ฉบับที่ ๗๐ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย MBNY, 19 มกราคม 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504


    ช่วงแรกของเล่ม "กลางดงควันปืน" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    ถาม: ลอยได้ขนาดนั้น ผ้าห่มเปียกไม่เอาไปโชว์ทำให้มันแห้งครับ

    ตอบ: อย่าลืมว่าเขาเพิ่งจะเริ่มภาวนาโสตัตตะภิญญา ซึ่งเป็นการรวมอภิญญาทั้งหมด ถ้าคล่องจริง ๆ ถึงจะอธิษฐานใช้กสิณอะไรก็ได้ คราวนี้ยังไม่คล่องตัวแค่เริ่มขนาดเอาเตียงไปมันยังลอยสูงไม่ได้ เราไป ๆ แค่ตัวทุกที ไปทำใหม่ง่ายออก รู้วิธีแล้วไม่ยากหรอก คราวนี้จะเห็นว่าท่านที่ทำจริง ๆ มันเดินซ้ำรอยกัน เมื่อกี้พูดถึงหลวงพี่อาจินต์ใช่ไหม อาตมาพูดถึงตรงนี้ คนหนึ่งพูดตั้งนานเนกาเลแล้ว อีกคนหนึ่งพูดตรงนี้แล้วมันไปคล้าย ไปเหมือนกันอีท่าไหนใช่ไหม เพียงแต่ตอนนั้นของเรายังไม่ได้ไปเล็งตรงจุดนั้น ก็เลยฟังแล้วผ่าน ๆ หูไป พอมาฟังใหม่ก็บอกเหมือนกัน ถ้าคนทำเหมือนกัน ก็เหมือนกันนั่นแหละ

    ถาม : แสดงว่าหลวงพี่อาจินต์ ก็เจ๋งจริงสิครับ

    ตอบ: ไม่รู้เหมือนกัน จริงไม่จริงไปไล่ถามท่าน บีบคอเอาเองก็แล้วกัน อย่าลืมว่าท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน อาตมาก็เป็นลูกศิษย์ท่านเอง ลูกศิษย์มันยังไม่ได้ขนาดนี้ อาจารย์ท่านคงพูดได้ดีกว่าเยอะ

    ถาม : ใครมีเทปบ้างครับ ?

    ตอบ: เสียใจด้วย คราวนี้พกมาเอง หรือไม่ก็จำเอา หลวงพ่อท่านสอนเสมอว่านักปฏิบัติที่ดีกระดาษกับปากกาให้ใกล้มือไว้เสมอ ถึงเวลามีอะไรจะได้จดทัน

    ถาม : การถือศีล ๘ เวลาทำงานต้องผัดหน้าทาปาก ทำตัวให้ดูดี

    ตอบ: การผัดหน้าทาปากเขาไม่ถือว่าผิดศีลนะจ๊ะ ศีล ๘ ที่เขาห้ามแต่งตัว ความหมายที่แท้จริงก็คือ แต่งเพื่อไปยั่วกิเลสฝ่ายตรงข้ามเขา ในเมื่อเราเองเจตนาอย่างนั้นไม่มี เคยแต่งตัวมาจนชิน หรือว่าถ้าหากว่าไม่ได้แต่งตัวการเข้าสังคมจะเก้อเขินก็แต่งไปเถอะ เพราะเจตนามันคนละเรื่องกัน เพียงแต่เรารู้ก็แล้วว่าเราเองมันแย่เต็มทีแล้ว ถึงขนาดต้องอาศัยเครื่องสำอางมาช่วย เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามีสติรู้อยู่ว่าร่างกายมันไม่ดีแต่งไปเถอะ

    ถาม : แล้วเรื่องนอนที่สูงล่ะคะ คือเคยฟังว่าหลวงพี่บอกว่าคืบหนึ่งใช่ไหมคะ ?

    ตอบ: ที่นอนสูง ที่นอนใหญ่ ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี บาลีท่านตีความว่าคืบหนึ่งนั้นจริง ๆ แล้วมันไม่เกี่ยวหรอก จะเกี่ยวตรงที่ว่าเรานอนแล้วติดในสัมผัสนั้นไหม บางทีเรื่องของที่นอนเรื่องของหมอน เรื่องของอะไร ก็ตาม บางทีเวลาเรานอนแล้วมันจะไปนึกถึงสัมผัสของเพศตรงข้าม อย่างเช่นถ้าหากว่าเจอที่นอนนิ่ม ๆ เข้า ผู้ชายอาจจะนึกถึงเนื้อผู้หญิงอะไรอย่างนี้
    สำคัญอยู่ตรงจุดนี้ เรื่องของการแต่งตัวก็ดี เรื่องของที่นอนสูงที่นอนใหญ่ก็ดี ถ้าหากว่ามีศีลข้อนี้บกพร่องลงไปมันไม่มีโทษลงนรก ต้องเรียกว่าธรรมะพร่อง ไม่ต้องเรียกว่าศีล ตั้งแต่ข้อที่ ๖ ขึ้นไปคือมันพร่องไปแล้ว ส่วนของธรรมะมันจะหยาบ ถ้าเราสามารถที่จะทำได้โดยที่จิตของเราไม่มีการยึดติด สละปล่อยทิ้งไปเลยก็ดี หรือว่าขณะเดียวกันเรานอนที่นอนสูงหรือที่นอนใหญ่ บางคนถ้าหากว่านอนพื้นอาจจะเจ็บเนื้อเจ็บตัว บางคนกระดูกเยอะไปหน่อย ถ้าไม่มีที่นิ่ม ๆ บ้างจะเจ็บ โดยเฉพาะกระดูกสะโพกกดดกับพื้น ถ้าเป็นประเภทนี้นอนไปเถอะไม่มีปัญหาอะไร บอกแล้วส่วนของธรรมะมันพร่อง แต่ไม่ใช่ศีลขาด

    ถาม : แล้วดวงจิตกับดวงใจล่ะคะ ?

    ตอบ: “จิต” กับ “ใจ” จริง ๆ แล้วเป็นตัวเดียวกัน แต่บางตำราเขาว่า “จิต” กับ “ใจ” เป็นคนละอย่างกัน ก็จะแปลว่า “ใจ” หมายถึง จิตแท้ดั้งเดิม ส่วน “จิต” ในความหมายของเขาคือ อาการเคลื่อนไปของมัน อันนั้นมันยุ่ง เราก็แค่ดูว่าความคิดของเรา คิดดีคิดชั่วอย่างไร แล้วควบคุมมันก็เท่านั้นเอง

    ถาม : แล้ววิธีควบคุมทำอย่างไรคะ ?

    ตอบ: อยู่กับลมหายใจเข้า-ออก ควบคุมได้ดีที่สุดเลย หลุดเมื่อไหร่เจ๊งเมื่อนั้น

    ถาม : ไม่ต้องไปดูความเคลื่อนไหวอะไร ?

    ตอบ: ไม่ต้องเลย เสียเวลา ถ้าใจยังเกาะอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก สติจะอยู่กับปัจจุบันเฉพาะหน้า จิตมันก็ไปไหนไม่รอดหรอก มันก็ติดอยู่ตรงนั้นแหละ

    ถาม : ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติจริงต้องขอขมาทุกวันหรือเปล่าคะ ?

    ตอบ: จริง ๆ ก็คือว่าทุกอย่างที่เราทำนี้เราไม่รู้ว่ามันเป็นโทษ ตราบใดที่จิตเรายังหยาบกับส่วนนั้นอยู่ เราอาจจะคิดว่ามันดีและถูกแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นการกราบขอขมาพระทุกวันควรทำ

    ถาม : หลวงพี่เป็นพระถือศีลหลายข้อ สมมุติว่าเคยไปเห็นมาบางครั้ง ฆราวาสเวลาทำบุญกับพระเยอะ บางครั้งเขาจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาบงการพระได้ เห็นอย่างนี้แล้วไม่ชอบใจ หลวงพี่มีวิธีจะวางจิตวางใจหรือพูดกับคนพวกนี้อย่างไร ?

    ตอบ: สำหรับอาตมาก็จะว่าตรง ๆ เลย ถ้าเราเป็นพระเห็นว่าโยมเขาทำแล้วไม่ถูกต้อง ถ้าเราต้องการจะแก้ไขให้ถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดโทษกับเขามากกว่านั้น เราก็บอกเขาไปตรง ๆ แต่ถ้าเราเป็นฆราวาสก็อย่าไปแตะได้ล่ะดี ถ้าหากว่านักบวชยังไม่รู้ตัวยอมให้ฆราวาสบงการ ก็ไปด้วยกันนั่นแหละ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย

    ถาม : มีบางทีที่เราปฏิบัติ นั่งสมาธิไปอะไรก็ตาม แต่เหมือนกับคุยกับตัวเอง เป็นทั้งด้านธรรมะบ้า งบางทีก็เป็นเสียงหลวงพี่บ้าง หรือเสียงที่เคยฟังจากเทปบ้าง แล้วเวลาเรามีคำถามเสียงอันนี้จะกลับมาเตือนเรา ๆ จะรู้ได้อย่างไรว่าเราไม่ได้ถูกหลอก

    ตอบ: จำไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเป็นภาพก็ดี เป็นเสียงก็ดี รับรู้เอาไว้แต่ว่าอย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าหากว่ามันมีผลดี หรือว่าเป็นไปตามที่เขาบอก หรือเป็นไปตามที่เห็นก็เชื่อแค่ตอนนั้น ถ้าหากว่าเสียงหรือภาพที่ปรากฎเกิดขึ้นอีกในครั้งต่อไป ต่อให้อยู่ลักษณะอารมณ์เดียวกันก็อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าเราน้อมใจเชื่อเลยจะมีโทษ

    ถาม : คาใจจังเลยค่ะหลวงพี่ ผู้หญิงในพุทธศาสนานี่ต่ำต้อยด้อยค่ามากเลยหรือ ?

    ตอบ: ไม่ใช่ เพียงแต่ว่าเรื่องของพุทธศาสนา ระยะแรกพระพุทธเจ้าท่านห้ามบวชภิกษุณี เพราะท่านรู้ว่าถ้าหากว่ามีผู้หญิงอยู่ด้วยพระศาสนาจะตั้งอยู่ไม่นาน เราสังเกตไหมว่านี่ขนาดท่านห้ามแล้วนะ ปัจจุบนี้ภิกษุณีก็ไม่มีอยู่ในวัดแล้ว แต่ยังไปลากเอาฆราวาส ลากเอาแม่ชีมา จนกระทั่งเป็นข่าวเป็นคราวไปขนาดนั้น แล้วถ้าหากภิกษุกับภิกษุณีบวชอยู่ด้วยกัน อยู่ในอาวาสเดียวกัน โอกาสที่จะเสียหายมันมีมหาศาล ถ้าต่างฝ่ายต่างยังเป็นปุถุชนอยู่

    ในเรื่องของการบำเพ็ญบารมีจริง ๆ บุคคลที่เกิดเป็นผู้หญิงจะอยู่ในระหว่างอุปบารมีเท่านั้น ถ้าเป็นอุปบารมีขั้นปลายจะเริ่มเกิดเป็นผู้ชาย แสดงว่าการบำเพ็ญบารมีมันห่างกันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ว่ามีผู้หญิงบางประเภท ประเภทแรกก็คือ คู่บารมีของพระโพธิสัตว์ หรือบุคคลที่เกิดมาเพื่อเป็นพระมารดาพระโพธิสัตว์ที่จะจุติเป็นพระพุทธเจ้า และอีกประเภทหนึ่งก็คือ ผู้ชายที่ทำผิดในเรื่องกาเมสุมิจฉาจารเอาไว้มาก ก็จะโดนบังคับให้เกิดเป็นผู้หญิง ประเภทนั้นท่านจำเป็นต้องเป็นผู้หญิง ต่อให้เป็นปรมัตถบารมีก็ต้องเป็น แต่ประเภทสุดท้ายนี้กรรมมันจะบังคับให้เป็น เพื่อที่จะได้รู้เสียบ้างว่าเป็นผู้หญิงแล้วเป็นอย่างไร คราวนี้จะเรียกว่า ต่ำต้อยอะไรมันก็ไม่ใช่ แต่ว่ามันเป็นไปตามกรรมเท่านั้น

    ถาม : แล้วในส่วนของพระนิพพาน ผู้หญิงก็ไปได้ใช่ไหมคะ ?

    ตอบ: ไปได้เยอะกว่า มหาศาลเลย

    ถาม : อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องกาย อย่างดีคงไม่ไปทุบใคร อาจจะขวางไปบ้าง ธรรมดาปากก็ระวังได้บ้าง แต่ใจนี่มันจะทวนของเก่าอยู่เรื่อย ๆ แม้ว่าคน ๆ นั้นเขาก็ดีกับเราแล้ว แต่เราก็มีความรู้สึกเหมือนกับมันทวน มันอึดอัดอะไรไปหมด

    ตอบ: อันนี้เขาเรียกว่า วิหิงสาวิตก ยังนึกตรึกอยู่ในการที่จะเบียดเบียน เป็นตัวโทสะตัวหนึ่ง แต่มันเป็นส่วนละเอียด จริง ๆ แล้วเราน่าจะดีใจว่าตอนนี้ส่วนหยาบที่ออกมาทางกาย ออกมาทางวาจาของเราเหลือน้อย มันก็จะเหลือแต่ส่วนละเอียดทางใจเท่านั้น ส่วนละเอียดทางใจตัวนี้เหมือนกับว่าเราตัดต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งล้มลงไปได้แล้ว เราจะไปประมาทว่าเราสามารถโค่นมันได้แล้วไม่ได้ เพราะเรายังไม่ได้ขุดรากถอนโคนของมัน ถ้าขุดลงไปแล้วจะรู้ว่าบางรากของมันมากกว่ากิ่งข้างบนอีก และยิ่งขุดไปรากมันก็ยิ่งเส้นเล็กลง ๆ เท่ากับว่ามันละเอียดขึ้น เบาบางขึ้น

    แต่ขณะเดียวกันสภาพจิตของเราละเอียดก็เลยคิดว่ามันหนักหนาสาหัสเหมือนเดิมนั่นแหละ จริง ๆ แล้วมันดีขึ้นมากแล้ว ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป ก็ถอนมันไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวรากมันก็หมด ตั้งใจแผ่เมตตาให้ ถ้ากำลังใจตีกลับก็ให้คนที่เรารักมากก่อน พอให้คนที่เรารักมาก จนกำลังใจมั่นคง ก็ให้คนที่เรารักน้อย แล้วก็ให้คนที่ไม่รักไม่เกลียด แล้วให้คนที่เราเกลียดน้อย แล้วให้คนที่เราเกลียดมาก ไล่ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวใจมันมั่นคงเอง

    ถาม : ในทางโลกกับทางธรรมนี่ สมมติว่าบางทีทางธรรมจะมาเตือนเหมือนกันว่าอะไรที่เป็นของเราก็เป็นของ ๆ เราวันยังค่ำ แต่ว่าเป็นคนที่คิดช้า ผู้ใหญ่เรียกไปถามว่าอยากอยู่ที่ไหน หรืออะไรอย่างนี้ บางครั้งถ้าเราไม่ได้คิดก่อนก็คิดไม่ได้

    ตอบ: ก็คิดไปสิ ใครจะว่าอะไร แต่ให้คิดแค่นั้นอย่าไปฟุ้งซ่านต่อ อย่างเช่นว่าเราคิดเป็นการเตรียมการไว้ก่อน พยายามควบคุมจิตให้มันจบลงแค่การคิดตรงช่วงนั้น ถ้าหากว่ามันจบแล้วก็ให้จบเลย มีคำตอบแล้วก็โน้ตไว้ในสมองเรา หรือโน้ตเอาไว้ในกระดาษก็ได้ ส่วนหลังจากนั้นแล้วเราก็ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดอีก เอาเหตุผลอะไรที่เตรียมไว้ให้พร้อม ถ้าเกิดท่านถามขึ้นมาอีกว่าเป็นเพราะอะไรที่อยากไปอยู่ตรงนั้น

    ถาม : แล้วทุกอย่างมันมีบวกมีลบล่ะคะ ?

    ตอบ: ก็ใช่น่ะสิ ก็ถึงบอกว่าต้องหยุดให้เป็น คิดได้แต่หยุดคิดให้เป็น ถ้าคิดแล้วหยุดคิดไม่เป็น เราเองจะลำบาก

    ถาม : หลวงพ่อคะ พิจารณาคำภาวนา และภาวนาคำว่า รูปัง พิจารณารูปเป็นอารมณ์ แล้วก็พิจารณาสังขารอย่าไปยึดติดสังขาร

    ตอบ: ถ้าหากว่าความเป็นทิพย์ของใจตอนนี้มันบอกว่าเราควรทำอย่างไร ก็ทำตามนั้น เพียงแต่ว่าให้พยายามเอาสติสังเกตอยู่ด้วย ว่ามันออกนอนกแนวทางของพระพุทธเจ้าท่านไหม ถ้าหากว่ามันภาวนาแล้วตอนนั้นจิตใจมันสงบดี พิจารณาแล้วปัญญามันเกิดดีก็ทำตามนั้นไป แต่ถ้าหากว่าทำแล้วรู้สึกว่ามันจะออกนอกลู่นอกทางมากเกินไป ก็เลี้ยวมาเอาของเก่าเราต่อ จำไว้ว่าต้องของเก่านะ เรื่องของอธิษฐานแปลว่า ตั้งใจให้มั่นคง เพราะฉะนั้นรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง เราก็เปลี่ยนได้ ก็แค่เปลี่ยนความตั้งใจแค่นั้นเอง

    ถาม : ทันทีที่จิตเรากำหนดไปบนพระนิพพานแล้ว เห็นเป็นดวงแก้วทั้งตัวเราด้วย เหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านให้เราลงมาดูในแต่ละชั้นจนถึงนรกแล้ว แผ่ส่วนกุศล ทำให้ตัวเองบางช่วงอยู่ ๆ ก็ไม่รู้สึกตัวเหมือนกัน ทำไมเราถึงไม่มีแรงไปช่วงสองสามวัน

    ตอบ: บางทีเราใช้กำลังสมาธิสูงเกินไปจะมีผลกับร่างกายเหมือนกัน บางทีกำลังของเรายังไม่มีพอที่จะทำอย่างนั้น เหมือนกับคนไปโหมงานหนักซะทีเดียว

    ถาม : มันไปเองนะคะ

    ตอบ: จ้ะ มันไปเอง เพราะฉะนั้นถึงเวลาบอก พอ ๆ ๆ ขืนไปต่อเดี๋ยวฉันแย่

    ถาม : การทำงานกับผู้มีปัญญามาก เราตามไม่ทันล่ะคะ ?

    ตอบ: ถ้าปัญญามากยังไม่พอ ถ้ากำลังท่านสูงนี่ยิ่งหนักใหญ่

    ถาม : เจ้านายค่ะ กิจที่ท่านทำบางทีเราตามไม่ทันค่ะ

    ตอบ: ให้ถาม บอกว่าอันนี้หนูไม่ไหวค่ะ ขอคำอธิบายหน่อย

    ถาม : แล้วเราต้องทำตัวไหนเพิ่มไหมคะ นอกจากเอาสติมาควบคุม

    ตอบ: สำคัญที่สุดขาดสติ ปัญญาก็ไม่มี สติกับปัญญาต้องสม่ำเสมอ ถ้าปัญญาเกินสติจะบุ่มบ่ามทำอะไรโฉ่งฉ่างไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง แต่ถ้าสติเกินปัญญาเมื่อไหร่เหมือนกับคนขี้กลัว ไม่ค่อยกล้าตัดสินใจ ไม่ค่อยกล้าทำอะไร กลัวผิดพลาด ฉะนั้นสองอย่างต้องให้สมดุลกัน ต้องให้พอเพียงกัน

    ถาม : แทนที่ปัญญาเกิด เราไม่มีสติไปคุยกิจการงานให้คนที่ต้องประสานงานได้

    ตอบ: เจ๊งไปเลย เดี๋ยวคนเขาว่าเราเพี้ยนด้วย

    ถาม : จะให้เร็วกลายเป็นช้า พอมันละเอียดขึ้นนี่เราต้องโจทย์โทษตัวเอง พิจารณาทุกวันใช่ไหมคะ บางทีสติมันเหมือนหลุดค่ะ

    ตอบ: มีใครบ้างที่ไม่หลุด แม้กระทั่งพระอรหันต์ท่านก็หลุด แต่ท่านจะหลุดด้านอื่น ท่านจะไม่หลุดในด้านระมัดระวังดูจิตดูใจ แล้วก็ไม่หลุดในด้านความมั่นใจเลยว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของท่านแน่

    ถาม : สังขารที่มันกำลังเจ็บป่วย มันก็ทำให้เราพิจารณาว่าเรายิ่งไม่ควรยึดมั่นถือมั่นกับตัวร่างกาย ไม่ยึดติดในกายและสังขาร

    ตอบ: การเจ็บป่วยจริง ๆ มันเป็นอย่างไรล่ะ ต้องใช้คำว่าเป็นลาภอันประเสริฐ

    ถาม : ให้เราได้พิจารณาใช่ไหมคะ ?

    ตอบ: ใช่ ฉะนั้นที่บอกว่า อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐนั้นไม่ใช่นักปฏิบัติ ถ้าเป็นนักปฏิบัตินี่ความมีโรคภเป็นลาภอันประเสริฐ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ดีแล้วเกิดกับเรา ในแง่ของธรรมะเป็นส่วนที่ดีที่สุด ดีตรงที่ว่าอย่างไร ๆ เราก็จะได้รู้ว่าโลกนี้ ร่างกายนี้ มันไม่จริงแท้แน่นอน ไม่ต้องให้ใครมาตอกย้ำ มันแสดงให้เห็นชัด ๆ เลย เรื่องอย่างนี้หาซื้อด้วยเงินเท่าไรก็ไม่ได้ คนไม่ป่วยลองให้หาสตางค์ไปซื้อดูสิ จะได้โรคมาสักกี่โรคล่ะ

    ถาม : เวลาทำวัตรสวดมนต์ ถ้าเราไม่ออกเสียงได้ไหมคะ ?

    ตอบ: ได้ ไม่มีปัญหาอะไร จะออกเสียงหรือไม่ออกเสียงอยู่ที่เรา ยกเว้นทำกับส่วนรวมก็ให้ออกเสียงตามเขาไป เพื่อคนบางประเภทที่ไม่รู้จักดูความผิดตัวเอง ดูแต่ความผิดคนอื่น เห็นเรานั่งเงียบอยู่ มันไม่รู้หรอกว่าสวดในใจ จะตำหนิอย่างเดียว ถ้าอยู่กับส่วนรวมเพื่อเขาทำไปเถอะ ถ้าอยู่คนเดียวสวดในใจไปสามวันสามคืนก็ไม่มีใครว่า

    ถาม : ไม่ต้องแปลก็ได้ใช่ไหมคะ ?

    ตอบ: ไม่ต้องจ้ะ

    ถาม : ที่พิจารณาจีวรนั้น เวลากลางวันไม่ต้องใช่ไหมคะ ?

    ตอบ: ของฆราวาสไม่มี การพิจารณาเป็นของพระ เราเรียกว่า อภิณหปัจจเวกขณ์ เป็นสิ่งที่พระต้องพิจารณาเนือง ๆ เป็นของพระไม่ใช่จองโยม แต่ว่าโยมสามารถทำได้ อย่างเช่น พิจารณาว่าเรากินอาหารนี้ ไม่ได้กินเพื่อความอ้วนพีของร่างกาย ไม่ได้กินเพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ ไม่ได้กินเพื่อจะยั่วราคะให้มันเกิดขึ้น กินก็เพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้ อยู่พอให้ไม่มีทุกข์ เพื่อจะได้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น พิจารณาเรื่องของเสื้อผ้าก็เหมือนกัน เราแต่งตัวเพื่ออะไร เพื่อปิดบังความอาย เพื่อป้องกันความร้อน ความหนาว เพื่อป้องกันยุง เหลือบ ริ้น ไร ไม่ได้ปรุงแต่งเพื่อจะยั่วเพศตรงข้าม เรื่องของที่อยู่อาศัย เรื่องของอะไรก็เหมือนกัน สรุปมาลงตรงที่ว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเราก็จบแล้ว

    เพียงแต่ว่าจุดตรงนี้มันสรุปลงยากมากก็เลยต้องใช้วิธีที่อ้อมโลกไปเรื่อย ๆ ก่อน เหมือนกับยุทธวิธีทางทหารที่เรียกว่า ม้ากินสวน เคยรู้จักไหม ถ้าเรียนเสธมาน่าจะเคยเจอ คือค่อย ๆ เลาะ ค่อย ๆ เล็มไปทีละนิด ๆ กว่าเขาจะรู้ตัวก็ได้ไปเยอะแล้วอย่างนั้นแหละ มีกลฤทธิ์ กลสีหจักร กลลักษณ์ซ่อนเงื่อน กลเถื่อนกำบัง กลพังภูผา กลม้ากินสวน ฯลฯ อะไรพวกนั้นเป็นยุทธวิธี ๑๖ อย่าง

    ถาม : ทางด้านการทหาร เป็นอะไรที่ไม่รับเลย เรียนหมวดอื่นยังพอรู้เรื่องบ้าง

    ตอบ: มันต้องรุ่นของหมอนพพร รุ่นของหมอนพพรนี่เสียหายหลานแสนเลย ปกติทหารบกเขาแบ่งออกเป็น ๑๖ เหล่า เวลาเรียนเสนาธิการแล้ว เหล่าที่ควรจะสอบได้ที่ ๑ จะต้องเป็นพวกราบ พวกม้า พวกปืน คือพวกนี้ยุ่งอยู่กับการรบโดยตลอด ปรากฎว่ารุ่นของหมอนพพร หมอแกได้ที่ ๑ แกไปรบกับใคร นั่นแหละ พวกนี้บางอย่างเอามาใช้ในการปฏิบัติธรรมได้ เรื่องของม้ากินสวนก็เหมือนกันค่อย ๆ แทะ ค่อย ๆ เล็มไปเรื่อย ๆ

    ถาม : ถ้าสมมติจิตบอกว่าเราไม่ได้ยึดตรงสังขาร แต่ถ้าผู้มีพระคุณเราก็มีความปรารถนาดี ต้องดูแลสังขารด้วยนะ ก็ถ้าปฏิบัติธรรมเมื่อรู้อดีตแล้ว ต้องดูแลหรือเปล่าคะ ?

    ตอบ: จำไว้ว่าสภาพร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา มันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ที่เรายืมโลกมาใช้ชั่วคราวเท่านั้น มารยาทของการยืมต้องรักษามันให้ดีที่สุด ที่รักษามันให้ดีที่สุดคือเพื่อบรรเทาเวทนาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย เพื่อไม่ให้จิตของเราไปพะวักพะวงอยู่กับมัน จะได้ปฏิบัติธรรมได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่ใช้มันให้แหลกให้พังไปเลย อย่างนั้นแหละผิด เราดูแลมันตามหน้าที่เท่านั้น ถึงเวลาได้ส่งคืนมันไปอย่างชนิดที่บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ในเมื่อเขาให้ยืมมาเราก็รักษาให้ดีที่สุด ถึงเวลามันจะตายจะพังไม่กเกี่ยวกับเราแล้ว เราทำดีที่สุดแล้ว

    ถาม : แต่ถ้าเราไม่ได้สนใจ ในทางวิทยาศาสตร์จะได้ไหมคะ ?

    ตอบ: จริง ๆ แล้ว ก็ยังผิดอยู่ เพราะในเรื่องของพรหมวิหาร เราต้องเมตตากับตัวเองก่อน ถ้ายังไม่เมตตาตัวเอง จะไปเมตตาคนอื่นไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นถ้าหากรักเมตตาตัวเอง มันก็จะรักเมตตาคนอื่นได้ รักตัวเอง สงสารตัวเอง ไม่อยากตกไปในที่ชั่ว ก็รีบตั้งหน้าตั้งตาทำดี ต้องเมตตาตัวเองก่อน อะหัง สุขิโต โหมิ นิททุกโข โหมิ เคยสวดไหม จริง ๆ แล้วเขาให้ทำไม่ได้ให้สวด อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข ถ้าไม่ทำแล้วมันจะมีไหม อะหัง นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากทุกข์ เคยสวดไหม เรื่องของเมตตาให้ทำ ไม่ใช่ท่องจำไว้ ท่องให้ตายหากสภาพจิตไม่ยอมรับก็ยังไม่เป็นหรอก อย่างเก่งก็ได้สมาธิ ปัญญามันไม่เกิด เคยไปท่องเหลวไหลกับเขามาหลายยกแล้วใช่ไหม ไม่รู้เลยว่ามันทำอย่างไร เขาสุขิโต โหมิ เราก็สุขิโตกับเขาด้วย
    ถาม : ปกติบทนี้ไม่ค่อยได้ท่อง เพิ่งมาท่องตอนนี้ ทำสมาธิเจอเวทนามาก ๆ ตกลงอย่างไรก็ไม่ทราบ ไปเจอ ก็เลยลองเมตตาตัวเองก่อนว่าทำอย่างไร แต่เป็นบทที่จำไม่ค่อยได้เลย แผ่เมตตาให้ตัวเอง

    ตอบ: คนที่เขาคิดขึ้นมานี่เขาไม่ได้เข้าใจเลยว่ามันต้องทำ ไม่ใช่ท่องจำ ในเมื่อเขาคิดว่ามันสมควรจะท่องเขาก็เลยบัญญัติขึ้นมาเป็นคำ ฟัง ๆ แล้วมันตลก ๆ
    ถาม : บางทีต้องเตือนสติตัวเองค่ะ เมื่อทำอะไรไม่ดีต้องเมตตาตัวเองก่อน
    ตอบ: อันนั้นได้จ้ะได้ อันนั้นท่องไปเถอะจ้ะ
     
  2. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    ถาม: จำเป็นไหมคะ เวลาปฏิบัติไปเยอะ ๆ แล้วต้องเรียนอภิธรรมด้วย

    ตอบ: ไม่จำเป็นจ้ะ เรื่องของอภิธรรมเป็นธรรมะที่ยากมาก พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เทศน์อภิธรรมให้คนฟัง ท่านเทศน์ให้พรหมให้เทวดาฟัง จะมีธรรมะอยู่ ๒ หมวดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเฉพาะคนทั่วไปคือ หมวดอภิธรรม อภิธรรม ๗ บท ท่านสอนพรหม สอนเทวดา และมหาสติปัฏฐานสูตร สอนเฉพาะชาวแคว้นกุรุ ชาวแคว้นกุรุเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว ปัญญาเขาสูงมาก อุตรกุรุทวีปนี่ดาวพลูโตนะ

    เพียงแต่ว่าสมัยหนึ่งที่โลกมีพระเจ้าจักรพรรดิ เมื่อปราบไปถึงอุตรกุรุทวีป ท่านก็จะกวาดต้อนประชาชนของเขามาไว้ที่ชมพูทวีปนี้ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงพระราชอำนาจ ถึงเขาจะมาอยู่ร่วมกับเราก็ดี แต่เผ่าพันธุ์ของเขา นั่นพูดง่า ยๆ ก็คือต้องมีความแตกต่างกัน ในเมื่อความแตกต่างของเขามีอยู่ ปัญญาและสมองของเขาจะเหนือกว่าของเรามหาศาล ถ้าเราไปจัดมหาสติปัฏฐานสูตร ถ้าพ้นบรรพแรกไปแล้วจะรู้เลยว่าละเอียดขึ้น ๆ จนเราเกาะไม่ติด ถ้าไม่ใช่ตั้งใจทำจริง ๆ เกาะไม่ติด เพราะว่าท่านเอาไว้สอนผู้ที่มีปัญญาขนาดนั้น

    ดังนั้นถ้าหากว่าปฏิบัติไป ถ้าทำดีจริงทำถูกจริง เอาแค่หมวดเดียวก็พอ ถ้าหมวดเดียวเข้าใจ พื้นฐานเดิมมีอยู่จะเข้าใจทั้งหมด

    ถาม : หมวดเดียวนี่ หมวดไหนคะ ?

    ตอบ: หมวดไหนก็ได้ อย่างเช่น อานาปานสติ หมวดเดียวอย่างเดียวก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตาอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก พิจารณาไปอย่างเดียวเลย หรือว่าจะเอาพุทธานุสตินึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ทุกอย่างกำลังสูงสุดจะเหมือนกัน เปลี่ยนแต่วิธีการนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าพื้นฐานเดิมมีอยู่ หมายความว่าชาติก่อน ๆ เคยทำมาแล้ว มีความแตกฉานเชี่ยวชาญมาบางส่วน หรือว่าพื้นฐานเดิมจะเป็นปฏิสัมภิทาญาณอยู่ ได้บทเดียวมันก็ได้หมดนั่นแหละ

    ถาม : ไปแต่ละที่ ก็ไม่เหมือนกันค่ะ

    ตอบ: ไม่เหมือน ที่ไม่เหมือนเพราะว่าส่วนใหญ่เรียนไม่จบ ไม่ใช่เรียนไม่จบ เรียนไม่หมด ในเมื่อเรียนไม่หมดถึงเวลาเขาถนัดอันไหนเขาก็เอาอันนั้น ถึงแม้ว่าจะเรียนหมดเรียนครบก็ตามจะมีสิ่งที่ท่านชำนาญเป็นพิเศษอยู่ หรือไม่เหมือนยังกับว่าส่วนนั้นควรที่จะเอาขึ้นมาเพื่อที่จะมาเป็นเครื่องหมายการค้า เช่น สำนักวัดปากน้ำท่านก็จะใช้อาโลกสิณ คือการจัดดวงแก้วเป็นเครื่องหมายการค้าใช่ไหม อย่างของหลวงพ่อก็จะใช้มโนมยิทธิ เพราะฉะนั้นจึงแตกต่างกัน เหมือนอย่างกับเปิดร้านอาหาร ถนัดทำอาหารแบบไหนก็ต้องเอาอันนั้นออกมา คนจะชอบกินหรือไม่ชอบกิน เดี๋ยวเขามาเอง ถ้าหากท่านที่เรียนครบถึงเวลาอาหารรสนี้ในร้านนี้ไม่ได้ทำ ก็จะแนะนำว่าร้านไหนเก่ง เดี๋ยวก็ให้ไปกินที่โน่น ร้านอื่นในโลกนี้ไม่มีก็เรียบร้อยล่ะ อยู่ใต้กะลาใบเบ้อเร่อ เลยโดนครอบ

    ถาม : ถ้าบุญที่เราทำมาแล้ว ในชาตินี้เราเอามาใช้ทำกิจด้วยหลายกิจ บุญมันถูกพร่องไปหรือไม่ ถ้าความดีที่เรามาเติมไม่พอ

    ตอบ: บุญไม่มีคำว่าพร่อง

    ถาม : ไม่พร่อง แต่เหมือนเราจะไปติดหนี้ไหมคะ ?

    ตอบ: ไม่ติดหรอกจ้ะ การที่เราอธิษฐานก็ดี บนบานศาลกล่าวก็ดี มันเหมือนกับภาชนะอันนี้ที่เราสะสมบุญเอาไว้ ถ้าสมมติว่าเราขาดอยู่เพียงแค่นี้ เราขอด้วยการตั้งใจว่าจะทำความดี ในลักษณะเหมือนกับบนว่าถ้าหากว่าเราได้สำเร็จแล้ว เราจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านที่เป็นพระ เป็นพรหม เป็นเทวดา เห็นว่ามันขาดแค่นี้เองเติมให้มันก่อนก็ได้ เดี๋ยวมันก็ไปทำดีแน่ ๆ อยู่แล้ว ก็ช่วยให้ แต่ถ้าว่าเราขาดมากท่านเติมให้ไม่ไหวเพราะฉะนั้นสิ่งที่เราขอมันก็จะไม่สำเร็จ ของเรามันไม่ได้พร่อง ไม่ได้ไปไหนหรอก แต่ต้องทำเพิ่มเท่านั้นเอง

    ถาม : ท่านคะ อรสานี่คิดใบ้หวยงานนี้งานแรก คุณ....เกิดวันที่ ๙ ตายวันที่ ๙ อายุ ๙๐ ปี เวลา ๑๙.๐๐ น. สาก็จะไปบอกทุกคนเลยค่ะ ปรากฎว่าหวยมันกินเรียบเลยค่ะ วันหลังไม่ริจะใบ้หวยแล้วค่ะ

    ตอบ: ไม่ต้องใบ้จ้ะ จำไว้ว่าคนเราทำบุญมาไม่เสมอกัน เมื่อทำบุญมาไม่เสมอกัน ถ้าคนที่ไม่ได้ทำบุญร่วมกันมามีส่วนอยู่ในนั้นด้วย มันจะไม่ได้กินหรอก เพราะฉะนั้นถ้าคนรู้น้อยมันจะได้ โดยเฉพาะเรื่องของหวยอย่าให้มันเกินบุญ คำว่าอย่าให้เกินบุญก็คือว่า ถ้าเกิดเราเคยเล่นถูกแค่ ๒๐ บาท ก็อย่าไปเล่นเกิน เล่นเกิน ไม่ได้กินหรอก ถ้าเคยถูก ๕๐ บาท ก็อย่าให้เกิน ๕๐ บาท ส่วนใหญ่แล้วจะโลภ

    อันนี้ต้องดูตัวอย่างลุงปาน สมัยที่อยู่บึงลับแล ลุงปานแกคอยแบเสบียงแบข้าวของเข้าไปให้ เราเองก็สงสารแก แก่ก็แก่และต้องขึ้นเขาลงห้วยตั้งหลายสิบลูกมันก็ไม่ไหว แกไปแบกของให้เราก็ไม่ได้ทำงานทำการและเสียงานด้วย ก็เลยใช้วิธีเขียนตัวเลขทิ้งไว้ข้างกองไฟ พอลุงปานแกเห็นแกก็ย่องไปซื้อ คราวนี้ตัวเลขมันสามตัว มันก็ไม่แน่นอน แกก็กลับไปกลับมา ตัวไหนเล่นมากไม่ถูกหรอก ตัวไหนเล่นไม่เกิน ๕๐ บาท ลุงจะได้ ลุงปานแกก็หงุดหงิดมากเลย แหม! อาจารย์บอกตรง ๆ ก็ไม่ได้ แล้วก็ถามว่าบอกตรง ๆ แล้วจะทำอย่างไร แกบอกว่าจะเล่นล้มเจ้ามือ เจริญเลยเดี๋ยวเจ้ามือก็มายิงกระบาลข้าเท่านั้น

    คราวนี้ปรากฎว่ามันพอดีช่วงใกล้ปีใหม่ เขาก็นัดกับท่านแสง ตอนนั้นท่านแสงยังไม่ได้บวช นัดกันว่าเดี๋ยววันที่ ๒๙ เราไปหาอาจารย์กัน ท่านแสงก็รับปากดิบดีเลย เตรียมข้าวเตรียมของไว้ ปรากฎว่าเข้าไปวันที่ ๒ ลุงปานก็ไม่ว่าแบกของเข้าไป พอไปถึงเห็นเราเขียนไว้ข้างกองไฟ ๓ ตัวตรงเป๊ะเลย ลุงปานโกรธมากไม่พูดกับท่านแสงไปตั้งครึ่งปี เขาบอกว่าถ้าหากว่าท่านแสงไม่ผิดนัดยังไงงวดนี้เขาได้แน่ ๆ เลย ลองคิดดูบุญคนก็แล้วกัน มันมีเหตุ ในเมื่อบุญของเขาทำมาแค่นั้น ได้เกินไม่ได้ มันก็มีเหตุให้เขาพลาดไปจนได้ ตอนนที่ตัดสินใจ เอาละว่ะให้มันสักที อดอีก อันนั้นเลิกแล้ว ปกติแล้วจะไม่ให้ใคร เพราะหลวงพ่อท่านสั่งห้ามเอาไว้ แต่ว่างานนั้นเพราะว่าสงสารลุงเขาจริง ๆ แก่ก็แก่และต้องขึ้นเขาลงห้วย เดินไปที ๒-๓ ชั่วโมง กว่าจะถึง แบกของไปอีกต่าง หาก เสียการเสียงานไปหมดทุกอย่าง แกก็ยังอุตส่าห์ตามไปสงเคราะห์ กลัวพระจะอดอย่างนี้

    ถาม : .......................................

    ตอบ: พระที่ถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าท่านอยู่มานานจนถึงระยะหนึ่งให้สังเกตเรื่องรูป ถ้าไม่เคยทำมาก่อน แล้วอยู่ ๆ สร้างรูปแทนตัวเมื่อไหร่ เห็นไปเร็วทุกรายเลย เคยสังเกตไหม หลวงพ่อท่านสร้างรูปใหญ่ของท่านสูงตั้ง ๔ เมตรครึ่ง แล้วก็สร้างรูปเล็ก แล้วปีรุ่งขึ้นท่านก็ไป เท่าที่ดู ๆ มาอยู่กันไม่เกิน ๓ ปี สักราย รูปหล่อหลวงพ่อรุ่นนี้สำคัญตรงข้างหลังหน่อยหนึ่งคือ จะมีชนวนส่วนที่หล่อสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ ชนวนก็คือพ่อที่เขาเจาะรูตอนที่จะเททองเพื่อให้เนื้อโลหะวิ่งถึงกัน ส่วนที่เป็นฟองอากาศจะโดนไล่ออกทางด้านนั้น และโลหะบางส่วนมันก็จะออกไปด้วย มันก็จะยาวอยู่ เขาเรียก ชนวน ท่านให้ตัดชนวนนั้นเป็นชิ้นเล็ก ๆ มาแปะอยู่ข้างหลังรูป

    ถาม : .............................................

    ตอบ: เดือนที่แล้ว กลับจากที่นี่ไปพม่า ไปตรวจงาน งานก่อสร้างวัดไทยที่พม่า ปีนี้ฝนมันดีเป็นพิเศษ จนกระทั่งเดือนธันวาแล้ว ฝนยังไม่ค่อยอยากจะหมดเลย นั้นทางที่จะไป มันก็เลยเละเป็นพิเศษเหมือนกัน บอกไม่ถูกว่ามันเละขนาดไหน ระยะทางประมาณ ๑๐๐ กิโล ใช้เวลา ๒ วัน กับ ๑ คืน ต้องค้างคืนกลางทางคืนหนึ่ง ผลัดกันฉุด ผลัดกันลาก ผลัดกันเข็น เอ็งติด ข้าก็ลากให้ ข้าติด เอ็งก็ลากให้ สะใจมาก (หัวเราะ)

    ถาม : แล้วขากลับล่ะครับ ?

    ตอบ: เหมือนกัน ไม่ได้ดีกว่าเดิมเลย ก็ไปสองอาทิตย์ มีเวลาทำงานแค่ไม่กี่วัน คราวนี้ตอนไปก็ไม่มีปัญหา ก็เป็นอันว่า ออกเดินทางวันนี้ ก็ต้องไปรอรถอยู่วันหนึ่ง พอได้รถมาก็วิ่งไปเถอะ ของเราไม่ได้ติดหรอก คันอื่นมันติด ก็ต้องไปลากมันออก เพราะว่าทางมันแคบ ๆ แค่รถไปได้แค่นั้น ทางประเทศพม่านี่ หาดียาก ขนาดทางลาดยางดี ๆ ของเขานี่ มันโดนประมาณแสนกว่า ๆ ของบ้านเรา เวลารถจะหลีก จะแซงกันนี่ ต้องเอาล้อลงข้างทางคนละครึ่ง มันถึงจะไปได้ สร้างใหญ่ไม่ได้ เดี๋ยวสตางค์หมด ไม่มีอะไรไว้กิน สร้างเล็กเท่าไหร่ ก็เหลือเยอะเท่านั้น ถนนในป่า ก็คือถนนป่าจริง ๆ ถ้าหากว่าเป็นหน้าแล้ง ก็ฝุ่นท่วม ชนิดที่รถวิ่งไปก็เลี้อยไปเลย เพราะว่าฝุ่นมันหนานี่ ล้อรถมันเกาะไม่ได้ มันก็ต้องเลื้อย บังคับรถไม่ค่อยได้หรอก แต่ถ้าหน้าฝน มันก็กลายเป็นปลักควาย ที่เขาบอก ถนนเหมือนเตาขนมครกนะ เตาขนมครกดีกว่าเยอะเลย เพราะว่า เตาขนมครกเป็นหลุม ๆ ยังเป็นระเบียบใช่มั้ย ? ไอ้นี่มันไม่เป็นระเบียบเลย (หัวเราะ) ต้องไปค้างคืน คืนหนึ่ง

    แล้วคราวนี้ปีนี้ เป็นเรื่องที่หน้าอเน็จอนาถสำหรับเรา อำเภอด่านเจดีย์สามองค์ของพม่า มีรถไทยที่ขโมยเข้าไป ตกค้างอยู่ประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ คัน เพราะว่าตอนนี้ รัฐบาลพม่ากำลังใจไทยเนื่องจากไทยยอมโยกย้ายทหารตามที่เขาต้องการ แล้วนายกรัฐมนตรียังไปลงทุนเกี่ยวกับการคมนาคม พวกโทรศัพท์มือถือ จะสร้างถนนฟรี ๆ ให้เขาตั้ง ๒-๓ สาย เขาก็เลยเอาใจ ในเมื่อขอให้เขาจัดการเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด เรื่องของการขโมยรถ มันก็เลยปิดด่านเจดีย์สามองค์ไว้ รถมันก็เลยขึ้นลงไม่ได้

    ในเมื่อขึ้นลงไม่ได้ เขาก็เลยใช้วิธีพลิกแพลง เพราะว่าทางพม่านี่ ถ้าหากว่าทำทะเบียนรถ สมมุติว่าซื้อรถมา ๑ แสนบาท ค่าทะเบียนคือ ๑ แสนบาท เท่านตัวหนึ่งของค่ารถ เขาก็เลยใช้วิธีพลิกแพลง เพราะว่าทางพม่าเขามีหลายเผ่า หลายชนชาติรวมกัน เขาก็พลิกแพลงไปทำทะเบียนมอญบ้าง ทะเบียนกะเหรี่ยงบ้าง เจ้าพวกนี้มันจะเรียกว่า เป็นทะเบียนเถื่อนก็ว่าได้ คือจะเป็นที่ทางทหารมอญ ทหารกะเหรี่ยง เขาออกให้ มีสิทธิ์วิ่งอยู่ได้เฉพาะในเขตของเขา ถ้าพ้นเขตแล้วเขาไม่รับผิดชอบ ถ้าหากว่าจะเอาป้ายทะเบียนกลาง อย่างที่รัฐบาลกลางออกให้ วิ่งได้ทั่วประเทศก็จริง แต่มันแพงสาหัส เขาก็ใช้วิธีนี้ ปี ๒๕๒๔ โกเต็ง เดินทางมาที่ด่านเจดีย์สามองค์เพื่อหาช่องทางทำกิน

    ตอนนั้นเงินพม่า ๑ จั๊ต แลกเงินไทยได้ ๒ บาท เงินเราเล็กกว่าเขาเท่าหนึ่ง ปัจจุบัน ณ วันนี้ พ.ศ. นี้ เงิน ๑ บาท แลกได้ ๒๘ จั๊ต (หัวเราะ) ระยะเวลาแค่ ๒๐ กว่าปีรัฐบาลพม่าสามารถทำให้บ้านเมืองล่มจมไปได้ขนาดนั้ น ความสามารถสูงจริ งๆ ปี ๒๔-๔๖ เท่าไหร่ ? ๒๒ ปี ทำให้บ้านเมืองที่พูดง่าย ๆ ว่า ค่าเงินแข็งกว่าไทย ๑ เท่าตัวกลายเป็นอ่อนกว่าไทย ๒๘ เท่าได้
    คราวนี้ลำบากอาตมาซิ วัดนี้ไปสร้างให้เขาตั้งแต่ ๑ บาทแลกได้ ๖ จั๊ต ข้าวของตอนนั้นเราก็ว่าแพงนะ หิน ๑ ลำเรือ ราคา ๑๙,๐๐๐ จั๊ต เมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่ผ่านมา หิน ๑ ลำเรือ ราคา ๑ แสนจั๊ต จากหมื่นเก้า เป็น หนึ่งแสน มันขึ้นไปเท่าไหร่ ? ๕ เท่าตัวได้ เพราะรัฐบาลมันบ้า รู้ว่าตัวเองจะอยู่ไม่ได้ หาคะแนนนิยมขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ๕๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นะ ๕๐๐ เปอร์เซ็นต์

    ตอนสมัยเข้าไปใหม่ ๆ มีอาจารย์เขาจบปริญญาโท เป็นอาจารย์อยู่โรงเรียนมัธยม ก็มาคุยกัน พวกนี้เขาจะเก่งภาษาอังกฤษ ก็คุยกันรู้เรื่อง ถามเขาเงินเดือนเท่าไหร่ ? เขาบอก ๑,๒๐๐ เราถามว่าบาทหรือ ? ไม่ใช่ ดอลล่าร์หรือ ? ไม่ใช่ ๑,๒๐๐ จั๊ต ตอนนั้น ๒๐๐ บาทไทย ตอนแรกเราได้ยินว่ามีอาจารย์จบปริญญาโท ปริญญาเอก ลาออกไปเป็นกรรมกรที่สิงคโปร์ ก็ว่าทำไมมันไม่รักดีเอาเสียเลย ขนาดจบปริญญาโท ปริญญาเอก ไปเป็นกรรมกรสิงคโปร์ พอรู้ว่าเงินเดือนของเขาแค่ ๒๐๐ บาทไทย เฮ้ย ! เอ็งรีบลาออกไปอีกคนเถอะ (หัวเราะ) หมดเรื่องหมดราวไปเลย ถึงว่าคนของเขาต้องการมาประเทศเรามาก เพราะว่า ๒๐๐ นี่บ้านเรา ทำกันวันสองวันมันก็ได้แล้ว แต่อยู่บ้านเขานี่ทั้งเดือน จบปริญญาโททำงานทั้งเดือน ได้เท่ากับเมืองไทยทำแค่สองวันสามวัน เป็นเรา เราก็เอา แล้วเงินสิงคโปร์ใหญ่กว่าเราตั้งเยอะ ไปอยู่ที่นั่นมันก็ต้องได้มากกว่า ถ้าหากว่า เขาขึ้นให้ ๕-๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เชื่อว่าเขาดีใจกันตายแล้ว เพราะว่าเงินเดือนมันไม่เคยขึ้นมาเลย

    ตอนช่วงที่ไปใหม่ ๆ ตอนนั้นผู้หมวดกันยุ้นท์ เขาเป็นทหารเรือ พาไปเที่ยวกัน เราก็ เออ...เราออกค่าเช่ารถนะ ออกค่าน้ำมัน ค่าอาหารมื้อเช้า มื้อกลางวัน ผู้หมวดบอกว่าจะแชร์ด้วย อย่างนั้นผู้หมวดก็จ่ายมื้อเย็นไปแล้วกัน เพราะว่าจะมีฆราวาสแค่ ๔ คน พระยังไงก็กินมื้อเย็นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมื้อเย็นก็จ่ายไปแล้วกัน พอเย็นนั้นเขาก็หายไปกินข้าวด้วยกัน พอรุ่งขึ้นผู้หมวดบอกว่า ไปไม่ไหวหรอก นั่งรถไม่ไหวมันยอกไปหมด เขาว่าอย่างนั้น คือรถมันกระแทก ถนนมันไม่ดี เขาก็ขอแยกตัวไปกลางคัน เราก็เอ๊ะ ! มันเป็นทหารภาษาอะไรวะ ไม่มีความอดทนเลย ปรากฎมารู้ทีหลังว่า มื้อนั้นเขากินไป ๙๐๐ จั๊ต ๔ คน แล้วเงินเดือนของคุณร้อยโท ผู้หมวดนั้นน่ะ เงินเดือนแค่ ๙๐๐ เท่านั้น (หัวเราะ) กินมันหมดไปเดือนหนึ่ง มันก็เลยไม่กล้าไปต่อ

    คราวนี้รัฐบาลอยากจะหาคะแนนเสียงจากพวกข้าราชการ พวกทหาร ขึ้นเงินเดือน ๕๐๐ เปอร์เซ็นต์ เงินถึงได้รูดลงไปขนาดนั้น จากบาทละหก ก็ไล่ลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพรวดเดียวไป ปัจจุบันนี้ ครั้งที่แลกได้มากสุดได้ ๒๘.๕๐ เกือบ ๆ ๓๐ จั๊ต พอไปถึงวัดหนองบัว ก็ไปดูงาน ตรวจงาน ไอ้งานการของทางพม่านี่ ไปดูแล้วประสาทมันจะกิน เพราะคนของเขานี่ มันทำงานให้ได้วัน มันไม่ได้ทำให้ได้งาน เขาเคยชินกับค่าแรงรายวัน

    ก็เลยพยามอู้ให้ครบวัน ถ้าทำเร็วเกินไป เดี๋ยวงานหมด ไม่มีทำ เขาใช้วิธีอย่างนั้น แล้วอีกอย่างหนึ่ง วิธีคิดงาน ทำงานแก้ไขงาน ของเขาไม่เหมือนกับเรา ไปนั่งดูเขาทำบันได บันไดไม้ ไม้บ้านเขาเยอะ ไสไม้เสร็จ เอาไปประกอบกับพื้น ยาวไปครึ่งนิ้ว เป็นเราทำอย่างไร ? ตัดออกไม่หรอก เสียของ มันสกัดพื้นซีเมนต์น่ะ ไปสกัดคอนกรีตให้ได้ลึกครึ่งนิ้ว เสียเวลาไปครึ่งวัน สกัดเสร็จแล้วเอาไม้ไปประกอบ เสร็จแล้วก็ต้องฉาบใหม่เพื่อให้มันเรียบตามเดิม ไปนั่งดูอยู่พักหนึ่ง เขาจะทำขั้นบันได แล้วจะมีที่บังตาใช่มั้ย ? ใต้บันไดจะทำเป็นโค้ง ๆ ปิดระหว่างขึ้นบันไดอยู่ เขาก็จะไปวัด ๒๐ ซม. ลงไปอีกหน่อย ๑๙.๕ ซม. เขาก็ขีดเส้นโค้งได้ที่ ก็เลื่อย พอเลื่อย ขัดเสร็จเรียบร้อยก็เก็บ เอาอันใหม่มาถึง ก็เริ่มวัดใหม่ ๒๐ ซม. ๑๙.๕ ซม. บ้าชิบเป๋ง ! เป็นเรา เราก็เอาอันเก่าทาบขีดปั๊บก็ได้แล้ว แต่เขาทำอย่างนั้น ไม่เท่าไหร่

    คราวนี้มาทำกุฏิเจ้าอาวาสครูบาน้อย ก็ใช้สังกะสี ๑๐ ฟุต สังกะสีเคลือบสีอย่างบ้านเรา มันจะทนอยู่ได้นาน ก็มุงไปเรื่อย ๆ คราวนี้ไม่ได้คำนวณว่าสังกะสีกว้างเท่าไหร่ ? แล้วเวลามุงซ้อนใช้พื้นที่ไปเท่าไหร่ ? แล้วต้องทำหลังคากว้างเท่าไหร่ถึงจะพอดี พอมุงไปมันก็เหลือครึ่งแผ่น เราก็บอกซ้อนเข้าไปเลย คือเลื่อนซ้อนเข้าไป มันก็จะพอดี ลงล็อก ไม่หรอก มันลงมาถึง จัดแจงคว้าสกัดมา ค่อย ๆ ตอก ตัดสังกะสีให้ขาดครึ่ง แล้วคิดดูมันใช้สกดั หน้ามันก็ประมาณนิ้วเดียว แล้วสังกะสียา ว๑๐ ฟุต มันก็ตอกไปเรือ่ย ๆ แล้วก็จะได้ขอบเยิน ๆ อย่างกับฟันเลื่อยมาขอบ เอาค้อนมาไล่เคาะให้มันเรียบอีก หมดเวลาไปหนึ่งวันแล้วก็ขึ้นไปมุง เสร็จเรียบร้อย มันประหยัดสังกะสีให้เราครึ่งแผ่น ซึ่งเอาไว้ใช้อะไรไม่ได้เลย มันภูมิใจมากเลย ที่มันช่วยประหยัดให้เราครึ่งแผ่น

    ถาม : เขาไม่เชื่อหรือเจ้าคะ เวลาที่เรา ?

    ตอบ: เขาคิดว่า เขาทำได้ดีกว่า คืออย่างน้อย ๆ มันเหลือสังกะสีให้เราครึ่งแผ่น เอาไปชั่งกิโลได้ แต่มันกินค่าแรงเราไปวันหนึ่งเต็ม ๆ แล้วงานก็ไม่เสร็จด้วย

    ถาม : แล้วเขาไม่ฟัง

    ตอบ: ไม่ฟังหรอก ก็เขาคิดว่าทำได้ดีกว่า ไปนั่งแล้วนั่งกุมหัว บอกครูบาน้อย คุณคุมงานไปเถอะ ถ้าผมคุมงาน ไอ้พวกนี้โดนเตะทุกคนเลย (หัวเราะ) เป็นอย่างนั้น แล้วการเลือกซื้อของเครื่องใช้อะไรต่าง ๆ ก็เหมือนกัน ประเทศพม่าเขาเคยชินกับระบบอย่างนั้น ไม่มีการแข่งขัน เราแนะนำเขา เขาไม่ฟังเราหรอก เขาขายของตั้งราคาตายตัวมาเลย ๑๑๐,๐๐๐ ต่อเขาหนึ่งแสน ไม่ขาย เป็นตายอย่างไรก็ไม่ขาย บอกเขาว่า ถ้าหากคุณยอมขายหนึ่งแสน คนเขาจะซื้อมากขึ้น เพราะเขาซื้อหลายชิ้น คุณจะได้กำไรมากกว่า ๑๑๐,๐๐๐ อีก ไม่ขาย จะขาย ๑๑๐,๐๐๐ คือเขาจะเอาครั้งนั้นครั้งเดียว ครั้งต่อไปไม่ต้องคิด แล้วการซื้อของ เห็นครูบาน้อยซื้อ ถ้าเป็นบ้านเรา โดนถอดรองเท้าตบแน่เลย เขาเข้าไปต่อราคา ต่อกันหน้าดำหน้าแดง ไม่ได้ เดินต่อไป ไล่ต่อทีละร้านไปจนหมดถนน แล้วขึ้นต้นใหม่ วันนั้นจะต้องเจอหน้าเดิม ๆ วันละ ๗-๘ ครั้ง แล้วเขาก็ซื้อกันจนได้ ของเราไม่เคยชินจริง ๆ

    ตอนที่ไปเขาเอาไม้มาส่ง ไม้สักทอง ๙ ตัน ตันหนึ่งประมาณ ๓ ยกบ้านเรา ยกหนึ่งก็คือ หนึ่งคิวบิกเมตร บ้านเราพวกไม้ทำไม้แบบ แล้วงัดทิ้งเลย ตันหนึ่งก็เป็นหมื่นแล้ว แต่ของเขาไม้สักทองตันหนึ่ง ๒๓๐,๐๐๐ ราว ๆ ๙,๐๐๐ กว่าบาทไทยในปัจจุบันนี้ ก็เท่ากับยกหนึ่งราว ๆ ๓,๐๐๐ บาทเศษ ๆ เท่านั้น ที่มันมาก็จะมีเสาไม้หน้า ๑๐ หน้า ๘ หน้า ๖ มีท่อนซุง มีไม้กระดานเลื่อยเป็นแผ่นมาแล้ว ครูบาน้อยก็ไปวัดทีละอัน กว้างเท่าไหร่ ? ยาวเท่าไหร่ ? หนาเท่าไหร่ ? ได้มา ๖ หน้ากระดาษแกก็เอามาคิดตัวเลข
    เมื่อตอนเริ่มสร้างวัดใหม่ ๆ ไปจ้างหม่องอ่องโซ เขามาปั้นอิฐ คืออิฐบ้านเขาไม่มีทำขายอย่างบ้านเรา บ้านเราไปถึงร้านวัสดุก่อสร้าง สั่งได้เลยจะเอากี่หมื่นกี่แสนก้อน บ้านเขานี่ จะซื้อทีต้องไปสั่ง แล้วเขาจะปั้นให้ทีหนึ่ง ไปสั่งเขาปั้น ๔ แสนก้อน ก้อนละ ๓ จั๊ต ตอนนั้นก็ราว ๆ ๕๐ สตางค์ แต่ถ้า ๕๐ สตางค์ ตอนนี้ก็คือ ๑๔ จั๊ต ตอนที่ครูบาน้อยเข้าไปตรวจสินค้า เรานี่ประสาทกลับไปเลย แกพลิกดูทีละก้อน อันนี้สุกไม่ทั่ว โดนไฟไม่ทั่ว เดี๋ยวมันหักง่าย เอาไปคืน อันนี้โดนไฟมากเกินไป กลายเป็นเซรามิก เดี๋ยวปูนไม่เกาะ เอาไปคืน หม่องอ่องโซเป็นพม่าด้วยกันแท้ ๆ นั่งกลุ้มอยู่ ซักพักบอกครูบา ๆ ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมปั้นให้ แล้วมันก็ปั้นให้อีก ๔๐,๐๐๐ ก้อนให้ เอาไปเลย ๑๐ เปอร์เซ็นต์ คุณไม่ต้องมาตรวจทีละก้อน เราก็ว่าครูบาน้อยใช้เงินสะใจมากเลย
    ปรากฎว่ามางานนี้อีกเหมือนกัน เล่นวัดกระดานทีละแผ่น แล้วก็ได้ตัวเลขมา ๖ หน้ากระดาษ ช่วงที่เขาวัด ๆ กันอยู่ เราก็เซ็งแล้ว เพราะว่า เกวียนมันมาถึงประมาณ ๗.๓๐ น. กว่าจะวัดเสร็จ ๙ โมงแล้ว ก็เห็นยายกระแต เจ้าเก๋ แล้วก็แม่เขา หุงข้าวทำกับ เราก็ เอ๊ ! วันนี้เขาจะเลี้ยงเพลอีท่าไหน ทำไมทำเร็วจังวะ ปรากฎว่า พวกเขาหุงเสร็จก็จัดแจงตั้งโต๊ะ เราก็เฮ้ย ! โต๊ะทำไมมันเยอะ เพราะว่าพระมีแค่ ๕ องค์ มันแค่โต๊ะเดียว นี่ตั้งไปตั้ง ๓ โต๊ะ พอโยมตั้งโต๊ะจัดอาหาร จัดกับข้าวเสร็จ ไปเรียกพวกขับเกวียน ๑๗-๑๘ คนมากิน นั่นน่ะเขารู้จริง ว่าอาจารย์เขาเป็นอย่างไร กินเสร็จเขาแจกหมอนให้นอนเลย สรุปวันนั้นกว่าครูบาน้อยจะคิดไม้เสร็จ ว่าเนื้อไม้เท่าไหร่ แล้วเป็นเงินเท่าไหร่ บ่ายสองโมง เขาละเอียดขนาดนั้น เราเองทำอะไรเร็วซะจนชิน ก็เลยไม่ค่อยชินกับระบบของเขา ของเขารถเสียกลางทาง ปูเสื่อนอน ของเรารถเสียไปต่อไม่ได้แล้ว ต้องหารถใหม่

    คราวนี้พอตรวจงานเสร็จก็ไปไหว้พระ จุดหมายใหญ่ ๆ ถ้าไปพม่าจะไปอยู่ ๔ ที่ ที่หนึ่งก็คือ เจดีย์ชเวดากอง อีกที่ก็คือ หลวงพ่อมหามุนี ที่หนึ่งก็พระธาตุอินแขวน แล้วที่สุดท้ายเป็นพระหลวงพ่อตามะยะ จะเป็นพระที่มีคนไปหาวันละเป็นแสน ๆ ทุกวัน ใครไปเท่าไหร่ ท่านเลี้ยงเขาได้หมด จะกินจะนอนอยู่กับวัดท่านหมด รถเมล์จะเริ่มต้นที่วัดท่าน เป็นสิบ ๆ สายเลย เพราะว่าคนไปทุกวัน ก็จะไปอยู่ ๔ ที่

    ปรากฎว่าปีนี้ พม่าน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศ ถนนหนทางสุดยอดเลย ค่ารถทัวร์ที่เราเคยนั่งจากเมืองมุด่งไปย่างกุ้ง จาก ๑,๑๐๐ จั๊ต ขึ้นเป็น ๔,๐๐๐ แล้วก็นั่งกระแทกไป กว่าจะถึงก็ตับทรุดไปครึ่งหนึ่ง ไปถึงย่างกุ้งมันแปลก เป็นที่ ๆ เราไม่เคยเห็นมาก่อน ปรากฎว่าย่างกุ้งเขาเพิ่งจะสร้างหมอชิตใหม่ (หัวเราะ) เขาย้ายสถานีขนส่ง ของเราเคยชินกับระบบการเดินทางของบ้านเรา ไม่ว่ารถ เรือ เครื่องบิน ถึงเวลามันออก แต่ที่โน้น มันไม่เหมือนบ้านเรา ตั๋วรถลงเอาไว้ ๗.๓๐ น. รถจะออก รอจน ๙.๓๐ น. ยังไม่ออกเลย รอจนกว่าจะได้คนเท่าที่เขาพอใจ เขาถึงจะไป พอไหว้เจดีย์ชเวดากองเสร็จ ก็จะเดินทางไปมัณฑะเลย์ต่อ จากย่างกุ้งถึงมัณฑะเลย์ประมาณ ๔๓๐ ไมล์ ก็ราว ๆ ๘๐๐ กว่ากิโล เพราะ ๑ ไมล์ ประมาณ ๑,๖๐๐ เมตร ปกติรถออกประมาณ ๕ โมงเย็น จะถึงราว ๆ ๙ โมงเช้า

    คราวนี้พอออกรถได้ไม่เท่าไหร่ หม้อลมเบรกระเบิด เขาก็จัดแจงลงไปซ่อมกัน พวกพม่านี่รู้จริง ๆ ไปถึงปูเสื่อนอนเลย ของเราไม่ชิน ก็เดินเข้าเดินออกดูเขาซ่อมกัน ซ่อมเสร็จก็ไปต่อ รถวิ่งกลางคืน เกียร์หลุด โอย ! สุดยอดของความทุกข์ทรมานเลย ซ่อมเกียร์ในความมืด เขาก็ซ่อมไปเรื่อย ๆ ก็ปรากฎว่า ๒ โมงเช้าแล้ว ก็แวะให้เรากินข้าว ไปกับครูบาน้อย ครูบาน้อยกินเจของกินก็ไม่ค่อยมี ก็เลยสั่งขนมปัง กาแฟ มานั่งฟาดกัน เราไม่รู้โดนกาแฟดีหรือเปล่าไม่รู้ ?
     
  3. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    ถาม: พอขึ้นรถไป โห...เห็นพญามารจมหูเลย มันงัดรถเอียงไปข้างหนี่งแล้ว ถาม เฮ้ย ๆ ทำอะไรน่ะ ? เขาบอกว่า ไม่ว่ายังไง ๆ ก็จะไปให้ได้ใช้ไหม บอกเออ ! ฝีมือเอ็งใช่ไหม ? เขาบอกว่าใช่ เขาอยากลองดูว่าเราแน่แค่ไหน จะไปจริงหรือเปล่า หม้อลมเบรกระเบิด ซ่อมเสร็จ เกียร์หลุด ๒ ครั้ง ซ่อมเสร็จ คราวนี้จะคว่ำรถเลยนะ ก็เลยบอก คิดดูให้ดี ๆ นะ ต่อให้คว่ำรถไป อาตมาก็ไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ขู่มัน แต่คนอื่นเขาจะเดือดร้อนกันเยอะ

    โดยเฉพาะถ้าเขาตายกัน ถ้าเขาลงนรกเขาก็รอดมือเอ็งชั่วคราว ถ้าขึ้นสวรรค์ไปเป็นเทวดา เป็นพรหม ยิ่งสบายใหญ่ รอดเอ็งไปอีกนาน ตกลงเอ็งจะให้เขาอยู่กับเอ็งดี หรือว่าจะให้เขาไปดี มันคิดอยู่พักหนึ่ง เออ...ไปก็ได้ เราก็เห็นมันหายไป ก็นึกว่าสบายใจแล้ว ที่ไหนได้ พอมันหายไป ยางระเบิดตึ้มเลย ยังดีนะเป็นยางหลัง เพราะยางหลังมันมีคู่กันอยู่ จัดแจงลงไปถอดเปลี่ยนยางใหม่ จากปกติที่เคยไปถึงมัณฑะเลย์ประมาณ ๙ โมงเช้า กลายเป็น ๑๕.๓๐ น. ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงกำหนดการของเราได้ เพราะว่าที่เราเดินทางจะไม่เหมือนชาวบ้านเขาหรอก ของเราขอให้ไปให้ถึงได้ไปไหว้สถานที่ที่เราต้องการก็พอ ไม่มีการไปเที่ยว ไปเล่นกินลมชมวิวอะไรทั้งนั้น ไปถึงก็จองตั๋วรถขากลับไว้ก่อน ไปถึง ๑๕.๓๐ น. รถจะออก ๕ โมงเย็น

    คราวนี้ก็เช่าแท็กซี่ไปไหว้หลวงพ่อมหามุนี แวะไปหารู้จักเสร็จเรียบร้อย กลับมาขึ้นรถ ยังเหลืออีกตั้ง ๒๐ นาที แล้วเราก็กลับได้ ลักษณะนั้นไม่มีใครเชื่อหรอก ไปมัณฑะเลย์เขาไปกันทีครึ่งเดือน ของเราไปตั้ง ๔-๕ ที่เราไปแค่ ๕ วัน คือวันหนึ่งออกจากวัด แล้วรถออกกลางคืน ตรงไปย่างกุ้ง เช้าเราอยู่ย่างกุ้ง ทำธุระหาซื้อของ วัสดุสารพัด ซือ้เสร็จฝากรถ เขียนเลยว่าให้ไปส่งที่ไหน รถที่ผ่านทางสายนั้นจะรับไปส่งเอง ก็จ่ายไปให้ตามที่เขาเรียกว่าเท่าไหร่ ซึ่งดู ๆ แล้วถ้าเป็นบ้านเรา อาจโดนขายกลางทางเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่บ้านเขารับรองถึงทุกชิ้น คนของเขายังเหมือนบ้านนอกสมัยก่อนของเรา ใครอายุมากหน่อยจะเจอ

    สมัยก่อนรถไม่ค่อยมี จะเข้าเมืองแต่ละทีลำบาก เขาจะมีการฝากให้รถเอาไปขาย ฝากเอาไปให้คนโน้น ฝากเอาไปให้คนนี้ สมัยก่อนนี่เห็นโชเฟอร์รถเป็นพระเอกเลย เพราะว่าทุกอย่างเขารับหมด คราวนี้บ้านเขาปัจจุบนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ถึงเวลาไปต่างบ้านต่างเมือง ฝากข้าวของ เงินทองไปให้ญาติที่โน้น้ ไปให้โยมที่นี่ เราประสาทจะกิน ตัวเราเองมีย่ามใบเดียว แต่มีของอีกค่อนคันรถ เพราะว่าเขาฝากไป โดยเฉพาะฝากพระปลอดภัยแน่ ๆ เพราะว่าทหารเขาไม่ยึด เพราะบอกว่าของพระ
    จากที่นั่นก็มาพระธาตุอินทร์แขวน เราก็ต้องลงรถที่เมืองพะยาจี เพราะจากพระยาจีจะเข้าเมืองหงสาวดี แล้วจะเข้าย่างกุ้ง เราจะเสียระยะทางตั้ง ๖๒ ไมล์ แล้วจับรถสองแถวต่อไป ถึงพระธาตุอินทร์แขวนประมาณ ๔-๕ โมงเย็น ไปซื้อตั๋วขึ้นพระธาตุ เพราะว่าอีก ๘ ไมล์ ๘ ไมล์นี่ขั้นเขาอย่างเดียว เกือบ ๑๓ กิโลเมตร เราก็ไปนั่งรถ มีพระอีก ๒ องค์บอกที่ของผมครับ เราก็นั่งตาปริบ ๆ แล้วขายตั๋วให้กูทำไมวะ ! ก็เอาตั๋วให้มันดู ปรากฎว่านายท่าเขาลงทะเบียนรถผิดคันให้ เราก็เลยเสียจังหวะไปรอบหนึ่ง ขึ้นถึงพระธาตุเกือบค่ำ พอขึ้นไปเหลือไมล์สุดท้ายที่เขาไม่ให้รถขึ้น เราก็จัดแจงย่ำพรวด ๆ ขึ้นไปเป็นหมาหอบแดดอยู่ข้างบนโน้น ไหว้พระธาตุปิดทองเสร็จเรียบร้อย แล้วก็ลง ลงจนถึงข้างล่าง พวกที่ไปรถด้วยกันเขาเพิ่งจะขึ้น คือเขาเดินขึ้น ขาไม่แข็งอย่างเรา ค่อย ๆ เดินต้วมเตี้ยม ๆ ไปเรื่อย โดยเฉพาะฝรั่งเห็นเราลงมาแล้ว เขางงมากเลย มึงไปอีท่าไหนวะ ? ถึงแล้วหรือ ? คิดว่าเราเปลี่ยนใจกลางทางหรือเปล่าก็ไม่รู้ จากนั้นก็ลงมาหาที่พัก เราเป็นคนไทยเขาดูออก พวกโรงแรมค่าร้านค้าเช็ดเลย คือปกติเราพักโรงแรม เขาจะคิดเป็นดอลล่าร์ เขาจะได้เยอะ

    คราวนี้เราไปพักร้านค้าที่เป็นร้านอาหาร เขาจะมีที่พักให้ฟรี แต่มีข้อแม้ว่า อย่างน้อยต้องกินอหารของเขาหนึ่งมื้อ ซึ่งอาหารเขาไม่แพงใช่ไหม ลักษณะนี้ต่างประเทศเขามีเยอะ ประเภท B&B (Bed and Breakfast) นอนแล้วกินอาหารเช้าด้วย (หัวเราะ)
    คราวนี้พวกโรงแรมก็มาต่อว่า เพราะพวกเราไปทีไรเขาไม่ได้เงิน พวกร้านค้าเล็ก ๆ เขาได้หมด เพราะพวกเราไปมีเกวียนขี่เกวียน มีสองแถวไปสองแถว มีรถทัวร์ไปรถทัวร์ ไปอย่างนั้นมันหมดน้อย ถ้าหากว่าไปอย่างเป็นทาง ประเทศพม่านี่มีเงินหมื่น ไม่ต้องเข้าบ้านเขาหรอก เพราะไปถึงเขาบังคับแลกก่อนเลย ๓๐๐ ดอลล่าร์ หมื่นกว่าแล้วนะ ใช้ไม่หมดห้ามเอาออก (หัวเราะ) จะเข้าไปถ่ายรูป กล้องถ่ายรูปกล้องละ ๖ ดอลล่าร์ ถ้านำรถเยนต์เข้าไป เข้าได้ไม่เกิน ๑๘ วัน ค่าธรรมเนียมวันละ ๒๕ ดอลล่าร์ ต่อคัน มันกวาดเงินดอลล่าร์อย่างเดียว แล้วเงินพม่าที่แลกอย่างเป็นทางการ มันใช้ทั่วไปไม่ได้ มันจะเป็นเงินที่ทำพิเศษมาสำหรับใช้ในแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น ถึงเวลาพ่อค้า แม่ขายต้องเอาไปแลกกับธนาคารอีกทีหนึ่ง แล้วมันจะได้น้อย พม่ามันหมั่นไส้อเมริกา คุณแลก ๑ ดอลล่าร์อย่างเก่งก็ได้ ๕-๖ จั๊ต แต่เงินไทยแลกดอลล่าร์ได้เกือบ ๓๐ ตกลงไปพม่าภูมิใจมาก เงินไทยใหญ่กว่าดอลล่าร์เยอะเลย (หัวเราะ) ดอลล่าร์ในตลาดมืดนี่พันกว่านะ แต่ถ้าแลกเป็นทางการเขาให้คุณแค่ ๕-๖ จั๊ตแค่นั้น จะเอาหรือไม่เอา ถ้าอยากเข้าไปเที่ยวก็ต้องเอา มันไม่ง้อด้วย จากพระธาตุอินทร์แขวน

    พอรุ่งเช้าก็อย่างว่า รถออก ๗.๓๐ น. แต่ ๙.๓๐ น. รถยังไม่ออก เราก็วางแผนอย่างดิบดีเลย จากอินทร์แขวนวิ่งไปวัดหลวงพ่อตามะยะให้ทันเพลใช่ไหม ? เพราะว่าหลังเพลท่านจะรับแขก พอท่านรับแขกเรียบร้อย เราจะจับรถวิ่งกลับเมาะละแหม่ง แล้วก็เช่ารถกลับวัดหนองบัว

    ปรากฎว่ามันวิ่งไปถึงวัดหลวงพ่อตามะยะเกือบ ๔ โมงเย็น เสียแผนหมดเลย ก็เลยต้องยอมมัน ถึงเวลาก็ค้างซักคืนหนึ่ง ไปกราบหลวงพ่อท่านรอบ ๖ โมงเย็น เสร็จเรียบร้อยค้างคืน รุ่งเช้าก็ตีกลับแต่มืด คราวนี้ก็มาถึงวัดหนองบัว ปรากฎว่ามันทะแม่ง ๆ เพราะว่าช่วงระหว่างนั้นมันมีนิมิตแปลก ๆ นิมิตพวกนี้ไม่มีที่ดีกับเราเลย ก็แปลกใจ มารู้ความจริงทีหลัง คือ ตัวผู้ใหญ่บ้านที่หนองบัว เขาส่วนใหญ่สมัยก่อนเขากินวัด ต้องใช้คำว่า “กินวัด” คือหาผลประโยชน์จากวัด ตั้งแต่ครูบาน้อยไปอยู่ เขาหาผลประโยชน์ไม่ได้ เพราะว่าพวกนี้เขาซี้กับทหาร ถึงเวลาเขาก็ขออนุญาตทหารเพื่อทำไม้ได้ เขาก็เอาไม้มาเสนอให้เราเพื่อนำมาสร้างวัด คราวนี้ไม้ที่จะสร้างวัด ไม้มันใหม่ มันจะบิดจะแตก เราก็เลยไม่เอา พอเราไม่เอาไม้เขา เขาก็เปลี่ยนใหม่ ซื้อวัสดุก่อสร้างมาขาย ของเขาราคาถูกกว่า แต่เราก็ไม่ซื้อ เพราะเป็นของไม่มีคุณภาพ อย่างปูนถ้าเราซื้อปูนไทย ถุงหนึ่งก็ประมาณ ๓-๔ พันจั๊ตพม่า แต่เขาเอามาขายให้เราในระดับ ๒-๓ พันจั๊ตแค่นั้นเอง แต่เป็นปูนที่เปิดปากถุงแล้ว ปูนที่เปิดปากถุง คือเอาถุงปูนไทย แล้วไปโรงโม่ปูนพม่า โม่ปูนใส่ให้ ปูนที่เขาทำในลักษณะนั้น มันไม่เหนียว มันร่วน มันไม่เกาะตัว ในเมื่อมันไม่เกาะตัว

    ขนาดเราเอามาผสมน้ำแล้วปั้นทิ้งไว้ ๓ ชม.เคาะโป๊ะ แตกกระจายเลย ขืนเราเอาปูนแบบนั้นไปสร้างวัดก็บรรลัยเท่านั้นเอง ในเมื่อเราไม่ซื้อเขาซักอย่าง เขาก็หาผลประโยชน์อะไรไม่ได้
    ผู้ใหญ่บ้านคนนี้มีประวัติในทางไม่ดีมาเยอะ เคยกระทั่งให้ทหารจับลูกบ้านตัวเองไปเรียกค่าไถ่ แล้วแบ่งกันน่ะ คราวนี้วันนั้นนิมิตไม่ดีตั้งแต่เช้ามืดแล้ว จะมีปัญหากับผู้ใหญ่ พอทำวัตรเสร็จเพิ่งตี ๕ กว่า ๆ เห็นผู้ใหญ่เขาเตรียมตัวจะลงเรือ เราก็แปลกใจว่ามันจะไปไหนวะ ! ปกติอากาศหนาวแบบนี้ นอนหลับอุตุสบายใจกว่า แล้วมันจะไปไหน พอเห็นเข้าก็เลยนึกขึ้นมาได้ บอกครูบาน้อย บอกอยู่ไม่ได้ต้องไปแล้ว ปรากฎว่าเรามีทีมงานที่ดี เพราะว่าพอบอกว่าอยู่ไม่ได้ ครูบาน้อยก็จัดแจงต้มน้ำ ท่านเทก็ไปค้นมาม่ามา ท่านโมก็วิ่งไปตามเรือเลย ซดมาม่าเสร็จ ก็โดดลงเรือ โยมเขางงกันมากเลย บอกไปแล้วหรือ ? บอกไปแล้ว ขืนช้าอยู่ไม่ได้แน่ เรือจะไปส่งที่ท่าเรือสองแคว รถสองแถวที่สองแควเที่ยวแรกจะออก ๘.๓๐ น. เราไปถึง ๖ โมงกว่า ไม่รอสองแถว จ้างมอเตอร์ไซค์เลย ๓,๕๐๐ จั๊ตวิ่งไปส่งที่เมืองมุด่ง ข้ามเมืองไปแล้วนะ อย่าคิดว่าปลอดภัย มันวิทยุตามกันได้ พอข้ามไปก็หารถที่จะเดินทางมาด่านเจดีย์ ๓ องค์ ก็ไปจี้รถทะเบียนมอญ เพราะตอนขาไปรถคนรู้จักกันเขาทะเบียนพม่า แล้วพวกนี้เขาเดินทางไปไหน ขากลับถ้าเขากลับก็จะกลับรถคันเดิม
    เพราะฉะนั้นข่าวที่ส่งออกไปคือ พระไทยมาองค์เดียว

    แล้วก็เป็นรถทะเบียนกระเหรี่ยง ปรากฏว่าเราไปรถทะเบียนมอญ พอไปถึงเมืองตันบวยเซียทก็บอกให้รถหลบด่าน เพราะว่าเราไปบ่อย พอจะรู้ว่าซอกแซกไปทางไหนถึงไม่เจอด่าน หลบด่านโผล่ไปอีกมุมของเมืองรอดไปด่านที่หนึ่ง ใจคอไม่ค่อยดีเหมือนกัน กลัวมันจะดักทุกซอกทุกมุมแล้วไปไม่รอด พอออกจากเมืองตันบวยเซียทตรงมาจะมีทางสายหนึ่ง ทางสายนั้นจะเริ่มเข้าป่า เพื่อผ่านพื้นที่ป่าออกมา พื้นที่ตรงจุดนี้พวกกระเหรี่ยงคริสต์ยึดครองอยู่ เขาเรียกพวกทหารป่า พวกทหารป่าเป็นศัตรูกับรัฐบาล และพวกทหารป่านี่แหละคือพวกของผู้ใหญ่เขา ในเมื่อพวกทหารป่าเป็นพวกของผู้ใหญ่เขา พอไปถึงตันบวยเซียทเราก็เริ่มมองหาทาง

    แล้วในที่สุดก็เห็นมีพระอยู่ ๔-๕ องค์ เขาจะไปด่านเจดีย์ ๓ องค์ก็เลยชวนเขามาขึ้นรถ บอกว่ารถนี้เราเหมาไว้แล้ว ถ้าเขาจะไปเราคิดถูก ๆ เท่านั้น ก็เลยโดดแห่ขึ้นมาเพียบเลย พอเลี้ยวเข้าป่าปุ๊บ เจอเลยด่านแรกไม่เคยเจอมาก่อนเลย ทหารป่าจะอยู่ใกล้เมืองขนาดนี้ โผล่มา ๕ คนอาวุธเพียบเลย โผล่มาถึง ข่าวของเขาก็คือ พระไทย ๑ องค์ ไปกับรถทะเบียนกระเหรี่ยง นี่มันพระพม่า ๗-๘ องค์ แล้วก็รถทะเบียนมอญด้วย ก็เลยเรียกค่าคุ้มครองไป ๕๐๐ จั๊ต แล้วก็ปล่อยเราผ่าน ด่านที่สอง เจอแบบเดียวกันอีก ปกติถ้าหากว่ามันตรวจมันตรวจด่านเดียว พวกนี้มารยาทดี รถคันไหนที่มันตรวจแล้ว ก็แปลว่าจะวิทยุบอกพวกมันตลอดเส้นทาง จะไม่มีการตรวจซ้ำ คราวนี้ตรวจซ้ำ เราก็แหงละ ฝีมือผู้ใหญ่ชัวร์เลย เพราะผู้ใหญ่ต้องหาเราให้เจอ แต่อย่างว่าข่าวก็คือ พระไทยองค์หนึ่ง รถทะเบียนกระเหรี่ยงนี่ตั้ง ๗-๘ องค์ แล้วรถทะเบียนมอญด้วย ก็เลยเก็บอีก ๕๐๐ จั๊ต แล้วก็ปล่อยผ่าน เราก็วิ่งมาเรื่อย ๆ
    จนกระทั่งเลยบ้านตองซุนมา ตรงนั้นจะเป็นป่าใหญ่ รถมันก็ติด

    ก็ช่วยกันเข็น ช่วยกันลาก ไปถึงเจอรถหกล้อขวางทางอยู่ เราก็ตายหว่า! นี่กูต้องเข็นหกล้อด้วย หรือ? (หัวเราะ) ปรากฏว่าไม่ใช่หรอก ทหารมันปิดกลางป่าเลย ๕๐-๖๐ คัน ติดแถวยาวเป็นกิโลเลยแล้วมันก็เดินดูทีละคัน ๆ เพื่อหาพระไทยหนึ่งองค์ เนื่องจากว่าโดนเจ้านายด่าหูตูบมาทางวิทยุว่า ถ้าแค่นั้นมึงหาไม่ได้ก็ไปตายห่าซะ (หัวเราะ) มันตรวจแล้วตรวจอีก ก็หาไม่เจอ รถทะเบียนกระเหรี่ยง พระไทยองค์ จะเอาที่ไหนมา มีแต่พระทั้งคันรถ แล้วทะเบียนมอญด้วย เราก็อยู่ตรงนั้นแหละมันวิทยุตอบไป เจ้านายมันก็ด่าแม่มันอีก มันก็ย้อนกลับมาหาทีละคัน ๆ พอหาไม่ได้ มันก็รายงานเจ้านายมันใหม่ เพื่อให้โดนด่าอีก ไป ๆ มา ๆ จนเจ้านายมันเชื่อแน่ว่าไม่มี ในเมื่อไม่มี กักรถเอาไว้เยอะขนาดนี้เรียกค่าคุ้มครองมันซะเลย มันล่อคันละ ๕,๐๐๐ จั๊ต รวยไปเลยงานนั้น เราก็ไม่นึกว่าเราจะสร้างความร่ำ รวยให้มันได้เยอะขนาดนั้น

    อย่าลืมว่าอาตมามาสร้างวัดให้เขาไป ถ้าคิดเป็นเงินพม่านี่มัน ๔๐๐-๕๐๐ ล้านแล้วนะ มันจับอาตมาไปเรียกค่าไถ่ ดีกว่าขายวัสดุเยอะเลย อย่ามองโลกในแง่ดีภาษิตจีนเขาบอก "จิตใจทำร้ายคนไม่ควรมี แต่จิตใจระแวงคนไม่ควรละเลย" แล้วในที่สุดเราก็เผ่นข้ามด่านเจดีย์ ๓ องค์มา พอรุ่งขึ้นสั่งวัสดุก่อสร้างเรียบร้อย เปลี่ยนจีวรเป็นสีนี้กลับไปใหม่ เพราะว่าวันนั้นใส่จีวรพม่าจีวรพม่าแดงโร่เลย
    คราวนี้เอาสปอร์ตไรเดอร์กลับไป ขนวัสดุก่อสร้างเข้าพม่า ราคาอีกเกือบ ๓ ล้านพม่า ขนกลับไปว่าจ้างรถมันให้บรรทุกเสร็จเรียบร้อย เราก็กลับเมืองไทย จนป่านนี้มันยังงมอาตมาไม่เจอหรอก แล้วเดี๋ยวเดือนมีนาคมนี้ ฉลองวัดก็จะย้อนกลับไปอีก แล้วก็จะไปร่อนให้มันเห็นมันจะไม่กล้าทำอะไร เพราะงานฉลองวัดนี่ ทหารพม่าก็มา ทหารมอญก็มาทหารกระเหรี่ยงก็มา พวกทหารป่า พวกกระเหรี่ยงคริสต์จะไม่กล้า แล้วพองานเสร็จเราก็จะหายไปอีก มันหาไม่เจอหรอก คือมันเป็นเรื่องอะไรที่สนุกมากเลย พูดง่าย ๆ ว่าจะต้องกล้าเสี่ยงกับลูกปืนหน่อย

    เพราะว่าคราวที่แล้วก่อนเข้าพรรษา แหม...มันยิงกระจายเลย พระวัดอนังกวีนไปตกใจวิ่งหนีเลยโดนมันยิงเจ็บสาหัสไป ๒ องค์ ของเราโดนมันยิง ดินกระจายเต็มขาเลย เฉย ๆ คือของเราเคยชินกับเรื่องอย่างนี้ ความคิดของตัวเองก็คือว่าเราไม่หาเรื่องเขาก็นับเป็นบุญของเขา แต่ถ้าเขามาหาเรื่องเรามันก็ซวยก็เลยไม่คิดจะกลัว แล้วพวกนี้แปลก ถ้าเราไม่กลัวมันนี่ มันคิดว่าเราเส้นดีบ้านเมืองที่มีเส้นมีสาย แล้วใครเส้นใหญ่กว่า มันก็ดีเหมือนกัน ถ้าเรายิ่งกล้าเถียงมันนี่ มันยิ่งกลัว มันกลัวจะเจอเส้นใหญ่ มันไม่รู้หรอกว่าเราหน้าด้านไม่ได้เส้นใหญ่หรอก


    คราวที่แล้วที่โดนจับที่ย่างกุ้ง นายกทักษินเขาไปพอดีเราไปถ่ายรูปนายก มันคิดว่าเราเป็นสายสืบของไทย มันก็เลยจับ นั่งเถียงกับมันอยู่ ๒ ชม. แล้วมันก็โวยวาย ของเรามีหนังสือรับรองเป็นพระพม่าครูบาญานออกให้ มันก็อุตส่าห์ไปตามพระมา บอกว่าพระบวชตั้งนานขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่มีใบสุทธิอีก พระองค์นั้นท่านก็ว่าตามซื่อ คือพม่าแบ่งการปกครองออกเป็น ๗ รัฐ ๗ มณฑล รัฐ ก็คือ ชนกลุ่มน้อย อย่างรัฐมอญรัฐกระเหรี่ยง รัฐกะฉิ่น รัฐชีน รัฐยะไข่ ส่วนที่เป็นมณฑล หรือ ดิวิชั่น ของเขาก็จะเป็นพวกที่เจริญแล้ว อย่างมณฑลย่างกุ้ง มณฑลมัณฑะเลย์ เขาก็จะมาเล่นงานเราตรงที่ว่า บวชมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่มีใบสุทธิอีกพระท่านก็ตอบตามซื่อว่า มันแล้วแต่นโยบายเจ้าคณะรัฐ หรือเจ้าคณะมณฑล

    บางคณะบางมณฑลนี่ พระบวชแล้วก็สึก ๆ ทำใบสุทธิไปให้ก็เสียเปล่า ก็จะรอให้ ๓-๕ พรรษาก่อน หรือแล้วแต่นโยบายของเขา พระท่านก็ตอบตามซื่อ แต่ว่ามันกลายเป็นดีกับเรา มันก็เอาใหม่อีก แล้วทำไมอายุป่านนี้แล้ว ทำไมพูดพม่าได้แค่นี้เอง ครูบาน้อยเขาบอก โอ๊ย...ที่บ้านเหรอมันไม่ค่อยจะพูดพม่ากันหรอก ไม่รู้มันเกลียดอะไรนักหนา พวกทหารพอได้ยินว่าเกลียดพม่า มันเลยเงียบไปเลย เพราะว่ามันรู้ว่าตัวเองทำไม่ดีมันเป็นเรื่องอะไรที่มันมาก ถ้าเรากล้าพูดกล้าเถียง เขาจะไม่กล้ายุ่งกับเราของเรามั่นใจว่าครูบาอาจารย์ดี ตรงนี้ต้องใช้คำว่าเชื่อดีนะ คือเชื่อว่าท่านคุ้มครอง รักษาเราได้ในทุกที่ ไม่ใช่อวดดีนะ เชื่อว่าดี เชื่อในความดีของพระรัตนตรัย

    ฉะนั้นไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่เห็นต้องไปหลบไปซ่อนที่ไหนเลยคนอื่นก่อนจะไปต้องไว้คิ้วซะยาว เราวันไปยังโกนซะเลี่ยนเลย แล้วอยู่พม่าก็โกนมันเรื่อย ไม่ได้ใส่ใจหรอก ระเบียบของเรามันเป็นอย่างนี้ แล้วงวดนี้ที่ไปสงสารคนหลายคน เพราะว่าของเราไปในลักษณะอาจารย์ใหญ่ที่ไปทำประโยชน์ให้เขา ควักเงินทีหลายๆ ร้อยล้านสร้างวัดให้ลูกศิษย์อย่างนี้ทั้งพระทั้งฆราวาสเขาอยากเจอ พระเขาอยากให้เราช่วย ฆราวาสเขาเห็นเราเป็นพระโพธิสัตว์ ในชีวิตนี้แค่ได้เห็นก็เป็นบุญแล้ว เขาก็จะสั่งเอาไว้เลยถ้าอาจารย์มาอย่าลืมบอกนะ จะได้ไปกราบ ปรากฏว่าคืนแรก ไปค้างที่วัดคะแลบ้านน้อย

    ตัวหลวงปู่เจ้าอาวาส เขาสั่งครูบาน้อยว่า ถ้าอาจารย์ไปอย่าลืมบอกนะ เขาจะได้ขอให้ช่วยสร้างศาลาซักหลังหนึ่ง อาตมานอนอยู่นั่นคืนหนึ่งเต็ม ๆ แถมกินข้าวไปอีกมื้อหนึ่ง ไม่รู้หรอก มันวาดรูปอาจารย์ใหญ่ต้องแก่งั่ก ไปค้างอยู่ที่นั่น เขาถามครูบาน้อยว่าเป็นใคร ครูบาน้อยก็บอกว่าเพื่อนพระมาจากไทย ก็ดูหลวงปู่แกงง ๆ นะ เพราะแกเห็นว่าเรานอนบนเตียง คือนอนบนเตียงนี่ต้องอาวุโส แกคิดว่าครูบาน้อยที่เป็นเจ้าอาวาสหนองบัวอาวุโสกว่า แกเห็นเราอาวุโสกว่าเลยมาถามพรรษาปรากฏว่าหลวงปู่ยังน้อยกว่าเรา ๑ พรรษา ก็เป็นอันว่ารอดตัวไป คราวนี้ตอนออกมาเดินไปหัวเราะไป ครูบาน้อยบอก ถ้าหลวงปู่เขารู้จะทำอย่างไรนะ บอกมี ๒ อย่าง อย่างแรกถ้าหากไม่เตะคุณกลิ้งอยู่ตรงนั้น ก็เลิกคบคุณไปเลย(หัวเราะ) ไม่รู้หรอก จนกว่าจะถึงวันฉลองวัด เพราะวันฉลองวัดเขานิมนต์พระแถวนั้นทุกวัดเลย วันที่ ๘-๑๒ มีนาคม


    ถาม : มัณฑะเลย์นี่ เขาบอกว่าฝังคนทั้งเป็นไม่ใช่เหรอคะ?

    ตอบ: ที่ไหน ๆ มันก็เหมือนกัน

    ถาม : ที่ขุดหลุมใหญ่ฝังคนทั้งเป็น

    ตอบ: ที่ฝังทั้งเป็นมันเกิดจากพระนางศุภยลัต ท่านจะทำลายพวกคู่
    แข่ง ก็เลยใช้วิธีจัดงานรื่นเริง ให้มีพวกหนัง พวกละคร เสียงสนั่นหวั่นไหวทางด้านโน้นก็แอบเอาคนไปฝัง จะแหกปากร้องยังไง ก็ไม่มีคนได้ยิน ครั้งแรกที่เข้าไปในวังมัณฑะเลย์ กระแสของมัน ดันเราชนิดหงายหลังไม่ให้เข้าก็เลยบอกกับเขาว่า นี่ข้ามชาติ ข้ามภพแล้วเจ้าประคุณเถอะ ที่มาตอนนี้ก็มาลักษณะของพระด้วย คือนั่นเป็นเมืองหลวงของเขา แล้วถ้าอยู่ ๆ มีศัตรูไปลอยชายอยู่ในเมืองหลวง แล้วเขาจำได้ด้วยนี่ เขาจะทำอย่างไร? ถึงเราบอกอย่างนั้นแล้ว เขาก็ยังไม่ยินดีต้อนรับ มันจะประเภทกระหนาบบีบเราแบนเลย ไปไหนทุกย่างก้าวก็ตามไปด้วยเพื่อเป็นการป้องกัน แต่อยู่ในลักษณะที่คนอื่นจะมองไม่เห็น พอเราเดินดูจนกระทั่งทั่ว ถ่ายรูปจนได้ตามความพอใจ พอออกพ้นปุ๊บ มันปล่อย เดินไม่เป็นเลย ใครไม่เคยต้องลองดูที่มีพลังมหาศาลเหมือนกับอยู่ใต้น้ำ เป็นสิบ ๆ เมตรแล้วอยู่ ๆ กลายเป็นออกที่โล่งไปเฉย ๆ ถ้าใครเดินเป็นนี่ยอดมนุษย์จริง ๆ

    ของเรานี่เดินไปยังงง ๆ เลยนี่กูเดินอย่างไรนี่ จากที่เคยใช้แรงขนาดนั้น เพื่อจะลากตัวเองไปมันกลายว่ามันเกินไป มันเหมือนกับว่าเราโถมใส่อะไรบางอย่าง แล้วอยู่ ๆ มันไม่มีไม่หัวทิ่มพื้นก็บุญแล้ว ลักษณะบีบเราเอาไว้ เพื่อที่จะไม่ให้เราไปทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเขาในความคิดเขา พอเราออกพ้นเขตเขาก็ปล่อยมันเหมือนกับเราแบกของเป็นพัน ๆ กิโลแล้วมันหายวับไปเฉย ๆ

    ถาม : มันเป็นคำอธิษฐาน หรือคะ?

    ตอบ: ไม่ใช่หรอก ตัวพวกมันเลย มันเอาขนาดนั้น สุดยอดเลยเรื่องของความจิตที่มันจำ แต่ว่ามันยึดมั่นมากเกินไป ถึงไปไหนไม่รอด ขึ้นรถสองแถวคันหนึ่งเจ้าของรถเขาก็สั่งครูบาน้อย สั่งนักสั่งหนาว่า ถ้าหากครูบาจากเมืองไทยมาแล้วบอกนะ จะพาลูกพาเมียมากราบด้วยดูนั่งรถมันวันหนึ่งเต็ม ๆ เลย นั่งอยู่ติดกันด้วย เพราะว่ารถเขาเป็นคันเล็ก ๆ แล้วส่วนใหญ่จะให้พระนั่งหน้า ก็ ๒ องค์ก็นั่งเบียดกัน แล้วต้องนั่งคร่อมเกียร์ แล้วก็เบียดกับเขาด้วย เดี๋ยววันฉลองวัดก็รู้เองว่าอะไรจะเกิดขึ้น


    [​IMG]


     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...