เรานึกเป็นสิ่งที่ดีมากเลย เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้าก็เป็นพุทธานุสสติ นึกถึงความตายก็เป็นมรณานุสติ เป็นกรรมฐานใหญ่ทั้งสองอย่าง ซึ่งปกติเราจะทำได้ยาก แต่เนื่องจากว่าตอนนั้นน่ะมันกลัวตาย ใจมันจะเกาะมากเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นควรจะย้ายบ้านให้อยู่ใกล้กว่านั้นอีกหน่อยหนึ่ง เผื่อมันจะเกาะได้ดีขึ้น
    ถาม : หนูยังงง ชาวบ้านอยู่ได้ยังไง ?
    ตอบ : เขาเคยชินไง เขาเคยชิน แล้วก็อยู่ในความประมาทเป็นปกติ ถ้าหล่นมาเราไม่ต้องทำยังไงหรอกจ้ะ คนอื่นเขาทำให้แหง ๆ เลย (หัวเราะ) ถ้าหล่นเราก็แบนแต๋เลย ไม่ต้องทำยังไงหรอก เกาะพระให้ทันอย่างที่ทำก็แล้วกัน
    ถาม : แต่ว่าไอ้ความตั้งใจมันก็ยังอยู่ คือมันก็ไม่ได้ตายสนิท ?
    ตอบ : คือจิตแรก คิดถึงอะไรมันก็จะไปที่นั่น ใจคิดถึงพระพุทธเจ้าปุ๊บ เครื่องบินทับแบนแต๋มันก็ไป กำลังบุญมีแค่ไหนส่งถึงแค่นั้น ถ้าไม่นิยมการเกิดไปถึงนิพพานได้เลย
    ถาม : ทั้ง ๆ ที่เราแบบว่ามุ่งมั่นจะเรียนต่อ แต่ก็จะตายจริง ๆ เครื่องบินจะหล่นมา ก็ไม่เอาแล้วล่ะปริญญาเอกน่ะ ?
    ตอบ : (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วเราว่าเราไม่ค่อยได้ทำความดีมันก็ไม่ใช่ การที่เรามุ่งมันอยู่กับการเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือ ตั้งใจท่องตำรา ตั้งใจจำมันเป็นสมาธิอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันเป็นสมาธิที่ใช้งาน มันไม่ใช่สมาธิแบบที่เรามานั่งฝึก ก็เลยใช้ลักษณะที่ว่า ถ้าหากว่าเวลางานใจเราให้อยู่กับงาน ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็มานั่งภาวนาของเรา ต่อให้จบด็อกเตอร์มันก็จะประเภทไม่ถึงพระโสดาบันก็ยังมีสิทธิลงนรกอยู่นั่นล่ะ เพราะฉะนั้นเอาให้มันเยอะ ๆ เข้าไว้
    ถาม : บางทีตั้งนาฬิกาปลุกไว้น่ะค่ะ ตีห้า พอตีห้าปุ๊บเราก็ปิดนาฬิกาปลุกแล้วหลับต่อ สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงตื่นได้แล้ว ตีห้าแล้วตื่นเถิดอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ ?
    ตอบ : ยังดีที่บอกว่าตีห้าแล้ว ยังบอกว่ายังไม่ถึงตีห้า เพราะมันเลยไปแล้ว คราวหน้าก่อนหลับให้ตั้งใจว่าจะตื่นเวลาไหน นึกถึงภาพนาฬิกาเลยตอนที่เข็มมันชี้ตรงนั้นล่ะ แล้วกำหนดให้แน่ ๆ ด้วยนะ ว่าเป็นอีกกี่ชั่วโมงข้างหน้านี่ รึว่าภายในคืนนี้ไม่อย่างนั้นบางทีมันข้ามวันเลยนะ ถ้าเรากำหนดใจในลักษณะอย่างนั้นพอถึงเวลามันจะตื่นเอง
    ถาม : หนูมีข้อสงสัยอีกข้อหนึ่งค่ะว่า ในช่วงที่เราท่องสหัสเนตโตปึ๊บ ความรู้สึกเหมือนบอกว่าช่วงท่องเวลาที่เรานั่งอ่านหนังสือ เทวดาท่านจะมา รู้สึกน่ะค่ะ ว่าจะมีเทวดาท่านจะมา มาหมดเลย ตอนนั้นหนูขอบารมีกรมหลวงชุมพรด้วยค่ะ เพราะว่าเคยไปเรียนที่อังกฤษ และหนูก็กำลังจะไปก็เลยขอบารมีท่านมาช่วยด้วย รู้สึกว่าท่านก็มาเทวดาก็มารู้สึกเองน่ะค่ะ แล้วช่วงเวลาที่อ่านหนังสืออยู่ บังเอิญลืมท่องจบ หนูมีความรู้สึกว่า พออ่านเสร็จแล้วเราไม่ท่องปิดท่านก็ยังอยู่ท่านยังไม่ไปไหน (หัวเราะ) นี่เราเข้าห้องน้ำอยู่น่ะนี่เราอาบน้ำอยู่นี่ท่านยังอยู่น่ะ หนูเอ๊ะ...ตาย อุ๊ยตาย...เราลืมกำลังนั่งอึอยู่ในส้วม ตายแล้วลืมท่องปิดรีบนั่งท่องอยู่ในส้วมเลยเพราะกลัวท่านจะ...หนูก็เลยว่ามันเป็นอย่างนี้ตามที่หนูคิดหรือเปล่าค่ะ ?
    ตอบ : อันนั้นไม่ใช่คิดจ้ะ คิดยังไงก็คิดแบบนั้นไม่ได้ ความรู้สึกอันนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามนั้นเลย เพราะอย่าลืมว่าคาถานี้เป็นของท่านปู่พระอินทร์ ท่านปู่พระอินทร์ถือว่าเป็นนายของเทวดาทั้งหมด ถ้าหากว่าเรามีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือในขณะนั้น เทวดาที่อยู่ในบริเวณนั้นทั้งหมดก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วยเรา เพราะอย่างน้อย ๆ เราก็ประเภทเด็กเส้นของเจ้านายอะไรอย่างนี้ ในเมื่อมาแล้ว แล้วไม่บอกให้ไปก็อยู่ก่อน คราวหน้าเลี้ยงข้าวด้วยนะ
    ถาม : บางครั้งยังรู้สึกเลยว่ากรมหลวง ขณะเราเข้าห้องน้ำ พออึเสร็จน่ะค่ะ ลืม ๆ ต้องปิด แล้วเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วเรานั่งฟังเพลง ฟังเพลงไปเรื่อยเพราะเราว่าอ่านเสร็จแล้วลืมท่องปิด ตอนนี้ฟังเพลงไปเรื่อยรู้สึกว่ากรมหลวงท่านอยู่แถวนั้น ?
    ตอบ : ยังดีที่ไม่เขกกะบาลเอา
    ถาม : หนูก็เลย อุ๊ยตาย...นี่เราลืมท่องปิด พอรู้สึกว่าท่านยืนปึ๊บเราจะเอะใจ อุ๊ยตายเราลืมท่องปิด ก็เลยต้องมาท่องปิดก่อนแล้วมาฟังเพลงใหม่ ?
    ตอบ : จ้า...แหมเชิญมาแล้วก็ส่งกลับด้วยสิ
    ถาม : การที่ท่องคาถาหลังจากอ่านจบนี่เป็นการปิดหรือคะ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วมันอยู่ที่เรา ถ้าใจของเรายึดถือมั่นคง ท่านก็พร้อมที่จะสงเคราะห์ให้ คราวหน้าบอกท่านก็ได้ว่าหนูเรียกมาแล้ว ถ้าหากว่าหนูไม่ได้ส่งกลับก็กลับเองด้วยน่ะค่ะ (หัวเราะ) ถ้าอยู่ที่นี่มันจะมีแต่ประสบการณ์อย่างนี้ทั้งวันแล้วเราจะรู้ว่าตัวเราผิดปกติ คนอื่นเขาดีหมด (หัวเราะ) ไม่ใช่คนอื่นบ้าแล้วเราดีอยู่คนเดียว ตัวเราผิดปกติคนอื่นเขาดีหมด ตกลงว่าจะไปแน่ ๆ เมื่อไหร่
    ถาม : เมื่อคะแนนผ่านน่ะค่ะ ?
    ตอบ : เอา ๆ ลองดู
    ถาม : ก็อธิษฐานอยู่ทุกวันน่ะค่ะ ทำบุญทุกวันขอให้ผ่าน ?
    ตอบ : ไม่ใช่ประเภทพอผ่านเสร็จเรียบร้อยลืมทำบุญ ก็ดียังมีแรงเรียนเอาไว้ก็ดี เดี๋ยวไฟมันมอดซะก่อนกว่าจะลุ้นฝนจบด็อกได้ หลวงพ่อเหนื่อยเกือบตาย ปริญญาตรีแค่เรารู้ตามครูสอนก็พอแล้วไง ถ้าปริญญาโทนี่จะต้องเกลี้ยกล่อมให้ครูเขาคล้อยตามให้ได้ว่าเรารู้จริง ถ้าปริญญาเอกนี่มันจะต้องหลอกครูได้ เจ้าฝนเขาเรียนนี่ศศินทร์ เรียนของแพง
    ถาม : ตอนที่ท้อ ๆ น่ะค่ะ หนูก็เลยคิดว่า .....?
    ตอบ : โทรได้จ้ะ ถ้าโดนด่าแล้วจะมีไฟขึ้น
    ถาม : (หัวเราะ) กลัวโดนด่า เลยไม่กล้าโทร ?
    ตอบ : ขึ้นอยู่กับจังหวะเหมือนกัน ถ้าผิดจังหวะล่ะได้แน่ ๆ หลังสงกรานต์ลงไปปักษ์ใต้ไปเจอที่หนึ่งน่าอยู่มากเลย มันเหมือนกับเขตหวงห้ามเล็ก ๆ เนื้อที่ซัก ๒๐๐ ตารางวาเท่านั้นล่ะ จะเป็นตำหนักในลักษณะที่ว่าคล้าย ๆ กับศาลเจ้าพ่อทางบ้านเรา เขาเรียกตำหนักโต๊ะชายดำ โต๊ะชายดำปกติลงไปก็ผ่านไปผ่านมาอยู่เป็นประจำแล้วมันไม่มีอะไร งวดนี้ไปเขาขอความช่วยเหลือ ว่าให้ถวายสังฆทานให้เขาบ้าง เขาบอกว่าความจริงในอดีตก็เคยเนื่องกันมา เพราะว่าในสมัยที่กรุงแตกจากการล้อมตีของพม่าเขา คณะของเขาเห็นว่ามันไม่ไหวจริง ๆ ก็เลยอพยพหนีออกจากกรุงไปก่อน อพยพหนีไปก่อน ไปยันโน่นแน่ะ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เขาก็ไปตั้งรกรากกันอยู่ตรงนั้น โดยเฉพาะทรัพย์สินอะไรที่ขนไปก็เอาไปฝังรวมกันไว้ตรงนั้น ทำตัวเป็นชาวบ้านธรรมดา ทำมาหากินไปตามปกติ กะว่าถ้าหากว่ามีใครกู้บ้านกู้เมืองคืนขึ้นมาได้เมื่อไร ก็จะมาร่วมงานกับเขา แต่บังเอิญว่าไปไกลไปหน่อย แล้วพระเจ้าตากสิน ท่านทำงานเร็วมากเลย แปดเดือนก็เรียบร้อยแล้ว กว่าข่าวจะไปถึงก็เลยอยู่กันตรงนั้น อยู่กันสองร้อยกว่าเกือบ ๆ สามร้อย
    เราผ่านไปผ่านมาหลายทีวาระบุญวาระกรรมมันยังไม่เปิดให้ มันก็เนื่องกันมาไม่ถึง เขาไม่สามารถที่จะติดต่อเพื่อแสดงให้รู้ได้อะไรได้ คราวนี้งวดนี้ลงไปได้รับการติดต่อมาว่าให้ทำบุญให้เขาก็เลยไปกัน ไปถวายสังฆทานก็มีพระพุทธรูป มีผ้าไตรจีวร แล้วก็ชาวบ้านเขาเลี้ยงพระซะจนไม่มีปัญญาจะฉัน ตัวเรานั่งอยู่นี่กับข้าวมันไปเลยเสาโน้นอีก แล้วมันเหลือเชื่อว่า อำเภอตากใบ คนตรงจุดนั้นมันเป็นไทยล้วน ๆ ปกติมันน่าจะมีอิสลามบ้าง แล้วสถานที่นั้นมันเป็นเขตลักษณะเหมือนเขตหวงห้าม มีต้นไม้ใหญ่มีอะไรร่มเย็นน่าอยู่มากเลย แล้วก็มีพวกลักษณะเขาทำไว้เหมือนยังกับศาลเจ้าอย่างศาลเจ้าพ่ออย่างนั้น แล้วก็จะมีลักษณะเหมือนยังกับที่นั่งเล่น เป็นที่นอนได้ มีกระทั่งห้องน้ำและก็มีบ่อน้ำ พร้อมทุกอย่างแต่ไม่มีใครอยู่ได้ โดยเฉพาะพวกที่เข้าไปบริเวณนั้นแล้วเข้าไปล่าสัตว์ เพราะว่าพื้นที่ของเขามีสัตว์ชุกชุมมาก มักจะเจอดีจนกระเจิดกระเจิงออกมาหมด ไปเห็นปุ๊บแล้วติดใจเลย สถานที่มันสงบน่าอยู่จริง ๆ ไม่มีใครไปกวน
    แต่ว่าวันนั้นพอเขาเห็นพระไปเขาก็เข้าไปกัน ไปทำบุญบ้างไปอะไรกันบ้าง มันก็เลยสบายตกลงว่าพวกเก่าเขาเลี้ยงดีกินไม่ไหว อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เขาเรียกว่า โคกอิฐ ก่อนจะถึงโคกอิฐนี่ถ้าหากว่ามาจากทางด้านปัตตานี่ไปนราธิวาส ถนนเส้นนอกมันจะมีป้ายบ้านโคกยางก่อน พอเห็นบ้านโคกยางปุ๊บก็ไปยูเทินร์เลี้ยวกลับ แล้วก็จะมีบ้านโคกกระท่อม พอเห็นบ้านโคกกระท่อมก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปได้เลย ตรงนั้นเขาเรียกโคกอิฐ แสดงว่าแถวนั้นมีแต่ที่สูงมันมีแต่โคกทั้งนั้นล่ะ
    เคยไปตากใบมั้ย โห...เสียชาติเกิดจริง ๆ อยู่ใต้ไม่เคยไปตากใบ (หัวเราะ) น่าอยู่เสียดายที่เลยล่ะ สงบเหมาะที่พระจะอยู่ปฏิบัติเป็นที่สุด อย่ากลัวผีก็แล้วกัน ไปนี่พักพวกบานเบิกเลย
    ถาม : แช่งคน .....?
    ตอบ : แช่งนี่เขา คือพุดอะไรไปมันจะเป็นตามนั้น อย่างหลวงพ่อเดิม ข้าวในนาชาวบ้านเขากำลังงาม ๆ อยู่ ๆ ม้าของหลวงพ่อเดิมก็ไปกิน เจ้าของนาแกเป็นผู้หญิงปากร้ายแกก็มาเท้าเอวด่า ๆ ๆ ไม่รู้จักจบ ไม่ใช่หลวงพ่อเดิมสิ หลวงพ่อเขียน ๆ ก็โผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างบอกอีปากเน่า ด่ากระทั่งพระกระทั่งเจ้าไม่รู้จักเลิก ปรากฎว่าไม่รู้แกเป็นอะไรล่ะ เกิดปากเปื่อยขึ้นมาเฉย ๆ ล่ะ ลักษณะอย่างนั้นไม่ขอขมาพระไม่หายหรอก
    เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าทำคาถานี่ขึ้นอย่าเผลอ หลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่าท่านเองท่านกลัวจะเผลอ ถ้าเผลอไปว่าไม่ดีมันจะเกิดไม่ดีกับคนจริง ๆ จริง ๆ ก็คือกำลังของเจ้าของคาถาแช่งคนนั้นมันเป็นของท้าวมหาพรหมท่าน
    ถาม : ทำอาหารถวายพระ ท่านเป็นหมูอ่อนใช่มั้ย พระพุทธเจ้าเสวยเสร็จก็บอกว่าที่เหลือให้เอาไปฝังเป็นเพราะอะไร ?
    ตอบ : ในขณะที่นายจุนทะ เขาทำอาหารนั้นน่ะ เทวดาเขาก็อยากได้บุญ ก็เขาพวกเครื่องทิพย์มาโปรยผสมลงในอาหารนั้น คราวนี้ส่วนที่มันได้รับการผสมลักษณะนั้น ธาตุของคนจะย่อยไม่ไหว คนละเรื่องกันเลยน่ะนะ จากที่ร่างกายของคนทั่วไปมันจะย่อยได้จะดูดซึมได้เอาไปใช้ง่านได้มันจะทำไม่ได้ แต่ว่าธาตุของพระพุทธเจ้ายังย่อยได้อยู่ เพราะว่าท่านเป็นบุคคลพิเศษนี่ ในเมื่อถ้าหากว่าบุคคลอื่นกินเข้าไปไม่ย่อยมันจะเป็นอาหารเป็นพิษ ท่านก็เลยสั่งให้ไปฝังทิ้งซะ แล้วก็ยังบอกเอาไว้อีกว่า หลังจากนี้ไม่นานท่านจะปรินิพพานคือจะตาย ถ้าหากว่าคนคิดว่าท่านฉันอาหารของนายจุนทะแล้วตายให้พระบอกไว้เลยว่าพระพุทธเจ้าตั้งใจจะปรินิพพานวันนั้นเวลานั้นอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นเพราะว่าฉันอาหารของนายจุนทะเข้าไป
    เพราะพระองค์ยังตรัสว่าทานที่บุคคลให้ในวันแรกที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมมาสัมโพธิญาณกับวันสุดท้ายที่จะปรินิพพานเป็นทานที่มีผลมากที่สุด คนที่ถวายก่อนจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณคือนางสุชาดา ถวายข้าวมธุปายาสไปแล้ว ก็คนที่ถวายคนสุดท้ายคือนายจุนทะ
    ถาม : ข้าวมธุปายาสเป็นยังไง ?
    ตอบ : มธุปายาสอย่างน้อย ๆ ต้องเลี้ยงวัว ๔๙ ตัวจ้ะ เขาจะรีดนมวัวจาก ๗ ตัวแรกกรองให้สะอาดแล้วก็ไปให้ ๗ ตัวที่สองกินเข้าไป รีดนมวัดจาก ๗ ตัวที่สองมากรองให้สะอาดให้ ๗ ตัวที่สามกินเข้าไปจนกระทั่งชุดสุดท้าย ๗ ตัวนั่นล่ะ รีดเอานมนั้นมาหุงข้าว ลองดูมั้ยล่ะ ?
    ถาม : ปัจจุบันยังมีมั้ยเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : มีจ้ะ เพิ่งจะฉันมาเพราะว่าลงไปปักษ์ใต้งวดนี้ไปเจอสาวฮินดูคนหนึ่ง ชื่อสุภิตา คานธี นามสกุลคานธีด้วยนะ ก็แม่สาวนี่ล่ะที่ถามซะจนพระรำคาญนั่นล่ะ จนกระทั่งพระท่านบอกให้ถามได้ไม่เกินหนึ่งข้อต่อวัน เขาก็ยังสงสัยอีกว่าถ้าสงสัยเกินข้อหนึ่งแล้วทำยังไง พระท่านก็ให้มาถามอาตมา อาจจะให้ไปถามคนอื่นก็ได้ แต่บังเอิญชื่อเล็กเหมือนกัน เขามาควานเจอเราเข้าก็เอาล่ะ เขาก็เลยไปหุงข้าวมธุปายาสมาถวาย
    ครั้งแรกเราดู ๆ ก็นึกว่ากับข้าว จ้วงเข้าไปซะเต็ม ๆ ปรากฏว่ามันออกหวาน ๆ เหมือนขนมมากกว่า
    ถาม : แล้วอย่างในปัจจุบันล่ะเจ้าคะ ที่เรานำข้าวไปถวายที่วัดแล้วถาดที่เรายกถวายท่าน ท่านฉันเสร็จท่านก็ลุกไป ชาวบ้านทั่วไปจะยกอันนั้นมาทานต่อ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าพระฉันเหลือแล้ว ชาวบ้านกินได้เขาเรียกว่าวิทาสาโท รับของที่เป็นเดนแล้ว แต่ถ้าจะให้ดีน่ะ ให้พระวัดนั้นมีการอุปโลกน์ซะก่อน การอุปโลกน์นี่คือก็จะสมมติขึ้นมา อย่างเช่นว่าเขาจะประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า ยัคเฆ ภัณเต สังโฆ ชานาตุ ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดฟังคำข้าพเจ้า บัดนี้ได้มีทายก ทายิกาผู้มีจิตศรัทธาน้อมนำมาซึ่งภัตตาหาร ถวายเป็นสังฆทานในท่ามกลางสงฆ์ อันว่าสังฆทานนั้นย่อมมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่มาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ไม่ได้จำเพราะเจาะจงให้เฉพาะภิกษุ สามเณรรูปใดรูปหนึ่ง แต่ว่าสมควรแก่สงฆ์ทั้งสังฆมณฑล ให้แจกแก่สงฆ์ทั้งหลายในบรรดาที่มาถึงในสถานที่นั้น บัดนี้ข้าพเจ้าจะสมมติตนเป็นผู้แจกของสงฆ์หากสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ให้นิ่งอยู่ ถ้าหากว่าเห็นไม่สมควรก็ให้ทักท้วงขึ้นได้อย่าได้เกรงใจ ในเมื่อสงฆ์ทั้งหลายนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการสมควรแล้วก็จะแจกภัต ณ บัดนี้ แล้วก็เริ่มต้นว่า อะยัง ปะฐะมะภาโค มหาเถรัสสะปาปุนาต ส่วนที่ ๑ ก็พึงถึงแก่มหาเถระ ผู้เป็นใหญ่เหนือกว่าข้าพเจ้าอะวะเสสาภาคาอัมหากังสามเณรัญจะ ปาปุนาติ ส่วนที่เหลือก็ถึงแก่ข้าพเจ้าจนภิกษุสามเณรทั้งมัชชิมะ และนะวะกะคือผู้กลางและผู้ใหม่ทั้งหลายตลอดจนถึงสามเณร เมื่อเหลือจากพระภิกษุและสามเณรแล้วไซร้ ก็มอบให้เป็นของทายก ทายิกา ตลอดจนถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ต้องการมีส่วนร่วมในอาหารนี้ด้วยเทอญ อย่างนี้ถ้าพระสาธุก็เป็นอันว่ากินไปเถอะ
    ถาม : ยังไม่เคยเห็นมีใครทำแบบนี้ ?
    ตอบ : เขาทำกันเยอะเหมือนกัน หลายวัดเขาทำกัน วัดที่อาตมาอยู่ก็ทำเป็นปกติ กันนรกให้ เพราะว่าส่วนใหญ่นี่เขาไม่รู้กัน
    ถาม : เห็นเขาใส่เป็นถาดแล้วก็ถวาย แล้วพระก็ฉัน พอฉันเสร็จ....?
    ตอบ : ถ้าพระฉันเหลือแล้วจริง ๆ กินต่อได้น่ะ แต่ว่าอย่าเอาไปบ้าน ส่วนที่เหลือแล้วไม่ต้องขออนุญาตก็ได้แต่ห้ามเอาไปบ้าน ถ้าหากว่าลักษณะที่ว่านี่ ถ้าหากว่าเป็นพระสงฆ์อุปโลกน์ขึ้นมาแล้วทุกองค์ มีความเห็นร่วมกันว่าได้อย่างนั้นกินเสร็จถ้าเหลือขนกลับบ้านต่อไปเลย
    ถาม : การใส่บาตรนี่ถ้าเราเตรียมข้าวไปแล้ว จำเป็นมั้ยจะต้องตักจนเหลือไว้ก้น ๆ หนึ่ง ?
    ตอบ : ไม่จำเป็น แล้วแต่เรา ถ้าหากว่าพระมีมากข้าวมีน้อยก็ตักกันจนหมดขูดกันไปเลยก็ได้ แต่ถ้าหากว่าพระมีน้อยข้าวมีมากก็เหลือกลับไปกินเป็นของเราก็ได้ เพราะว่าอันนั้นยังเป็นสมบัติของเราอยู่ ยังไม่ใช่ของสงฆ์
    ถาม : ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ของเรา บางทีไปถวายแล้วพระบางองค์เขาบอกไม่ต้องตักหมดหมดหรอกเดี๋ยวเก็บไปบ้านอะไรอย่างนี้ ?
    ตอบ : เผื่อไว้ส่วนที่เหลือจากการทำบุญถือว่าเป็นมงคล เก็บไว้กินเองบ้างเผื่อฟลุคจะได้รวย (หัวเราะ)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ศาสนาพราหมณ์กับพุทธนี่อันไหนเข้ามาประเทศไทยก่อน ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วศาสนาพราหมณ์นี่จะเป็นพื้นฐานที่เข้ามาก่อน ประเทศไทยของเราก่อนหน้านี้เป็นส่วนหนึ่งของชมพูทวีปเหมือนกัน มีหลายส่วนอย่างเช่นว่า สุนาปะรันตะปะก็คือสระบุรี ตักกะศิลาก็คือกำแพงเพชร ตกลงว่าชื่อเพราะ ๆ ในภาษาบาลีจริง ๆ แล้วมันมีมาถึงประเทศไทยเหมือนกัน
    เพราะสมัยก่อนเขตแดนมันต่อเนื่องกันไกลมากเลย มิถิลาอยู่ในพม่า เวสาลีอยู่ในพม่า มิถิลามหานครปัจจุบันมันก็ยังชื่อมิถิลาอยู่นั้นล่ะ เมืองกาสีก็อยู่ในพม่า พม่ามันเรียกตาซิ ตาซิจริง ๆ ก็คือกาสี
    เพราะฉะนั้นว่าถามว่าพุทธหรือพราหมณ์มาก่อน พราหมณ์จะมาก่อน พระพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ก็ไปเป็นลูกศิษย์พราหมณ์ก่อน เรียนจนกระทั่งถึงสมาบัติ ๘ แล้วด้วยความที่พระองค์ท่านมีปัญญาก็รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง ก็เลยไปปฏิบัติเองจนกระทั่งได้รู้เห็นอริยสัจขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า
    ถาม : แล้วที่รอยพระพุทธบาทสระบุรีน้นเป็นรอยที่จริงใช่มั้ยเจ้าคะ ?
    ตอบ : ปัจจุบันรอยที่เห็นอยู่เป็นรอยที่ทำครอบไว้ ของจริงจะอยู่ข้างใต้ ถ้าอยากจะดูจริง ๆ เลยให้เลยไปอีกนิดหนึ่ง เลยไปตรงที่เขาเรียกว่า พระฉาย บนยอดเขาพระฉายจะมีอีกรอยหนึ่งซึ่งจะป็นรอยซ้าย รอยขวาของรอยพระพุทธบาทที่ปัจจุบันสร้างมณฑปอยู่ ถ้ารอยนั้นล่ะเป็นรอยแท้ ๆ แต่เขาก็ทำกระจกปิดไว้ ถึงเวลาก็ยกขึ้นมาดูได้ สองรอยนั้นเหยียบในคราวเดียวกัน พอเหยียบข้างซ้ายแล้วก็เหยียบข้างขวาแล้วก็ไปแน่บ (หัวเราะ)
    ถาม : อย่างนี้ก็มีเรื่อย ๆ เกิดไปเรื่อย ๆ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ตั้งใจให้ปรากฏก็จะไม่เป็น ไม่อย่างนั้นก็เต็มไปหมด
    ถาม : แล้วประเทศอื่นมีมั้ยคะ ?
    ตอบ : มีจ้ะ มีอยู่อย่างสมัยอะไร สมัยพระเจ้าทรงธรรม ที่อยุธยาภิกษุไทยเดินทางไปเพื่อไหว้รอยพระพุทธบาทที่ลังกา แล้วคราวนี้ พระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะ พอได้ข่าวว่ามีพระสงฆ์จากไทยมา ท่านเลื่อมใสนี่ ก็นิมนต์ไปฉัน พอทราบจุดประสงค์ก็บอกว่า พระคุณเจ้า ต้องลำบากมาถึงลังกาทวีปทำไมล่ะ ที่ภูเขาสัจจะพันธะคีรีของเมืองไทยก็มี พอกลับมาพระภิกษุก็มากราบทูลให้พระเจ้าทรงธรรมทราบ พระเจ้าทรงธรรมรู้ว่าเมืองไทยก็มีก็เลยประกาศค้นหาพระพุทธบาทกันจนกระทั่งพรานบุญแกไปเจอเข้า
    ถาม : อันนั้นเรื่องจริงใช่มั้ย ?
    ตอบ : เรื่องจริงเลยจ้ะ พรานบุญตอนหลังพระเจ้าแผ่นดินตั้งเป็นท่านขุนขุนสัจจพันธ์คีรินทคูหาพนมโขลน ตำแหน่งผู้ดูแลรักษาภูเขาพุทธบาท
    ถาม : แล้วที่เขาว่าต้องขึ้นไปตั้งกี่ขั้นอันนั้น ก็ข้างในเป็นรอยพระพุทธบาท ?
    ตอบ : สมัยก่อนมันเป็นป่านี่จ้ะ พอมาตอนนี้เขาเล่นสร้างบันไดขึ้นไปแล้ว (หัวเราะ)
    ถาม : เขาวงกต ?
    ตอบ : สมัยก่อนมันเป็นป่าเป็นดง สมัยนี้สบายมากกลายเป็นบ้านเป็นเมืองไปแล้ว มันก็เป็นเมืองเป็นป่าสลับกันไปเรื่อยล่ะ อาจจะประเภทรบกันจนตายเกลี้ยง ป่าคืนกลับมาอีกทีหนึ่ง แล้วเสร็จแล้วก็ประเภทรื้อป่ากลายเป็นเมืองไปอีก
    ถาม : ............................................
    ตอบ : ลักษณะนั้นมันหมายความว่าเราทำของเราเต็มที่แล้ว ในเมื่อเต็มที่ทุกอย่างแล้วมันยังไม่เกิดผลในจุดที่เราต้องการก็ต้องปล่อยวาง เพราะว่าบางทีเราอาจจะอยากมากเกินไป ตัวอยากนั่นล่ะมันเป็นเสาต้นเบ้อเร่อขวางหน้าอยู่ เดินชนไปก็หัวแตกเปล่า หายอยากเมื่อไหร่มันจะได้เอง
    ถาม : ..........................................
    ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอกว่านักปฏิบัติที่ดีต้องมีกัลยาณมิตร กัลยาณมิตรอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้หรืออาจจะเป็นครูบาอาจารย์หรือผู้ที่ผ่านประสบการณ์ในการปฏิบัติช่วงนั้นมาก่อน
    ในเมื่อมีประสบการณ์ของเรา ถ้าหากว่าเราน้อมนำมาเพื่อปฏิบัติตาม มันก็จะเป็นการเรียนลัดไปเลย สามารถก้าวข้ามไปได้ง่าย ๆ แต่ว่าบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์ถึงมีประสบการณ์มาก่อนอาจจะใช้เวลาสามปี ห้าปี สิบปีกว่าจะข้ามตรงนั้นไปได้
    ถาม : .....................................
    ตอบ : มันไม่ได้เป็นยังไงหรอก คือถ้าหากว่าบางอย่างที่เราคิดว่ามันมั่นคงแล้วจับหลักได้แล้ว คนอื่นเขามาพูดมันก็สักแต่ว่าผ่านหูไป แต่ขณะเดียวกันว่าอาจจะเป็นได้ทั้งสิ่งดีทั้งสิ่งไม่ดี คือสิ่งที่เราทำตรงช่วงนั้นมันอาจจะดี ดีจริง อาจจะถูก ถูกจริงแต่ว่ามันดีแค่ตรงนั้น มันอาจจะถูกแค่ตรงนั้น เหมาะสมกับเราแค่ช่วงนั้น ถ้าหากว่าเราก้าวเข้ามาสู่ระดับจิตที่ละเอียดยิ่งขึ้นไป ก็จะเห็นว่าความจริงมันดีแค่นั้นมันถูกแค่นั้น ถ้าเราไปยึดถือเอาไว้มันกลายเป็นมานะถือตัว ถือตนซะด้วยซ้ำไป จะกลายเป็นทิฏฐุปาทาน ถือความเห็นตัวเองเป็นใหญ่ สีลัพพัตตุปาทาน ยึดมั่นว่าศีลและการปฏิบัติของตนเองนั้นดีกว่าเขา มันจะมีต้องให้ระวังอยู่เรื่อย ๆ
    ถาม : ...........................................
    ตอบ : ดูกติกาของการเป็นพระอริยเจ้าว่ามีอะไรบ้าง แล้วทำตามนั้น เอาเป็นว่าพระโสดาบัน อันดับแรกเคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ อันดับสองเคารพพระธรรมจริง ๆ อันดับที่สามเคารพพระสงฆ์จริง ๆ อันดับที่สี่เป็นผู้ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ไม่ล่วงเกินด้วยกายวาจา ใจ ไม่ยุยงให้คืนอื่นเขาทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ อันดับสุดท้ายคิดว่าตายแล้วจะไปนิพพาน ง่ายนิดเดียว ไม่เห็นมีอะไรเยอะเลย
    ถาม : .................................................
    ตอบ : มันละเอียดยากหน่อยหนึ่ง คราวนี้เราจะต้องระวังอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าคนเรามันอดไม่ได้ที่จะล่วงเกินในพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ การรักษาศีลถึงตัวเองประคับประคองสิกขาบทไว้ได้แล้ว ก็อาจจะให้คนอื่นเขาทำแทนหรือเห็นคนอื่นเขาทำแล้วเราพลอยยินดีด้วย มันก็จะลำบากนิดหนึ่ง มันสำคัญตรงที่ว่าได้ทำจริงมั้ย ? ถ้าทำจริงแล้วเรามีไกด์ไลน์ลักษณะนี้นำไปก่อนแล้ว โอกาสพลาดมันยาก
    เพียงแต่อย่าไปคิดว่าตัวเองดีก็แล้วกัน ถ้าเชื่อว่าตัวเองดีเมื่อไหร่ ความเลวเริ่มเข้าหาแล้ว ดูใจอย่างเดียวแต่ละวัน ๆ อย่าให้มันเศร้าหมอง อย่าให้นิวรณ์ ๕ อย่างกินใจของเราได้ นิวรณ์เป็นเครื่องกั้นความดีที่แย่มากเลย
    ถาม : .............................................
    ตอบ : อันนี้เป็นเรื่องปกติของเขาเรามีหน้าที่หนีเขา เขามีหน้าที่กั้น เราต่างคนต่างทำหน้าที่ไป ถ้าความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกเขาก็หมดสิทธิที่จะกั้นเรา หลุดออกมาเมื่อไหร่ก็เสร็จเขา
    ถาม : .......................
    ตอบ : สองสามวันนี่เร็วแล้วจ้ะ (หัวเราะ) บางคนปล้ำเป็นปียังกั้นมันไม่อยู่
    ถาม : .........................
    ตอบ : สำคัญอยู่ตรงทีว่าเรารักษาอารมณ์ต่อเนื่องไม่ได้ ตอนที่เราทำอยู่อารมณ์ใจมันทรงตัวมันสงบ มันเยือกเย็น มันเป็นสุขยังไง เลิกแล้วประคับประคองอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้ได้ พออยู่ได้แล้วก็พยายามรักษามันให้นานที่สุด เหมือนยังกับเป็นแม่ลูกอ่อนที่อุ้มลูกแดง ๆ ไว้อย่าให้พลาดหลุดมือเป็นอันขาด หลุดเมื่อไหร่ลูกตาย
    แต่อันนี้ถ้าหากว่าเราพลาดเมื่อไหร่นิวรณ์มันตีเราตายไม่ใช่ว่าลุกแล้วเลิกเลย ลุกแล้วต้องรักษาอารมณ์นั้นให้ต่อเนื่องยาวนานที่สุด ยิ่งยาวนานไปมากเท่าไหร่เรายิ่งเป็นสุขมากเท่านั้น จิตจะเคยชินกับการละกิเลสมากเท่านั้น ทำไป ๆ ถ้าหากว่ามันต่อเนื่องยาวนานได้มากจริง ๆ กิเลสมันจะขาดไปเองโดยไม่รู้ตัว มันเหมือนกับเราเอากินทับหญ้าไว้ ทับไปนานหญ้ามันเฉาตาย ส่วนใหญ่ลุกแล้วก็ลืมก็ถ้าทำทั้งทีแล้วไม่เอาจริงแล้วจะทำไปทำไมล่ะ ?
    ถาม : ..................................
    ตอบ : คือเราผิดตั้งแต่ไปรับมันแล้วนะ พยายามกั้นเอาไว้ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่ากายนครคือร่างกายของเรานี้ ประกอบไปด้วยประตู ๕ ช่อง คือ ตา จมูก ลิ้น กาย พระเจ้าจิตราชที่ครองอยู่ภายใน เราต้องรักษาไว้ไม่ให้ข้าศึกมันตีได้ ก็ต้องคอยระวังรักษาประตูทั้ง ๕ เอาไว้อย่าให้เข้ามาถึงข้างใน สิ่งที่ตาเห็นให้สักแต่ว่าเห็นอยู่แค่นั้น สิ่งที่หูได้ยินสักแต่ว่าได้ยินให้มันอยู่แค่นั้น สิ่งที่จมูกได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่นให้มันอยู่แค่นั้น สิ่งที่ลิ้นได้รสสักแต่ว่าได้รสให้มันอยู่แค่นั้น สิ่งที่กายสัมผัสสักแต่ว่า สัมผัสให้มันอยู่แค่นั้น อย่ารับมันเข้ามาสู่ใจ โดยเฉพาะรับเข้ามาแล้วไปปรุงแต่งต่อ ถ้าไปปรุงแต่งต่อจิตใจมันก็จะว้าวุ่นสับสนโดยเฉพาะฟุ้งซ่านไม่อยู่ เพราะส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันจะแบ่งออกเป็นสองอย่างคือ อิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่าพอใจ ถูกใจ อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่พอใจถูกใจ ทั้งสองอย่างถ้าเราคิดเมื่อไหร่สิ่งที่น่าพอใจมันจะกลายเป็น ราคะ กับ โลภะ ราคะ ก็คือยินดี โลภะ
    คืออยากมีอยากได้ แล้วอนิฏฐานรมณ์ที่ไม่น่าพอใจมันจะเป็น ปฏิฆะ กับ โทสะ ปฏิฆะ คือเกิดแรงกระทบในสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมา โทสะ ก็คือ พลอยที่จะไม่ยินดีกับมันเป็นอย่างยิ่งไปเลย
    ถาม : .................................
    ตอบ : รู้ตัวเมื่อไหร่ไล่มันออกไป ถึงได้ว่าของเรามันผิดตั้งแต่ตอนที่เราไปรับมันเข้ามาแล้ว ต้องหยุดมันเอาไว้แค่นั้น เห็นอยู่ตรงหน้าหล่อแค่ไหนก็ช่าง แต่ว่าเห็นก็พออย่าไปคิดต่อว่า เออ....ถ้าหากว่าเป็นแฟนเราก็ดี ถ้าได้ควงกันซักสามปีจะเป็นยังไง ไม่ต้องไปคิด ให้มันหยุดอยู่แค่นั้นนะ ถ้าหากว่าเราทำในลักษณะนี้ได้มันจะสักแต่ว่าเห็น ปากกาด้ามหนึ่งเราเห็น เราหยุดความคิดของเราอยู่แค่นั้นอย่าไปปรุงแต่งต่อมันก็เป็นปากกาไม่สามารถจะให้ทุกข์ให้โทษกับเราได้ แต่ถ้าหากว่าเรา เออ...ปากกามันเขียนจดหมายได้เขียนไปหาแฟนดีกว่าอ้าวไปแล้ว อันนี้จะออกไปทางราคะ ความรักแล้ว นั่นวันก่อนมันด่าเรา เราด่ามันไม่ทัน เราเขียนไปด่ามันดีกว่า กลายเป็นโทสะไปอีกแล้ว แต่ถ้าเราหยุดตั้งแต่แรกก็คือปากกา ไม่ใช่ราคะ ไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ
    ถาม : .....................................
    ตอบ : ตามดูว่ามันคิดยังไง ถ้าเอามันไม่อยู่จริง ๆ มันคิดไปแล้ว เราก็ตามดูมันคิดยังไง ทำตัวเหมือนกับคนดูหนัง อยากรู้ว่ามันคิดอย่างนี้ ต่อไปมันจะเริ่มยังไงตามดูมันไปเรื่อย ไอ้นี่มันขี้อายถ้าหากว่ามีคนไปจ้องดูอย่างนั้นมันจะคิดได้ไม่นาน ลักษณะมันเหมือนยังกับว่าเวลาม้าเตลิดหลุดจากคอกไป เราฉุดไม่อยู่ รั้งไม่อยู่เอาไม่อยู่แล้ว ก็โดดขี่หลังกอดคอมันไปเลย วิ่งไปเดี๋ยวหมดแรงมันเลิกเอง เรากำหนดสติตามรู้มันไปเรื่อยว่าตอนนี้มันคิดอย่างนี้ ลักษณะที่บางสำนักท่านใช้คำว่ารู้หนอ รู้หนอไปเรื่อย จนกระทั่งมันหมดเรี่ยวแรงไม่มีปัญญาจะคิด แล้วเราก็ดึงกลับมาอยู่กับอารมณ์ภาวนาใหม่ ก็จะสงบได้อีก หรือไม่อีกทีหนึ่งก็พอภาวนาสงบแล้ว ก็ถือลมหายใจของเรานี่ล่ะมันคือชีวิตของเรามันจะเป็นก็เป็นตรงนี้ มันจะตายก็ตายตรงนี้ หลุดจากลมหายใจเมื่อไหร่กิเลสมันตีเราตายแน่ ก็เกาะหนับเอาไว้อย่าปล่อยไปเลย จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง ให้รู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าอย่างนั้นมันจะมีสติอยู่ตลอดแล้วก็จะไม่หลุดไปคิดอีก เผลอหลุดเมื่อไหร่มันก็เอาเรื่องใหม่
    ถาม : ........................................
    ตอบ : อานิสงส์อันดับแรกเกิดกับตัวเราก่อน ถ้าเขาล่วงลับไปแล้วหลังการที่เราปฏิบัติกรรมฐานแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาด้วย ถ้าอย่างนั้นละเขาได้แน่นอน ได้แน่นอนแต่ว่าอย่างไรก็ตามเหตุที่เราเกิดปัญญาขึ้นมามีส่วนนับเนื่องด้วยเขา เพราะฉะนั้นอย่างน้อย ๆ อานิสงส์บางส่วนมันต้องมีเป็นของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขาจะอยู่ในเขตที่สามารถที่จะใช้ผลของอานิสงส์นั้นได้มั้ย ? อยู่ในเขตที่โทษเบาหน่อยก็สามารถใช้ผลจากอานิสงส์นั้นได้ ถ้าอยู่ในเขตที่โทษหนักก็ยังไม่มีสิทธิที่จะใช้ได้จนกว่าจะพ้นโทษขึ้นมา
    ถาม : เวลาเราคิดฟุ้งซ่านใช่มั้ยค่ะ เราก็คิดที่จะดับความฟุ้งซ่านเหล่านี้ ?
    ตอบ : ไม่ต้องคิดจ้ะ ถ้าหากว่าเราไปคิด กำลังที่มันไปฟุ้งซ่านอยุ่ในด้านที่ไม่ดีมันแรงกว่าซะแล้ว มันจะพาเราไปคล้อยตามมันไปได้ง่ายกว่า ให้ดึงกลับมาหาลมหายใจเข้าออกง่ายที่สุดเลย ถ้าหากว่าสติผูกอยู่กับลมหายใจเข้าออก จิตผูกอยู่กับลมหายใจเข้าออก ตัวฟุ้งซ่านมันจะเกิดไม่ได้ ไอ้ที่ไปคิดสู้มันนั้นเจ๊ง เพราะว่าด้านที่ไม่ดีกำลังมันสูงกว่าซะแล้วเริ่มต้นที่มันก่อน ย้อนกลับมาภาวนาใหม่ ไม่ต้องไปสู้กับมันสู้มันไม่ไหวหรอก
    ถาม : ....................................
    ตอบ : เจ้านั่นไปเที่ยวบางแสน ๔ วันหลับมาแอร์เปิดคาอยู่ดีที่ไม่ไหม้แสดงว่ามันอึดน่าดูเลยน่ะ ๔ วัน ๔ คืนเปิดอยู่ได้ยังไง บ้านเขาติด ธงมหาพิชัยสงคราม เลยมั่นใจว่าเป็นอานุภาพของธง ลักษณะเดียวกับตอนที่ไฟมันไหม้ตึกแถว พอไหม้มาถึงบ้านที่เขาติดธงเอาไว้ไม่รู้มันกระโดดข้ามไปได้ยังไงมันไหม้ห้องต่อไป เว้นห้องนั้นเอาไว้ ไอ้เราก็ยังงง ๆ เลยไม่ว่าจะเป็นกฏฟิสิกส์หรือหลักของอากาศพลศาสตร์อีท่าไหนก็ตาม มันไม่มีทางที่กระโดดข้ามห้องแถวที่ติดกันไปห้องหนึ่งได้หรอก แต่มันไปได้ (หัวเราะ) ไปไหม้ห้องถัดไป ตกลงคนอื่นเขาดำเป็นตอตะโกกันหมด มีขาวอยู่ห้องเดียว
    งวดก่อนไปหาดใหญ่ซักสามปีมาแล้วมั้ง ตรงช่วงในเป็นห้องแถวไม้ก็ไฟไหม้ เขาเก็บของหนีกันอลหม่าน พวก ท่านแสงชัย ตอนนั้นยังไม่ได้บวช ก็ไปช่วยเขาเก็บของอะไรด้วย เก็บเสร็จก็มานั่งหอบแฮก ๆ อยู่ เราก็ถามว่าที่บ้านติดธงมหาพิชัยสงครามด้วยรึเปล่า ? เขาบอกว่าติด พอถามว่าติดธงไว้รึเปล่า เขาบอกว่าติด เราก็สบายใจ ถ้ามีธงละก็ไม่เป็นไรหรอก ให้มันไหม้ไปเถอะ ไหม้ที่อื่นเดี๋ยวมันไม่มาถึงเราหรอก ปรากฏว่าคุณแสงชัยเขายกพานใส่วัตถุมงคลให้ดูอยู่นี่ครับ ผมถอดมาด้วย (หัวเราะ) แหมมันเก็บเกลี้ยงจริง ๆ อยู่นี่ครับผมถอดมาด้วย ยังดีนะที่รถดับเพลิงสกัดเอาไว้อยู่ก่อน ไม่งั้นก็คงมีโอกาสโทษกันให้วุ่นไปเลย ด้วยความหวังดีเก็บให้ก็เลยเก็บมาเกลี้ยงเลย
    ถาม : แสดงว่าไฟไหม้นี่ให้เหลือธงไว้ เก็บอย่างอื่นไป ?
    ตอบ : อย่างอื่นเก็บไปเถอะ อันนั้นเขาเอาไว้กันโดยตรง เรื่องอย่างนี้ฟัง ๆ ดูแล้วเหมือนยังกับว่ามันไม่น่าเชื่อ แต่ว่ามันพิสูจน์ได้เห็นมาเยอะต่อเยอะด้วยกัน เจ้าแข กลับไปแล้วใช่มั้ย ? เจ้า ดวงแข นี่บ้านเขาอยู่ด่านช้าง เขาทำไร่อ้อยอยู่สองร้อยกว่าเกือบสามร้อยไร่ แล้วก็มีพวกเห็นแก่ตัวมันจะเผาไร่อ้อยกันประจำเลย โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาลมันจ้างเผา เหตุที่จ้างเผาเพราะว่า ถ้าโรงงานที่อยู่ไกล ๆ ให้ราคาดีกว่าเขาจะขายให้โรงงานที่อยู่ไกลไม่ขายให้ของเขา เขาก็จะมาจ้างคนเผาไร่ อ้อยที่ผ่านการเผาไฟมาจะบูดเร็วมากเลย ไม่เหมือนกับอ้อยที่ตัดสดไป ทิ้งอยู่เป็นอาทิตย์มันอยู่ได้ แต่อ้อยเผาไฟนี่อยู่ได้วันสองวันมันจะบูด ก็เลยต้องเข้าโรงงานใกล้ ๆ คือวิ่งไปเข้าโรงงานของมันนั่นล่ะ ยายนี่ประสาทกลับเลยรอบข้างมีแต่ไฟไหม้ไปหมด ก็เลยบอกให้เอาธงไปติดเอาไว้ ขนาดธงไปติดไว้มันก็ยังประสาทกินอยู่นั่นล่ะ ไฟไหม้ล้อมมาทุกด้านเลย แต่ปรากฏว่ามาไม่ถึง ใช้คำว่าบังเอิญดับซะก่อน แต่เรื่องบังเอิญนี่มันบังเอิญบ่อยจังเลย
    จริง ๆ แล้วธงมหาพิชัยสงครามท่านใช้คำว่าดีทุกอย่าง ตามตำราโบราณสมัย พระร่วง อยู่บอกว่า แม้แต่ถือด้ามธงเข้าป่าไปก็จะไม่อด อานุภาพถึงขนาดนั้น เพียงแต่ว่าของเราเองจิตใจยึดมั่นแค่ไหน ? วัตถุมงคลทุกชนิดเหมือนกับเครื่องส่งกำลังสูงในเมื่อเครื่องส่ง ๆ เต็มที่ สำคัญตรงเครื่องรับกำลังใจของเรามันเปิดรับเท่าไหร่ ถ้าหากว่ามีจิตเลื่อมใสมีการอาราธนาถูกต้องตามรูปแบบของเขา เท่ากับเอาเปิดรับเต็มที่มันก็จะได้ผลมาก คนที่เขาไม่เลื่อมใสไม่เชื่อถือผลก็จะน้อย เพราะฉะนั้นเครื่องส่ง ๆ แล้วสำคัญตรงเครื่องรับของเรานั่นล่ะ ถึงว่าทุกสิ่งทุกอย่างถ้าหากว่ามันจะดีมันต้องประกอบด้วยศรัทธาก่อน แต่ว่าศรัทธาอันนี้มันต้องมีปัญญประกอบ ไม่ใช่เชื่อหัวทิ่มหัวตำไปอย่างเดียวพิสูจน์ซะก่อน เขาบอกกันไฟได้เราก็เอาน้ำมันราดเผามันซะเองเลย ดูซิมันกันได้จริงมั้ย ? เจอข้อหาวางเพลิงบ้านตัวเองแหง ๆ
    ถาม : เอาธงไว้ที่ไหนในบ้านหรือเอาไว้หน้าบ้าน ?
    ตอบ : ที่ไหนก็ได้แต่ว่าให้หันหน้าไปทิศเหนือหรือทิศตะวันออกผืนเดียวคุ้มได้ทั้งสถานที่ สมมติว่าบ้านเรามีที่ดินซักพันไร่ก็คุ้มได้ทั้งพันไร่นั่นล่ะ เพียงแต่ว่าเวลาอธิษฐานขอให้ท่านป้องกันให้ครบด้วยนะ ไม่ใช่ประเภทไปถึงแปะฉับก็ทิ้งเอาไว้ทั้งปีทั้งชาติไม่เคยนึกถึงท่านเลย
    ถาม : ต้องดูวันปิดมั้ยเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : ดูจ๊ะ ดูวันที่เรามีธง วันที่ไม่มีติดไม่ได้แน่เลย
    ถาม : ต้องดูฤกษ์ ดูยามนี่จริงมั้ยเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : ไม่ค่อยจะจริงจ้ะ เรื่องของฤกษ์ยามมันเหมือนกับคนข้ามถนนเปรียบให้ฟังง่าย ๆ ถ้าข้ามถนนในจังหวะที่ไม่มีรถมันก็ปลอดภัยแน่นอนนะ แต่ว่าคนที่เขาเก่ง ๆ เขาก็ข้ามโดยที่รถเยอะ ๆ เขาก็ข้ามได้ปลอดภัยดีแต่ว่ามันประมาทเกินไป สักวันหนึ่งอาจจะชราหูตาฝ้าฟางพลาดท่าให้รถชนเดี้ยงไปก็ได้ถ้าไม่เป็นการยุ่งยากลำบากเกินไปนักก็อาศัยฤกษ์ยามซะหน่อยหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าเห็นว่ามันยุ่งยากมันลำบาก กำลังใจกำลังใจของเราเข้มแข็ง เกิดอะไรขึ้นรับได้อยู่แล้ว ลุยไปเลยวันไหนก็ได้
    ถาม : หนูไปติดหนูก็ไม่ได้ดูวัน ?
    ตอบ : ก็บอกแล้วไงว่า ถ้าเป็นวันที่มีธงก็ใช้ได้แล้วล่ะจ้ะ
    ถาม : ใส่กรอบเสร็จแล้วก็ตอกตะปูแขวนหน้าบ้าน ?
    ตอบ : นั่นล่ะ สะดวกที่สุด
    ถาม : แล้วต้องระลึกถึงท่านทุกวัน ?
    ตอบ : ตั้งใจสวดมนต์ภาวนานึกถึง โดยเฉพาะธงนี่เป็นของ ท้าวมหาชมพู ท่าน จะมีคาถาปลุกสั้น ๆ ว่า
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : เรื่องการทำงานของจิตน่ะครับ ในลักษณะการเดินแล้วจับลมหายใจ ทำไปจุดหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่าปล่อยให้ร่างกายมันเดิน เราก็จับลมหายใจแล้วก็ดูมันว่ามันเคลื่อนไหวยังไงอันนั้นถูกหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ใช้ได้แล้ว ถ้าหากว่ารู้ลมสามฐานได้พร้อมกับที่ร่างกายมันเดินได้ ก็แปลว่าถูกทางแน่นอน แต่ถ้าหากว่ารู้ลมครบสามฐานร่างกายเดินไม่ได้ต้องไปหัดใหม่อีกเยอะ เพราะการรู้ลมสามฐานนี้จิตมันเริ่มเป็นฌาน พอเริ่มเป็นฌานจิตกับประสาทร่างกายมันเริ่มแยกออกจากกัน ใหม่ ๆ จะก้าวไม่ออกหรอก มันติดจึ๊กอยู่แค่นั้นล่ะ ไปให้รุ่นน้องไปทำมาหลายองค์ โวยวายว่าเราหลอกมันนี่หว่า ความจริงไม่ใช่ฝีมือห่วยเอง
    ถาม : เราต้องกำหนดลมหายใจมากกว่าร่างกาย ?
    ตอบ : ยังไงก็ได้ กำหนดความรู้สึกอยู่ที่ร่างกายก็ได้ กำหนดความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจก็ได้ สติรู้ตลอดอยู่ว่าตอนนี้ร่างกายมันเคลื่อนไหวยังไง ลมหายใจมันเข้าออกแรง เบา ยาว สั้นยังไงในลักษณะนั้น แล้วแต่ว่าเราจะแบ่งความรู้สึกส่วนไหนมากกว่าส่วนไหนน้อยกว่าอยู่ที่เรา
    ถาม : ...(ไม่ชัด)... เกี่ยวกับผีอำ ?
    ตอบ : ลักษณะนั้นจริง ๆ นักปฏิบัติเขาใฝ่หากันมาก คือ เราจะต้องปฏิบัติภาวนาไปจนถึงระดับจะหลับหรือจะตื่นจิตมันจะรู้อยู่เสมอ ตัว พุทโธ ที่แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานคืออยู่ตรงจุดนี้เอง ถึงเวลาแม้แต่หลับก็รู้อยู่ว่าหลับ กรนเราก็รู้ว่ามันกรน
    บางทีเราสามารถกำหนดความรู้สึกขยายกว้างออกไปรอบข้างของเรามีอะไรมันก็รู้หมดจนกระทั่งบางทีมันก็เหมือนสถานที่มันไม่มีข้างฝา ไม่มีกำแพงเรายิ่งกำหนดกว้างออกไปเท่าไหร่เราก็รู้หมดเห็นหมดว่าเขาทำอะไรกันอยู่ แต่ขณะเดียวกันเราดึงมันกลับเข้ามามันก็จะรู้เฉพาะหน้าอยู่ คราวนี้ในลักษณะนั้นจิตกับประสาทมันแยกไปคนละส่วนกันไปแล้ว ถ้าหากว่าเราปลุกมันให้ตื่นก็ต้องให้จิตกับประสาทมาประสานกลับกันไปอีกทีหนึ่ง ถึงจะสามารถที่จะปลุกมันตื่นขึ้นมาได้อย่างที่เราใช้คำว่าใช้ความพยายามมันถึงจะสามารถตื่นขึ้นมาได้ลักษณะนั้น
    อาตมาเคยวิ่งไปรับโทรศัพท์มาแล้ว พอคว้าโทรศัพท์มาขึ้นมาเราก็เอ๊... นี่เราหลับลึกอยู่นี่หว่า เราจะพูดกับมันยังไง บังคับปากให้พูดไม่ได้ แต่ตอนที่รับเพราะว่าตอนนั้นหลวงปู่ท่านป่วยอยู่ หลวงปู่มหาอำพัน ท่านป่วยอยู่นอนเฝ้าไข้ ลูกศิษย์ไม่รู้ภาษามันโทรมาตอนตีสอง พอโทรศัพท์กริ๊งหนึ่งเรารู้สึกตัวอยู่นี่ก็พรวดเข้าไปหาเลย ขืนกริ๊งที่สองเดี๋ยวหลวงปู่ตื่น พอยกหูขึ้นมาเอ้า....ตายล่ะหว่านี่ตูหลับลึกขนาดนี้แล้วจะพูดกับมันยังไง ไอ้โน่นก็ฮัลโหล ๆ ๆ อยู่นั่นล่ะ รับแล้วทำไมไม่พูด ก็มันยังพูดไม่ได้ ต้องบังคับให้ประสาทร่างกายมันกลับมาทำงานใหม่ คือคลายกำลังใจตรงจุดนั้น คราวนี้ของเรามันไม่ชินกับการคลายกำลังใจออกมา ต้องเขย่ามันบ้างกระแทกมันบ้าง กระทืบมันมั่งจนกว่ามันจะอยู่ตัว
    ถาม : ................................
    ตอบ : ต่อไปถ้าหากว่าเราไม่กลัวแล้วไม่สงสัย รู้แล้วว่าปกติมันเป็นอย่างนั้น มันควรจะเป็นอย่างงั้นซะด้วยซ้ำไป ต่อไปก็กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ แล้วก็ภาวนาไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นจิตมันจะรู้รอบ อะไรที่เป็นรัก โลภ โกรธ หลงเกิดขึ้นกับเรามันจะรู้ แล้วก็สกัดมันเอาไว้ทัน ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ากำลังของสมาธิสมาบัติในตรงจุดที่ใช้ในการข่มกิเลสตัดกิเลสเริ่มใช้ได้แล้ว เพราะว่าปกติแล้วเวลาที่เราตื่นอยู่คือตอนกลางวันนะ เราจะข่มกิเลสอยู่อาจจะสกัดกั้นมันอยู่ แต่เวลากลางคืนเมื่อสติมันขาดมันตัดหลับลงไป มันก็อาจจะไปฟุ้งซ่านฝันเลอะเทอะก็ได้ คือบางคนก็ประเภทที่นอนกว้างเท่าไหร่ก็กลิ้งมันซะจนทั่วเลย คือมันจะเป็นการแสดงออกลักษณะที่กลางวันมันเก็บกดไว้มากเกินไป ก็ไม่สามารถที่จะหักห้ามมันได้ กิเลสมันจะมาตีเอาตอนกลางคืนที่สติมันขาดแทน แต่ในเมื่อกลางวันกลางคืนจะหลับแล้วตื่น อารมณ์ใจของเราอยู่ในลักษณะพร้อมที่จะระมัดระวังไม่ให้กิเลสเข้ามากินใจได้เสมอกัน ตอนนั้นก็เป็นอันว่าเราเริ่มจะเอาตัวรอดได้แล้วนักปฏิบัติจริง ๆ เขาจะพยายามให้ถึงจุดนี้เป็นอย่างน้อย
    ถาม : ต้องบอกว่าฟลุ๊ค เพราะว่า ...?
    ตอบ : ต้องให้มันฟลุ๊คบ่อย ๆ ได้ล่ะดี ถ้าตั้งใจมันไม่ได้ จำไว้ตัวตั้งใจมันเป็นอุทธัจจกุกกุจจะ เป็นตัวฟุ้งซ่าน กั้นเราด้วยซ้ำไป เรามีหน้าที่ภาวนา มันจะเกิดอะไรขึ้นเรื่องของมัน ถ้าทำใจอย่างนี้ได้ทุกอย่างมันจะเกิดง่ายมาก
    ถาม : ......................................
    ตอบ : อันนั้นมันมีเหตุสองประการ ประการแรกจะเป็นของ ผรณาปิติ กับ อุเพ็งคาปิติ รวมกัน ตัวอุเพ็งคาปิตินี่ ถ้าเราภาวนาไปจนถึงจุด ๆ หนึ่ง ตัวมันจะลอยขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ถ้าเป็นผรณาปิตินี่มันจะรู้สึกกว่าตัวเบา ซาบซ่าน ซู่ซ่าไปหมดทั้งตัว บางทีมันเบาจนกระทั่งมันลอยขึ้นเองเหมือนกัน ถ้าสองอย่างรวมกันมันกำลังของมันก็สูงพอที่จะพาตัวเราลอยไปไหน ๆ ได้
    อีกอย่างหนึ่งก็คือว่ามันลักษณะเหมือนยังกับว่าถอดจิตไปโดยที่ ถ้าหากว่าเป็นพวกที่ฝึกมโนมยิทธิเขาเรียกว่าไปแบบเต็มกำลัง คือมันไปหมดเลย ความรู้สึกทุกอย่างเหมือนกับเอาตัวนี้ไป แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นกายในของเรา ถ้าลักษณะนั้นไปประเภทกระทบอากาศมันก็รู้ว่ากระทบ กระทบแสงสว่าง กระทบแดดมันร้อนมันอุ่นอย่างไรมันก็จะรู้ มันเป็นไปได้สองอย่างด้วยกัน อยู่ในลักษณะว่าพยายามสังเกตดูว่ามันเป็นตัวไหนกันแน่
    แต่ว่าประเภทที่ว่ามันลอยขึ้นไปแล้วมันจะต้องติดเพดานติดอะไรนั้นน่ะ ถ้าหากว่าไปในลักษณะของมโนมยิทธิเต็มกำลัวก็ดีไป กำลังของอภิญญาเต็มที่ดีมันจะไม่ติดหรอก มันไปเฉย ๆ มันทะลุไปเฉย ๆ จนบางทีตกใจว่าบรรลัยแล้วหลังคาไปหมด แต่ว่ามันก็ไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็น แต่ว่าจิตตอนนั้นห้ามคลายนะ ถ้ากำลังจิตคลายออกเมื่อไหร่เดี๋ยวเดี้ยงเพราะว่าลักษณะแบบนี้เคยเป็นมาแล้ว ก็คือว่าพอมันลอยขึ้นไปปุ๊บก็เอ๊ะเดี๋ยวก็พอดีหลังคาพังกันอย่างนี้
    พอความรู้สึกอย่างนั้นมันเกิดขึ้นมาสภาพจิตมันก็ตกลงมานิดหนึ่ง มันลอยขึ้นมามันไปกระแทกแบนแต๊ดแต๋อยู่กับเพดานนั่นล่ะ หายใจลำบากเป็นบ้าเลยจมูกมันบี้อยู่ จริง ๆ แล้วมันไปจริง ๆ จ๊ะ แต่เราเองไปกลัวว่าเออ.......เดี๋ยวหลังคามันพัง ถ้าหากว่าไปลักษณะอย่างนั้น เป็นกำลังของอภิญญาใหญ่มันหลุดออกไปได้เลย โดยที่มันไม่มีร่องไม่มีรอย ไม่รู้เหมือนกันว่ามันออกไปช่องไหนรูไหน มันไปได้จริง ๆ พยายามอีกหน่อย เริ่มสนุกแล้ว เรื่องพวกนี้มันเป็นของแถมอยู่แล้วจ้ะ เป็นของแถมของนักปฏิบัติ ซื้อรถเขาแถมล้อให้ ต้องการไม่ต้องการก็เอาไปเหอะ ถ้าเราไปถึงจุดนั้นมันจะได้เอง จะมีเองจะเป็นเอง ไม่ต้องใช้คำพูดที่ว่ากำลังมันพอแล้ว มันจะมีมันจะเป็นของมันเอง ไม่ต้องไปตั้งหน้าตั้งตาตะกายหาซื้อรถ ซื้อล้อรถ เอารถมันทั้งคันนั่นล่ะ ถึงเวลาได้รถมาล้อมันมาเอง
    ถาม : ยาก..มันค่อนข้างละเอียด ?
    ตอบ : สติมันขาดเมื่อไหร่มันก็หลุดจากจุดนั้น พยายามหน่อยรับรองได้ว่าทำจริง ๆ ได้ดีแน่นอน ที่วัดเพิ่งมีแม่ชีสิบองค์ ยังมีกุฏิว่างอยู่พร้อมที่จะรับ
    ถาม : ( ถามเกี่ยวกับเรื่องฝัน)
    ตอบ : ถ้ามันเป็นเรื่องทีไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ทำไป คือย่างน้อยถ้ามันเป็นจริง เขาผู้นั้นก็จะดีรับในสิ่งที่เรารับปากตั้งใจทำให้กับเขา ถึงจะไม่เป็นจริงอย่างน้อย ๆ ก็ได้ทดสอบ สัจจะบารมี ของเรา ขนาดในฝันแล้วเรายังตั้งหน้าตั้งตาทำเลย แสสดงว่ากำลังใจต้องเข้มแข็งจริง ๆ เรื่องสัจจะบารมีพร่องนี่น่าเบื่อหน่าย คนสัจจะบารมีพร่องนี่ดูง่ายมากเลยนัดไม่ค่อยเป็นนัดหรอก ผิดเวลา ผิดนัดเสมอ
    ถาม : บารมีถ้าหากว่าตัวใดตัวหนึ่งเต็มก็จะเต็ม ?
    ตอบ : เราต้องเน้นหนักจริง ส่วนใหญ่พวกที่พร่องน่ะมันพร่องทุกตัวล่ะ
    ถาม : ถ้าเกิดว่าตัวหนึ่งเต็มตัวอื่นก็จะมา ?
    ตอบ : มันมาของมันเอง มันมาลักษณะว่าถ้าหากว่าตัวหนึ่งเต็ม ตัวอื่นมันก็เต็มไปด้วย เรื่องของบารมีเป็นเรื่องแปลก ถ้าหากว่าเน้นตัวหนึ่งตัวอื่นมันจะมา อย่างเช่นว่าเราเน้นเรื่องทานบารมี คนจะให้ทานต้องมีอะไร มันจะต้องมีปัญญา จะต้องรู้ว่าทานดีถึงจะให้ใช่มั้ย ? เสร็จแล้วคนที่จะให้เขาได้จิตใจจะต้องประกอบไปด้วยเมตตาเป็นปกติอยู่แล้วใช่มั้ย ? คนที่มีเมตตาเป็นปกติศีลก็จะทรงตัวอยู่โดยอัตโนมัติ แล้วในขณะที่ให้ทานความรู้สึกของคนที่สละออกที่ประเภทอยากได้ตอบแทนมามันไม่มี
    ถาม : ...............................
    ตอบ : มีอยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งก็คือสติปัญญายังไม่เพียงพอนะ สติสมาธิ ปัญญายังไม่เพียงพอ อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าบังเอิญเรามีเชื้อเก่าที่ไม่ยอมตายอยู่ ก็คืออยากจะเป็นพระพุทธเจ้า ตัวอยากเป็นพระพุทธเจ้านี่เขาเรียกว่าพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นี่กำลังใจต่อให้เข้าถึงธรรมขนาดไหนก็ตามจะไม่ตัดขาด เทียบเท่าได้เท่านั้น ก็จะเลือกเอาจะเอาข้อไหนดี รู้จริงเห็นจริงจิตยังไม่ยอมรับก็แสดงว่ากำลังยังไม่เพียงพอก็ต้องไปเพิ่มทบทวนของศีล สมาธิ ปัญญาใหม่
    ถาม : ตัวที่เป็นชิ้นเอกตัวแรกควรจะทำมาก ..... (ไม่ชัด)..?
    ตอบ : จ้ะ.. พยายามพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง จริง ๆ เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ขึ้นชื่อว่าในสภาพที่ทุกอย่างมันเป็นแค่สมมติ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราต้องการมันมั้ย ? ถ้าจิตไม่ต้องการยกออกมาจริง ๆ มันก็จะหลุดจะขาดไปเลย
    ถาม : ถ้าอย่างนั้นจริง ๆ แล้วเวลาที่เราคิด....(ไม่ชัด)....?
    ตอบ : แน่นอน ไม่อย่างนั้นไปแล้วจ้ะ แรก ๆ มันจะเป็นแค่สัญญา คือความจำก่อน เมื่อมันเป็นสัญญาคือความจำนี่ เราพยายามที่จะคิดจะนึกไปตามแบบของมัน พอทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีกแบบไม่เบื่อไม่หน่าย นาน ๆ ไปสภาพจิตมันจะยอมรับก็จะเริ่มกลายเป็นปัญญา ถ้ายอมรับถึงที่สุดมันก็เด็ดขาดเป็นสมุทเฉทปหาน ก็เป็นอันว่าจบ แต่ว่ายังไม่ยอมรับถึงที่สุดก็จะได้เป็นขั้น ๆ ตามกำลังที่มันยอมรับของมันไป อาจจะเป็นโสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผลถึงอรหันตมรรคยกเว้นว่ายอมรับโดดเด็ดขาดสิ้นเชิง จิตยกหลุดถอนออกมาได้เป็นอรหันตผลไป
    ถาม : แล้วเวลาคิดยังไงเราจะรู้ว่าสิ่งที่เราคิดมันอยู่ในความฟุ้งซ่านหรือว่าเป็นการคิดด้วยเหตุผลอยู่ในเหตุและผล บางทีรู้สึกว่าเวลาคิดหรือพิจารณาไปแล้วมัน ..?
    ตอบ : ดีจ้ะดี ตัวนี้แสดงว่าเราระวังอยู่ตลอดเวลา การคิดที่ถูกต้องอันดับแรกให้คิดอยู่ในกรอบของ ไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ ก็ลักษณะของความเป็นจริงสามอย่าง อนิจจัง มันไม่เที่ยงเป็นปกติ ทุกขังเราไปยึดถือมั่นหมายมันเมื่อไหร่มันประกอบไปด้วยทุกข์แน่นอน อนัตตา ไม่มีอะไรยึดถือเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขา ได้ทุกสิ่งทุกอย่างในที่สุดก็เสื่อมสลายไปทั้งหมด
    หรือว่าคิดในแง่ของ วิปัสนาญาณ ๙ วิปัสนาญาณ ๙ มันจะมีประเภทว่าคิดถึง ความเกิดและความดับของมัน หรือคิดถึง ความดับอย่างเดียว คิดว่ามันเป็น โทษเป็นภัย คิดว่ามันเป็น ของน่ากลัว คิดว่ามันเป็นของ น่าเบื่อหน่าย คิดว่ามันเป็นของ ไปเสียให้พ้น จนกระทั่งในที่สุดถึงจุดสุกท้ายมันก็จะ ปล่อยวางกลายเป็นสังขารุเบกขาญาณ คือยอมรับสภาพของมัน เห็นธรรมดาของมันและอีกจุดหนึ่งก็คือคิดว่าคิดตามแนว อริยสัจ ถ้าอริยสัจนี่คิดในเรื่อง ทุกข์ อย่างเดียวก็พอ เพราะว่าถ้าหากว่าเรารู้ทุกข์ เราก็ไม่อยากจะไปแตะต้องมันอีก จนกระทั่งเห็นว่า มันประเภทเข้มข้นเกินไปหนักเกินไปก็เอาทุกข์ กับสมุทัย สมุทัย คือสาเหตุที่ทุกข์มันเกิด เราทุกข์อยู่ปัจจุบันนี้สาเหตุใหญ่ก็คือเกิดมา ถ้าเราไม่เกิดมาเราก็ไม่ต้องทุกข์อย่างนี้ พยายามตัดตรงที่สาเหตุมันคือตัวอยากเกิดให้ได้ เหล่านี้เป็นต้น
    ถ้าหากว่าตัดลงได้มันก็คือ นิโรธ ขณะที่เรากำลังตัดกำลังทำมันก็คือ มรรค อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็เอาแค่ว่าเอาแค่สมุทัยกับทุกข์สองตัวก็ได้ หรือจะเอาแต่ทุกข์อย่างเดียวเห็นแล้วเข็ดไม่เอาเลยก็ได้ ถ้าหากว่าอยู่ในกรอบของสามอย่างนี้คือตามแนวของไตรลักษณ์ก็ดี ตามแนววิปัสสนาญาณ ๙ อย่างดีก็ตามแนนวของอริยสัจ ๔ ก็ดี ก็เป็นอันว่าความคิดของเราถูกต้อง แต่ถ้าพ้นจากที่นี่ไปก็ถือเอาว่าฟุ้งซ่าน ฟังแล้วเหนื่อยมั้ย ? นึกว่าฟังแล้วเหนื่อย คนอธิบายไม่เหนื่อยจ้ะ ถ้าหากว่ามีคนสนใจจริง ๆ ว่ากันได้ ๓ วัน ๓ คืน
    สมัยเป็นฆราวาสมีคู่มือที่ทัดเทียมกันจริง ๆ จ้ะ ๖ โมงเช้ายัน ๔ ทุ่ม ข้าวปลาไม่ต้องกินก็ได้นั่งคุยกันอย่างเดียว แต่มันไม่ใช่นั่งคุยกันเฉย ๆ เพราะฟุ้งซ่านแต่เป็นการไล่อารมณ์กันว่า หัวข้อนี้ที่เราทำมามันเป็นอย่างนี้ ๆ เธอทำอย่างนั้นได้อย่างนั้นฉันทำอย่างนี้ได้อย่างนี้ ไล่กันไปไล่กันมา มันจะไปยันกันอยู่ตรงจุดสุดท้ายพอดีทุกครั้งเลย แล้วก็เป็นเรื่องอัศจารรย์มาก แสดงว่ามันเป็นพวกประเภทคู่บุญคู่กันคู่กัดกันมาจริง ๆ แล้วก็เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเขาจะทำได้ในจุดไหนก่อนหน้าที่จะเจอเขาสองสามวันเราจะทำได้ ในจุดนั้น แล้วเราก็มีเวลาทวนอยู่สองสามวัน จนกระทั่งช่ำชองแล้วก็มั่นใจว่าอันนี้ไม่ผิดพลาดแน่ ก็บังเอิญได้เจอกับเขาก็ไปกัดกันต่อ แล้วมันจะไปอยู่ตรงจุดสุดท้ายที่ว่าเขาหมดปัญญาที่จะรุกแล้ว ก้าวสุดท้ายไม่มีแรงที่จะก้าวขึ้นหน้ามา ขณะเดียวกันเราก็ติดผนังพอดีถอยต่อไม่ได้เหมือนกัน แต่บังเอิญเรามันใจดีสู้เสืออยู่เรื่อย ถึงถอยไม่ได้ก็ยังยิ้มเข้าไว้ เขาพยายามจะเค้นคอเราว่ายังมีอะไรอีก ความจริงเราหมดเกลี้ยงกระเป๋าแล้วพอ ๆ กับเขานั่นล่ะ จะเป็นอย่างนี้อยู่ทุกครั้ง
    ที่ขำที่สุดเพราะเขาเป็นผู้หญิง นั่งคุยกันไปคุยกันมา ปะป๊าก็คว้ากาน้ำชามานั่งฟังด้วยอยากรู้ว่ามันคุยอะไรกันนักหนา คุยกันได้เป็นวันเป็นคืน กินน้ำชาหมดไป ๒ กา ป๊าบอกกูไปนอนดีกว่ามันคุยอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) น่าสนุกมั้ย ? มันต้องมีคู่ปฏิบัติที่เรียกว่าทัน ๆ กันอย่างนี้ถึงจะก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าสมมติว่าปัจจุบันอาตมานั่งอยู่ตรงจุดนี้ ส่วนใหญ่ที่ได้มามันน้อยกว่า ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักขวนขวายหาความก้าวหน้า พอใจอยู่แค่นี้ คิดว่าเราอยู่ในจุดที่สูงแล้วพอแล้ว มันจะสะดุดอยู่แค่นั้นเอง
    เพราะฉะนั้นคู่ศึกนี่สำคัญมากเลยขอให้ได้กัดกันหน่อยแล้วปัญญามันจะเกิด เป็นไงฝีมือตกไปมากเลยหรือ ? ไม่ใช่หรอกเขาเรียกว่ามันรู้ตัวมากขึ้น รู้ตัวมากขึ้นอะไรที่มันเป็นปลีกย่อยเราก็ตัดมันออกไปเยอะ เมื่อเราตัดมันออกไปเยอะก็เหมือนยังกับว่าอะไรที่มันรุงรังมันมีน้อยลง สิ่งที่เราต้องให้ความสนใจก็มีน้อยลง มันรวบเข้ามาเป็นเฉพาะหน้ามากขึ้น ก็เลยเหมือนยังกับว่ามีอะไรน้อยลง แต่จริง ๆ แล้วมันน้อยลงจริง ๆ
    แรก ๆ การพิจารณาก็เหมือนกันมันต้องกระจายกว้างเหมือนยังกับตีอวนล้อมเอาปลาทั้งทะเล แต่หลังจากที่ประเภทที่เรียกว่าเหนื่อยแล้วเหนื่อยอีกก็ลากอวน ปลาทั้งทะเลมันเหนื่อยขนาดไหนมันก็เข็ดพอมันเข็ด คราวนี้มันก็เลือกเอาเฉพาะจุดที่ตัวเองต้องการ มันไป ๆ มา ๆ มันก็เหลือหน่อยหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็ต้องไปแยกเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ภายนอก ภายในอะไรบ้างก็ไม่รู้ยุ่งไปหมด หลังจากนั้นบอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรามันโอเคจบเลย เหลืออยู่กระจ้อยหนึ่ง.... จำไว้เลยว่าการปฏิบัติถ้ามันไม่ก้าวหน้านะอย่าไปท้อถอย ย้ำแล้ว ย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกตรงจุดนั้น แสดงว่ากำลังของเรามันยังไม่พอ ศีล สมาธิ ปัญญาของเราต้องมีตัวใดตัวหนึ่งมันพร่องอยู่ เราย้ำแล้ว ย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก เดี๋ยวถ้าหากว่ากำลังมันพอมันจะก้าวผ่านไปได้เอง คือมันอาจจะพร่องทั้ง ๓ ตัวนั่นล่ะ
    ถาม : อย่างกรณีของคือตัวเองโทสะแรงมาก จะมีอะไรยังไงโทสะให้มัน...?
    ตอบ : ตัว โทสะ พระพุทธเจ้าท่านให้สู้กับมันด้วย พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติอยู่แล้ว แต่เพียงแต่ว่าลักษณะของการแผ่เมตตาของเราอย่าไปให้คนที่เราเกลียด ให้คนที่เราเกลียดปฏิกริยาสะท้อนกลับมันจะแรงมาก ต้องให้คนที่เรารัก พอถึงเวลากำหนดใจมั่นคงเสร็จเรียบร้อยก็กำหนดใจใปถึงคนที่เรารักก่อนทั้งหมด ว่าต้องการให้เขาพ้นทุกข์ให้เขาอยู่ดีมีสุข พอกำลังใจมันทรงตัวแล้วค่อยไปให้คนที่เรารักน้อย จนกระทั่งถึงคนที่เราไม่รักไม่เกลียด จนกระทั่งถึงคนที่เราเกลียดน้อย จนกระทั่งถึงคนที่เราเกลียดมากของเราถ้าหากว่าข้ามขั้นทีเดียวมันยันกลับหงายท้องล่ะ
    ถาม : เมื่อพฤหัสที่แล้วโดนเตะซะเต็ม ก็เลยไม่รู้จะยังดี ?
    ตอบ : เอาอย่างใครน่ะเดี๋ยว พระปุณณะเถระ โดนเตะแขนดีกว่าก้านคอ (หัวเราะ) พระปุณณะเถระท่านอยู่ในเขตเมืองในที่เขาชื่อว่าเมืองของคนดุร้าย พอท่านบรรลุธรรมแล้วขอพระพุทธเจ้าไปเพื่อโปรดคนในเขตของท่าน เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าก็ถามว่าคนเขาด่าเธอจะว่ายังไง เขาด่าดีกว่าเขาตี ถ้าหากว่าคนเขาตีล่ะ ถ้าคน เขาตีดีกว่าเขาฆ่า ใช่มั้ย ? แล้วถ้าหากว่าคนเขาฆ่าเธอล่ะ ? ถ้าหากว่าคน เขาฆ่าก็ถือว่าเป็นความกรุณา เพราะว่าเราก็ไม่ต้องการอยู่ ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านถึงได้สาธุการให้ บอกว่าถ้าเธอคิดอย่างนี้ก็ไปได้ ของเราเอาลักษณะเดียวกันนั่นล่ะ เขาเตะแขนดีกว่าโดนก้านคอ
    ถาม : มันต้องเห็นกันอยู่ ต้องเจอกันอยู่ทุกวัน ก็เลยลงบันทึกประจำวันไว้นิดหนึ่ง ?
    ตอบ : อันนั้นมันเป็นการป้องกันตัวอย่างหนึ่ง สมควรที่จะทำจ้ะ แต่ว่าใจของเราจริง ๆ อย่าให้มันอยู่ตรงนั้น โกรธได้แต่อย่าไปผูกโกรธ การผูกโกรธมันเป็นการอาฆาตพยาบาท ประเภทว่ายังไงกูก็ต้องเอาคืนให้ได้อันนั้นใช้ไม่ได้ แต่ว่าตอนโดน คนเรามันรักตัวเองเป็นปกติอยู่แล้ว มันต้องโกรธเป็นธรรมดา แต่ว่าโกรธแล้วก็ให้มันเลิก ๆ กันไปอย่าไปผูกมันเอาไว้
    ถาม : ยอมรับว่ามันก็ยังมีอยู่ล่ะครับ ?
    ตอบ : ก็ให้มันมีก็ให้มันอยู่ในใจของเรา ขังมันไว้ในอกอย่าให้มันอยู่ทางกายหรือทางวาจา ถ้ากิเลสมันจะฟัดเราคนเดียว อย่าให้มันลามไปเดือดร้อนคนอื่นด้วย
    ถาม : เราต้องยอมรับว่าสภาพแวดล้อมตรงนั้นเนียะ คนประเภทอย่างนี้อันธพาลมันก็มี ?
    ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ปฏิรูปเทสวาโส เอตัมมังคละมุต ตะมัง อยู่ในถิ่นที่เหมาะสมจัดเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง ของเราอยู่ผิดที่ไปหน่อย เอาน่ะ ถ้าหากว่าเราเอาดีได้ แปลว่ากำลังใจของเราต้องเข้มแข็งแน่นอน มันอยู่ในลักษณะเหมือนยังกับว่า ในที่ ๆ เราจะต้องขวนขวายใช้กำลังใจมากเป็นพิเศษ ถ้าเราชนะได้ แสดงว่าเราเก่งจริง...
    ตั้งใจจำนะ ไปได้มางวดนี้ได้คาถา หลวงปู่จันทร์ มาบทหนึ่ง หลวงปู่จันทร์อายุร้อยกว่าปีแล้ว กะว่าท่านก็คงจะไปเร็ว ๆ นี้แล้วล่ะ จำไม่ทันก็จด คาถาขอให้แม่ธรณีช่วยท่านบอกว่าต้องเอาไว้ให้จำเป็นจริง ๆ เพราะฉะนั้นจำเป็นจริง ๆ ของเราถ้าหากว่ามันยังพอดิ้นรนได้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็อย่าไปกวนท่าน ให้จุดธูป ๖ ดอก ปักกลางแจ้ง ขอให้แม่ธรณีช่วย คาถามันเป็นภาษาไทยง่าย ๆ คาถาว่า พระแม่ธรณีเจ้าแม่เอ๋ย บัดนี้แม่มาอยู่หรือยัง ? เสร็จแล้วเราก็จัดแจงเออเองเรียบร้อยเลยว่า อยู่แล้วอะไรก็ได้ โปรดมาช่วยคลายทุกข์ลูกบ้าง แม่สังขะตังโลกะวิทู คาถามาอยู่แค่นี้ล่ะ แล้วเสร็จจะให้ท่านช่วยเรื่องอะไรก็บ่นไปเหอะ พระธรณีเจ้าแม่เอ๋ย บัดนี้แม่มาอยู่หรือยังโปรดได้มาช่วยคลายทุกข์ลูกบ้าง แม่สังขะตังโลกะวิทู คาถามีอยู่แค่นี้ล่ะ อยากจะให้ท่านช่วย อะไรก็บ่นไปสัก ๓ วัน ๓ คืนก็ได้ จุดธูป ๖ ดอกปักกลางแจ้งแล้วก็ลุยเลย คงไม่มีแม่ไหนยิ่งใหญ่กว่าแม่ธรณีอีกแล้วมั้ง ลูกทั้งโลกก็ต้องอาศัยอยู่บนอกท่าน
    ถาม : งวดที่แล้วฝันตีสองกว่า ฝันว่าไปกราบหลวงพ่ออุตตะมะ ให้ท่านเป่ากระหม่อมให้ ยื่นหัวเข้าไปเป่ากระหม่อม ท่านบอกว่าลูกเตรียมของให้ ๓๐ ดอกอะไรหรือ ๓๐ อย่าง ไปเตรียมของให้ ๓๐ ดอกหรือไงไม่รู้ล่ะ ท่านพูดอย่างนี้นะจำไม่ค่อยได้ ก็ไปซื้อหวยล็อตตารีซะห้าหกใบมันออกข้างบนน่ะ ๒ ตัว ว่าจั่วข้างล่างซะ ๑๐๐ หนึ่งไม่มีบุญจะถูกอีก ?
    ตอบ : เขาเรียกว่าบุญมีแต่กรรมมันบัง บอกแล้วเล่นอะไรไม่เล่น ๆ เล่นหวย อาตมาไม่เคยสนับสนุนใครเลย
    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...