ฉบับที่ ๔๓ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 5 กันยายน 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ช่วงแรกของเล่ม "กรรมฐาน ๔๐" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนตุลาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ถาม: .........................................

    ตอบ : ท่านบอกว่าภรรยานายเรือนั่นก็ตกนรกอยู่นานแสนนาน เกิดมาชาตินี้โดนถ่วงน้ำ แต่ว่าพวกเด็กที่ไปกักขังเหี้ยตัวนั้นก็ไม่ลงนรก แต่ว่าเกิดมาชาติใหม่บวชพระแล้วโดน เป็นอันว่าโดนขังเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าหินใหญ่ขนาดนั้นอยู่ ๆ มันกลิ้งลงมาปิดปากถ้ำเอาไว้ จะงัดแงะฉุดดึงยังไงก็ไม่ออก ครบเจ็ดวันมันกลิ้งออกไปเฉย ๆ ถึงได้บอกว่าวิบากของกรรม เป็นเรื่องเกินกว่าที่คนจะนึกถึง ท่านถึงได้บอกว่าพุทธวิสัย ความสามารถของพระพุทธเจ้าก็ดี ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ได้ฌาน ได้สมาบัติก็ดี กรรมวิบาก การส่งผลของกรรม โลกจินไตยความเป็นไปของโลก ท่านบอกว่าอย่าไปเสียเวลาคิดมัน ผู้ใดคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า เสียเวลาเปล่า ๆ มัวแต่ไปคิดอยู่ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เสียเวลาไม่ได้ทำความดีอะไร เป็นเราติดแหงกอย่างนั้นก็แย่เหมือนกัน

    ถาม : ถ้าติดแหงกอย่างนั้นก็ถือโอกาสเข้าฌานสมาบัติไปเลย ?
    ตอบ : อย่างนั้นก็ถือว่าคุณโชคดี ระวังเขาเอาไปเผาเหมือนกับอาตมาแล้ว ป่วยขึ้นมา พอหนัก ๆ ทนไม่ไหว เราก็เข้าสมาธิเพื่อระงับเวทนา ปรากฏว่าเขาช่วยกันยำเราเสียเละเลย โดยเฉพาะพวกที่เอามือมาอังแล้วไม่มีลมหายใจ ก็ตกอกตกใจกันใหญ่ หลวงปู่ธรรมชัยที่ตายไปก็ประเภทอย่างนี้แหละ คือท่านทนไม่ไหว ถึงเวลามันปั๊มหัวใจกัน ก็คิดดูท่านผอม ๆ บาง ๆ แล้วโดนกระแทกอึ๊ก ๆ อย่างนั้น

    ถาม : ความจริงท่านจะไม่ไป ?
    ตอบ : ท่านก็เลยไปเลย หมดเรื่องหมดราวเสีย ตัวเองก็จะไปเหมือนกัน ตื่นขึ้นมาแสบไปหมด ถามว่าอะไรมั่ง ? เล่นเอาน้ำร้อนประคบถูกันใหญ่ เขาบอกว่ามันแข็งไปหมดทั้งตัวแล้ว เขาว่า เรานี้บอกท่านเอเขาไว้ เขาทำวัตรอยู่ กำหนดใจบอกเขาว่า เฮ้ย! มาช่วยหน่อยโว้ย เดี๋ยวมันยำกูตายพอดี ท่านเอเขาก็มาถึงก็พูดเพราะเหลือเกิน เป็นเรานี่คงด่าเตลิดเปิดเปิงไปแล้วใช่ไหม รายนั้นเขาบอกว่า ผมว่านะ ถ้าหากว่าพวกเราไม่ไปยุ่งกับท่านเดี๋ยวท่านก็ฟื้นเอง แหม! เป็นเราก็ด่ากระจายไปแล้ว นี่พูดเพราะจัง แล้วคนมันจะไปรู้ภาษาอะไร ก็คนอื่นมันรับไม่ได้ คนรับได้มันมีอยู่คนเดียว แล้วพูดเพราะจังเลย

    ถาม : แล้วคนที่เขาช่วยนี่มีโทษไหมคะ ?
    ตอบ : เขาเจตนาดีจ้ะ พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วว่าผู้ใดต้องการอุปัฏฐากท่านให้ดูแลภิกษุไข้ ผู้อุปัฏฐากดูแลภิกษุไข้ ได้บุญเท่าเหมือนกับอุปัฏฐากตถาคตนั่นแหละ ยอมให้มันได้บุญเราก็ทนแสบเอาหน่อยแล้วกัน สร้างเวรสร้างกรรมไว้เยอะก็ต้องอย่างนั้น

    ถาม : การที่เราเอาพระธาตุครูบาอาจารย์ไว้ที่เกตุพระพุทธรูปมีผลเสียไหมครับ ?
    ตอบ : ความจริงไม่ควร ถ้าบรรจุไว้ที่ฐานดีกว่า ถ้าบรรจุที่เกตุน่าจะเป็นพระบรมสารีริกธาตุ คือบางคนเขาคิดว่าเหมาะสม แต่มันไม่รอบคอบ คือพระจริง ๆ ท่านไม่ถือสาหรอก แต่ทำแล้วมันเหมาะสมไหม

    สมัยของเรานี้ถือว่าโชคดี เพราะว่าพระบรมสารีริกธาตุรู้สึกว่ามาง่ายเหลือเกิน ถ้าเป็นสมัยโบราณกว่าจะได้สักองค์สององค์มันแสนยาก ต้องมีบุญบารมีระดับเจ้าพระยามหากษัตริย์โน่น ประเภทว่าฉลองกันใหญ่สามเดือนเจ็ดเดือนกันเลยก็มี สร้างเป็นเจดีย์องค์ใหญ่มโหฬาร เพื่อบรรจุกันเลยก็มี อย่างของพระเจ้าอโศกมหาราช ก็จะมีเจดีย์เงิน เจดีย์ทอง เจดีย์แก้ว บรรจุซ้อน ๆ กันเอาไว้ เสร็จแล้วก็สร้างเป็นห้องศิลาใต้ดิน ถ้าสมัยนี้ก็คงประเภทคอนกรีต ทำเป็นห้องใหญ่ เสร็จแล้วข้างบนก็ก่อเจดีย์ซ้อนไว้อีกชั้นหนึ่ง คือทุกอย่าง ท่านทำไว้ด้วยความเคารพ ทำให้สมกับพระเกียรติยศของพระพุทธเจ้า

    สมัยก่อนพอหลวงพ่อส่งย่ามให้ก็ล้วง มือซน ไม่ค่อยจะเป็นระเบียบเรียบร้อยกับชาวบ้านชาวเมืองเขาที่ไหนหรอก ปรากฏว่าวันนั้นล้วงไป กำลังใจมันเปิดพอดี โอ้โห...โดนช็อตเสียจนสะดุ้งเลย หลวงพ่อท่านเลยหัวเราะสมน้ำหน้ามัน ปรากฏว่าที่ช็อต ล้วงไปเจอมีดหมอพอดี มันเหมือนไปโดนไฟเป็นพันโวลท์ ช็อตเอาสะดุ้งเลย แสดงว่าอานุภาพจริง ๆ ถ้าหากว่าใจมันเปิดรับพอดี ก็แรงขนาดนั้นจริง ๆ ปรากฏว่าจัดแจงค้นดูแล้วหลวงพ่อจะมีมีดหมออยู่เล่มหนึ่ง มีแก้วจักรพรรดิสององค์ แล้วพระบรมสารีริกธาตุใส่เป็นขวดแก้ว

    ถาม : ........................................
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นกลิ่นหอมลักษณะเหมือนกับว่าเป็นดอกไม้ ก็จะเป็นเทวดา ถ้าเป็นกลิ่นเหมือนยังกับไม้จันทน์ก็จะเป็นพรหม แต่ว่าบางองค์ท่านจะมีลักษณะเฉพาะ อย่างเช่น หลวงพ่อท่านมาก็จะเป็นกลิ่นยานัตถ์

    ถาม : ........................................
    ตอบ : สมาธิ ถ้านับว่าอ่อนไป คือยังไม่ถึงปฐมฌาน ถ้าถึงปฐมฌานแล้ว สามารถตัดกิเลสได้ระดับ โสดาบัน กับสกิทาคามี ถ้าอนาคามีต้องฌานสี่ขึ้นไป ไม่อย่างนั้นกำลังจะไม่เพียงพอที่จะกดกิเลสอยู่

    ถาม : กดกิเลสได้นี้ หมายถึงว่าต้องตลอดเวลาเลยหรือว่า...?
    ตอบ : ก็มีทั้งต่อเนื่องและไม่ต่อเนื่อง แต่ว่าอย่างของพระโสดาบัน มันก็ต้องมีขาดช่วงบ้าง แต่กำลังของท่านจะทรงตัว คำว่าทรงตัวก็คือสิ่งที่ท่านทำได้มันจะไม่พลาดอีก เอาแค่ปฐมฌานก็พอไม่ต้องมากหรอก ยึดหัวหาดให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปโกยต่อ

    ถาม : แล้วถ้าทำนานเกินไป ?
    ตอบ : มันมีอยู่สองอย่างเหมือนกัน บางคนกำลังยังไม่เคยชิน การทรงฌานนานเกินไปมันเครียดเหมือนกัน บางคนถ้าทรงฌานนาน ๆ ต้องไปเขย่าให้หลุด กระโดดโลดเต้น เช่นไปฟังเพลงดูหนังให้หลุดไปเลย ซึ่งมันก็น่าเสียดาย เพราะว่าหากเขาสามารถทรงได้สบาย ๆ นี้ สามารถกดกิเลสนิ่งไปเลย

    ถาม : อย่างหนูรู้สึกว่าสมาธิยังอ่อนอยู่ แต่พยายามที่จะข่มใจเอาไว้ แต่รู้ว่าฌานแข็งเกินไป ?
    ตอบ : เป็นไปไม่ได้จ้ะ ฌานแข็งแต่สมาธิอ่อน เพราะสมาธิกับฌานเป็นตัวเดียวกัน คือกำลังสมาธิถ้าทรงตัวเรียกว่าฌาน คือความเคยชิน ความเคยชินระดับ ๑ ก็คือฌาน ๑ ความเคยชินระดับ ๒ ก็คือ ฌาน ๒ เอาเถอะถ้าเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ตั้งใจว่าตายเมื่อไหรก็ไปนิพพาน ฌานมันเป็นไงช่างหัวมันเถอะ รักษาอารมณ์นี้ให้ได้แล้วกัน ง่ายกว่าเยอะเลย

    ถาม : แล้วเวลาที่นั่งสมาธิ บางอารมณ์มันคิดถึงพระมากเลย ต้องแก้อย่างไรคะ ?
    ตอบ : ไม่ต้องแก้จ้ะ ก็คิดถึงต่อไป คือ ถ้าหากว่ามันอยากจะคิดให้มันคิด ถ้าหากว่ามันอยากจะภาวนาให้ภาวนา เพียงแต่ว่าการคิดให้มันคิดอยู่ในด้านอนุสติ ๑๐ ประการ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทวดา ศีล การบริจาคให้ทาน ความตาย ความสงบระงับ หมายถึงว่านึกรักษาอารมณ์นึกถึงพระนิพพาน แล้วก็ลมหายใจเข้าออก ถือว่าทรงอยู่ในด้านดี

    ถาม : ไม่เป็นวิปัสสนาหรือคะ ?
    ตอบ : ไม่เป็นจ้ะ ถ้าหากจะเป็นวิปัสสนาต้องเห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างยึดมั่นถือมั่นหมายไม่ได้ หรือว่าถ้าหากว่าให้คิดอยู่ในด้านดี แต่ละวันประคองให้มันอยู่ในด้านดีได้ก็น่าพอใจแล้วล่ะ

    ถาม : (เรื่องแหวนจักรพรรดิ)
    ตอบ : คือ ถ้าในจำนวนวัตถุมงคลของหลวงพ่อ ก็มีแหวนจักรพรรดินี่แหละที่ท่านบอกว่าพระทุกองค์ควรจะมี

    ถาม : รุ่นไหนก็ได้ ?
    ตอบ : ก็รุ่นที่ท่านทำนั่นแหละ จะเป็นรุ่นไหนก็ได้

    ถาม : ฉันมีแหวนจักรพรรดิอยู่รุ่นหนึ่ง จับทีไรขนลุกซู่ทุกที ?
    ตอบ : ยังดีครับ ผมเองเคยโดนมีดหมอหลวงพ่อช็อตกระโดดเลย มันดูดยังกับไฟเป็นพัน ๆ โวลท์เลย เคยถามหลวงพ่อว่า ที่หลวงพ่อพกอยู่นี่ อันไหนสำคัญที่สุด ท่านบอกว่าพระบรมสารีริกธาตุสำคัญที่สุด วัตถุมงคลในโลกนี้ไม่มีทางทำได้เกินพระบรมสารีริกธาตุ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของสมเด็จพระบรมสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง แล้วถามว่าอย่างอื่นล่ะครับ ท่านบอกว่ามีดหมอไว้ในทางป้องกัน ส่วนแก้วจักรพรรดิ เอาไว้สงเคราะห์ในเรื่องลาภ

    ถาม : ลูกแก้วจักรพรรดินี่ต้องเป็นคนที่มีเชื้อสายมา ?
    ตอบ : คนที่เคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิมาก่อน เสร็จแล้วในปัจจุบันนี้มีความจำเป็นที่ต้องใช้ในการสงเคราะห์คนหมู่มาก หลวงปู่ชุ่ม ท่านเอาแก้วจักรพรรดิมา ๓ องค์ องค์ใหญ่ ๒ องค์ ถวายหลวงพ่อองค์หนึ่ง ถวายในหลวงองค์หนึ่ง ท่านบอกว่าหลวงน้อง ต่อไปหลวงน้องต้องเลี้ยงคนจำนวนมาก ขอให้รับแก้วจักรพรรดินี้เอาไว้ แก้วจักรพรรดินี้ อาจารย์ของผมท่านเสกมาจากปรอท

    คือ ปรอทนี้เป็นโลหะที่เป็นน้ำใช่ไหม เขาจะทำให้มันแข็งได้ แล้วจะมีขั้นตอนของมันว่าจะเป็นมหาเสน่ห์ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว ถ้าทำเป็นแก้วนี่ถือว่าสุดยอดแล้ว ท่านบอกว่าท่านได้จากอาจารย์ของท่าน ทีนี้อาจารย์ของหลวงปู่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นอาจารย์ทางพม่าหรือเปล่า แต่ถ้าทางไทยนี้ อาจารย์ของหลวงปู่ชุ่มก็คือ หลวงปู่ครูบาศรีวิชัย ท่านบอกได้มาจากอาจารย์

    ท่านบอกว่าปรอทนี้ถ้าหากว่าเป็นตัวเมียเรียกว่า แก้วราหู คือเป็นแก้วจักรพรรดิลูกเล็ก แต่ถ้าเป็นตัวผู้ทำแล้วเป็นแก้วจักรพรรดิลูกใหญ่ เรียกว่าแก้วจักรพรรดิ ท่านถวายในหลวงไปองค์หนึ่ง ถวายหลวงพ่อไปองค์หนึ่ง แล้วตอนหลังลูกศิษย์สำคัญอีกคนหนึ่งก็คือร้อยตำรวจโทอรรณพ ตอนนั้นนะ ตอนนี้ประมาณพันเอกแล้วล่ะ ร้อยตำรวจโทอรรณพ กอวัฒนา ท่านก็ได้ลูกเล็กไป คราวนี้เพื่อนยืมไปใช้ ไอ้ตี๋เล็ก เจ้าสันต์ เพื่อนซี้กัน เขาเรียกตี๋ใหญ่ตี๋เล็กคู่นี้ ก็เลยว่ายืมไปใช้ แล้วมันดันทะลึ่งไปเที่ยวซ่อง ของผู้กองอรรณพแกเล่นถักเชือกหุ้มเอาไว้อย่างดีเลยนะ ปรากฏว่าที่หุ้มยังอยู่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่แก้วหายไป แล้วมันไปโผล่ที่ไหนรู้ไหม ? ไปโผล่ที่หลวงพ่อ หลวงพ่อเลยยึดเสีย เล่นเอาผู้กองอรรณพ จะขย้ำคอเพื่อนตาย

    ถาม : แล้วที่หลวงพี่ทำมีไหมครับ ?
    ตอบ : ไม่มีจ้ะ มีแต่ที่หลวงพ่อท่านทำ ที่เป็นแก้วเจียระไนก็มี ที่เป็นแก้วแล้วมีกลีบสี ๆ ที่เป็นแหวนก็มี ท่านบอกว่าที่ท่านทำ ท่านปู่พระอินทร์ สงเคราะห์ให้อานุภาพเกือบจะเท่าของจริง ก็เลยไม่เดือดร้อนอะไร องค์ไหนก็ได้ เอาไปเถอะ

    ถาม : ที่เป็นคริสตัล ?
    ตอบ : ลูกใหญ่นั้นมีอยู่ไม่กี่องค์ หลวงพ่อเก็บไว้ที่หัวเตียงของท่าน พุทธาภิเษกอยู่หลายปีเลย

    ถาม : ๒๐ ปี ?
    ตอบ : นั่นแหละ ของผมอยู่ที่ท่านอนันต์ เขายืมไปใช้ บอกเขาว่าเมื่อไรจะเอามาคืนวะ ? เขาบอกว่าถ้าคืนเขาจะคืนให้แสนหก ก็บอกไอ้ชิบหาย มันถือโอกาสยึดกันเลยหรือวะ ? น่าเตะไหมล่ะ ? ทีตอนยืม บอกว่ายืม ถ้าหากว่าก่อสร้างอะไรเสร็จไม่มีความจำเป็นต้องใช้แล้วจะคืน อีคราวนี้พอทวงไป เขาบอกว่าจะคืนให้แสนหกครับ มันน่าเตะมากเลย

    ถาม : แล้วของหลวงพ่อสององค์นี่อยู่ไหน ?
    ตอบ : อยู่ที่หลวงพี่อนันต์ ไม่ทราบว่าจะเก็บไว้หรือเปล่า เพราะว่าตอนมรณภาพ ย่ามหลวงพ่อนี่ยกให้หลวงพี่นันต์ไปเลย อะไรต่อมิอะไรในนั้นก็เป็นของหลวงพี่นันต์

    ถาม : หลวงพ่อเคยทำดาบพระ ?
    ตอบ : อันนั้นจะเป็นมีดหมอรุ่นแรก มีอยู่ประมาณ ๖๐ เล่มได้ มีสัญลักษณ์สำคัญคือสลักคำว่า ภปร.สก.อยู่ เพราะว่าเป็นตอนที่ในหลวงเสด็จไปยกช่อฟ้าวัดท่าซุง แล้วคราวนี้ท่านไม่ได้เรียกมีดหมอ ท่านเรียกว่า ดาบฟ้าฟื้น มารุ่นหลังที่ทำ ท่านเรียกว่ามีดหมอชาตรี ท้าวมหาราชท่านบอกว่า มีดหมอถ้าชักออกจากฝัก ท่านเตรียมเทวดาไว้พร้อมที่จะช่วยเลย ท่านให้พรไว้อย่างนั้น แล้วใหม่ ๆ ได้มาก็ดึงดูกัน พอคืนนั้นท่านฟ้องหลวงพ่อ บอกว่าลูกศิษย์ของท่านนะครับชักมีดออกจากฝัก ผมเองต้องตั้งท่าเตรียมพร้อมเก้อเลย ท่านว่างั้น เหมือนกับว่าเป็นการให้สัญญาณภัย ถึงเวลาให้กดเรียกได้ ก็คนโน้นกริ๊ง คนนี้กริ๊ง เทวดาท่านก็ลำบากเหมือนกัน พวกเล่นชักดูของตัวเองเป็นไง สวยไหม เพราะฉะนั้นต้องบอกเขาก่อนว่าเราจะชักทำอะไร ขออนุญาตก่อน

    ถาม : .......................................
    ตอบ : ผมเคยมีประสบการณ์อยู่สองครั้งว่า บางทีเราเองมัวแต่เพลินทำอย่างอื่นอยู่ แล้วก็ไม่ได้ตั้งกำลังใจรับว่าท่านจะติดต่อเรื่องอะไร ท่านกดเราร่วงไปเฉย ๆ เลย ประเภทลืมตาไม่ขึ้น แบบง่วงจัด ๆ หัวไถพื้นไปเลย นั่นแหละแล้วท่านก็ลากไปเลย มันอยากไม่ตั้งท่ารับดีนัก เอาเสียเองเลย ถ้าเจอลักษณะนั้นขอให้ทราบเลยว่าเป็นท่านต้องการจะติดต่อกับเราแล้ว

    คราวนี้เราตอนนั้นตั้งหลักไม่ทัน ท่านกดเราร่วงไปเลย มันรู้สึกเหมือนคนลืมตาไม่ขึ้น อย่างไรก็ขอเอาหัวลงหมอนไปก่อน ถ้าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่โลกอุดรสบายหน่อย หลวงปู่โลกอุดรท่านจะเสกตะกรุดฝังแขนไว้ให้ทุกคน ถึงเวลาเขาติดต่อกันได้หมด

    ถาม : ทำยังไงถึงได้พบท่าน ?
    ตอบ : หลวงปู่โลกอุดร ท่านบอกว่าถ้าหากจะพบท่าน ให้ปูผ้าขาวห้าที่แล้วจุดธูปห้าดอก ภาวนาคาถาว่า ... โลกะอุตตโร มหาเถโร อะหังวันทามิ ตังสทา...ว่าไปเรื่อย ๆ แค่นี้ ถ้าท่านว่างท่านจะมาสงเคราะห์ในตอนนั้นเลย ถ้าหากไม่ว่าง ท่านจะมาสงเคราะห์ในความฝัน น่าสนุกไหม ถ้าหากเจอท่านสมัยนี้ คนก็น่าตกใจ พวกนักมวยปล้ำตัวยักษ์ ๆ นี่สงสัยเหมือนกันว่าเตี้ยกว่าท่าน ท่านสูงเกือบสี่เมตร คนโบราณจริง ๆ

    ถาม : (คุยเรื่องวัตถุมงคล)
    ตอบ : พิธีกรรมไม่มี มันสำคัญตรงปลุกเสก คือว่าถ้าจะสร้างตามแบบโบราณ เราต้องหาโลหะห้าอย่าง เรียกว่าปัญจโลหะ เจ็ดอย่าง สัตตะโลหะ หรือว่าโลหะเก้าอย่างเรียก นวโลหะ หรือไม่เอาที่มีค่าเป็นทอง เป็นนาก เป็นเงิน แล้วก็ต้องหาวันเวลาที่เหมาะสม ส่วนใหญ่ฤกษ์สร้างพระกริ่ง เขาจะเอาวันเพ็ญเดือนสิบสอง แล้วก็จะมีการปลุกกันตอนกลางเที่ยง ฤกษ์เที่ยงตรง อย่างนี้ แต่ของเรา ไม่ใช่อย่างนั้น ของเรานี่เป็นเรื่องพระสงเคราะห์ เราก็กำหนดวันเวลาเสร็จ ขอให้ทางโรงงานเขาบวงสรวงเทไปเลย พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราเอามาเข้าพิธีเท่านั้น ถ้าหากทำตามแบบโบราณจริง ๆ มันลำบาก แต่ละขั้นตอน ตั้งแต่หาโลหะธาตุมาทำเบ้า ทำพิมพ์อะไรนี้ต้องผ่านการปลุกเสกทุกขั้นตอน

    ถาม : (พระกริ่งพิชัยสงคราม)
    ตอบ : จริง ๆ ท่านตั้งใจให้ป้องกัน แต่ท่านบอกว่า ถ้าป้องกันให้ใช้คาถามหาวิชะโยโหหิ อสังวาโส ถ้าหากจะใช้ในทางให้ลาภ ให้ใช้พ่วงกับคาถาเงินล้าน คือตั้งใจสงเคราะห์ในเรื่องเกี่ยวกับสงครามจริง ๆ พวกตลาดค้าพระท่าพระจันทร์มันเอาไปลอง แล้วบอกว่าขลังยิ่งกว่าของวัดสุทัศน์บอกมันว่า กูจะเตะมึง คือพวกนั้น เที่ยวเอาไปเปรียบเทียบกับสำนักเขามันไม่ได้ เพราะว่าของสายวัดสุทัศน์นั่นประเภท ฤกษ์ดี สถานที่ดี โลหะธาตุดี ท่านต้องอาศัยหลายอย่างรวมกัน แต่ของเรามาถึงก็พระเสกให้เลย มันไม่ดีกว่าก็ให้มันรู้ไป ต่างกันตรงนี้แล้วเขาก็ชอบประเภทว่าไปลองกัน แล้วเที่ยวมาพูดกัน จะทำให้เขาเขม่นเราเสียเปล่า ๆ

    ถาม : (การปลุกเสก)
    ตอบ : ถ้าหากว่าพระท่านไม่ว่าง ก็ให้พระโมคัลลาห์ พระสารีบุตรท่านมา แต่ถ้าหากว่าท่านว่าง องค์ไหนท่านตั้งใจสงเคราะห์ท่านก็จะมาเอง ถึงตอนนั้นต้องดูว่าองค์ไหนท่านมา

    แต่ว่าจริง ๆ แล้วพระกริ่งเป็นรูปของพระไภษัชคุรุ ท่านเป็นโพธิสัตว์ใหญ่ ท่านตั้งความปรารถนาไว้ว่า ตราบใดที่ยังมีสัตว์โลก ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ตราบนั้นท่านจะไม่เข้าพระนิพพาน กำลังใจสุดยอดจริง
    เรื่องของพระเทวดา ท่านจะยอมรับกฏของกรรม อะไรที่เกินวิสัย เกินกฏของกรรม ท่านจะไม่ยุ่งด้วย แต่ว่าเรื่องของพระโพธิสัตว์ เพื่อความสุขของผู้อื่น ถึงละเมิดกฏของกรรม ท่านก็ยอม ท่านยอมรับเอง แต่ว่าให้คนอื่นมีความสุขสบาย

    คราวนี้พระกริ่งสงคราม ทำมาเพื่อตัดเคราะห์กรรมของเขาโดยเฉพาะ เรื่องเกี่ยวกับความลำบากเดือดร้อนเมื่อเกิดภาวะสงคราม ก็เลยต้องทำในรูปของพระไภษัชคุรุ พระโพธิสัตว์องค์นี้คนจีนเขานับถือมากเลย

    ถาม : (พระองค์ที่ ๑๑)
    ตอบ : องค์นี้โยมเขาไปหาหลวงปู่ท่อน วัดป่าศรีอภัยวัน ไปถึงก็หลวงปู่เจ้าขา ช่วยเสกให้หน่อย หลวงปู่รับมาก็ยกใส่หัวเลย ท่านบอกว่าไม่เคยจับวัตถุมงคลอะไรที่อานุภาพขนาดนี้มาก่อน ไม่ต้องเสกแล้วลูก คือท่านเห็นเป็นรูปพระสงฆ์ คงไม่ทราบว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๑ แล้วใครจะมีบารมีมากกว่านั้นล่ะ แต่ท่านก็สุดยอดเลยนะ ท่านรับมาปุ๊บ ท่านยกใส่หัวเลย บอกไม่ต้องเสกแล้วลูก ไม่เคยจับวัตถุมงคลที่ไหนที่มีอานุภาพขนาดนี้มาก่อน คนเอาไปก็เหลือเกินนะ เจอหลวงปู่หลวงพ่อที่ไหนว่าดี มันยัดให้ท่านเสกหมด

    ถาม : (เหรียญทำน้ำมนต์)
    ตอบ : เหรียญทำน้ำมนต์มีอยู่แค่ ๓,๐๐๐ เหรียญ คือตอนแรกหลวงพ่อท่านขอพระท่านทำ พระท่านให้ทำแค่เท่าไร จำไม่ได้ ประมาณ ๑,๐๐๐ เองมั้ง ? หลวงพ่อท่านบอกคนมาเป็นแสน แล้วไม่เหยียบกันตายหรือครับ อันนี้ไม่ยืนยันนะ เพราะว่าประวัติตอนนี้ชักเลือน ๆ ต้องกลับไปดูใหม่ เสร็จแล้วท่านอนุญาตให้ทำแค่ ๓,๐๐๐ หรือว่า ๓๐,๐๐๐ เหรียญ แต่มันไม่พอหรอก เพราะว่ามันขาดตลาดในเวลาอันรวดเร็ว ท่านบอกว่ากำลังใจคนมันไม่เท่ากัน ในเมื่อกำลังใจไม่เท่ากัน คือ ศรัทธามันไม่เท่ากัน คนเอาไปใช้ไม่มีผล มันจะด่าแก ด่าแกหมายถึงด่าหลวงพ่อนะ แต่หลวงพ่อบอกว่าคนมันมากต่อมาก ถ้าทำน้อยแค่นั้นเองนี่ ไม่พอแจกกัน อย่างเช่นว่าทำสักพันนี้ไม่พอแจกอยู่แล้ว ท่านก็เลยต่อรอง น่าจะให้ทำแสนหนึ่ง แต่ต่อรองให้ทำสามหมื่นเหรียญหรือไงนี้ เดี๋ยวขอไปดูบันทึกอีกทีหนึ่ง

    ถาม : ใช้รักษาโรคอะไรครับ ?
    ตอบ : คือโรคทุกชนิดถ้าไม่เกินวิสัยรักษาได้ กระทั่งมะเร็งนี้เขาก็หายกันมาแล้ว ขณะเดียวกันบางคน กำลังใจแย่ ๆ กินน้ำมนต์หมดเป็นโอ่ง ยังไม่หายก็มี

    ถาม : เพราะอะไร ?
    ตอบ : มันสำคัญอยู่ตรงเครื่องรับ เครื่องส่งเขาส่งเต็มที่อยู่แล้ว ถ้าเครื่องรับแย่ ๆ ก็ลำบาก อยู่ที่คนเอาไปใช้

    ถาม : .................................
    ตอบ : คือเรื่องของการสร้างบุญสร้างบารมีมันอยู่ที่ว่าใครทำมากกว่า มันไม่ใช่อยู่ที่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่เป็นเรื่องของขันธ์ห้าที่อาศัยอยู่เท่านั้นเอง สังเกตุดูว่าเวลาเขาพูดแล้วเราไปคิดเองว่าลามปามไปถึงผู้ใหญ่ ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ความจริงเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็ก เพราะนั้นเราไปดูตรงจุดนั้นไม่ได้ ต้องไปดูตรงว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ เขาปฏิบัติได้ดีมากนะ แล้วถ้าบวชเมื่อไร ไม่ถูกดึงให้หลงทาง เราจะได้พระดีทันทีที่บวชเลย

    ถาม : เขาอายุเท่าไรคะ ?
    ตอบ : น่าจะสิบกว่า ๆ ก็บวชเณรไปก่อน อย่างของเราแก่จะตายยังไม่รู้จักโต ของคนอื่นอย่างไรไม่รู้ ของอาตมาตายตอนเด็กบ่อย ทำบาปทำกรรมไว้เยอะ มันเลยโตไม่ค่อยเป็น พวกปาณาติบาตเยอะ มันจะอายุสั้นพลันตาย ชาตินี้ยังแปลกใจ มันอยู่มาสี่สิบกว่าได้อย่างไร น่าจะตายไปนานแล้ว

    ถาม : เหมือนเขาไม่มีความเป็นเด็กเลย ?
    ตอบ : เขาทำมาเยอะแล้ว เมื่อทำมาเยอะแล้วสภาพจิตของเขาก็ผู้ใหญ่ ไปที่อื่นเขาจะด่าเอา เขาจะคิดว่าไม่รู้เด็กหรือผู้ใหญ่ ความจริงผู้ใหญ่นั้นแหละไม่รู้เรื่องอะไรเลยแล้วไปด่าเขา

    ถาม : ผู้ใหญ่ที่ใจเป็นเด็กหาง่าย แต่ผู้ใหญ่ที่ใจเป็นผู้ใหญ่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ หาไม่ค่อยจะเจอ ?
    ตอบ : คนไหนที่จะพอให้การสงเคราะห์ประคับประคองไว้ได้ ก็จะเอาแล้ว เพราะว่าอย่างน้อย ๆ นานไปข้างหน้า เขาเป็นที่พึ่งของคนหมู่มากได้ เราก็สบายด้วย บอกแล้วว่าแถวนี้ไม่เคยหวงวิชาหรอก มีเท่าไรให้แค่หมด คุณทำได้เร็วเท่าไร คุณก็เบาแรงผมได้เท่านั้น ก็แปลกใจอยู่อย่างหนึ่ง ทำไมคนอื่นมันหวงวิชากันจัง ไม่ต้องอะไรหรอก เอาแค่ทำดอกไม้ บางทีเค่เข้าไปดูใกล้ ๆ โดนไล่ตะเพิดแล้ว ของที่นี่มาเหอะ เขาเรียกใช้หมดแหละ เขาหาตัวตายตัวแทนกันอยู่ เขายิ่งเป็นเร็วเท่าไร เราก็เหนื่อยน้อยเท่านั้น

    คราวนี้คนอื่นเขาไปหวง หลวงพ่อท่านเคยหวงเมื่อไร มีเท่าไรท่านก็บอกจนหมด วันก่อนท่านน้อยย่องเข้าไปฟังสอนพุทธประวัติวันสุดท้าย ที่พระพุทธเจ้าท่านว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ สิ่งที่ตถาคตสอนแก่พวกเธอนั้น ขึ้นชื่อว่าปิดบังความรู้เฉพาะครูไว้ไม่มี สิ่งที่สมควรตถาคตบอกเธอไปหมดแล้ว ภายใน ๔๕ ปีที่ผ่านมา

    ก่อนท่านจะปรินิพพาน ท่านบอกว่า เธอจงมีพระธรรมวินัยนี้เป็นเกาะ เธอจงมีพระธรรมวินัยนี้ เป็นที่พึ่งอาศัย คำว่าเป็นเกาะ คือ เกาะกลางทะเลนะ คนที่จะข้ามวัฏฏสงสาร เขาถือว่า ข้ามห้วงน้ำใหญ่ ถ้าหากว่ามีเกาะมีอะไรเป็นที่อาศัย มันก็จะปลอดภัยกว่า ท่านบอกว่า เธอจงมีธรรมวินัยนี้เป็นเกาะ เธอจงมีธรรมวินัยนี้เป็นที่พึ่งอาศัย ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา พระอานนท์ก็แอบไปร้องไห้ว่า พระพุทธเจ้าจะตายแล้ว ตัวเองเป็นแค่พระโสดาบันเอง

    คำว่าแค่โสดาบันเอง สมัยนี้ของเรานี้มันเหมือนแบกภูเขาทั้งลูกใช่ไหม สมัยของท่านถือว่ากระจิ๋วเดียว อามันตะยามิโว ภิกขเว ปฏิเวธะยามิโว ภิกขเว ขะยะวะยะธัมมา สังขารา อัปมาเทนะ สัมปาเทถะ ท่านบอกว่า ขอให้เธอจงยังประโยชน์แก่ชนหมู่มาก แล้วขณะเดียวกันก็ยังประโยชน์ส่วนตนให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท สมัยนี้เขาประมาทกันเยอะ

    หลวงตาน้อยแกเรียนน้อย แต่แกใฝ่รู้ เวลาเราสอนพระใหม่ แกก็ย่องเข้าไปฟังด้วย แจกข้อสอบให้พระใหม่ แจกไปแจกมา ไปถึงหลวงตาน้อย ปรากฏว่า อ้าวคุณมาทำไมวะ ? ก็หัวเราะ อยากรู้ว่าออกอะไรบ้าง ?

    ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ เวลาหนูนั่งสมาธิแล้ว จิตมันบอกว่า พุทธปัญชะเรติ ?
    ตอบ : พุทธปัญชะเรติ ผู้อยู่ในบัญชรแห่งพุทธ คือว่าอยู่ในประตู อยู่ในหน้าต่าง อยู่ในขอบเขต คือพวกแบบนี้เขาเรียกว่า อุทานธรรม จะมีเฉพาะของตน คือเข้าใจด้วยตัวเองตอนนั้น บางทีถามคนอื่น ถ้าเขาไม่มีความเข้าใจตรงจุดนี้ เขาอธิบายไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นเฉพาะ ๆ

    อย่างพระภัททิยะศากยราชา ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ของตระกูลศากยะ แล้วท่านก็ออกบวช เสร็จแล้วพอท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านก็อุทานว่าสุขหนอ สุขหนอ แล้วพระที่เป็นปุถุชน ก็ไปกล่าวหาท่านว่า ท่านไปนึกถึงความสุขในราชสมบัติ แล้วไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ภัททิยะลูกเราไม่ได้หมายถึงความสุขในราชสมบัติ หากแต่ว่าเป็นความสุขของการออกจากกาม แล้วก็ยืนยันว่าพระภัททิยะราชาท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านเป็นเอตทัคคะทางผู้มาในสกุลสูง คือเป็นพระมหากษัตริย์แล้วยังมาบวชอย่างนี้

    มีอยู่องค์หนึ่ง เจ้าคุณอะไรไม่รู้ ในหลวงตั้งให้ลงท้ายด้วยคำว่า อุทานธรรมวาที คือ หลวงปู่องค์นี้ ใคร ๆ ก็เรียกท่านว่า หลวงปู่ดีเนาะ เพราะว่าอะไร ๆ ท่านก็มีแต่ดีเนาะ ๆ ไม่เคยมีเสียเลย เสร็จแล้วในหลวงท่านก็ขอไปกราบหลวงปู่องค์นี้ ท่านเจ้าคณะจังหวัดท่านก็นั่งประกบเลย คือเขาเทรนกันมานานแล้วว่า ให้กราบทูลในหลวงดี ๆ คำว่าดีเนาะของหลวงปู่เก็บใส่ย่ามไปเลย ไม่ต้องใช้หรอก แต่ปรากฏว่าในหลวงถามหลวงปู่สุขภาพเป็นยังไง อ้อ...ดีเนาะ ก็ไปของท่านได้ ในหลวงท่านตั้งให้ว่าเป็นเจ้าคุณแล้วต่อด้วยอุทานธรรมวาที คือในหลวงท่านก็เข้าใจ ว่าไปตรงจุดนั้นแล้ว เพราะจะมีคำอุทานเฉพาะของตนอยู่

    ของ หลวงปู่มั่นท่านว่า เตระสะ อัฏฐังคิโก คำว่าอัฏฐังคิโก มัคโค ก็คือมรรคแปด เตระสะ ธุตังคะ ก็คือ ธุดงค์สิบสามประการ คราวนี้ของท่านพอมันเกิดวูบเข้ามาในดวงจิต ท่านก็อุทานมาในลักษณะอย่างนั้นเสร็จ ท่านก็เข้าใจความหมายอยู่คนเดียวว่า ธุดงค์วัตรสิบสามประการ กับมรรคแปด จริง ๆ แล้วเป็นอันเดียวกัน มรรคแปดมีความเห็นชอบ สัมมาทิฏฐิ ความดำริชอบ สัมมาสังกัปปะ สองตัวนี้เป็นตัวปัญญา แล้วก็จะมีสัมมาวาจา การพูดดี สัมมากัมมันโต ทำงานดี สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีพดี สัมมาวายาโว พยายามดี เพียรดี อันนี้เป็นเรื่องของศีล ทำเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ การปฏิบัติได้ถูกต้อง การพยายามชอบในเขตของศีล แล้วก็จะมีสัมมาสติ กับสัมมาสมาธิ ตัวนี้จะเป็นตัวสมาธิ ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา

    คราวนี้ศีล สมาธิ ปัญญา ทางสายที่หลวงปู่มั่นถนัด มันต้องออกไปทางธุดงค์วัตร เพราะฉะนั้นพอตัว เตระสะ อัฏฐังคิโก ท่านก็แปลความได้ทันทีเลยว่า มรรคแปดของท่านก็คือธุดงค์วัตรสิบสามนั่นเอง อันนี้จะไม่เหมือนกัน

    อย่างหลวงพ่อท่านว่า ท่านจะเลี้ยงพระพุทธเจ้าให้อิ่ม ใช่ไหม ? พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระท่านอิ่มนานแล้ว ขอให้เลี้ยงตัวเองให้อิ่มก็แล้วกัน คือพอมันขึ้นไปบนนิพพานแล้ว ความรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาจริง ๆ ท่านก็หลุดปากออกไป

    ถาม : แต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน ?
    ตอบ : ไม่เหมือนกัน ของหลวงปู่มั่นนี้ปรากฏเป็นสิบ ๆ ครั้งเลย แต่ละครั้งท่านตีความได้หมด คือใจตอนนั้นจะรู้สึกเองว่าหมายความว่าอย่างนี้ ๆ
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ถาม : อุปติสสะ นี้หมายถึงพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ?

    ตอบ : อุปติสสะ คือ พระสารีบุตร ตระกูลนี้เป็นตระกูลพระอรหันต์ พี่ชายใหญ่คือ อุปติสสะ น้องชายรองคือ อุปเสนะ น้องสาวถัดไป คือท่านจาลา อุปจาลา สีสุปจาลา เป็นผู้หญิงสามคนติดกัน แล้วก็ไปท่านจุนทะ กับท่านเรวตะ เป็นผู้ชายอีกสอง เจ็ดคนเป็นพระอรหันต์หมดเลย โดยเฉพาะท่านเรวตะ เป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เจ็ดขวบ ตระกูลพระอรหันต์ แต่แม่เป็นมิจฉาทิฐิ วาระสุดท้ายก่อนที่จะนิพพาน ท่านกลับไปโปรดแม่ท่านเอง คือท่านสารีบุตรท่านรู้ว่าตัวเองอายุมากแล้ว คือท่านนั่งพิจารณาย้อนหลังไปว่า ในอดีตที่ผ่านมาพระอัครสาวกนิพพานก่อนหรือว่าพระพุทธเจ้านิพพานก่อน เสร็จแล้วท่านก็ทราบว่าพระอัครสาวกทั้งหมดจะนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า

    ในเมื่อดังนั้น ท่านก็กำหนดดูต่อไปว่าสมควรจะนิพพานที่ไหน ก็เห็นว่าแม่ตัวเองยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ทั้ง ๆ ที่ลูกตัวเองเป็นพระอรหันต์ตั้งเจ็ดองค์ ควรจะกลับไปโปรดแม่ก่อน ถ้าโปรดแม่แล้ว เราจะนิพพาน ก็เลยตั้งใจว่ากลับไปนิพพานในห้องที่ท่านเกิด คือ แม่คลอดท่านห้องไหนก็จะนิพพานในห้องนั้น เสร็จแล้วก็กลับบ้าน

    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าให้แสดงธรรมโปรดพระเป็นครั้งสุดท้ายก่อน เพราะขึ้นชื่อว่าธรรมเสนาบดีสารีบุตรจะแสดงธรรมสงเคราะห์ผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก คำว่าปรากฏขึ้นได้ยาก เพราะพระอัครสาวกเบื้องขวามีองค์เดียว ก็พอ ๆ กับพระพุทธเจ้าใช่ไหม ก็เท่ากับว่ามีพระพุทธเจ้าองค์เดียวก็มีพระอัครสาวกเบื้องขวาองค์หนึ่ง พระอัครสาวกเบื้องซ้ายองค์หนึ่ง

    ส่วนพระอรหันต์อื่น ๆ เยอะแยะไปหมด ท่านก็เลยต้องแสดงธรรมโปรด เสร็จแล้วท่านก็พาภิกษุของท่านที่เป็นพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ พร้อมกับพวกน้อง ๆ พอไปถึงก็ให้หลานชื่อ อุปวาณ ไปเจอเข้าก่อน ก็บอกไปแจ้งข่าวให้แม่ทราบด้วยว่า ตอนนี้จะกลับมาหา แม่ก็ดีใจว่าลูกแก่ขนาดนั้นแล้ว แม่แก่ขนาดไหนก็นึกเอา ตั้งแต่ไปบวชมานี้ไม่ได้เจอหน้าเลย มีแต่น้อง ๆ หนีหายไปทีละคน ๆ ตัวเองก็คอยดูแลทรัพย์สมบัติอยู่ ก็นึกว่าสงสัยลูกเราทนความลำบากไม่ไหว จะสึกกลับบ้านแล้วแน่นอนเลย ก็เลยดีใจ ให้คนใช้จัดแต่งห้องหับอะไรกันใหญ่โต

    พอถึงเวลากลับมา พระสารีบุตรท่านก็มาขอเข้าไปอยู่ห้องเดิมของตัวเอง ก็มีพระจุนทะท่านเฝ้าไข้อยู่ เพราะพระสารีบุตรท่านถ่ายเป็นเลือด คงประเภทกระเพาะทะลุ ส่วนพระสงฆ์อื่น ๆ ก็อยู่ในห้องโถง พอยามต้นท้าวมหาราชทั้งสี่มาเยี่ยม แสงสว่างก็ประกระทบตาท่านแม่ที่กำลังสวดมนต์อยู่ เขาจะสวดมนต์ถวายพระพรหมของเขาเป็นปกติ พอแสงสว่างทะลุไปถึงก็ถามท่านจุนทะว่า จุนท์เอ๊ย...ใครมาหาพี่แกน่ะ ท่านจุนทะก็บอกว่า ท้าวมหาราชทั้งสี่น่ะแม่ แม่ก็ เอ๊ะ ลูกเราเก่งขนาดนี้เชียวหรือ ? ขนาดท้าวมหาราชยังต้องมาหา ท่านก็เลยขอเข้าไปดูเอง พอเข้าไปก็เห็นเข้า พอเห็นท่านก็ถามว่า พ่อเอ๊ย เรียกท่านสารีบุตร นี่พ่อยังใหญ่กว่าท้าวมหาราชอีกหรือ ? พระสารีบุตรท่านก็ไม่ได้ตอบตรง ท่านบอกว่า นี่แน่ะแม่ท้าวมหาราชทั้งสี่น่ะ เหมือนกับเด็กวัดของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่พระโพธิสัตว์จุติมาสู่ครรภ์ ท้าวมหาราชทั้งสี่ก็ถือพระขรรค์แวดล้อมดูแลอยู่ แม้กระทั่งเวลาที่ท่านอยู่วัด ก็เฝ้าประตูวัดในทิศทั้งสี่ให้ ท่านก็เลยเปรียบว่า ถ้าเปรียบกับพระพุทธเจ้าแล้ว ท้าวมหาราชก็คือเด็กวัด ท่านไม่ได้เปรียบกับตัวเองนะ

    คราวนี้ก็ เอ้อ...เจ้าใหญ่กว่าท้าวมหาราชก็จริง แต่ก็คงไม่ใหญ่ไปกว่าพรหมหรอก ก็ไปสวดมนต์ของแกต่อ พอยามสอง พระอินทร์มาเยี่ยม แสงก็ไปที่ห้องแกอีก ก็ถามว่าจุนท์เอ๊ย ใครมาเยี่ยมพี่แกอีก ก็บอกว่าพระอินทร์น่ะแม่ แกก็รีบออกมาดู ถามว่า นี่พ่อยังใหญ่กว่าพระอินทร์อีกหรือ ? พระสารีบุตรท่านก็บอกว่า พระอินทร์ก็เปรียบเสมือนสามเณรน้อยที่คอยถือบาตรถือจีวรพระพุทธเจ้า ตอนพระพุทธเจ้าท่านเสด็จลงจากดาวดึงส์ พระอินทร์ท่านก็ถือบาตรตามพระพุทธเจ้าลงมา ท่านก็ เออ... แต่คงไม่ใหญ่ไปกว่าพรหมหรอก แกก็ไปสวดมนต์ของแกต่อ

    พอยามสามท้าวสหัมสบดีพรหมมาเอง เจ้าพ่อของพรหมเลย ท่านก็เลยถามอีก ว่าใครมาหาพี่แกน่ะลูก ก็บอกว่าท้าวสหัมสบดีพรหมผู้เป็นอธิบดีของพรหมทั้งหลายน่ะแม่ คราวนี้แม่อยู่ไม่ได้ล่ะซิ ตัวเองนับถือพรหมเป็นใหญ่ แต่ท้าวสหัมสบดีพรหมอธิบดีของพรหมทั้งหมดมาเองอย่างนี้ เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ถาม พ่อเอ๊ย...นี่พ่อยังใหญ่กว่าท้าวสหัมสบดีพรหมอีกหรือลูก ? พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าหากว่าท้าวมหาพรหมทั่ วๆ ไป เปรียบแล้วก็เหมือนกับพี่เลี้ยงเด็ก เพราะว่าตอนพระพุทธเจ้าคลอดใหม่ ๆ ท้าวมหาพรหมทั้งสี่เอาข่ายทองมารองรับ แต่ถ้าท้าวสหัมสบดีพรหมก็เปรียบเสมือนมัคทายกวัด เพราะว่าเป็นผู้อาราธนาพระพุทธเจ้าให้อยู่แสดงธรรมโปรดสัตว์โลกเสียก่อน

    ตอนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ใหม่ ๆ ท่านคิดว่าจะไม่แสดงธรรมสงเคราะห์ เพราะว่าธรรมะลึกซึ้งเกินไป ท้าวสหัมสบดีพรหม ท่านทราบความคิด ท่านก็เสด็จลงมา ท่านว่าสัตว์โลกที่ธุลีในดวงตามีน้อยนั้นมีอยู่ ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมสงเคราะห์เขาเถิด

    เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านก็เลยรับแสดงธรรม ท่านสารีบุตรก็เลยเปรียบว่า ท้าวสหัมสบดีพรหม ก็เหมือนมัคทายกนั่นและ เพราะถึงเวลาก็ต้องอาราธนาศีลอาราธนาธรรม พอแม่ได้ยินดังนั้น ก็เลยบอกว่าไม่รู้เลยว่าพ่อมีความดีถึงปานนี้ พระสารีบุตรก็บอก หยุดเถิดแม่ ขึ้นชื่อว่าความดีของลูกนั้นไม่มีหรอก ความดีทั้งหมดเกิดจากพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ ขอให้แม่ตั้งใจฟังนะ แล้วท่านก็เทศน์ถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขึ้นอิติปิโส ภควา อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้โดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติทั้งปวง เสด็จไปดีแล้วในทุกที่ เป็นผู้ฝึกที่ไม่มีใครเหนือกว่า เป็นครูสอนของมนุษย์และเทวดา เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกแจกธรรม แม่ได้ฟังแล้วก็เกิดปิดติ กลายเป็นพระโสดาบันไป แกก็ดีอกดีใจ พระสารีบุตรหมดลมแล้ว เทศน์จบแกก็ดีอกดีใจ พ่อเอ๊ย...แม่ไม่เคยได้ฟังภาษิตดี ๆ อย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต ทำไมไม่มาโปรดแม่แต่เนิ่น ๆ พอพูดไปเห็นลูกเงียบ แกก็ไปจับขาดู ปรากฏว่าเย็นเฉียบ ลูกชายไปเสียแล้ว นั่งร้องอยู่ตรงนั้นแหละ เสร็จแล้วพวกน้อง ๆ ก็มาช่วยปลอบให้ท่านคลายโศก ท่านก็เลยเปิดคลังตัวเอง บอกให้เรียกช่างมา บอกว่ามีเท่าไร เอามาให้หมดเมืองนาลกะเลย ท่านเกิดที่นาละกะ ขนทองออกจากคลังไปเลย ให้สร้างที่พักสงฆ์ ๕๐๐ หลัง ท่านใช้คำว่าปราสาท ก็คือบ้านหลาย ๆ ชั้น แล้วก็สร้างที่พักอาคันตุกะ ๕๐๐ หลัง เอาให้เสร็จทันจัดงานศพลูกชายตัวเอง

    ทางด้านพระก็ส่งข่าวไปยังพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งพระมาช่วยกันจัดงานศพ เทวดา พรหม พระอินทร์ก็มาช่วยกันเต็มไปหมด พระอินทร์ก็ขอให้ท้าววิษณุกรรมช่วยสงเคราะห์ เขาสร้างหลังหนึ่ง ก็ขอให้เป็นสองหลังเสีย ก็เลยกลายเป็นว่าอย่างละพันหลัง คนมาเท่าไรก็รับได้ เสร็จแล้วชาวบ้านก็ช่วยกันหาไม้หอม ฟืนหอม ใครมาก็ก่อ จิตกาธาน สูงขึ้นไป ท้าววิษณุกรรมก็เนรมิตให้กลายเป็นมณฑปสวยงามสมเกียรติ ประดับด้วยแก้วกี่ประการก็แล้วแต่แกว่า พอถึงเวลาเผาเสร็จสรรพเรียบร้อย พระอนุรุทธ ดับด้วยน้ำหอมเสร็จ พระจุนทะเถระก็รวบรวมอัฐิ เหลือเพียงห่อเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ไปถวายพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าก็บอกว่า พระสารีบุตรผู้เป็นสาวกของเรา ผู้เลิศที่สุดในทางธรรม เป็นผู้ที่เปรียบเหมือนกับแม่เลี้ยงหรือนางนม คือว่าพระในธรรมวินัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ผ่านการสงเคราะห์จากท่าน จนกระทั่งบัดนี้ท่านได้ทำหน้าที่ของตัวเองสมบูรณ์แล้ว พระผู้ที่บริสุทธิ์เห็นปานนี้ ถึงวาระนั้นก็ไม่อาจดำรงขันธ์อยู่ได้ ขอเธอจงอย่าตั้งอยู่ในความประมาทของขันธ์ห้าเลย

    พอเทศน์ถึงตอนนี้ท่านบอกว่ามหาชนอันมากก็บรรลุมรรคผล คราวนี้ท่านก็สั่งให้สร้างเจดีย์อยู่ในมหาเชตวันวิหารนั่นแหละ บรรจุอัฐิพระสารีบุตร เป็นที่สักการะบูชาของคนต่อไป

    พระสารีบุตรนิพพานวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ถัดจากนั้นอีก ๑๕ วัน พระโมคคัลลาน์ ก็ตามไป พระพุทธเจ้าเท่ากับว่าพรรษาสุดท้าย ท่านขาดแขนซ้ายขวาไปเลย มรณภาพก่อนพระพุทธเจ้าปีหนึ่ง ๔๔ พรรษาของพระพุทธเจ้า
    มีอยู่ตอนหนึ่งสอนพระท่านว่า พระนางประชาบดีโคตมี ท่านเป็นภิกษุณีองค์แรกของพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทำหน้าที่พระพุทธมารดาตั้งแต่พระพุทธเจ้าอายุได้ ๗ วัน แล้วบวชเป็นพระภิกษุณีอรหันต์ นิพพานเมื่ออายุ ๑๒๐ ปี นิพพานก่อนพระพุทธเจ้า

    คราวนี้พวกเราลองไล่ดูว่า พระพุทธเจ้าอายุ ๘๐ ปี แม่น้าอายุ ๑๒๐ ปี ต่างกันกี่ปี ๔๐ แล้วแม่น้าคงอายุห่างจากแม่ไม่กี่ปีใช่ไหม ? ตีว่าสัก ๓ ปี ๕ ปี แล้วกัน แล้วอย่างนั้นพระนางสิริมหามายา คลอดลูกตอนอายุเท่าไร ? ตอนแรกเราก็ เอ้ย! จะแก่ขนาดนั้นเชียวเหรอ ? แต่ปรากฏว่าไปเปิดพระไตรปิฎกดู จริง ๆ ท่านว่าธรรมดาพุทธมารดาจะประสูติพระโพธิสัตว์เมื่ออายุ ๕๐
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...