ฉบับที่ ๕๐ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 10 เมษายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ช่วงแรกของเล่ม "ล่องแก่งมหาภัย"สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    ถาม: .........................................

    ตอบ : สมัยก่อนหลวงพ่อท่านบอกว่าท่านป่วยตลอด แต่พอถึงเวลา ท่านลงรับแขกได้ ทำอะไรได้ ท่านบอกว่าพระช่วย เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง ? ตอนนี้ชัดเลย เมื่อคืนน็อคร่วงไม่เป็นท่าเลย ตอนนี้นั่งคุยกับโยมได้สบาย แล้วเดี๋ยวคอยดูตอนเลิกงาน หงายแผ่สี่สลึง เมื่อคืนมาลาเรียมันทั้งขึ้นสมอง ทั้งลงกระเพาะ นอนสั่นอยู่คนเดียว อาตมาเป็นคนปากหนัก บอกใครไม่เป็นหรอก เพียงแต่บอกเขาว่ามันไม่ค่อยดีเหมือนจะเป็นลมแค่นั้นเอง บอกมากเดี๋ยวเขาตกใจ พอตอนเช้ามาไม่มีแรงแม้แต่จะนั่ง นอนแผ่อยู่ตรงนั้น พอโยมเริ่มมา อยู่ ๆ มันก็มีแรงลุกขึ้นเฉย ๆ เหมือนกับไม่เป็นอะไรเลย อาการนี้เจอมาบ่อย พอท่านไปเสร็จ คราวนี้เหลือแต่กำลังของเราแล้วก็จะซาบซึ้ง ตานี้ก็ทนไปเหอะ

    มาลาเรียนี่เขาเรียกว่า โรคพ่อตาหน่ายแม่ยายชัง คือเวลาเป็นขึ้นมาแม้แต่แรงจะหายใจมันยังไม่มี แต่พอไข้มันถอยนี่ มันกินแหลกเลย คือตอนเป็นนี่กินอะไรไม่ได้ เพราะมาลาเรียลงกระเพาะ มันอาเจียนหมด ร่างกายมันจะขาดอาหารเยอะ พอไข้เริ่มถอยเมื่อไร คราวนี้มีเท่าไรมันก็กินหมด ประเภทส่งไปหม้อหนึ่งก็หมดหม้อหนึ่ง เขาเลยเรียกไข้พ่อตาหน่ายแม่ยายชัง ทำงานไม่ได้เอาแต่กินสะบั้นเลย ของอาตมานี่พยายามกลืนมันลงไป รู้อยู่ถ้าไม่กิน มันจะไม่มีแรง โดยเฉพาะถ้าอาเจียนออกมาจะหมดแรงไปเลย อาศัยว่าสมัยก่อนฝึกไว้เยอะ กล้ามเนื้อแข็งแรงกว่าคนอื่นเขาหน่อย อั้นอยู่ เป็นคนเดียวที่หมอเขาไม่เชื่อว่าเป็นมาลาเรีย ขนาดลงกระเพาะตรวจเจอเชื้อเห็น ๆ แต่ไม่ยอมอ้วกกับใคร อั้นอยู่พยายามกลั้นมันไว้ ถ้าหากว่ายังจะทำงานก็จำเป็นที่จะต้องบังคับมันให้ได้

    เมื่อวานมีโยมเขาถาม ก็เลยบอกกับโยมเขาว่า จำไว้ว่า ร่างกายมันไม่ใช่ของเรา เราบังคับมันอย่าให้มันบังคับเรา ป่วยหนัก ๆ มันดีอยู่อย่าง มันรู้ว่าใกล้ตาย สติสัมปชัญญะแหมเนี้ยบเลย ถ้าพลาดเดี๋ยวไปนิพพานไม่ได้ สติมันจะดี เลยเหมือนกับพวกซาดิสม์ชอบความเจ็บปวด ถึงเวลาเป็นหนัก ๆ สติสัมปชัญญะมันดี กำลังที่เราฝึกไว้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา มันจะรวมตัวกัน เราจะรู้เลยว่าต้นทุนเรามีเท่าไร ?

    เพราะฉะนั้นได้สำรวจต้นทุนบ่อย ๆ ก็เข้าท่าดีนะ แต่ถ้าหากว่าทนไม่ไหวก็ไปเหอะ เมื่อคืนอาตมาตั้งท่าไปแล้ว ไม่ได้ไป ไม่ใช่ว่าไม่ยอมให้ไป มีอยู่ครั้งหนึ่งขนาดตายไปแล้วนะ รู้เลยว่านี่ตาย แต่มันไม่ไปไหนเลย ตอนนั้นก็เป็นหนัก ๆ ลักษณะอย่างนี้แหละ พอชัก ๕ ทุ่ม รู้สึกว่ามือเท้ามันเย็นเข้า ๆ มันรวบเข้ามาตรงกลาง เราก็เสร็จแน่แล้วงานนี้ แสดงว่าเลือดลมมันไม่มีแล้ว ความเย็นมันเข้ามาจนกระทั่งถึงหน้าอกนี่ พอเย็นจัดมันก็ประสาทหลอนเหมือนยังกับว่าเราตกน้ำ พอความรู้สึกว่า ตัวเราจมอยู่ใต้น้ำ พอลงบุ๋มลงไปมันก็หยุดหายใจตอนนั้นล่ะ เพราะสังเกตตัวเองตลอด คืออยากจะรู้ว่ามันจะออกไปยังไง ? อยากจะรู้ว่าออกแล้วมันจะไปไหนได้ ? ก็ตามดูมันตลอด มันก็หยุดหายใจแล้วค่อยๆ จมต่ำลง ๆ จนกระทั่งถึงข้างล่างเหมือนกับหลังแตะพื้นใต้น้ำ แล้วมันก็ค่อย ๆ ลอยกลับขึ้นมา พอรู้สึกว่าตัวเองจมูกพ้นน้ำ ตัวมันกระตุกเฮือกแล้วมันก็หายใจเอง ดูนาฬิกาตีห้ากว่า ตอนเริ่มเป็นห้าทุ่มกว่าแป๊บเดียวแค่นั้นเอง

    ยิ่งสมาธิดิ่งลึกมากเท่าไร เวลามันจะผ่านไปไม่รู้ตัว เคยตื่นขึ้นมาเวลาตีสอง ๕๕ นาที จะตื่นเวลานั้นประจำ สมัยก่อนจะจำกัดตัวเองบังคับว่าต้องทำความดี ปกติก็จะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีสาม แต่ตื่นขึ้นมาปิดนาฬิกาปลุกก่อนทุกที พอตื่นขึ้นมาดูนาฬิกา อ้อ..ตีสอง ๕๕ นาที เดี๋ยวท่องคาถาเงินล้านซักจบหนึ่งแล้วลุกไปล้างหน้าล้างตาเจริญกรรมฐาน ปรากฏว่าพอท่องคาถาเงินล้าน ๑ จบ ลืมตามาฟ้าสว่างโร่ เพื่อนออกบิณฑบาตแล้ว คว้าบาตรไล่เขาแทบไม่ทัน จบเดียว ไม่ได้หลับนะยืนยัน สติรู้ตัวอยู่ตลอด

    แต่คราวนี้ว่า ถ้าสมาธิมันยิ่งลึกมากเท่าไรเวลามันผ่านไปเราจะไม่รู้ตัว ผ่านไปเร็วมากเลย พอรุ่งขึ้นก็เอาใหม่ คราวนี้พยายามตั้งสติจับมันให้อยู่ว่ามันไปได้ยังไง ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นได้ ๓ จบ เยอะขึ้นมาหน่อย บิณฑบาตเกือบไม่ทันเหมือนเดิม จะลองดูบ้างมั้ยวิธีแบบนี้ สนุกดีเหมือนกัน(หัวเราะ) รถติดไปทำงานไม่ทันโดนไล่ออกอีก อันนั้นตั้งใจดูว่ามันตายแล้วมันจะไปไหน รู้แต่ว่าหมดลมไปเฉย ๆ จิตไม่ได้ออกจากร่าง มันอยู่ของมันนั่นแหละ คอยจ้องอยู่ทุกอิริยาบถเลย อยากรู้ว่ามันจะขยับไปท่าไหน ออกไปแล้วจะนึกถึงอะไรก่อน ไม่ได้กินมันหรอก มันขี้อายหรือไงไม่รู้ ไปจ้องมันมาก ๆ มันเลยไม่ออก


    ถาม : .............เวลามันผ่านไปนาน แล้วจริง ๆ มัน......?

    ตอบ : มันไม่ใช่ คือพอจิตลึกลง ทุกสิ่งทุกอย่างจะช้าโดยอัตโนมัติ แบบเดียวกับพระที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติ จะผ่านระยะเวลาไป ๗ วัน ๑๕ วัน มันเหมือนกับแป๊บเดียว เพราะว่าอันนั้นถึงที่สุดจริง ๆ นิโรธสมาบัติใครได้มโนมยิทธิทำได้ เอ้า ชักจะเกินไปแล้วมั้ง หลวงพ่อเคยสอนหรือเปล่าหว่า นิโรธสมาบัติจำไว้ว่ามันเป็นการที่จิตไม่เอาร่างกายจริง ๆ คราวนี้มันมีอาการอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือไปตั้งมั่นอยู่จุดเดียวที่นิพพาน อย่างที่สอนคือท่องเที่ยวไปในระหว่างภพต่าง ๆ


    มโนมยิทธิทำได้แล้วใช่มั้ย ? แต่สำคัญอยู่ตรงจุดที่ว่านิโรธสมาบัตินี้จิตจะไม่เกาะร่างกายเลย เพราะฉะนั้นก็แค่นิดเดียวแค่นั้นเอง พวกเราซ้อม ๆ ไว้บ้างก็ดี เผื่อปฏิสัมภิทาญาณเกิดมันจะได้คล่องตัวหน่อย
    หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชธรรมโสภณ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี เวลาไปกราบท่าน ท่านก็ เอ้อ! โน่นน่ะสังฆทาน เราก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมีเยอะ พอปฏิเสธครั้งที่ ๒ ท่านบอก จำไว้นะคุณ ผู้ใหญ่ให้อะไรรีบรับไปเหอะ เราจะเป็นคนน่ารักในสายตาของท่าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาท่านบอกให้อะไรขนหมด ผู้ใหญ่ให้ของเพราะท่านมีเหลือเฟือแล้ว ของเราไปปฏิเสธประเภทผมพอแล้วผมไม่อยากได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนข้อหาหมั่นไส้ เพราะกำลังใจของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน แต่ถ้าเรารีบกระตือรือร้นรับ เห็นเป็นบุญคุณเลยที่ท่านให้มา เห็นความดีของท่าน มันก็กลายเป็นว่าทำตัวน่ารักไป ท่านสอนเคล็ดลับของการอยู่ร่วมกับคนอื่น จำไว้ ผู้ใหญ่ให้อะไรรีบรับ อันนี้มันเกิดจากประสบการณ์ชีวิต กว่าจะผ่านมาถึงระดับนั้นได้ ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมามหาศาล ในเมื่อผ่านมาถึงขนาดนั้น ท่านจะรู้เลยว่าทำยังไงมันถึงจะเป็นที่พอใจคนอื่น

    เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมาสอนพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าท่านจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นสันดุสิตเทพบุตร จุติสู่พระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ อยู่ในท้องแม่ ๑๐ เดือนถ้วน ๆ ไปคลอดเอาวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของปีถัดไป

    ถาม : จากดาวดึงส์ ?

    ตอบ : จากชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นดุสิตเข้ายาก กติกาเขาเยอะ อันดับแรกต้องเป็น พระโพธิสัตว์ บารมีเต็ม อันดับที่สอง ต้องเป็นพ่อแม่ของพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้าย ที่ท่านจะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญานเป็นพระพุทธเจ้า อันดับที่สาม ต้องเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป เพราะฉะนั้นชั้นนี้คุณสมบัติไม่ถึงไม่ได้อยู่ เมื่อท่านลงมา ในบาลีท่านใช้คำว่า อยู่ถ้วนทศมาส ต่างจากสัตว์เหล่าอื่น สัตว์อื่นอยู่ในครรภ์มารดาไม่ถึง ๑๐ เดือนบ้าง เกิน ๑๐ เดือนบ้าง แต่พระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจะอยู่ ๑๐ เดือนถ้วน ๆ ในระหว่างที่อยู่ในครรภ์ จะไม่ได้คุดคู้เหมือนทารกทั่วไป แต่จะอยู่ในท่านั่งสมาธิ ผู้เป็นมารดาสามารถเห็นได้ตลอดเวลา เหมือนดังแก้วมณีอันใสที่ร้อยผ่านด้วยด้ายเหลือง แก้วใส ๆ เอาด้ายเหลืองร้อยผ่านก็มองเห็นใช่มั้ย ? อันนั้นแม่มองเห็นอยู่ตลอด ลูกอยู่ในท้อง พอท่านคลอดออกมา ท่านเดินไป ๗ ก้าว ประกาศวาจา ท่านบอกว่า อะหัง อัคโคหะมัสมิ อะหัง เชฏโฐหะมัสมิ อะหัง เสฏโฐหะมัสมิ ชาตินัตถิทานิ ปุนัพพะโว เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ขึ้นชื่อว่าการเกิดสำหรับเราต่อไปไม่มี เด็กพึ่งคลอด เดินได้ พูดได้ เป็นไปได้มั้ย ?

    พระเขาถามส่วนใหญ่เขาจะไปสงสัยตรงจุดนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สัตว์บางเหล่าจุติมิรู้ตัว ลงสู่ครรภ์มารดามิรู้ตัว คลอดออกมาจึงรู้ตัว สัตว์บางเหล่าขณะจุติไม่รู้ตัว เข้าสู่ครรภ์มารดาแล้วรู้ตัว คลอดออกมาแล้วรู้ตัว สัตว์บางเหล่าขณะจุติรู้ตัวอยู่ อยู่ในครรภ์มารดารู้ตัวอยู่ คลอดออกมารู้ตัวอยู่ ประเภทสุดท้ายนี่แหละ ทำอะไรอยู่รู้อยู่ พัฒนาการไม่ได้โดนขัดขวาง ออกมาก็เลยเดินได้พูดได้เลย เพราะท่านรู้อยู่ตลอด คราวนี้คนสมัยหลัง ๆ ถ้าเขาไม่ได้ศึกษาตรงจุดนี้นะ เขาก็จะคิดว่าเว่อร์ เกิดมาอะไรวะพูดได้เดินได้เลย มันจะเอาพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีมาอย่างน้อยสี่อสงไขยกับแสนมหากัป ลงมาเท่ากับมนุษย์ขี้เหม็นทั่ว ๆ ไป



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2008
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    คราวนี้มาพูดถึงเรื่องพระสีวลีต่อ ถ้าใครติดใจ ตรงจุดที่ว่าท่านอยู่ในท้องแม่ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน คลอดออกมาอายุ ๗ ขวบกว่า ประเคนของพระได้เลย บวชวันนั้น เป็นพระอรหันต์วันนั้น ต้องไปดูประวัติคนอื่นเขา เหลาจื้อศาสดาของลัทธิเต๋า อยู่ในท้องแม่ ๘๐ ปี แม่ไม่มีการแก่เลยนะ สาวพริ้งอยู่ยังไงอยู่อย่างนั้น และที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ แกท้องโดยที่ไม่มีแฟนมาก่อนเลย ตัวอย่างของการท้องที่ผู้ชายผู้หญิงไม่ได้อยู่ร่วมกัน มันมีอยู่ในสุวรรณกสามชาดก ชาตินั้นผู้ที่เป็นพ่อแม่ของสุวรรณสามโพธิสัตว์ ต่างคนต่างบวช พระอินทร์ทราบวาระของท่านทั้งสองว่า นานไปตาจะบอดทั้งคู่ ถ้าไม่มีลูกดูแลจะลำบากมาก ก็เลยช่วยให้ดาบสิณีตั้งท้อง คืออาศัยกำลังของท่านช่วยให้ตั้งท้อง เลยกลายเป็นว่าท้องโดยที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับแฟนเหมือนกัน รายนี้ก็เหมือนกัน บุคคลที่จะเกิดมาเป็นศาสดาลัทธิใดลัทธิหนึ่ง จะมีข้ออัศจรรย์เป็นที่เชื่อถือของคืนอื่นเขาตั้งแต่แรกแล้ว

    ดังนั้นเหลาจื้ออยู่ในท้องแม่ตลอด ๘๐ ปี เขาใช้คำว่า ขณะที่เป็นฤดูหนาว ในห้องก็มีความอบอุ่นเป็นปกติ ไม่รู้สึกถึงความหนาว ขณะที่เป็นฤดูร้อนในห้องก็เย็นสบาย คราวนี้วันที่ท่านจะคลอด ต้นไม้ใบหญ้าผลิดอกออกผลทั้งสวน แม่เห็นก็ลงไปเดินชมสวนเล่น เห็นดอกไม้สวยถูกใจเอื้อมมือจะเด็ดดอกไม้ ความรู้สึกมันบอกว่าเหมือนกับสีข้างมันขาดควากออกไป แล้วลูกก็หล่นออกมากลายเป็นตาแก่อายุ ๘๐ หนวดยาวเฟื้อยเลย แม่ไม่แก่เลยนะ ตรงจุดนี้ล่ะ ดูอย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกาเหมือนกันใช่มั้ย ? ท่านแต่งงานอายุ ๑๖ คลอดลูกคนแรกปุ๊บ หน้าตาอยู่แค่ไหนก็แค่นั้นตลอด เรื่องนี้เป็นเรื่องของกำลังบุญ พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอกว่ากรรมวิบาก คือการส่งผลของการกระทำของเราจะดีหรือชั่วก็ตาม เป็นของที่ไม่ควรนึกถึง ผู้ใดไปครุ่นคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า</B> คือมันเสียเวลาเปล่าไม่ต้องทำมาหากินอะไรหรอก มัวแต่ไปคิดอยู่ว่ามันเป็นไปได้ยังไง ? มันเกิดมาได้ยังไง พอออกมาขนาดนั้นเขาเลยเรียกเหลาจื้อไง (ไอ้เฒ่า) ออกมาก็ ๘๐ เลย เหลาจื้อประกาศหลักธรรมคำสอนของท่านแล้วไม่ได้ตาย ในประวัติบอกเดินทางออกนอกกำแพงใหญ่แล้วหายไปเฉย ๆ ก่อนจะไปนายด่านที่เฝ้ากำแพงอยู่ ซึ่งได้ยินกิตติศัพท์เล่าลือของเหลาจื้อก็ถามบอกว่า มีของดีอะไรจะให้ไว้บ้างมั้ย ? เหลาจื้อเขาก็ให้คัมภีร์ไม้ไผ่ที่ตัวเองบันทึกเกี่ยวกับวิถีแห่งเต๋า ก็เลยสืบทอดมาจนทุกวันนี้ แล้ววิถีของเต๋าเราสามารถตีความได้ตั้งแต่ปุถุชนยันพระอรหันต์เลย คุณลองไปอ่านดูก่อนเหอะ เต๋ามิใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เต๋าไม่ใช่ทั้งความมืดความสว่าง ไม่ใช่พระอาทิตย์ ไม่ใช่พระจันทร์ เต๋านั้นมีอยู่แล้วในทุกที่ ธรรมชาติแท้ ๆ เลย

    ประวัติคนจีนที่ไม่รู้จักตายนี่มีอยู่สองสามคน อีกคนหนึ่งก็แพ้เหล่าโจ้ว ท่านอายุตั้ง ๘๐๐ ปี รำคาญตัวเองเต็มทีก็เดินทางเข้าป่าหายไปเลย ที่กลายเป็นซิ่วเซียนเป็นเซียนอายุวัฒนะนั่นไง เขาบอกว่าท่านก็เข้าถึงเต๋าตรงจุดนี้ คือในเมื่อตัวเองกับธรรมชาติกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว มันก็เลยยั่งยืนเหมือนกับธรรมชาติ คือว่ายั่งยืนไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นอะไร แต่ว่ามันเป็นช้าหน่อย พังช้าหน่อย อยู่ไป ๘๐๐ ปี เบื่อเต็มทีเข้าป่าหายจ้อยไปเลย

    อีกรายหนึ่งก็โน่น เจียงกั๊วเหลา เป็นหนึ่งในแปดเซียน อันนี้เป็นตัวอย่างของสัตว์เดรัจฉานบำเพ็ญบุญ ในอดีตของท่านเป็นค้างคาวใหญ่ ในตำราเขาบอกว่า ดึงดูดพลังของสุริยันจันทราและกลางวันกลางคืน จนอายุได้สามพันปี สามารถแปลงเป็นคนได้

    อันนี้ถ้าหากว่าเราฟังก็อาจจะค้าน แต่ว่าถ้าไปเทียบกับที่พระพุทธเจ้าท่านว่ามีอยู่ พวกนี้จัดอยู่ในเปตวิสัยภูมิ เป็นเปรตประเภทหนึ่ง เขาเรียกอชคราทิเปรต จะเป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างเช่นว่า เป็นเสือ เป็นงู เป็นหมาจิ้งจอก แต่เนื่องจากว่าพื้นฐานเดิมของท่านนี่มาจากสมาธิแต่เป็นมิจฉาสมาธิ อย่างเช่นพวกหมอผีอะไรอย่างนี้ จะเลี้ยงผีจะทำไสยศาสตร์ก็ต้องมีสมาธิอยู่ ตายแล้วลงนรก พอพ้นจากนรกเศษกรรมทำให้มาเป็นเปรต แต่เนื่องจากพื้นฐานสมาธิเดิมของตัวเองมีอยู่ อาศัยกำลังสมาธินี่บำเพ็ญภาวนาต่อ เคยมีที่เขาลงหนังสือพิมพ์ด้วย ที่บอกว่า พ่อตายแล้วกลายเป็นงูเหลือมใหญ่เลื้อยมาบอกที่ซ่อนสมบัติ แสดงว่าเปรต ไม่ใช่งูทั่วไปหรอก ตายปุ๊บมาเลยตัวเบ้อเริ่มเป็นไปได้ที่ไหน คือเปรตจำพวกอชคราทิเปรต

    คราวนี้ของเจียงกั๊วเหลาเมื่อสามารถที่จะแปลงเป็นคนได้ ก็เท่ากับว่าในส่วนของธรรมชาติจริง ๆ เขามีส่วนเข้าถึงธรรมะในระดับหนึ่ง ท่านเองก็ออกไปโปรดคน ท่านก็มีลาของท่านตัวหนึ่ง ถึงเวลาท่านก็ขี่ลาแต่ว่าหันหน้าไปทางก้นลา เอามือจับหางแล้วก็ไปเรื่อย คนมันตีปริศนาของท่านได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ อยู่ไปเรื่อย เขาบอกว่า ตั้งแต่สมัยพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินใช่มั้ย ตั้งแต่ต้นราชวงศ์ถัง ฮ่องเต้พยายามจะเชิญให้เข้าวัง ไม่ยอมไป พอตื๊อมาก ๆ ท่านก็ดิ้นพราด ๆ ขาดใจตายตรงนั้นล่ะ พักเดียวอืดแมลงวันตอมหึ่งเลย แต่พออีกสักพักหนึ่ง พอเขาจัดการฝังเสร็จชาวบ้านก็เห็นท่านขี่ลาสบายใจเฉิบไปอีกแล้ว

    เรื่องอย่างนี้ต้องคิดถึงหลวงพ่อโพรงโพธิ์ หลวงปู่ใหญ่โลกอุดร หลวงพ่อแก้มแดง เหล่านั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ตายแล้วตายอีก ชาวบ้านเผาเห็น ๆ กับมือ เก็บกระดูกเสร็จ อีกไม่กี่วันมาเดินปร๋ออีกแล้ว คือคนไหนที่มันน่าเบื่อสำหรับท่าน ท่านจะหนีมัน ท่านก็ตายมันซะ ไอ้นั่นก็เลิกกวนใช่มั้ย ? พอเสร็จแล้วเหลือแต่คนดี ๆ ท่านก็โผล่มาใหม่ จนมาถึงสมัยพระนางบูเช็กเทียน นั่นแหละ ส่งสารไปพร้อมกับราชบุรุษกับพวกขันที ไปอ้อนแล้วอ้อนอีก ท่านถึงได้ยอมเข้าวัง ก็ปรากฎว่าจะมีก๊กซือ สมัยนี้น่าจะเป็นพวกราชครูพวกพราหมณ์ปุโรหิต รายนี้เขาบอกว่ารู้ความลับฟ้าดินบางอย่าง ในเมื่อพระมหากษัตริย์ถามว่าพื้นฐานเดิมของเจียงกั๊วเหลาเป็นใคร ? ท่านก็บอกว่าถ้าท่านบอกนี่มันก็เท่ากับว่าไปละเมิดกฎของกรรม มันจะเกิดโทษแก่ท่านเอง ถ้าอยู่ ๆ เป็นอะไรหนักไป ให้พระเจ้าแผ่นดินถอดรองเท้า คือแสดงออกซึ่งความเคารพ คุกเข่าขอเจียงกั๊วเหลาให้ช่วย ไม่อย่างนั้นท่านตายฟรีแน่ ๆ พระเจ้าแผ่นดินก็ตกลง แค่นี้ทำได้อยู่แล้ว ท่านก็เลยเปิดเผยบอกว่า เจียงกั๊วเหลาอดีตเป็นค้างคาวใหญ่ สูบพลังสุริยันจันทรามาตลอดสามพันปีจนสามารถแปลงร่างเป็นคนได้ พอเปิดเผยเท่านี้เขาบอกว่า ก๊กซือนี่กระอักโลหิตล้มลง พระราชาเห็นก็ตกใจ รีบเข้าไปหาเจียงกั๊วเหลาที่เชิญเข้ามาอยู่ในวัง คุกเข่าขอร้อง ท่านอาจารย์ได้โปรดช่วยเขาด้วยเถิด เจียงกั๊วเหลาก็หัวเราะทำน้ำมนต์รดไปถังหนึ่งก็ฟื้นกลับมาตามเดิม แต่ตัวท่านเองท่านบอกในเมื่อคนรู้ภูมิหลังของท่าน ท่านก็ไม่อยู่ ท่านก็ขี่ลาต่อไป ไปเที่ยวของท่านเรื่อย ถ้าหากรัชกาลไหนพอจะมีความดีอยู่ท่านก็จะโผล่มาช่วยเขาหน่อยหนึ่ง ถ้าไม่มีความดีเป็นทรราชบ้านเมืองระส่ำระสาย ท่านก็ปล่อยมันไปสงเคราะห์แต่ชาวบ้าน

    พอมาอีกสมัยหนึ่ง เขานิยมการล่าสัตว์ จับกวางได้ตัวหนึ่งจะฆ่า ตอนนั้นเจียงกั๊วเหลาก็อยู่ในวัง ก็เลยรีบห้ามบอกอย่าฆ่า ถามว่าทำไม ? ท่านบอกว่ากวางตัวนี้บำเพ็ญภาวนามาแปดร้อยปีแล้ว สมัยปู่ทวดของฮ่องเต้เคยจับได้ทีหนึ่งแล้ว เราก็ห้ามไว้ ถามว่ามีอะไรเป็นหลักฐาน ท่านบอกว่าดูที่โคนเขา ให้เอาแผ่นทองแดงตีเป็นปลอกสวมโคนเขาไว้จารึกวันเดือนปีที่ปล่อย ฮ่องเต้ก็เลยให้ช่วยกันตรวจดู เห็นจริง ๆ บอกไว้เลย ย้อนหลังไปประมาณแปดร้อยปีที่แล้วปล่อยมาทีหนึ่ง

    ถาม : แล้วเจียงกั๊วเหลาเป็นคนหรือเปล่าคะ ?

    ตอบ : เป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ ก็ลักษณะของพญาครุฑ พญานาคอะไรอย่างนั้น ก็จะอยู่ในภูมินั้น แล้วมาถึงวาระสุดท้าย เขาว่า ไท้เสียงเล่ากุน ถ้าหากเป็นของไทยคือท้าวสหัมบดีพรหม ไท้เสียงเล่ากุนเรียกไปตั้งอยู่ในตำแหน่งของเซียน เป็น ๑ ในแปดเซียน แปดเซียนนี่มีผู้หญิงคนเดียว มีเด็กคนเดียว แล้วก็มีคนที่ไม่ใช่คนอยู่คนเดียว ผู้หญิงก็คือฮ้อเซียนโกว เด็กก็คือน้าใช่หัว เด็กขอทาน ตกลงเดี๋ยวให้เล่าแปดเซียนทีละคนก็แย่สิ

    ถาม : จี้กงคือใครคะ ?

    ตอบ : จี้กง อันนี้ เดี๋ยวเอาถึงเซียนก่อนนะ เซียนในความหมายของคนจีน คือ บุคคลที่มีอภิญญาสมาบัติ สามารถทำอะไรที่เกินคนปกติได้ มีคนถามว่าพระอรหันต์ใช่เซียนมั้ย ? ก็ต้องตอบว่าพระอรหันต์ทุกองค์เป็นเซียน แต่เซียนทุกองค์ไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะเซียนในความหมายของจีนเขาจริง ๆ ก็คือคนที่ได้อภิญญาสมาบัติ คนได้อภิญญานี่มันมีอภิญญาโลกีย์ อภิญญา ๕ ใช่มั้ย ? ถ้ายังไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปยังไม่เรียกว่า อภิญญา ๖ เพราะข้อสุดท้ายคืออาสวักขยญาน การทำกิเลสให้สิ้นไปมันยังไม่เกิด พระโสดาบันทำกิเลสให้สิ้นไปในระดับหนึ่งได้ เขาถึงได้เรียกอภิญญาของท่านว่าอภิญญา ๖

    เพราะฉะนั้นเซียนทุกคนไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าก็อาจจะอยู่ระดับใดระดับหนึ่งก็ได้ ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็คือผู้ที่ได้อภิญญาโลกีย์ แต่พระอรหันต์ทุกคนเรียกว่าเซียนได้เต็มปากเต็มคำ อภิแปลว่ายิ่งกว่า เฉพาะ ข้างหน้า ใครเคยท่องบาลีก็รู้อยู่ว่ามีคำแปลของเขา

    ถาม : .................................................

    ตอบ : ลิเหียนนี่ไปฝึกวิชาถอดจิตถอดกาย มโนยิทธินี่แหละ แต่ของท่านเต็มกำลังแน่นอน ถอดครั้งหนึ่งไปเจ็ดวัน พอสำเร็จวิชามาก็มาเปิดสำนักสอนลูกศิษย์ ระวังอาจารย์ไก่ไว้ ไปเจ็ดวัน เขาเผาทิ้งเหมือนกับลิเหียนนั่นแหละ(หัวเราะ)
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    คราวนี้วันนั้นก็ถึงวาระที่จะไปเฝ้าอวนคูเซียนก็ถอดจิตไป สั่งลูกศิษย์ว่าภายในเจ็ดวันอย่าให้ใครมารบกวนร่างกายถึงเหมือนคนตายก็ปล่อยไว้อย่างนั้น วันที่เจ็ดอาจารย์จะฟื้นขึ้นมาเอง คือลักษณะทิ้งไปเลยอย่างนั้น คราวนี้ลูกศิษย์เฝ้าอยู่พอถึงวันที่สาม ทางบ้านก็มาบอกแม่หรือพ่อตายก็ไม่รู้ ลูกศิษย์ก็ร้อนก้นล่ะซิ ตูจะอยู่ยังไงหว่า พ่อแม่ตายนี่ ถ้าไม่ไปสมัยก่อนเขาปรับเป็นอกตัญญูแน่นอนเลยใช่มั้ย ? หนักที่สุดก็คืออกตัญญูไม่มีลูกไม่มีหลาน รองลงไปก็คือไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ตัวเองต้องเฝ้าร่างกายของอาจารย์อยู่

    คราวนี้ศิษย์คนนี้เขาไม่เคยเห็นตอนที่เขาถอดไปทีหลาย ๆ วัน เขาก็เลยคิดว่าอาจารย์คงจะตายแล้ว จับแล้วตัวเย็นเฉียบเลย เลยจัดแจงเผาซะ เก็บกระดูกอาจารย์ใส่ห่อเสร็จก็เผ่นกลับบ้านไปจัดงานศพต่อ อาจารย์กลับมา ไม่มีที่จะเข้าก็ต้องไปฟ้องอาจารย์ของอาจารย์ ไปฟ้องอวนคูเซียนว่าลูกศิษย์มันเผาร่างกายทิ้งไปแล้ว ผมจะทำไงดี อวนคูเซียนก็บอกว่าเอาอย่างนี้สิ ท่านยังไม่ถึงวาระอายุขัย อยู่ต่อไปก็ช่วยคนได้มาก ท่านไปเจอใครตายอยู่ก็อาศัยร่างเขาได้เลย ก็ไปเจอขอทานขาเป๋ตายอยู่ เลยอาศัยร่างนั้นมา ก็เลยกลายเป็นเซียนไม้เท้าเหล็ก หรือทิก้วย

    นี่เป็นผลร้ายของการฝึกมโนมยิทธิ แล้วไว้วางใจลูกศิษย์เกินไป(หัวเราะ) อาตมาเองเกือบโดนเขาหามไปเผาสองที แต่ว่าเราดูแล้วเฮ้ย ๆ มันชักจะยุ่งกับเรามากเกินไปแล้ว ตอนนั้นท่านแสงยังไม่ได้สนใจเรื่องนี้ พี่ชายอีกคนสนใจเรื่องนี้แต่เขาทำไม่ได้ เมื่อถึงเวลาเราอยู่ ๆ เงียบไปเฉย ๆ เขาก็ไปดู เห็นแข็งไปทั้งตัวเขาก็หามหัวหามท้ายเตรียมขึ้นรถแล้ว เราก็เลยต้องลืมตาขึ้นมาบอกว่าไม่ต้องยุ่งล่ะ เอากลับที่เดิมเหอะ (หัวเราะ) พออีกทีหนึ่งตอนเป็นทหาร นั่นเพื่อนหามไปครึ่งทางแล้ว คือเรานี่เราว่าเร็วแล้วใช่มั้ย ? แต่ว่าบางทีสมาธิกว่ามันจะคลายออกมามันนาน มันไปครึ่งทางแล้ว คลายออกมาก็ลืมตาบอกเขา บอก เฮ้ย! ไม่ต้องยุ่ง หามกูกลับที่เดิมเหอะพอแล้ว เขาบอกอะไรวะมันอย่างกับตายไปแล้วแท้ ๆ แต่มันพูดหน้าตาเฉย บอก เออ...มันก็อย่างนี้แหละ

    ถาม : แล้วตอนนั้นหลวงพี่รู้ได้ยังไงว่าเขายกออกไป ?

    ตอบ : ความรู้สึกทางร่างกายนี่มันมีครบ เพียงแต่เราจะสนใจมันมั้ย ? ถามตาไก่เหอะมันเคยแล้วแหละ อาการอย่างนี้คือว่าเรารู้ตัวอยู่ตลอดว่าอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่จะสนใจมั้ย ? ถ้าสนใจก็คลายออกมารับรู้มันซะหน่อยหนึ่ง ถ้าไม่สนใจก็ผลุบกลับไปตามเดิม มันเหมือนยังกับใส่เกราะกันคนจะตีหัว เต่าถึงเวลาก็หดหัวเข้ากระดอง สนุกดี แต่อย่าเผลอเดี๋ยวเขาเผาจริง ๆ

    หลวงพ่อเวลาท่านมาทำงานที่ตึกริมน้ำ ถ้าถึงเวลาพักผ่อนท่านจะล็อคห้องไปเลย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนรู้ดีมันมุดเข้าไปเจอเข้า มันจะเอาท่านไปเผาจริง ๆ เพราะว่าถ้าไปด้วยมโนมยิทธิเต็มกำลังนี่ สภาพทางร่างกายมันเหมือนกับคนตาย พวกอวัยวะภายนอกภายในมันเหมือนกับไม่ทำงานหมดแล้ว เย็นเฉียบเลย แต่จริง ๆ แล้วมันจะมีลมละเอียดอยู่นิดหนึ่ง เป็นเส้นเล็ก ๆ ใส ๆ เหมือนกับเอ็นตกปลา มันจะวิ่งอยู่ระหว่างจมูกกับสะดือ อยู่แค่นี้ ถ้าเส้นนี้ขาดก็คือตาย ถ้าเส้นนี้ยังอยู่ต่อให้ย่ำแย่ขนาดไหนไม่ตายแน่นอน

    ถาม : หัวใจไม่หยุดหรือคะ ?

    ตอบ : มันก็เลิกเต้นของมันชั่วคราว มันเหนื่อยมันแล้ว ค่อย ๆ ทำเอาเรื่องอย่างนี้มันไม่ยาก พอทำไปถึงเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น

    ถาม : ........................................ ?

    ตอบ : อ๋อ จี้กงเหรอ เมื่อเช้าเล่าเรื่องหลวงพ่อขี้วัวไป ลักษณะเดียวกันคือผู้ปฏิบัติที่เข้าถึงระดับหนึ่งแล้ว ต้องการจะปกปิดจริยาของตัวเอง คือไม่อยากให้เขารู้ตัวเองเป็นอย่างไร ก็เลยแกล้งทำเหมือนคนบ้า ๆ บอ ๆ แบบหลวงพ่อขี้วัว แต่หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าพวกแกล้งบ้านี่มันมักจะเกินลิมิต คนบ้าจริง ๆ ทำไม่ได้ยังนั้นหรอก ก็เลยเป็นพวกที่ว่า ท่านอาจจะได้ธรรมะส่วนใดส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นแค่พระอภิญญาที่ไม่ต้องการให้ใครรบกวนท่านก็ดี หรืออาจจะเป็นพระอริยเจ้าก็ดี ไม่อยากยุ่งกับชาวบ้านก็แกล้งบวม ๆ ไปวัน ๆ คนรู้จักของดีก็ตามตื้อไป คนไม่รู้จักของดีก็ด่าส่ง เอามั้ย ? หัดไว้ ถึงเวลาแล้วไม่ต้องขึ้นรถลงเรือ เหาะไป

    ถาม : ยันต์สีแดงกับสีเหลืองนี่แตกต่างกันอย่างไร ?

    ตอบ : สีไม่เหมือนกันจ้ะ อานุภาพเหมือนกัน อย่าไปเรื่องมาก ที่ทำนี่เพราะบางคนเขาอยากได้สีประจำวันเกิด ก็เลยทำมาซะแปดสี อย่างน้อยก็ได้แจกอีกแปดเดือน

    ถาม : ......(ปะขาวน้อมกิตติวงษ์)......?

    ตอบ : สาธุ ผลบุญนี้ขอให้เข้าถึงธรรมในส่วนที่ปรารถนาไว ๆ หนุ่มน้อยนี่เขาเอาจริงนะ แล้วทำได้ด้วยต่างหาก ถ้าประคับประคองระดับตัวเองทรงตัวได้ ไม่เหลงทางซะก่อน บวชเมื่อไรก็ได้พระดีเมื่อนั้น นี่ก็ตัวอย่างหนึ่ง อย่าลืมว่าของเราอายุขนาดนี้เคยคิดมั้ยที่จะบวช แต่ของเขานี่ตั้งเป้ามาตั้งแต่เด็กแล้ว ของโยมก็ภูมิใจ แต่ถ้าลูกหลานมันไม่คิดจะเอาอย่างนี้มันก็โวยวาย

    สมัยนี้คนไม่เอาไหนมันเยอะ บวชอะไรล่ะ อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย ยายให้บวชแก้บน (หัวเราะ) นั่นล่ะ สมัยนี้มันถึงได้เละเทะกันเยอะ หาที่ดี ๆ ยาก ทำเอาคนที่ตั้งใจดีบางทีก็แย่ไปด้วย เพราะว่าพระที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องถ้าปาราชิก ขาดควาเมป็นพระไปเลย บวชใหม่ก็ไม่เป็นพระ ห่มเหลืออยู่ก็ไม่เป็นพระ สังฆาทิเสสนี่ขาดความเป็นพระชั่วคราว ทั้งปาราชิกและสังฆาทิเสส ถ้าอยู่ในสังฆกรรม สังฆกรรมเขาเสียหมด คนตั้งใจบวชพระเป็นได้แค่เณร แล้วตัวเองก็ไปกินอย่างพระ ไปอยู่อย่างพระร่วมสังฆกรรมกับพระ มันมีแต่จะเกิดโทษ ตัวนี้แหละว่ามันทำให้คนที่ตั้งใจดี ๆ เข้าไปแล้ว กลายเป็นเสีย คือมันเกิดโทษกับตัวเองไม่รู้ตัว เลยกลายเป็นปัญหาใหญ่อย่างที่เห็นอยู่ เพราะฉะนั้นเวลาจะบวชจะต้องเล็งแล้วเล็งอีกวัดไหนชัวร์ถึงจะเอา แต่ชัวร์กับชั่วมันออกเสียงห่างกันนิดเดียว ต้องระวังให้ดี ๆ บวชพระอยู่ยาก จะได้เกิดเป็นคนก็ยาก เกิดแล้วเป็นผู้ชายก็ยาก เป็นผู้ชายอาการครบ ๓๒ ก็ยาก เป็นผู้ชายสมบูรณ์จะได้ฟังธรรมก็ยาก ฟังธรรมแล้วเลื่อมใสก็ยาก เลื่อมใสแล้วจะบวชก็ยาก มันสารพัดจะยากเลย

    ถาม : ............................. ?

    ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน อาจจะแย่กว่านี้ก็ได้ อย่าพึ่งมั่นใจตัวเองเลย เพราะว่าทุกอย่างมันมีวาระบุญวาระกรรมของเขามาอยู่ บางอย่างที่คนเขาบอกบุญมีแต่กรรมบัง มันจริง ๆ เพราะว่ากำลังของอกุศลมันสูงกว่า เมื่อถึงวาระที่กุศลมันขาดช่วงลงให้มันเสียบเข้ามาได้ล่ะ คราวนี้สาหัส ท่านถึงได้สอนให้เราทำความดีอย่างสม่ำเสมออย่าให้กุศลมันขาดช่วงลง
    ตัวอย่าง พระอัญญาโกณฑัญญะ พระสาวกองค์แรก พระภิกษุองค์แรกในพระพุทธศาสนา แล้วก็พระสุภัททะนี่เป็นองค์สุดท้ายเลย ชาติแรก ๆ ท่านเกิดเป็นพี่น้องกัน แบ่งที่กันคนละครึ่งทำนา ท่านโกณฑัญญะนี่ก็ไถนาตัวก็ทำบุญก่อน ถึงเวลาหว่านข้าวก็ทำบุญก่อน ข้าวตั้งท้องก็ทำบุญก่อน เกี่ยวข้าวก็ทำบุญก่อน ขนข้าวขึ้นยุ้งก็ทำบุญก่อน ของท่านสุภัททะนี่ไปเล่นเอาตอนขนข้าวขึ้นยุ้งเรียบร้อยแล้วค่อยทำบุญทีเดียว ท่านโกณฑัญญะท่านเล่นตั้งแต่แรก อานิสงส์ทำให้ท่านกลายเป็นพระอรหันต์องค์แรกในศาสนาของพระพุทธเจ้า ส่วนท่านสุภัททะนั้นเกือบไม่ทันคืนสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานแล้ว ได้ข่าวคราวว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น อุตส่าห์เดินทางไปถึง พระพุทธเจ้าท่านก็นอนยาวแล้ว ปรากฏว่าพระอานนท์ไม่ให้เข้า ก็ถกเถียงกันอยู่ พระพุทธเจ้าท่านถามบอกว่า ใช่สุภัททะปริพาชกหรือไม่ ถ้าใช่ก็ปล่อยให้เข้ามา ท่านก็เข้าไป ฟังธรรมแล้วกลายเป็นพระอรหันต์องค์สุดท้ายในยุคที่ทันเห็นพระพุทธเจ้า นอกนั้นก็มาเป็นยุคหลัง ๆ ไม่ทันได้เห็นพระพุทธเจ้าที่มีชีวิตอยู่

    คราวนี้เห็นหรือยังว่า เรื่องของบุญสำคัญแค่ไหน ไปกราบหลวงพ่อสมเด็จที่วัดสระเกศ ท่านติดคติธรรมของสมเด็จพระสังฆราชอยู่ ญาโนทัย ที่เป็นพระอาจารย์ของท่านเอาไว้
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...