ฉบับที่ ๕๑ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 2 มิถุนายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ช่วงแรกของเล่ม "ล่องแก่งมหาภัย" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ





    ถาม: อาการที่ติดบุญมันเป็นยังไงคะ ?
    ตอบ: อาการที่ติดบุญมันก็อยู่ในลักษณะที่ทำแล้วยังหวังผลตอบแทนอะไรอยู่ แต่จำไว้ว่าการติดมงคลมันดีกว่าติดอัปมงคลเยอะ ตราบใดที่ยังเกิดแก่เจ็บตายอยู่ให้เร่งขวนขวายในบุญ อย่าลืม นั่นน่ะพระอรหันต์พูดนะ


    สมเด็จพระสังฆราชวัดสระเกศ ตอนนั้นท่านอายุ ๙๐ ปี สมเด็จพระสังฆราชกิตติโสภณมหาเถระ วัดเบญจฯ ทำบุญฉลองอายุ ๗๒ ปี สมเด็จพระราชาคณะก็ไปกันหมด สมเด็จพระสังฆราชตอนนั้นก็เป็นแค่สมเด็จพระราชาคณะท่านก็ไป ไปตอนฉันเพลท่านก็คุยกัน ท่านก็บอกกับเพื่อน ๆ สมเด็จด้วยกันว่า ผมตรวจดูดวงผมแล้ว ผมจะได้เลื่อนอีกขั้นหนึ่ง สมเด็จพระราชาคณะไม่มีเลื่อนสูงกว่านั้นหรอก นอกจากเป็นพระสังฆราช แล้วรายที่นั่งอยู่อายุแค่ ๗๒ พระคุณท่าน ๙๐ แล้ว หลวงพ่อพระสังฆราชวัดเบญจฯ ฉุนขาดเลย ก็เลยแกล้งเหน็บไปว่า สงสัยจะเลื่อนโกฐิล่ะมั้ง ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นาน คนอายุ ๗๒ หัวใจวายตายปล่อยให้คนอายุ ๙๐ เป็นพระสังฆราชไปสองปีกว่า มรณภาพตอน ๙๒ กว่า ๆ สมเด็จพระสังฆราชอยู่ ญาโณทัยมหาเถระ ท่านเป็นพระที่ไม่ถือตัว จำไว้ พระดีไม่มีถือตัวหรอก เวลาเขามานิมนต์จะยากดีมีจนยังไงก็ตามถ้าท่านว่างท่านรับ รับเสร็จแล้วก็ไปสงเคราะห์เขา บางทีก็อาแปะมานิมนต์ ก็ไปกับท่าน เขาก็ไม่มีรถยนต์มารับ ก็ไม่เป็นไรหรอก เอาซาเล้งก็ได้ ก็เรียกมา ถึงเวลาก็ขึ้นสามล้อไป เล่นเอาพวกเจ้าหน้าที่สังฆาธิการต่าง ๆ ที่ทางกระทรวงเขาส่งมาหัวเสียไปตาม ๆ กัน เป็นพระสังฆราชไม่ได้มีเกียรติมีศักดิ์ศรีอะไรเลยหรือไงไปขี่สามล้อ ปรากฏว่าสามล้อยังดี มีอยู่เที่ยวหนึ่งอาแป๊ะอีกคนมานิมนต์ ท่านก็บอกว่าไป บ้านอยู่ไหนล่ะ ? อาแป๊ะก็บอกว่าอั๊วไม่มีรถมารับนะ เอ้ย...ไม่เป็นไร ขี่หลังลื้อก็ได้ ตกลงอาแป๊ะก็แบกสมเด็จพระสังฆราชขึ้นหลังไป ยังกับเด็ก เด็กมันเล่นขี่ม้าส่งเมืองกันใช่มั้ย ? ท่านก็ไปของท่านอย่างนั้น
    รักษากำลังใจคน เพราะว่ากำลังใจคนถ้าหากเกาะพระดีซะหน่อยเดียว ประโยชน์มันมหาศาลไม่รู้จบจริง ๆ จะกี่ชาติกี่ภพก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ตัวเองไม่พ้นห่างจากความดี ท่านก็ไปสงเคราะห์เขาอย่างนั้น ไปถึงบางทีเขาเปิดร้านชำ ข้าวของแน่นไปทั้งร้านเลย ไม่มีที่จะสวดมนต์ ท่านบอกไม่เป็นไรหรอก ตรงด้านหน้าร้านมันเป็นฟุตบาทอยู่หน่อยหนึ่ง นั่งตรงนั้นก็ได้ ปูเสื่อลงไปนั่งสวดตรงนั้น ในสมัยนี้เขาเอากันมั้ยล่ะ ถ้าหากว่าไม่ได้เก้าอี้หลุยส์ หรือว่าปูพรมผ้าแดงอะไรอย่างนี้ สมัยนี้บางทีเขาไม่นั่งกันหรอก นี่พูดถึงเฉพาะบางท่านนะ แต่ท่านที่ดี ๆ ไม่ถือตัวก็มีเยอะ


    การรักษากำลังใจสำคัญที่สุด อยู่ในโลกมันก็ต้องเจอกับโลกธรรม คือธรรมะประจำโลก ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ ได้รับความสุข ถึงวาระมันเสื่อมลาภ เสื่อมยศ โดนนินทา มีความทุกข์ ก็ต้องระวังมันอยู่ตลอด ได้ดีอย่าฟู แล้วขณะเดียวกันว่า ถ้าได้ร้ายก็อย่าฟุบให้เห็นว่ามันเป็นปกติของมัน เรื่องของมัน ถ้ามันดีมาพออาศัยได้ก็ดีกับมันไป ถ้าหากว่ามันไม่ดีมาเราอยู่กับมันก็ให้รู้อยู่มีสติอยู่ ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปอยู่แล้ว

    ถาม : ..............(อานิสงส์ของทาน).....................

    ตอบ: ขึ้นชื่อว่าทานถ้าทำเป็นไม่มีคำว่าน้อย พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าให้ทานกับสัตว์เดรัจฉานมีผลหนึ่งส่วน
    การให้ทานกับมนุษย์ที่ไม่มีศีลจะมีผลมากกว่าร้อยส่วนคือมากกว่าร้อยเท่า
    การให้ทานกับผู้มีศีลบริสุทธิ์มีผลมากกว่าให้ทานกับผู้มีศีลแต่ศีลขาดร้อยเท่า
    การให้ทานกับผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์สามารถทรงฌานสมาบัติได้มีผลมากกว่าให้ทานกับผู้มีศีลบริสุทธิ์เป็นร้อยเท่า
    การให้ทานกับผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ทรงฌานได้เป็นร้อยครั้งก็ไม่เท่ากับให้ทานกับพระโสดาปัตติมรรคหนึ่งครั้ง
    ให้ทานกับพระโสดาปัตติมรรคเป็นร้อยครั้งไม่เท่ากับให้ทานกับพระโสดาปัตติผลหนึ่งครั้ง
    ให้ทานกับพระโสดาปัตติผลร้อยครั้งไม่เท่ากับให้ทานกับพระสกิทาคามีมรรคหนึ่งครั้ง
    ให้ทานกับพระสกิทาคามีมรรคเป็นร้อยครั้งก็ไม่เท่ากับให้ทานกับพระสกิทาคามีผลหนึ่งครั้ง
    ให้ทานกับพระสกิทาคามีผลเป็นร้อยครั้งก็ไม่เท่ากับให้ทานกับพระอนาคามีมรรคหนึ่งครั้ง
    ให้ทานกับพระอนาคามีมรรคเป็นร้อยครั้งก็ไม่เท่ากับให้ทานกับพระอนาคามีผลหนึ่งครั้ง
    ให้ทานกับพระอนาคามีผลเป็นร้อยครั้งก็ไม่เท่ากับให้ทานกับพระอรหัตมรรคหนึ่งครั้ง
    ให้ทานกับพระอรหัตมรรคเป็นร้อยครั้งก็ไม่เท่ากับให้ทานกับพระอรหัตผลหนึ่งครั้ง


    ถาม : .........................................................

    ตอบ: ถ้าหากว่าเราเคยเข้าถึงอารมณ์นั้นเมื่อไร มันจะจำได้แล้วถ้ามันจำได้ ต่อไปมันจะไม่ยาก คือมันเคยผ่านมาแล้วนี่ ถ้าเขาทำนะเขาจะได้อย่างนั้นอีก วันนั้นก็คือลูกกวนตัวผัวกวนใจ เผ่นขึ้นนิพพานไปกราบพระตั้งใจเลยว่าทุกอย่างนี่ไม่เอาแล้ว จะสลัดออกแล้ว คราวนี้ความตั้งใจนี่มันบังเอิญอยู่ตรงที่ว่า การที่เราขึ้นนิพพานได้ มันเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติ รัก โลภ โกรธ หลง ช่วงนั้นมันจะไม่มี แล้วตัวเองไปตั้งกำลังใจข้างบนนั้น เพื่อตัดลูกตัดผัวอย่างนั้น เขาบอกว่าเยื่อใยมันหมดเลย รู้ว่าตัวเองมีหน้าที่แม่ก็ทำหน้าที่แม่ เป็นหน้าที่เมียก็ทำหน้าที่เมีย แต่ความผูกพันความกังวลห่วงใยชนิดประถึงเวลาตะเกียกตะกายตายแทนเขาก็ได้มันหายไปเลย ก็เลยบอกว่า ถ้ารักษากำลังใจตรงนี้ได้ตายเร็ว เพราะว่ามันไปถึงจุดที่ไม่รักในสิ่งที่ควรรัก ไม่เกลียดในสิ่งที่ควรเกลียด ไม่ขัดเคืองในสิ่งที่ควรขัดเคือง นี่มันอารมณ์ใจขั้นสุดท้ายเลย แต่เขาเอาไม่อยู่ ฆราวาสเก่งจริงตายหมด จำไว้ ที่ยังมีอยู่นี่ยังไม่เก่งจริงหรอก เพราะถ้าเก่งจริงนี่เข้าถึงที่สุดมันอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน แล้วส่วนใหญ่ที่เจอมาไม่ใช่ ๗ วัน ถ้าหากว่าได้เช้าก็ไม่เคยอยู่ถึงเย็น ถ้าหากว่าได้เย็นก็ไม่เคยอยู่ถึงเช้า ตายหมด

    เมื่อวานที่ตี๋เล็กบอก พวกสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ พวกนั้นมันคิดว่าตัวเองเก่ง น่าสงสาร มันเก่งคนเดียวไม่พอ มันเก่งกว่าพระอีก คุมพระต่อเลย คนเรากำลังใจมีแค่ไหนก็จะคิดแค่นั้น ทำแค่นั้น เพราะฉะนั้นของพวกนี้มันไปยาก จำไว้อย่างหนึ่งว่า คนที่น่ากลัวที่สุดก็คือคนที่เหลือแต่กริยาไม่มีมารยาแล้ว คนประเภทนี้นี่ทำอะไรก็ทำไปโป้ง ๆ เลย ไม่ต้องไปดัดจริตแล้ว เพราะว่าดีชั่วเท่านั้นตัวเองรู้อยู่ ก็ไม่ต้องไปดัดจริตรอว่าใครจะมาชมว่าเราเป็นคนดี ทำจากน้ำใสใจจริง คนประเภทนี้น่ากลัว ทางเขาสั้นกว่าคนอื่นแล้ว เมื่อไปถึงระดับนั้น ทุกอย่างมันเหมือนกับรุงรัง พวกเรานี่ของเขาทิ้งไม่ไยดีหรอก ในเมื่อมันรุงรังมันเกะกะมันมีแต่จะขวางให้ช้า ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็พร้อมที่จะโยนมันทิ้งได้ทันทีเลย บางทีดูเหมือนกับคนไม่มีน้ำใจ แต่จริง ๆ ไม่ใช่ เขาเอาเฉพาะเรื่องที่เป็นอรรถเป็นธรรมเท่านั้น นอกทุ่งนอกท่ามาเขาไล่เตลิดเปิดเปิงหมด มันเหมือนกับคนขี้รำคาญ เพราะอะไร ? ของตัวเราเห็นตรงทาง แล้วคนอื่นจะดึงออกนอกทาง ก็ต้องรำคาญเขาใช่มั๊ย ?

    เคยถามหลวงพ่อครั้งหนึ่ง หลวงพ่อท่านบอก แกสังเกตดูสิ ถ้าคนที่กำลังใจมุ่งตรงแล้ว ทำอะไรทำรวดเร็ว รักษาเวลามาก ก็รู้แล้วว่าเวลาตัวเองมีน้อย รักษาเวลาตัวเองมาก ทำอะไรทำเร็ว แต่ขณะเดียวกัน พวกที่เวลายังเยอะ ทำอะไรก็เชื่องช้าอืดอาด พวกนั้นเกิดอีกนาน เราได้ยินประโยคนี้แล้วสะดุ้ง เกิดอีกนาน มันก็ทุกข์อีกนาน

    เพราะฉะนั้นต้องรักษากำลังใจดี คลำถูกทาง แล้วก็อย่าพยายามเลี้ยวออกไป อันดับแรกเอาศีล ๕ เป็นกรอบ ตราบใดที่ยังอยู่ในกรอบของศีล หลงทางไม่ไกลหรอก มันจะไปชนขอบของศีลแล้วกระเด้งกลับเอง ยังไง ๆ ก็ตัวตายดีกว่าศีลขาด

    อันดับที่ ๒ เรื่องสมาธิภาวนาอย่าทิ้ง ความมั่นคงของกำลังใจขึ้นกับสมาธิทั้งหมด ถ้าสมาธิทรงตัวดี ศีลดี เรื่องของปัญญามันจะเกิดของมันเอง เพราะว่าพอศีลทรงตัว สมาธิก็ตั้งมั่นได้ง่าย สมาธิทรงตัวปัญญาก็เกิด เพราะว่าจิตของเราปกติมันวุ่นวายส่งส่ายไปตลอด เหมือนกับน้ำกระเพื่อมอยู่ เราจะไปดูหน้าตัวเองส่องลงไป น้ำกระเพื่อมมันก็มองไม่เห็น หรือเห็นมันก็ไม่ชัดเจน แต่ถ้าน้ำมันนิ่ง มองเมื่อไรเห็นเมื่อนั้น คนประเภทนี้ถ้าหากว่าสามารถทำกำลังใจได้ถึงระดับนี้แล้ว ส่วนใหญ่จะอยากจะหลีกไปอยู่คนเดียวแต่มันทำไม่ได้ เพราะว่าเรื่องของการปฏิบัตินี่มันต้องโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย

    ดังนั้นคนเหล่านี้จะมีศีลเป็นกรอบเพื่อรักษาตัวเอง ต้องปรับกำลังใจตัวเองซะใหม่ คนประเภทนี้ถ้าปรับกำลังใจกลืนกับโลกเมื่อไร มันกะล่อนเป็นปลาไหลเลย เพราะว่าเปลือกนอกเขาบ้าตามคนอื่นได้หมด แต่เขาจะไม่แค่ศีล เหมือนกับน้ำในบ่อลึก ถึงเวลาลมพัดปากบ่อก็กระเพื่อม แต่ข้างในนิ่งเชียว ไม่ได้ไปตามหรอก คนประเภทนี้ ถ้าหากว่าเราไม่ได้มีทิพจักขุญาณ ไปจับอากัปกิริยาของเขาด้วยสายตาคนปกติ ก็เห็นว่าคนนี้ไม่มีอะไรเลย คือมันปฏิบัติมายังไง ห่วยแตก สำรวมก็ไม่สำรวม อะไรก็ไม่ แต่ต้องสังเกตให้ดี ๆ บอกแล้วคนระดับนี้จะมีแต่กิริยาเท่านั้นที่บ้าตามโลก แต่มารยาไม่มี เขาไม่ต้องทำเพื่อหลอกใคร ถ้าช่างสังเกตเป็นจะเห็นคนประเภทนี้อาตมาเจอมาหลายคน บางทีก็ทิ่มไปตรง ๆ บอกไม่ต้องดัดจริตหรอก ผมรู้ว่าคุณเป็นยังไง ๆ คือเขาเองก็จะมา วันนั้นผมฝันว่าผมเจอพระแล้วพระบอกให้ทำอย่างนี้ ๆ บอกมึงเลิกฝันได้แล้ว กูก็รู้ว่ามึงฝันยังไง (หัวเราะ) พอบอกเสร็จเรียบร้อย เขาบอกก็ผมไม่กล้าพูดนี่ครับ เขากลัวคนอื่นเขาจะคิดว่าเราบ้า เออ...ไอ้คนอื่นช่างหัวมันเถอะ แต่ข้ารู้มาตั้งนานเนกาเลแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องไปว่าบ้าว่าอะไร มันมีอะไรก็ว่ากันตามตรง คนประเภทนี้เมื่อทำถึงระดับนั้นแล้ว จะอยู่กับโลกโดยที่ไม่ได้ติดกับโลก เหมือนกับน้ำกลิ้งบนใบบัวใบบอน ก็อยู่บนใบบัวใบบอนนั่นแหละ แต่ลองจับมันกลิ้งดูสิ มันเปียกตรงไหน ไม่หรอกมันไปเรื่อย เพราะว่าเขามีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเครื่องคุ้ม หลวงพ่อท่านบอกว่า คนเราถ้าตั้งใจบ้ามันจะหนักกว่าคนบ้าจริง คือคนประเภทนี้เปลือกนอกนี่เขาต้องบ้าให้คนอื่นเห็น เพื่อที่ว่าอันดับแรกกันตัวเองออกมา คนจะได้ไม่รู้ว่าเราทำได้ถึงไหน ? เราทำอย่างไร ? ในลักษณะว่ากันคนปรามาส ถ้าเราไปทำในลักษณะที่ว่าสำรวมกิริยาวาจาอะไรทุกอย่างในลักษณะที่เป็นรูปแบบของเปลือก พวกนี้ปากหมาตลอด มันว่าเอาว่าแรง ๆ ด้วย แล้วลักษณะที่เขาว่านี่แหละมันจะเกิดแก่ตัวเขาเอง

    อย่างเช่นว่า ถ้าหากว่าเราเห็นพระอริยเจ้าท่านทำอาการอย่างนั้นแล้ว เราไปว่าท่านบ้า สบายมาก นอกจากว่าลงนรก เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน แล้วเกิดเป็นคนเมื่อไร คุณบ้าติดต่อกัน ๕๐๐ ชาติ โทษแค่นั้นเอง นางขุชชุตตรานี่เป็นฆราวาสที่เลิศในทางแสดงธรรม แกเทศน์ทีเดียวได้พระโสดาบันห้าร้อยกับหนึ่งองค์ แต่แกเป็นคนหลังค่อม เพราะว่าในอดีตชาติหนึ่งเป็นสาวใช้อยู่ในวังนี่แหละ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าได้รับนิมนต์เข้าไปฉันในวังอยู่ประจำ นางขุชชุตรามีหน้าที่จัดน้ำใช้น้ำฉันปัดกวาดปูสถานที่ให้ บรรดาสาวกำนัลนางอื่น ๆ ไม่ได้ออกมา เพราะว่าสมัยก่อนนี่ ถ้าเป็นฝ่ายในเมื่อไร ก็เป็นว่าคุณไม่ต้องโผล่หน้ามาให้ใครเขาเห็นกันเลย เขาสงสัยมากก็ถามนางขุชชุตตราว่า พระผู้เป็นเจ้าของเรามีลักษณะอย่างไร ? นางขุชชุตตราแกก็เอาผ้ามาห่มให้ดูว่านี่ ห่มผ้าอย่างนี้ ถือบาตรอย่างนี้ หลังโก่งอย่างนี้ แกเกิดเป็นคนหลังค่อม ๕๐๐ ชาติ

    นั่นแหละแค่ทำให้เพื่อนดูไม่ได้เจตนาปรามาสด้วยนะ แล้วที่แกต้องเกิดมาเป็นสาวใช้เขาตลอดทั้ง ๕๐๐ ชาติ เพราะว่ามีอยู่ชาติหนึ่ง แกเป็นลูกเศรษฐี ปรากฏว่าเพื่อนกันไปบวชเป็นภิกษุณีเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว แกเองก็ไม่รู้ เพื่อนมาเยี่ยม นั่งคุยกันอยู่ ปรากฏว่าแกกำลังจะแต่งตัว นั่งบนเตียงอย่างนี้ เพื่อนมาถึงก็นั่งนี่ เครื่องแต่งตัวแกก็อยู่นี่ มันก็คั่นอยู่ เข้าถึงไม่ได้ ก็ว่าพระแม่เจ้าโปรดช่วยหยิบกระเช้าเครื่องแต่งตัวให้ดิฉันหน่อย เพื่อนเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ รู้เลยว่า ถ้าเราไม่หยิบให้เธอ เกรงเธอจะเป็นโทษ เธอก็จะโกรธ ว่าอะไรแค่นี้ขอร้องเพื่อนก็ไม่ได้ โกรธพระอรหันต์นี่ลงนรกเลย และเสร็จแล้วถ้าเราหยิบให้เธอจะเป็นอย่างไร ? ก็บอกว่าเกิดต่อไป ๕๐๐ ชาติ เธอต้องเป็นคนใช้เขาหมด เพราะว่าตัวเองไปใช้พระอริยเจ้าระดับนั้น การเป็นคนใช้เขามันก็ยังลำบากน้อยกว่าลงนรก ท่านก็เลยหยิบให้ แค่วินาทีเดียวเท่านเองพระระดับนั้น ท่านจะเห็นตั้งแต่ต้นยันปลายหมดว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วก็เลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่นมากที่สุด นี่ไม่ได้เจตนานะ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าท่านไม่ปิดบังตัวเอง ทำในลักษณะที่สำรวมกายวาจาใจ รับรองได้ว่าเพื่อนฝูงไปนรกอีกเยอะ เพราะฉะนั้นคนประเภทนี้ถ้าหากว่าปรับตัวเข้ากับโลกได้เมื่อไร นี่กะล่อนเป็นปลาไหลเลย จับไม่ติดหรอก ไปได้เรื่อย ๆเพราะว่าอย่างที่หลวงพ่อท่านบอก คนที่เจตนาบ้านี่มันทำได้ดีกว่าคนบ้าจริงเยอะเลย

    หลวงพ่อขี้วัว วัน ๆ ก็เล่นกับพวกเด็กเลี้ยงวัวให้คึกไปหมด วิ่งไล่จับกันบ้าง ตีลูกล้อกันบ้าง หยอดหลุม ทอยกอง สนุกสนานไปเลย เป็นพระเป็นเจ้านุ่งสบงผืนเดียว ผ้าจีวรเอาคล้องคอไว้ เล่นกันโครม ๆ กลางทุ่ง หลวงพ่อพอได้ยินปั๊บ ความรู้สึกบอกเลย พระองค์นี้ไม่ธรรมดา หลวงพ่อก็เลยจุดธูป ๕ ดอกปักกลางแจ้ง ถ้าพระองค์นี้เป็นพระอริยเจ้าจริง พรุ่งนี้ต้องมา ท่านบอกยังไม่ทันจะสว่างเลย เสียงโว้ก ๆ อยู่ตีนบันได เฮ้ย ! นักเลงดีแน่จริงลงมาซิวะ มาตีกันหน่อยซิ มาท้ากันอย่างนั้นได้ หลวงพ่อลงไปก็กราบ ๆ บอกว่า หลวงพ่อครับ เลิกบ้าได้แล้วครับ คนบ้าจริงอาการไม่หนักเท่านี้ (หัวเราะ) ท่านก็อ้าว ! แกรู้แล้วเหรอ บอกรู้แล้วครับ บอกเออถ้าอย่างนั้นก็ได้ ท่านก็ปลดจีวรออกมาห่มดี เดินขึ้นบันได ท่านบอกพอเดินขึ้นบันไดปุ๊บนี่ค่อย ๆ เปลี่ยนเลย จากที่ดำกระมอมกระแมมดูไม่ได้ล่ะเ ขาวขึ้น ๆ จนกระทั่งไปถึงนั่งอาสนะปุ๊บ ท่านบอกว่า ขาวผ่อง สวยเชียว ไม่เคยเห็นรัศมีใครสว่างขนาดนั้นมาก่อน หลวงพ่อท่านก็เออ เอ้า ในเมื่อเรียกข้ามาทั้งทีเลี้ยงข้าด้วยสิวะ เจ้าของบ้านท่านก็จัดแจงหาข้าวปลามาถวาย พอเอาข้าวปลามาถวาย ฉันเสร็จ ก็ไม่มีอะไรหรอก คนข้างบ้านก็มากันหลายคน ได้ยินว่าบ้านเลี้ยงพระ ข้าวถ้วยแกงถ้วยก็มากัน ท่านก็ ข้าไม่มีอะไรจะให้เอ็ง อยู่กับวัวมันก็มีแต่ขี้วัวนี่แหละ ว่าแล้วท่านก็เอาชามของเขานั่นล่ะ สมัยก่อนเป็นชามฝา เวลาจะเลี้ยงพระเป็นชามฝา ชาวบ้านเขามีกันทุกบ้าน เพราะเขาไปวัดกันประจำ ไปวัดกันเป็นอาชีพ เอาชามฝาใส่ข้าวใส่แกงมา หลวงพ่อขี้วัวก็จ้วงในย่ามของแกนั้นแหละ ขี้วัวเหลว ๆ ด้วย เต็มชามเลย เอ้า ข้าให้แก ใส่ให้ คนอื่นก็รับมารังเกียจจนวางบ้าง บางคนก็หัวเราะบ้าง พอถึงเวลา เอ้อ ! กินก็กินแล้วนะ ให้ของก็ให้แล้ว ข้าก็ไปแล้ว ก็เดินลงไปหายไปเฉย ๆ ตั้งแต่นั้นมาแถวนั้นไม่มีหลวงพ่อขี้วัวอีกเลย ไม่รู้หลบไปอยู่ที่ไหน พอคนรู้ ท่านจะไม่อยู่แถวนั้น เดี๋ยวจะไปกวนท่าน พวกชาวบ้านพอท่านไปก็ ดูซิ ไม่ให้ก็จะไม่ว่าสักคำ ให้มาได้ขี้วัว หลวงพ่อบอกเฮ้ย เดี๋ยวเปิดดูก่อนสิ เปิดขี้นมาไม่ใช่ขี้วัวหรอกเป็นสีผึ้ง บอกว่าใหม่เอี่ยม หอมกรุ่นเลยยังกับพึ่งหุงเสร็จใหม่ ๆ แต่ละคนดีอกดีใจ นี่ถ้าไม่รับเอาไว้ เสียดายแย่เลย นั่นแหละหลวงพ่อขี้วัว ปิดจริยาตัวเอง

    อีกองค์หนึ่งนี่ใครขึ้นกุฏิหงายท้องกลับ ส้วมดี ๆ นี่เอง ท่านฉี่ใส่กระโถนแล้วก็สาดมันนอกชาน พอกลางคืนหลวงพ่อท่านไปถามพระ ว่าจะไปกราบพระดีแถวนี้มีมั้ย ? ท่านก็บอกตรงนั้น หลวงพ่อท่านก็ไป แหม ! เดินขึ้นบันไดเกือบหงายท้องกลิ่นยิ่งกว่าส้วมแตก พอโผล่เข้าไปถึง เสียงเดี๋ยว ๆ คุณมหา เดี๋ยวขอผมทำความสะอาดหน่อย คว้าน้ำเอามาราดมาขัดต้มน้ำร้อนมาราด กลิ่นมันค่อยเบาลงหน่อย หลวงพ่อท่านบอกเอ๊ะ เราไปเขารู้ได้ไงว่าเราเป็นมหา ท่านบอกเมื่อคืนคุณมาทีหนึ่งแล้วใช่มั้ย ? บอกใช่ครับ ผมจะได้รู้ว่ามาตรงไหน นั่นแหละรู้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ทักไม่ทัน คุณมหามาเร็วไปเร็ว พอคุยกันเสร็จก็ถามว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ ท่านบอกว่าคนมันไม่รู้จักพอ น่าเบื่อ มาเอาอรรถเอาธรรมจะไม่ว่าซักคำ มามันจะขอหวยท่าเดียว ก็เลยใช้วิธีนี้ ใส่กระโถนเสร็จก็ราดมันเต็มนอกชาน ผมก็เหม็นเหมือนกัน ท่านว่าอย่างนั้น แต่คราวนี้ตั้งใจจะไล่คนก็ต้องทำ เอาบ้างมั้ย (หัวเราะ) เอาบ้างมั้ยลักษณะนั้นน่ะ ฉี่เสร็จราดมันให้เต็มหน้ากุฏิ

    ถาม : ...............(มาทดสอบเลยนะ)............?

    ตอบ: ตรงจุดนี้ล่ะจำไว้ พอทำความดีระดับหนึ่ง เรื่องของชื่อเสียง ลาภยศมันจะไหลมาเทมา โลกธรรม ๘ เผลอเมื่อไรจะไปกับมัน อาศัยมันเป็นบันไดเพื่อให้เราก้าวขึ้นไปที่สูง แต่อย่าให้มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา เผลอเมื่อไรเสร็จมันเมื่อนั้น นักบวชหลายต่อหลายองค์ด้วยกัน พอมาถึงจุด ๆ หนึ่งความดีเริ่มปรากฏ คนมันก็แห่แหนกันมา แล้วก็ไปติดอยู่ตรงนั้น กำลังใจถ้าทรงตัวมั่นคง มันไม่มีปัญหา มันมีปัญหาตรงที่ว่าถ้าเราแค่ข่มมันเอาไว้ได้ แล้วไม่มีปัญญารักษากำลังใจให้ต่อเนื่อง เพราะมัวแต่ไปรับแขกอยู่รับกิจนิมนต์อยู่เสร็จเขาหมด

    ของเรามันดีตรงที่ว่า เวลาฆราวาส เราเองตอนแรกก็มานั่งน้อยใจ พอบวชเข้าไปวัดท่าซุง ทำไมกูไม่บวชมันซะแต่แรกอายุครบยี่สิบ พรรษามันจะได้สูงกว่านี้ จะได้งัดข้อกับเขาได้ถนัดกว่านี้ใช่มั้ย ? แล้วนึกไปนึกมาเนี่ยดีแล้วแหละ ที่เราลากมาจนจะ ๓๐ แล้วค่อยบวชนี่ เพราะว่าอย่างน้อย ๆ เราปฏิบัติจนสร้างความมั่นคงทางกำลังใจได้ระดับหนึ่ง เมื่อไปเจอปัญหา อย่างน้อย ๆ ยังมีสติสัมปชัญญะที่แก้ไข ไม่อย่างนั้นเอาแต่แรงบ้ามุทะลุอย่างเดียว อาจจะโดนไล่ออกจากวัดไปนานเนกาเลแล้วก็ได้ ตรงจุดนี้แหล่ะที่เราเอาเป็นข้อได้เปรียบของเรา พยายามศึกษา พยายามดูลีลาของมารว่ามันมาอย่างไหน ทุกอย่างที่มันส่งมาเมื่อถึงวาระ มันจะเป็นเครื่องทดสอบเราทั้งนั้น มันจะพยายามดึงเรา ถ่วงเราไม่ให้เราก้าวได้เร็ว

    วันก่อนสอนพระเณรในเรื่องของพระอนุรุทธ พระอนุรุทธท่านไประลึกถึงมหาปุริสวิตก ๘ ประการ ข้อสุดท้ายท่านบอกว่า พระธรรมวินัยนี้เป็นของบุคคลที่ยินดีในธรรมอันไม่เนิ่นช้า อะไรที่เป็นเครื่องถ่วงท่านตัดหมด นั่นขนาดนั้นนะ ปรากฏว่า ๗ พรรษา ถึงได้เป็นพระอรหันต์ที่บวชพร้อมกัน ๗ ท่าน ไปซะ ๕ แล้ว เหลืออีก ๒ คือ พระอานนท์ พระอานนท์พุทธอนุชาท่านมัวแต่อุปักฐากพระพุทธเจ้าอยู่ การจะปฏิบัติเพื่อตัวเองก็เลยน้อย ท่านก็เป็นแค่พระโสดาบันอยู่จนกระทั่งพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๓ เดือน ท่านถึงเป็นพระอรหันต์ ส่วนพระเทวทัตพอทำอภิญญาให้เกิดได้ก็ไปหลงติดอยู่ นอกนั้นเพื่อนร่วมรุ่นของท่าน ไม่ว่าจะเป็นท่านภัคคุ ท่านกิมพิละ ท่านภัททิยะ ไปกันเป็นแถวเลย จนกระทั่งนายภูษามาลาคือท่านอุบาลี คนอื่น ๆ เขาไปตั้งแต่แรก ๆ เลย พระพุทธเจ้าเทศน์ก็กลายเป็นพระอรหันต์ พระอนุรุทธปล้ำอยู่ ๗ ปี ข้อสุดท้ายนี่ ต้องเป็นผู้ยินดีในธรรรมอันไม่เนิ่นช้า ท่านบอก ตัณหา มานะ ทิฐิ เป็นธรรมอันเนิ่นช้า เป็นเครื่องที่จะถ่วงดึงเราเอาไว้ เรามาถึงระดับนี้แล้ว เหลียวมองหลังบ่อย ๆ ขึ้นที่สูงถ้าไม่มองหลังเดี๋ยวมันพลาด

    ก็คือในจุดที่ว่า ก่อนหน้านี้เราเป็นอย่างไร ? ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? เป้าหมายที่เราตั้งไว้ในข้างหน้าเป็นอย่างไร ? จะได้รู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้เราอยู่จุดนี้ เราจะต้องเร่งรัดเพื่อไปยังเป้าหมายนั้น หรือว่าเราจะต้องเปลี่ยนทางนี้นิดเปลี่ยนทางโน้นหน่อย เพื่อให้มันกลับเข้าที่เดิมของมันหลังจากโดนเขาดึงออกนอกทางไปแล้ว พอถึงเวลา ชื่อเสียงลาภยศมันจะเริ่มมา ลักษณะนี้แหละ หนังสือมันจะเริ่มเอาไปลงแล้ว เดี๋ยวก็จะเหนื่อยตายห่าไปเอง (หัวเราะ)

    ตอนนี้แบบว่า มันมีอยู่ ๒ อย่าง คือถ้าไม่เป็นขี้ข้าชาวบ้านเขาไปเลย มันก็จะเห็นทุกข์เห็นโทษ ถอนตัวออกมาเอง อย่าง ท่านเอที่ไปบวชอยู่นั่นน่ะ คนมันไปกวนไม่เป็นอันพักไม่เป็นอันผ่อน ขนาดไอเป็นเลือดแล้วมันยังจะเอาแต่ธุระของมัน ไม่ดูหรอกว่าเราจะตายหรือเปล่า วันก่อนก็คุยอยู่ เขาบอกนี่ละครับ ผมมานั่งทบทวนดูแล้วว่า ถ้าหลวงพี่ไม่ดึงผมออกมาจากจุดนั้น ป่านนี้ผมอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ผมออกมาตรงจุดนี้แล้ว ถามผมว่าให้กลับไปที่เดิมเอามั้ย เขาบอกจ้างก็ไม่เอา มันได้แต่เงิน เวลาที่จะมาพิจารณาธรรมเพื่อกำลังใจตัวเองมันไม่มีเลย คนเราเวลามันเดือดร้อน มันไม่ฟังหรอกครับว่าคุณมีเวลาพักผ่อนหรือเปล่า มันเดือดร้อนขึ้นมามันก็จะต้องแก้ให้ได้ตอนนั้นมันก็ตะกายมา

    ถาม : .............ดูทีวีอยู่........................?
    ตอบ: ที่นี่พอ ๓ ทุ่ม ดึงสายโทรศัพท์ออก มือถือก็ปิด ไม่อย่างนั้นแล้ว เราเพิ่งนอนไปได้สักครึ่งชั่วโมงชั่วโมงหนึ่ง เพลียเต็มทีแล้วก็กริ๊งงงงมา ตัวเองไม่นอนคนอื่นต้องไม่นอนด้วย มันจะกวน ว่ามันก็ว่าไม่ได้เพราะว่าจริง ๆ ก็คือคนเรากำลังใจแค่ไหนมันก็คิดแค่นั้น ทำแค่นั้น ตรงจุดนี้แทนที่เราจะโกรธเขา เราสงสารเขาเถอะ สงสารเขาอยู่ในจุดที่ว่า คนเราเวลาที่มันอยู่ในที่ร้อนมันก็เหมือนกับมดบนกระทะร้อน มันก็ดิ้นของมันสุดชีวิต มีทางไหนที่พอจะอาศัยผ่อนได้มันก็ตะกายไปเลย เพราะฉะนั้นอย่าไปหวังเลย

    สมัยอยู่วัดท่าซุงพระรุ่นน้องคือท่านวิศิฏฐ์ ท่านเห็นเราเดี๋ยวไล่โยมไป ๆ หมดธุระแล้ว กลับได้แล้ว ก็แปลกใจ หลวงพี่ไล่แขกทำไมครับ ผมสิกลัวคนจะไม่รู้จัก บอกว่าคุณ ตอนนี้คุณยังไม่เห็นโทษมันหรอก เอางี้นะ ถ้าคุณบวชได้สัก ๑๐ พรรษา คุณรู้จักคนปีละ ๑๐ คน มัน ๑๐๐ คนผลัดกันมา คุณก็ไม่มีเวลาพักแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เข้าใจรึยังไม่รู้ วันก่อนก็ตามไปโน่น ที่วัด คุยเสร็จ หมดธุระแล้วใช่มั้ย กลับไปเหอะ เขาก็บอกว่าเวลาเขาไปที่อื่น เขามักจะโดนพระดึงเอาไว้ น่าอยู่อีกหน่อยน่า อีกซักชั่วโมง อีกซัก ๒ ชั่วโมงก็ได้ ดึงไปดึงมาจนค่ำกลับไม่ได้ก็ต้องค้างวัด บอกไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ธรรมวินัยนี้เป็นของผู้ยินดีในที่สงัด หลีกออกจากหมู่ กล่าววาจาประกอบด้วยการส่งเขากลับ ชัดเลย พระพุทธเจ้าสอนให้ไล่แขก (หัวเราะ) เพราะถ้าหากว่าเขาอยู่นี่ คำว่า สงัดไม่ต้องไปหวังเลยไป

    นึกถึงเจ้าคุณธรรมดิลก ปัจจุบันไม่ทราบว่าไปถึงไหนแล้ว ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคุณเทพกวีอยู่วัดป่าดาราภิรมย์ มาได้ข่าวครั้งสุดท้ายขึ้นเป็นเจ้าคณะภาคธรรมยุต เป็นเจ้าคุณธรรมดิลก ย้ายมาอยู่วัดเจดีย์หลวง ท่านบอกว่าถ้าอยากดังอย่าไปหวังความสงบ (หัวเราะ) อันนี้เกิดจากประสบการณ์ชนิดที่เถียงไม่ได้เลยล่ะ ตัวท่านเองก็คงโดนมาขนาดนั้นน่ะ ท่านเล่นติดป้ายไว้ในวัดเลย ตอกต้นไม้ไว้เลย
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...