ฉบับที่ ๖๒ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 29 มิถุนายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ช่วงแรกของเล่ม "หลากรสในพม่า" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมกราคม ๒๕๔๗(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ถาม: เป็นการพิสูจน์ด้วยภายนอก ?
    ตอบ: จริง ๆ ก็คือว่าเขาเห็นแล้วเขาสรุปเอง การสรุป ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เพราะว่ามุมมองและประสบการณ์ต่างกัน คนดีเขาจะสรุปในแง่ดีทั้งหมด คนชั่วจะสรุปในแง่ไม่ดีทั้งหมด ไอ้กึ่งดีกึ่งชั่ว ก็ให้ไปอย่างละครึ่ง

    ในเมื่อต่างคนต่างสรุปเอง โดยที่ไม่เอาตัวเข้าไปคลุกคลีอยู่ในวงการนั้นก็จะไม่รู้อะไรดีจริง อะไรไม่ดีจริง ดังนั้นเรื่องของศาสนา ท่านถึงได้ใช้คำว่าสีลัพตปรามาส คืออย่าใช้การลูบ ๆ คลำ ๆ แค่นั้นนะ ต้องทำจริง ๆ ต้องทุ่มเทเข้าไปจริง ๆ ให้มันรู้จริง ขณะเดียวกันคนที่สามารถชี้แจงเพื่อให้เขาเองแจ่มแจ้งประเภทที่เรียกว่าหมด ความสงสัย ก็มีน้อย ในเมื่อมันมีน้อยขึ้นมา แล้วเขาสรุปเองด้วย ก็น่าเสียดายว่าเขาเสียผลประโยชน์ในส่วนนั้นไปเยอะ ถ้าเขาเข้ามาเสียตั้งแต่แรก ๆ อาจจะได้รับอะไรดี ๆ ไปนานแล้ว

    ต้องเจอหลวงปู่ หลวงพ่อหลาย ๆ องค์ นั่งเงียบ ทำอย่างเดียว ใครรู้จักปฏิบัติตามก็ได้ไป ไม่ปฏิบัติตามก็เรื่องของมัน หลวงปู่ดูลย์ยอด ปรมาจารย์ของพระทางอีสานองค์หนึ่ง ถึงเวลาเณรวันนี้เรียนทำขาบาตร ก็คือบาตรนี่ ถ้าหากว่ามีขารองนั่ง มันก็มั่นคง รองตั้งไว้...มั่นคง เสร็จแล้วก็เอ้า...เหลาดอก เหลาให้ได้ขนาด พอเหลาเสร็จมีเชือกพร้อม เอ้าดูนะ ชูให้ดู อันแรกสานกันอย่างนี้นะ แล้วก็ไขว้สอดอย่างนี้ มัดอย่างนี้ ทำเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่นั่งเงียบ เณรดูแล้วก็หัดทำ ทำไป ๆ ทำต่อไม่ได้ จำได้ไม่หมด หลวงปู่ตรงนี้ทำยังไง ?...เงียบ หลวงปู่ทำยังไง ?...เงียบ

    จนกระทั่งเณรไปบ่นอุบอิบ หาทางแก้ปัญหากันเอง แก้ตกก็ดีไป แก้ไม่ตกก็บนต่อ รุ่งเช้าออกบิณฑบาตหลวงปู่บอก เณรวันนี้บิณฑบาตด้วยกัน เณรก็ต้องเดินตาม ตามไป ๆ เจอบ้านหนึ่งเข้า เขาก็ทำอาหารตอนเช้านี่ พระบิณฑบาตเช้า เสียงลูกสาวตะโกนถาม แม่...แกงส้มใส่กะปิหรือเปล่า ? ปรากฎว่าแม่ไม่ใช่หลวงปู่ไม่เงียบหรอก เสียงตอบมาลั่นเลย อีห่า ถ้ากูตาย มึงจะถามใคร ? หลวงปู่หันมามองหน้า เณรยิ้ม เณรก้มหน้าดูดินเลย มันก็เหมือนกันนั่นแหละ หลวงปู่ท่านมองลักษณะ ถ้ากูตายห่าแล้วมึงจะถามใคร ? ทำให้ดู แล้วต้องจำ จำแล้วก็เอาไปทำให้ได้ด้วย

    นั่นท่านรู้ขนาดนั้น รู้ว่าเดินไปทางนั้นแล้วจะได้ยินอย่างนั้น เขาจะด่าอย่างนั้น แล้วเณรจะได้รู้ตัว เขาเรียกว่าสอนโดยภาคปฏิบัติ เอาให้มันเจ๋ง ๆ ไปเลย เป็นไงถามแม่หน่อยเดียว แม่อารมณ์เสีย แทนที่จะตอบดี ๆ ด่าส่งไปเลย ตกลงแกงส้มใส่กะปิหรือเปล่า ? แกงส้มใต้ใส่กะปิรึเปล่า...เยื่อเคย เอ่อใส่...ปักใต้ใส่กะปิ ภาคกลางไม่ใส่ ภาคกลางตำพริกแกงเฉย ๆ ถ้าหากว่าลงไปปักษ์ใต้ตอบอย่าง มาภาคกลางตอบอีกอย่าง

    สุขภาพแย่มาก ๆ อาจจะยกเลิกเอาดื้อ ๆ ไม่ไหวจริง ๆ มันคงเป็นที่ไปตั้งใจสอนกรรมฐาน จะเคี่ยวเข็ญเขานั่นแหละ มารมันรู้ ตัวเราเองจะหนีให้พ้นมัน มันก็เกลียดขี้หน้าพอแล้ว ยังจะสอนคนให้พ้นมันอีกตั้งเยอะแยะ มันก็เลยสอยซะ ของเราก็ทำไปแค่หน้าที่ มีแรงก็ทำ ไม่มีแรงก็แล้วไป

    การที่เราล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ตัวอย่างดูแค่สุปปพุทธกุฏฐิ ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้วท่านเป็นพระโสดาบัน พระอินทร์ก็ เลยไปลองใจ การลองใจของพระอินทร์ ท่านไปแสดงให้เห็นชัดเลยว่า ท่านเป็นพระอินทร์ ท่านบอกว่าสุปปพุทธะ ถ้าเธอพูดตามเราว่า เราจะบันดาลให้เธอหายจากโรคเรื้อนและจะให้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีด้วย สุปปพุทธะแกเป็นขอทาน ลำบากมานานนี่ เป็นโรคเรื้อนด้วย แกก็สนใจ ก็ถามว่าจะให้พูดว่าอย่างไรล่ะ ? บอกว่าพูดแค่ว่า พระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แค่นี้แหละพอ สุปปพุทธะไล่เตลิดเลย อัปเปหิ พระอินทร์ถ่อยจงถอยไป ขึ้นชื่อด้วยการปรามาสพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจของเราโดยเจตนาจะไม่มีอีกแล้ว พระอินทร์ท่านถึงได้โมทนา เพราะมั่นใจว่าเป็นพระโสดาบันแน่ พูดแค่นี้ถือว่าเป็นโทษแล้ว คนยิ่งใจละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นโทษเท่านั้น

    อย่างว่าพระนางปชาบดี โคตมี ก่อนที่ท่านจะปรินิพพานท่านก็ไปทูลลาพระพุทธเจ้า พระนางปชาบดีนิพพานอายุ ๑๒๐ ปี พระพุทธเจ้าอายุ ๘๐ นะ ท่านบอกว่า ท่านเองอบรมเลี้ยงดูพระพุทธเจ้ามาก็จริง แต่ว่าในช่วงที่ท่านปรารถนาความเป็นภิกษุณี พระพุทธเจ้าตรัสห้ามแล้ว ท่านก็ยังทูลขอพระพุทธเจ้าห้ามถึง ๓ ครั้งไม่ให้บวช ท่านก็ยังตื๊อเดินทางตามไป เพื่อตื๊อจะบวชอีก อันนี้เป็นโทษ ดังนั้นท่านกราบขอขมา ก่อนที่จะนิพพานท่านอยากไปแบบบริสุทธิ์จริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็กล่าวให้อภัยว่าไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองกัน

    ขนาดตื๊อทำความดี ยังเป็นโทษเลย คนยิ่งจิตละเอียดมากเท่าไรจะยิ่งมองเห็นโทษชัดเท่านั้น ดังนั้นส่วนที่เราทำ ๆ ไป ปัจจุบันนี้อาจจะเห็นว่าไม่เป็นโทษ แต่ถ้าเราก้าวไปสู่จุดที่ละเอียดกว่านี้ เราจะเห็นชัดเลยว่ามันเป็นโทษอยู่ ถ้าถามว่าดีไหม ? อืม...มันดี แต่มันดีไม่หมด มันถูกไหม ? ถูก แต่มันถูกไม่หมด ก็เลยยังมีส่วนผิดอยู่

    คราวนี้คนที่จิตละเอียด ส่วนผิดแม้แต่เล็กน้อยเขาถือว่าผิดมาก ในเมื่อผิดมากก็ต้องมีการขอขมาพระรัตนตรัย พระนางปชาบดีโคตรมี ท่านนิพพานตอนอายุ ๑๒๐ ปี พระพุทธเจ้าปรินิพพานอายุ ๘๐ ปี ลองหักกลบลบล้างเท่าไร ๔๐ ปี ท่านนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ๑ ปี เพราะฉะนั้นอายุต้องห่างกัน ๔๑ ปี ในเมื่อห่างกัน ๔๑ ปี ท่านเป็นน้า แล้วแม่พระพุทธเจ้าคลอดพระพุทธเจ้าตอนอายุเท่าไร ตีเสียว่าอย่างไม่มีก็ต้อง ๔๒ ปีใช่ไหม เพราะต้องท้อง ๑๐ เดือน ก็สงสัยว่าทำไมแก่ปานนั้น
    ปรากฎว่าไปอ่านเจอในมธุรัตถวิลาสินีอรรถกถาพุทธวงศ์ กล่าวว่า ปกติมารดาของพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะทรงครรภ์พระโพธิสัตว์เมื่ออายุประมาณ ๕๐-๗๐ ปี เรื่องของบุญนะ อายุมากขนาดนั้น ท่านไม่แก่ สาวพริ้งอยู่เป็นปกติ เหตุที่เป็นดังนั้นเพราะว่า ถ้าหากทรงครรภ์พระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ถือว่าบุคคลอื่น ๆ ไม่สมควรที่จะมาตีเสมอด้วยการที่เกิดในครรภ์นั้นอีก ก็เลยจะต้องตายภายใน ๗ วันทุกคน

    เมื่อเป็นดังนั้นก็ให้อยู่นานหน่อย อายุ ๖๐-๗๐ ปีก็อยู่ได้ ถึงเวลาคลอดแล้วค่อยตาย ของเราขี้สงสัย สงสัยมานานถ้าค้นไม่เจอไม่เลิก บังเอิญค้นเจอ พวกเราไม่ค่อยขี้สงสัยหรือสงสัยก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย

    ถาม : ถ้าในสมัยอายุเป็นหมื่น ๆ ปี ?
    ตอบ: ก็คงจะช่วงนั้นแหละ อาจจะประมาณ ๕,๐๐๐-๗,๐๐๐ ปี

    ถาม : ตอนพระพุทธเจ้าประสูติเดิน ๗ ก้าว หมายถึงเดินทางไป ๗ แคว้น ไม่ได้ก้าวจริง ๆ
    ตอบ: เดินจริง ๆ จ้ะ เดินแบบเกรงใจมากด้วย ยังดีที่ไม่ย่ำต๊อกไปทั่วชมพูทวีปก่อน คนเขาทำไม่ได้ ก็เลยพยายามดึงพระพุทธเจ้าลงมาให้เป็นคนธรรมดาทั่วไป พระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีมาต่ำสุด ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ความสามารถของท่านเกินกว่าที่เราจะคิดถึง อรรถกถาท่านอธิบายไว้ว่า สัตว์ บางเหล่าเมื่อจุติ คือ เคลื่อนลงจากที่เดิมเพื่อไปที่อื่น เมื่อจุติรู้ตัว เมื่อลงสู่ครรภ์ไม่รู้ตัว เมื่ออยู่ในครรภ์ไม่รู้ตัว ต่อจนคลอดออกมาจึงรู้ตัว สัตว์บางเหล่าเมื่อจุติรู้ตัว เมื่อลงสู่ครรภ์รู้ตัว เมื่ออยู่ในครรภ์ไม่รู้ตัว ต่อเมื่อคลอดออกมาจึงรู้ตัว แต่สัตว์บางเหล่าเมื่อขณะจุติรู้ตัว เมื่อเคลื่อนลงสู่ครรภ์รู้ตัว เมื่ออยู่ในครรภ์รู้ตัว เมื่อคลอดออกมารู้ตัว

    คราวนี้การที่ท่านรู้ตลอด พัฒนาการของท่านก็เลยไม่มีการโดนสกัดขัดขวาง ทุกอย่างทำได้เป็นปกติ เพราะฉะนั้นที่ท่านบอกว่า เกิดมาแล้วเดินได้ ๗ ก้าว เปล่งอภิสวาจาว่าเราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก เราเป็นผู้ที่เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ขึ้นชื่อว่าการเกิดไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว ถ้าคนที่มีสติรู้ตัวอยู่ตลอด พัฒนาการไม่โดนขัดขวางไป ก็ทำได้อยู่แล้ว แล้วเรื่องเดินก็ยิ่งหมู ๆ ใหญ่ แต่คราวนี้เขาไม่เชื่อตรงจุดนี้ แล้วก็ไม่รู้ รู้ไม่ถึงตรงจุดนี้ เขาก็ปฏิเสธ มันก็เรื่องปกติ ตัวใครตัวมัน เราก็เลือกทางไปของเรา เขาก็เลือกทางไปของเขา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2009
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    <HR SIZE=1> <!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG][​IMG]

    ถาม: การขอขมาพระรัตนตรัย
    ตอบ: การขอขมาพระรัตนตรัย เป็นการปลดใจเราเองจากกรรมอันนั้น พระรัตนตรัยไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเราอยู่แล้ว เพียงแต่เรารู้สึกเบากายเบาใจว่าเราได้ทำในสิ่งที่ดีที่ควรแล้ว ในเมื่อจิตมันปลดออกจากตัวนั้นก็สามารถที่จะไปต่อได้ ก็หมายความว่ามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติได้ ถ้าตราบใดที่ยังปลดมันไม่ออก แคะมันไม่ออกก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้น

    ถาม : ไม่ชัด
    ตอบ: มีอะไรบ้าง พูดชวนให้รักษาศีล ชวนให้เจริญสมาธิ ชวนให้ภาวนา ชวนให้ออกจากกาม ชวนให้คลายกำหนัด ชวนให้คลายความอยากตาย...กระดูกทั้งแท่งเลยใช่ไหม ? กถาวัตถุ ๑๐ ประการ ไปเปิดดูในตำรา นวโกวาทหรือว่าธรรมวิภาคของนักธรรม เขาสอนเอาไว้แต่บอกตรง ๆ ว่ากระดูกทั้งแท่ง ตราบใดที่เรายังไม่ใช่พระอริยเจ้าก็ต้องดูเจตนาท่านด้วย เพราะสติท่านสมบูรณ์กว่าเรา บางทีเห็นเราเครียด ๆ ท่านก็แหย่ให้เราหัวเราะ ท่านพูดนอกลู่นอกทางไปเหมือนกัน แต่ว่าท่านจะไม่ไปยาว พอคลายเครียดเราได้ท่านก็เลี้ยวกลับที่เดิม ส่วนใหญ่พวกเราไปแล้วออกทะเล หาฝั่งไม่เจอ กลับไม่เป็น

    ถาม : ไม่ชัด
    ตอบ: ไม่ประหลาดหรอก พวกมันทั้งหมดทำตัวประหลาดจากเรา สมัยอาตมาเป็นทหารไง นักเรียนทหารก็อยู่ร่วมกัน เขาจะจัดเป็นที่นอนยาว ๆ เป็นโรงนอนอยู่จะเป็นแถว แถวละ ๑๕ คน โรงนอนละ ๔ แถว ก็ ๖๐ คน รุ่นของอาตมา ๑๒๓ คน ก็ต้อง ๒ โรงนอน ทั้งหมดก็ประเภทกิน เที่ยว เล่น ครบถ้วนสมบูรณ์ มีเราบ้าอยู่คนเดียวไม่ทำอย่างเขา พวกก็ประเภทด่ามั่ง ว่ามั่ง ไอ้หน้าอย่างเอ็งทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง ไปหาผ้าถุงผู้หญิงมานุ่งไป๊ เรื่องอะไรเราจะให้มันด่าเราฝ่ายเดียว เราก็ด่ามันคืน บอกเขาว่าไอ้ความชั่วทั้งหมดที่ว่ามาไม่ใช่เราทำไม่เป็น ถ้าเราทำ เราทำได้ดีกว่าเขาด้วย แต่ที่ไม่ทำเพราะว่าเห็นโทษของมันแล้ว ไอ้กำลังใจห่วย ๆ แค่นี้เอ็งยังไม่สามารถที่จะรักษาได้ หลีกหนีจากความชั่วมาได้ พวกเอ็งทั้งหมดนั่นแหละควรไปหามานุ่ง ไม่ใช่ข้าหรอก ตกลงเราคนเดียวด่ามันทั้งกองร้อย แต่หมายความว่าเราต้องมั่นคงจริง ๆ นะ กำลังใจเราพร้อมจริง ๆ ถึงขนาดนั้นก็ตามปรากฏว่าทั้งหมดมันก็ทิ้งเราไม่ได้ ถึงเวลามันก็เลือกเราเป็นหัวหน้านักเรียน ถึงเวลาเดือดร้อนเรื่องอะไรมันต้องวิ่งมาหาเรา เพราะเราสอบได้ที่ ๑ ประจำ มันไม่ง้อเราก็ไม่ได้ อีกอย่างเราก็ไม่ได้คัดค้านเขาโดยตรง เขาจะกินเราก็ไปกับเขาด้วย มันกินเหล้าเราก็กินกับ มันเมากลับไม่ไหว เราก็แบกมันกลับ ถึงเวลามันไปเที่ยวซ่อง เราก็นั่งเฝ้าหน้าห้องให้มัน มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ

    เราไปกับเขาได้หมด เพียงแต่ว่าเราไปแค่กรอบของศีล พอชนกรอบปุ๊บ เราเลี้ยวกลับ เราไม่ไปกับเขาด้วย จริง ๆ แล้วมันไปกับเขาได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าอย่าให้ละเมิดศีลก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นคนบ้าอย่างมีสติ หรือที่เขาเรียกว่า “เมาดิบ” นั่นน่ะมันหนักกว่าคนเป็นจริงอีก คือโค้กแก้วเดียวชนแก้วกับเขาทั้งงาน แล้วแถมยังเสียงดังกว่าด้วย แกล้งเมาบ้ากว่าของจริงเยอะ

    การที่เราสอนผิดจากพระพุทธเจ้าสอน คนที่ทำตามก็มีโทษ ในเมื่อคนที่ทำตามมีโทษ เขาต้องลงนรก การที่เราลงนรกไม่ได้หมายความว่าเราลงแค่ขุมเดียว แค่ครั้งเดียว แค่โทษอันนั้น แต่เขาจะเหมาของเก่าทั้งหมดที่คุณเคยทำและยังไม่ได้ใช้หนี้มา เพราะฉะนั้นระยะเวลายาวนานเหลือเกินกว่าจะพ้นนรกมาได้ แล้วเศษกรรมก็ต้องมาให้เป็นเปรต หมดเศษกรรมของความเป็นเปรต เราก็ต้องมาเป็นอสุรกาย หมดจากอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉานตามจำนวนที่ฆ่า หมดจากสัตว์เดรัจฉานแล้ว ถึงจะเกิดเป็นคนได้ ทำให้คนห่างไกลความดีขนาดนั้น ก็เลยโทษหนัก เท่ากับตัดโอกาสของเขาเลย

    อย่างเช่นว่าถ้าเราลงนรกในปัจจุบัน เอาแค่ขุมที่ตื้นที่สุด พระพุทธเจ้าที่เหลืออีก ๖ องค์ภายในภัทรกัปนี้และภัทรกัปหน้าที่จะมาตรัสรู้กันเลยไปแล้วยังไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย ทำให้เขาเสียโอกาสไปขนาดไหน ? เห็นแล้วใช่ไหมว่ามันหนักเพราะอะไร ?

    ถาม : ทำอนันตริยกรรมไม่สามารถบรรลุมรรคผล ?
    ตอบ: ไม่เกี่ยว นับชาตินี้ชาติเดียว หลังจากนั้นก็ไปชดใช้กรรม ถ้าเกิดเป็นคนใหม่มีโอกาสได้บรรลุมรรคผลใหม่

    ถาม : พระเทวทัต...?

    ตอบ: พระเทวทัตท่านทำความดีไว้มาก มีคนสงสัยว่าพระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่าง ต้องรู้ว่าพระเทวทัตจะทำสังฆเภท แล้วทำไมถึงยังรับพระเทวทัตเข้ามาให้ทำสังฆเภทได้ ถ้าหากว่าไม่รับเข้ามา เทวทัตก็ยังคงทำอยู่ดี แต่การที่รับเข้ามาในขั้นต้น พระเทวทัตท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จนกระทั่งสร้างอภิญญา สร้างสมาบัติมาได้ กุศลกรรมที่เป็นครุกรรมนี่จะส่งผลให้ท่านกรรมหนักอื่นนั้นน้อยลง ทำให้โทษน้อยลง อีกอย่างหนึ่งก่อนที่จะโดนธรณีสูบ ท่านกล่าวขอขมาพระรัตนตรัยก่อน ก็เลยโทษเหลือแค่ว่าครบ ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้นก็พ้นแล้ว หมายความว่าเอาแค่อายุศาสนานี่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นอายุอเวจีนั้น ๑ กัป อยู่กันลืมโลกเลย เหลืออีกครึ่งหนึ่งของอายุศาสนาจะพ้นแล้ว

    ถาม : ทางลัดไปสู่พระนิพพาน?
    ตอบ: ทางลัดไม่มีจ้ะ การปฏิบัติทุกอย่างทางตรงสั้นที่สุด คือจับอารมณ์พระโสดาบันไปเลย อันดับแรกต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ อันดับที่สอง รักษาศีลทุกข้อให้บริสุทธิ์ อันดับที่สามตั้งใจเสมอว่าตายแล้วจะไปนิพพาน

    คราวนี้การที่เราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปนิพพาน ต้องมีสมาธิควบอยู่ถึงจะทรงตัว ดังนั้น เราจะทิ้งอาณาปานสติ คือการนึกถึงลมหายใจเข้าออกไม่ได้ ต้องนึกอยู่เสมอ เสร็จแล้วก็ทวนศีลอยู่ทุกวัน ศีลทุกข้อของเราวันนี้บริสุทธิ์ไหม ? อันไหนบกพร่องพรุ่งนี้เราต้องแก้ไขให้มันดีกว่าเดิม อันไหนดีอยู่แล้ว พรุ่งนี้เราจะทำให้ดียิ่งกว่านี้ ศีลทุกข้ออย่าละเมิดด้วยตัวเอง อย่ายุให้คนอื่นเขาทำ อย่ายินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ ต้องทวนอยู่อย่างนี้ตลอดทุกวัน

    ถาม : คำว่า นิพพาน นึกถึงพระพุทธเจ้า
    ตอบ: เอาแค่นั้นล่ะจ้ะ ตั้งใจว่านั่นคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหน นอกจากบนพระนิพพาน เราเห็นท่านคืออยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนนิพพาน เอาแค่นั้นพอ คิดว่าเราตาย เราก็ขอไปอยู่กับท่านตรงนั้น ถึงไม่เห็นเลยก็ไม่เป็นไร ให้มั่นใจว่านิพพานอยู่ที่ไหน เราจะไปที่นั่นก็ใช้ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการปฏิบัติทางลัดไม่มีนะจ๊ะ มีแต่ทางตรง ซึ่งสั้นที่สุด ลองไปลัดดูสิ ทางลัดทางไหนก็ตามมันอ้อมทั้งนั้นแหละ

    ถาม : มีแสงสว่างที่หน้า คืออาการอะไร ?
    ตอบ: เขาเรียกว่าโอภาส เกิดแสงสว่างขึ้น มันเป็นอุปกิเลสอย่างหนึ่ง อุปะ แปลว่าใกล้ อุปกิเลส คือใกล้จะเป็นกิเลส ถ้าเราไปยึดติดกับมันถึงเวลาภาวนาอยากให้มันสว่างอีก ถึงเวลาภาวนาอยากให้เป็นอีก มันก็จะเป็นกิเลสจริง ๆ แต่ถ้าเราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจมัน สนใจอยู่แต่องค์ภาวนาของเรา คำภาวนาของเราสนใจอยู่แต่ลมหายใจเข้าออก ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นอุปกิเลสเท่านั้น ถ้าหากว่าจับภาพพระ นึกอยู่แต่ภาพพระ ถ้าจับลมหายใจ นึกอยู่แต่ลมหายใจ ถ้าหากว่าจับลมหายใจพร้อมคำภาวนา ก็เอาแต่ลมหายใจพร้อมคำภาวนา แต่ว่าถ้าจับภาพพระ ก็ต้องเอาลมหายใจควบไปด้วย ภาพพระจะได้ทรงตัว
    ถาม : มีความทุกข์จัดการอย่างไร ?

    ตอบ: อยู่กับมันให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แล้วก็ดูให้เห็นว่าทุกข์จริง ๆ มันกินตัวเราหรือมันกินใจเรา แล้วเราโง่พอที่จะเกิดมาทุกข์อย่างนั้นอีกไหม ? ความทุกข์น่ะหาได้ยาก พระพุทธเจ้าท่านสร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปเป็นอย่างต่ำ ท่านถึงหาทุกข์เจอ แล้วตอนนี้มันโผล่อยู่ตรงหน้าเรา เงินเท่าไรก็ซื้อไม่ได้ เพราะถ้าไม่เห็นทุกข์ ก็ไปนิพพานไม่ได้ คุณเอาเงินกี่ล้านไปซื้อนิพพาน เขาถึงยอมขายล่ะ ไม่มีหรอก ของหายากขนาดนั้นอยู่ตรงหน้าแล้ว รีบกอบโกยไว้มาก ๆ มันทุกข์เท่าไร ยิ่งดีเท่านั้น กำหนดรู้แล้วกองไว้ตรงนั้น

    เออ... มึงอยากทุกข์ทุกข์ไป ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์อย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว ตายชาตินี้เราก็ไปนิพพานดีกว่า แทนที่เขาจะกลายเป็นไอ้ตัวป่วนของเรา เป็นมารของเรา ไม่ใช่หรอก เป็นตัวบุญตัวกุศลเป็นทองคำทั้งแท่งเลย ปฏิบัติไปนาน ๆ มันจะเพี้ยนแบบนี้แหละ มองโลกคนละแง่กัน อารมณ์ใจแบบนี้ คนไม่เข้าใจ ว่าเราเพี้ยนจริง ๆ นะ อาตมาเดินบิณฑบาตยิ้มแป้นอยู่ทุกวัน โยมก็แซวอยู่เรื่อย อาจารย์ยิ้มได้ทั้งวัน ก็มันสบายใจ จะให้ร้องไห้รึไง ? เดินไปมันก็เดินอยู่บนกองทุกข์ ชาวบ้านที่ใส่บาตรให้เราก็ทุกข์อยู่ ตอนนี้เรามาสงเคราะห์เขา ให้เขาได้สร้างทานบารมี ถึงเวลาทุกข์เขาจะได้น้อยลง เพราะผลทานมันส่งผลให้เราทำหน้าที่ของเราเต็มสติกำลังของเรา

    แต่ขณะเดียวกันก็ลืมไม่ได้ว่าเราก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ ถ้าเราเกิดอีก เราก็ทุกข์อย่างนี้อีก เขาเกิดอีก ก็ทุกข์อย่างนี้อีก เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีที่ยึดที่เกาะให้พ้นทุกข์ของเรา เราก็เกาะของเราเอาไว้ ส่วนเขาจะยึดจะเกาะได้แค่ไหนก็แล้วแต่บุญแต่กรรมของเขา เห็นพระเดินบิณฑบาตยิ้มแป้น นึกว่าพระอยากได้ของของเรา เปล่าหรอก มันใส่บาตรมาครึ่งบาตร กิน ๓ วันก็ไม่หมด แล้วยิ่งอาตมาจานเล็กกะจิ๊ดเดียวเท่านั้น บางทีลูกศิษย์ตักให้ขนาดที่มันกิน เราต้องเทออกเกือบหมด

    ถาม : จ้องภาพพระ...
    ตอบ: จริง ๆ ถ้าหากว่าภาพพระไม่ได้หายไป จะอยู่ส่วนไหน ก็กำหนดรู้ไว้ ถ้าท่านเปลี่ยนแปลงจะใหญ่จะเล็กจะขาวจะดำอย่างไร เรารู้ไว้เฉย ๆ กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ บางทีอาจจะเป็นการทดสอบเราว่าสมาธิเราจะเคลื่อนไหม ? ขณะเดียวกันถ้าหากว่าเราจับภาพอยู่ จากภาพพระนั่ง กลายเป็นพระยืน หรือว่ากลายเป็นปางลีลา คือเดิน หรือว่าเป็นปางไสยาสน์ คือนอน ยังไงก็ตาม ถ้าเราต้องการพุทธานุสติ ก็จับต่อไปได้เลย ใช้ได้เหมือนกัน ลองกำหนดดูว่าถึงท่านให้กลับเข้ามาจุดเดิมได้ไหม ถ้าดึงกลับมาจุดเดิมได้ก็ดึง ถ้าดึงกลับมาจุดเดิมไม่ได้ กำหนดใจสบาย ๆ กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใช้สายตาหรอก จะไปอยู่ทิศไหนรอบตัว มันรู้ได้หมด เห็นได้หมดเหมือนกัน

    ถาม : ถ้าเราพลีชีพ อธิษฐานว่าตายขอไปนิพพาน ไปได้ไหม ?
    ตอบ: ไปได้ ก็คุณไม่ห่วงร่างกาย ขนาดยอมตาย ตัดมันทิ้งได้เลยไปได้จ้ะ

    ถาม : ไม่สบายจับลมหายใจไม่ได้

    ตอบ: จ้ะ ดูอาการเจ็บป่วยแทน ดูให้เห็นว่าความป่วยมันกินร่างกายเรา หรือมันกินจิตใจของเรา ที่เรารู้สึกเจ็บป่วย จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องของร่างกาย หรือจิตใจ ใจเราไปปรุงแต่งกับมัน มันก็เลยหมอง รู้สึกว่าเจ็บป่วยไปด้วย หรือว่าใจของมันเจ็บป่วยจริง ๆ ยากให้ออกจ้ะ เขาเรียกว่า ดูเวทนาในเวทนา ในเมื่อมันเวทนาไม่ได้ เราก็พิจารณามันแทน เพราะว่าเรื่องของสมาธิภาวนา เรื่องของฌานสมาบัติ ถ้าหิวมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย มันไม่เอากับเราด้วย พังเอาง่าย ๆ เลย ของเราเองยังดีนะ ได้มั่งไม่ได้มั่ง

    อย่างพระอัสชิท่านเป็นพระอรหันต์แท้ ๆ ท่านเป็นโรคกระเพาะ นอนดิ้นตูม ๆ ถึงขนาดสงสัยว่า เอ้...มรรคผลของเราท่าจะเสื่อมเสียแล้ว ทำไมเจ็บขนาดนี้ ก็ให้คนไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็เลยเสด็จมา บอกว่าอัสชิ เธอเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเธออยู่รึเปล่า ? ท่านบอกไม่เคยเห็นเลยพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าบอก ถ้ายังงั้นมรรคผลไม่เสื่อมหรอก แต่คราวนี้มันเป็นธรรมดาว่า ในเมื่อเวทนามันกำเริบกล้า ถ้าหากว่ากำลังใจของเรา ประเภทไม่ชำนาญในการที่จะหลีกหนีมัน ในการระงับกายสังขารจริง ๆ ยิ่งเป็นพระอริยเจ้าระดับสูงเท่าไร ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น เพราะจิตท่านละเอียด ในเมื่อจิตท่านละเอียด ท่านรับรู้ได้มากกว่าเราเยอะ ก็เลยเจ็บลึกซึ้งกว่าเยอะ

    เพราะฉะนั้นใครอย่าคิดว่าพระอรหันต์กินอาหารไม่อร่อย อร่อยกว่าเราหลายเท่า เพราะว่าประสาทรับรสท่านละเอียดกว่า สติท่านละเอียดกว่า เพียงแต่ว่าท่านรู้เท่าทันมันก็เลยสักแต่ว่ากิน เพราะฉะนั้นที่เราทำได้ประเภทได้มั่งไม่ได้มั่ง ดีมากแล้ว แต่ต้องซ้อมบ่อย ๆ ซ้อมให้คล่องตัวไปเลย ถ้าซ้อมบ่อย ๆ ซ้อมให้คล่องตัว ถึงเวลาปุ๊บหลบมัน มันชำนาญเข้า ต่อไปเรื่องป่วยไม่ได้รับประทานเราหรอก

    ถาม : หลบแบบที่หลวงพ่อบอก
    ตอบ: ก็คือเข้าสมาธิไปเลย ได้ฌานระดับไหนก็ไปฌานระดับนั้นเลย
    ถาม : สวดมนต์ในใจ
    ตอบ: ได้บุญเหมือนกัน แล้วก็ดีกว่าด้วย ไม่ไปกวนคนอื่นเขาให้รำคาญ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าร่างกายไม่ไหวจริง ๆ สวดมนต์ยาว ๆ ไม่ไหว พุทโธคำเดียวก็พอ ภาวนาแทน สวดมนต์น่ะยาทา ภาวนาน่ะยากิน หายเร็วกว่ากันเยอะ ได้ผลกว่ากันเยอะ ถ้าเราไม่ไหว เราเอาให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ ถ้าหากว่ากระทั่งอารมณ์จะสวดยังไม่มี ใช้วิธีนั่งสมาธิเอาหูตามเสียงเข้าไป เขาว่าอะไร เราก็นึกว่าตามไปในใจ ได้ดีกว่าอีก เพียงแต่ว่าถ้าเพื่อนบ่นเอา อย่าไปเถียงจะพาเสียอารมณ์

    ถาม : นั่งสมาธิแล้วหลับ
    ตอบ: ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ไปได้ก็คือไปได้ เพียงแต่เราประมาทไม่ได้กำลังใจของเรา เราเคยทำมาทั้งดีทั้งชั่ว ถึงเวลามันทำดีทำชั่ว ผลของมันก็ผลัดกันให้ผลกับเรา ตอนมันดีเราจะไปประมาทว่าตอนนี้ดีแล้วไม่ได้หรอก เผลอเมื่อไรก็เอาเราอีก

    ถาม : กายคตานุสติทำอย่างไร ?
    ตอบ: ที่เราทำมันเกินเพื่อนว่าไปแล้ว เป็นทิพจักขุญาณแล้ว อย่าลืมว่ากสิณไฟก็ดี กสิณสีขาวก็ดี เป็นพื้นฐานทิพจักขุญาณ เราได้ทิพจักขุญาณแล้ว เราสามารถเห็นข้างในได้แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาไปลอกมันหรอก เราอยากดูตรงไหน กำหนดใจลงไปเห็นหมด เพียงแค่ตอนนั้นเราไม่ได้กำหนดใจดูมัน มันก็เลยเห็นเป็นการรวม ๆ ไปแค่นั้น

    ถาม : นั่งสมาธิไม่เห็นอะไรเหมือนคนอื่น
    ตอบ: ทำไมต้องเห็น เขาไม่ได้บอกว่าไปนิพพานจะต้องเห็นโน่นจะต้องเห็นนี่ เขาบอกว่าให้เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพพระธรรมจริง ๆ เคารพพระสงฆ์จริง ๆ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แล้วก็ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปนิพพาน มีอันไหนที่บอกว่าจะต้องได้เห็นโน่นเห็นนี่ไหมล่ะ ? สมาธิรอให้เกิดเองนี่ สงสัยชาติหน้าบ่าย ๆ ไม่รู้จะเกิดรึเปล่า ? เราต้องตังหน้าตั้งตาทำ พอทำได้แล้วรักษามันเอาไว้ด้วย ถ้าไม่รักษาให้ต่อเนื่องมันก็พัง ประคับประคองอารมณ์ตรงนั้นไว้ อย่าให้มันเผลอ อย่าให้สติมันขาด ถ้ามันเผลอสติขาดเมื่อไร มันก็แวบไปที่อื่น เดี๋ยวมันก็รัก โลภ โกรธ หลง ของมันไปเอง

    ถาม : จิตเดิมไม่มีกิเลส นาน ๆ ไปก็สะสมเข้าเหมือนสมาธิ
    ตอบ: เหมือนกัน แต่ว่าอันนั้นสะสมกิเลส สมาธิมันสะสมความดี เพราะยิ่งทำก็ยิ่งชำนาญ พอเกิดความเคยชินขึ้นมาทรงตัวได้ง่าย ชินนี่เรียกว่าฌาน ทรงฌานขึ้นมาอารมณ์ใจทรงตัวได้ง่าย จะทำอะไรก็ง่ายไปหมด

    ถาม : จิตเป็นสมาธิจะแยกอาการทางกายได้
    ตอบ: มันเป็นเรื่องของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของใจ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไมเกรนเกิดจากความเครียด ถ้าทำสมาธิมันหายเครียด โรคก็หายไปด้วย อย่างหมวยนี้สมัยเด็ก ๆ เป็นโรคหัวใจรั่ว ผอมกระหร่องเลย พาไปวัดไปฝึกกรรมฐาน พอกำลังใจมันดี หายขึ้นมา น้ำหนักจะ ๖๐ แล้ว

    ถาม : การฝึกสมาธิมีหลายแบบ
    ตอบ: ก็ไม่รู้ ปัจจุบันที่อาตมาสอนอยู่ที่วัดทองผาภูมิ บางวันพระท่านไม่รู้หรอกว่าเรายัดกรรมฐานเข้าไปเกือบ ๔๐ กอง สอน ๓๐ นาทีให้เขาทำตามนั้นน่ะ ท่านปิงไปฟังเสร็จ โอ้โหเว้ย...คือคนที่มีเค้าอยู่ จะรู้ว่าตอนที่เราพูดอยู่หมายถึงอะไร

    แต่คราวนี้เราประเภททำของยากให้ง่าย ยำใหญ่มันรวม ๆ กัน บางทีสอน ๑ วัน ๓๐ นาที นี่เป็นสิบ ๆ กองรวมกันเป็นกรรมฐานบทเดียว กลายเป็นว่า ถ้าหากว่าเรารู้กรรมฐานหลาย ๆ กอง ก็จะมีอานุภาพแต่ละกองไม่เหมือนกันว่า อันนี้สู้กับราคะ อันนี้สู้กับโลภะ อันนี้สู้กับโทสะ อันนี้สู้กับโมหะ ถ้าหากว่าเราคล่องตัวตรงจุดนี้ เราก็จะพลิกแพลงใช้งานสู้กับมันได้ง่ายหน่อย ถ้าหากว่าเราไม่รู้มันขนาดนี้ มีแต่ประเภทท่าเดียวอยู่ตลอด เดี๋ยวโดนมันอัดน่วม

    ถาม : ถ้าหากเรา “พุทโธ”
    ตอบ: ถนัดพุทโธ มันก็ไปตีช่วงอื่น มันต้องชำนาญหลาย ๆ กองรวมกัน ถึงเวลาได้รับมือกับมันง่ายเลย ระยะหลังนี่จะไปเน้นเรื่องอรูปฌานกับพรหมวิหาร ๔ เพราะว่าอรูปฌานกับพรหมวิหาร ๔ สมัยที่ฝึกเป็นของยาก สาหัสสากรรจ์เลย มันยากเพราะว่าเราไม่คุ้นชิน จับติดได้ยากมาก มันเป็นอารมณ์ใจแท้ ๆ อย่างหนึ่ง แล้วก็เป็นอารมณ์คิด ลักษณะคล้าย ๆ วิปัสสนาญาณอีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อเป็นลักษณะนั้น ก็เลยจับยาก เกาะติดยาก มาถึงตอนนี้เราพูดให้เขาทำง่าย ๆ มันก็คงคิดว่าง่าย ถ้ามันรู้ว่าเราสอนอะไร ให้ไปคลำเองดูซิ ทั้งชาติมันจะได้รึเปล่า ?

    ถาม : อรูปฌานทำอย่างไร ?
    ตอบ: อรูปฌานต้องตั้งรูปขึ้นมาก่อน แล้วก็เพิก คือไม่สนใจรูปนั้นเสีย แล้วก็ใช้อารมณ์คิดพิจารณาต่อไป

    ถาม : รูปอะไร ?
    ตอบ: เราจับอะไรก็ได้ รูปพระก็ได้ กสินดวงใดดวงหนึ่งก็ได้ ถึงเวลาขอให้ภาพนั้นหายไป ก็คือไม่ต้องการภาพนั้นน่ะ แล้วก็จับอารมณ์ตามกองของมัน อากาสนานัญจายตนะ ก็จับความว่างของอากาศ วิญญานัญจายตนะ จับความไม่มีของเขตไม่มีตัวตนของวิญญาณ อากิญจัญญยตนะ ก็จับอาการที่ถึงเวลาสูญสลายไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง

    ถาม : กลายเป็นว่าง
    ตอบ: เป็นว่าง ไม่เหลืออะไร เผลอเมื่อไรมันก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไปนิพพานไม่ได้


    ถาม : ถ้าเราทำคล่อง ?
    ตอบ: จริง ๆ ไม่ต้องทำถึงก็ได้ แต่บังเอิญว่าพวกนี้กำลังสูง ในเมื่อกำลังสูง แล้วหลักการคิด คล้าย ๆ วิปัสสนาญาณเลย เปลี่ยนแนวคิดเปลี่ยนมุมคิดนิดเดียวก็ได้เรื่องเลย ถ้าหากว่าเปลี่ยนมุมคิดนิดเดียว ก็จะเป็นวิปัสสนาญาณ อยู่ที่เราว่าจะพิจารณาอย่างไร ถึงได้บอกว่าสอนมันทั้งที


    นี่บางครั้งยำใหญ่เข้าไปรวมเกือบ ๔๐ กอง อยู่ในเวลา ๓๐ นาที คนทำก็กำหนดใจตามสบาย... เราเองเหนื่อยแทบตาย สมัยก่อนเกาะหลวงพ่อไม่รู้สึกหรอก สมัยนี้มาให้เขาเกาะเพิ่งจะรู้ ก็คิดดูโบสถ์เก่าวัดทองผาภูมิมันเล็กกะเปี๊ยกเดียว ยัดอยู่นั่นเข้าไปทั้งพระทั้งฆราวาส ๒๐ กว่าคน พระตั้ง ๑๗-๑๘ องค์เข้าไปแล้ว บอกเขาไปพักอยู่ที่วัดท่าขนุนก่อนสบาย ๆ สร้างกุฏิไว้เยอะแยะ ไม่ไปหรอก จะอยู่ที่แหละ ได้ฝึกกรรมฐาน

    ถาม : ทรงฌานได้ ประสาทจะต้องละเอียดมาก
    ตอบ: ถ้าทรงฌานได้ นิวรณ์ก็ไม่เหลือซากเลย เพียงแต่อย่าเผลอหลุดออกจากฌานแล้วกัน

    ถาม : ตอนจะหลับ รู้สึกปล่อยวาง เริ่มเป็นสมาธิ
    ตอบ: จิตถ้าฟุ้งซ่าน หลับไม่ได้ คราวนี้มันจะใช่หรือมันจะเป็นรึเปล่าก็เรื่องของคุณ บอกแล้วอาตมาไม่ไปคิดให้เสียเวลาหรอก พวกหมอผี กระเหรี่ยงได้อภิญญาสารพัด ไปถามว่าทำยังไง ให้มันอธิบาย เราไม่รู้หรอก เราทำได้ก็แล้วกัน มันอธิบายไม่เป็น
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG]



    ถาม: พระอริยะบุคคลเสียใจ แล้วเปลี่ยนคำอธิษฐาน...

    ตอบ: พอ ๆ คำว่า พระอริยะบุคคลขึ้นไป ไม่มีคำว่าเสียใจ ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป มีแต่ธรรมสังเวชเท่านั้น อย่าใช้คำพูดผิด ปัญญาท่านรู้แจ้งเห็นธรรมมากแล้ว มีแต่ปลงธรรมสังเวช อย่าลืมว่าใครจะเป็นอริยะบุคคลหรือไม่ อย่างไร พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้พยากรณ์ ไม่ใช่เราไปเดาเอง

    ในเมื่อเราไม่ใช่เราไปเดาเอง ขืนไปเดาเข้ามันก็มีแต่ผิดกับถูกโดยบังเอิญ คราวนี้สิ่งที่เขาทำ มันก็เรื่องของเขาเถอะ เพราะว่าตัวอธิษฐานบารมี อธิษฐานคือความตั้งใจ มันเปลี่ยนกันได้ อย่างเช่นว่า เปลี่ยนความตั้งใจจากการปรารถนาพระโพธิญาณมาเป็นสาวกภูมิ ถ้าท่านเสียใจอยู่ ท่านจะเป็นอริยะไม่ได้ อริยะจิตใจท่านจะผ่องใสเป็นปกติ เสียใจเมื่อไรมันก็มัวสิ

    ถ้าหากถึงวาระที่เราเห็นแล้ว ว่าทุกอย่างมันดีกว่า เราก็ไป เสร็จแล้วเมื่อถึงวาระถึงเวลาจะได้ย้อนมาเพื่อที่จะดึงคนอื่นเขาไปด้วย ถ้าตราบใดที่เรายังลอยคออยู่ เราช่วยคนอื่นอาจจะจมตายไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นมันจำเป็นต้องไปก่อน ขึ้นฝั่งให้ได้ พอขึ้นฝั่งได้แล้ว เราค่อยย้อนกลับมาช่วยเขา อย่าลืมว่าพรหมวิหาร ๔ มีตัวอุเบกขาอยู่ ถ้าหากว่าเราขาดตัวอุเบกขา ไม่รู้จักใช้ปัญญาประกอบ ไม่รู้จักปล่อยวาง เมื่อถึงวาระอันควรนอกจากเสียผลประโยชน์ของเราเองแล้ว คนอื่นทั้งหมดที่อาจจะพึ่งพาเราก็เสียผลประโยชน์ไปด้วย

    เพราะฉะนั้น ถ้าเมตตา มันต้องเมตตาต่อตัวเองก่อน เอาตัวเองให้ได้ดีก่อนน่ะ พอมันได้ดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อไปการจะช่วยคนอื่นมันก็ง่าย เมื่อวานนี้ได้บอกกับโยมคนหนึ่งว่า ความดีหรือความชั่วมันดึงดูดคนได้ทั้งนั้น คนที่ทำดี กระแสความดีก็จะดึงดูดคนดีเข้าไปหา คนที่ทำชั่วกระแสความชั่วก็จะดูดคนชั่วเข้าไปหา อย่างพวกเจ้าพ่อ มือปืนล้อมกันเป็นร้อย ๆ คราวนี้ถ้าเราทำดีจนถึงที่สุดแล้ว ถึงเวลากำลังมันพอ คนอื่นจะคล้อยตามมาเอง

    ที่ดื้อและสอนยากที่สุดคือคนในบ้าน ขนาดพระพุทธเจ้าเองจะกลับไปโปรดพระประยูรญาติ ต้องส่งพระกาฬุทายีล่วงหน้าไป ๓ เดือน เต็ม ๆ คราวนี้พระกาฬุทายีเมื่อท่านฉันเสร็จ เขาประเคนอาหารใส่บาตรเพื่อถวายพระพุทธเจ้า ท่านก็เหาะไปถวาย ถวายเสร็จ พระพุทธเจ้าฉันเสร็จ ท่านรับบาตรได้ ท่านก็เหาะกลับมา บอกว่าพระลูกเจ้าฉันแล้ว เดินทางมาถึงตรงนี้ ๆ แล้ว ทำอย่างนี้อยู่ตลอด ๓ เดือนเต็ม ๆ ทุกคนเห็นว่า เออ...พระกาฬุทายีเก่ง แล้วพระกาฬุทายีก็ยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างทีทำได้นี่เกิดจากพระศาสดาสอนเรามานั่นน่ะ เขาถึงได้มีความเชื่อในพระพุทธเจ้าบ้าง แต่เชื่อขนาดนั้นแล้วนะ พอพระพุทธเจ้าไปถึงก็มีแต่ผู้ที่อาวุโสน้อยกว่ามาไหว้ ผู้ทีอาวุโสมากกว่าทั้งหมดมีพ่อคนเดียวที่ยอมไหว้ เพราะพ่อรู้ว่าลูกดีแค่ไหน แต่ว่าคนอื่น ๆ อย่างเก่งก็ประกาศชื่อประกาศโคตร แล้วก็ยืนดูอยู่ในข้างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าถ้าไม่ทรมานกันบ้าง ก็คงจะไม่เชื่อกัน ก็เลยเหาะไปอยู่เหนือหัวซะ

    สมัยก่อนถ้าไปยืนเหนือหัวน่ะ พวกโน้นเขาถือตัวมาก ถ้าหากว่าฝุ่นใต้เท้าของใครตกใส่หัว ถือว่าดูถูกกันที่สุด ท่านก็เลยแสดงให้รู้ว่า มันเหนือกว่ากันชนิดที่เรียกว่าจะทำอย่างไรก็ได้ตามใจของท่าน ในเมื่อมันเป็นอย่างนั้น เขาถึงได้ยอมรับกัน แต่ขนาดนั้นถึงเทศน์โปรด ก็ไม่ใช่ว่าจะได้มรรคได้ผลกันทั้งหมด เพราะว่าถือตัวถือตนกันจัดมาก

    คนที่สอนอยากที่สุดคือ คนในบ้านของเราเอง เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาจะอาวุโสมากกว่า ในเมื่ออาวุโสมากว่า ความมานะความถือตัวถือตน กูเป็นพ่อกูเป็นแม่เป็นพี่ป้าน้าอายังงี้กูใหญ่กว่า กูอายุมากกว่า กูอาบน้ำร้อนมาก่อน มันก็เลยทำให้สงเคราะห์กันยาก เราต้องทำตัวของเราให้เขาเห็น เห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านดีอย่างชัดเจน แล้วเขาจะค่อย ๆ คล้อยตามมาเอง เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดคือต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน

    ถาม : สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ อธิษฐานอย่างไรดี
    ตอบ: อธิษฐานอย่างไรดี ขอผลบุญนี้ส่งผลให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ตราบใดที่ยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด ขอความข้องขัดใด ๆ อย่าได้มีในชีวิตนี้เลย ขอให้มีความเป็นอยู่คล่องตัว มีความปรารถนาสมหวังทุกประการ คำว่าไม่มี ขออย่าได้มีในชีวิตตั้งแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

    ถาม : การกระทำของเรามีส่วนปิดกั้นพระนิพพานของคนอื่น
    ตอบ: จริง ๆ แล้วเรื่องอย่างนี้มีทั้งถูกและไม่ถูก จะบอกว่าไม่ถูกทั้งหมดก็ไม่ใช่ จะบอกว่าถูกทั้งหมดก็ไม่ใช่ มันอยู่ที่ความยินยอมพร้อมใจของเจ้าตัวเขาเอง ถ้าเขาพิจารณาแล้วเห็นว่าสมควร เขาเปลี่ยน นั่นก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ว่าถึงแม้มันเกิดจากคำแนะนำของเราก็ตาม

    อย่างเช่นว่าเขาปรารถนาที่จะไปพระนิพพานในชาติปัจจุบัน แต่เราตั้งใจจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ก็ชวนเขาตามกันไปเถอะ ก็มีอยู่อย่างหนึ่งคือว่า ทำให้เขาลำบากนานขึ้นหน่อยหนึ่ง แต่เราต้องรับผิดชอบเขาทั้งหมด เพราะคนที่ตามก็คือบริวาร ถึงเวลานั้นคุณก็ต้องไปคุ้ยแคะแกะเกา มันจะอยู่หลุมไหน ขุมไหน คุณก็ต้องตามจนกว่าจะเจอ สงเคราะห์มันให้ได้

    ถาม : ....ไม่ชัด...
    ตอบ: การอธิษฐานมันเป็นของเฉพาะตน แล้วแต่เขา เขามีสิทธิ์อธิษฐานได้ ไม่มีอะไรร้ายแรงเกินกว่าความตั้งใจ แต่ว่าสิ่งที่ตั้งใจนั้น ถ้าหากว่าไม่ดี เรารู้แน่นอนว่าไม่ดี เราเปลี่ยนให้มันดีได้...เออ...เห็นว่ามันมีสิ่งที่ดีกว่า เราก็เปลี่ยนให้มันดีกว่าได้

    ถาม : เป็นการเห็นแก่ตัวถ้าคิดให้เขาอยู่เพื่อช่วยเรา
    ตอบ: ถ้าอย่างนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกัน เพราะว่าเรื่องประเภทนี้มันอยู่แค่อายุขัยถึงเวลาก็ตาย ต่อให้คุณลากไว้ขนาดไหนก็ตาย ช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอก แต่ถามว่าเห็นแก่ตัวไหม? จะเรียกว่าเห็นแก่ตัวก็ใช่ ขณะเดียวกันต่อให้คุณเห็นแก่ตัวแค่ไหนมันก็ไม่สามารถที่จะฝืนอายุขัย หรือกฎของกรรมได้มากกว่านั้น ถ้าถึงวาระของมันจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องของพระสงเคราะห์ให้อยู่ต่อ หรือไม่ใช่ความปรารถนาของตัวเองที่เป็นผู้คล่องในอิทธิบาท ๔ และหวังจะอยู่ต่อ มันอยู่ไม่ได้หรอก เพราะว่าคนที่ทำได้ขนาดนั้น ก็ไม่มีใครเขาอยากอยู่กัน

    ถาม : พรหมของฮินดูมี ๔ หน้า ของเรามีหน้าเดียว
    ตอบ: จริง ๆ ๔ หน้าเขาหมายถึง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คำว่า พรหม หมายถึงผู้เป็นใหญ่ ผู้เป็นใหญ่ต้องมีเมตตา จิตประกอบด้วยความรัก รักเขาเหมือนกับตัวเราเอง กรุณา สงสารอยากช่วยเหลือให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตา พลอยยินดีเมื่อเห็นเขาอยู่ดีมีสุข แล้วก็อุเบกขา ถ้าหากว่าพยายามช่วยเต็มที่แล้วไม่สามารถช่วยให้เขาดีกว่านั้นได้ เราก็รออยู่ก่อน เพื่อรอช่วยในโอกาสหน้าต่อไป เขาก็เลยทำเป็นสัญลักษณ์ขึ้นมาว่ามีหน้า ๔ หน้า

    แต่จริง ๆ ก็คือว่า เป็นการประพฤติปฏิบัติ ๔ รูปแบบ แต่จริง ๆ ก็คือเทวดาสวย ๆ หน้าตาเหมือนกับพวกเราแต่งเครื่องทรงลิเก แต่ท่านสวยกว่าจนนับไม่ได้ พรหม หมายถึงผู้เป็นใหญ่ ผู้ประเสริฐ ถ้าตั้งแต่พรหมขึ้นไปนี่ อยู่คนเดียวแล้วไม่ต้องมีบริวาร วิมานใครวิมานมัน

    ถาม : นางฟ้ามีบริวารไหม ?
    ตอบ: มี นางฟ้าที่มีอานุภาพสูง ๆ บริวารบานเบิกไป ไม่ต้องไปเรียกร้องสิทธิสตรี โดยความเป็นจริงของโลกแล้ว ผู้หญิงบำเพ็ญบารมีมาน้อยกว่าผู้ชาย ถ้าหากว่าเป็นช่วงบารมีต้น บารมีกลางจะเกิดเป็นผู้หญิงตลอด พอเป็นบารมีกลางค่อนมาทางตอนปลาย ๆ จะเริ่มเกิดเป็นผู้ชาย ตอนเริ่มจะเป็นผู้ชาย มันจะมีนิสัยผู้ชายติดมา สมัยนี้ที่เขาเป็นพวกทอม แล้วพอจากผู้หญิงมาเป็นผู้ชายใหม่ ๆ นิสัยผู้หญิงยังติดมาอยู่ มันก็กลายเป็นพวกตุ๊ด จริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลก เรื่องปกติเลย แต่ว่ามีผู้หญิงอยู่บางประเภทที่ไม่ว่ายังไงก็เกิดเป็นผู้หญิง ต่อให้เป็นปรมัตถบารมีแล้ว อันดับแรกก็คือ ผู้ที่อธิษฐานมาตั้งใจจะเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์องค์ใดองค์หนึ่ง ต้องเกิดเป็นผู้หญิง อีกประการหนึ่งก็คือประเภทตอนเป็นผู้ชายแล้วเจ้าชู้มากเมีย จะโดนบังคับให้เกิดเป็นผู้หญิงตามแรงกรรม เพื่อจะได้รู้ซะบ้างว่าถึงเวลาแล้วคนอื่นเขาเป็นยังไง

    ถาม : ทำไมผู้ชายบางคนเหมือนบัวใต้น้ำ
    ตอบ: ก็อย่าลืมว่าคนเรามันไม่ได้ดีทั้งหมด เกิดนานก็จริง แต่ว่าการเกิดมันก็สั่งสมทั้งความดีความชั่ว ในเมื่อความชั่วทำมากกว่า แรงดึงของมันแรงกว่า เขาก็ต้องไปในกระแสสีดำของเขา ถ้าหากว่าความดีทำมากกว่า แรงดึงมีมากกว่าก็ไหลไปตามกระแสสีขาว จะว่าไปจริง ๆ คนเรามันไม่มีดี ไม่มีชั่วหรอก มีแต่ที่กำลังเป็นไปตามกรรมทั้งนั้น

    ถาม : ผู้หญิงสำเร็จอรหันต์เยอะ
    ตอบ: เยอะมาก ส่วนใหญ่คือคนทีทำมาเยอะกว่า ความถือตัวถือตนมันก็มาก ตัวมานะก็มาก ไม่ได้หมายความว่าสร้างบุญมาเยอะกว่าแล้วจะได้ดี กติกาต่ำสุ่ดของเขาก็คือ ถ้าคุณสร้างบารมีมา ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป คุณมีสิทธิ์บรรลุอรหัตผลในฐานะสาวกภูมิได้ แต่คุณจะสร้างมา ๔ แสน ๕ แสน แต่ถ้าไม่คิดจะทำความดี มันก็อยู่อย่างงั้นแหละ แล้วส่วนใหญ่มันดื้อกว่า

    ถาม : เข้าถึงนิพพานแล้ว บารมีถอย...?
    ตอบ: ไม่มี ไม่แต่ทำดีขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้ชั่วสุดชั่ว ท้ายสุดก็ไปนิพพานหมด สัตว์นรกในทุกขุม ท้ายสุดก็ไปนิพพานหมด เพียงแต่ระยะเวลามันยาวนานเหลือเกิน

    ถาม : ถึงทำชั่ว บารมีที่เกิดมาเป็นผู้ชาย...
    ตอบ: ไม่ได้ลดลง ถึงเวลามีสิทธิ์เกิดใหม่ เขาก็ยังคงเกิดอย่างนั้นอีก ถึงวาระที่กุศลของเขาส่ง เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำดี แล้วถ้าหากว่าส่งแบบองคุลีมาล เขาเรียกว่า อุปฆาตกรรมฝ่ายกุศล ตัดความชั่วทั้งหมดกลายเป็นพระอรหันต์ไปเลย

    ถาม : วิธีแก้ปัญหามี ๒ ทาง ตัดสินใจอย่างไร ?
    ตอบ: เขียนแผนผังขึ้นมาสิ ทำอย่างนี้ ถ้าเกี่ยวกับพ่อแม่ อันนี้ดีกับพ่อแม่ ไม่ดีกับพ่อแม่ เกี่ยวกันตัวเรา อันนี้ดีกับตัวเรา ไม่ดีกับตัวเรา เกี่ยวกับคนรอบข้าง อันนี้ดีกับคนรอบข้าง อันนี้ไม่ดีกับคนรอบข้าง เกี่ยวกับการปฏิบัติ อันนี้ดีกับตัวเรา อันนี้ไม่ดีกับตัวเรา ถ้ามันก้ำกึ่งกัน คุณก็ตั้งหัวข้อขึ้นมาเลย อันไหนดีกว่า เลือกอันนั้น ง่ายจะตาย เหมือนกับการประเมินผลตัวเอง

    ถาม : ไม่ได้ผลเป็นตัวเลข
    ตอบ: เราเองแค่ดีไม่ดีเท่านั้น อันไหนดีกว่าเราเลือกอันนั้น จะถึงขนาดเอารายละเอียดเป็นตัวเลขมันยาก โดยเฉพาะเรื่องทางกำลังใจ ประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้อยู่แล้ว ถึงประเมินเป็นตัวเลขได้ก็คงอ่านไม่ออก เจอประเภทอายุ ๑ กัปเท่าไร? ๑ อสงไขยเท่าไร? ตาย... ตั้งเลข ๑ ขึ้นมาต่อด้วย ๐ ๑๔๐ ตัว อ่านก็ไม่เป็น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ก็เดี้ยง

    ถาม : บุญ กับบารมีไม่เหมือนกัน ?
    ตอบ: จริง ๆ การสร้างบุญคือการสร้างบารมี การที่เราได้ทำความดีหรือความชั่วก็ตาม มันจะส่งผลให้จิตใจของเราเข้มแข็งมั่นคงขึ้น คนชั่วก็มีบารมีของคนชั่ว คนดีก็มีบารมีของคนดี มันเกิดจากการสร้างสม

    คราวนี้จะกล่าวไปแล้ว บุญกับบารมีแทบจะแยกกันไม่ออก คือเรายิ่งทำมากเท่าไร บารมีก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น เพราะยิ่งทำมาก แปลว่าจิตเราที่จะสละออกเพื่อตัดความโลภมันยิ่งมีมาก ในเมื่อยิ่งมีมากก็แสดงว่าบารมีคือกำลังใจของเราก็ยิ่งสูงขึ้น มันเกี่ยวกันจนแยกไม่ออก

    ถาม : หมดบุญได้ แต่บารมีไม่ถอย
    ตอบ: ไม่ถดถอย เขาหมดจากกำลังบุญส่วนนั้นก็จริง หมายถึงว่าคุณหาได้แค่นี้วันนี้ คุณกินไปใช่ไหม กินไปจนกระทั่งหมดแล้ว เราก็ต้องไปหาใหม่ แต่อายุของเราไม่ได้ลดลงนี่ เราก็แก่ไปเรื่อย ๆ อยู่ทุกวัน เงินเดือน เดือนนี้มาใช้หมดเกลี้ยงไปแล้ว เออไม่ใช่เราจะกลับเป็นเด็กใหม่ มันก็แก่เหมือนเดิม บารมีคือกำลังใจ ตัวบุญคือ สิ่งที่เราสร้างสมมา ยิ่งสร้างสมบุญมากเท่าไร บารมีด้านดีก็ยิ่งมากเท่านั้น

    ถาม : บารมีด้านชั่วมีหรือ ?
    ตอบ: โห คนทำชั่ว ลองไปยืนใกล้ ๆ มัน บางทีเราขาสั่นน่ะ กำลังใจของเขาที่ไปในด้านนั้น มันใช้กำลังใจเหมือนกัน เพียงแต่มันใช้ไปคนละทางเท่านั้นเอง

    ถาม : กำลังใจ หรือบารมี มี ๒ อย่าง ด้านดีกับชั่ว
    ตอบ: ประเภทกลาง ๆ ไม่มี กลาง ๆ จะมีตอนเข้านิพพานแล้ว

    ถาม : ด้านชั่วกับด้านดีเท่า ๆ กัน ลักษณะคล้าย ๆ กันไหม ?
    ตอบ: ก็คล้ายกัน คือเป็นผู้นำก็มีความเด็ดขาด

    ถาม : ในหลวงเคยถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ทานบารมีตัวเดียวไปนิพพานได้ไหม ?
    ตอบ: ทำไมจะไม่ได้ ได้อยู่แล้ว มันอยู่ที่ว่าใครจะเริ่มด้านไหน พอเราเริ่มตัวหนึ่ง อีก ๙ ตัวได้ควบกันไปด้วย เราจะให้ทาน เราต้องรู้ว่าผลของการให้ดีอย่างไร ตัวนี้เป็นปัญญาบารมี คนจะให้ได้จิตต้องประกอบไปด้วยเมตตาเป็นปกติ ก็มีเมตตาบารมี คนที่มีเมตตาบารมี ศีลก็ทรงตัวเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะไม่คิดจะเบียดเบียนใคร ก็มีศีลบารมี ไล่ไปเหอะ ๑๐ ตัวอยู่ครบ ตัวเองเริ่มมายังไงก็เอาตัวนั้นเป็นหลัก อย่างพวกเรามาด้านทานบารมี มันก็มีหน้าที่อย่างเดียวคือ ตั้งหน้าตั้งตาให้ไป

    ถาม : พระมหากษัตริย์สมัยก่อนรบกัน สั่งฆ่าคนมาก ได้มรรคผลไหม ?
    ตอบ: พลาดเมื่อไรก็ลงนรก ไม่เหลือหรอกจ๊ะ ไม่ต้องสมัยก่อนหรอก สมัยนี้ก็เหมือนกัน ถ้าสั่งฆ่าก็ไปเหมือนกัน เราทำอะไรเรารับอันนั้น แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว บรรดาพระมหากษัตริย์ต่าง ๆ เอาเป็นว่าบูรพมหากษัตริย์ของไทยเราก็แล้วกัน ตอนช่วงท้าย ๆ มักจะเลี้ยวเข้าวัดเข้าวาถือศีลปฏิบัติธรรมกัน บางคนก็สละอาวุธถวายเป็นพุทธบูชา เอาดาบเป็นราวเทียนบ้าง บวชบ้าง สร้างกำลังใจของตัวให้เข้มแข็ง ได้ฌานสมาบัติขึ้นมา กรรมมันตามไม่ทันชั่วคราว ก็เผ่นไปเป็นพรหมเป็นเทวดาก่อน พอเป็นพรหมเป็นเทวดาฉลาดขนาดนั้นแล้ว เรื่องอะไรจะเลี้ยวลงมา ก็พยายามสร้างกุศลต่อไป ก่อนจะหมดอายุก็หาทางเล็งแล้ว จะลงไปสร้างบุญต่อตรงจุดไหน

    คราวนี้เขาอยู่ในความเป็นทิพย์ ก็รู้ตลอดว่าถ้าเราลงตรงจุดนั้น เราจะได้พบอย่างนั้น เราจะได้ทำอย่างนั้น ถึงเวลามันดีกับเรา เราไม่ต้องไปใช้หนี้เก่า เราหนีมันต่อไป อย่างอาตมานี่ไม่ได้ใช้มาเป็นพัน ๆ ยุคแล้วจ้ะ หนีมันไปเรื่อย จนกระทั่งบริสุทธิ์ถึงที่สุด หนีไปนิพพาน ก็กลายเป็นอโหสิกรรมไป บริสุทธิ์ถึงที่สุด กรรมทุกอย่างก็เป็นอโหสิกรรมไป ทำอันตรายเราไม่ได้

    ถาม : ถ้าหนีไม่พ้น
    ตอบ: หนีไม่พ้น ก็ลงไปข้างล่าง คราวนี้ก็เจอดอกทบต้น ต้นทบดอก เริ่มต้นกันใหม่ แต่คราวนี้สิ่งที่ตัวเองทำไปทุกอย่าง ถ้าหากว่าลงไปข้างล่าง เขาคิดทีเดียว กี่ชาติมาก็ตาม คุณมาใช้ซะดี ๆ ก็อาจจะเจอนรกทุกขุม เปรตทุกจำพวก อสุรกายทุกจำพวก ฆ่าเขาไว้มากก็เจ็บป่วยบ่อย เรื่องของธรรมะเขาตรงไปตรงมา

    แต่คราวนี้มีอยู่จุดหนึ่งว่า ก่อนตายจิตเราเกาะอะไร ถ้าจิตเราเกาะชั่ว ลงไปรับความชั่วก่อน ถ้าจิตเราเกาะดี ก็ไปรับความดีก่อน แล้วหลังจากนั้นของคุณเองจะไปท่าไหน ก็ต้องไปหาช่องทางกันเอง

    ถาม : ลงไปแล้ว ความดีที่ทำไว้ยังอยู่
    ตอบ: อยู่ ขึ้นมาก็เสวยผลของความดีไป

    ถาม : บารมีด้านดีเข้มแข็ง ถ้าไปทำความชั่ว
    ตอบ: ได้ไปกระฉูดเลย อย่างพวกเรา สมัยก่อนเคยไปต่อว่าท่านย่า บอกย่าครับ ผมไปแอบดูบุญเก่าผมมาแล้ว ให้ผมเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังไม่สมกับบุญที่ผมทำไว้เลย แล้วชาตินี้ให้ผมแค่เนี้ยะ ท่านบอกไอ้หน้าอย่างเอ็ง ถ้ารวยก็เลว เสร็จแล้วท่านบอกว่า ลองคิดดูสิลูก ชีวิตนี้สิ่งที่เคยอยากได้ แล้วเจ้าไม่ได้มีไหม ? เราก็นึกย้อนไป เออ...จริง ของที่เราอยากได้ไม่ช้าก็เร็วเราต้องได้ ก็เลยบอกว่าไม่มีครับย่า ถ้าผมอยากได้จริง ๆ ไม่ช้าหรือเร็วมันก็ต้องได้ ท่านบอกว่า แล้วยังไม่พอใจอีกหรือ กำลังใจของพวกเจ้าน่ะเข้มแข็งเกินไป ถ้าหากว่าเป๋ มันจะเป๋กระฉูดไปเลย มันจะไปด้านเดียว ไม่มีตรงกลาง เพราะฉะนั้นก็เลยต้องบล็อกกันเอาไว้ก่อน ถ้ากำลังใจเริ่มดีขึ้นก็จะค่อย ๆ คืนมาให้ ให้มันเยอะทีเดียวไปยาวเลย มันก็จะไปรัก โลภ โกรธ หลง เอาชื่อเสียงลาภยศกับเขา มันไม่สนใจจะเข้าวัดเข้าวาหรอก

    ถาม : ถ้าคนที่มีกำลังใจด้านชั่ว
    ตอบ: เขาเลี้ยวกลับนิดเดียวเท่านั้นเอง เขากลายเป็นคนดีไปเลย อย่างพวกที่เล่นไสยศาสตร์ ถ้ากลับมาทำดีหน่อยเดียวก็กลายเป็นพวกได้อภิญญาไปเลย เพราะกำลังใจมันเท่ากัน เพียงแต่ใช้ผิดวิธีเท่านั้น
    ถาม : สรุปว่ากำลังใจเข้มแข็ง ทำได้ทั้งความดีความชั่ว
    ตอบ: มันอยู่ในทาน ศีล ภาวนา เหมือนกัน กำลังใจเข้มแข็งอย่างเดียวยังไปไม่ได้จ้ะ ปัญญามันต้องเกิดรู้แจ้งเห็นจริง ทำให้สภาพจิตมันยอมรับความเป็นจริงนั้นได้ ก็ไปนิพพานได้ ส่วนใหญ่มันไม่ยอมรับ มันยังยึดว่าตัวกูของกูอยู่

    ถาม : ฝันเห็นรูปพระ แต่ไม่ชัด
    ตอบ: ไม่จำเป็นเลยจ้ะ ถ้าฝันเห็นพระได้ แสดงว่ากำลังใจของเราเกาะอยู่ในด้านดีมากกว่าด้านชั่ว พระพุทธหรือพระสงฆ์เหมือนกัน ฝันเห็นพระ ฝันเห็นนิมิตในสิ่งที่ดีงาม แสดงว่ากำลังใจเราเกาะในด้านดีมากกว่าด้านชั่ว ถือว่าเป็นมงคลใหญ่อยู่

    ตอนที่เราฝันน่ะ เป็นกำลังใจที่แท้จริงของเรา ตอนที่เรามีสติสัมปะชัญญะ เราอาจจะควบคุมกำลังใจของเราให้อยู่ในด้านดีได้ แต่ถ้าเผลอสติเมื่อไร มันอาจจะชั่วไม่รู้ตัว ตอนหลับเป็นตอนที่เราเผลอซะส่วนใหญ่ เพราะคนที่จะทรงกำลังใจชนิดหลับและตื่น รู้ตัวเสมอกันนั้นมันหายาก ในเมื่อขณะทีเราหลับ เป็นเวลาที่เราปล่อยกำลังใจของเราตามปกติของมันแล้วเรายังเกาะแต่สิ่งที่ดี ๆ ได้ ก็คือว่าเป็นส่วนที่น่าพอใจ
    ถาม : อยากจะรู้ภาพที่เห็น...
    ตอบ: ยังงั้น พอถึงเวลาฝันใหม่อีกที แล้วถามท่านว่าท่านเป็นใคร

    บางอย่างเป็นนิมิตที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ อาตมาเคยเห็นสถานที่หนึ่งอยู่ ๓๐ กว่าปี เห็นอยู่แทบทุกคืน แล้วก็เพิ่งจะเจอไปเมื่อไม่นานมานี้เอง ช่วงประมาณ ๑๐ กว่าปีนี้เอง ลักษณะเหมือนกับว่าเราฝันว่า เราหนีศัตรูอยู่ ถ้าหนีไปถึงตรงนั้นเมื่อไรนี่แปลว่าเรารอดแน่ เพราะว่าเราจะชำนาญสถานที่นั้นมาก พวกศัตรูจะไม่ชำนาญเท่ากับเรา เราจะหนีชนิดทวนน้ำตกขึ้นไป แล้วก็ไปซ่อนอยู่ในถ้ำหลังน้ำตก ซึ่งไม่มีใครหาเจอ

    ตอนแรกเราก็สงสัย สถานที่นี้จะมีจริงหรือเปล่าหว่า ? ทำไมเราเห็นมันได้ทุกคืน ตั้งแต่เด็กพอรู้ความเห็นแล้ว แล้วก็เลยพยายามที่จะหาอยู่ว่ามันอยู่ที่ไหน ไปเจอเข้าตอนนั้นไปเที่ยวน้ำตกพุม่วง อู่ทอง ตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจมันหรอก คือมันไม่คุ้นตา แต่ตอนจะกลับปวดปัสสาวะ ก็เลยย่องไปทางด้านหลัง ไปแอบปัสสาวะอยู่องค์เดียว พอไปถึง เอ๊ะ... ทำไมที่มันคุ้นตานักหว่า นึกไปนึกมา เฮ้ย...เราฝันเห็นอยู่เอง เนี่ย...ตรงนี้เองแหละ เสร็จแล้วก็เดินไปดู ดูรอบบริเวณภูมิประเทศ ทุกอย่างเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าส่วนที่เป็นน้ำตกมันไม่มี เป็นหน้าผาลงมาเฉย ๆ ก็เลยไปถามชาวบ้านว่า ตรงนี้เป็นน้ำตกมาก่อนรึเปล่า? เขาบอกว่าทุกวันนี้ก็ยังเป็นน้ำตกอยู่ แต่ว่าหน้าแล้งมันแห้ง เพราะว่าเขาทำลายป่าข้างบนมากไปหน่อย ก็เลยเพิ่งจะรู้ว่าที่เราฝันเห็นอยู่ทุกวันมีจริง ๆ

    ถาม : สามารถเชื่อใครได้เต็มที่หรือไม่ เป็นเพราะกรรมหรือเปล่า ?
    ตอบ: ไม่ใช่หรอก มันอาจจะเป็นตัวปัญญาเลยก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าแม้แต่ท่านเทศน์อะไรก็อย่าเพิ่งเชื่อ จนกว่าจะทำตาม แล้วได้ผลตามนั้นก่อนแล้วค่อยเชื่อท่าน การเชื่อท่านสอนไว้ในกาลามสูตร ที่จงอย่าเชื่อ ๑๐ หัวข้อด้วยกัน อย่าเชื่อโดยเขาเล่าสืบ ๆ กันมา อย่าเชื่อเพราะสมณะนี้เป็นครูของเรา อย่าเชื่อเพราะมีกล่าวอ้างไว้ในตำรา อย่าเชื่อเพราะว่าตรงแล้วเข้ากับทิฏฐิของตน ท่านบอกเอาไว้หมด

    พระสารีบุตรโดนพระปุถุชนอื่น ๆ ตำหนิ เพราะพระพุทธเจ้าท่านถามว่า สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร สิ่งที่ตถาคตกล่าวมา เธอเชื่อหรือไม่ พระสารีบุตรบอกยังไม่เชื่อพระเจ้าข้า เท่านั้นแหละ โดนเป็นชุด พระพุทธเจ้าต้องถามต่อว่า ทำไมพระสารีบุตรถึงไม่เชื่อ ท่านบอกว่าต้องปฏิบัติได้ก่อนว่าสิ่งนั้นทำได้จริงหรือไม่ ถ้าทำได้จริงถึงจะเชื่อ ถ้ายังไม่ได้ลองปฏิบัติจะยังไม่เชื่อก่อน

    ถาม : เป็นวิจิกิจฉารึเปล่า ?
    ตอบ: มันไม่ใช่ คนละอย่าง ตัววิจิกิจฉามันลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติ มันไม่ได้มอบกายถวายชีวิตให้จริง ๆ เรื่องเชื่อมันละส่วนกัน

    ถาม : ....ไม่ชัด...
    ตอบ: ไม่ใช่ ท่านทำของท่านได้แล้ว ในเมื่อทำได้แล้ว ญาณคือเครื่องรู้ มันเกิดขึ้น ยืนยันแล้ว่าความรู้นี้ถูกต้องจริง เพราะฉะนั้นสิ่งอื่น ๆ ที่พระพุทธเจ้ากล่าวมา ก็ต้องเป็นจริงตามนั้น ท่านถึงเชื่อ การปฏิบัติมันจะมีอุปกิเลสอยู่ มันจะมีตัวหนึ่งที่เรียกว่าญาณ คือเครื่องรู้ ถ้าปฏิบัติไปถึงระดับของมันแล้ว มันจะรู้ คำว่าอุปกิเลส คือ ใกล้จะเป็นกิเลส อุปะ แปลว่า ใกล้ ใกล้จะเป็นกิเลส พอเครื่องรู้เกิดขึ้นแล้วเราไปยึดว่า เออ...กูเก่ง กูดี กูรู้แล้วอะไรอย่างนี้ มันก็จะเป็นกิเลสเลย แต่ถ้าเรามีสติรู้อยู่ว่ามันเป็นเครื่องอาศัยเท่านั้น เป็นของแถมที่ได้มาจากการปฏิบัติเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นแค่อุปกิเลส คือใกล้จะเป็นกิเลส แต่ยังไม่ใช่ ยึดมันเมื่อไร เป็นเมื่อนั้น

    คราวนี้ญาณเครื่องรับรู้ตัวนี้มันเกิดขึ้น มันแจ่มแจ้งมาก มันรู้เลยว่าผลที่ปฏิบัติมาทุกอย่างเป็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ในเมื่อสิ่งที่สอนมาแค่สุกขวิปัสโก ยังเป็นจริงขนาดนี้ เรื่องเตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ก็ต้องจริงด้วย ท่านก็มอบกายถวายชีวิตให้กับพระศาสนา ให้กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลย ตอนนั้นเชื่อจริง ๆ แล้วเพราะทำได้ผล

    ถาม : เอารูปพระสงฆ์ไว้สูงกว่าพระพุทธ
    ตอบ: ก็จริง ๆ แล้วไม่สมควร ในพระนิพพานจริง ๆ แล้วไม่มีการแบ่งเขาแบ่งเรากัน คือทุกคนที่เข้าไปในพระนิพพาน แปลว่าจิตบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงแล้ว แต่คราวนี้มีอยู่ตัวหนึ่งว่าบารมีแต่ละคนที่สร้างสมมามันต่างกัน ถ้าเราขึ้นไปอธิษฐานขอให้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ก็อาจจะเห็นว่าของท่านอยู่ปะปนกันไปหมด องค์โน้นเล็ก องค์นี้ใหญ่ แต่ถ้าหากว่าอยากรู้ว่าจริง ๆ แล้วเป็นยังไง ท่านก็จะจัดลำดับให้ดู

    อย่างเช่นว่า นี่เป็นพระพุทธเจ้า นี่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นี่เป็นพระอรหันตสาวก เป็นอัครสาวก เป็นมหาสาวก เป็นปกติสาวก แต่ถ้าหากว่าในสมมติของโลกเราแล้ว เราไม่ควรที่จะทำอย่างนั้น เพราะว่าอย่างไรเสีย พระสงฆ์ก็คือลูก จึงไม่สมควรไว้สูงกว่าพ่อ

    ถาม : ก็มันกฎแห่งกรรม ถ้าคุณสร้างกรรมเอาไว้เยอะ ไม่เคยสร้างทานบารมีคุณก็ไปหล่นปุ๊ที่มุมนั้น พวกฮวงจุ้ยอะไรต่าง ๆ มันเกิดจากบุญ จากกรรมของเราเหมือนกัน คนทำดีไว้จริง ๆ ก็ได้ที่ดีทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องเลือก

    ตอบ: แล้วฮวงจุ้ย (ไม่ชัด)
    ถาม : มีอยู่ ก็อย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีพลังงานของมันอยู่ โดยเฉพาะกระแสพลังงานของโลก ตำราฮวงจุ้ยก็คือ กระแสแม่เหล็กโลก อย่าลืมว่าฮวงจุ้ยนี่เขายึดทิศเหนือลงใต้ กระแสแม่เหล็กโลกก็วิ่งแนวเหนือใต้เหมือนกัน

    ตอบ: (ไม่ชัด)
    ถาม : เรื่องของแรงบุญนี่ตัวอย่างชัด ๆ ก็คือ มเหสีพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกมหาราชท่านมีนางแก้ว คือ เทวดาเอาจากอุตตรกุรุทวีปมาถวายให้ อุตตรกุรุทวีป ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่าดาวพลูโต

    คราวนี้นางแก้วนี่บุญท่านมาก พระเจ้าอโศกมหาราชมีมเหสีอยู่ตั้งห้าพัน ต้องใช้คำว่าสนม มีอยู่ห้าพัน ทุกคนก็อิจฉามารศรีเป็นที่ยิ่ง ทำไมถึงโปรดคนนี้เป็นพิเศษอย่างนี้ พระเจ้าอโศกมหาราชก็คงรำคาญ ก็เลยสั่งพวก วิเสทหลวงคือพวกพ่อครัว ไปปั้นขนมมาเท่าจำนวนคน ไม่รู้เหมือนกันเป็นพวกขนมต้มขนมโคหรือเปล่า ? ก็ต้องไปทำมาห้าพันกับอีกหนึ่งลูก ท่านถอดธำมรงค์ให้กับพ่อครัว บอกว่าซุกไว้ในขนมลูกใดลูกหนึ่งแล้วก็ไปนึ่งให้สุกพอซุกเสร็จเรียบร้อยไปนึ่งให้สุกแล้วก็ยกออกมา พระเจ้าอโศกมหาราชประกาศต่อพระมเหสี และสนมกำนัลทั้งหมดว่า ใครก็ตามหยิบขนมลูกที่มีพระธำมรงค์ของพระองค์ท่านอยู่จะตั้งให้เป็นพระมเหสีเอก พูดง่าย ๆ ตอนนี้ประเภทไล่ลดปลดออก ยศเท่ากันทุกคน ใครสามารถล้วงขนมลูกที่มีแหวนขึ้นมาได้ก็จะให้เป็นพระมเหสีเอก คราวนี้ก็แร้งลงห้าพันกว่าคน มึงก็อยากได้ กูก็อยากได้ มเหสีท่านจริง ๆ ท่านนั่งรอ รอจนเขาหยิบไปหมดเหลืออยู่ลูกเดียว ท่านก็ไปหยิบมามันก็อยู่ลูกนั้นแหละ

    ในเรื่องบุญมันแข่งกันไม่ได้ ถึงวาระถึงเวลาสมควรจะได้มันได้ของมันเอง ที่ท่านต้องทำอย่างนั้นเพราะอยากจะประกาศบุญให้รู้ว่าที่ตั้งองค์นี้เป็นมเหสี เพราะบุญเขาดีกว่าพวกเธอตั้งหลายเท่า แต่ไปบอกตรง ๆ เขาก็ไม่ยอมรับก็ต้องแสดงออกอย่างนี้ คนมันเลือกไปมีโอกาสจะได้ตั้งห้าพันครั้งยังไม่ได้ พระเจ้าอโศกมหาราชทำเอาคนรุ่นหลัง ๆ หน้าแตกยับเยิน ท่านสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุพุทธบูชา เสร็จแล้วก็วางแก้วมณี รู้จักแก้วมณีมั้ย? โคตรเพชร เอาไว้ทางประตูทางเข้าจารึกเอาไว้เลย กาลต่อไปข้างหน้าพระราชาองค์ใดที่มีฐานะยากจน ไม่มีสิ่งใดที่จะถวายบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สมพระเกียรติยศ ก็จงถือเอาแก้วมณีนี้ไปถวายบูชา

    คราวนี้หายสงสัยรึยังว่าทำไมโคตรเพชรสารพัด จึงได้มีอยู่แต่ที่อินเดีย พระเจ้าอโศกมหาราชท่านทิ้ง ๆ ไว้ให้ ให้เอาไปบูชา แต่แทนที่เอาไปบูชาพระบรมสารีริกธาตุ โน้น! อังกฤษครองเมืองมันยึดส่งเจ้านายมันหมด (หัวเราะ)

    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...