ฉบับที่ ๓๙ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 7 พฤษภาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ช่วงแรกของเล่ม "อดีตที่ผ่านพ้น ๗๓-๘๐"สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกันยายน ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    [​IMG]

    ถาม : ของเดือนก่อน...(ไม่ชัด)...?

    ตอบ: บุคคลผู้มีสติตั้งมัน ย่อมระลึกถึงเรื่องที่พูดแล้วนาน ทำแล้วนานไม่พลาดหรอก ไม่งั้นเสียท่าสอนลูกศิษย์ไม่ได้ เป็นมหาปุริสวิตก ๘ ประการ พระอนุรุทธ เพื่อนร่วมรุ่นมีอยู่ ๗ คนด้วยกัน เป็นตระกูลของศากยะวงศ์ โกลิยะวงศ์เขาบวชกัน ตอนนั้นบรรดาพวกเชื้อพระวงศ์บวชกันเยอะ ตามพระพุทเจ้าท่าน ทางด้านสายของพระเจ้าอาคือพระเจ้าอมิโตทนะ น้องของพระเจ้าสุทโธทนะ ท่านยังไม่มีใครบวช ในเมื่อยังไม่มีใครบวช พระเจ้ามหานามะ ที่รับราชสมบัติต่อจากพระเจ้าอมิโตทนะ ก็บอกว่าให้พระอนุรุทธ น้องชาย (เจ้าชายอนุรุทธ)ให้เป็นพระมหากษัตริย์ ท่านจะไปบวช พระอนุรุทธถามว่าเป็นกษัตริย์ต้องทำอย่างไรบ้าง ? บอกว่าต้องรบเพื่อขยายพระราชอำนาจ ต้องปราบปรามโจรผู้ร้าย เพื่อให้ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ต้องตัดสินลงโทษคน ประหารชีวิตคน ต้องทำไร่ทำนาเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป ถ้าไม่มีนาก็ต้องไปหักร้างถางพงก่อน สร้างนาขึ้นมา พอมีนาแล้วก็ต้องไถต้องหว่าน ต้องดูแล ต้องเก็บเกี่ยว ต้องขนข้าวขึ้นยุ้ง
    เจ้าชายอนุรุทธได้ยินบอก พี่อยู่เหอะ ผมบวชเองดีกว่า งานที่ไม่รู้จักจบนี่ไม่เอาหรอก ไปขอแม่ ขอบวช แม่ไม่ยอมให้บวช ก็ตื๊อแล้วตื๊ออีกจนแม่ใจอ่อน บอกว่าถ้าหากว่า พระเจ้าภัททิยะ ศักยะราชาอีกองค์หนึ่ง คือ ศากยะวงศ์นี่เขาเป็นอยู่ ๖ ตระกูลด้วยกัน ทั้งตระกูลข้างพ่อข้างแม่รวมแล้ว ๖ ตระกูล แต่ละตระกูลครองแผ่นดินเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ ก็บอกว่า ถ้าหากว่าพระเจ้าภัททิยะพี่ชายของเธอยอมบวช เธอก็บวชได้ รายนี้ก็ไปตื๊อ ไปตื๊อพระมหากษัตริย์ให้สละราชสมบัติ แต่ปรากฏว่าเจ้าชายอนุรุทธประเภทเจ๋งมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าทำบุญมาดีในอดีต ขนาดเล่นตีคลีกับพวกลูกพระเจ้าแผ่นดิน คือเจ้าชายด้วยกัน แพ้เขาต้องเสียขนม ก็ให้คนไปขอแม่มาเรื่อย จนกระทั่งแม่ว่าลูกไม่รู้จักเสียซักทีนึง เพราะฉะนั้นต้องให้รู้ซะมั่งเรื่องของความผิดหวังเป็นยังไง ก็เอาถาดเปล่าครอบกันไว้แล้วให้แบกไปให้ ถ้าลูกถามให้บอกว่าขนมไม่มี พอคนใช้ไปถึง เธอถามว่าตอนนี้ได้ขนมอะไรมา ? กลัวว่าถ้าไม่ถูกปากเดี๋ยวเพื่อนไม่เอา คนใช้บอกขนมไม่มี เอ๊ะ ขนมชื่อนี้แปลก ไหนดูซิ เปิดมาปรากฏว่าขนมเต็มถาดเลย ทั้งกลิ่นทั้งรสนี่วิเศษอย่างไม่เคยกินมาก่อน
    คือในอดีตชาติของเจ้าชายอนุรุทธ ท่านเคยทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วท่านอธิษฐานว่า ขอว่าคำว่า ไม่มีจงอย่าได้มีในชีวิตตั้งแต่บัดนี้เลย งั้นเกิดทุกชาติต้องมี อยากได้อะไรต้องได้ แม่ไม่ทำขนมให้ เดือดร้อนเทวดาต้องมาเนรมิตขนมให้ ก็ไปต่อว่าแม่ บอกว่าก่อนหน้านี้แม่ไม่รักแล้วหรือ ท่านถามว่ามันเรื่องอะไรล่ะลูก บอกว่าก่อนหน้านี้แม่ทำขนมให้กิน ไม่เห็นอร่อยอย่างนี้เลย ตอนนี้ลูกเกิดน่ารักขึ้นมาหรือไงแม่ถึงทำขนมไม่มีให้ อร่อยอย่าบอกใครเชียว แน่ะ อย่าลืมว่าแม่เป็นราชินีนะ ในเมื่อแม่เป็นราชินี ท่านต้องมีความฉลาดเป็นปกติอยู่แล้ว ก็ เอ้อ...สงสัยบุญลูกเรามันจะดี ขนาดส่งถาดเปล่าไปให้ยังมีกิน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่เจ้าประคุณส่งถาดเปล่าตลอด เดือดร้อนเทวดาต้องคอยเนรมิตขนมให้

    เจ้าชายภัททิยะซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ไปครองเมืองอีกเมืองหนึ่งอยู่ เห็นความดีของน้องมาตั้งแต่เล็ก ถ้าหากว่าน้องตื๊อจะบวช ต้องมีเรื่องดีแน่ ๆ เลย น้องตื๊ออยู่ ๓ วันใจอ่อนก็เลยบวช ตอนนั้นมีเจ้าชายภัททิยะ เจ้าชายกิมพิละ เจ้าชายภัคคุ เจ้าชายอานน์ เจ้าชายเทวทัต เจ้าชายอนุรุทธ ออกบวชพร้อม ๆ กัน ๖ องค์ แล้วก็มีนายภูษามาลา เป็นช่างตัดผมชื่อ อุบาลี ไปบวชอีกองค์หนึ่ง ปรากฏว่าทั้งหมดเป็นกษัตริย์บ้าง เป็นเจ้าชายบ้างย่อมมีมานะเป็นปกติ เลยคิดว่า เออ...เราเมื่อตั้งใจจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วไม่ควรที่จะมีมานะ ก็เลยให้นายอุบาลีที่เป็นนายภูษามาลาเป็นพนักงานตัดผมบวชก่อน เพราะว่าพระบวชก่อนจะเป็นพี่ คนที่บวชทีหลังเป็นน้อง ต้องไหว้พี่น่ะ ตัวเองบวชทีหลังจะได้ไหว้นายอุบาลีได้
    พระอุบาลีท่านก็บวช พอบวชเสร็จ บรรลุอรหันต์กันเป็นแถว พระอุบาลีเป็นพระอรหันต์เป็นเลิศในทางวินัย พระวินัยจะแตกกิ่งก้านสาขาขนาดไหนท่านจำได้ละเอียดยิบ ตัดสินความไม่เคยพลาด เจ้าชายภัคคุ เจ้าชายกิมพิละ บรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน เจ้าชายอานนท์ได้พระโสดาบัน กลายเป็นพระอานนท์โสดาบันไป จนกระทั่งพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๓ เดือน ถึงเป็นพระอรหันต์ เจ้าชายเทวทัตกลายเป็นพระเทวทัตได้อภิญญาห้า ตอนหลังคอยจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าอยู่ อภิญญาเสื่อมโดนธรณีสูบไป เหลือเจ้าชายอนุรุทธปล้ำอยู่ ๗ ปี ตัวชวนเขาบวชไปช้าที่สุดเลย ถ้าไม่นับพระอานนท์ ปล้ำอยู่ ๗ ปี ปีที่ ๗ น่ะท่านไปนั่งระลึกถึงมหาปุรสวิตก ๘ ประการ ว่าพระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้สันโดษ คือยินดีด้วยปัจจัยสี่ตามมีตามได้ พระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้มักน้อย คืออย่าให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นอย่างนี้เลย คือถ้าเขารู้ว่าเรามีความดีแล้ว เดี๋ยวเขาจะมากวนเยอะ พระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้ยินดีในที่สงัด ไม่ชอบระคนด้วยหมู่ประกอบด้วยการหลีกออกกล่าววาจาส่งเขากลับ ไล่แขกให้เป็น ไล่ไม่เป็น นั่งกันอยู่ก็ไม่ต้องทำมากินอะไรหรอก ต้องคอยนั่งรับแขกไป พระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้มีสติตั้งมั่น ที่เมื่อกี้ว่าไป ผู้มีสติตั้งมั่นคือระลึกถึงเรื่องที่พูดมานาน ๆ ได้ ระลึกถึงเรื่องที่ทำมานาน ๆ ได้ พระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้มีใจตั้งมั้น คือกำลังใจทรงฌานหนึ่ง ฌานสอง ฌานสาม ฌานสี่ ห้า หก เจ็ด แปด ได้พระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้ยินดีในธรรมอันไม่เนิ่นช้า คือเป็นผู้ที่ตั้งใจละตัณหา มานะ ทิฏฐิ (ตัณหา มานะ ทิฏฐิมันเป็นตัวถ่วงให้ช้า)


    พอท่านพิจารณาอย่างนี้กลายเป็นพระอรหันต์และเป็นผู้เลิศด้วยทิพจักขุญาณท่านเป็นแค่พระวิชชาสามนะ วิชชาสามนี่ยังมีอภิญญาหกเหนือกว่าปฏิสัมภิทาญาณเหนือกว่าแต่พระอนุรุทธนี่ทิพจักขุญาณของท่านเลิศกว่าพระวิชชาสาม และอภิญญาหกทั้งหมด ยกเว้นจากพระพุทธเจ้า แล้วท่านเจ๋งที่สุด ไม่น่าเชื่อกลายเป็นผู้ชำนาญการพิเศษ ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพานนี่ อยู่ในระหว่างฌานไหน มีพระอนุรุทธตามได้อยู่คนเดียว คนอื่นตามไม่ทัน

    ในอดีตชาติท่านเคยถวายประทีปโคมไฟในพระพุทธศาสนา ตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชาด้วยไฟด้วยแสงสว่าง เกิดมาก็เลยกลายเป็นผู้เลิศทางทิพจักขุญาณ มหาปุริสวิตก ๘ ประการ วิตก แปลว่า คิดถึง คำนึงถึง มหาปุริสวิตกคนคิดจะเป็นมหา ไม่ใช่นะ มหาปุริสวิตกไม่ใช่คนคิดจะเป็นมหา มหาบุรุษ คือผู้ที่ตั้งใจลด ละ เลิกในตัณหา เพื่อแสวงหาทางออกจากกิเลส เขาเรียกมหาบุรุษ ผู้ที่มีความตั้งใจอันใหญ่ยิ่งจะเป็นผู้หญิงผู้ชายเรียกมหาบุรุษเหมือนกัน

    ถาม: ท่องคาถาเงินล้านเป็นฌานจะมีอะไรเกิดขึ้น ?


    ตอบ: จะมีอะไรเกิดขึ้น...อาจจะมีเซฟหล่นมาทับตาย คาถาเงินล้านมันคาถารวย แต่ต้องวางกำลังใจให้เป็น อย่าท่องด้วยความอยาก ให้วางกำลังในลักษณะที่ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อให้มา เราเป็นลูกก็มีหน้าที่รักษาสมบัติของพ่อไว้ การรักษาที่ดีที่สุดก็คือหมั่นท่องบ่นภาวนาให้เป็นปกติ ให้ตั้งใจทำถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาไปเลย อย่าไปอยากได้ ถ้าหากว่ามันอยากได้ ตอนแรกเกิดความอยากปล่อยมันอยากไป แต่ระหว่างที่ท่องต้องลืมความอยากให้ได้ ถ้าความอยากยังอยู่ข้างหน้ามันบังไว้ ลาภผลจะเข้ามาไม่ถึง หมดอยากเมื่อไหร่มันไหลมาเทมา

    ประวัติ หลวงปู่มั่น ๕๐๐ บาทนี่ไม่แพงนะ เล่มหนาขนาดนี้ ปฏิปทา ผลงาน และพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่นภูริทัตตะเถระ คุณเชื่อมั้ยว่า หลวงปู่สายอาจารย์มั่นเนี่ย รู้จักท่านเกือบทุกองค์เลย สมัยตัวเล็ก ๆ เคยวิ่งรับใช้ท่านอยู่เยอะ คนอื่นไปทำบุญ ไอ้เรานี่ไปแคะข้าวจากบาตรพระมากิน ที่วัดธรรมมงคล ซอยสุขุมวิท ๑๐๑ ตอนช่วงนั้นหลวงพ่อวิริยังค์ ท่านยังเป็นแค่หลวงพ่อวิริยังค์ ยังไม่ได้เป็นเจ้าคุณอะไรหรอก ท่านจะสร้างวัดธรรมมงคล ปรากฏว่าทางโยมแม่ก็ไปช่วยเป็นกรรมวัดให้ เราก็...หลวงพ่อครับขอมั่ง หลวงปู่ครับขอมั่ง แทนที่จะใส่บาตรพระ ไปแคะข้าวจากบาตรพระมากิน ท่านเองท่านก็ไม่ว่าอะไร องค์โน้นตักช้อน องค์นี้ตักช้อน มันก็ล้นจานอยู่แล้วนี่ กินไปเรื่อย ถึงเวลาท่านจะใช้อะไร เรามันวิ่งเร็ว แล้วขณะเดียวกันก็สนใจการปฏิบัติด้วย ท่านก็เลยชอบกัน ก็มีใครเชื่อบ้างว่าหลวงตาบัวให้หวย ? อาตมาขอมาแล้ว ได้ด้วยออกอีกต่างหาก ลองไปขอดูสิหัวแตกแน่ คือตอนนั้นอยากจะรู้ว่พระที่ปฏิบัติในสายวิสุทธิมรรคตรง ๆ โดยเฉพาะปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตร นิมิตทุกอย่างต้องละหมด ท่านไม่ให้เกาะเลย นิมิตทุกอย่างเกิดขึ้นละหมด ตามรู้ ๆ ๆ อยู่อย่างเดียว ถึงเวลาแล้วจะมีฤทธิ์มีอภิญญามั่งรึเปล่า วิธีพิสูจน์ที่ง่ายที่สุดก็คือขอหวย ท่านก็รู้อยู่ว่าเราขอเพื่อพิสูจน์ ไม่ได้ขอเพื่อเล่น ท่านก็ให้จริง ๆ แล้วกันก็ออกจริง ๆ ซะด้วย

    แต่ตอนนี้พวกเราไปขอ ถ้าวางกำลังใจไม่เป็น นอกจากไม่ได้แล้วอาจจะโดนไม้เท้า ดังนั้นเปิดมาเนี่ยจะคุ้นหน้าแทบทุกองค์ พูดง่าย ๆ ว่าต่อให้ปิดชื่อไว้ก็บอกถูกว่าใครเป็นใคร ไปนึกถึงสมัยนั้นแล้วมันสบายใจตรงที่ว่า พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นร้อย ๆ องค์มาประชุมรวมกันอยู่ โอ้โห...ทำบุญนิดเดียวก็ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้วใช่มั้ย ? แล้วท่านมาแต่ละครั้งนี่ ไม่ใช่มาเฉย ๆ นอกจากจะมาเป็นเนื้อนาบุญแล้วยังมีพิธีพุทธาภิเษกอีก แล้วลองคิดดูว่าพระระดับนั้น ถ้าออกจากสมาบัติมาพร้อม ๆ กัน คนทำบุญมันจะสบายขนาดไหน ?

    ตอนสมัยนั้น หลวงปู่ หลวงพ่อ ท่านก็ยังอยู่กันครบ ๆ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่เทสก์ หลวงตามหาบัว กลายเป็นพระท้าย ๆ แถวเลย นึกเอาก็แล้วกัน ตอนนี้ของท่านกลายเป็นหัวแถวไปแล้ว

    สมัยนั้นก็ตั้งใจว่าถ้าบวชก็จะบวชกับพระสายหลวงปู่มั่นนี่แหละ แต่คราวนี้มันไปเกิดจุดผกผันอยู่คือ หลวงปู่ฝั้น ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่เคารพท่านมากที่สุด เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่ให้สติ แล้วได้สติก่อนเพื่อน คือตอนช่วงวัยรุ่น ๆ นั่นจะชอบมากเลย ครูบาอาจารย์ที่ไหนมีก็วิ่งไปหา ไปถึงก็แบมือขอพระขอเหรียญ หลวงปู่ครับขอของดีบ้างครับ หลวงพ่อครับขอของดีบ้างครับ ไปขอหลวงปู่ฝั้นเข้า ครั้งแรกเลยท่านบอกว่าดีนอกเอาไปเดี๋ยวมันหล่นหาย ทำไมไม่เอาดีในล่ะ น่าคิดมั้ย ? ได้ยินก็แปลก ไม่เคยได้ยินอย่างนี้มาก่อน ดีนอกเอาไปทำไมเดี๋ยวก็หล่นหาย ทำไมไม่เอาดีใน ก็ถามว่าดีในเป็นยังไงครับ ? ท่านบอกพุทโธไง พุทโธคำเดียวคุ้มได้ ๓ โลกเลย ไม่ต้องพกไว้หรอก ภาวนาให้มันชินไว้ ไปทำเอาไปปฏิบัติเอา ถ้าใจดี อะไร ๆ ก็ดีหมด ก็เลยถือท่านเป็นบูรพาจารย์องค์แรก

    คราวนี้มาช่วงปี ๒๕๑๘ น่ะ โยมพ่อเสียชีวิตลง พี่ชายเขาเอาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุงไปให้ บอกเอ้า...อ่านซะจะได้ไม่ต้องเสียใจมาก ถ้าทำได้ก็ทำไปนะ คือเขาเห็นว่าเราดูแลพ่ออยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ ทั้งกลางวันกลางคืน พ่อตายอาจจะเสียใจ ความจริงดีใจจะแย่ โอ้โห...ไอ้คนกำลังกินกำลังนอน แล้วต้องมาอดตาหลับขับตานอนทั้งวันทั้งคืน รสชาติเป็นยังไง ? พอเสร็จแล้วเปิดอ่าน...ทึ่งมาก หลวงพ่อองค์นี้เก่งแฮะ เขียนอะไรง่ายไปหมด ก็เลยทำตามดู ทำไปทำมามันกลายเป็นติดไปเลย ก็เลยเปลี่ยนมาหาหลวงพ่อแทน แล้วมันก็ลักษณะเหมือนยังกับท่านส่งต่อ เพราะว่าเริ่มได้ตำราหลวงพ่อมาปี ๒๕๑๘ เดือนสิ่งหาน่ะ เท่ากับว่าเราเริ่มต้นการเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปี ๒๕๒๐ วันที่ ๔ มกรา หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ ท่านเปิดโอกาสต่อให้นิดเดียว ถ้าท่านไปก่อน เราก็ไม่เจอหลวงพ่อแน่นอนเลย ตอนแรกก็ตั้งใจอย่างนั้น พอทำไปทำมา โอ๊ย...หลวงพ่อท่านสารพัดจะหลอก สุดยอดจะเซียนเลย เราชอบทางด้านไหนท่านหลอกให้ทีละนิดทีละหน่อยไปเรื่อย พอทำได้วิ่งโร่หน้าบานไปรายงาน เสร็จแล้วก็เอายังงี้ไปทำอีกลูก ยังงั้นไปทำอีกลูก สนุกของท่านน่ะ แต่ว่าจุดที่เราได้ คือท่านบอกว่าต้องรักษาศีลนะ ถ้าไม่รักษาศีลแล้วพวกอภิญญาสมาบัติจะไม่เกิดผล แล้วขณะเดียวกัน อีกอย่างก็คือว่า อย่างน้อยต้องภาวนาให้ได้วันละครึ่งชั่วโมง ทำไปทำมามันติดไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็แคะไม่ออกแล้ว ไม่อย่างนั้นป่านนี้เป็นพระธรรมยุติไปแล้ว ตอนนี้ดีใจที่เป็นพระมหานิกาย เพราะเราชอบจับตังค์ พระธรรมยุติจับสตางค์ไม่ได้

    หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละองค์ กว่าท่านจะไปเป็นครูบาอาจารย์ให้เราได้ ท่านผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างชนิดที่เรียกว่าถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว รบกับกิเลส แล้วเสร็จแล้วท่านก็มากลายเป็นหลักชัยอันมั่นคงได้ หลวงปู่มั่นท่านสอนพระให้เป็นพระ สร้างพระเป็นพระจริง ๆ แต่ละองค์ประเภทที่เรียกว่าขอให้ได้พบท่าน ให้ได้ฟังธรรมจากท่าน ให้ได้หลักการปฏิบัติจากท่าน มาสมัยหลัง ๆ กลายเป็นครูบาอจารย์ เป็นหลักชัยให้เขาได้ทุกคน ขนาดหลายต่อหลายองค์ในชีวิตได้เห็นหลวงปู่ท่านแค่แวบเดียวจากหน้าต่างรถไฟเท่านั้นนะ หลวงปู่มั่นท่านนั่งรถไฟไปเพื่อรักษาตัว พระเณรได้ข่าวว่าท่านจะผ่านไปทางนั้น ไปดักรอแถวสถานี ท่านก็โผล่หน้ามาโบกมือให้ เอ้อ...ขอบใจทุกคนนะ ตั้งใจปฏิบัติภาวนาเอาเด้อ อย่าทิ้งพุทโธนะ ได้ฟังแค่นั้นแหละตลอดชีวิต แล้วท่านได้ดีกันหมด ของเรานี่ฟังกันได้ทุกเดือน เดือนหนึ่ง ๓ วัน ๔ วัน มันน่าทุบซ้ำนัก

    อันนี้ว่าหลวงปู่ท่านสร้างพระเป็นพระ หลวงพ่อเรางานหนักกว่า สร้างคนเป็นพระ จะเรียกว่าคนก็ไม่ได้ มันต้องบอกว่าสร้างลิงเป็นพระ โอ้...สาหัสจริง ๆ เลย ไม่ได้เจอด้วยตัวเองนี่ไม่ซาบซึ้งหรอก ตอนนี้สายของหลวงปู่ท่านที่เนื้อแท้ ๆ ที่อยู่ทันในสมัยเป็นพระ จะเหลือแต่หลวงตาบัวองค์เดียวละมัง เพราะว่าหลวงตาบัวตอนนั้นท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นได้ ๘ พรรษา หลวงปู่มั่นก็มรณภาพ อาตมาอยู่กับหลวงพ่อแค่ ๗ พรรษาเอง น้อยกว่าหลวงตาเยอะเลย อย่างหลวงพ่อวิริยังค์ อย่างหลวงพ่อสมชาย ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นตอนเป็นเณร เณรเล็ก ๆ เลย แหม...อยากฟังธรรมมาก เอาหม้อดินไปต้มน้ำ ต้มน้ำถวายพระผู้ใหญ่ ก่อเสร็จก็ย่องไปข้างกุฏิ เงี่ยหูฟัง อยากฟังธรรมมากเลย หลวงปู่สอนใคร อย่าลืมว่าพระปฏิบัติท่านพูดเบาน่ะ ท่านพูดเบา ถ้าไม่ตั้งใจฟังนี่บางทีไม่ได้ยิน ในเมื่อท่านพูดเบา ท่านตั้งใจปฏิบัติอย่างงั้น มันต้องเงี่ยหูฟัง เพลินสมาธิดี ลืม น้ำเดือดซะแห้งเลย หม้อทะลุ คราวนี้เดือดร้อนล่ะสิ ใครจะเจ็บตัวหว่า ฮึ ก็ต้องวิ่งหาหม้อมาคืน ถ้าหามาคืนไม่ได้โดนแน่ ๆ เลย เรามีฉันทะขนาดนั้นมั้ยล่ะ ? ทำงานไปต้องแอบฟังไป เอาซักคำครึ่งคำก็ยังดี ของเรานี่มีเป็นเล่ม ๆ มันยังไม่เปิดอ่านเลย

    ถาม: เราทำความดี แต่คนข้างหลังกลับชมเรา เราจะแผ่เมตตาให้เขายังไงดี ?

    ตอบ: อันดับแรกจริง ๆ อย่าลืมว่าเขาเองจะอยู่ในลักษณะที่ว่าตั้งตนเป็นศัตรู มันจะมีการกระทบกระทั่งกับเรามาก่อน ในเมื่อมีการกระทบกระทั่งกับเรามาก่อน เราไม่ชอบใจเขาอยู่แล้ว ในเมื่อไม่ชอบใจเขาอยู่แล้ว จะแผ่เมตตาให้เขาตรง ๆ นี่ไม่ไหวหรอก ใจของเรามันจะเข็นไม่ไป มันเห็นเขาเป็นศัตรู

    เพราะฉะนั้น อันดับแรกของเมตตา ถึงได้บอกว่าให้ตัวเองก่อน ที่รักที่สุดก็คือตัวเอง ให้ตัวเองก่อน ให้คนที่เรารัก ให้คนที่เรารักมาก ให้คนที่เรารักน้อย ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด แล้วให้คนที่เราเกลียดน้อย จนกระทั่งให้คนที่เราเกลียดน้อย จนกระทั่งให้คนที่เราเกลียดมากได้ ไล่ไปทีละขั้น งั้นถ้าไปให้เขาอย่างนั้นทีเดียว เดี๋ยวตีกลับเสียของเปล่า ไปทีละขั้น ทีละขั้น ให้เยอะทีเดียวเดี๋ยวอารมณ์ใจมันไม่รับด้วยมันตีกลับ

    ถาม: ก็นึกว่าให้คนแทงมาข้างหลัง เขาเกาะเขายึดอยู่ ?

    ตอบ: ไม่มีทาง เดี๋ยวลองดูก็ได้ ให้ไปให้มาแทนที่จะแผ่เมตตา กลายเป็นด่ามันเข้า ให้คนที่เรารักก่อน โดยเฉพาะรักมาก ๆ ให้ตัวเอง ให้คนที่เรารักมากก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ให้คนที่เรารักน้อยหน่อย ให้คนที่เราเฉย ๆ ไม่รักไม่เกลียด ให้คนที่เราเกลียดน้อย ให้คนที่เราเกลียดมาก ให้ไปทีละระดับ ไม่ยังงั้นให้ไปไม่ตลอดหรอก เจ๊งซะกลางทาง

    ถาม: ต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน ?

    ตอบ: ถ้ารักตัวเองอย่าทำชั่ว ชัดมั้ย นั่นแหละ รักก็คือเมตตา ถ้าสงสารตัวเองก็อย่าทำชั่ว นั่นแหละกรุณา ตัวเองทำดีก็รู้จักดีใจกับตัวเองบ้าง มุทิตาใช่มั้ย ? ทำเท่าไหร่มันไม่ก้าวหน้าซักที ก็รู้จักอุเบกขา เฉย ๆ ไว้มั่ง ไม่ใช่โวยวายอยู่เรื่อย

    ถาม: เมตตากับกรุณา ต่างกันยังไง ?

    ตอบ: หือ...ต่างกันยังไง ? เมตตารักเขาเหมือนตัวเอง กรุณาสงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ ต่างกันมากมั้ยล่ะ ? ตัวเมตตามันประกอบไปด้วยความหวังดี เราดีอย่างไงอยากให้เขาดีอย่างเรา คือรักเขาเหมือนตัวเราเอง มันเป็นความรักแท้เลย ประเภทไม่ใช่รักเพราะอำนาจของราคะจริต ด้วยความรักและหวังดีจริง ๆ ถ้ากรุณานี่มันเป็นความสงสาร เห็นเขามีทุกข์อยู่ก็อยากให้พ้นทุกข์ ถ้ามุทิตานี่ยินดี เมื่อเขาอยู่ดีมีสุข เห็นพวกขี่เบนซ์มา เออหนอเขาทำบุญมาดีเนอะ มีเบนซ์ขี่ มันแทนที่จะไป แหม...เมื่อไหร่กูจะมีอย่างงั้นมั่งวะ ไม่ใช่ มุทิตานี่ไปดีใจ เออ..เขามีเบนซ์ขี่ เขาทำบุญมาดี น่าปลื้มใจจังเลย เสร็จแล้วเราจะต้องทำบุญให้ดีบ้าง เพื่อจะได้มีอย่างเขา ไม่ใช่เมื่อไหร่กูจะมีอย่างมันนะ ไม่มีมั่งก็แล้วไป

    ถาม: เรื่องบางเรื่องเนี่ย พี่น้องกันจะเล่าให้ฟัง...?

    ตอบ: ก็ดูว่ามันเหมาะสมแค่ไหน ถ้าเกิดว่าคนอื่นเขานินทาพี่น้องเรามา ไปเล่าให้เขาฟังเกิดร้อนหูร้อนใจขึ้นมา เห็นว่ามันไม่มีประโยชน์ก็เงียบซะ รู้เองดีกว่า จำไว้ ถ้าใจดี อะไร ๆ ก็ดีหมด ถึงได้บอกว่ามาทีหนึ่ง ก็กลับไปดีหน่อยหนึ่ง อย่าเผลอสิ เผลอเมื่อไหร่มันก็ตีเอา ไม่รู้จักเข็ดก็เจ็บตัวต่อไปเรื่อย ๆ

    ถาม: ก็โดนทำร้าย ?

    ตอบ: โดนบ่อย แต่อาตมาเฉย ๆ ถือว่าเราโง่เอง เมื่อเราโง่เอง โดนเขาเล่นงานมา ก็เรื่องของเขาถ้าคิดจะตอบโต้ก็คิดไป ถ้าไม่คิดจะตอบโต้ก็ปล่อยวางไปเลย มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ตอนเช้ามืดทำกรรมฐานพระท่านตรัสว่า บุคคลที่จิตประกอบไปด้วยกุศลกรรม เมื่อปฏิสนธิแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่สิ่งที่เป็นกุศลเพื่อยังจิตของตนให้สู่ภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป บุคคลที่จิตประกอบไปด้วยอกุศลกรรม เมื่อปฏิสนธิแล้ว ก็กระทำแต่สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ถ่วงตนให้ตกต่ำจ่อมจมลงไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วท่านก็ถามว่า มาจนถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะถอยหลังกลับไปอีกหรือ ? ตอนนั้นจะไปตื้บช่างมัน มันรับสตางค์ไปแล้วมันไม่ทำให้ มันทิ้งงานไป แหม...โดนด่าอย่างเพราะมากเลย ก็โธ่...มันทิ้งงานเราไม่พอ มันเอาตังค์ไปใช้แล้วด้วย ...กะว่าจะไปตื้บให้มันรู้ฤทธิ์ซะบ้างว่าก่อนบวชอาตมาเป็นยังไง

    เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วตอนไปสร้างที่เกาะใหม่ ๆ นั่นแหละ นั่นยังคิดจะตื้บคนอยู่เลย พวกที่รู้จักช้ามา ๑๐ ปีนี่นับว่าปลอดภัยขึ้นเยอะแล้ว จิตที่ประกอบด้วยกุศล จิตที่ประกอบด้วยอกุศล กุศลคือความดีความงาม อกุศลก็คือความชั่วความเลว

    ถาม: ตอนช่วงอยู่มหาวิทยาลัยจะร้อนอึดอัดใช้มโนมยิทธิไม่ได้เลย อีกซักพักหนึ่ง วันพุธนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงบอกว่าจะฆ่า ไม่แน่ใจว่า...(ไม่ชัด)...?

    ตอบ: อ๋อ ไม่เป็นไร คราวหน้าถ้าได้ยินเสียงบอกรีบฆ่าหน่อย หนูเบื่อชีวิตเต็มที ต้องดูว่าตอนนั้นเราคิดถึงอะไร ของบางอย่างมันเป็นการลองกำลังใจ ครูบาอาจารย์ก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี อยากเห็นเรามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ ก็จะมาทดสอบ ถ้าหากว่าเรากลัวมากเขาก็เลิก ถ้าหากว่าเราบ้าจนกระทั่งประเทภที่เรียกว่าไม่กลัวใคร เขาก็ไม่ยุ่งด้วยเหมือนกัน พวกครึ่งกลัวครึ่งกล้านี่แหละ ชอบนักแล จะเป็นลักษณะนั้น เขาจะชอบลอง

    คราวนี้ให้เราดูกำลังใจของเราตอนนั้นว่าพอเรารู้สึกว่ามีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นเราเกาะอะไรเป็นหลัก ? ถ้าคิดถึงความดีได้เกาะพระได้ เกาะนิพพานได้ สบายมกา ไม่ต้องไปกลัวอะไรแล้ว กำลังใจของเราแสดงว่าเวลาฉุกเฉินเรายังเกาะความดีอยู่

    อย่างพระวัดท่าซุงน่ะ ที่วัดท่าซุงนี่ เขาต้องเรียกว่าด๊อกเตอร์ผี เพราะไม่เคยเจอผีที่ไหนดุเท่าผีที่วัดท่าซุง โอ้โห...สารพัดมันจะเล่นพระเลย พระองค์ไหนถ้านึกถึงนิพพานได้ นึกถึงพระได้ เขาก็ไม่ยุ่งด้วย แต่ถ้าองค์ไหนนึกไม่ได้ก็แกล้งไปเรื่อย ถ้าองค์ไหนกลัวมาก ๆ กลัวอย่างชนิดจะเสียสติจะอะไรเขาก็เลิก เพราะว่าเขาเองเขาทำให้เราเป็นอันตรายอะไรไม่ได้ มีโทษกับเขาเหมือนกัน ของอาตมานี่มันไม่กลัว ไม่กลัวเปล่าสู้ด้วย เขาก็เลยมันมาก ตามฟัดอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ทั้งกลางวันทั้งกลายคืน เที่ยง ๆ ก็เอา บ่าย ๆ ก็เอา เย็น ๆ ก็เอา ใครบอกว่าผีหลอกกลางคืนอย่าไปเชื่อมันนะ ไอ้ผีหลอกกลางคืนน่ะ ไม่เก่ง พวกเก่ง ๆ นี่กลางวันมันก็เอา ก็อยู่ในลักษณะนั้น

    แต่ปรากฏว่าของเรามันแข็งเกินไป มันแข็งอยู่ตรงจุดที่ว่าพอเขามาแล้วสู้เขา แทนที่จะนึกถึงความดีได้ ก็ไม่เกาะอะไรเลย รู้อยู่อย่างเดียวเอ็งแกล้งข้าก็สู้ เขาแกล้งอยู่ ๓ ปี เบื่อเต็มที มันไม่นึกถึงความดีซักที เขาก็เลยเลิก แต่ว่าเวลาเขาไปแกล้งองค์อื่นนี่ แป๊บ ๆ เดียวเขาก็นึกถึงความดีได้ บางองค์นี่เขาบีบคอซะหน่อยหนึ่ง หายใจจะไม่ออก เอ้อ...ตายตอนนี้ก็ไปนิพพาน เขาบอกหน้ายังนี้เหรอจะไปนิพพาน แล้วมันถึงจะปล่อย แหม...ดูถูกกันจัง

    ถาม: ถ้าความจำน่ะค่ะ จำไม่ได้ ?

    ตอบ: จำไม่ได้ เอาคาถาท่านปู่พระอินทร์ไปสิ เคยได้มั้ย ? เคยจดไปมั่งรึเปล่า ? คาถาสหัสสเนตโต ใช้ได้ประโยชน์มหาศาลเลยนั่นน่ะ

    ถาม: สถิติ ?

    ตอบ: โอ้โห...ง่ายเป็นบ้า วิชาที่ดิ้นไม่ได้นี่อาตมากินดิบหมด ถึงได้บอกเสียฟอร์มมากเลย ๒๐ กว่าปีมาแล้วนะ ไม่เคยโดนใครหักคะแนนได้ พอสอบบาลีโดนหักไป ๒ คะแนน

    ถาม: ท่องมึนมากกว่าจะสอบได้ ?

    ตอบ: อ่านครั้งแรกไม่เข้าใจ อ่านครั้งที่สอง ครั้งที่สองไม่เข้าใจ อ่านครั้งที่สาม สามไม่เข้าใจ อ่านครั้งที่สี่ ว่าไปเหอะ ร้อยสองร้อยครั้งมันก็จำได้ไปเอง เพราะมันเหนื่อย ไม่จำเหรอ...อ่านต่อ ฉันทะ คือ ความพอใจที่จะทำ มันจะต้องมีให้ครบนะ ถ้ามีไม่ครบ มีไม่พอ ก็เสร็จเขาแหละ

    ...ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง อุดหูไว้ลูก อุดหูไว้ ถ้าหนูมาฟังเดี๋ยวเสียคนหมด เพราะสมัยหลวงพ่อเรียนอยู่ หลวงพ่อสู้ครู เล่าให้เขาฟังว่าถามถึงครูร้องไห้นี่เขาไม่ค่อยเชื่อหรอก แต่ที่เรียนด้วยกันผ่านมานี่ชักเชื่อ ครูสั่งการบ้าน ๑๐ ข้อ อาตมาทำไป ๓๘ ข้อ ไอ้ที่ ๓๘ ข้อเพราะเวลามันหมดพอดี ไม่งั้นจะทำให้เยอะกว่านั้นอีก นึกออกมั้ย ? ยิ่งทำมันยิ่งเกิดความชำนาญ แล้วเราจะมั่นใจ ถ้าหากว่ามันผิด ผิดตรงไหนครูเขาจะบอก ถ้ามันถูกเราจะได้จำได้ ไม่ยากหรอก เพียงแต่ว่าเราต้องสนใจมันต่อเนื่อง คณิตศาสตร์ขาดไม่ได้ ขาดซัก ๑๐ นาทีหรือครึ่งชั่วโมงต่อไม่ติดแล้ว แล้วพอต่อไม่ติดปุ๊บ พอครูเขาสอนตอนต่อไปเราไม่เข้าใจ ของเก่าก็ไม่เข้าใจ มันจะเป็นดินพอกเป็นหางหมูไปเรื่อย </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : มันไม่มีคาถาเรียกฝนด้วย ?

    ตอบ: มี แต่ขณะเดียวกันคนที่ห้ามกำลังใจมันขนาดนั้น แล้วเราจะไปนั่งแก้คืนมัน ๒ ชั่วโมงมั้ยล่ะ ? ปัจจุบันนี้ก็อยู่ในลักษณะที่ว่า กำลังใจแต่ละคนไม่เท่ากัน ปีนี้เขาบ้าสักยันต์กัน เดี๋ยว ๆ ก็ดอกไม้ธูปเทียนมาแล้ว อาจารย์เขียนให้หน่อย ก็เขียนให้มันไป เดี๋ยวไอ้โน่นก็จะเอายังงั้น ไอ้นี่ก็จะเอายังงี้

    คนแรกที่มาให้เขียนก็คือท่านเอกพงษ์ พอเขียนเสร็จ พวกนี้กำลังใจมันน้อย เราก็คิดว่าเอ่อ...ทำอะไรหนัก ๆ ให้มันหน่อย จะได้มั่นใจถึงเวลาก็แกล้งทุบหลังมันบั๊กเบ้อเร่อ ทำเป็นว่ากูอัดให้แล้ว ปรากฏว่าทุบมันพลั่กเดียวเท่านั้นเอง เส้นไหล่จม ๒ เส้นเลย เดี้ยงอยู่ ๓ วัน บอกให้ตายเถอะวะ เขียนมันดันมายันเราเองไม่ไปยันคนอื่น มันยันคนเขียนซะก่อน ไม่ไหว ก็ยังดีอยู่ว่า พวกยันต์มันจะมีคาถากำกับ หลอกให้เขาภาวนาได้อย่าง ๆ เขามีฉันทะ ...อยากได้ของขลังก็ต้องขยันหน่อย ลักษณะเหมือนสมัยก่อนหลวงพ่อหลอกอาตมา จริง ๆ ท่านไม่ได้หลอกหรอก ท่านบอกของดี ๆ ให้เพียงแต่ว่าถ้าบอกตรง ๆ มันไม่ทำ

    ถาม: โดนเจ้าเหมียวกัด ก็ตบหัวไปแล้ว เขี้ยวมันหักฟันมันหัก ทำยังไง ?

    ตอบ: แก้ไม่ได้ ไม่รู้จะแก้ยังไง เมื่อตอนที่เสือน้อยมันกัด เราก็ไม่ได้เจตนาหรอก มันกัดเสร็จก็เลือดท่วมเชียว เราก็คิดว่าเลือดเรา ที่ไหนได้ฟันมันหัก หมามันเป็นขี้เรื้อน คราวนี้ไม่คุ้นกับมันน่ะ ไปถึงวัดท่าขนุนใหม่ ๆ มีแต่พันธุ์หนังกลับก็ไปรักษาให้มัน จำไว้เลยว่ารักษาหมาขี้เรื้อนง่ายที่สุดเลย น้ำมันพืช ๑ ขวด ยิ่งเยอะยิ่งดี แล้วก็กำมะถันผงมาปนกัน คลุกกันให้เป็นโคลนไปเลย แล้วก็จับมันทาทั้งตัวทีเดียว กำมะถันถ้าเป็นอย่างแท่ง ๆ ก็มาตำหน่อย ตำให้ละเอียดเป็นผงไปเลย ก็ผสมกันคลุกกันให้เหลวเป็นโจ๊ก แล้วก็ทาให้มันครั้งเดียวหาย

    คราวนี้เราไปอยู่วัดใหม่ ๆ หมามันไม่คุ้นด้วย พอไปล็อคคอทามันก็กัดเอา พอมันกัดปุ๊บ เจ้าอาวาสเอยลูกศิษย์เอยกระเจิดกระเจิงไปหมด เหลือเราจับมันอยู่คนเดียว อยากกัด กัดไป ทาเสร็จแล้วค่อยปล่อย พอมันกัดเห็นเลือดเต็มปาก ก็คิดว่าเออ...มันกัดเราแล้วเลือดออก ที่ไหนได้ ไปดูอีกทีเขี้ยวมันหัก

    ถาม: มันกัดเข้า ?

    ตอบ: มันกัดตรงข้อพอดี ปวดอยู่หลายวัน อาจจะโดนกระดูกมั้ง ? เขี้ยวหักไปเลย

    ถาม: เจ้าเหมียวมันกัด ๓ เขี้ยว ?

    ตอบ: กลายเป็นแมวเขี้ยวหลอไปแล้ว ไม่มีจริง ๆ มันถึงได้คาบลูกแบบพิสดาร จนกระทั่งลูกมันประเภทกระโดดไปชนหน้าต่าง คอหักตาย เพราะปกติเขาคาบต้นคอ นี่ต้องงับทั้งตัวเลย เพราะเขี้ยวมันไม่มี

    ถาม: สัตว์ที่ต่ำกว่าหมา มีชีวิตจิตใจแต่ว่าปัญญาอ่อน ?

    ตอบ: ไม่ใช่ สัตว์ก็คือคน เขามีความรู้สึกความต้องการเหมือนคนทุกอย่าง เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายของเขาบังคับ เลยทำให้เขากินไม่ได้อย่างใจ นอนไม่ได้อย่างใจ ต้องการอะไรคนก็ไม่สามารถจะสนองตอบให้ ต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าหน่อย จำไว้ว่าสัตว์ที่อยู่ใกล้คน ที่คนเลี้ยงเขา กรรมของการเป็นสัตว์เดรัจฉานของเขาจะหมดแล้ว ถ้าใจเกาะคนจะเกิดเป็นคน ถ้าใจเกาะพระเกิดเป็นเทวดา จำนังแสบได้มั้ยล่ะ ? เทวดาหน้าอีเห็นน่ะ ?

    ถาม: เขาเหมือนคน ?

    ตอบ: ไม่ใช่เหมือน มันใช่เลย เพียงแต่ว่ากรรมที่เขาทำ ทำให้เขาต้องลำบากอยู่ในภูมิของเดรัจฉาน ก็เลยไม่สามารถที่จะสื่ออะไรกับคนที่ไม่ได้ทิพจักขุญาณได้มากนัก

    ถาม: แต่เขาฟังเรารู้เรื่องตลอด ?

    ตอบ: เขารู้ แต่วาเวลาเขาสื่อสารมันก็เป็นภาษาของเขา เป็นภาษากายมั่ง เป็นภาษาตามั่ง ประเภทยิ้มด้วยหู กระดิกหาง

    ถาม: เหมือนเขาฟังคำพูดเราออก แต่ทำไมคนฟังคำพูดเขาไม่ออก ?

    ตอบ: ก็ส่วนใหญ่แล้วคนมันห่วยแตกสู้หมาไม่ได้ เคยเห็นหมาตัวไหน หัดพูดภาษาต่างประเทศบ้างมั้ย ? ไม่มี แต่เอาหมาไทยกับหมาต่างประเทศมาสิ มันคุยกันได้ทุกตัวแหละ เขาเรียกว่า กรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรม เขาสื่อสารกันได้ หมาไม่ต้องฝึกทิพจักขุญาณ ไม่ต้องฝึกกสิณหรอก มันเห็นผีทุกตัวแหละ ฤทธิ์โดยวิบากกรรม พระพุทธเจ้าบอกไว้ชัดเลยฤทธิ์มี ๑๐ อย่าง

    เพราะฉะนั้นเราจริง ๆ สู้หมาไม่ได้นะ หมามันเจ๋งกว่าเยอะ ที่วัดถึงเวลาหมาไม่ยอมกินข้าว หลวงพ่อก็สงสัย ท่านแม่บอกว่าก็เขาไปดุมัน ต้องพูดกับมันเพราะ ๆ มันถึงจะกิน มาอีกทีหนึ่ง ประเภทว่าแมวไม่ยอมกินอาหาร ท่านก็บอกว่าให้เรียกชื่อเก่ามันสิ บอกว่าชื่อเก่าชื่ออะไร ? ชื่อชูศรี พอเรียกชูศรีเอ้ยมากินข้าว วิ่งอ้าวมาเลย

    พวกสัตว์ดีอยู่อย่างหนึ่ง ตรงจุดที่ว่ามันมีกิริยา มายามันไม่มี ทำอะไรมันก็แสดงออกตรง ๆ ของคนเรานี่ปรุงแต่งเยอะไปหน่อย ไปเจอที่ไหน ? คงจะแถว ๆ เส้นทางระหว่าบ่อพลอย ออกด่านช้างไปโน่น ไปวัดท่าซุงนั่นแหละ จำได้ว่าเข้าปั๊ม เราก็จะเดินไปฉี่ พออ้อมพ้นตึกปั๊บ จ๊ะเอ๋กับหมาตัวหนึ่ง ความคิดมันออกชัดเลยนั่นแน่กูได้กินแน่แล้ว มันรู้เลย แล้วมันก็เดินตามเดี๋ยวนั้น เราเองก็ต้องไปซื้อขนมให้มันกิน มันรู้ขนาดนั้น มันรู้ว่าคน ๆ นี้สงเคราะห์มันได้

    ถาม: แสดงว่ามันมีเจดตปริยญาณ ?

    ตอบ: ตัวนั้นน่ะ พิเศษสุด นาน ๆ เจอทีหนึ่ง แต่ถ้าอย่างคุณทหารนั่น ทรงฌานเป็นปกติ ทรงฌานเป็นปกติ ถึงเวลาพระจะนั่งรถรางไปทำวัตรเย็นที่วิหารร้อยเมตร พอห้าโมงตรง รถรางจะออก คุณทหารก็โดดขึ้นรถราง

    แต่คราวนี้มันเป็นขี้เรื้อนคนก็รังเกียจกลิ่นมัน พอคนรังเกียจกลิ่นมัน ก็ไล่มัน มันก็ อ๊ะ...ไม่ไปก็ได้ วิ่งเองก็ได้วะ มันก็วิ่งไป ไปถึงวิหารร้อยเมตร ก็เข้าไปข้างใน ปกติพระจะนั่งตามลำดับพรรษา ถ้าองค์ไหนไม่มาที่ก็โหว่อยู่ คุณทหารจะไปนั่งเกาขี้กลากตรงนั้นน่ะ ประจานซะ อยากไม่มาดีนัก

    พอพระเริ่มทำวัตรขึ้นโยโส ภควา มันหมอบป๊อกลง ใจใสนิ้งเลย ฌานสี่เต็มกำลังเลย แล้วมันตั้งเวลาได้ด้วย ตั้งเวลาได้ถึงขนาด พอพระ...อรหังสัมมาสัมพุทโธ มันลุกพรืดสะบัดตัววิ่งไปเตรียมทำกรรมฐานต่อแล้ว เราก็ เออ...ไอ้ตัวนี้มันยอดว่ะ มันเจ๋งกว่าเราเยอะเลย

    ปรากฏว่าคนเขารังเกียจเพราะว่ากลิ่นมันไม่ดี ในเมื่อรังเกียจมัน ถึงเวลาเขาปิดประตูวิหารร้อยเมตรไม่ยอมให้เข้า โอ้โห...มันหอนอยู่หน้าประตูวิหารอย่างกับจะขาดใจ ประเภทว่าจะทำความดีทำไมต้องขวางด้วย เราก็คิดนะ วันนี้ล่ะมึงเอ๊ย มีเรื่องแน่เลย จริง ๆ ด้วย หลวงพ่ออกเสียงตามสายประกาศเลย บอกว่าถ้าไอ้ทหารมันจะเข้าวิหารร้อยเมตร ปล่อยมันเข้าไป มันไม่เคยทำสกปรก หัดสังเกตดูมั่ง คือหมาตัวอื่นเห็นเสาต้องฉี่ คุณทหารไม่เคยฉี่

    หลังจากนั้นไม่นานก็ตาย หลวงพ่อบอกไปเป็นพรหมแล้ว กำลังของฌานอายหมามั้ยล่ะ ? เออ...อีกตัวหนึ่งก็ท่านใหม่ ไอ้นี่พระโพธิสัตว์ โอ้โห...กัดแหลก กัดทุกคนที่ขวางหน้า หมาอย่างท่านใหม่นี่น่ากลัวที่สุดเลย มันหนีมันไม่หนีไกล มันหนีแค่สุดปลายไม้ จะตีมันนี่ ไม้ผ่านปุ๊บมันโดดสวนเลย โอ้โฮ...สุดยอดหมาจริง ๆ น่ะ ของเราเนี่ยเคยโดนมันกัดครั้งหนึ่ง ๑๑ เขี้ยว ทางด้านนี้มือแปไป ๔ เดือน ตั้งแต่ช่วงนี้ลงมามันกัดเข้าหมด ทางข้างบนมันกัดแล้วเป็นรอยขีด ๆ นูน ๆ เท่านั้น

    ถามหลวงพ่อบอกทำไมมันกัดเข้าครับ ? ท่านบอกว่าถ้านอกมือนอกเท้าแล้วกันไม่ได้ ถ้าของดีแค่ไหนก็กันไม่ได้ ท่านบอกน้าของท่านสมัยก่อนไปยิงกับโจร พอปืนมันหมด บรรจุลูกไม่ทัน ก็คว้าดาบโดดใส่กันฟันตั้งแต่เช้ายันเพล บอกไปเสียหลักหน่อยหนึ่ง ไปสะดุดตอแล้วเขาฟันเอา ก็เผลอยกมือกัน โดนมือแปไปเหมือนกัน ส่วนอื่นยังไง ๆ ก็ฟันไม่เข้า เสื้อขาดกะรุ่งกะริ่งหมด แต่ว่าถ้านอกข้ออกมานี่เข้า

    นี่สังเกตมา ๓-๔ ทีละ อาตมาเองโดนเองประจำนั่นแหละ ข้อมือข้อเท้านี่จะเข้า คือว่ามันเป็นขี้เรื้อนเหมือนกัน ก็ไปทายาให้ มันลักษณะเดียวกัน คราวนี้พอทา ๆ กว่าจะทั่วตัว ก็นานหน่อย มันเริ่มร้อนมันก็สะบัดจะออก เราก็ล็อคไว้ พอล็อคปุ๊บมันกัดเลย

    กระทั่งหลวงพ่อไปตีมัน มันก็ฮึ่มใส่ ถามหลวงพ่อบอกทำไมมันเป็นยังนี้ครับ ? ท่านบอกว่าไอ้เจ้าเนี่ยชาติก่อนมันตายขณะกำลังตะลุมบอนอยู่ มันก็เลยไม่แยกมิตรไม่แยกศัตรูหรอก ใครที่คิดว่าอันตรายมันกัดไว้ก่อน ท่านใหม่เขาจะมีอาชีพหลักก็คือวิ่งนำหน้ารถหลวงพ่อตอนเช้า ๆ บ่าย ๆ ตอนเช้าหลวงพ่อจะมาทางด้านตกกลางน้ำหรือวิหารร้อยเมตรมาหน้าตึกที่ริมน้ำ หรือออกจากหน้าตึกริมน้ำนี่จะไปรับแขกที่ตึกรับแขก และท่านใหม่จะมีหน้าที่วิ่งนำหน้ารถ ตอนนั้นใครอย่าขวางนะ ขวางมันกัดแหลกจริง ๆ เป็นหน้าที่ของมันน่ะ

    มีอยู่ ๒ คนที่มันไม่กัดคืออาตมากับท่านน้อย ท่านน้อยถ้าเห็นท่านใหม่ควบเข้ามาอย่างกับสิงโตละก็จะตะโกนลั่นเลย ไอ้ใหม่ กูเองโว้ย ก็เออ...จะได้สติ ส่วนของเรานี่ไม่หนีมัน คนอื่นหนีมัน มันไล่กัดเอา ของเราไม่หนีอยู่ได้

    คราวนี้จะมีหลวงพี่วิรัชกับหลวงพี่ชลอนี่คู่ปรับของใหม่มันเลย หลวงพี่ชลอนี่ท่านใหม่มันแค้นมากเลยล่ะ จะย่องตามอยู่ตลอด เผลอเมื่อไหร่กัดทันที เพราะว่าหลวงพี่ชลอแกเลี้ยงหมาไว้ ๔ ตัว พวกไอ้แฟนต้า สไปร์ท หลวงพ่อมีโคล่า หลวงพี่ชลอเขามีน้ำอัดลมยี่ห้ออื่น

    นั่นแหละ วันนั้น ท่านใหม่มันออกไปทางด้านหลังหอฉันใหม่ เป็นถิ่นของไอ้ ๔-๕ ตัว มันก็รุมฟัด พอรุมฟัด ท่านใหม่มันก็สู้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก มีปัญหาตรงพี่ชลอแกเข้าข้างหมาตัวเอง แทนที่จะห้ามหมาตัวเอง ไม่ห้าม ดันไปช่วยตีไอ้ท่านใหม่ โอ้โห...มันจำจนวันตายเลย นั่นแหละ หลวงพี่ชลอไปไหนต้องถือไม้ติดมือไว้ อย่าเผลอนะ เผลอเมื่อไหร่มันถึงตัวมันไม่บอกด้วย

    ส่วนอีกคนหนึ่งนี่ หลวงพี่วิรัชโดนมันกัดรักษาตัวอยู่ครึ่งค่อนเดือนกว่าจะหาย ไปให้เขาเหลาไม้มา ไม้รวกอันแค่นี้ยาวเป็นวาเลย กะจะตีกับท่านใหม่ พอถึงเวลาเจอะหน้ากัน ท่านใหม่โฮกใส่ พี่วิรัชมืออ่อนตีนอ่อน กองให้มันกัดแต่โดยดี มันดุอย่างกับเสือจริง ๆ หมาตัวนี้

    นั่นแหละ หลวงพี่ชลอตีมัน สังเกตเห็นชัดเลย มันไม่หลบไกล มันแค่ดึงตัวพ้นปลายไม้ แล้วโดดสวนเลย โอ้โห...หมาหยั่งนี้น่ากลัว เสร็จแล้วกรรมการสงฆ์ปรึกษากันจะจับมันมาปล่อยกรุงฯ จุดมุ่งหมายก็คือให้เทศบาลเก็บแทน เป็นพระฆ่าหมาไม่ได้ หลวงพ่อบอกว่ามีของดีอยู่แล้ว ไม่รู้จักใช้ ท่านบอกว่าหมาดุน่ะมันดี คนมันจะได้เกรง เรารู้อยู่ว่าตอนไหนมันทำหน้าที่อะไร ตอนเช้ากับบ่ายที่มันจะต้องวิ่งนำหน้ารถก็อย่าไปขวางทางมันสิ มันก็หมดเรื่องไปแล้ว ถ้ากลางคืนท่านใหม่มันส่ายอาด ๆ อยู่ในวัด ใครมันจะกล้าเข้าวัดล่ะ ขนาดพระด้วยกัน ยังเตรียมเผ่นอยู่แล้ว

    คราวนี้มันหายไป ๒ วัน ไม่มาวิ่งนำหน้ารถ หลวงพ่อก็ให้ทหารตำรวจไปเดินหาซิว่าอยู่ที่ไหน พอเช้าวันที่ ๓ เช้ามืดกำลังทำกรรมฐานอยู่ มีเทวดาอยู่องค์หนึ่งเดินขึ้นมา หน้าเป็นท่านใหม่เป๊ะเลย เทวดาหน้าหมา ถามว่า เฮ้ย...เทวดามีหน้าอย่างนี้ด้วยเหรอ ? บอกว่ากลัวท่านจะจำผมไม่ได้ครับ ถามว่าแล้วตอนนี้หายหัวไปไหนมา ? บอกผมตายแล้วครับ ตกน้ำตาย ทำภาพให้ดู แก่แล้วทะลึ่งเล่นซนเป็นหมาเด็ก ๆไปยื้อพวกผักตบชวาเล่น ดึงไปดึงมา เย่อไปเย่อมา ลื่นพรืดตกลงไป

    คราวนี้ตัวเองแก่แล้ว ตะเกียกตะกายเกาะแพอยู่ไม่กี่ทีหมดแรงก็จมบ๋อง ตอนทำภาพให้ดูนี่มันลอยอืดแล้ว ปลาดอดตุบตับ ๆ อยู่ กลิ่นมาพร้อมเลย บอกไอ้ฉิบหาย รีบเอาไปไกล ๆ เลยมึง ปกติแล้วท่านใหม่มันไม่ได้กลัวเราหรอก แต่ว่ามันเกรงเพราะว่าบอกกับมันไว้ บอกว่าถ้าหากว่าเอ็งกัดข้านะ ข้าจะเอาหนังสติ๊กยิงกบาลเอ็ง หมามันจะกลัวหนังสติ๊ก เพราะว่ายิงมันได้ไกล ๆ มันก็เลยเกรงใจ

    ปรากฏว่าพอถึงเวลาตาย แทนที่ไปหาคนอื่น มาหาคู่กัดก่อน มาบอกให้ฟังบอกว่าเขาตายแล้ว ไม่ต้องไปหาเขา มันลอยน้ำไปแล้ว พอเช้าก็บอกพวกทหารตำรวจเขา บอกไม่ต้องไปหาท่านใหม่หรอกนะ มันตายแล้ว เมื่อเช้ามันแวะมาหา บอกให้ช่วยถวายสังฆทานให้มันด้วย พวกแกถวายสังฆทานให้มันด้วยก็แล้วกัน

    ทหารตำรวจเขาเชื่อ แต่พระไม่เชื่อ ไปแอบถามหลวงพ่อตอนออกรับแขก หลวงพ่อเลยยืนยันให้ เขาไปถามในลักษณะว่าอาตมาบอกว่าไอ้ใหม่ตายแล้วเป็นเทวดาด้วย จริงรึเปล่าครับหลวงพ่อ ? หลวงพ่อบอก เออจริง มันเป็นเทวดา ปกติแล้วต้องอยู่ชั้นดุสิต เพราะเป็นพระโพธิสัตว์

    โอ้โห...สุดยอดน่ะ แต่ว่าท่านใหม่ไม่ไปดุสิต หลบอยู่แค่ดาวดึงส์ ถามแล้วว่าทำไมถึงหลบมาอยู่ดาวดึงส์ ? บอกถ้าอยู่ดุสิตต้องมีหน้าที่เทศน์สอนเทวดา มันขี้เกียจเทศน์ พระโพธิสัตว์จะรู้ธรรมมาก ถึงเวลาต้องเทศน์สอนเขา มันขี้เกียจเทศน์ แล้วบอกว่าต่อไปจะเป็นยังไง อีกไม่นานจะลงมาเกิดใหม่อีกที ใครเป็นคู่ปรับมัน...เจออีก ตกลงว่าหมานี่เขาไปเป็นเทวดาเป็นพรหมกันเป็นแถว

    ถาม: ก่อนตายนี่สำคัญมาก ?

    ตอบ: สำคัญ แล้วอีกอย่างหนึ่ง พวกพระโพธิสัตว์นี่กำลังใจเขาเข้มแข็งอยู่แล้ว แล้วเขาเองเท่ากับว่าเขาทำงานให้สงฆ์อยู่ทุกวัน ดุแลของสงฆ์รักษาความปลอดภัยให้หลวงพ่อด้วย

    ถาม: การสะกดจิตรักษาโรค บางคนที่มีนิสัยประหลาด พอสะกดจิตย้อนหลังพบว่าก่อนตายจะเจออะไรที่... กลายเป็นนิสัย ?

    ตอบ: มันก็เจอลักษณะนั้น มีอยู่คนหนึ่งเขากลืนยาไม่ได้ กลืนอะไรใหญ่หน่อยมันจะติดคอ ไปสะกดจิตรักษาโรค ปรากฏว่าชาติก่อนเขาโดนเชือดคอตาย มันระแวงอยู่เสมอ ตัวเองมีแผลอยู่ไง กลืนอะไรไปก็เด้งดึ๋งขึ้นมา

    ถาม: จะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย ?

    ตอบ: ออสเตรเลีย อุปสรรคทุกอย่างมันเกิดขึ้นที่ใจเรา อันดับแรก ไปไกลแล้วเหงา อันดับที่สองทนความเย้ายวนไม่ได้ ไหลตามเพื่อนไป ทำไมไปออสเตรเลีย เงินมันใหญ่กว่าเราเยอะ ไปไอ้ที่เงินเล็ก ๆ กว่าไม่ได้เรอะ ?

    ถาม: ที่ไหนที่เงินเล็กกว่า ?

    ตอบ: ลาวยังงี้ เขมรยังงี้ พม่ายังงี้ ตอนนี้ลาวแย่หน่อยเพราะว่าบาทหนึ่งนี้สองร้อยกว่าของเขา เขมรนี่ก็ระดับเดียวกัน มีญวนน่ะสิ ญวนนี่บาทหนึ่งได้ประมาณพันหก ของพม่านี่บาทหนึ่งยี่สิบกว่า อินเดียบาทต่อบาท บาทต่อบาทแต่ถ้าแลก ๓ บาทมันให้เราสิบสลึง แสดงว่าของเราเล็กกว่าเขาหน่อยหนึ่ง เงินไทยกับอินเดียนี่สูสีกันนะ บาทต่อบาท แต่ถ้าแลก ๓ บาทเขาให้เราสิบสลึง เพราะฉะนั้นแลกมันทีละบาท

    ถาม: .......................

    ตอบ: ไปหางานทำด้วย ร้านอาหารไทยเป็นหลักจำไว้ว่าอะไรก็ตาม ถ้ายังไม่ได้ทำอย่าเพิ่งกลัว เขาบอกว่าทำไม่ได้ ตื๊อทำมันให้ได้ แล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิต

    อาตมาคนหนึ่ง ใครว่าอะไรที่ไม่ได้นี่ ไม่เคยเชื่อเลย หลวงพี่วิรัชเป็นหมอดูชั้นยอดของวัดท่าซุงเลยนะ ตำราของท่านเนี้ยบมากเลย เขายืนยันท่านเล็กพรรษาที่สามคุณสึกแน่ ผมดูมาเป็นสิบละ คนที่ดวงตกลักษณะอย่างนี้สึกหมด ก็บอกแล้วถ้าผมไม่สึกล่ะ ? ท่านบอกถ้าไม่สึกผมยอมเผาตำราทิ้ง ตกลงหลวงพี่วิรัชต้องเผาทิ้งทั้งเซ็ดเลย เสียดายเหมือนกันเพราะว่าเก็บลายมือของคนเอาไว้เป็นปึก ๆ เลย ใครไปดูหมอจะปั๊มลายมือเก็บไว้หมด เอาไว้เป็นตัวอย่างศึกษา เสียดายเหมือนกันคือคนบ้า ๆ อย่างเรานี่มันนอกเหตุเหนือผลอยู่แล้ว คือถ้าท่านท้านี่เราสู้ แต่ว่าตอนนั้นรู้สึกเหมือนกันว่ามันแย่ จะไปแหล่ไม่ไปแหล่เหมือนกัน ที่ตื๊ออยู่ได้เพราะอยากเอาชนะเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นอะไรที่เขาบอกว่าเราทำไม่ได้พยายามทำซะ อะไรที่ทำไปแล้วไม่ต้องเสียใจ แต่จงเสียดายถ้าไม่ได้ทำ

    ถาม: อิทธิพลดวงดาว ชะตาชีวิต ?

    ตอบ: มันมีผลอยู่ อย่าลืมว่าแค่ดวงจันทร์แค่นี้ ยังทำให้น้ำขึ้นน้ำลง แล้วโดยเฉพาะผู้หญิงกับดวงจันทร์นี่ไปด้วยกันอยู่แล้ว ๒๘ วันเจอกันทีหนึ่ง

    ดาวอื่น ๆ ก็เหมือนกัน แต่ว่าขณะเดียวกันว่า เราก็อย่าปล่อยให้เขามีอิทธิพลต่อเราฝ่ายเดียว ถ้าหากว่าความดีของเราสูง ความเข้มแข็งของใจของเราสูง เขาก็มีอิทธิพลน้อย ในเรื่องของดวงเรื่องของโหราศาสตร์ที่แม่นที่สุด ถ้าหากว่าเรามั่นคงในเรื่องของทาน ศีล ภาวนา เรื่องไม่ดีทีจะเกิดขึ้นมีไม่เกิน ๒๕% ที่เหลือมันสู้ความดีไม่ได้

    ถาม: มีผลต่อการปฏิบัติใช่มั้ยคะ ?

    ตอบ: มี ถ้าเราสามารถดึงเอากลังเข้ามาใช้ได้ก็สนุก แต่อย่าเล่นแบบอาตมานะ เกือบตาย
    มีอยู่วันหนึ่งนอนภาวนา ตอนนั้น...ฝึกกรรมฐานไม่นาน เห็นประจุไฟฟ้าในบรรยากาศ เห็นอันนี้บวก อันนี้ลบ เต็มไปหมดเลย แล้วมานึก ๆ นี่แหละ ถ้าดึงเข้ามาในตัวได้ก็เหมือนอย่างกับกำลังภายใน ใช้งานได้ด้วย เราก็ลองเอากำลังใจรวบรวมมันเป็นจุดเดียว แล้วดึงมันลงมาใส่ตัว เจ้าประคุณเถอะ เกือบพิพากษาประหารชีวิตตัวเอง รู้สึกเหมือนตัวมันพอง วูบออก เส้นเลือดมันจะระเบิด สมองมันจะกระเด็นออกทางกระหม่อม ตรงลูกกะตาจะหลุดออกไปเลยยังงั้น ชั่ววินาที ๒ วินาทีแค่นั้นเอง ต้องรีบตัดกำลังใจคลายมันออก ผลปรากฏว่านอนแผ่หรา เยียวยาตัวเองอยู่ ๒ ชั่วโมงกว่าจะกระดิกได้ ตั้งแต่นั้นมาเข็ด ง่ายแค่ไหนก็ไม่เอาแล้ว วิธีมักง่าย มันจะพาเราตายเร็ว ตอนนั้นลืมนึกไปว่ามันเยอะเกินไป โลภมากเอาเยอะ ๆ ยิ่งดี เกือบจะโดนไฟช็อตตายโดยไม่มีสาเหตุ

    ถาม: ฝึกกำลังภายใน ฝึกไป...?

    ตอบ: ท้าย ๆ มันก็เป็นเรื่องของจิตหมด ดูอย่างในมังกรคู่สู้สิบทิศ ตอนนี้มันสัมพันธ์กับฟ้าดินแล้ว แต่ว่ายังมีอีกขั้นหนึ่ง เขาบอกสู่อนุภาพ ตอนนี้มันเหลือแต่จิตล้วน ๆ

    สมัยก่อนคนไทยของเรา เวลาฝึกมวยฝึกอาวุธ มันจะต้องหัดสมาธิภาวนาไปด้วย ระยะแรก ๆ การใช้อาวุธ ท่าเท้า การเคลื่นอไหวของร่างกายต้องสัมพันธ์กันหมด ในเมื่อสัมพันธ์กันหมด พอมันเริ่มกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็อยู่ในระดับที่เรียกว่าม้าย่อง พอต่อไปกำลังจิตเริ่มส่งออกมันกดดันคู่ต่อสู้ได้ จะอยู่ในจุดที่เรียกว่า เสือย่าง คือเดินแบบเสือ แค่เดินคู่ต่อสู้ก็รู้แล้วละว่าไอ้นี่มันเอาเราตายแน่ บางคนแพ้ตั้งแต่ไม่ทันจะลงมือ เพราะระดับมันห่างกันมาก พอสุดท้ายเขาเรียกสีหยาตรเดินแบบพญาราชสีห์ นี่พลังจิตออกกดดันคู่ต่อสู้

    ส่วนใหญ่ยอมแพ้ตั้งแต่ก่อนจะลงมือ ที่อ่าน ๆ ไปนั่นแหละ สังเกตมั้ยว่าพอถึงระดับสุดท้ายแล้ว ของเขาสามารถที่จะใช้กำลังของเขาควบคุมคนอื่นได้ เหินเตะ ท่านี้เขาเรียกหนุมานเหินหาว จะเป็นการใช้กำลังใจคุมร่างกายตัวเองให้ลอยขึ้นตามเตะคู่ต่อสู้ ถ้ามันไม่หมอบคาตีนก็ไม่เลิก

    ปัจจุบันเท่าที่รู้มีทำได้อยู่คนเดียว ก็คือคุณสเกน แก้วผดุง ตอนนี้เปิดค่ายมวยอยู่อังกฤษ ต้องอัดกับพวกไอ้มืดไอ้หรั่งตัวยักษ์ ๆ ประจำ สเกนเขาให้ฝรั่ง ๆ ๒ คนขี่คอกัน แล้วเอาดาบเสียบลูกแอ๊ปเปิ้ลชูขึ้นไปสุดแขน สูงประมาณเท่าไหร่ น่าจะเกิน ๓ เมตร คุณสเกนเตะถึงลักษณะเหมือนกระโดดในสายตาคนอื่นเขา แต่ถ้าหากว่าในสายตาของพวกเราก็คือมันลอยขึ้นไปเฉย ๆ หลวงพ่อบอกว่าใช้กำลังใจไม่มาก แค่คุมอุเพ็งคาปิติให้อยู่ในระดับนั้นก็พอ กำหนดใจเมื่อไรให้ได้ตรงจุดนั้นก็ใช้ได้แค่นั้นเอง ไม่ได้ใช้กำลังใจเยอะเลย แต่อย่าลืมว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของสมาธิ

    เพราะฉะนั้นปัจจุบันของเราอย่างที่หัด ๆ กันอยู่ในเรื่องของอาวุธ อย่างพวกสำนักพุทไธสวรรย์ ตามปัจจุบันมันห่วยแตกแล้ว ถ้าสามารถใช้ได้แค่นั้นเมืองไทยเราไม่รอดจากข้าศึกมาจนทุกวันนี้เหรอก

    เคยอ่านประวัติพระยาสีหราชเดโชหายตัวได้อึดใจหนึ่ง ก็ลักษณะนั้นแหละ พอถึงเวลากลั้นใจว่าคาถา เขาเรียกคาถาวิรุฬจำบัง ข้าศึกจะมองไม่เห็นทั้งตัวทั้งเงา ไปได้ชั่วอึดใจหนึ่ง ชั่วอึดใจหนึ่งนี่ ประเภทมันเหลือเฟือที่จะฟันหัวฝ่ายตรงข้าม มันจะเหลืออะไร ก็อาวุธยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่เขามองไม่เห็น นั่นคือการใช้พลังจิตอย่างหนึ่ง

    มารุ่นหลัง ๆ นี่หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ อยุธยา เจ้าของหนึ่งในเหรียญเบญจภาคี แพงที่สุดในประเทศไทย หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ท่านเปิดสำนักสอนกระบี่กระบองในวัด สมัยนั้นมันยังมีการค้าขายอยู่ ค้าขายสำเภากับจีนอยู่ มีมือกระบี่จากเมืองจีนมา อยากทดสอบวิชาตัวเองว่าอยู่ระดับไหนแล้ว ก็ตามลุยไปทีละสำนัก เขาชนะมาตลอด พอไปถึงวัดพระญาติก็ขอลองด้วย หลวงพ่อกลั่นบอกว่าท่านเป็นพระ ท่านสอนแต่ลูกศิษย์ ถ้าคุณอยากลองยอมให้ลอง แต่ว่ามีข้อแม้ หลวงพ่อกลั่นท่านบอกว่าจะปิดให้ตีเพลงหนึ่ง เพลงหนึ่งนี่เขาตีกลองกันลิ้นห้อยเหมือนกัน มันไม่ใช่แป๊บเดียว อย่าลืมว่าเพลงหนึ่งอาจจะมีซักร้อยแปดกระบวน จะปิดให้ตีเพลงหนึ่ง ถ้าคุณไม่สามารถทำอันตรายได้คุณต้องกลับเมืองจีนแล้วอย่ามารังควานคนไทยอีก เขาก็ตกลง

    หลวงพ่อกลั่นถือพลองสั้น ๒ อัน ฝ่ายตรงข้ามใช้อาวุธได้ตามถนัด ลูกศิษย์บอกว่าพอหลวงพ่อกลั่นควงพลองมองไม่เห็นตัว เห็นแต่เงาพลองล้อมอยู่ เจ้านั่นตีจนลิ้นห้อ ตีไม่ถูกซักที เข้าไปเท่าไหร่กระดอนกลับหมด ก็เลยยอม วางกระบี่กราบหลวงพ่อกลั่นแล้วก็กลับ ไม่รู้จะสู้ไปทำไม เขายังไม่ทันจะตีคืนเลย คือลักษณะอย่างนั้น


    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...