ฉบับที่ ๕๒ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 3 กรกฎาคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=/book/images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=/book/images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    เส้นทางพระโพธิสัตว์

    พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ตั้งความปรารถนาจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่งในกาลข้างหน้า ระหว่างการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างบารมี ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะถูกเรียกว่าพระโพธิสัตว์...

    จริยาของพระโพธิสัตว์ คือ เป็นผู้เสียสละในทุกรูปแบบ ยอมทนทุกข์ทุกประการเพื่อความสุขของผู้อื่น ถึงขนาดสละเลือดเนื้อและชีวิต ก็ยินดีและเต็มใจ จะตัดแขนตัดขา เชือดเนื้อตัวเองก็สละได้ จุดหมายคือเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ จะได้ขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏฏสงสาร...

    เมื่อเกิดมาในโลก ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ก็ตาม ท่านทั้งหลายเหล่านี้มักจะเป็นผู้นำเสมอ จะนำหมู่คณะสร้างสมบารมี ด้วยการสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ เป็นที่ประจักษ์ตาทั้งด้านรูปธรรมนามธรรม เป็นที่กล่าวขวัญเลื่องลือไปตราบนานเท่านาน...

    ประเทศพม่าเป็นดินแดนพระพุทธศาสนา มีปูชนียสถานและปูชนียวัตถุสำคัญอยู่มากมาย จนอาตมากล้าลงความเห็นว่า ดินแดนแห่งลุ่มน้ำอิระวดีของมหาอาณาจักรพุกามนั้น เป็นดินแดนของบรรดาพระโพธิสัตว์ที่เกิดมาเพื่อสร้างบารมีโดยแท้...

    แม้จะเข้าประเทศพม่าปีละหลายครั้ง แต่ทุกครั้งอาตมาต่างรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเก่าที่คุ้นเคย ครั้งนี้ก็เช่นกันที่อาตมาได้นัดหมาย ท่านนาวิน (พระนาวิน สจฺจญาโณ) พระสหายผู้เป็นเจ้าอาวาส วัดหนองบัว ให้เป็นผู้นำทางไปนมัสการปูชนียสถาน และปูชนียวัตถุสำคัญ ในประเทศพม่าอีกครั้งหนึ่ง...

    ครั้งนี้มีผู้ติดตามคือ ท่านชา (พระปรีชา จิรนาโค) ท่านป๊อป (พระกิตติพงษ์ ปญฺญาสาโร) ท่านตู่ (พระชาญชัย จารุธมฺโม) และ ทิดจิตร (จิตติพัฒน์ เอี่ยมโอด) รวม ๕ รูป กับ อีก ๑ คน...

    *************************​



    ท่านนาวินไปรับอาตมาที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษี อาตมามอบชุดเครื่องเสียงราคาหลายหมื่นบาทให้ท่านไปใช้ที่วัดหนองบัว พร้อมเครื่องตัดหญ้าแบบสะพายหลัง และข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ อีกมาก เรียกว่ามาครั้งใดก็ขนจนเบื่อไปเอง...

    [​IMG]

    ยึดกุฏิเจ้าอาวาสวัดตองไวเป็นที่พัก

    ฉันเพลแล้วเสี่ยแสง (แสงชัย เพชรชื่นสกุล) ขับคุณทัดเทพ พาหนะคันเก่งของศูนย์ นำพวกเราไปหาซื้อข้าวของจำเป็นในตลาดทองผาภูมิ จากนั้นไปรับทิดจิตรที่บ้าน ตรงไปยังด่านเจดีย์สามองค์ ทำหนังสือขอผ่านแดน...

    พม่าเพิ่งยกกองทัพประชิดชายแดนเพื่อกวาดล้างกะเหรี่ยง จึงมีการเข้มงวดในการขอผ่านด่านมากขึ้น แต่ก็ไม่นับว่าเป็นปัญหา พวกเรามาที่ตลาดสินค้าปลอดภาษีก่อน เพื่อแลกเงินพม่า และหาซื้อรองเท้าแบบพม่ามาเปลี่ยนคู่เก่าของตน...

    อาตมาซื้อลูกประคำไม้ประดู่ ๒,๐๐๐ พวง จากร้านเจ้าประจำ ทำเอากระเป๋าเบาโหวงไปเลย และรวบรวมเงินจากทุกคนมาแลกเป็นเงินพม่า อัตราแลกเปลี่ยนวันนี้ ๑ บ./ ๙.๒๐ จั๊ต แต่ของเราแลกเป็นจำนวนมากได้ ๙.๒๕ จั๊ต / ๑ บาท...ส่วนรองเท้าไม่มีขนาดที่พอจะใส่ได้...

    เสร็จแล้วไปพักที่วัดตองไว ท่านอาจารย์สุมังคะละต้อนรับด้วยความยินดี ให้คณะของเราพักที่กุฏิเจ้าอาวาส ซึ่งท่านยกให้ทั้งหลัง อาตมาช่วยเหลือวัดตองไวมาหลายปี มาถึงทีไรอยู่สบายฉันสบายทุกที...
    ทุกคนลงขันสำหรับงานนี้คนละ ๕๐,๐๐๐ จั๊ต เพื่อเป็นค่าพาหนะ ค่าอาหาร ค่าที่พัก ฯลฯ โดยให้อาตมาเป็นผู้ถือเงิน ท่านอังกุระ พระสหายอีกรูปบอกว่า พม่าออกธนบัตรใบละพันจั๊ตแล้ว แต่ยังมาไม่ถึงที่นี่ ทุกคนจึงพกเงินย่ามโป่งไปตาม ๆ กัน...

    บนเขาหลังวัดมีการสร้างเจดีย์โดยท่านนันทะมาลา ซึ่งมาทำแบบไม่บอกไม่กล่าวเจ้าถิ่นเลย เปิดเครื่องเสียงดังลั่นไปหมด อาตมาฟังดูก็เพลินดี ขณะที่ท่านนาวินออกไปทำใบอนุญาตเข้าเมืองชั้นในของพม่า และติดต่อรถที่จะเป็นพาหนะของเรา...

    อาตมาไปสรงน้ำ มีโยมวัดคอยซักผ้าอาบให้ เป็นพระเถระก็สบายแบบนี้เอง กลับขึ้นกุฏิ ท่านวิสาระกำลังสอนภาษาพม่าให้ท่านป๊อปกับท่านตู่ ใช้ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาพม่า ฟังรู้บ้างไม่รู้บ้าง ฮากันกลิ้งเมื่อออกเสียงผิด...

    นายรินเจ้าของรถชาวบ้านสองแคว ตามท่านนาวินมาตกลงเรื่องค่ารถ ขอสี่พันบาท ต่อรองสามพันเขาไม่ยอม เปลี่ยนเป็นสามหมื่นจั๊ต พ่อเจ้าประคุณขอไปปรึกษาทางบ้านดูก่อน ถ้ากลับมาแปลว่าไม่ตกลง ถ้าไม่มาคือพรุ่งนี้ไปด้วยกัน...

    ท่านชาถวายเงินช่วยทำบุญระหว่างการเดินทาง ๑,๐๖๕ จั๊ต ส่วนอาตมาควักค่าฟิล์มจากท่านตู่มา ๑,๐๐๐ จั๊ต คำนวณค่ารถ - ค่าอาหาร แล้ว ถ้าไป ๒๐ วัน จะพอแบบเฉียดฉิว คิดแล้วเสียวไส้ ถ้าฉุกเฉินขึ้นมา ท่านนาวินเดือดร้อนแน่...


    สวดมนต์ทำวัตรเย็น อุทิศส่วนกุศลเรียบร้อยแล้วมีพระไทย ชื่อท่านโต้ย มาคุยด้วย ท่านบรรเลงน้ำไหลไฟดับ แต่ค่อนข้างจะเพ้อเจ้อ พยายามจะขอพ่วงไปกับคณะของเราด้วย อาตมาต้องบอกความจริงว่า ถ้าไปด้วยต้องพร้อมติดคุก ท่านเลยเปิดแน่บ..!
    *************************


    ลุกเข้าห้องน้ำตอนตีสองครึ่ง อากาศเย็นกำลังดี ที่เกาะพระฤๅษี วันมา ๑๑ องศาเซลเซียสเข้าไปแล้ว กลับมาภาวนาจนครบชุด คนอื่นยังไม่กระดิกกระเดี้ยเลย อาตมาฉวยโอกาสไปสรงน้ำ หลวงตาโซหม่องพระเจ้าถิ่นทำท่าจะหนาวตายแทน..!

    กลับมาสวดมนต์-ไหว้พระเรียบร้อยพอดีเขาตื่นกันครบ คุยกันเรื่องกำหนดการเดินทาง พอได้อรุณก็พากันไปฉันน้ำร้อนที่ศาลา รอจนพระเณรกลับจากบิณฑบาตก็เตรียมฉันเช้า ท่านอังกุระ มหาเปรียญจากสำนักมหากันตะยงคอยบริการ...


    จะเป็นแกงเป็นผักน้ำพริกอะไรมันอร่อยไปหมด ใครว่าพระปฏิบัติลิ้นตะเข้ อย่าไปเชื่อเชียว ยิ่งความรู้สึกละเอียดเท่าไร ประสาทรับรสยิ่งลึกซึ้งเท่านั้น เพียงแต่เราต้องไม่เอาใจไปปรุงแต่งให้มันอยาก จนเป็นโทษแก่ตนเท่านั้น...

    [​IMG]

    (จากซ้าไปขวา) ท่านป๊อป ท่านตู่ อาตมา ท่านปัญญาทีปะ ครูบาน้อย ที่นั่งอยู่คือท่านชา

    ฉันเสร็จครู่เดียวนายรินก็มารับ เอารถค่อนข้างใหม่สำหรับพม่ามาเลยทีเดียว นับว่าบุญของคณะเราค่อนข้างดี ขนของขึ้นแล้ว ท่านปัญญาทีปะพระเถระจากเมืองปีเมี้ยว (แปร) มาขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แถมเอาธงฉัพพรรณรังสีมาติดให้ เป็นเครื่องหมายว่าเป็นรถของพระ ร่ำลากันเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทาง...

    มารอพระอีก ๓ รูปจากวัดเสาร้อยต้นในตลาด แม่ของนายรินขอเก็บค่ารถรวดเดียวหมด เล่นประกันความเสี่ยงแบบนี้ ถ้าเกิดปัญหา เดินทางไม่ถึงที่หมาย อาตมาจะไปทวงคืนกับใครกันละจ๊ะ คราวก่อนมางานกฐินวัดหนองบัว ก็เสียท่านายท้ายเรือมาทีหนึ่งแล้ว...


    [​IMG]

    ปั๊ม PTT ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยในพม่า

    พระสามรูปท่านมาช้ามาก เล่นเอาท่านนาวินชักจะหงุดหงิด แถมจะมานั่งข้างหน้าซะอีก แต่พอเห็นคณะของเราเข้าไปอัดกันอยู่ ๕ รูป ก็ยอมไปนั่งตากแดดท้ายรถแต่โดยดี ให้มันรู้ซะบ้างซิว่าไผเป็นไผ ฮิ..ฮิ..!
    กว่าจะจัดคนจัดของเข้าที่ กว่าจะออกรถได้ก็ ๐๙.๓๐ น. แวะด่านตรวจคนเข้าเมือง แจ้งจำนวนคน สถานที่ที่จะไป และกำหนดเวลาโดยประมาณ ทิดจิตรเห็นเวลาใกล้เพลเข้ามาทุกที เลยซื้อขนมมาประเคนพระซะก่อน กลัวว่าเลยเพลแล้วพระจะอดนะซิ..!

    มาเติมน้ำมันเต็มถังที่ปั๊มป.ต.ท.ปั๊มเดียวในพม่า เจอราคาเมืองไทยเข้าไปด้วย จุกหน่อยนะนายรินนะ..มาผ่านด่านตรวจด่านแรก นายตรวจเห็นอาตมานั่งยืดเต็มที่ เลยอ้อมหนีไปถามท่านนาวินแทน โธ่..เจ้านาย แค่นี้ก็ต้องเกรงใจกันด้วย..!

    ลุยฝุ่นกันละคราวนี้ นายรินเปิดเครื่องปรับอากาศในรถ อาตมา ท่านนาวิน ท่านชา ถึงกับมองหน้ากัน เพราะพวกเราเคยกินฝุ่นกันมาจนอิ่มทั้งนั้น ท่านป๊อปกับท่านตู่เขาทำบุญด้วยอะไรกันหนอ ? มาพม่าครั้งแรกก็สบายแบบนี้...

    ผ่านบ้านยูวาติ๊ด บ้านจงกุย บ้านจอปุลุ มาจนถึงชองโส่งที่เป็นชุมทางขนส่งทางเรือ ปรากฏว่าตอนนี้แล้งจนเรือวิ่งไม่ได้ จากชุมทางที่คึกคักพลุกพล่านด้วยผู้คนและสินค้า เกือบจะกลายเป็นบ้านร้างไปแล้ว จะเหมือนเดิมอีกทีก็ต้องรอหน้าฝนโน่น...


    จ่ายค่าผ่านทาง ๑๕๐ บาท แล้ววิ่งผ่านเจดีย์ไจ๊ตา ขึ้นเขาไปตามทางคดเคี้ยวสูงชัน นายรินบีบแตรไปตลอดทาง ขนาดนั้นยังเกือบจ๊ะเอ๋กับรถที่สวนมาถึงสองครั้ง กว่าจะลงมาถึงด่านมอญที่อยู่อีกฟากหนึ่ง...


    [​IMG]

    ด่านบ้านชองโส่ง ในสภาพเกือบจะร้าง
    [​IMG]
    ด่านมอญ บ้านปงกะตา

    นายด่านหยุดงานไปกินข้าว พวกเราปรึกษากันว่า ถ้าฉันเพลจะเสียเวลามาก พระจากวัดเสาร้อยต้นทั้งสามรูปก็เห็นด้วย จึงรอนายด่านกันเฉยๆ ทิดจิตรไปซื้อยำถั่วที่เรียกว่า “ละแพ็ด” มาให้ท่านป๊อปกับท่านตู่ลองชิมรสชาติดู...

    นายด่านมาแล้ว แต่โชเฟอร์ของเราหายหัวไปดื้อๆ กว่าจะควานเจอ โน่น..ไปนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว ปล่อยให้พระนั่งกลืนน้ำลาย เจริญนะพ่อคุณ...ไม่ถูกนายด่านเตะก็บุญแล้ว...เซ็นใบผ่านเสร็จนายรินก็พาพวกเราตะบึงเข้าป่าต่อไป...

    ทางฝุ่นคดเคี้ยวซอกซอนไปในป่าเขา นานๆ จะมีเกวียนสวนมาสักที ผ่านบ้านอาปะลงที่เคยร้าง ตอนนี้มีบ้านคนแล้ว มาถึงบ้านแมสะลีที่เคยมีค่ายทหารอยู่ ไม่ทราบว่าปีนี้ย้ายค่ายไปไหน ข้ามห้วยครั้งแล้วครั้งเล่า ทางป่ามักไปกับน้ำเช่นนี้เสมอ...

    กำลังลุยมาตามห้วยเก่าเพลินๆ มีหินก้อนเบ้อเริ่มวางขวางทางอยู่ นายรินขับอ้อมกำลังจะผ่าน ท่านนาวินตาไวรีบบอกให้หยุด บนตลิ่งทหารกะเหรี่ยงเจ้าเก่าพร้อมอาวุธเพียบ รายหนึ่งเงื้อระเบิดเตรียมขว้างอยู่แล้ว..!

    นายรินเผ่นลงจากรถแทบไม่ทัน รีบเข้าไปสอบถามความต้องการ พ่อเล่นจะบอมบ์กันแบบนี้ใครจะไม่ตกใจ ทุกทีมันมาโบกเรียก ครั้งนี้ดันเล่นบ้าๆ เอาหินวางขวาง ขืนอ้อมผ่านไปถ้าไม่พรุนเป็นรังผึ้งก็คงแหลกทั้งคัน..!

    พักเดียวโชเฟอร์ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสกลับมา บอกว่าหัวหน้าทหารชุดนี้เคยคบหาสนิทกันมาสมัยตัดไม้ขาย เลยไม่ต้องเสียเงิน เขาแค่ขอบุหรี่สูบแค่นั้น พูดอย่างกับว่าถ้าเขาเอาเงินแล้วเอ็งจะมีให้อย่างนั้นแหละ...
    ค่ารถถูกแม่ยึดไว้ที่บ้าน ค่าน้ำมันเล่นซ่อนซะทั่วรถ ในช่องเก็บของบ้าง ในซอกที่บังแดดบ้าง ในแผงฟิวส์บ้าง ถ้าไม่ใช่เพื่อนเอ็ง แล้วมันจะเอาให้ได้แบบคนอื่น มีหวังพระคงต้องหมดตัวแทนเอ็งแน่ๆ บักว่อกเอ๊ย..!
    ผ่านบ้านเลโพไปไม่นาน มีรถจอหนังกำลังกว้านซุงขึ้น ขวางทางอยู่นานกว่าจะหลบให้ ลงห้วยคราวนี้ทางขึ้นเละมาก ขึ้นตรงๆ แล้วติดถึง ๓ ครั้ง จนต้องอ้อมหาทางขึ้นใหม่ ข้างทางมีพวกชาวเกวียนหยุดพักหุงข้าวกันเป็นระยะไป...

    ตากแดดลุยฝุ่นมาจนถึงบ้านตองซุน ค่ายทหารย้ายมาตั้งอยู่ที่นี่เอง เซ็นใบผ่านแล้วลุยยาวต่อไป ผ่านบ้านคงคาน บ้านตำมะยา เจอขบวนรถเกาะกลุ่มกันสวนมาเกือบ ๒๐ คัน พวกเขาเห็นเรามาเดี่ยวทำท่าประหลาดใจมาก...

    จอดหลบให้เขาผ่านไปก่อน มามากๆ แบบนี้ทหารกะเหรี่ยงก็ยิ้มเท่านั้น พวกเรามาเดี่ยวซ้ำเป็นพระแทบทั้งคัน อย่างไรมันยังเกรงใจผ้าเหลืองบ้าง พวกคุณเล่นเกาะขบวนมาเป็นเหยื่อชิ้นมหึมาแบบนี้ อย่าหวังเลยว่าจะรอด..!

    หมดขบวนพวกเราออกเดินทางต่อ เพิ่งพ้นหมู่บ้านมา ก็เจออีกสามคันควบมาฝุ่นตลบ ตามพรรคพวกไม่ทันเลยเหยียบซะมิด เดี๋ยวไม่โดนไถแบบเดียวกัน จะหาว่าทอดทิ้งเพื่อนฝูง..!


    ทิดจิตรกับพระวัดเสาร้อยต้นขาวว่อกเป็นคนเผือกไปทั้งหัวหูหน้าตา เมื่อมาถึงบ้านอะนังกวีน ทหารกำลังเปลี่ยนกำลังพล เกลื่อนไปทั้งสองข้างทาง นายรินพารถตรงไปยังจุดตรวจ กำชับไม่ให้ใครลง กลัวทหารสงสัย ขออภัย...ฉี่จะราดอยู่แล้ว สงสัยก็สงสัยไปเถอะ..!

    [​IMG]

    รถจอหนังกำลังเอาซุงขึ้น จึงขวางทางเราอยู่
    [​IMG]
    สวนหมากในระหว่างทาง ขุมทองของคนพม่า

    เสร็จธุระส่วนตัวก็ออกรถ บรรลัยละซิ..! ดันมาตามหลังรถบรรทุกทหารทั้งขบวน พวกเขาค่อยๆ ไปเพราะกลัวกะเหรี่ยงซุ่มโจมตี พวกเราแซงก็ไม่ได้ เคยมีคนแซงถูกยิงพรุนทั้งคันมาแล้ว เขากลัวจะไปส่งข่าวให้กะเหรี่ยง ซวยทั้งขึ้นทั้งล่อง..!

    กินฝุ่นอ่วมอรทัยเป็นชั่วโมงแล้วมาติดแหง็กอยู่ทั้งขบวน นั่งรอจนเบื่อ พอดีเห็นพระเดินสวนมา เฮ้... ท่านจันทิมานี่นา...คุณมาทำอะไรที่นี่ ? พระสหายจากวัดตองไวยกมือวันทายิ้มกว้างขวาง บอกว่ามาคุมรถเมล์วิ่ง ข้างหน้ามีรถหกล้อเพลาหลุด เลยพากันติดทั้งขบวน...

    ทางการพม่าอนุญาตให้วัดที่มีรถ เอาวิ่งรับส่งคนได้วัดละคัน เพื่อจะได้มีรายได้เข้าวัด เมื่อเป็นรถของวัดก็ธรรมดาที่พระท่านต้องคุมเอง คุยกันได้ไม่นานรถเริ่มไปต่อได้ ที่แท้ทหารเขาระดมพลยกรถออกไปชิดข้างทาง เพื่อจะได้เดินทางได้สะดวกขึ้น...

    เที่ยวนี้นั่งรถติดแอร์ เลยไม่ทราบว่าฝุ่นอร่อยเหมือนเดิมหรือเปล่า ข้างทางยังคงมีด่านบุญเป็นระยะ อาตมาควักเงินที่แลกไว้สำหรับทำบุญใส่ดะไปเลย เสียดายที่เห็นคุณยายคนหนึ่งซึ่งกำลังกวาดภูเขาทั้งลูก เพื่อทำความสะอาดทางขึ้นเจดีย์ช้าไป ไม่อย่างนั้นจะให้รางวัลความดีของท่านซักร้อยจั๊ต..!

    เรื่อยๆ มาเรียงๆ นกบินเฉียงไปทั้งหมู่ พวกเราสบาย แต่ข้างหลังอิ่มฝุ่นสนิททั้งที่ไม่ได้ฉันเพล ดังนั้น พอบังโคลนรถทหารหลุดจนต้องจอดรอทั้งขบวนอีกครั้ง พระวัดเสาร้อยต้นก็ตบะแตก เดินส่ายอาดๆ ไปว้าก จนทหารยืนงงเปิดตำรารับไม่ทัน..!

    แผ่เมตตาได้ผลช้า เจอรังสีอำมหิตเข้ากลับได้ผลทันใจ ยี.เอ็ม.ซี. ทหารชิดขวาให้เราแซงไปได้ นายรินเหยียบแหลกชนิดฝุ่นตลบยาวเป็นก.ม. มาถึงด่านเยตะกุนบ่ายสี่โมงพอดี ตะวันรอนเกือบลับเหลี่ยมเขา เมื่อเราผ่านด่านไปแล้ว...

    ชดเชยเวลาที่เสียไปด้วยการขับเหมือนกำลังแข่งแรลลี่ ทหารป่าจุดสุดท้ายโบกมือเรียก แต่เมื่อเห็นรถไม่ยอมเบาแถมมีแต่พระทั้งคัน ก็ถอยหลบให้แต่โดยดี พาหนะของเราทิ้งโค้งทางฝุ่นขึ้นทางลาดยางแคบๆ แทบจะยกล้อ..!

    ผู้คนเริ่มพลุกพล่าน รถม้า เกวียน จักรยาน ขวักไขว่ นายรินบีบแตรสนั่นไปตลอดทาง ผ่านบ้านแวกะลิข้ามทางรถไฟเข้าเมืองตันบวยเซียท ด่านสุดท้ายตรวจสอบจำนวนคนดูว่าตรงกับใบอนุญาตหรือไม่ แล้วปล่อยผ่านแต่โดยดี...

    พระวัดเสาร้อยต้นลงเพื่อต่อรถไปเอง นายรินจ่ายค่ารถให้ ถ้าไปส่งท่านมันจะไม่ทัน เลี้ยวขวาตรงหอนาฬิกามาเจอด่านใหม่ล่าสุด มันเล่นเปิดกระเป๋าค้นทีละใบ เจอยาในกระเป๋าทิดจิตร คราวนี้เป็นเรื่องทันที..!

    ยานี้ชีชื่น (อุบาสิกาบุญชื่น ศรีสองแคว) จัดมาให้ บอกว่ากลัวหลวงพ่อ (คืออาตมา) เจ็บไข้แล้วจะไม่มีใช้ อาตมาบอกทิดจิตรแต่แรกแล้วว่า อะไรที่ไม่จำเป็นไม่ต้องเอามา ทิดจิตรรับคำสั่งป้า (ชีชื่น) แล้วไม่กล้าขัด ติดมาจนได้เรื่อง...

    ไม่กี่วันก่อนทหารพม่าเพิ่งจับคนไทยขนยาบ้าได้ มาเจอยาแก้แพ้เป็นขวดก็คิดว่าใช่ ท่านนาวินต้องลงไปจามพลางสั่งน้ำมูกพลาง บอกว่าเป็นยาแก้หวัดมันถึงยอมเชื่อ และขอแบ่งใช้บ้าง เพราะกำลังเป็นหวัดเหมือนกัน...

    หลุดมาได้นายรินเหยียบแข่งกับความมืด มาถึงเมืองมุด่งเข้าไต้เข้าไฟพอดี เลี้ยวหลบด่านทหารไปหลังตลาด ฝากเทียนพรรษาไว้ที่บ้านน้องชายท่านอาจารย์สุมังคะละ ทิดจิตรลงที่นี่จะไปค้างบ้านลุงตองยี นัดเจอกันพรุ่งนี้ แล้วพวกเราเดินทางต่อ...


    พาหนะคันเก่งโลดตะบึงข้ามเขาเจ็ดโค้ง ตรงไปยังบ้านสองแคว ผ่านหมู่บ้านและผู้คนไปบ้านแล้วบ้านเล่า มาถึงริมแม่น้ำอัตทรานเมื่อหกโมงครึ่ง ฟ้ามืดสนิทแล้ว (เวลาพม่าช้ากว่าไทยครึ่งช.ม.) นายรินไปบอกญาติให้เอาเรือไปส่ง ค่าเรือ ๑,๒๐๐ จั๊ต นายรินช่วยจ่ายให้ ๒๐๐ จั๊ต...

    [​IMG]

    ท่าเรือบ้านสองแคว ริมฝั่งแม่น้ำอัตทรานในยามค่ำ

    เรือหางยาวฝ่าความมืดไปตามลำน้ำ บนพุ่มไม้ชายฝั่งมีฝูงหิ่งห้อยเกาะกลุ่มกันแพรวพราว กระพริบไฟติดดับพร้อมๆ กัน ดูสวยงามจับใจ ลมแม่น้ำหนาวยะเยือกจนมือเท้าชา ประมาณ ๓๐ นาทีก็มาถึงวัดหนองบัวของท่านนาวิน...

    เทียบท่าไม่ได้เพราะติดแพพระอุปคุตที่เดินทางมาถึง เสียงชาวบ้านจัดเจริญพระพุทธมนต์ฉลองพระอุปคุตดังทั่วคุ้งน้ำ พวกเราต้องเข้าเทียบท่าโรงเรียน ขนของขึ้นวัด ท่านนาวินตีเกราะบอกญาติโยมว่ากลับมาแล้ว และไปติดเครื่องปั่นไฟ...

    ชาวบ้านทยอยกันมา ที่นึกไม่ถึงคือครูบาญาณ พระอาจารย์ใหญ่ แห่งเมืองจะอีน มาเป็นประธานงานบุญด้วย พวกเรากราบปฏิสันถารแล้ว ท่านไล่ให้ไปนอน เพราะเดินทางเหนื่อยมาทั้งวัน ทุกรูปทำตามบัญชาด้วยความเต็มใจ...


    บรรดาชาวบ้านมารุมดูรูปถ่ายเมื่องานกฐินกันอย่างคึกคัก ผู้ใหญ่องไลขนน้ำอัดลมมาเลี้ยง ปลุกพระลุกจากที่นอนมารับประเคนกันเลยทีเดียว อาตมานอนให้หลวงตาเย็น (พระเย็น สุขกาโม) พระลูกวัดของท่านนาวินห่มผ้าและกางมุ้งให้แบบขอฉลองศรัทธาให้เต็มที่...
    *************************​


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=/book/images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=/book/images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ความจริงวันนี้ต้องเดินทางเข้าเมืองมุด่ง เพื่อหารถเดินทางไปไหว้พระ แต่ขัดศรัทธาญาติโยมไม่ได้ เลยต้องยอมอยู่ร่วมงานทำบุญฉลองพระอุปคุตด้วยกัน...

    ทำวัตรเช้าท่ามกลางอากาศเย็นสดชื่น ที่นี่หนาวน้อยกว่าด่านเจดีย์สามองค์ตั้งเยอะ จึงไม่ต้องสงสัยว่าอาตมาสรงน้ำหรือไม่ ? เมื่อทางบ้านเจ้าภาพฉลองพระพร้อม ก็มานิมนต์พระชักแถวไปฉันเช้าได้ เขาจัดซุ้มพระอุปคุตไว้สวยงามตามประเพณีของเขา...

    พระสงฆ์ทั้งหมด ๙ รูปพอดี ฉันเช้าเสร็จญาติโยมถวายปัจจัย มารูปละ ๕๐๐ จั๊ต ของครูบาญาณกับท่านนาวินมีพิเศษต่างหาก ซึ่งนับว่ามากโขสำหรับชาวบ้านที่นี่ แสดงออกถึงศรัทธาอันแรงกล้าของเขา ครูบาญาณนำกล่าวอนุโมทนาแล้วกลับวัด...

    ท่านป๊อปกับท่านตู่คุยฟุ้งเรื่องอาหารว่า ไม่เห็นจะต่างกับของเราเท่าไร ซ้ำยังอร่อยอีกต่างหาก เออ...นานไปคุณจะรู่ซึก..! ท่านชาไปซักผ้า ขณะที่ท่านนาวินปล้ำกับเครื่องเสียงที่อาตมาถวายให้ มันตั้งสี่ชั้นซ้อนกัน อาตมายังใช้ไม่เป็นเล้ย..! ท่านนั่งต่อสายง่วนอยู่รูปเดียว...

    อาตมาซักผ้าบ้าง เรียกว่าจงซักเสียเมื่อมีโอกาสที่จะซัก เพราะในระหว่างเดินทาง บางทีอาจจะต้องหมกเป็นเดือน..! เรียบร้อยแล้วมาบันทึกการเดินทาง ผู้ใหญ่องไลมาบอกว่า มีคนจะขอตามไปไหว้พระด้วย ท่านนาวินให้รวบรวมคนให้พอคันแล้วเช่ารถไปกันเอง...

    เจ้าของบ้านที่จะเป็นเจ้าภาพฉลองพระอุปคุตคืนนี้ นำดอกไม้ธูปเทียนมาอาราธนาให้ไปสวดมนต์เย็น อาตมารับไว้ตามศรัทธา ขณะที่ญาติโยมพากันหิ้วปิ่นโตมาวัดเตรียมเลี้ยงเพล จัดอาหารเสร็จแล้ว พากันมาเป็นกำลังใจให้ท่านนาวินต่อเครื่องเสียง...

    รวมกันมาฉันเพล จากนั้นต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัว ท่านนาวินละจากเครื่องเสียงไปทดสอบเครื่องตัดหญ้า อาตมาตามไปดูผลงาน ตัดหญ้าทั่วแล้วมารดน้ำต้นไม้ พอดี
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=/book/images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=/book/images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> นาฬิกาเป็นเหตุ เสียงกับเข็มมันไม่ตรงกัน ท่านชาได้ยินมันตีสี่ครั้งก็รีบพรวดพราดลุกขึ้น พาคนอื่นตื่นตามกันเป็นแถว เหลืออาตมานอนภาวนาเฉยอยู่คนเดียว ฮิ...ฮิ...ไอ้ตัวทำให้นาฬิการวนดันนอนเงียบแบบนี้ ใครจะรู้มั่งมั้ยเนี่ย..?

    จนตีสี่ของจริงค่อยลุกไปล้างหน้าเช็ดตัว แล้วมาไถ่โทษด้วยการปรับนาฬิกาให้ตรง จากนั้นพวกเราสวดมนต์ทำวัตรเช้า เสร็จแล้วพวกท่านโกวินทะทำสมาธิภาวนาต่อ...


    [​IMG]
    พระพม่าบิณฑบาต มีเด็กวัดตีกังสดาลนำหน้า
    [​IMG]
    รถม้า พาหนะยอดฮิตของพม่า

    วันนี้ต้องไปฉันเช้าในหมู่บ้าน โยมเขานิมนต์พระทั้งวัด บางบ้านนิมนต์ทีเดียวสามวัด ถ้านิมนต์น้อยเขานิยมแค่ ๕ รูป ไปถึงลงมือฉันได้เลย ท่านตู่ไม่เคยเห็นพระพม่าฉันด้วยมือ เพราะที่วัดตองไวและวัดหนองบัวเขาก็จัดช้อนส้อมให้ มาที่นี่เห็นเขาจัดสบู่ล้างมือก้อนเล็กๆ วางมาในจาน นึกว่าเป็นขนม เกือบคว้ามาฉันอยู่แล้ว ดีที่เห็นรูปอื่นเขาใช้ ล้างมือซะก่อน..! เรียบร้อยแล้วเหลือท่านอาจารย์ใหญ่กับพระอื่นอยู่ให้พร ๕ รูป พวกเราเดินลัดกลางหมู่บ้านกลับวัด...

    พระอาจารย์ใหญ่กลับมาเตรียมตัวออกบิณฑบาตต่อ พวกเรารอทิดจิตรไม่ไหว จึงออกเดินไปเอง ชมชีวิตยามเช้าของชาวเมืองมุด่งไปด้วย อาตมาถ่ายรูปพระออกบิณฑบาต รถม้า และสามล้อพ่วงข้างไปหลายรูป ไปถึงทิดจิตรไม่อยู่ ไปตามพวกเราจนพลัดหลงกัน..!

    [​IMG]
    ท่านชา ท่านป๊อป ท่านตู่ใช้บริการสามล้อพม่า (ไซด์การ์)

    พ่อตัวดีกลับมาสองโมงเช้าพอดี หม่องหม่องญาติของทิดจิตร พาเหาะไปมะละแหม่ง เติมน้ำมันนอกเมืองแกลลอนละ ๓๕๐ จั๊ต แฮ่... แพงแท้..! ถึงมะละแหม่งทิดจิตรขอแวะหาญาติอีก คราวก่อนพ่อคนญาติเยอะมาตอนยังบวชอยู่ไม่ได้แวะ ถูกญาติโยมบ่นเป็นกระบุงโกย...

    ญาติทิดจิตรถามหาครูบาใหญ่ ทุกนิ้วชี้หมับมาที่อาตมา เล่นเอาโยมร้องว่า ทำไมยังหนุ่มนัก ถามไปถามมาโยมมีลูกแล้ว ๕ คน แต่อายุยังน้อยกว่าอาตมาหลายปี อย่างนี้หลวงตาแก่อย่างอาตมายังพอจะหลอกเขากินไปได้อีกนาน คุยกันครู่หนึ่งโยมตั้งโต๊ะเลี้ยงกาแฟพระซะนี่...

    ฉันเสร็จให้พรแล้ว หม่องหม่องพาไปไหว้พระกัน เริ่มจากวัดโลกะสรภูสัพพัญญู หน้าจุดชมวิวเมืองมะละแหม่ง พระประธานปางปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์สวยงามมาก ทั้งที่เป็นปูนปั้นลงสี แต่สวยเป็นจริงเป็นจังจนน่าทึ่ง เสียแต่ทำเป็นห้องกระจกทำให้ไม่มีมุมถ่ายรูป...

    พระเจดีย์ไจ๊ตาลานเป็นที่ต่อไป เดิมชื่อไจ๊ซานลาน แปลว่า เจดีย์สยามพ่าย สาเหตุมาจากสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยกกองทัพอันเกรียงไกรมาเหยียบอาณาจักรพม่า ทางพม่าทราบแน่ว่า สู้ไม่ได้ จึงออกอุบายให้มาสร้างเจดีย์แข่งกัน...

    ภายในคืนเดียวถ้าไทยสร้างเสร็จก่อน พม่าจะยอมเป็นเมืองขึ้น ถ้าพม่าสร้างเสร็จก่อน ไทยต้องถอยทัพกลับไป เรียกว่าไม่ต้องรบกันให้เสียเลือดเนื้อทั้งสองฝ่าย ไทยสร้างทางเมืองมะละแหม่ง พม่าข้ามอ่าวไปสร้างที่เมืองเมาะตะมะ...

    การกำหนดให้มีทะเลกั้นนี้อยู่ในแผนของฝ่ายพม่า ขณะที่กองทัพไทยระดมกำลังสร้างพระเจดีย์ได้เกือบเต็มองค์อยู่นั้น มองข้ามอ่าวไปเห็นเจดีย์ของทางฝ่ายพม่า เสร็จเรียบร้อยขาวโพลนโดดเด่นอยู่ในความมืด จึงถอยทัพกลับตามสัญญา...

    ความจริงเราถูกพม่าหลอก ทางเขาใช้ไม้ไผ่ทำโครงพันด้วยผ้าขาว ดูในความมืดซ้ำยังมีทะเลกั้นจึงเหมือนจริงมาก เมื่อทางไทยกลับไปแล้ว พม่าก็รีบสร้างเจดีย์ของเขาให้เสร็จ ป้องกันไม่ให้ไทยสืบทราบข้อเท็จจริงได้...

    ส่วนเจดีย์ที่ไทยสร้างไม่เสร็จ พม่ามาช่วยต่อส่วนยอดจนเต็มองค์ แล้วเรียกว่าพระเจดีย์สยามพ่ายเรื่อยมา จนถึงยุคหลังทางพม่าเกรงว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงเปลี่ยนชื่อจากไจ๊ซานลานเป็น ไจ๊ตาลานด้วยประการฉะนี้...

    พวกเราขึ้นลิฟท์ไปกราบพระเจดีย์ด้วยราคาคนละ ๕ จั๊ต จากนั้นยกขบวนไปวัดหลวงพ่อพระมหามุนีที่อยู่ติดกัน กราบพระมหามุนีจำลอง ร่วมทำบุญสร้างเครื่องทรงทองคำขององค์พระมหามุนี ชิ้นที่วางโชว์ในตู้กระจกเป็นทองคำหนักตั้ง ๓๐ บาทแน่ะ...

    ฤๅษีอูคันตี (ท่านขันติ) มาตามแบบพระโพธิสัตว์แท้ เที่ยวไปก่อสร้างถาวร วัตถุตามที่ต่างๆ หลายแห่ง แต่ละที่เป็นเงินหลายสิบล้าน มณฑปวัดอูคันตีของมะละแหม่งก็เช่นกัน เฉพาะค่าโครงเหล็กอย่างเดียว รับรองว่าสิบล้านไม่อยู่แน่นอน...

    กราบหลวงพ่อพระมหามุนีจำลองในมณฑปวัดอูคันตีแล้ว อาตมาออกมาดูเขาตีกอล์ฟกัน พม่ารับธรรมเนียมอังกฤษมาเยอะมาก เฉพาะสนามกอล์ฟมีแทบทุกเมือง พื้นสนามอีหลุปุปะแท้ๆ เขายัง ตีโฮลอินวันได้ ไทเกอร์ วูดส์ ชิดซ้ายไปเลย..!



    [​IMG] [​IMG]
    พระเจดีย์ไจ๊ซาลาน พระประธานวัดไจ๊ซาลาน
    [​IMG] [​IMG]
    พระมหามุนีจำลอง มณฑปวัดอูคันตี

    มิสเตอร์หม่องพามาถึงวัดตองไวของมะละแหม่ง ทั้งที่ไปอยู่ทองผาภูมิเป็นปีดันพูดไทยได้แค่ไม่กี่คำ พอถึงบอกเป็นภาษาอังกฤษว่า
     
  4. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=/book/images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=/book/images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> เป็นไข้ซะแล้วซิเรา ทำวัตรเช้าไปน้ำมูกไหลไป ต้องขอยาท่านชามาฉัน ๑ ชุด ค่อยมีแรงด่าท่านป๊อปกับท่านตู่ต่อ ทั้งสองยังหนุ่มคะนอง ขาดสติ ขาดความสำรวม มันทำเอาภาพพจน์พระไทยในสายตาเขาเสียหายหมด...

    ไปวัดอื่นบ้านอื่นมันต้องสำรวมระวัง ไปทำตามใจแบบวัดของตนเอง มันพาให้เสียหายทั้งประเทศ ยิ่งครูบาอาจารย์มาด้วย แทนที่จะสร้างชื่อเสียงให้ กลับมีแต่พาให้ชื่อเสีย อาตมาใช่ว่าจะมีความสุขเวลาด่าพวกคุณซะเมื่อไร..!

    นานๆ ได้ด่าคนทีชักหายไข้เหมือนกัน แต่อย่าคิดว่าไอ้ ๒ ตัวมันจะสลดนะ เงียบได้สักนาทีมันก็ออกท่าลิงกันอีกแล้ว พระพม่าเขายิ่งดูถูกพระไทยว่าไม่มีสมณสารูป มาเจอท่าลิงแบบนี้เข้า อนาคตวงการสงฆ์ไทยในพม่าเห็นทีจะมืดมน..!

    ท่านอาจารย์ใหญ่ต้องไปฉันเช้าในหมู่บ้าน อาตมาจึงครองโต๊ะพระเถระอย่างสมภาคภูมิ มีท่านสุโภคะช่วยบริการให้ ยังไม่ทันฉันเสร็จ ยาแก้ไข้มันออกฤทธิ์ ทำท่าจะหลับคาวง พอดีเด็กวัดเอากาแฟมาเสิร์ฟ กรอกเข้าไปค่อยหูตาสว่างหน่อย...

    มันมาพาให้ลำบากอีตอนจะนอนพักนี่แหละ พลิกไปพลิกมา มันไม่ยอมหลับซักที การฉันอะไรโดยขาดการพิจารณา มันมีโทษเช่นนี้เองแหละหนอ... ท่านชากับท่านป๊อป ออกบิณฑบาตกัน พอกลับมาถึง เอาข้าวทั้งบาตรมาถวายบูชาพระพุทธเจ้าไว้...

    ราวสิบโมงโยมแม่ของอาจารย์เต็งเมี้ยตมานิมนต์ให้ไปฉัน อาหารชั้นดีของเขา คือบะหมี่ซองของบ้านเรานั่นเอง ซ้ำยังนิมนต์เป็นการเฉพาะแค่พวกเรา ๕ รูปเท่านั้น อาจารย์เต็งเมี้ยตจบปริญญาโท สอนที่ร.ร.มัธยมพะอ๊อก ได้เงินเดือนตั้ง ๑,๓๐๐ จั๊ต..!

    ลงจากหอฉันมาเจออาจารย์ใหญ่เข้าพอดี ท่านเข้าใจว่าพวกเราหิว เพราะจู่ๆ มากันก่อนเพล ท่านนาวินต้องอธิบายให้ท่านทราบ กลับถึงที่พัก เจอทิดจิตรกับพี่ชาย นึกว่ารถมาแล้ว กลายเป็นว่าทิดจิตรหาส้มมาถวาย...

    ส้มของเขาหน้าตาคล้ายส้มฟรีมองต์ ราคาชั่งละ ๔๐๐ จั๊ต รสชาติ จืดๆ ฟ่ามๆ ไม่เอาไหน คุยกันจนเด็กวัดตีเกราะเรียกให้ฉันเพล จึงกำชับทิดจิตรว่า ถ้ารถมาถึงเมื่อไร ให้รีบมารับพวกเราโดยเร็ว...

    หลังเพลฉันยาแล้วนอนพัก ท่านชาบ่นเรื่องขาระบมจากการเดินขึ้นเขาเมื่อวาน ท่านป๊อปหนักกว่านั้นอีก ถึงกับนอนครางโอยๆ แบบนี้จะขึ้นพระธาตุอินทร์แขวนกันไหวหรือ?

    เที่ยงก็แล้ว บ่ายหนึ่ง บ่ายสอง บ่ายสาม สี่โมงเย็น แต่ละชั่วโมงผ่านไป ความหวังในการเดินทางวันนี้ริบหรี่ลงทุกที ต่างคนต่างหางานแก้รำคาญ ท่านป๊อปกับท่านตู่ไปฝึกภาษาพม่ากับท่านสุโภคะ แต่โลภจะเอามากๆ ทีเดียว จึงมั่วไปหมด...

    ความจริงอาตมาสั่งทิดจิตรให้หาเช่ารถคันอื่น แต่มิโชหวังดีจะช่วยประหยัด และใช้รถของคนกันเองจะง่ายกว่า กลายเป็นประหยัดจนไม่ต้องไปไหนเลย จนเกือบห้าโมงเย็นโซยุนท์เอารถมาให้ดูและขอเงินไปเติมน้ำมัน ๑๕ แกลลอน...

    โซยุนท์เอาปู่เขียวคันเก่าไปเทิร์น บวกเงินสองแสนจั๊ตได้ลุงขาวคันนี้มาแทน สภาพพอดูได้ มีถังสำรองน้ำมันมาด้วย อาตมาจ่ายค่าน้ำมันไป ๕,๒๕๐ จั๊ต นัดให้มารับตีสี่ครึ่ง ยอดโชเฟอร์ขอเอาคนขับสำรองไป ๑ คน เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย ได้เลยคุณพี่...

    คำนวณค่าใช้จ่ายแล้วหวาดเสียวมาก เงินกองกลางเหลืออยู่สองแสนเศษ เป็นค่ารถ ๖๐,๐๐๐ จั๊ต ค่าน้ำมันวันละ ๑๐ แกลลอน ๒๐ วัน ๗๐,๐๐๐ จั๊ต ค่าอาหาร ๘ คน วันละ ๓,๕๐๐ จั๊ต ๒๐ วัน ๗๐,๐๐๐ จั๊ต...

    รวมค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าอาหาร หมดไปแล้ว ๒๐๐,๐๐๐ จั๊ต..! ไหนจะค่าผ่านทาง ค่าที่พัก ค่าแพขนานยนต์ อีกสารพัด ได้แต่หวังว่าคงจะไม่ต้องระดมทุนเพิ่มเติมกันทีหลัง ไม่อย่างนั้นได้เดินแก้ผ้ากลับเมืองไทยกันบ้างเป็นแน่..!

    ท่านอาจารย์ใหญ่เป็นห่วง มาแนะนำเส้นทางให้ ชวนคุยทั้งที่ยุงรุมกัดตลอดเวลา จนทิดจิตรหอบข้าวของมาถึง มิโชฝากลูกอมช็อกโกแล็ต มาถวาย ๒ ถุง คุยจนสองทุ่มครึ่งอาตมาจึงขอตัวไป นอนพักก่อน....


    *************************​

    เดือนเสี้ยวแรม ๑๑ ค่ำ ลอยอยู่ขอบฟ้าตะวันออก พวกเราทำวัตรเช้ากันเรียบร้อย เก็บข้าวเก็บของเตรียมเดินทาง โชเฟอร์มือหนึ่งมาตรงเวลาเป๊ะ พาคณะของเราตรงไปมะละแหม่ง รถจักรยานมากมายพลุกพล่าน รถยนต์แต่ละคันเปิดไฟสูงส่องหน้าจนมองทางไม่เห็น..!

    มารับเรือโทกันยุนท์อาเขยทิดจิตร ผู้หมวดแกไม่ได้รับข่าวจากทิดจิตร คิดว่าไม่ได้ไปวันนี้ ยังนอนสบายอยู่ก็ถูกเราควักตัวจากที่นอนมาเลย รีบร้อนเกินจนลืมกระเป๋าเงิน ไปถึงท่าแพค่อยนึกได้...


    [​IMG]
    ตันอูและทิดจิตร บนแพขนานยนต์ข้ามอ่าวเมาะตะมะ

    โซยุนท์ซิ่งกลับไปเอากระเป๋าเงิน เพิ่งคล้อยหลังอาสาวก็โผล่มาพร้อมกระเป๋าเงิน ทำเอาวุ่นวายกันพักใหญ่ รถเริ่มลงแพจนถึงสิงห์รถบรรทุกแล้ว ลุงขาวถึงตะบึงกลับมา...

    ผู้หมวดเขาเส้นใหญ่ใช้ได้ พาพวกเราลัดคิวขึ้นแพจนได้ แถมยังคว้าปฏิทินทหารเรือ รูปสาวพม่าสวยบึกบึนมาแจกพวกเราซะอีก รถของเราเป็นคันรองสุดท้าย สิงห์รถบรรทุกตามมาปิดท้ายปุ๊บ แพขนานยนต์ก็ออกปั๊บ ลมทะเลโชยมาเย็นสดชื่น...

    ยังเช้าเกินไปนกนางนวลยังไม่ออกหากิน แพวิ่งเฉียดเกาะอองซีจุนอ้อมแหลมไปขึ้นฝั่งเมาะตะมะ ตะวันกำลังโผล่พ้นขอบฟ้าเมื่อแพเข้าเทียบท่า โซยุนท์พาพวกเราเลาะข้างสถานีรถไฟ มาฉันข้าวผัดกันที่ร้านของคนรู้จักกัน...

    [​IMG]
    จุดที่พระพุทธเจ้าเสด็จสุวรรณภูมิ วัดชุยซายาน

    จ่ายค่าอาหาร ๖๗๐ จั๊ต แล้วออกเดินทางกันต่อ นักเรียนกำลังไปโรงเรียน สีขาวสีเขียวเต็มถนนไปหมด หมู่เกวียนแล่นกันฝุ่นตลบ เฮ้ย..!
     
  5. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=/book/images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=/book/images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนตีสอง แล้วนอนภาวนาแข่งกับเสียงกัดฟันของท่านป๊อป และเสียงกรนของพลขับทั้งสอง อากาศเย็นทีเดียว เสียงหวูดรถไฟดังมาไม่ไกล องค์พระมหาธาตุชุยมอดอสว่างจ้ากลางแสงไฟ...

    เก็บข้าวของเสร็จ พระมาตามไปฉันเช้า เณรนั่งเรียงกันเป็นแถวยาวหลายแถว มีข้าวหม้อมหึมาอยู่ข้างที่ฉัน พระพี่เลี้ยงถือหม้อแกงและกาละมังใส่ข้าวเดินตรวจแถวแบบทหาร ข้าวหรือกับพร่องจะเติมให้ทันที...

    พระท่านจัดโต๊ะต่างหากให้เราหนึ่งโต๊ะ กับข้าวเป็นปลาย่างกับแกงส้ม นับว่าดีเกินเหตุ เพราะเณรได้ฉันแกงส้มอย่างเดียว ซ้ำหลังอาหารยังมีกล้วยเป็นของหวาน ขณะที่เณรไม่มีเลย ทำเอาท่านชาแทบจะฉันไม่ลง วัดพม่าถึงอยู่กลางเมืองก็ยังคงลำบากจนขนาดนี้...

    รอจนทิดจิตร โซยุนท์ และตันอู กินกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราค่อยออกมาถามทางไปบ้านชานหยั่วจี พอดีมาถามข้างสถานีรถไฟ ผู้หมวดกันยุนท์จึงขอตัวจากคณะ แยกทางนั่งรถไฟไปมัณฑะเลย์ก่อน แล้วจะไปรอเราที่บ้านลูกเขยเมืองเมย์เมี้ยว...

    จากที่บอกว่านั่งรถไม่ไหว เพราะมันกระแทกจนระบม ไม่สบายเหมือนเรือที่นอนไป เห็นทีจะไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าไม่มีความอดทนแบบนั้น ก็ไม่ควรมาเป็นทหาร สาเหตุที่แท้จริงน่าจะมาจากที่เขาขอมาด้วย บอกว่าจะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ อาตมาจึงให้จ่ายเฉพาะค่าอาหารเย็นทุกวัน...

    อาตมาลืมไปว่าอาจารย์ปริญญาโทยังได้เงินเดือนแค่ ๑,๓๐๐ จั๊ต เมื่อวานเย็นเขากินกันไป ๙๐๐ จั๊ต..! เงินเดือนผู้หมวดคงจะไม่เกินปริญญาโท กินกันทีเงินเดือนหมดไปทั้งเดือน แบบนี้ขืนไปกับเรามีหวังขายบ้านขายลูกขายเมียแน่ๆ..!

    ร่ำลากันเสร็จ คณะของเราแยกมาตามทางที่เขาบอก อยู่ห่างจากด่านเก็บเงินเข้าเมืองประมาณ ๓๐๐ เมตรเอง แต่ทางเข้าเป็นทางเกวียน รถไปไม่ได้ ต้องย่ำต๊อกไป ๓ ไมล์ อาตมาทิ้งรองเท้าไว้บนรถ ของใหม่ๆ มันดุ ขืนเอาไปด้วยเดี๋ยวมันกัดกระจาย..!

    เดินไปหน่อยก็ขึ้นมาบนทางรถไฟ ทิดจิตรที่ทิ้งรองเท้าตามอาตมา เต้นเป็นผีกองกอยด้วยความเจ็บเท้า อาตมาที่เลิกบิณฑบาตมา ๔ ปี รู้สึกเจ็บเหมือนกัน เดินตามหมอนไม้ที่ขาดมาตรฐาน กว้างบ้างแคบบ้างได้ไม่นาน ทนเจ็บเท้าไม่ไหวเผ่นลงทางเกวียนดีกว่า...

    [​IMG]
    บ้านชานหยั่วจี (บ้านใหญ่ชาวสยาม) เมืองหงสาวดี

    ฝุ่นนิ่มๆ ท่วมหลังเท้าค่อยยังชั่ว ถึงเดินยากกว่าแต่นุ่มกว่ากันเยอะ อากาศเย็นเยือกของยามเช้าทำให้ไม่เหนื่อยง่าย เดินมาจนถึงทางแยกจากทางรถไฟเข้าหมู่บ้านยังไม่มีเหงื่อซักนิด บรรดานักเรียนที่ขี่จักรยานอยู่ พอเห็นพระเดินมาจะลงจากรถกันหมด...

    เลาะตามคันนาถึงหมู่บ้าน ข้ามสะพานไม้แล้วเลี้ยวซ้าย หมู่บ้านเขาเงียบสงบน่าอยู่จริงๆ พระเณรกำลังออกบิณฑบาต พวกเราล้างเท้า แล้วเดินขึ้นกุฏิหลังที่ดูดีที่สุด คาดว่าสังขารของหลวงปู่ท่านคงจะอยู่บนนั้น ไปถึงแล้วแทบเข่าอ่อน มีแต่บริขารของท่านกับโลงเปล่า..!

    พระองค์หนึ่งชื่ออูปัณฑิตะมาสอบถามแล้วเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ท่าน คือ อูลักขณะ อายุ ๘๔ พรรษา ๖๐ มรณภาพเมื่อแรม ๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีที่แล้วนี้เอง ก่อนมรณภาพมีคนไปกราบหลวงปู่ตามะยะที่พะอาง หลวงปู่บอกว่าไม่ต้องมาหาท่านหรอก พระที่ปะโกก็มี เก่งกว่าท่านซะอีก..!


    [​IMG]
    ที่เก็บสังขารหลวงปู่ลักขณะ วัดชานหยั่วจี

    หลังจากหลวงปู่ตามะยะเปิดเผยเรื่องของท่าน อีกไม่นานท่านก็มรณภาพ อาตมาสอบถามว่าสังขารของท่านยังอยู่หรือไม่..? หลวงพ่อปัณฑิตะบอกว่า บรรจุโลงแก้วอยู่ข้างศาลานี่เอง โล่งอกไปที เห็นแต่โลงเปล่าๆ นึกว่าเขาเผาไปแล้ว...
    เห็นศาลาที่ตั้งสังขารของท่าน รู้สึกว่ามันเก่าคร่ำคร่า ไม่ได้สมกับความดีของท่านเลย ยิ่งเห็นสังขารที่ขาดการดูแลเอาใจใส่ ปล่อยให้หยากไย่ใยแมงมุมเกลื่อนกลาดยิ่งเศร้าใจ นี่มันไก่ได้แก้วมณีชัดๆ ไม่ได้รู้ถึงคุณค่าเลย...

    กราบแทบเท้าทำบุญกับท่าน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...