ฉบับที่ ๓๑ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 31 สิงหาคม 2006.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺปญฺโญ
    เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    ถาม : .......................

    ตอบ: มีจริง ๆ หลวงปู่โลกอุดร จริง ๆ คณะของท่านมี ๕ องค์ ก็คือสมณะฑูตสายที่ พระเจ้าอโศกมหาราช ส่งมาเผยแพร่พระศาสนาที่สุวรรณภูมิ

    สมัยนั้นทะเลมันยังอยู่ที่เขต นครปฐม ตรงจุดที่ท่านขึ้นมา เขาถึงสร้างเป็นเจดีย์ทุกวันนี้ ห่างมาสองพันปีทะเลมันงอกไปโน้นแล้ว ชะอำ งอกเยอะ คราวนี้หลวงปู่โลกอุดรก็คือ พระอุตระเถระ อุตระก็คืออุดร เพียงแต่ว่าคณะของท่านมี ๕ องค์ด้วยกัน แล้วก็ทำงานลักษณะเดียวกัน บางทีมีคนเขาเจอคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง คนเขาก็เลยงง ๆ ว่าเป็นองค์ไหนกันแน่ แต่ว่าตัวจริง ก็คือพระอุตรเถระ
    แล้วก็ตรงจุดที่สำคัญก็คือว่า ท่านตั้งความปรารถนาพระโพธิญาณ คือ อยากเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน บริษัทบริวารที่ตามท่านมาก็มาก มาถึงชาตินี้พอท่านพบธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าอันนี้ง่ายกว่าก็ลุยเลย พักเดียวกลายเป็นพระอรหันต์ ลูกศิษย์ตามไม่ทัน ในเมื่อตามไม่ทัน ท่านเองในเมื่อเป็นพระอรหันต์ท่านต้องนิพพาน ก็เหลือวิธีเดียวที่จะสงเคราะห์ลูกศิษย์ของตัวเอง คือต้องอธิษฐานให้อยู่ได้

    ท่านเองท่านมาไทยตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๓๗๕ จนป่านนี้ท่านยังไม่ตาย อายุตั้งเท่าไรแล้ว ตัวนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันสิ่งที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าบุคคลที่มั่นคงในอิทธิบาทสี่สามารถอธิษฐานให้อยู่เป็นกัลป์ก็อยู่ได้ ถามหลวงปู่ว่าอายุเท่าไรแล้ว ท่านบอกว่าข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนสร้างพระปรางค์สามยอดที่ลพบุรี ข้าไปยืนดูมันสร้างอยู่ พระปรางค์สามยอดไม่หนีพ้นห้าพันหกนะอายุ อยู่จนป่านนี้
    ถาม: ..........................

    ตอบ: ถ้าต้องการจะติดต่อกับท่าน โดยปกติแล้วถ้าไม่ใช่ลูกศิษย์สายของท่าน ท่านจะไม่ยุ่งด้วยเลย ถ้าหากว่าใครเคยเป็นลูกศิษย์สายตรงของท่าน เคยอธิษฐานตามกันมา ถึงเวลาท่านจะไปหาเขาเอง ถึงเวลาท่านจะไปสงเคราะห์เขา สอนธรรมะให้ สอนอภิญญาให้ แต่ท่านเคยให้พรไว้ว่าถ้าหากต้องการพบท่านให้จัดอาสนะปูผ้าขาว ๕ ที่ แล้วจุดธูป ๕ ดอก นึกถึงท่าน ว่าคาถาโลกะอุตโร มหาเถโร อะหังวันทามิ ตังสะทา ภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ท่านบอกว่า ถ้าหากว่าสภาพจิตดีสมาธิดี ท่านอาจปรากฏทั้งตัวเลย แต่ถ้าสมาธิไม่ดี ภาวนาได้ตก ๆ หล่น ๆ ท่านอาจปรากฏให้ในฝันก็ได้ แต่ว่าอาสนะปูผ้าขาว ๕ ที่ ต้องมีนะ ที่ ๕ ที่ เพราะของท่านทั้งทีมเลย ก็มีพระโสณะเถระ พระอุตตระเถระ พระฌานียะเถระ พระโมลียะเถระ พระเมธียะเถระ

    ถาม: อยู่ครบทุกองค์เลยหรือครับ ?

    ตอบ: อยู่แค่องค์เดียวล่ะจ้ะ แต่ว่าท่านที่ไปนิพพานแล้ว กลับมาช่วยเมื่อไรก็ได้อยู่แล้ว แต่ว่าที่ต้องแบก สังขารคือ ขันธ์ห้าอยู่ ก็มีหลวงปู่เทพโลกอุดรนี่แหละ จริง ๆ ถิ่นที่ท่านอยู่ มันเป็นถ้ำใหญ่มากเลย อยู่ใต้เขาที่เนปาล เย็นอย่างกับตู้เย็น เวลาท่านจะสงเคราะห์ใครก็ไปได้ทั่วแหละ ไม่จำเป็นต้องเมืองไทยหรอก
    ถาม: มีคนเข้าไปถึงไหมครับ ?
    ตอบ: มีพวกที่ตั้งใจจริง ต้องการจะไปหาท่านจริง ก็ไปเจอได้ บางทีเขาเรียกว่าถ้ำวัวแดง มันเป็นถ้ำเคลื่อนที่ ไม่ต้องไปหาให้เสียเวลาหรอก จะสังเกตไหมตามประวัติ เจอท่านที่ถ้ำวัวแดง แล้วกลับไปใหม่ ก็ไม่เจอ ถ้ำนั้นเลยกลายเป็นถ้ำเคลื่อนที่ ท่านอยากจะให้ไปโผล่ที่ไหน มันก็ไปโผล่ตรงนั้น
    ถามว่าอย่างเราไปเจอท่านได้ไหม ถ้าตั้งใจจริง ๆ เดินส่งเดชไปเถอะ ถ้าท่านต้องการให้พบ เดี๋ยวไปโผล่ที่ถ้ำเองแหละ ในชีวิตเคยพลัดกับท่าน ๓-๔ ครั้ง ไล่ไม่ทัน เร็วจริง ๆ ประเภทเห็นหลังไว ๆ ไล่ไม่ทัน สรุปว่าไม่ใช่ลูกศิษย์ของท่าน แล้วอีกอย่างก็คือว่า สิ่งที่หลวงพ่อสอนมาเหลือเฟือแล้ว ไม่จำเป็นให้ท่านสอนก็ได้
    ถาม: (ถามเรื่องพระพุทธบาท ๔ รอย)
    ตอบ: พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต้นกัป คือ พระพุทธกกุสันโธท่านตั้งใจประทาน รอยพระพุทธบาทไว้ให้หมู่มนุษย์และเทวดาได้บูชา ท่านก็เล็งว่าตรงจุดนั้นมันเหมาะที่สุด เพราะว่ากาลต่อไปข้างหน้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๕ องค์ ก็จะไปประทับรอยไว้ที่นั่น ก็เลยกลายเป็นว่า ท่านตั้งใจอธิษฐานเหยียบรอยเอาไว้ พอมาองค์ที่สองคือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโกนาคม ก็ไปเหยียบรอยเอาไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธกัสสป ก็ไปเหยียบเอาไว้ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน สมัยนั้นยังเป็นพื้นที่ป่าอยู่ จนปัจจุบันนี้ยังเป็นป่าอยู่ เพียงแต่ว่าหนทางดีขึ้น
    คราวนี้มีวาระที่สมควรแล้ว เทวดาที่รักษาที่นั่นก็แปลงเป็นเหยี่ยวใหญ่ มาถึงก็คว้าเอาสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านไป บินขึ้นไปยอดเขา เดี๋ยวก็มาเอาแล้วบินขึ้นไปยอดเขา ชาวบ้านก็ยัวะต้องล่ามันให้ได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวกินหมด ลูกเป็ด ลูกไก่ อะไรจะไม่เหลือ ก็ลุยตามขึ้นไป เลยเจอรอยพระพุทธบาท
    ในเมื่อเจอรอยพระพุทธบาทอยู่ ก็มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ ซ่อมแซม เพื่อให้เป็นที่พอจะสักการะบูชาได้ แต่สมัยก่อนเส้นทางสุดสาหัส ต่อให้มีรถโฟร์วีลก็อาจไปไม่รอด แต่ปัจจุบันนี้ดีแล้ว เพราะว่าช่วงที่เป็นเนินสูงเป็นอะไรนี่ เขาจะลาดคอนกรีตเอาไว้กันมันพัง ไม่เช่นนั้นร่องน้ำลึก ๆ เวลาหน้าฝนขนาดโฟร์วีลยังไปไม่รอด

    ถาม: แล้วพอถึงศาสนาพระศรีอริยะเมตไตรย ?
    ตอบ: ท่านก็จะไปเหยียบเสียอีกที พระศรีอริยะเมตไตรยรอยใหญ่กว่าเพื่อน ถึงเวลาท่านไปเหยียบ กลายเป็นรอยเดียวกันไปเลย เคยไปกันบ้างไหม ? อาตมาไปหลายครั้งเต็มทีแล้ว ไปปลายปีที่แล้วไปเจอน้ำขังอยู่ในรอยพระบาท สูงตั้งศอกหนึ่ง แสดงว่าฝนมันสาดเข้าไปเลย ก็เลยตักกรอกใส่ขวดกันอุตลุด เอามาไล่แจกชาวบ้านเขา นาน ๆ จะฟลุ้คที
    สมัยก่อนชาวบ้านเรียกว่า พระบาทรังรุ้ง คือรังเหยี่ยว เหยี่ยวรุ้งตัวใหญ่ ๆ ที่ลงมาจับสัตว์เลี้ยงชาวบ้านไปกิน เปลี่ยนไป เปลี่ยนมากลายเป็นพระบาท ๔ รอย ปัจจุบันนี้ไปง่ายหน่อย พอเข้าเขตอำเภอแม่ริม ก็เล็งซ้ายมือไว้เลย จะมีคนเอาป้ายไปปักไว้ ลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งนั้น ตามป้ายไปเรื่อย ๆ ถึงแยกเมื่อไร ก็ดูซิมีป้ายไหม ถ้ายังไม่มี ก็วิ่งต่อไป มีก็เลี้ยวได้
    สมัยก่อนกว่าจะคลำไปถึงได้ หลงแล้วหลงอีก โดยเฉพาะช่วงหมู่บ้านทางเยอะแยะไปหมด ปัจจุบันนี้ทางก็ยังหลายเส้นอยู่ แต่ว่าพอมีป้ายแล้ว ก็เลยกลายเป็นสะดวกขึ้น
    พระพุทธบาทที่เดียว ๔ รอย หายากมากเหยียบซ้อน ๆ กันอยู่ ขององค์ปัจจุบันเล็กที่สุด เห็นชัดที่สุด แล้วอีกสามองค์ องค์แรกที่ใหญ่ที่สุดจะเห็นชัดที่สุด อีกสองรอยจะซ้ำ ๆ กันอยู่ ต้องไปเล็งอยู่นาน กว่าจะรู้ว่าของท่านอยู่ตรงไหน
    ถาม: องค์ปัจจุบันนี้ขนาดไหน ?
    ตอบ: นั่นเล็กที่สุด ที่เราเห็นประเภทเมตรกว่าจะสองเมตร นั่นแหละ เล็กที่สุด ไม่ต้องห่วงเรื่องที่พักเรื่องอะไรที่นั่น ถึงพระไม่อยู่ก็อาศัยแม่ชีได้ เขาเต็มใจเลี้ยง อากาศดี แต่อย่าไปหน้าหนาวนะ หนาวเอาเรื่องเลย ไปหน้าร้อนอากาศกำลังเย็นสบาย ของเราชอบอะไรที่มันสุด ๆ ก็เลยไปหน้าหนาว
    ถาม: ผมเคยไปไหว้ครั้งหนึ่ง แล้วน้ำตาไหลขึ้นมา ?
    ตอบ: อาจเกิดปิติขึ้นมา สถานที่ซึ่งถือว่าเป็นปูชนียสถานสำคัญที่สุดก็ว่าได้ ขณะนี้เราได้มาถึงแล้ว เดี๋ยวก็จะเหมือนกับหลวงพี่นันต์ วัดท่าซุง ไปถึงพระเจดีย์สแวดอเมี้ยต พระครูปลัดของเราไม่ต้องอายชาวบ้านเขาหรอก คือเข้าไปเห็นก็น่าทึ่ง เสาต้นหนึ่งประมาณสามคนโอบ แล้วเขาปิดทองอร่ามเลย แล้วก็หล่อเทวดาด้วยเงินสูงประมาณสองเมตร สองเมตรครึ่ง ประจำเสาทั้งสี่ทิศ แปดทิศ เพื่อเฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุ
    แต่อันนั้นจะเป็นพระทันตธาตุ พระธาตุเขี้ยวแก้ว ทางประเทศจีนเขามอบมาให้ ของพม่านี้ถ้าเรื่องพระศาสนา เขาทุ่มเทให้สุด ๆ เลย ไปถึงแล้วก็ พระพี่ยาก็นั่งร้องไห้ที่นั่นแหละ ใครเคยไปที่ไหนแล้วร้องไห้บ้าง ไม่ใช่โดนรังแกนะ แสดงว่าชีวิตหนึ่งไม่เสียชาติเกิดที่ได้ไป อีกที่หนึ่งที่ที่พระธาตุเชิงชุม ที่ สกลนคร นั่นก็มี ๔ รอยเหมือนกัน ที่พระพุทธบาทสี่รอย คงให้พี่น้องไทยกับพม่า ทางด้าน พระธาตุเชิงชุม ก็ไทยกับลาว
    ถาม: แล้วพระธาตุศรีสองรัก ?
    ตอบ: ศรีสองรักอยู่ที่เลย อันนั้นไทยกับลาวช่วยกันสร้าง อธิษฐานให้เป็นอย่างไรล่ะ เหมือนกับว่าสุวรรณปฐพีเดียวกัน ต่อให้มีน้ำโขงกางกั้น น้ำใจของไทยและลาวก็จะสมานสามัคคีกันอย่างนั้นแหละ เขาเรียกศรีสองรัก คือสองประเทศเขารักกัน
    ถาม: รักกัน...วันดีคืนดีก็ทะเลาะกัน ?
    ตอบ: ช่วงรักกันเราไม่ทำ ไม่รักกันแล้วค่อยว่ากัน ทางลาวเขาเรียกว่า พระธาตุหมากโม รู้จักหมากโมไหม แตงโมไง ขำอะไรไม่ขำ ขำท่านพร ท่านพรมาจากปากงึม แขวงนครเวียงจันทร์ ถือว่าเป็นเด็กเมืองเหมือนกัน มาถึงไทยก็เลยชวนกันลุยไปพม่า แล้วเส้นทางตั้งแต่หงสาวดีไปร่างกุ้ง มันมีร้านขายแตงโมอยู่เยอะเลย ท่านพรก็มันเขี้ยวขึ้นมาอยากกินแตงโม บอกรถให้หยุด ส่งสตางค์ให้เด็กวัด บอกมึงไปเอาบักโม หน่วยบักใหญ่นั่นมา ปรากฏว่าอุตส่าห์ประคับประคองเป็นอย่างดี เที่ยวขากลับ วนกลับมาถึงพระธาตุอินทร์แขวนแล้ว อดใจไม่ไหวขอกินมันหน่อยวะ สงสัยจะชอบมากเลย ถึงเวลาตอนอาหาร ก็ส่งแตงโมลูกเบ้อเริ่ม ให้เขาไป บอกว่าให้ช่วยผ่าให้ที พวกเราก็ก้มหน้าก้มตาฉันอาหารไป พอเงยขึ้นมาอีกที ลักษณะเหมือนกับส้มตำเปี๊ยบเลย เขาผ่าแตงโมแล้วซอยมาละเอียดยิบเชียว เราก็นั่งเกาหัวอยู่ เอ็งเอามาทั้งชิ้น แล้วให้ข้าตักก็ได้ หรือไม่ก็หั่นให้เป็นชิ้นใหญ่ ๆ หน่อยได้ไหม เขาบอกว่าเห็นใช้ช้อนกัน กลัวจะกินไม่ถนัด เลยสับมาให้ ของเขาส่วนใหญ่ใช้มือนี่ก็ชิ้นใหญ่ได้ใช่ไหม งานนั้นท่านพรอยากจะเอาหัวชนเสา จะกินให้อร่อยเสียหน่อย พวกสับมาเป็นส้มตำเลย
    ไปลองดูเหอะ พม่านี่ทำอะไรชนิดที่เราไม่ต้องเถียงมันเลย มันมีเหตุผล ของเราไปสั่งเขา เอาหัวหมูสามหัวไก่หนึ่งตัว จะเอาไปทำบวงสรวง ให้มาหัวเดียวเลย บอกว่าหัวเดียวก็พอกินแล้ว เอาอะไรเข้าไปตั้งเยอะแยะ เสร็จแล้วเราก็ไม่ว่า หัวเดียวก็หัวเดียว ย่อเป็นชิ้นเล็กก็ได้ใช่ไหม ก็สั่งให้ชาวบ้านช่วยไปต้มเสียหน่อย เราเผลอหน่อยเดียว มันเผาเสียดำปี๋เลย เราก็เห็นว่า ทำไมถึงทำอย่างนี้ เขาบอกว่าจะให้อร่อยต้องทำอย่างนี้ มันนึกว่าเราจะกินเอง
    เพราะฉะนั้นไปพม่าต้องทำใจให้ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวไล่เตะกันทั่วประเทศ ทุกอย่างที่ทำมันมีเหตุผลทั้งนั้น ถามมันก็ได้ เป็นไงล่ะ ต้มไม่อร่อยต้องเผา แล้วเผาเสียดำปี๋เลย งานนั้นเลยได้หัวหมูกระดำกระด่าง กว่าจะเอาช้อนขูดให้สะอาดขึ้นมาได้ ขำก็ขำ หิวก็หิว แล้วโปรดระวังนะไปฝั่งโน้นตั้งท่าจะล้มทับเราอย่างเดียว อ้างว่าไปน้อยไม่ปลอดภัยต้องไปเยอะ ๆ จริง ๆ ก็คืออยากอาศัย อาศัยเราเที่ยว เสร็จแล้วเราก็ต้องเลี้ยงมันด้วย รถก็ไปฟรี กินก็กินฟรี
    มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปจนสตุ้งสตางค์หมดแล้ว รถก็เราเช่า ค่าอาหารก็เราจ่าย มันยังอยากจะไป ตองยี เมืองหลวงของรัฐฉาน เราก็บอกว่าสตางค์ไม่มีแล้ว จะกลับ มันก็อุตส่าห์ไปเกลี้ยกล่อมคนขับ ให้ขับรถไปฟรีได้ไหม อยากจะไปเที่ยว มันไม่เคยไป แล้วจะเอาเราไปด้วย เพราะยังไง ๆ เราเป็นตัวประกันอยู่แล้ว เราก็เลยสั่งคนขับบอก กลับ ไม่ต้องไปต่อหรอก แหมขับรถให้ฟรี ถึงเอ็งฟรีมา แล้วค่าอาหาร ค่าน้ำมันใครจ่ายล่ะ ? ไปที่โน่นจะเจอรายการล้มทับอย่างมโหฬาร เขาเห็นเรารวย เหมือนยังกับว่าเราเห็นฝรั่งรวย
    ตอนนั้นไปกันสามองค์ สามประเทศ ท่านนาวิน พม่า ท่านพรลาว เรานี้ไทยคุยกันรู้เรื่องเหมือนกัน บางคำนึกภาษาเขาไม่ออกจริง ๆ ก็ต้องทับศัพท์ไป เดี๋ยวปีหน้าก็จะฉลองวัดหนองบัวแล้ว ไม่รู้ท่านนาวินจะมีฝีมือหรือเปล่า ให้ไปล๊อบบี้ทหาร จะเอาคนของเราเข้าสักหน่อย สัก ๕๐ คนก็ยังดี สองปิ๊กอัพเอง เคยนั่งรถมันทีหนึ่ง ของนี่ล้นกะบะเลยนะ ยังเอาคนยัดไปตั้ง ๑๙ คน ระยะทาง ๑๐๗ กิโล เราไปได้ ประมาณ ๓ กิโล ยางระเบิดไปสองเส้น บรรทุกน้ำหนักจนเกินไปไง
    คราวนี้บ้านเขาไม่ใช่บ้านเรา ที่จะมีร้านซ่อมอะไหล่เยอะแยะ ของเขานี้ต้องรอ รอจนกว่าจะหาร้านซ่อม ช่างซ่อม จนกว่าจะหาอะไหล่ได้ ซึ่งอาจอีก ๗ วัน ข้างหน้าหรือ ๑๐ วัน ข้างหน้า ซึ่งพวกเขาก็เคยชินนะ พอรถยางระเบิดปุ๊บ ก็ลงไปปูเสื่อนอนเลย รู้ว่าอยู่ ยาวแน่ แต่ของเรามันยาวไม่ได้ ถ้าเรามาไม่ถึงเมืองไทย สมมุติว่าเลยเวลารับสังฆทานอย่างนี้ ญาติโยมมาแล้วไม่เจออาตมาเป็นไงล่ะ ? รับรองได้ว่าหูชาแน่ ก็เลยจต้องย่ำต๊อก ตกลงเสียค่ารถไป ๒๐,๐๐๐ กว่าพม่า แล้วก็เดินเองสะใจมาก ระยะทาง ๑๐๐ กว่ากิโล ค้างคืนหนึ่งเท่ากับว่า สองวัน ลองดูไหม ที่ค้างเพราะว่ามันค่ำจริง ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะเดินต่อ
    ไปค้างที่บ้านกะเหรี่ยงเลโพ สวดมนต์ ทำวัตรเสร็จก็หลับ ตื่นเช้าขึ้นมา ไม่ได้ตื่นเพราะถึงเวลาหรอก ตื่นเพราะชาวบ้านมาปลุก โอ๊ย...มากันเยอะแยะ ถือตะเกียงเทียนกันมาแต่มืด ไปกัน ๕ องค์ พอดีพม่าเขาถือ เลข ๕ เป็นเลขมงคล แล้วชาวบ้านเขาบอกว่า เขาฝันล่วงหน้ามาสองวันแล้วว่ามีพระมาพักอยู่ที่นี่ ก็เลยเตรียมเลี้ยงพระไว้ก่อนแล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าองค์ไหนมาช่วยเข้าฝันให้ เราก็กินอ่วมกันไปเลย
    งวดนั้นที่ไปกัน ๕ องค์นี่ กินที่ไหนแทบไม่ต้องเสียสตางค์ ของพม่านี่เขานิยม การทำบุญอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่านิมนต์พระอย่างเป็นทางการ นอกจากเลี้ยงอาหารแล้วยังต้องถวายปัจจัยไทยทาน ค่าเดินทางด้วย คนรายได้เขาน้อย ก็เลยไม่กล้านิมนต์ ของเรานี้ ๕ องค์ เป๋เข้าร้านเขาส่วนใหญ่กินฟรี เดี๋ยวนี้ยังคิด ๆ อยู่ น่าไป ๕ องค์อีกสักรอบ ประหยัดเยอะเลย ขนาดบอกเขาว่าฉันมาแล้วนะ ถึงเวลานั่งรถเหนื่อย ลงไปพัก เขายังอุตส่าห์เลี้ยงพวกกาฟงกาแฟเลย ตกลงเลข ๕ ของพม่าเป็นเลขมงคลนะ ของไทยเราเลข ๙
    ถาม: (คุยเรื่องประวัติศาสตร์ไทย)
    ตอบ: สมัยของ พระเจ้าตาก ที่ไปตี จันทบุรี ความตั้งใจจริง ๆ ก็คือว่าตั้งใจจะไปขอความช่วยเหลือแต่ พระยาจันทบุรี โดน นายทองอยู่ นกเล็ก เขาให้ตั้งตัวเป็นจ้าวเสียเอง พระเจ้าตากก็เลยระดมทหารไปตีพวกเดียวกัน ตรงจุดนั้นไม่ได้ติดใจหรอก ไปติดใจตรงที่ว่า เมื่อท่านออกจากปากอ่าวแล้วเลาะอ้อมไปทางจันทบุรีนั้นท่านไปด้วยเรือ แล้วมันมีการทำน้ำทะเลเป็นน้ำจืด เพื่อใช้กินแล้วก็อาบ สมัยนี้เขาใช้สกัดเอาใช่ไหม ? แต่สมัยโน้นเทคโนโลยีเขายังไม่ถึง แต่บรรพบุรุษของเราเก่งตักน้ำทะเลมาใส่ปูนขาวแล้วเกว่งด้วยสารส้ม ให้ตกตะกอน แล้วก็ใส่ขัณฑสกร คือน้ำตาลกรวด เพื่อลบรสเฝื่อนของน้ำ เพราะว่ารสมันจะไม่จืด จะออกกร่อยมากกว่า แล้วรสจะออกเค็มหน่อย ๆ ก็ให้ในหวานไปเลย ง่าย ๆ ดีเหมือนกัน แต่กินมากไม่ได้ เดี๋ยวไตพังหมด เอาแค่พออาศัยได้ ทำน้ำจืดทะเลจากน้ำทะเล
    สมัยนี้หลาย ๆ ประเทศเขากลั่นน้ำจืดจากน้ำทะเล แต่เมื่อเช้าเห็นข่าวว่า ไต้หวัน ไม่ไหวแล้ว ต้องขอซื้อน้ำจืดจากแผ่นดินใหญ่ จีนกำลังสร้าง เขื่อนต้าซานเสียเขื่อนยักษ์ ถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าหากว่ากักน้ำเอาไว้ ปริมาณน้ำจะมากกว่าปริมาณน้ำจืดที่มีอยู่ในโลกถึง ๗ เท่า จีนเขาบอกว่า ต่อไปน้ำจะเป็นทรัพยากรที่สำคัญมากเตรียมขายแล้ว แต่บรรดาพวกนักอนุรักษ์เขาโวยวายกันเสียไม่มี ถึงขนาดบอกว่าถ้ากักน้ำด้วยปริมาตรขนาดนั้น จะทำให้ศูนย์ถ่วงของโลกมันเสีย จะทำให้โลกหมุนเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นวันเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ลองนึก ๆ ดู ถ้าหนักขนาดนั้น แรกมันก็ไปแล้วพอข้ามจุดศูนย์กลางแล้วเป็นไง มันวูบ มันน่าเป็นลักษณะนั้นใช่ไหม ? แต่คงไม่แย่ขนาดนั้น เพราะโลกเราใบใหญ่ขนาดนี้
    ตอนนี้ใครจะไปเมืองจีนต้องรีบไปเพราะเขาจะเก็บกักน้ำในปี ๒๕๔๗ แล้วช่องแคบใหญ่ ๓ จุด ที่คนจีนเขาเรียกว่าประตูมังกร จะจมน้ำหายไปเลย แล้วพวกบรรดาโบราณวัตถุต่าง ๆ พวกสถานที่สำคัญหลายแห่งอาจจมหายไปด้วย บ้านของขงเบ้ง ก็จมหายไปด้วย เพราะฉะนั้นใครจะไปเที่ยวต้องรีบไป เกินปี ๔๗ เขากักน้ำแล้ว ไม่ได้เจอแน่เลย มีคนเขาสงสัยว่าเมื่อถึงเวลาการกักน้ำแล้วเดินเรือสมุทรขนาดใหญ่จะข้ามไปอย่างไร จีนบอกว่าเขาไม่มีปัญหาสร้างลิฟท์ ถึงเวลาคุณแล่นเรือไปจอดยกปี๊ดไปหย่อน อีกฝั่งหนึ่งวิศวกรจีนตอนนี้เขาระดมกำลังไปทั้งประเทศ เสร็จแล้วก็เกิดปัญหาขึ้นมาหาลวดสลิงที่ใหญ่ ขนาดนั้นเพื่อมาดึงลิฟท์ไม่ได้ ก็เลยต้องสร้างโรงงานผลิดลวดสลิงเพื่องานนี้อีกหนึ่งโรง ทำให้อะไรก็ต้องมีปัญหาให้แก้
    ถาม: ......................
    ตอบ: โยมคนนั้นเขาตั้งใจหล่อรูป พระศรีอริยเมตไตรย แล้วไม่ใช่องค์เล็ก ๆ องค์ใหญ่ขนาด ๖-๗ คน ยกกันหลังแอ่น
    คราวนี้ก่อนที่จะเอาไปถวาย วัดไลย์ ที่ ลพบุรี ก็ผ่านมาที่วัดบางนมโค เสร็จแล้วแวะขึ้นที่วัดก่อน กลางคืน หลวงปู่ปาน ท่านก็ให้ลูกศิษย์วัดไปตามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ประเภทว่าอาจารย์ตามก็ไม่ถามแล้ว เดินดุ่ย ๆ เข้าไป ไปถึงปรากฏว่าหลวงปู่ปาน ท่านบอกว่า ให้ลองเสี่ยงอธิษฐานบารมีดูว่า สิ่งที่ต้องการจะทำในชีวิตจะสำเร็จไหม ? แล้วหลวงปู่ปานก็ลองนำให้ดู ท่านก็จุดธูปเทียนอธิษฐานว่า ถ้าหากว่าความปรารถนาพระโพธิญาณท่านจะสำเร็จ ก็ขอให้ยกขึ้น สองมือยกขึ้นเฉยเลย ทั้งที่ตอนยกขึ้นจากเรือแบกกัน มาตั้ง ๖-๗ คน เสร็จแล้วหลวงพ่อลองดูบ้าง ปรากฏว่ายกขึ้น ท่านว่ามันเบา ๆ เหมือนกับลังกระดาษ
    คราวนี้หลวงปู่ปานให้หลวงพ่ออธิษฐานอีกอย่างหนึ่งว่า อธิษฐานดูซิว่าอายุเท่าไรถึงจะตาย หลวงพ่อท่านก็อธิษฐานเอา เริ่มจากอายุปัจจุบัน อย่างเช่นว่า ๒๒ ถ้าหากว่ายกขึ้นก็แปลว่าตาย ถ้ายกไม่ขึ้นก็ไม่ตาย ก็ไล่ไปเรื่อยก็ยกไม่ขึ้น จนกระทั่งอายุ ๒๗ ยกขึ้นปุ๊บเลย หลวงพ่อก็ เอ่อ....สบายใจ อายุหมดแค่ ๒๗ ปรากฏว่าหลวงปู่ปานท่านบอกว่า ให้ไปปล่อยปลา เพื่อต่อชีวิตตัวเอง ข้างหลวงพ่อท่านก็นอนตีพุง เรื่องอะไรจะไปปล่อยให้เสียเวลา ตาย ๆ เสียให้หมดเรื่องหมดราว หลวงปู่ปานเห็นท่าไม่เอาแน่ ก็เลยซื้อปลามาใส่กะละมังเอาไว้ ถึงเวลาก็บอกหลวงพ่อว่า ไปช่วยปล่อยปลาให้หน่อยซิ หลวงพ่อก็ เออ... อันนี้ของหลวงปู่ท่านก็ยกไปปล่อย พอปล่อยเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่ท่านบอกว่า เป็นอันว่าแกต่ออายุเรียบร้อยแล้วนะ ตกลงพระศรีอารย์องค์นั้นแหละจ๊ะ องค์ที่ วัดไลย์ ลพบุรี เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากของลพบุรี เช่น วัดไลย์ วัดเขาวงพระจันทร์ วัดมณีชลขันธ์ เพราะฉะนั้นไปไม่ถูก ถามชาวบ้านเขาก็บอกได้อยู่แล้ว ไปเถอะ หลงเสียหน่อย มันจะได้ฉลาดขึ้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD align=right><TD width=15 background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=15 height=11>[​IMG]</TD><TD align=middle width="100%" background=images/down.gif height=11></TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=5></SELECT></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width=680 align=center border=0><TBODY></TBODY></TABLE>
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : (คุยเรื่องไปต่างประเทศ และไปทำงานและซื้อที่ดิน ที่กาญจนบุรี )
    ตอบ: โดยปกติแล้วสถานที่ไหนมีอากาศเทวดาดูแล สถานที่นั้นจะสำคัญมาก อย่างกรุงเทพมหานคร ของเรานี่ เจ้าพ่อหลักเหมืองท่านเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ แล้วเจ้าพ่อหลักเหมือง เมืองกาญจน์ ท่านเป็นพรหมชั้นที่เจ็ด แสดงว่าต้องสำคัญสุด ๆ เลย ไปบนท่านเลย ไปไหนถ้าเคารพเจ้าที่เอาไว้ ยังไง ๆ ท่านก็สงเคราะห์ให้ก็สบาย ไปไหนถ้ามองข้ามท่าน บางทีอะไร ๆ มันก็ขรุขระ ไปออสเตรเลียก็เหมือนกัน เจ้าที่เขาไม่เป็นฝรั่งดอกจ้ะ จุดธูปบอก ตรงไหนก็ได้
    ถาม: ต้องว่าภาษาอังกฤษไหมคะ ?
    ตอบ: ไม่ต้องจ้ะ ไม่ต้อง เทวดาท่านรู้ทุกภาษาอยู่แล้ว ไม่ต้องเล่นเป็นภาษาอังกฤษ
    ถาม: ทำไมมีทุกข์มาก ?
    ตอบ: มันก็มีเท่ากับคนอื่นนั้นแหละ เป็นธรรมดา รักตัวเองให้มากเข้าไว้ แล้วจะไม่ทุกข์ จำไว้แค่นั้นพอ
    ถาม: ต้องทำกรรมอะไร ?
    ตอบ: เรื่องของกรรมเป็นคำรวม มันแปลได้ทั้งดีและชั่ว กุศลกรรมคือกรรมดี อกุศลกรรม คือความชั่ว สำคัญที่ว่ากำลังใจของเรา ถ้าอยู่กับตัวเองมันไม่ทุกข์มาก เวลาไปฝาก กับคนอื่นเขาไว้ มันก็ทุกข์มาก ซิจ้ะ เก็บกลับคืนมา เอาดอกไว้ด้วย ฝากไว้นานแล้วมันจะได้ไม่ทุกข์
    ถาม: ทำอย่างไรถึงไม่ทุกข์อย่างนั้นอีก ?
    ตอบ: เกิดอีกเมื่อไร ก็ทุกข์อย่างนั้นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ สำหรับเรื่องของความผิดหวังมันดีตรงที่ว่า ทำให้เราเห็นทุกข์ ในเมื่อเราเห็นทุกข์ได้ เราจึงเห็นธรรมะได้ ถ้าหากไม่ทุกข์มาก เราก็ไม่เข็ดใช่ไหม มันยังอยากเกิดอีก คราวนี้ถามตัวเองว่า ถ้าเกิดมาแล้วทุกข์อย่างนี้อีก เอาอีกไหม ?
    ถาม: ไม่เอา ?
    ตอบ: ไม่เอา ก็จะได้ไม่ต้องทุกข์อีก ถ้าอย่างนั้นเกิดใหม่จะได้แช่งให้ทุกข์อีกเยอะ ๆ
    ถาม: แล้วทำบุญอย่างไรจะได้สมหวัง ?
    ตอบ: ก็ทาน ศีล ภาวนา ทุกอย่างเอาให้ครบเลย แล้วก็บริจาคแฟนเป็นทานไปด้วย ถึงเวลาจะได้เยอะ ๆ เลย ให้ทานเกิดมาจะรวย รักษาศีลจะเกิดมาสวย ภาวนาเกิดมาจะปัญญาดี คนสวย คนรวยคนปัญญาดี ใคร ๆ ก็อยากได้เป็นคู่ครองทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นเอาทุกอย่างเลย ถึงเวลาจะได้เยอะ ๆ ตั้งใจว่าเราจะไปนิพพานในชาตินี้ เอาให้มันสุดยอดไปเลย ถ้ามันไปไม่ได้ เผลอเกิดใหม่เมื่อไรแล้วสบายเพราะมันตุนไว้เต็มที่แล้ว
    ถ้ามีโอกาสก็โน้นไปซ่อมพระเก่า สร้างพระเก่าขัดส้วมบ้าง ถ้าจะเอาให้สวยครบทุกกระเบียดนิ้วเลย สร้างพระเป็นมหาอำนาจ เกิดเมื่อไร เป็นผู้นำเขา เหนือกว่าเขา แต่ซ่อมพระนี่จะได้เป็นเบญจกัลยาณี สวยพร้อม เป็นผู้มีศีลมีเมตตาเป็นปกติ จิตใจเยือกเย็น ยิ่งสวยหนักเข้าไปใหญ่ เดี๋ยวตอนโน้นต้องประกวดนางงามจักรวาลไม่พอแล้ว ต้องหลาย ๆ จักรวาล ไปที่ไหนก็แข่งกับเขาได้เอาไหม
    ถาม: (ถามเรื่องแก้วจักรพรรดิ)
    ตอบ: รูปร่างเป็นอย่างไร ก็เหมือนไข่ไก่ ถามว่าสีอะไร บอกไม่ถูก มันหลายสีรวมกัน เหมือนกับแก้วแล้วก็มีลายเป็นทอง แต่ว่าดูด้วยสายตาเหมือนกับทึบ แต่ถ้าเอามาส่องไฟกลับมองทะลุได้ แปลกมาก
    ถาม: เกิดอย่างไร ?
    ตอบ: แก้วจักรพรรดิ เกิดจากการหุงปรอท ในสมัยโบราณเขาเล่นแร่แปรธาตุก็จะมีการหุงปรอท ถ้าของฝรั่งตามวิทยาศาสตร์ก็คือโลหะธาตุอย่างหนึ่ง แต่ว่าเป็นโลหะเหลว แต่ว่าทางจิตศาสตร์หรือไสยศาสตร์ เขาเชื่อว่ามันมีชีวิตอยู่ มันสามารถไปได้ มาได้ กินอาหารได้ แล้วคนที่เขาเล่น พวกเล่นแร่แปรธาตุเกี่ยวกับปรอท เขาจะไปดักจับมันเสร็จแล้วก็เอามา ทำการหุงด้วยสมุนไพร จนมันจับตัวแข็งขึ้นมา ที่เขาเรียกว่าทำปรอทสำเร็จ
    ที่นี้มีอยู่หลายระดับ พอทำไปถึงระดับหนึ่งจะเป็น มหาเสน่ห์ เรียกว่าใครเห็นก็รักอะไรอย่างนั้น ต่อไปก็ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว แล้วตรงทำเป็นแก้วนั้นแหละที่ปรอทมันจะกลายเป็น แก้วจักรพรรดิ หรือ แก้วราหู แล้วแต่ธาตุปรอท ถ้าธาตุปรอทเป็นธาตุตัวเมีย จะเป็นแก้วราหู จะเป็นองค์เล็ก แต่ถ้าหากว่า ปรอทธาตุเป็นตัวผู้ จะเป็นแก้วจักรพรรดิ คือ องค์ใหญ่ เคยไปคลำ ๆ พวกอย่างนี้มาพักใหญ่ เหมือนกัน ปรากฏว่าปีนั้นมีพระข้ามไปเรียนวิธีหุงปรอทที่พม่า ๕ องค์ กลับมาสึกเกลี้ยง ขั้นแรกพอเป็นมหาเสน่ห์แล้วทนไม่ได้ สึกหมด สาว ๆ มาหาเยอะ เป็นการทดสอบตัวเอง ได้ดีมาก
    ตัวอย่างผู้สำเร็จปรอทของพม่าที่ดังที่สุด ก็คือ ฤๅษีบูบูอ่อง ท่านนุ่งขาวห่มขาว ศึกษาวิชาพวกนี้อยู่บนยอดเขาโป๊ปป้า ภูเขา เขานี้อยู่ระหว่างเส้นทางจาก พุกาม จะไป มันฑะเลย์ จะมียอดภูเขาไฟอยู่ยอดหนึ่ง เป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับทำพวกพรรค์นี้มาก เคยไปค้างอยู่ลิงเยอะเป็นบ้านเลย
    คราวนี้ว่า พอทำเป็นแก้วได้ ก็จะมีฤทธิ์เหาะได้ โบราณท่านเรียกว่าสำเร็จปรอท พวกที่สำเร็จปรอทนี้พอถึงทำเป็นแก้วแล้ว เรื่องทำทองเป็นเรื่องเล็ก เขาก็จะทำแผ่นทองจารึกชื่อตัวเอง พร้อมกับวันเดือนปีที่สำเร็จปรอท แล้วก็เอาไปถวายบูชาตามเจดีย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ เจดีย์ชะเวดากอง ถ้าอยากดูก็ต้องปีนขึ้นไปดู ที่เมืองไทยมีอยู่ องค์หนึ่ง แต่ว่าท่านอยู่ในป่า สำเร็จปรอทแล้วท่านก็อมเอาไว้ คราวธาตุปรอท คล้าย ๆ กับว่ามันเรืองแสงออกมาได้ เขาก็เลยเห็นออกมาเป็นสีแดง ๆ ก็เลยเรียกท่านว่า หลวงพ่อ แก้มแดง เหลือเชื่อไหมว่าธาตุอย่างหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นอีกอย่างได้
    ถาม: แล้วอย่างอานุภาพเป็นอย่างไรครับ ?
    ตอบ: แก้วจักรพรรดิจะให้ลาภเป็นส่วนรวม ใครมีแก้วจักรพรรดิอยู่จะเลี้ยงคนสักเท่าไหร่ก็ไม่ต้องหนักใจเลย
    ถาม: แล้วแก้วราหูครับ ?
    ตอบ: เหมือนกัน ต่างกันแต่ว่าว่าอันหนึ่งเล็กกว่า อันหนึ่งใหญ่กว่า แก้วจักรพรรดิของหลวงพ่อได้มาจาก หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย ที่ ลำพูน หลวงพ่อชุ่มท่านมีความคล่องตัวในนิโรธสมาบัติที่สุดเลย บุคคลอื่นเข้านิโรธสมาบัติแค่สามอิริยาบถ คือ ไม่นั่ง ก็นอน ยืนนี่น้อย แต่หลวงพ่อชุ่มท่านทำได้ สี่อิริยาบถเลย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้หมด นิโรธสมาบัตินี้ สัญญาเวทยิตนิโรธ มันจะไปตัดสัญญา คือความรู้ทั้งหมด และความรู้สึกทั้งหมด ก็เลยไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านใช้ อะไรบังคับร่างกายให้เดินได้ อาจใช้อธิษฐานจิตทับเอาไว้ก่อนก็ได้ แต่ว่าท่านทำได้จริง ๆ
    คราวนี้หลวงปู่ชุ่ม ท่านเคยเป็นพี่หลวงพ่อมาหลายชาติ แล้วก็เป็นพี่ที่ ถ้าถึงเวลาก็อาจโดนน้องประหารบ้าง ก็เลยกลัวหลวงพ่อ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านก็มาหาหลวงพ่อ บอกว่าหลวงน้อง ต่อไปหลวงน้องต้องทำงานใหญ่เพื่อทำงานพระศาสนา คนที่มาหาจะมีจำนวนมากมหาศาล ถ้าหากว่าหลวงน้องมีแก้วจักรพรรดินี้เอาไว้ หลวงน้องก็สามารถที่จะเลี้ยงคน โดยที่ไม่ต้องหนักใจ หลวงจากนั้นไม่นานหลวงปู่ท่านก็มรณภาพไป เสร็จแล้วหลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านเองก็เคยทำ ตระกรุดปรอท มาแจกลูกศิษย์แต่ท่านบอกว่าอาจารย์ท่านเก่งกว่าทำเป็นแก้วจักรพรรดิได้ แสดงว่าอาจารย์ของหลวงปู่ชุ่มนี้สุดยอด
    ถาม: หลวงพ่อท่านมีกี่องค์ครับ ?
    ตอบ: แก้วจักรพรรดิ นี้มีองค์เดียว แล้วมี แก้วราหู อีกองค์หนึ่ง แก้วราหูนี้จริง ๆ แล้ว ตอนนั้นผู้กอง อรรณพ แกเป็นแค่ร้อยตำรวจโทตระเวนชายแดนเอง แต่เป็นที่ถูกใจหลวงปู่ หลวงปู่ก็มอบให้ แล้วเพื่อนก็ยืมไปใช้ ตี๋เล็ก มันยืมไปใช้ แล้วทะลึ่งไปเที่ยวซ่อง หายจ้อยไปเลย ทั้ง ๆ ที่ถัก เอาไว้อย่างดี ไม่มีทางออกไปไหนได้เลย แล้วก็ผูกติดไว้กับสร้อยคอ เล่นเอาคุณอรรณพ เกือบจะบีบคอเพื่อนตาย ปรากฏว่าหลังจากที่หายไปไม่นาน ไปโผล่อยู่กับหลวงพ่อโน้น วิ่งไปหาพวก หลวงพ่อท่านก็เลยเก็บไว้เองทั้งคู่เลยปัจจุบันนี้ก็อยู่กับพระครูปลัดอนันต์เจ้าอาวาสองค์ใหม่
    ถาม: แล้วที่หลวงพ่อท่านทำลูกแก้ว ?
    ตอบ: หลวงพ่อท่านบอกว่ามีอานุภาพถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของ ของแท้ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านทำครั้งแรก ๆ มาครั้งหลัง ๆ นี้ไม่ทราบว่าได้เกินหรือเปล่า ? ท่านบอกว่าได้ขึ้นไปดูแก้วจักรพรรดิของ ท่านปู่พระอินทร์ แล้ว เหมือนกันเลย แสดงว่าท่านปู่พระอินทร์เวลาได้แก้วจักรพรรดิมาก็คงลักษณะเดียวกัน เพราะว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะต้องมี จักรรัตนะ คือแก้วเจ็ดประการ ก็ประกอบไปด้วย อันดับหนึ่ง จักรแก้ว, อันดับที่สอง ปรินายกรัตนะ คือขุนพลแก้ว, แล้วก็ อัสสะรัตนะ ม้าแก้ว, หัตถิรัตนะ ช้างแก้ว, อิตถีรัตนะ นางแก้ว, เสร็จแล้วก็มี มณีรัตนะ คือ แก้วมณี มีไว้เพื่อเลี้ยงคน เพราะท่านต้องปราบไปในทวีปทั้งสี่ ในเมื่อเขาอยู่ใต้อำนาจแล้ว เกิดตกระกำลำบากอะไรขึ้นมา ไม่ช่วยเขาก็ไม่ได้ ในเมื่อจำเป็นต้องช่วยเขาก็ต้องมีพวกนี้เอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็ช่วยเขาไม่ไหว ใครจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิต้องมีให้ครบ มีไม่ครบเป็นไม่ได้ มีอยู่ใน จักกวัตติสูตร ใน อังคุตตรนิกาย ไปเปิดพระไตรปิฎกดูได้ อ่านมานานแล้ว จำไม่ค่อยได้ ต้องไปทบทวนใหม่
    เมื่อกี้ที่ว่ายังขาด คหปติรัตนะ คือ ขุนคลังแก้วนะ มีหน้าที่หาสตางค์ใส่คลัง แต่มีทิพจักขุญาณแจ่มใสมากไปที่ไหน เจอสมบัติก็ขุดมาใส่คลังไว้ ใครมีลูกน้องอย่างนี้รวย
    รัชกาลที่สาม ท่านบอกว่า ท่านมีขุนพลแก้ว คือ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) มีขุนคลังแก้วคือ เจ้าพระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) แล้วก็มีนางแก้ว นางแก้วนี้ไม่ใช่มเหสี แต่เป็นลูกสาว โอ้โห....เก่งจริง ๆ จำไม่ได้แล้วว่าเป็นพระองค์ไหน ของท่านเองท่านว่าถึงไม่ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ก็มีแก้วตั้งสามอย่างแล้ว ท่านก็พอใจแล้ว สมัยรัชกาลที่สามเงินคงคลังล้นท้องพระคลัง ท่านบอกว่าเตรียมไว้ให้น้องคือ รัชกาลที่สี่ เพื่อว่าต่อไปข้างพวกยุโรป คือ พวกฝรั่ง อังกฤษ จะมาเบียดเบียน ถึงเวลาจะได้มีเงินมีทอง สำรองเอาไว้ เพื่อจะได้แก้ไขเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ รัชกาลที่สี่ท่านก็เลยใช้เพลิน สบาย ตกลงรัชกาลที่สามเหนื่อยที่สุด เพราะว่า รัชกาลที่สอง พอว่าท่านรับงานได้ ก็ทิ้งงานให้เลย เรียกว่าท่านทำงานแทนรัชกาลที่สอง มาตลอด แล้วก็ทำงานในรัชกาลของตัวเอง แล้วก็เผื่อแผ่ไปยังรัชกาลที่สี่ด้วย ตกลงเท่ากับว่าคนเดียวล่อเสียสามรัชกาล ปัจจุบันนี้ยังเป็น พระสยามเทวาธิราช อยู่ ไหน ๆ ก็เหนื่อยแล้ว ก็เหนื่อยให้ตายไปเลย
    ถาม: คือสงสัยว่า แต่ละศาสนาต่างมีคำสอนของตนเองใช่ไหมคะ ...(ไม่ได้ยิน)........?
    ตอบ: นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน ที่เดียวกันหมดไม่ว่าจะศาสนาไหนก็ตาม หลักการของแต่ละศาสนาที่สอนถูกก็มี สอนผิดบ้างถูกบ้างก็มี ผิดไปเลยก็มี แต่ว่าทั้งหมดขึ้นอยู่กับกรรมคือการกระทำ ถ้าทำดี เรียกว่า กุศลกรรม ทำชั่ว เรียกว่า อกุศลกรรม กรรมคือการกระทำนั้นส่งผลให้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าคุณจะต้องการ ไม่ต้องการก็ตาม ถึงเวลาผลนั้นจะเกิด ถ้าเราทำกรรมชั่ว ส่วนของสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เหล่านี้ก็รอรับเราอยู่ เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับความชั่วของเรา ถ้าเราทำความดี เทวดา พรหม พระนิพพาน ก็รอเราอยู่ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้ว ไม่มีเลยก็ว่าได้ แต่ที่มีขึ้นมา ก็เพราะว่าเราทำให้มีเอง เหมือนกับบ้าน ถ้าเราไม่สร้างบ้านจะมีไหม มันเกิดจากกระการทำของเรา
    ถาม: .......................
    ตอบ: สิ่งที่เราทำ จะเรียกว่ากรรมก็ได้ สิ่งที่เราทำที่ไม่เท่ากันก็เลยให้มีการแบ่งออก เช่นว่า ทำกรรมหนักเอาไว้ก็จะมีนรกแต่ละชั้นแต่ละขุมที่ต่างกันไป ทำความดีเอาไว้ ก็จะมีสวรรค์แต่ละชั้น แต่ละเขตแตกต่างกันไป ถามว่าอะไรมาแบ่ง ? ก็คือ สภาพหยาบ ละเอียด ของจิตของเราเป็นเครื่องแบ่ง อย่างเช่นว่า พรหมมีรูปพรหม ๑๖ ชั้น ก็เกิดจากความหยาบ ละเอียดของจิตของเรา ถ้าหากว่ากำลังจิตของเราเข้าถึงปฐมฌานหยาบ ก็เป็นพรหมชั้นที่ ๑ เป็นปฐมฌานอย่างกลางเป็นพรหมชั้นที่ ๒ ปฐมฌานอย่างละเอียด เป็นพรหมชั้นที่ ๓ ไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ
    ถาม: ก็แสดงว่าเมื่อก่อนที่ไม่มีเลย เพราะว่าไม่มีความแตกต่างกันเหรอคะ ?
    ตอบ: ก่อนที่จะกำเนิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา ส่วนอันนั้นเขาว่า สภาพจิตของเขาเทียบเท่า อาภัสราพรหม คือ ชั้นที่ ๑๖ จะมีความสว่างไสวมีความมั่นคง แน่วแน่ ลักษณะนั้น คราวนี้โลกของเรา ต้องใช้คำว่ากำเนิดโลกนะ ถือว่าเล่านิทานให้ฟังแล้วกัน กำเนิดโลก โลกจะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก ซึ่งทฤษฎีนี้ ฝรั่งว่าเป็น บิ๊กแบงก์ (Big Bang) ถึงเวลาแล้วดวงอาทิตย์จะขยายตัวระเบิดออกมากลืนเอาดาวเคราะห์ทั้งหมดไป
    คราวนี้...ลักษณะนี้ของทางพระ เรียกว่า ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก เมื่อถึงเวลาแล้วเกิดฝนตกลงมา ดินที่โดนเผาพอโดนฝน โดนน้ำใหม่ ๆ กลิ่นมันหอม มันก็ลอยสูงขึ้นไป อาภัสราพรหม คือพรหมที่อยู่ข้างบนได้กลิ่นก็อยากรู้อยากเห็น เลยลงมา ลองมาชิมมากินดู เมื่อตัวเองอยู่ด้วยความเป็นทิพย์ กินของหยาบเข้าไปเลยทำให้ร่างกายหยาบ ไม่สามารถเหาะกลับได้ จากแสงสว่างที่เคยมีอยู่ แสงก็หมดไป กลายเป็นต้นกำเนิดมนุษย์ขึ้นมา เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็จะต้องมีการทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง เกิดอาการทำในสิ่งที่ถูกต้องตามศีลธรรมก็มี ผิดพลาดไม่เป็นไปตามศีลธรรมก็มี สิ่งเหล่านี้ก็เลยจำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อรองรับเขาจริง ๆ แล้วมันเกิดจากการกระทำตัวเองแท้ ๆ เลย
    ถาม: .........................
    ตอบ: ถ้าหากว่าไปหาจุดกำเนิด ต้องกล่าวถึงแรกเริ่มที่จิตเกิดมาอันนี้ ถ้าว่าไปแล้วพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เป็น อจินไตย ไม่ควรไปคิดผู้ใดคิดพึงมีส่วนของความบ้า คือมันเสียเวลาคิด แต่ว่าบอกง่าย ๆ ว่าการเกิดของจิตก็ลักษณะเดียวกับแร่ธาตุต่าง ๆ คือว่าพอถึงเวลาภายในจักรวาลของเราที่ประกอบไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ เป็นจำนวนมากด้วยกัน ถึงเวลาสิ่งต่าง ๆ หมุนวนเข้ามา แล้วก็ผสมรวมกันไปรวมกันมา ถึงวาระหนึ่ง ธาตุหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากการผสมรวมที่สมบูรณ์แล้ว จะกลายเป็นธาตุเฉพาะ ๆ ของแต่ละอย่างไป ลักษณะของจิตก็เหมือนกัน แต่ว่าจิตนี้แปลกตรงที่ว่ามันเป็นธาตุรู้ ถ้าตราบใดที่ยังไม่เป็นธาตุรู้อยู่ อย่างโลหะธาตุบางอย่าง อย่างเช่น ปรอท ก็สามารถที่จะมาได้ ไปได้ หนีได้ ลักษณะอีกอย่าง อย่าง เหล็กไหล สามารถกินอาหารได้ สามารถมาได้ หนีไปได้ นี่เขายังไม่มีธาตุรู้นะ เขายังสามารถที่ทำได้ขนาดนั้น
    แต่สภาพจิตขนาดอาภัสราพรหมนี่เป็นธาตุรู้ด้วย ที่เรียกว่าเกิดยากเกิดเย็นแสนเข็ญนักหนา ประเภทมองไม่เห็นต้นไม่เห็นปลายกันเลยว่าเกิดมาจากไหน จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหนลองดูไหม ? ไปค่อย ๆ เสาะหาดู ถ้าเกิดเป็นพระพุทธเจ้าจะรู้ครบทุกอย่างตั้งหน้าตั้งตาเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ อีกไม่เกินสี่อสงไขยกับแสนกัปก็ได้เป็น
    ถาม: เคยมีคนบอกว่า จริง ๆ แล้วไม่ได้มีแต่โลกของเรา มีโลกอื่น ๆ ?
    ตอบ: มีเยอะแยะไป สุริยจักรวาลของเราที่มีมนุษย์ก็มีดาวตั้งหลายดวง จัการวาลอื่น ๆ ทีมีมนุษย์อีกก็เยอะแยะ ในภาษาบาลีเขาใช้ว่า ทสสหัสสีโลกธาตุ (ทะ-สะ-สะ-หัส-สี-โล-กะ-ธา-ตุ)มีตั้งหมื่นโลกธาตุ
    เพราะฉะนั้นสารพัดกาแลคซี่ คงประกอบไปด้วยดวงดาวสิ่งที่มีชีวิตเยอะแยะไปหมด ตราบใดที่ยังมีการกระทำอยู่ ตราบนั้นก็ยังไม่มีที่สิ้นสุด ยกเว้นถ้าสามารถหลุดพ้นเข้าพระนิพพานได้ก็เป็นอันว่าจบ ถ้ายังไม่เข้าก็เวียนตายเวียนเกิดไปเรื่อย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้ว มันสุขน้อย ทุกข์มาก
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : (ถามเรื่องการเกิดขึ้นของดวงจิต)
    ตอบ: มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็อย่างที่บอก มันสามารถเกิดได้ แต่โอกาสมันน้อยมาก แล้วขณะเดียวกัน ที่ไปนิพพานแล้วก็ดี ที่อยู่เป็นเทวดา พรหมก็ดี ที่อยู่ในมนุษย์โลก รวม ๆ แล้วยังไม่เท่ากับข้างล่างเลย ข้างล่างยังมีโอกาสขึ้นมาอีกตั้งเยอะ
    ถาม: แล้วโลกที่เราอยู่ปัจจุบันนี่ มีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จองค์ปฐมแล้วเหรอครับ ?
    ตอบ: บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามีมาสมัยไหน เดี๋ยวถ้ามีโอกาสลองไปเคาะถามมันดู มันจะตอบไหม ถึงเวลาก็เอาไม้กระทุ้ง ๆ หน่อย เฮ้ย ! เอ็งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะ ?
    ถาม: มีที่นี่ที่เดียวใช่ไหมครับ ที่พระพุทธเจ้าท่านจะลงมาตรัส ?
    ตอบ: มีโลกนี้โลกเดียวที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัส เพราะว่าเป็นโลกที่ประกอบไปด้วยลักษณะที่มีความทุกข์ ความสุขที่มันแตกต่างแยกเห็นกันอย่างชัดเจน ในเมื่อเห็นกันอย่างชัดเจน สามารถสั่งสอนให้คนเข้าถึงธรรม ก็เห็นได้ง่าย โลกอื่นส่วนใหญ่สบาย ในเมื่อสบายไปบอกว่าทุกข์ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไปบอกว่าไม่เที่ยง ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ อายุเป็นหมื่น ๆ ปีน่ะ ฉะนั้น โอกาสที่เขาจะเห็นธรรม เข้าถึงธรรมมันก็น้อย พระพุทธเจ้าท่านลงมาตรัสรู้เฉพาะในโลกนี้ เขาถึงได้เรียกว่า มงคลจักรวาล> จักรวาลที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ลองไปโลกอื่นดูก็ได้ประเภทบำเพ็ญบารมีกันทีลืมไปเลย
    ถาม: จิตเวลาจะเกิดที่ไหน มันจะผูกพันกับที่นั่นหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ: มันมีส่วนความจำของมันอยู่ ถึงเวลาพอไปถึงตรงจุดนั้น มันก็จะจำได้ นึกได้ หรือไม่ก็ประเภทที่ว่า อยู่ ๆ ก็คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
    ถาม: อย่างนี้ ถ้าเกิดสมมุติเราไปเกิดที่จักรวาลที่ไกลมาก ๆ โอกาสก็น้อยสิครับ ที่จะมาเกิดในจักรวาลนี้ ?
    ตอบ: ทำไม มีเยอะแยะไป เกิดสลับกันไปสลับกันมา ของเขาก็เหมือนกัน เคยมาเกิดเป็นของเรา แล้วก็ไปเกิดเป็นของเขา เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความดี ความชั่วที่เขาทำ ทำความดีเอาไว้มากกว่านี้ แต่ไม่พอที่จะเป็นเทวดา ก็ไปเกิดอยู่ในดวงดาวที่มีสะดวกสบาย
    ในเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านเตือนว่าไม่ควรคิดมันมันอยู่ ๔ อย่าง คือ พุทธวิสัย ความสามารถของพระพุทธเจ้า กว่าจะบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย สี่อสงไขยกับแสนมหากัป สิ่งที่ท่านทำได้พิลึกพิลั่นเกินกว่าปุถุชนทั่วไปจะเข้าถึงหรือทำได้ ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌาน ทรงสมาบัติ คือพวกได้อภิญญา ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างจะเป็นอย่างไรบ้าง กรรมวิบาก คือการส่งผลของกรรมโลกจินไตย คือความไม่มีที่สิ้นสุดของโลก คือความเป็นไปของโลกเรานี้ ท่านบอกว่าทั้ง ๔ อย่างนี้ ผู้ใดคิด พึงมีส่วนของความเป็นบ้า เพราะเสียเวลาตายซะเปล่า ๆ โดยไม่มีความดีติดตัวไป เพราะมัวแต่ไปคิดอยู่ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมไป จะเกิดผลเร็วกว่าเยอะ
    ถาม: อ่านในเว็บครับ เขาเขียนว่าปัญญาธิกะ ฉลาดกว่า บำเพ็ญบารมีน้อยกว่าศรัทธาธิกะ ?
    ตอบ: เขาเข้าใจอย่างนั้นจริง ๆ บางฉบับ เขาเปรียบเทียบว่า เด็กโง่กับเด็กฉลาดเลย คนจะเป็นพระพุทธเจ้าโง่ มีหรือ ? ก็เอาอย่างเขาว่าแล้วกัน ที่เขาเปรียบมาน่ะมันใช่ของเขา เราเองรู้สึกว่าใกล้ปรามาสพระรัตนตรัย เราก็เลี้ยวออกมาซะ
    ถาม: ผมอ่านความเชื่อของชาวคริสต์ นี่น่ากลัวเหมือนกันครับ ใครไม่เชื่อแบบพระคริสต์ก็ลงอเวจีอย่างเดียวไม่ผุดไม่เกิดเลย ?
    ตอบ: เขามีอเวจีเหมือนกันเนอะ
    ถาม: ก็นรกเขา ก็คือ ถ้าใครไม่เชื่อในพระคริสต์คือลงนรกอเวจีอย่างเดียว ?
    ตอบ: อันนั้น เขาหมายความว่าถ้าไม่เชื่อพระคริสต์แล้วไม่มีศาสนาอื่นเป็นเครื่องยึด
    ถาม: ผมอ่านในนั้นมันมีการ์ตูนศาสนาคริสต์น่ะครับ มีคนแบบเข้าวัดทำบุญ แล้วก็มีคนมาชวนเข้าศาสนาคริสต์แล้วเขาก็ไม่สนใจ สุดท้ายรถคว่ำตาย ไปเจอ เจอพระเยชู พระเยชูก็บอก เนี่ย เราพยายามให้คนมาชักชวนเจ้าหลายครั้งแล้ว แต่เจ้าไม่สนใจในศาสนาเรา เจ้าก็เลยต้องลงนรกชั่วนิรันดร์ ?
    ตอบ: ชั่วนิรันดร์นี่ อยากได้มากเลยล่ะ จริง ๆ แล้วก็คือว่าของเขาอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า จะข่ม ตั้งใจข่มศาสนาอื่นเขา เผยแพร่ในลักษณะนี้พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านพูดถึงการเผยแพร่ศาสนา พระองค์ท่านคือ แนะนำเพื่อประโยชน์ของเขา แนะนำเพื่อความสุขของเขา จะไม่ยกศาสนาของเราดีกว่าความเชื่อของเขา จะไม่มีการประเภทกดข่มเขาลง อะไรพวกนี้
    ถาม: แต่ผมดูแล้วมันคล้าย ๆ จริง ๆ นะ อย่างล้างบาปอย่างเนี่ย สารภาพบาป ก็เหมือนกับตอนพระท่านปลงอาบัติ ?
    ตอบ: พระคริสต์ท่านสอนให้สารภาพบาป แต่คราวนี้ว่า สารภาพบาป บางทีมันอายเขา เขาเลยสอนให้ล้างบาปแทน ระยะหลัง เอาคำสอนพระคริสต์มาดัดแปลงให้เข้ากับกิเลสคน ถ้าอย่างของเรา เขาเรียก สัทธรรมปฏิรูป
    ถาม: จริง ๆ ของเราก็ ก็มีการดัดแปลงบ่อย ๆ ?
    ตอบ: เยอะ ประเภทดัดแปลงเข้ากับกิเลสชาวบ้านได้ แหม....รวย ๆ ไปตาม ๆ กัน พอเอาของจริงมา เขาไม่ค่อยสนใจกัน
    ถาม: แล้วฏิรูปอะไรเนี่ยครับ ?
    ตอบ: ปล่อยเขาปฏิรูปต่อไปเถอะ
    ถาม: จะสำเร็จไหม ไม่ออกมารบกันเหรอครับ ?
    ตอบ: แล้วจะรบกันไปทำไมล่ะ ?
    ถาม: ก็เห็น เอาม็อบมาชนม็อบ ?
    ตอบ: ก็นั่นแหละ ผิดตั้งแต่คิดจะเอาม็อบชนม็อบแล้ว โดยปกติทั่ว ๆ ไปแล้ว แค่คนธรรมดาความเห็นไม่ตรงกัน เห็นแย้งกันได้ นี่ถ้าหากว่าถือว่าคุณเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแค่คนแย้งแล้วคุณเห็นเขาเป็นศัตรูก็บรรลัยแล้ว
    ถาม: ผมว่ามันไม่รู้สิ มันทั้งสองฝั่ง ก็มาจาบจ้วงหลวงตาบัว มาจาบจ้วงสงฆ์ ?
    ตอบ: ก็ปล่อยเขา
    ถาม: แต่ผมนึก ๆ แล้วทำไมท่านไม่ออกมาห้ามปรามบ้างล่ะ ?
    ตอบ: ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะว่าถ้าหากว่าโดดลงไปเล่นซะอีกก็จะพาคนหมู่มากร่วมเข้าไปอีก เพราะว่าแต่ละองค์ท่านก็มีลูกศิษย์มาก ๆ ทั้งนั้น ก็เลยจำเป็นต้องนิ่งไว้ เขาจะว่าอะไรก็ให้เขาว่าไป วันก่อนบอกสำนวนกำลังภายในเขาบอกว่า สวรรค์มีทางเจ้าไม่ไป นรกไร้ประตูเสือกตะกายมา ก็ปล่อยมันลง สำนวนจีนมันสะใจกว่า
    ถาม: แต่ผมว่านะครับ ให้เห็นตัวอย่างความเป็นทุกข์ของคน เหนื่อย ๆ ก็ยังรู้สึกว่า ทำไมยังต้องเดินทางต่อไป ?
    ตอบ: อันนี้ อาตมา โน คอมเม้นท์ แล้วแต่โยมเหอะ ก็เพราะยังอยากเดินอยู่
    ถาม: ควรจะทำอะไรให้มันดีที่สุดล่ะ ?
    ตอบ: เป็นพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ดีที่สุด สิบหกอสงไขยกับแสนมหากัป
    ถาม: ผมหมายถึงว่า ควรจะแบบทำอย่างไรบ้างที่แบบมันเร็ว ๆ หน่อย ?
    ตอบ: ไม่มี มีทางตรงก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ย่อมาจาก มรรค ๘ นั่นแหละ ตรงที่สุดแล้ว
    ถาม: แต่ที่เคยอ่านน่ะครับที่หลวงพ่อ หรือหลวงพี่บอก ที่บางองค์พระโพธิสัตว์ทีท่านเอาร่างกายเผาเป็นพุทธบูชา แล้วแบบทำให้เร็วขึ้นอย่างเนี่ยครับ ?
    ตอบ: อันนั้นของท่านเองท่านตั้งใจทำ ความเข้มแข็งของท่าน การปรารถนาพระโพธิญาณ จะมีมาว่า ปรารถนาด้วยใจ ปรารถนาด้วยวาจา ปรารถนาด้วยกาย ปรารถนาด้วยกายและวาจา อย่างเช่นว่าปรารถนาด้วยใจ ก็คือ ตั้งใจว่า เราจะช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นจากวัฏฏสงสาร สิ่งใดที่เรารู้จะให้เขารู้ด้วย สิ่งใดที่เรามีความสุขจะให้เขาสุขด้วย คิดในใจ แล้วปรารถนาด้วยใจ ถ้าเอ่ยออกมาคือปรารถนาด้วยวาจา กายกับวาจา อย่างเช่นว่า พระโพธิสัตว์แลเห็นเสือกำลังจะกินลูกตัวเองเพราะหาอาหารไม่ได้ ตัวเองกำลังบำเพ็ญอยู่บนหน้าผา มองลงไปใต้หน้าผา เสืออยู่ในถ้ำ จะกินลูกตัวเอง ก็เลยตั้งใจว่าในเมื่อคนอื่นเขาจะเดือดร้อน ตัวเราเองผู้ที่ตั้งใจจะขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏฏสงสารอย่าให้คนอื่นเขาเดือดร้อนเลย เรายอมสละตนเองดีกว่า ก็ตั้งใจอธิษฐานว่า ขอให้ผลการเสียสละนี้ ส่งผลให้ข้าพเจ้า เป็นผู้เข้าถึงพระโพธิญาณด้วยเถิด แล้วก็กระโดดลงไปให้เสือกิน นี่เรียกว่าปรารถนาด้วยทั้งกาย ทั้งวาจา พอลงไปแปะอยู่ข้างหน้าเสือมันก็เลิกกินลูก หันมาแทะซากท่านแทน
    ถาม: อย่างนี้ มันเหมือนกับจำเป็นไหมครับว่า ไม่น่าจะมีลูกมีเมียเลย ?
    ตอบ: จำเป็นต้องมี ถ้าหากว่าไม่มี แล้วจะหาคนร่วมสร้างบารมีมาจากไหน ?
    ถาม: แล้วจะตัดใจลงเหรอครับ ตอนนั้นเกิดพอกระโดดปั๊บหันไป เฮ้ยลูกยังแบเบาะช่วยตัวเองไม่ได้ ?
    ตอบ: ชาตินั้น ท่านเป็นฤๅษีอยู่คนเดียว
    ถาม: (หัวเราะ)
    ตอบ: เราก็เลือกตอนอยู่คนเดียวสิ จะมีประเภทสละร่างกายเป็นทานสละเลือดเนื้อเป็นทาน ตัดศีรษะ ตัดแขน ตัดขา ควักดวงตา ควักหัวใจ อะไรแบบนี้ ลองดู จนกระทั่งถึงท้าย ๆ ก็ให้ลูกเป็นทาน ให้เมียเป็นทาน
    ถาม: อันนั้นบารมีปลายหรือยังครับหลวงพี่ ?
    ตอบ: พวกอันนั้นก็ยิ่งนาน ก็ยิ่งเข้มขึ้น ถ้าหากว่าอย่าง พระศรีอาริยเมตไตรย นี่ ชาติแรกก็ตัดศีรษะเป็นทานเลย ถวายพระพุทธเจ้าตั้งความหวังปรารถนาพระโพธิญาณ
    ถาม: ชาติแรกที่ปรารถนาเลยเหรอครับ ?
    ตอบ: เป็น พระเจ้าบรมสังขจักรพรรดิ
    ถาม: ก่อนหน้านั้นไม่เคยปรารถนามาก่อนเลยเหรอครับ ?
    ตอบ: น่าจะเป็นอย่างนั้น
    ถาม: แล้วกรรมดีส่งผลให้เป็นถึงพระมหากษัตริย์ โดยที่ไม่เคยบำเพ็ญในพระพุทธศาสนามาก่อน ?
    ตอบ: ต้องเคย แต่ไม่เคยคิดจะเป็น
    ถาม: อ๋อ อย่างพระพุทธเจ้าท่านเปิดโลกทีหนึ่ง ก็จะเป็นกันหมดอยู่แล้วล่ะ จะเหลือใครอยู่ให้ไม่คิดเป็นอีกล่ะ แล้วพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เปิดโลกทุกพระองค์หรือเปล่าครับ ?
    ตอบ: นั่นเป็นธรรมเนียมเลย ต้องเรียกว่าเป็น พุทธประเพณี
    ถาม: แล้วจะรอดได้ด้วยเหรอครับ ที่แบบไม่เคยปรารถนามาก่อน ?
    ตอบ: ถ้าหากว่าอยู่ในโลกโลกันต์นี่ รอดแน่ มันไม่เห็นนี่หว่า
    ถาม: อ้าว ตอนนั้นในโลกันต์ก็ไม่เย็นลงเหรอครับ ?
    ตอบ: แค่เห็นสว่างวูบเดียว เหมือนยังกับฟ้าแลบผ่านในที่มืดเท่านั้นให้เย็นลงกว่านั้นไม่ไหว เย็นสุด ๆ ของมันแล้ว
    ถาม: เอ๊ะ แล้วอย่างนี้แสดงว่า มีพระพุทธเจ้าบางองค์ท่านเคยผ่านโลกันต์ด้วยสิครับ ?
    ตอบ: ไม่แน่เหมือนกัน ต้องถามท่านดู
    ถาม: มีใครที่แบบตกโลกันต์สั้น ๆ ไหมครับ ตกแป๊บเดียว ?
    ตอบ: คงไม่มี เพราะมันสี่เท่าของอเวจี อย่างสั้น ๆ ของโลกันต์ โลกันตะ โลกะ อันตะ สุดแล้วซึ่งโลก เป็นนรกขุมเดียวที่ไม่จำกัดเวลา อยู่ไปเหอะเลิกชั่วเมื่อไหร่แล้วค่อยหลุดออกมา (หัวเราะ) คุ้มกับความชั่วที่ทำ เลิกชั่ว ถ้าเลิกมันก็ไม่ต้องอยู่แล้วสิ โลกันต์เป็นนรกต่างหากออกไปไม่ได้อยู่ในเขตนรกทั้งหมด
    ถาม: แย่ที่สุดแล้วใช่ไหมคะ ?
    ตอบ: ถือว่าแย่ที่สุด ไม่ใช่ยากที่สุด เพราะว่านรกขุมใหญ่ที่สุด โทษหนักที้สุดคืออเวจีมหานรกเขามีอายุกัปหนึ่ง แต่โลกันต์เขาไม่มีอายุกัปหนึ่งนี่ยังรู้ว่าถ้าเราเอาผ้าสำลีไปลูบภูเขาหินกว้างยาวสูง ๑๖ กิโลเมตร ให้สึก เสมอพื้นแค่อายุกัปหนึ่ง แต่อันนี้ไม่มีอายุ สภาพมันเป็นยังไง เหมือนกับบ่อหรือหลุมอะไรลึก ๆ ที่อยู่ตรงกลาง คำว่า โลกันต์ ก็คือสุดโลก จะเป็นรอยต่อระหว่างมนุษย์ นรก แล้วก็สวรรค์ ตรงบุ๋มอยู่ตรงกลางนี่ ไปอยู่กันตรงนั้นแหละ
    ถาม: ไม่มีวิธีช่วยเลยเหรอครับ ?
    ตอบ: ไม่รู้สิ ยังไม่ได้ลอง
    ถาม: แล้วอย่างอเวจี ถ้าต้องตกกัปหนึ่ง ถึงเวลาอาจจะตกแค่แบบ ๑๐๐-๒๐๐ ปีอย่างนี้เป็นไปได้ไหมครับ ?
    ตอบ: ได้ ก็แบบเดียวกับเทวดา อายุของเขาสมมุติว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ๒๐๐ ปีทิพย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่ตามนั้น สุปติฏฐิตเทพบุตร มีอายุแค่ ๗ วันมนุษย์เอง ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ขึ้นไปเทศน์โปรดพุทธมารดา ได้ฟังเทศน์จนกลายเป็นพระโสดาบันล่ะก็ ลงนรกไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่จนครบอายุที่เขากำหนดเพราะว่า กรรมที่ทำแต่ละอย่างหนักเบาไม่เท่ากัน แต่ว่าไปทำกรรม สมมุติว่าคนหนึ่งโดนแจ้งข้อหาพยายามฆ่า คือใช้อาวุธทำร้ายคนอื่น แต่ขณะเดียวกัน อีกคนหนึ่งแค่ชักปืนมาขู่ก็แจ้งข้อหาพยายามฆ่าเหมือนกัน อันนี้ถือว่าตามกฏหมายไทยเลยนะ แล้วโทษมันจะหนักเท่ากันซะเมื่อไหร่ล่ะ ? อันหนึ่งลงมือซะเลือดตกยางออก บาดเจ็บสาหัสไปเลย อีกอันหนึ่งแค่ขู่เฉย ๆ แต่แจ้งข้อหาเดียวกันก็เลยลงนรกขุมเดียวกัน แต่โทษมันยาวสั้นต่างกัน
    ถาม: ทำความชั่วน้อย ๆ ถ้าเผลอไปก็คงลงน้อยหน่อย ?
    ตอบ: ไม่เป็นไร อนุญาตให้ลงได้ ๔๕๕ ขุม เว้นไว้ซะขุมหนึ่ง
    ถาม: ทั้งหมด ๔๕๕ ขุมเหรอครับ ?
    ตอบ: ๔๕๖
    ถาม: ถ้ารวมโลกันต์ด้วย ?
    ถาม: รวมโลกันต์ด้วย ๔๕๗ แต่โลกันต์เขาไม่นับรวม ถือว่าเป็นเขตพิเศษต่างหากออกไป
    ถาม: อ้าว แล้วทำไมเว้นอะไรไว้หลุมหนึ่งล่ะครับ ?
    ตอบ: ก็เมื่อกี้บอกไง ถ้าหากว่าทำชั่วน้อยลงก็เว้นให้หลุมหนึ่งเหลือซะ ๔๕๕ แล้วกัน
    ถาม: ต้องแบบแผนด้วยเหรอครับ ว่าหลุดจากอเวจีแล้วต้องมานรกบริวาร ต้องมา....?
    ตอบ: กติกาของเขาเป็นอย่างนั้น ต้องเดินผ่าน ในเมื่อผ่านก็แวะหน่อยแล้วกัน
    ถาม: มันหลุดขึ้นมาเลยไม่ได้เหรอครับเป็นไปได้ไหมครับกำลังร้อนอยู่ ...?
    ตอบ: มี ๆ ๆ ๆ มีที่หลุดไปเลยก็มี ตัวอย่างก็คือ ผู้ที่นึกถึงความดีขึ้นมาได้ ก็หลุดไปเลย โอกาสที่จะนึกถึงความดีมันน้อยมาก
    อย่างเช่นว่า มีสัตว์นรกตนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ เป็นอุบาสกชรา ตั้งใจบวชลูกตัวเองก็พอถึงวันบวชก็เอาผ้ากาสาวพัสตร์ถวายก็คือ มอบให้กับนาค ทีนี้ตัวเองแก่ชรา เงอะ ๆ งะ ๆ แล้ว ก็ทำผ้าเอาผ้าตกพื้นเสียงดังตุ๊บ เสียงผ้าตกพื้นมันติดอยู่ในใจของแก ในเมื่อมันติดอยู่ในใจของแก แต่ว่าตอนตายใจแกไม่ได้เกาะอยู่ตรงจุดนั้น มัวไปวุ่นวายกับสิ่งที่เศร้าหมองต่าง ๆ ก็ลงนรกไปก่อน พอลงนรกไปก่อน นายนิรยบาลเอาตาข่ายเหล็กมาเพื่อจะทอดจับเอาสัตว์นรกไปทรมาน เสียงตาข่ายกระทบพื้น เหมือนยังกับเสียงผ้าหล่นกระทบพื้น แกก็เลยจำขึ้นมาได้แกเคยบวชลูกชายเอาไว้ พอนึกถึงความดีได้ ความดีทั้งหมดรวมตัว พ้นจากเขตนั้นไปเป็นเทวดาไปเลย
    ส่วนอีกรายหนึ่ง คล้าย ๆ กัน บวชลูกเหมือนกัน นายนริยบาลหิ้วโยนลงขุมนรกแล้ว ปรากฏว่ามีจีวรมารองรับลอยขึ้นมาอยู่ข้างบน นายนิรบาลก็แปลกใจหิ้วโยนไปใหม่ ก็รองรับขึ้นมาอีก ถามว่าเขาบอกว่าทำความดีอะไรมา เขาบอกว่าเห็นไฟนรกสีเหมือนจีวรลูกที่เคยบวชนึกขึ้นมาได้ รอดไปอย่างหวุดหวิดเลย นั่น ขนาดโยนลงไปแล้วนะ
    ถาม: ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนึกได้หรือเปล่า ?
    ตอบ: ใช่สำคัญตรงนั้นเลย บุคคลที่ทำกรรมหนัก ๆ มา พระยายมราชสอบสวนถามรายละเอียดหมดทุกอย่างของความดีเขานึกไม่ได้ เพราะกรรมมันกดอยู่ บังอยู่ ประเภทนึกได้พูดไม่ออกบ้าง นึกไม่ได้เลยบ้างอะไรบ้าง
    ในเมื่อท่านพยายามจนถึงที่สุดแล้วไม่สามารถจะบอกได้ว่าทำความดีอะไรมาบ้าง ท่านก็ต้องยอมปล่อยให้เขารับความชั่ว คือลงนรกไปซะก่อน พ้นขึ้นมาแล้วค่อยมาว่าเรื่องความดีกันใหม่ ถ้านึกได้แม้แต่นิดเดียวก็เป็นอันว่าไปสบายข้างบนก่อน แล้วถ้าหากว่ายังประมาทเผลอลงมาอีกก็ดอกเบี้ยทบต้นอีกทีหนึ่ง ความดีกับความชั่วหักกลบลบล้างไม่ได้แยกกันรับไปตามวาระของมัน
    ถาม: ถ้าทำแต่ว่านึกไม่ได้ก็ต้องลงโทษก่อนเหรอคะ ?
    ตอบ: ถามว่าทำไหม ไม่ได้ถามว่านึกนึกออกไหม
    ถาม: ถ้าทำแต่นึกไม่ออกล่ะคะ ?
    ตอบ: ถ้านึกไม่ออก ก็โดน ทำหรือเปล่า ไม่ได้ถามว่านึกออกหรือเปล่า พราะฉะนั้น นึกถึงความดีให้ชินเอาไว้ ถึงเวลาใจเกาะความดี ไปเสวยความดีเลย แล้วก็หาทางหนีมัน อย่าเผลอลงไปข้างล่างได้แล้วกัน ลงไปเมื่อไหร่นี่ดอกเบี้ยทบต้น มันทบเอาไว้บานเลย ถ้าอย่างพวกเรานี่ก็คงประเภทเงินต้นร้อยเดียว แต่ดอกเบี้ยเป็นล้านแล้ว หนีมันมานานเหลือเกินนี่
    ถาม: ผมสงสัยอยู่อย่าง อยู่ดี ๆ กันไม่ชอบ ทำไมชอบอุบัติขึ้นมาเป็นชีวิต คือเหมือนแต่ก่อนก็ไม่มีชีวิตให้ต้องมารับรู้ แล้วก็ดันไปจุติขึ้นมาแล้วที่นี้ก็เวียนว่ายตายเกิดเข้าไป ?
    ตอบ: ส่วนผสมมันลงตัวพอดี มันไม่ลงตัวพอดี ก็ไม่ได้มาเกิดอยู่แล้ว
    ถาม: สงสัยว่าเวลาคนเราตายไป พอจิตออกจากร่างใช่ไหมคะ แล้วจิตมันจะเป็นรูปร่างเหมือนหน้าตาคนที่ก่อนจะตาย ?
    ตอบ: ไม่แน่ ทำความดีเอาไว้มากจิตก็จะเป็นไปตามบุญตามบารมีของตัวเอง คือสวยสดงดงามไป ถ้าทำความชั่วไว้มากสภาพภายในก็เศร้าหมอง อาจจะอยู่ในลักษณะของสัตว์นรก เปรต อสุรกายเลยก็มี หรือไม่ก็อยู่ในลักษณะที่ประเภททั้งโทรม ทั้งซีด ดูไม่ได้เลยก็มี แต่ว่าเราจะรู้เลยว่านั่นคือเรา คนอื่นเขาเห็น เขาก็รู้เลยว่านั่นคือเรา เพราะว่าสภาพเขตอื่นเขามีความเป็นทิพย์เป็นปกติอยู่
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...