ฉบับที่ ๗ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๗

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 8 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔ (จบ)





    [​IMG]

    ถาม : .......(ไม่มีเสียง).........
    ตอบ : คนอื่นเขาไม่เก่งเลยไปนิพพานกันหมด พวกเรามันเก่งก็เลยอยู่กันอีกนาน ไม่ค่อยจะกลัวนรกกัน มัฌชิมาปฎิปทาของแต่ละคนไม่เท่ากันมันเป็นไปตามกำลังใจ เป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมมา เป็นไปตามบารมีที่สะสมมา อย่างหลวงพ่อท่านบอกว่าวางกำลังใจของท่าน ก็คือ ทรงอารมณ์เกาะพระนิพพานไว้ตลอดเวลาไม่ยอมพร่องแม้แต่นาทีเดียว นั่นตอนที่ก่อนท่านจะบรรลุมรรคผล เราทำได้มั้ยล่ะ ? เป็นเราทำก็เครียดตายเลยใช่มั้ยล่ะ ?
    เพราะฉะนั้นตัวมัฌชิมาปฎิปทาของเรามันก็เลยไม่เหมือนกัน ทางสาย หลวงปู่มั่น ของท่านท่านจะต้องเข้มงวดขนาดนั้นเพราะสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมมา การดำรงชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบากของชาวอิสานทำให้จะต้องปฎิบัติอย่างเข้มข้น กำลังจิตถึงจะยอมลงให้
    อย่างหลวงตาบัวท่านบอกว่า นั่งสมาธิกันข้ามวันข้ามคืน นั่งกันก้นแตก ลุกขึ้นมานี่ประเภทน้ำเหลืองนองเลย คือมันร้อนจนพองแล้วแตก นั่นน่ะ ท่านบอกว่าจิตถึงจะยอมลง ไม่อย่างนั้นมันก็ดิ้นรนกระโดดโลดเต้นของมันไปเรื่อย
    คราวนี้แนวการปฎิบัติมันมีอยู่สี่แบบ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สุขาปฎิปทา ขิปปาภิญญา ปฎิบัติง่าย ๆ บรรลุก็เร็ว ทุกขาปฎิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติยากลำบากแต่บรรลุเร็ว ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฎิบัติลำบากบรรลุก็ยาก สุขาปฎิปทา ทันธาภิญญา ปฎิบัติง่ายแต่บรรลุยากนะ ปฎิบัติง่ายบรรลุเร็ว ปฎิบัติง่ายบรรลุช้า ปฎิบัติยากบรรลุเร็ว ปฎิบัติยากบรรลุช้าก็ขึ้นก็อยู่ว่าแบบไหนที่จะเหมาะสมกับแต่ละคนแต่ละสถานที่ ถ้าเอามัฌชิมาปฎิปทาของพระพุทธเจ้า ท่านอธิษฐานว่า เมื่อท่านนั่งลงไปแล้วแม้เลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไปก็ตามที ชีวิตอินทรีย์นี้จะเสื่อมสลายไปก็ตาม ถ้ายังไม่บรรลุมรรคผลเมื่อไหร่ท่านจะไม่ลุกขึ้น ถ้าเราไปตั้งใจอย่างนั้นก็ตาย เพราะว่าปัญญาไม่ได้อย่างท่านนี่
    ถาม : หมายความว่า เจ้าตัวเองเป็นคนกำหนดใช่มั้ย ?
    ตอบ : ตัวเองตัวเองควรจะรู้เองว่าอะไรเหมาะสม เรารู้เลยว่าอันนี้เราขี้เกียจแล้วเราก็รู้ว่าอันนี้เรายังขยันไม่พอ
    ถาม : แสดงว่าเราก็ทำไปตามที่มโนสำนึกเราบอกว่า อันนี้ดี ใช่มั้ย ?
    ตอบ : ถ้ามันรู้สึกว่าไม่ไหว ให้ฝืนต่ออีกหน่อยถ้ายังฝืนได้แสดงว่าตัวนั้นเป็นตัวถีนมิทธะ ชวนให้ง่วง ชวนให้ขี้เกียจ ถ้าลองฝืนแล้วมันไม่ไหวจริง ๆ ไปไม่รอดก็เลิกเเล้วรักษาอารมณ์เอาไว้
    ถาม : พระคำข้าว ป้องกันรังสีที่โทรศัพท์ได้มั้ยครับ ?
    ตอบ : ตั้งใจดูแล้วกัน ขนาดนิวเคลียร์ยังกัน โทรศัพย์ไม่น่าจะยาก
    ถาม : นอกจากมีพระของหลวงพ่อแล้ว มีพระของวัดอื่นมั้ยคะ ที่กันรังสีได้ ?
    ตอบ : ที่ประกาศชัด ๆ เลย ก็ของท่านเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทราวาส ก่อนมรณภาพให้เขาเก็บก้อนกรวดที่บางบ่อ ท่านถือว่าเป็นบ่อเงินบ่อทอง เอามาอธิษฐานจิตให้ ท่านบอกชัดเลยว่ากันนิวเคลียร์ได้
    ถาม : กันรังสีได้ทุกชนิดเลย ?
    ตอบ : คือสำนักอื่น ๆ อาจมี ถ้าพระสงเคราะห์ให้ ก็กันได้แต่ท่านไม่ได้ประกาศชัด ๆ อย่างนั้น ที่ประกาศชัด ๆ อย่างนั้น ที่ประกาศชัด ๆ ก็มีของหลวงพ่อ แล้วก็ของท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านเจ้าคุณนรฯ ประกาศก่อนด้วย เพราะว่าเท่าที่จำได้ท่านเจ้าคุณนรฯ มรณภาพปี ๒๕๑๔ แต่ว่าหลวงพ่อประกาศครั้งแรกว่า ของท่านกันนิวเคลียร์ได้ประมาณปี ๒๕๒๑
    ถาม : เจ้าคุณนรฯ คือก้อนกรวด ลักษณะก้อนกรวดธรรมดา ?
    ตอบ : ก้อนกราด ปฐวีธาตุ สำนักอื่น ๆ กันได้หรือเปล่าไม่รู้แต่สมัยนี้ฮิตกับจังเลย พรุ้งนี้ใช่มั้ย พระกิ่งจอมไทย เหยียบกันตายแน่ วัดสุทัศน์สร้าง คราวที่แล้วคนไป ๕,๐๐๐ กว่า มีพระ ๗๙๙ องค์ ไม่ดังก็ไม่ได้ ได้เหยียบกันตายจริง ๆ แล้วพรุ่งนี้เขาประกาศเช่าตีห้า รับรองว่าพระไม่ต้องฉันหรอก
    ขนาดของหลวงพ่อสร้างสมเด็จองค์ปฐมชุดแรกมีแค่ ๓,๐๐๐ องค์ คนไปเป็นแสนเลย พอเสร็จพิธีไม่ฟังเสียงเคาน์เตอร์ มันโดดข้ามหมดเลย ทหารสามสี่คนเป่านกหวัดเท่าไหร่ไม่ฟังหรอก ทึ้งเสียหลวงพี่วิรัชจีวรกระรุ่งกระริ่งเลย ของเราเราจองไว้หนึ่งร้อยองค์ พอถึงเวลาออกมาก็จ่ายไปหมื่นแล้วเอาหนึ่งร้อยองค์ใส่ย่ามไป ปรากฏว่าร้อยองค์นั้นไม่เหลือ มันเห็น.... เรื่องอะไรจะปล่อยให้ผ่านมือไปสมเด็จองค์ปฐมรุ่นแรก รุ่นมีกริ่งน่ะ หลวงพ่อสั่ง ๓,๐๐๐ องค์
    พอช่างเขาถอดแบบแล้วซู้มส่วนใหญ่จะหัก เพราะซุ้มนี่เล็ก ๆ จะบางพอถอดแบบแล้วซุ้มหักก็ใช้ไม่ได้ก็กลายเป็นพระชำรุด ได้องค์ที่สมบูรณ์มา ๓,๐๐๐ องค์ พอออกจากงานนั้นอาตมาเดินไม่ถึงกุฎิ มันเป็นลมตั้งแต่กลางทางก็เดินไปเรื่อย เดินไปกระทั่งถึงกุฎิแล้วก็นั่งลง คนก็ยังตามมาเป็นร้อยน่ะ ตามมาจะเอาพระ เราเองทั้ง ๆ ที่เป็นลมก็ว่ามันไปเรื่อย หูมันอื้อไปหมดแล้ว ไม่รู้ใครพูดอะไรบ้าง ลมมันออกหู คนมันก็ไม่สังเกตุเลยว่าพระหน้าซีดยังกะศพ คนมันรุมเข้ามาเป็นแสน ก็หายใจไม่ทันไง....เป็นลม ขนาดทหารเป่านกหวีดมันยังไม่ฟังเลย ไอ้ที่มันแหวกวงล้อมได้ กระโดดข้ามเคาน์เตอร์ไปเลย
    ถาม : แต่หลังจากนั้นก็ได้มี รุ่นสอง รุ่นสาม
    ตอบ : รุ่นสองได้น้อย รุ่นสามไม่ม่ รุ่นสามจะเป็นล็อกเก๊ต
    ถาม : มีแแค่สองรุ่น
    ตอบ : มีสองรุ่นสมเด็จองค์ประฐม ถ้ารุ่นถัดมาก็เป็นหลวงพี่นันต์ รุ่นหลวงพ่อยังอยู่มีแค่สองรุ่น ของหลวงพ่อนี่ มีอยู่รุ่นหนึ่งที่เป็นรุ่นสี่เหลี่ยมที่วิมาลีทำ แล้วหลวงพ่อท่านพุทธาภิเษกพระพุทธรูปแก้ว วิมาลีเอาแอบซุกเข้าไปในพิธี
    หลวงพ่อท่านบอกว่าคลานออกมาเลย ท้าวมหาชุมภูบอกว่า สั่งไว้แล้วถ้าพุทธาภิเษกพระพุทธรูป เขาตั้งไว้บูชากับบ้าน มีแค่พานบายศรีก็พอ แต่การพุทธาภิเษกพระเครื่องที่เขาติดตัวอยู่ มันจะช่วยสะเดาะห์ด้วย เครื่องบวงสรวงต้องเป็นชุดใหญ่ สั่งแล้วไม่จำ ถ้าไม่ใช่น้องจะล่อให้สลบเลย แค่คลานนี่เมตตาแล้ว หลวงพ่อท่านจำได้ แต่วิมาลีไม่เข้าใจ ก็ซุกเข้าไปไง สี่เหลี่ยมที่แบบทรงหลวงพ่อวัดปากน้ำ จะมีทอง มีเงิน มีทองแดง
    ถาม : แล้วหลวงพ่อรู้ตอนไหนที่เขาแอบซุก ?
    ตอบ : หลวงพ่อรู้ อีตอนคลานแล้วน่ะ แล้วเขามาถึงก็แจกพระคนละชุด ๆ หลวงพ่อบอก หลวงพี่ประทีป ว่าไปบอกพวกมันด้วยว่าเข้าพิธีใหม่ซะ หลวงพี่ประทีปก็ยังมีความหวัง บอกหลวงพ่อครับ มันไม่ติดสักนิดเลยหรือครับ (หัวเราะ) หลวงพ่อบอกเดี๋ยวถีบเลย พระท่านพูดคำไหนเทวดาท่านพูดคำไหนก็คำนั้น แล้วยังจะเอานิดนึ่งอีก (หัวเราะ) ไม่ทัน....ท่านมรณภาพก่อนไม่ได้เข้าพีธีซ้ำ
    ถาม : สรุปว่ารุ่นนั้นใครแขวน ก็ต้องไปเข้าพิธีใหม่ ?
    ตอบ : รุ่นนั้นใครแขวนก็ต้องเข้าพิธีใหม่แล้วกัน น่าเสียดายว่ามีเหรียญทองคำด้วย ไม่ทัน... ท่านมรณภาพเสียก่อน เพราะว่าช่วงนั้นวันที่เป็นวันพฤหัสหรือเป็นพรหมประสิทธิ์ หลวงพ่อส่วนใหญ่จะพุทธาภิเษกพระพุทธรูปแก้ว คล้าย ๆ กับทำตุนไว้เพราะท่านรู้เวลาท่านหมดแล้ว คาวนี้พวกเวลาเขามีอะไรก็ยัดเข้าไปเรื่อย ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ
    ถาม : หลวงพี่ สมเด็จองค์ปฐมที่มีกริ่ง รุ่นที่สอง
    ตอบ : รุ่นแรกมีรุ่นสองไม่มี รุ่นแรกมีกริ่งพอได้เขย่ากันใหญ่ หลวงพ่อบอกว่าเป็นการปราทมาสพระรัตนตรัย เลยเลิกใส่กริ่งไปเลย กริ่งนั้นคือโลหะชนวนที่หล่อสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่
    ถาม : คิดว่าเอาพระธาตุใส่ลงไป
    ตอบ : ไม่ใช่ แต่รุ่นสองไม่มี เจาะไว้เฉย ๆ



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • L7_1.jpg
      L7_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.1 KB
      เปิดดู:
      1,053
    • L7_2.jpg
      L7_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.9 KB
      เปิดดู:
      79
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : พระคำข้าวที่หลวงพ่อเสกครับ ท่านฉันก่อนแล้วค่อยเสก ?
    ตอบ : ของหลวงพ่อท่านไม่ได้ฉันหรอก พระท่านมาถึงท่านก็ชี้เลย ว่าเอากับข้าวตรงนี้ เอาข้าวคำนี้ ๆ ท่านก็ตักเลย หลวงพ่อท่านถ่ายทอดวิชาให้ทุกคนอย่างแบบไม่มีการปิดปัง
    แต่พอถึงพระคำข้าวท่านบอกว่า ถ้าพวกคุณต้องการจะเรียน ผมไม่รู้จะสอนพวกคุณอย่างไร เพราะว่าพระท่านมาถึงท่านก็บอกว่า เอาข้าวตรงนั้น เอากับตรงนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ พอรุ่งขึ้นเปลี่ยนอีกแล้ว เอาข้าวอย่างนั้น เอากับอย่างนั้น คาถาอีกบทหนึ่ง บางทีคาถาซ้ำกันเจ็ดวัน บางทีไม่กี่วันก็เปลี่ยนอีกแล้ว ท่านไม่สามารถจะบอกได้ เลยกราบเรียนหลวงพ่อบอกไม่เป็นไรครับ หลวงพ่อทำไว้เยอะ ๆ แล้วกัน เดี๋ยวพวกผมตุนเอาไว้แจกเอง
    ถาม : หางหมาก ก็เหมือนกันหรือคะ เคี้ยวไปเสกไป ?
    ตอบ : หางหมากนั้นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะว่าเรื่องของการเคี้ยวหมากนี่ เป็นการจับอิริยาบทและสัมปชัญญะไปในตัวด้วย ส่วนอีกอย่างก็คือ ของหลวงพ่อที่เคี้ยวหมากนี่เป็นสัญลักษณ์ว่าพระท่านมาสงเคราะห์แล้ว ถ้าหากว่าพระท่านมาสงเคราะห์ หลวงพ่อท่านจะฉันหมาก
    ถาม : อ๋อเหรอ เมื่อไหร่เคี้ยวหมากแสดงว่า...โอ้ย...ไม่เห็นรู้เลย ไม่เห็นมีใครบอกเลย
    ตอบ : ฉลาด !เขารู้กันไปเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ไอ้เปอร์เซ็นต์เดียวนั่งอยู่นี่ (หัวเราะ) ที่ท่านเคี้ยวหมากเป็นสัญลักษณ์ว่าพระท่านมา มีอยู่วันหนึ่ง นั่งอยู่บนรถทัวร์ ได้ยินเสียงเป่ายานัตถุ์ปื้ดอยู่ข้างหูแล้วกลิ่นมันหอมมา โห! มันอยากน้ำลายยืดเลย ตกใจ บอกหลวงพ่อครับ หมากก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอานะครับ ท่านถามว่าไม้เท้าเอามั้ย เอาหรือไม่เอา โดนแน่ เงียบเสียดีกว่า ไม่น่าเชื่อ มันจะอยากได้ขนาดนั้น มันอยากน้ำลายยืดเลย แค่ได้กลิ่นน่ะ เราก็ตกใจตายละหว่า ถ้าตูต้องไปเป่ายานัตถุ์ มันคงทุเรศมากเลย ก็เลยบอกท่านว่าไม่เอาสักอย่าง สังเกตได้ ที่ออกนอกวัดไป ไม่ยานัตถุ์ก็หมากน่ะเจอกันแถวเลย ไอ้ของเรานี่ก็ยังดิ้นรอดมาได้อยู่ทุกวันนี้
    ถาม : หลวงตาวัชรชัยก็หมาก ?
    ตอบ : ดูเอาเถอะ หลวงพี่อาจินต์อยู่ในวัดก็หมาก หรือยานัตถุ์ แต่ส่วนใหญ่หลวงพี่อาจินต์จะยานัตถุ์แล้วพี่แกถ้าเป่าแล้วกลัวคนจะรู้แกเล่นเปิดขวดดมเสร็จแล้วปิดใส่ย่าม (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วหลวงพี่วิรัชล่ะคะ ?
    ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน ต้องโดนจนได้แหละ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
    ถาม : หลวงพี่ด้วยมั้ยคะ ?
    ตอบ : ก็บอกท่านแล้วว่าไม่เอา ถ้าอยากจะใช้งานอย่าให้ทำอย่างนี้ คือมันจะทำให้คนลงนรกอีกเยอะ พวกที่ไม่เข้าใจน่ะ มันไม่พูดก็ไม่ว่า พอพูดแล้วมันเป็นโทษกันมันเอง จะกลายเป็นว่า เอาไปวัดรอยเท้าหลวงพ่อเลียนแบบหลวงพ่อ ซึ่งทั้ง ๆ ที่หลวงพ่ออบรมพระในโบสถ์ ท่านบอกให้วัดรอยเท้าท่าน ท่านบอกว่าพระอรหันต์ทุกองค์ต้องปฎิบัติตามพระพุทธเจ้าถึงเป็นพระอรหันต์ได้นะ
    ท่านเองก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์ที่ดีได้ ท่านก็ต้องวัดรอยเท้าครูบาอาจารย์ลอกแบบนักเทศน์ที่ดีเขา โดยการไปจำลีลา จำการเทศน์ของเขา ท่านบอกว่าถ้าใครเทศน์ดีบางทีท่านจำทั้งกัณฑ์เลย จำแบบเราท่องจำน่ะ ถึงเวลาก็เทศน์เลียนแบบ ออกลีลาดูว่าเหมือนเขามั้ย ท่านบอกว่านักเทศน์ถ้าหากประเภทที่เรียกว่า เทศน์ได้ไม่ถึงร้อยกัณฑ์นี่ยังเอาดีไม่ได้ ท่านบอกว่าให้ทุกคนวัดรอยเท้าซะ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าวัด ไอ้เรากระดิกทำอะไรไม่ได้หรอก เขากล่าวโทษว่าวัดรอยเท้าครูบาอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ครูบาอาจารย์สั่งให้วัดแล้ว
    ถาม : ถ้าเขาไม่สั่งนี่ ต้องทำแบบนี้หรือเปล่า ?
    ตอบ : ต่อให้ไม่สั่งก็ต้องทำ เพราะว่าถ้าไม่เลียนแบบครูบาอาจารย์จะไปเลียนแบบใคร ท่อนบอกว่าท่านเอง ท่านก็ลอกแบบหลวงปู่ปานมา ไม่ลอกแบบครูบาอาจารย์จะไปลอกแบบแมวที่ไหน หลวงตาไง พอโดนสอบสวนมาก ๆ แกตบะแตก ก็กูลูกช้างก็ต้องขี้แบบช้าง จะให้กูขี้แบบหมาได้ยังไป ( หัวเราะ) หลวงตาตบะแตก พอหลวงตาขึ้นเสียง กรรมการสงฆ์ก็เงียบ เถียงหลวงตาได้มั้ยล่ะ ลูกช้างก็ต้องขี้ตามช้าง (หัวเราะ)
    ถาม : แต่มองแบบนี้แล้ว ไม่ได้มองว่าวัดรอยเท้า จะมองว่ามันเหมือนติดวัตถุ เราไม่เคยติดอะไรเราก็เลยไม่รู้
    ตอบ : ก็ลองดูซิ
    ถาม : ไม่เอา (หัวเราะ)
    ตอบ : พอถึงเวลาจะรู้ สมัยหลวงปู่ปาน หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟัง ไปถึงก็กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อครับทำไมหลวงพ่อเป่ายานัตถุ์ครับ เอ้อ! แล้วเดี๋ยวข้าจะให้เอ็ง หลวงพ่อครับ ทำไมหลวงพ่อฉันหมากครับ เอ้อ! แล้วเดี๋ยวข้าจะให้เอ็ง ท่านบอกว่าหลวงปู่ปานมรณภาพไม่ถึงเจ็ดวันหรอกมันไปควานหาเอง (หัวเราะ) อยากขึ้นมาใจจะขาดต้องเอา แล้วเสร็จแล้วท่านก็เข้าว่า เวลาพระท่านสงเคราะห์จะแสดงสัญลักษณ์ให้ไง ไอ้ของเราไม่เอาอะไรสักอย่างเดียว ก็เลยได้อย่างงี้มา แผลเป็นชัด ๆ เลย
    ถาม : ตาที่สามเหรอคะ ?
    ตอบ : ไม่ใช่ ตรงนี้น่ะ เห็นมั้ยล่ะ ต้ององค์ใหญ่ถึงจะชัด ไอ้ของเราอยากดื้อดีนัก ท่านก็เลยเฉาะหน้า
    ถาม : แล้วมีตลอด หรือเฉพาะเวลาที่ท่านสงเคราะห์ ?
    ตอบ : สงสัยมันจะตลอดไปเลย มันอยากไม่เอาดีนัก
    ถาม : ก็ยังดีนะ ยังดูดี
    ตอบ : (หัวเราะ) ไอ้โน่นก็เบี้ยวได้ ไอ้นี่ก็เบี้ยวได้ ไม่รู้ทำไง ขืนบอกว่าให้มันไม่เอาแน่ เฉาะกบาลมันซะเลย
    ถาม : ถ้าพระติดบุหรี่นี่คงไม่เกี่ยวใช่มั้ย ?
    ตอบ : ไม่แน่ อาจจะเกี่ยวก็ได้ ก็ต้องดูว่าไม่มีอะไรเลย อยู่ ๆ ก็อยากบุหรี่ขึ้นมายังงี้
    ถาม : ปกติท่านก็ไม่สูบใช่มั้ย ?
    ตอบ : เรื่องของบุหรี่นี่ ถ้าวินัยไม่ห้ามก็ไม่ต้องไปตำหนิใคร หานรกใส่ตัว มีรายหนึ่งคลาน ๆ ไปหาหลวงพ่อที่สายลม ไอ้เราก็นั่งอยู่ด้านข้างไปถึงก็หลวงพ่อครับผมว่าหลวงปู่แหวนนี่กระทั่งพระโสดาบันก็ยังไม่ได้เป็นเลยครับ หลวงพ่อบอกว่าแกเป็นหรือยัง ? ยังครับ แล้วเสือกไปรู้เรื่องเขาได้ยังไง ? บอกหลวงปู่แหวนสูบบุหรี่ บอกพอ ๆ ๆ ไอ้เรื่องควรหรือไม่ควร พระเขารู้ เรื่องของบุหรี่ เรื่องของยานัตถุ์ มันเป็นเรื่องของประสาทร่างกายต้องการ จิตท่านไม่ได้ต้องการหรอก
    แล้วอีกคนหนึ่งไปถามอะไร หลวงปู่ชอบวัดถ้ำผาบิ้ง วัดป่าสัมมานุสรณ์ หลวงปู่ชอบระยะหลังนี่ ท่านไปไหนต้องเข็นรถไป แต่ว่าท่านก็ยังสูบบุหรี่อยู่ คนก็ไปถามว่าหลวงปู่ทำไมไม่เลิก ? ท่านก็บอกว่าสูบมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ก็สูบจนตายนั่นแหละ (หัวเราะ) พระวินัยไม่ห้าม ไม่ต้องไปยุ่งกับพระเลย เพราะพระวินัยคือศีลพระ ห้ามแล้วท่านก็เลิกเอง
    ถาม : แต่เฮโรอิน กัญชา ห้ามใช่มั้ย ?
    ตอบ : อันนั้นไม่ได้ห้ามเหมือนกัน แต่พระพุทธเจ้าท่านมีมหาปเทส คือข้ออ้างใหญ่อยู่สี่ข้อ สิ่งใดไม่สมควร สงเคราะห์เข้ากับสิ่งที่ไม่สมควร ถือว่าไม่สมควร พระเขามีสติสัมปชัญญะจ้ะ นั่นไม่ใช่เพียงแต่ว่ามันผิดธรรมผิดวินัยหรอก มันผิดกฏหมายบ้านเมืองด้วย ใครเขาจะทำ ยกเว้นสมัยนี้เขาว่าสามหมื่นกว่าองค์ติดยาบ้าใช่มั้ย ? นิมนต์ท่านเหอะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : อยากถามครับ เรื่องเดินจงกรม
    ตอบ : ทำไมล่ะ ?
    ถาม : หลวงพี่มีปฎิปทาด้านนี้ยังไง ?
    ตอบ : นึกได้ก็เดิน
    ถาม : แล้วเวลาเรากำหนดรู้นี่ ...?
    ตอบ : กำหนดรู้ก็จับอิริยาบท เท้าไปทางไหน มือไปทางไหน ถ้าหากว่าจิตมันละเอียด ๆ ขนาดเส้นขนเส้นไหนมันโดนลมทางไหนมันยังรู้เลย สำคัญที่สุดก็คือว่าจับอารมณ์ภาวนาให้ได้ แรก ๆ ใครเดินจงกรมแล้วจับลมสามฐานได้นี่ยอมไหว้เลย เคยให้รุ่นน้องไปลองดูหลายองค์แล้ว พอจับลมสามฐานแล้วก้าวไม่ออก มันติคจึ๊ก เพราะว่าลมสามฐานมันเป็นกำลังของปฐมฌานเขาอย่างน้อย ปฐมฌานนี่จิตกับประสาทมันเริ่มแยกออกจากกันแล้ว ถ้าไม่คล่องตัวจริง ๆ เดินไม่ได้หรอก
    ถาม : จะสลับกันล่ะครับ จับลมปุ๊บ แล้วก็หยุดค่อยก้าวไป
    ตอบ : ถ้าคล่องตัว จับลมมันก็เดินได้ ค่อย ๆ ทำ
    ถาม : เวลาที่ตรวจให้กับครูบาอาจารย์ อย่างเช่นว่าตอนนั้นตรวจให้หลวงพี่ใช่มั้ยคะ แล้วไม่พบอะไร ครั้งนี้ลักษณะเดียวกัน ก็แทบจะไม่พบอะไรที่เป็นตัวการที่จะให้เกิดเหมือนกัน
    ตอบ : ถามท่านว่า ท่าคิดว่าเป็นโรคอะไร แล้วก็บอกมา แล้วจ่ายยาไปตามที่ท่านบอก
    ถาม : ท่านบอกว่า ร้อน ๆ หนาว ๆ เหมือนเป็นไข้
    ตอบ : ถามท่านว่าคิดว่าเป็นโรคอะไร ถ้าท่านบอกว่าเป็นโรคอะไรก็จ่ายไปตามนั้น
    ถาม : ค่ะ แล้วก็ถ้าเป็นประเภทโรคเวร โรคกรรม ทำยังไงคะ ?
    ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปล่อยท่าน
    ถาม : เวลาคิด เวลากำหนดระยะเวลานาน ๆ ถ้า ตา หู ลิ้น กาย ใจ มันจะมีประสาทสัมผัส แล้วเวลาใจมันออกมา มันออกมาทางไหนคะ จับไม่ทันเลย
    ตอบ : จับไม่ทัน เขาระวังตรงใจ อย่าไประวังตรงตา หู จมูก ลิ้น
    ถาม : มันขึ้นมาเองคะ ไม่ต้องระวัง มันขึ้นมาเอง
    ตอบ : กำหนดใจเหมือนกับตัวเรานั่งอยู่ในห้องว่าง ๆ เรานั่งในห้องว่าง ๆ ประตูมันอยู่ตรงหน้า อะไรเข้ามามันจะรู้ นึกออกมั้ย ? เหมือนอาคันตุกะมาเยี่ยม โผล่หน้ามาก็รู้แล้ว ไอ้นี่มาทางตาล่ะนะ ต้องระวังไว้ เดี๋ยวมันจะเข้าใจเราได้ ไอ้นี่มาทางหู ต้องระวังไว้ เดี๋ยวมันจะเข้าใจเราได้ หูกับตามันมาเร็วที่สุด
    ถาม : ยังพอทัน หูกับตา แต่ใจมันไม่ชัด
    ตอบ : นั่นแหละ คือระวังใจตัวเดียว หกตัวระวังใจตัวเดียว แล้วอย่าให้มันเข้ามาในใจ แล้วจะไปเสียเวลากำหนดมันทำไม ภาวนาให้จิตทรงเป็นฌาน มันก็รู้รอบแล้ว ถ้าเราจับลมหายใจ เข้าออกได้ สังเกตมั้ยมันจะกินเราไม่ได้เลย มันปิดหมด
    ถาม : ช่วงจับบางทีมันแน่น มันแน่นหน้าอก มันจุก
    ตอบ : อาการอย่างนั้น บางทีเป็นขั้นตอนของการใบ้ให้รู้ว่าตอนนี้อารมณ์ใจทรงตัวแล้ว เราเองเราก็จับอาการนั้นเอาไว้ ถึงเวลาถ้าอาการนั้นมันแน่นขึ้นมา เราก็รู้ว่าตอนนี้อารมณ์อยู่ในระดับที่จะพึ่งตัวเองได้ แล้วเราก็ระวังได้ บางทีบางอย่างอาการในร่างกายไม่เหมือนเขา มันเกิดขึ้นเราก็ต้องรู้ไว้จริง ๆ แล้ว อาการมันแน่นเข้ามา บางทีเย็นเหมือนกับซุกน้ำแข็งในอกก็มี คอยสังเกตตัวเองว่าของเราต่างกับของเขานิดหน่อย พออารมณ์ใจถึงตรงนั้น แล้วดูซิว่า สติพร้อมมั้ย ถ้าสติพร้อมก็คือ อาการของการทรงฌาน อย่างน้อย ๆ เป็นอาการของอุปจารฌาน
    ถาม : ช่วงนี้บางทีมันเฉย ๆ มันไม่ค่อยรับอารมณ์ใครมันไม่ค่อยคลาย
    ตอบ : ก็ดีแล้ว ของเรา เราต้องคลายอารมณ์ให้เป็น ต้องใช้ตัวปัญญาเป็น เราต้องรู้ว่าทุกคนต้องคิดว่าสิ่งที่เขาทำน่ะดีแล้ว เขาถึงทำ ในเมื่อสิ่งที่เขาทำนั้นมันดีแค่นั้นมันถูกแค่นั้น มันยังไม่ดีจริง มันยังไม่ถูกจริง เราก็ให้อภัยเขาเถิด เพราะว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านั้นเราเคยทำมาแล้ว
    ในเมื่อเราเป็นผู้ที่ผ่านมาก่อน เราก็คือบรรพบุรุษของเขา ต้อนตระกูลของเขา เราก็คือตัวพ่อ ตัวแม่ของเขา ลูกหลานมันทำตาม มันเดินตามรอยมา เราจะไปโกรธลูกโกรธหลานได้ยังไง เราก็ควรที่จะรักจะเมตตาเขาว่า เขาไม่สามารถก้าวข้ามมาตรงนี้ ไม่เห็นว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นทุกข์เป็นโทษต่อเขายังไง เขาก็ยังทำอยู่ เราก็อย่าโกรธเขาเลย ควรให้อภัยเขา ถ้าเราคิดเป็น เราคลายอารมณ์ ของเราเป็น มันจะไม่สะสม ถ้ามันไม่สะสมโอกาสระเบิดมันไม่มี
    แต่ส่วนใหญ่แล้วคิดไม่เป็น ทำไม่เป็น คลายอารมณ์ไม่เป็น สะสมอยู่ก็ระเบิด กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปฎิสสรโณ คือ มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ทางกรรมของเรา เราชั่วมาแล้ว เขาชั่วตาม นั่นมันเป็นทายาทของเรา เราจะไปโกรธไปเคืองทายาทตัวเองได้ยังไง เราทำเอาไว้แท้ ๆ ก่อนหน้านี้เราก็เป็นอย่างนั้น ตอนนี้เราก้าวข้ามมาแล้ว เราโชคดี เขายังไม่สามารถก้าวข้ามมาได้ ไม่น่าโกรธหรอก น่าสงสารมากกว่า
    ถาม : ให้เฉย ๆ หรือเตือนคะ ?
    ตอบ : คิด คิดให้เป็น ใช้ปัญญาให้เป็น มันจะปล่อยวางได้ แล้วมันจะไม่สะสมอารมณ์ไว้
    ถาม : ไม่ต้องไปเตือน ?
    ตอบ : ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเขาเลย ดูที่ตัวแก้ที่ตัว เรื่องของคนอื่นทุกข์คนอื่นเขา
    ถาม : คือขออะไรบางอย่าง ซึ่งคิดพอจะแก้ไขและช่วยเหลือได้แต่มันทำไม่ได้ เช่นง่าย ๆ เลย กับครูบาอาจารย์ที่รักและเคารพนับถือ (ฟังไม่ชัด).. ถามเรื่องการช่วยสงเคราะห์บุคคล)
    ตอบ : เราต้องยอมรับว่ากฏของกรรมมันมี อันนั้นน่ะเราทำบุญ เราตั้งใจของเราดีแล้ว ผลบุญมันมีด้วย แต่ว่าวาระกรรมของเขามันยังสูงอยู่ มันก็บังอยู่ มันก็กดอยู่ เราเองเราไม่สามารถฝืนกฏของกรรมได้ ตัวครูบาอาจารย์ท่านยิ่งต้องยอมรับกฏของกรรมยิ่งกว่าเราอีก ใครเขาจะมาเสียเวลาโกรธเสียเวลาเคืองกัน มาชี้โทษอะไรเราน่ะ มันไม่มีหรอก
    เราทำโดยเจตนาดี เพียงแต่ว่าเราทำของเราเต็มความสามรถแล้ว อย่าเก็บมากังวล ตัวเก็บมากังวลนี่แหละเป็นอารมณ์ของปุถุชนทั่ว ๆ ไป มันจะพาเราลงนรก เพราะจิตมันหมอง ดูอย่างที่พระท่านทำซิ ท่านทำก็คือทำเฉพาะหน้า ทำดีที่สุดแล้ว ถ้ามันได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น นั่นคือการยอมรับกฏของกรรม ทำดีที่สุดเท่าที่เราทำได้
    ถ้าหากว่ามันดีที่สุดแล้วผลมันไม่ได้อย่างใจของเรา เราก็ต้องยอมรับว่ากฏของกรรมมันมีอยู่ แก้ไขดิ้นรนทุกวิธีทางแล้วไม่สามารถที่จะทำได้แล้ว ต้องยอมรับมันบ้าง เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป ดูที่ตัวแก้ที่ตัว เรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของโลกทั้งสิ้น เราแก้ไขโลกไม่ได้ เราต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง
    ถาม : แต่บางครั้งอย่างงานทางโลกนี่ มันจำเป็นต้องทำให้เสร็จ บางทีมันก็ต้องอะไรกับคนอื่นหลาย ๆ อย่าง เพื่อที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตรงนี้
    ตอบ : เราก็ทำแค่หน้าที่ของเรา แล้วหน้าที่นั้นก็อย่าให้ละเมิดกรอบของศีลห้าแล้วกัน เชื่อว่าหน้าที่เราทุกอย่างคงไม่ต้องฆ่าใคร คงไม่ต้องประเภทลักขโมยใคร ไม่ต้องแย่งคนรักของใคร ไม่ต้องไปโกหกใคร แล้วก็ไม่ต้องไปกินเหล้าแน่นอน
    เพราะฉะนั้นทำไป ทำเฉพาะในกรอบของเรา ถ้ามันจำเป็นต้องโกหก เราใช้คำว่าต้องจำเป็น ถ้ามันจำเป็นต้องโกหกเราก็ไม่ต้องโกหกทั้งวัน พ้นจากตรงจุดนั้นเมื่อไหร่ก็ตั้งใจรักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นยี่สิบสี่ชั่วโมงเราไม่ได้ขาดทุนตลอดแน่นอน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เห็นว่าเจอกันทางจิตได้ แล้วจะเจอกันทางกายอีกทำไมล่ะครับ ?
    ตอบ : คือถ้าหากว่าไม่เกินกฏของกรรมก็จงตะเกียกตะกายไปด้วยกำลังร่างกายของตัวเอง พระน่ะเขายอมรับกฏของกรรมมากกว่าเรา อะไรที่ร่างกายมันยังทำได้ ก็ต้องใช้ร่างกายทำไปก่อน ไม่ใช่เอะอะก็ใช้ความเป็นทิพย์ ใช้โน่นใช้นี่ ไอ้นั่นต้องใช้ อีตอนบ้อท่าจริง ๆ
    ถาม : แต่ถ้าไม่ฝึกใช้ ก็ไม่ชำนาญ ?
    ตอบ : ก็มันฝึกเสียจนชำนาญแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปใช้ด้วยการฝึกใหม่ (หัวเราะ) ก็ใช้อยู่ ก็ใช้วิธีโน้นไงไปข้างบน
    ถาม : เคยเรียนบอกหลวงตาว่าหลวงพี่เป็นมะเร็ง หลวงตาว่า หลวงพี่จะตัดช่องน้อยไปแต่พอตัว
    ตอบ : อย่างพวกเราคงไม่ได้ตายง่าย ๆ หรอก มันรอดมากี่ดาบต่อกี่ดาบแล้วก็ไม่รู้ ตอนนี้ไม่มีซักดาบดันจะตายก็ตลกล่ะ
    ถาม : มันเป็นได้จากไหน ?
    ตอบ : ตอนแรกมันเป็นที่ข้อเท้า หมอเขาเจาะแล้ว เขาก็ทำหน้าพิลึก เราก็ปล่อยมันมาตั้งหลายปี ไม่ได้สังเกตอะไร เพียงแต่ว่าตอนนั้นไปเดินธุดงค์ เจ็บเสียจนจะเดินไม่ได้ แปลกใจ..... พอหมอเขาเจาะ เขาบอกว่ามันกินจนถึงประสาทขาแล้วเขาก็ไม่กล้าพูด เราเลยแค้นคอถามว่า มันใช่มะเร็งหรือเปล่า ? หมอเขาบอกว่าใช่ บอกว่าพวกหูด พวกไฝ พวกปาน โอกาสมันจะกลายเป็นมะเร็งมันมี
    เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดี มันท่าจะจริงตรงที่ตำราหมอแผนโบราณบอก เขาบอกว่ามะเร็งนี่มันเหมือนกับรังผึ้ง รังมด ถ้าไปตีรังมันเมื่อไหร่มันก็กระจายพรวดเลย มันถึงได้ไปขึ้นตรงโน้น ตรงนี้ให้ทั่วไปหมด เท่าที่สังเกตก็คือตรงข้อพอดีหมด ที่เท้าก็ตรงข้อเท้า ด้านนี้ก็ข้อ ตลกน่ะ มันเหมือนกับต้องกินที่ข้อยังงั้น
    ถาม : เป็นเพราะกรรมหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : เปล่า แค่ไปวางขวากช้างเท่านั้น (หัวเราะ) หนักกว่าม้าอีก กองทัพสมัยก่อนนี่เขากลัวช้าง ถ้าช้างมานี่ค่ายพังแน่ ก็วางขวากดักมันไว้ ขวากก็คือโคนไม้ใผ่ หลาวให้แหลมเปี๊ยบ ลนไฟแข็งโป๊กเลย แล้วฝังดินไว้ครึ่งหนึ่งเหยียบไปเต็ม ๆ ตีน เมื่อไหร่ก็ไม่ต้องไปไหนเลย นี่มันเศษ ๆ แล้ว ไม่ใช่เงินต้น ไม่ใช่ดอกเบี้ย
    ถาม : ทำคนเดียวเหรอคะ ?
    ตอบ : คนอื่นเขาก็ทำ ก็เจออย่างอื่นไปมั่ง อาตมาไม่โดนรถปูนกระทืบก็บุญโขแล้ว (หัวเราะ) หลวงตาโดนรถปูนกระทืบ มีเยี่ยงอย่างที่ไหนปิ๊กอัพชนรถขนปูน ถังปูนดับถล่มไปทับเข้า โทรไปหาหลวงตายังขำ แกบอก....ตัดปอดไปกลีบหนึ่ง ตับส่วนหนึ่ง ม้าม ถุงน้ำดี แล้วก็ลำใส้ แหม !หลวงตา ถ้าเป็นผม ผมจะพกตะไคร่ ใบมะกูด พริก เข้าไปในนั้น หลวงตาบอก เออ! ฟื้นขึ้นมากูจะแดกด้วย (หัวเราะ) รู้กัน ไอ้เรากะจะใส่หม้อต้มยำเลย หลวงตาบอก เออ ! ฟื้นขึ้นมากูจะแดกด้วย (หัวเราะ)
    ถาม : ก็ต้องมีถังออกซิเจน ?
    ตอบ : ของหลวงตา ท่านก็รู้จักเตียมท่านเอง
    ถาม : ของท่าน ท่านบอกว่าต้องเราไปสองถัง ถังเล็กกับถังใหญ่
    ตอบ : เผื่อไว้ เผื่อหมด เวลาวาระกรรมมันเข้ามานี่ ประเภทเหลือถังละนิดละก็ซวยเลย เพราะฉะนั้นต้องสลับถังให้ดีเผลอไปเอาประเภทจวนหมดกับจวนหมดละก็แย่แน่ หลวงปู่มหาอำพันไง หลวงปู่มหาอำพันมันเอาช่วงเข้าห้องน้ำ ของหลวงปู่มหาอำพันปกติให้ออกซิเจนอยู่บนเตียง พอตอนท่านเข้าห้องน้ำ หลวงพี่มนตรีท่านก็ไปทำความสะอาดเตียง ไม่ได้ยินเสียงหลวงปู่เรียก กว่าจะพยุงหลวงปู่มาถึงเตียงหมดลม ปอดท่านเป็นถุงลมโป่งพอง มันรับออกซิเจนได้น้อยอยู่แล้ว เตือนท่านแล้ว บอกว่าประมาณสองสามนาทีแล้วก็เอาออกให้ปอดมันทำงานเองบ้าง ปอดเราพอมันได้ออกซิเจนบริสุทธิ์ไปเรื่อยมันก็ขี้เกียจ มันก็ไม่ทำงาน
    เพราะฉะนั้นสังเกตดูว่า ถ้าหากญาติโยมของเรา ถ้ายังต้องการให้เขาอยู่ ถ้าให้ออกซิเจนพอเห็นอาการดีขึ้นเอาออกเลยถ้าไปให้อยู่ตลอด ๆ ปอดมันจะพังเร็ว ลองสังเกตดูพวกให้ออกซิเจนยาว ๆ ไม่รอดสักราย ออกซิเจนหมดเมื่อไหร่ก็เสร็จ อาตมาเฝ้าไข้มาสิบกว่าปีซาบซึ้งดี เฝ้าพ่อมาหกปี เฝ้าแม่สามปี หลวงปู่สี่ปี
    จนกระทั่งหลวงพี่มนตรีโดนโยมด่า ด่าจมดินเลยล่ะ เขาบอกว่าหลวงพี่เล็กเฝ้าเท่าไหร่หลวงปู่ไม่เป็นอะไร แกเฝ้าแป๊บเดียวตาย วาระมันมาถึงนี่คนอยู่นี่ซวยทุกรายเลย จริง ๆ มันโทษกันส่งไป ถึงเวลาหน้ามืดขึ้นมาความรักครูรักอาจารย์ใครอยู่ใกล้ก็ซวยไป หลวงพี่มนตรีแกมานั่งบ่นให้ฟัง บอกผมนี่หมาเลย
    ถาม : แกพลาดจริง ๆ ไม่ใช่เหรอคะ ?
    ตอบ : พลาดนั่นก็พลาดอยู่ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าโอกาสมันพลาดมันมี พอส่งหลวงปู่เข้าห้องน้ำเสร็จแกก็มาทำความสะอาดเตียง ไม่ได้ยินเสียงหลวงปู่เรียก หลวงปู่ท่านหายใจไม่ทัน เสียงท่านก็คงจะเบา กว่าจะคิดกว่าจะแก้ไขมันก็สายเสียแล้ว ในห้องน้ำก็มีครบทุกอย่างขาดออกซิเจน (หัวเราะ)
    ถาม : หลวงพี่ต้านี่ช่วงนั้นไปอยู่ด้วยมั้ยคะ ?
    ตอบ : ก็ไป ทุกคนไปด้วยความปรารถนาดี จำไว้ เพราะฉะนั้น อะไรหนักนิดเบาหน่อยก็ต้องอภัยให้กัน การให้อภัยและความสามัคคีสำคัญที่สุด บรรดาครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ไม่มีปัญหาหรอก มันไปมีปัญหาตัวลูกศิษย์เสียเยอะ ต่างคนต่างเป็นนักปฎิบัติเพื่อลด ละ เลิก ในกิเลสต่าง ๆ มันต้องยิ่งทำยิ่งก้าวหน้า ไม่ใช่ยิ่งทำยิ่งถอยหลัง แต่เท่าที่พบก็คือว่าส่วนใหญ่ไปทะเลาะกัน เอากิเลสไปชนกัน
    เพราะฉะนั้นเราอยู่ในลักษณะนั้นมันต้องให้อภัยและรักษาความสามัคคีของหมู่คณะ อะไรพออภัย พออดทนกันได้ ก็ต้องอดทน ต้องอภัยกัน เขาทำเพราะคิดว่าสิ่งนั้นดีแล้ว เขาถึงทำ ในเมื่อเขาเห็นว่าดีแม้สิ่งนั้น ๆ ไม่ดีจริงปัญญาของเขายังไม่ถึงเราไม่ควรจะโกรธเขา มันน่าสงสารนะให้อภัยเขาเถิด ลูกศิษย์เขาไม่รู้ ยัดให้เขาไม่รับก็ปล่อยมันเถอะ ( หัวเราะ) สอนกระดานดำก็ได้ว่ะ
    ถาม : ถ้าเราไม่สนใจเขาเลย มันถูกมั้ยคะ ?
    ตอบ : มันเป็นปัญญาอย่างหนึ่งนะ ถ้าเรารู้ว่ากำลังของเราไม่ถึงไปปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ไม่ว่าจะเเค่ตาเห็น หูได้ยิน หรือว่าต้องพูดต้องคุยกันอะไรก็ตาม รู้ว่าจะทำอะให้เราอารมณ์เสียก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย มันเป็นตัวปัญญาเหมือนกัน หลวงปู่หล้าท่านบอกว่า หัดเป็นนักหลบซะบ้างอย่าเป็นนักรบอย่างเดียว รู้อยู่ว่ารบไม่ชนะแล้วไปรบ ท่านถือว่าไม่ฉลาด
    ถาม : ถ้าจำเป็นต้องชน ?
    ตอบ : ถ้าจำเป็นต้องชน ก็พยายามอย่าชนจัง ๆ แล้วกัน ยังไง ๆ รักษาชีวิตเขาไว้บ้าง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เวลาเราโกรธใคร รู้สึกมันสะเทือน เราจะกลับตัวยังไงให้เร็วที่สุด ?
    ตอบ : เร็วที่สุด กลับไปภาวนา ถ้าได้มโนยิทธิส่งอารมณ์ใจขึ้นพระนิพพานไปเลย การที่เราเกาะพระนิพพานเป็นการตัดกิเลสที่อัตโนมัตที่สุด รัก โลภ โกรธ หลง มันกินใจแต่ร่างกายเท่านั้น กินใจไม่ได้ ถ้าใจไม่อยู่ไปปรุงไปแต่งกับมัน มันไม่สามารถทำอันตรายเราได้ เผ่นไปนิพพานดีกว่า เคยชนกับแสงชัย
    สมัยฆราวาสยืนคุยกันอยู่เราก็เลยพิงเงียบไปเลย เงียบไปหลายนาที พอลืมตาขึ้นมา แสงชัยถามว่าอะไร บอกว่าย่าบอกว่าอย่าไปคุยกับอันธพาล โอ้ย! มันโกรธฉิบหาย (หัวเราะ) แล้วคืนนั้นมัน ก็ได้ดีไอ้นี่ต้องให้โกรธมาก ๆ พอโกรธมาก ๆ แล้วอารมณ์ใจมันจะอยากทำ เขายังทำได้ ทำไมกูทำไม่ได้ยังงี้
    ถาม : อ๋อ! มิน่า เห็นโกรธบ่อย
    ตอบ : ความจริงท่านย่ารู้ว่าถ้าแหย่มารูปนี้แล้ว เราพูดต่อเมื่อไหร่จะโกรธ แล้วเดี๋ยวมันจะตะกายขึ้นมาเอง คือยังไงก็ต้องตะกายไปต่อว่าย่าให้ได้มันไปด้วยอำนาจกิเลส (หัวเราะ)
    ถาม : เหลือเชื่อ
    ตอบ : ที่บางคนเขาพูดเล่นว่า ตัญหาพาสู่พระนิพพาน รู้สึกว่ารายนี้จะทำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ความจริงตัวอยากนี่ธรรมเขาเรียกว่า ธรรมฉันทะ คนมันดันว่าอยากแบบตัญหา ก็เลย ตัญหาพาสู่พระนิพพาน
    ถาม : แล้วเวลาเราเจอคน.... (ฟังไม่ชัด)....ตัวเรามีจุดร่วมกับเขา
    ตอบ : ใส่เกราะไว้ เรามีศีลกับสมาธิเป็นเกราะของเรา ใช้สมาธิเป็นเกราะของเรา ใช้สมาธิควบคุมอารมณ์ของเราให้อยู่ในกรอบ มีศีลเป็นที่ไป ถ้าหากว่าเกินกรอบของศีลก็ไม่ยุ่งด้วย เอาแค่ศีลของเรา ใส่เกราะไว้ ไม่ว่ามันจะมาระดับไหนก็ตามไม่ไปพ้นเขตนั้น เต็มที่แค่ศีลห้าเกินศีลห้าไม่คบด้วย
    ถาม : บางทีเขามาวุ่ยวายกับเรา ?
    ตอบ : วุ่ยวายน่ะสนุก ถ้ารักษากำลังใจเรานิ่ง ๆ เฉย ๆ ได้ แล้วดู จะสนุก มันเหมือนยังกับดูใครมันทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ อยู่ตรงหน้า บางทีมันก็เหมือนทารกไร้เดียงสาไปเลย เรื่องแค่นั้นไม่น่าทำ มันก็ทำ ไม่น่าจะโกรธมันก็โกรธ เลยกลายเป็นนั่งสนุกอยู่คนเดียว กลายเป็นนั่งยิ้มมองไปเรื่อย
    ถาม : .......(ฟังไม่ชัด) .........
    ตอบ : เขารู้อยู่ว่ามันเป็นข้อสอบ แต่ก็สอบตกอยู่เรื่อยตอนทดสอบของนักปฎิบัติมันมาทุกวินาที แล้วทุกแง่ทุกมุม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา มันอยู่ในหัวข้อใหญ่ ๆ ก็คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ข้อสอบมันออกมาได้เป็นหมื่นเป็นแสน ถ้าหากว่าเราไม่ระมัดระวังเมื่อไหร่เผลอเมื่อไหร่มันเข้ามาสู่ในใจทันที
    โดยเฉพาะตัวกระทบกระทั่งกัน พื้นฐานมาจากโทสะ เขาเรียกปฎิฆะ คืออารมณ์กระทบ เหมือนกับสะเก็ดไฟกระเด็นไปถูกเชื้อควันมันขึ้น ถ้าเราไม่ระวัง มันเป็นโทสะ มันจะไหม้ขึ้นเป็นเปลวเลย
    เพราะฉะนั้นต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลาว่าจะเจอข้อสอบ จะเจอการทดสอบอยู่เสมอ เผลอเมื่อไหร่ก็โดน ๆ แต่ว่าข้อสอบนี่มันดีอยู่อย่างถ้าเราทำได้ ต่อไปก็จะไม่เป็นอีก ต้องมามากกว่านั้น ถ้าแค่นั้นไม่ได้กินเราแล้ว แต่ปรากฏว่าของเขาเอง เขาบอกว่าเขามี สมานัตตา ดำรงโทสะไว้อย่างสม่ำเสมอ (หัวเราะ) พวกตีความพระธรรมวินัยผิด
    ถาม : เวลาเจอ แต่มันไม่รู้ ไม่รู้โลภ โทสะ หรือโมหะ ?
    ตอบ : ไม่ต้องรู้ รักษาใจอย่างเดียว ถ้าหากว่าเราใส่เกราะไว้ได้ยิ่งดี โดยเฉพาะตัวภาวนา ถ้าอารมณ์ใจทรงเป็นฌาน มันรู้ลมอัตโนมัติก็รักษาเอาไว้เลย รับรองว่ามาเท่าไรก็รับได้ แต่ถ้าเกราะพังเมื่อไหร่ก็เตรียมตัวหัวแตกได้ ถ้าสติมันรู้อยู่ ต้องการรับรู้อาการภายนอก จะลดกำลังใจมานิดหนึ่ง คลายออกมาหน่อยหนึ่ง รับรู้กับเขาด้วยความระมัดระวัง พร้อมจะหดหัวกลับเข้าไปกลัวหัวแตก พอถึงเวลาหดหัวเข้าไปก็ปิดฉึบ
    ถาม : .........(ไม่มีเสียง)........
    ตอบ : จริง ๆ แล้วมันลำบากนะ เพราะว่าเวลาเหนื่อย เวลาหิว เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าไม่มีความคล่องตัวในการทรงฌานจริง ๆ สมาธิมันพังเลย มันไม่เอากับเราด้วย เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องสร้างความคล่องตัวกับมันอย่างชนิดที่เรียกว่าคิดเมื่อไหร่ก็ทรงได้เมื่อนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ก็เล่นกับมันยาก
    ถาม : มีทรงแบบง่าย ๆ ?
    ตอบ : อันนี้มันไม่ง่ายหรอก ทำมาหลายสิบปี รวม ๆ แล้วปีนี้ก็ ๒๕ ปีแล้ว
    ถาม : แล้วจะทำยังไงเจ้าคะ ?
    ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป พอมันคล่องตัวแล้ว อย่างที่หลวงพ่อท่านสอน หัดเข้าฌานสลับฌาน นึกทรงฌานเมื่อไหร่ต้องทรงได้ สมัยที่หัดอยู่ใช้วิธีลุก ๆ นั่ง ๆ เป็นไอ้บ้าอยู่คนเดียว เข้าเวรอยู่หน้าห้องหลวงพ่อ ก็ซ้อมไปเรื่อย ถึงเวลาลุกปรื๊ดขึ้นมาแล้วค่อยคลายอารมณ์ออกมาจนถึงอุปจารสมาธิ ถ้าลงล่ะก็ดิ่งปึ๊ดเงียบไปเลยยังงั้นน่ะ ลุก ๆ นั่ง ๆ อยู่คนเดียวแหละให้มันเข้ามันออกอยู่จนคล่องตัวแล้วเอาให้ได้ทุกเวลาที่ต้องการ ไม่ยังงั้นเวลาป่วย ๆ นี่ มันไม่เอากับเราแน่
    ขนาดนั้นตอนมาเลเรียมันกินหนัก ๆ ยังรู้สึกเลย ตอนนั้นอากาศมัน ๑๑ องศา ใส่อังสะตัวเดียวนะ เอาผ้าชุบน้ำเย็นโปะหัวนี่ควันขึ้นยังกับเตาเลย ตัวมันร้อนอยู่ขนาดนั้น รู้อยู่อย่างนั้นว่าความร้อนขึ้นมากกว่านี้นิดเดียวเราเบลอแน่ก็พยายามตั้งสติกำหนดใจเอาไว้ ใหสติมั่นคงอยู่เฉพาะหน้า ผ่านไปได้อย่างหวุดหวิด รู้อยู่อย่างเดียวถ้ามากกว่านั้นเราเบลอแน่แก้ผ้าวิ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ก็ขนาดเดินไปหาหมอที่เวชศาสตร์เขตร้อน หมอเขาไปถามเจ้าแดงว่าเป็นอะไร เจ้าแดงเขาบอกว่าหลวงพี่เป็นครับ หมอเขาก็นั่งคุยกับพยาบาล เขาก็ส่งปรอทเอามาให้เราอม บอกให้อมไว้ เขาก็คุยอะไรของเขาไปพักนึง ชักปรอทไปดูมอง ๔๒ องศา (หัวเราะ) เขาถามว่าเดินไปยังไง ปกติมันน่าจะ ช็อกไปแล้ว ก็บอกว่ามาอย่างที่หมอเห็นนั้นแหละ ก็สติมันยังอยู่ก็ลากสังขารไป
    ตอนที่หนักที่สุดนั้นไปใต้ ลงจากเครื่องบิน โยมเขาเข้ามากราบมาออกันเข้ามา บอกกับสุขุม สุขุมเป็นลูกของลุงสมนึก เขาเป็นเจ้าของบ้านที่ไปพักประจำ บอกสุขุมว่า ระวังด้วยนะ หลวงพี่จะล้มเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ช่วยประคองไว้ด้วย เขาเองเขาก็เห็นเราเดินดี ๆ แต่พอได้ยิน เขาก็จับแขนถามว่า เป็นมากเลยเหรอ มาเลเรียขึ้นนี่ตัวมันร้อนฉ่าเลย ก็บอกว่าก็อย่างที่เห็นนี่แหละ นั่งคุยกับแขกไปทุ่มกว่า บอกว่าไม่ไหวแล้ว ขอตัวไปนอน ตั้งแต่เช้า เพราะว่าไปเที่ยวราว ๆ หกโมงครึ่งไปถึงที่โน่นราว ๆ เกือบสองโมง ก็รับแขกไปเรื่อยจนถึงทุ่มกว่า ปกติจะรับถึงสามทุ่มบอกขอตัวไปพัก สุขุมเขาก็บอกว่า หลวงพี่ไปโรงพยาบาลหน่อยดีมั้ย ? แต่ว่าบอกอย่างเดียวนะมันหาโรคไม่เจอหรอก เขาก็พาไปที่ มอ. ไปถึงก็บอกว่าเป็นอย่างนั้น ๆ
    เชื่อมั้ยว่าอาการทุกอย่างมันปกติเดี๋ยวนั้นเลย หมอวัดความดัน วัดปรอทวัดอะไรเป็นปกติหมดหาโรคไม่เจอ เขาบอกหลวงพี่เป็นโรคอุปทานหรือเปล่า เราก็ไม่รู้จะทำไงก็ คลายกำลังใจออกให้มันรู้ว่าเราเป็นยังไง พอคลายกำลังใจออกปุ๊บ ความดันเขาวัดปกติก็คือ ๑๓๐ / ๘๐ มันลดฮวบเหลือตัวบนแค่ ๖๐ จาก ๑๓๐ เหลือ ๖๐ พยาบาลวัดสายคาแขนอยุ่ ร้องกรี๊ดจนเราขี้หูสั่นเลย ทั้ง ๆ ที่อยู่ในอาการกึ่ง ๆ ช็อก หมอเวรสี่คนวิ่งมาดูหมดเกลี้ยงเลย เลยบอกหมอจำไว้นะ คนบางประเภทกำลังใจมันเกินร่างกาย มันสามารถบงการให้ร่างกายทำอะไรก็ได้ ถ้าเขาบอกว่าป่วยเป็นอะไรน่ะ หมอเชื่อเขาเถอะ ไม่งั้นเขาจะตายเปล่า หมอเขาบอกว่าโดยมารยาทแล้วถ้าเขาตรวจอาการไม่เจอ เขาจะจัดจ่ายยาไม่ได้ ถ้าคนไข้เป็นอะไรไปเขาต้องรับผิดชอบ บอกถ้าอย่างนั้นฉันขอกลับ เขาบอกหลวงพี่จะกลับยังไงล่ะครับ ? บอกเดี๋ยวจะเดินให้ดูขอเวลาสิบนาที เราก็รวบรวมกำลังใจใหม่ ตอนนั้นน่ะเผลอลืมไปว่าบ้านมันพัง เราเอาไม้ค้ำ แล้วเสือกไปถอนไม้ค้ำออก มันก็พังโครมเลย รวบรวมกำลังใจได้สัก ๑๐ นาที ก็เดินฉับ ๆ ขึ้นรถไป นั่นแหละคนช็อกไปแล้วนะ ต้องใช้เวลาอยู่นานเหมือนกัน เพราะว่ามันพังหมด มันไม่เหลือต้องไปรวบรวมมาใหม่
    ตัวอย่างชัด ๆ หมอนพพรนั่นจะรู้มากกว่าเพื่อน ไข้ขึ้นหูแดงหมดเลยความดันมันขึ้น วัดดูความดัน ๑๑๐/๗๐ แหม !ต่ำกว่าปกติอีก วัดอุณภูมิร่างกาย ๓๕.๖ คนดี ๆ ยังมากกว่านี้เลยใช่มั้ย ? หมอเขาบอกว่าหลวงพี่เป็นอะไรบอกมาเลยครับ ขืนรอผลแล็บผมว่าตายแน่ ก็บอกเขาว่าเป็นยังงี้ ๆ เขาก็จ่ายยามา แต่หมอที่เขาไม่คิดแบบหมอนพพรมันเยอะ ความจริงยามันอร่อยนะกินไปลิ้นด้านหมด คนอื่นเห็นสีก็สยองแล้ว หม้อเบ้อเริ่มต้มกินแทนน้ำไปเรื่อย ๆ ไปโรงพยาบาลหลายทีมันน่าตายแต่ว่าไม่ตาย
    ที่โรงพยาบาลวัดท่าซุงหมอเขาแทงน้ำเกลือ อาเจียนออกมาเป็นถัง น้ำหมดน่ะ รู้สึกเลยว่าตัวมันเหี่ยวไปหมด หมอเขาแทงน้ำเกลือเข้าไป เส้นมันตีบ น้ำเกลือไม่เดิน แทงอยู่ตั้งหลายชั่วโมงเข้าไปประมาณ ๕๐ ซีซี เลยบอกหมอถอดออกเหอะ ขอกลับไปตายที่กุฎิดีกว่า หมอเขาบอกไม่ได้หรอกครับ อาหารหนักขนาดนี้บอกหมอไม่ถอดฉันก็ถอดเอง (หัวเราะ) หมอเขาเจอพระดื้อ เลยต้องถอดให้

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : หลวงพี่โดนเข็มแล้วหลวงพี่อ้วก คงเพราะเป็นทหาร แล้วเคยถูกฉีดยา ( ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : ไม่ใช่ ที่อ้วก ไม่รู้ว่าตัวเองน่าคอหัก มันไปเบียดประสาทร่างกาย ประสาททรงตัวอยู่ จะเหมือนกับคนที่อยู่บนพื้นดินแล้วโคลงไปโคลงมาอยู่ เราเองก็พยายามกลั้นเอาไว้ มันไปอ้วกเอาตอนหมอฉีดยาพอดี (หัวเราะ)
    ถาม : นึกว่าหลวงพี่กลัวเข็ม ?
    ตอบ : คนกลัวเข็มคงไม่ไปหาหมอเป็นว่าเล่นหรอก หมอเขาก็พยายามเราเองก็นึกว่าหัวเราไปชนมา ก็หมอเขาหาสาเหตุ เอ็กซเรย์ก็ไม่เจอ ไปหายเพราะหมอนวด ถ้าไม่มีหมอนวดก็คงอีกนาน เพราะว่าอยู่โรงพยาบาล ๖ วัน ฉันข้าวไม่ได้แม้แต่เม็ดเดียวลงถึงท้องก็อาเจียนหมด ก็นอนหายใจพะงาบ ๆ คราวนี้ไม่รอดแน่ตู ขอหมอเขากลับไปตายที่กุฎิ
    หลวงพี่สมานกับพรรคพวกก็ช่วยหอบหิ้วไป ตอนนี้แกสึกซะแล้วถ้าเราเป็นก็ไม่มีคนหิ้วแล้ว หลวงพี่สมานช่วยหอบช่วยหิ้วไปกลับไปถึงกุฎิ คืนนั้น มันเกิดหิวขึ้นมาไส้จะขาด คนไม่ได้กินมา ๖ วันมันหิวขนาดไหนน่าจะรู้ อยู่ ๆ อาการมันเกิดเฉย ๆ ก็เลยรอตอนเช้ารอให้สว่างรอแทบไม่ไหว มันอยากกินน้ำลายเหนียวไปหมด (หัวเราะ) อยากกินอะไรก็ได้ที่มันเผ็ดมาก ๆ พอได้อรุณปุ๊บก็ถือไม้เท้าค้ำไปที่ร้านของป้ากิมกี เพราะว่าถ้าไม่ถือไม้เท้ามันหมุนไปเรื่อย มันหมุนเหมือนกันกับคนทรงตัวไม่ได้ จนกว่าจะติดอะไรมันถึงจะหยุด เพราะประสาททรงตัวมันเสีย
    พอไปถึงก็บอกยายแจ๋วบอกว่า ผัดกระเพรามาใข่ดาวด้วยเอาเผ็ด ๆ ยายแจ๋วเขาก็ทำมาให้จานเบ้อเริ่มเลย เข้าไปนั่งรอฉันอยู่ใต้หอระฆัง พอเอามาลองดม ๆ ดู เออ! มันไม่อ้วกแน่ ก็ฟาดโลด พอฉันหมดมันเหมือนยังกับง่วงกระทันหัน อยากจะหลับเดี๋ยวนั้นเลย อาการอย่างนี้หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ เคยถามท่านเพราะมันเป็นหลายที ท่านบอกว่าถ้าพระหรือพรหมหรือเทวดา ท่านต้องการจะติดต่อด้วย แล้วเราไม่ได้ทรงอารมณ์เพื่อรับการติดต่อจากท่าน ท่านจะกดเราเพื่อให้ติดต่อได้ คือท่านจะเป็นฝ่ายปรับคลื่นมาเอง มันเหมือนยังกับง่วงจะหลับให้ได้เดี๋ยวนั้น ฟิวส์ขาดเลย เราก็ถ้วยจานไม่ต้องเก็บล่ะวะ เอนลงได้ก็นอน
    พอเอนลงปุ๊บมันรู้สึกว่าเตียงมันยุบฮอบลงไปเลย ลืมตาขึ้นมาอยู่ตรงหน้าท่านปู่พอดี ไม่ใช่ปู่ ท่านลุง อยู่ตรงหน้าท่านลุงพอดีเราก็ตายล่ะวา นี่ตูตายแล้วตกนรกด้วย (หัวเราะ) ท่านปู่นายบัญชี ท่านเปิดบัญชี บัญชีเล่มหนาปึ๊กเลยนะ เปิดเม่นจริง ๆ เปิดปึ๊กถึงหน้าของเราเลยดูว่าอีก ๖ วันหาย แล้วท่านก็ปิดตึง เรากราบลาได้ก็เผ่นเลย เดี๋ยวท่านเปลี่ยนใจ (หัวเราะ) หนี้เก่ายังไม่ได้ใช้เยอะ เดี๋ยวท่านเปลี่ยนใจทวงขึ้นมาล่ะยุ่งเลย เผ่นกลับมามันก็สบายใจโยมเขาก็พาไปรักษา ไปเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ครั้งละห้าพัน ก็ไปกับเขา ไปเรื่อยแหละ
    จนกระทั่งถึงวันที่ห้ากลางคืน นิมิตเห็นหลวงปู่มหาอำพัน ท่านให้ไม้เท้าอันหนึ่ง ไม้เท้าหวายสีขาว ๆ บอกกับโยมช่วยพาไปกุฎิหลวงปู่ทีเถิด จะเอาไม้เท้าไปถึงหลวงปู่ท่านเห็น ท่านก็บอกว่าคุณดูผมมาเยอะแล้ว ตอนนี้ขอผมดูแลคุณบ้างนะ แล้วท่านก็ถวายไม้เท้าอันที่เราเห็น ท่านบอกว่าพอหายแล้วไม่ต้องคืนผมเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าคุณเคยป่วยหนักขนาดนี้
    พอตอนบ่าย ๆ มีลูกศิษย์หลวงปู่มาคนหนึ่ง เขามีพ่อบุญธรรมเป็นหมอนวด พอเขาเห็นอาการเขาบอกว่าในเมื่อรักษาทางปกติแล้วมันไม่ได้ผล ลองให้หมอนวดดูบ้างมั้ย ? ก็บอกว่าอยู่ไกลมั้ย ? ไม่ไกลหรอก แล้วถ้าแขกเขาไม่มากลัดคิวได้ด้วย ก็เลยไป ไปถึงถือไม้เท้าไปน่ะ หมอเอามือแตะคอปุ๊บบอกกระดูกคอเคลื่อน ๒ ข้อ แล้วถามว่ารักษาได้มั้ย ? เขาบอกว่าสบายมาก เอาแขนกดต้นคอไว้ จับคอบิดกรึ้บเดียวหายเลย ๖ วันพอดีเป๊ะ ไม่มีพลาดเลย ท่านบอกว่า ๖ วันหาย ก็รวมแล้ว ๑๒ วันเต็ม ๆ
    ตอนนั้นไม่ได้เจตนาหรอกเพราะว่าไปกับหลวงพ่อท่าน ไปฉลองโบสถ์กับหลวงพ่อลักษณ์ วัดศรีรัตนาราม ท่านสร้างโบสถ์อยู่สร้างเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จซะที ก่อนหน้านี้สมัยหลวงพ่ออยู่วัดโพธิ์ชัยนาท หรือวัดสะพาน จนกระทั้งไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านก็เจอกันตลอดออกกิจนิมนต์ออกอะไร
    หลวงพ่อลักษณ์ ทิพยจักขุญานท่านดีใช่มั้ย ? แต่ว่าดีขนาดไหนก็ไม่คล่องตัวอย่างหลวงพ่อ หลวงพ่อลักษณ์สร้างโบสถ์เท่าไหร่ก็ไม่เสร็จ มาถามหลวงพ่อหลวงพ่อบอกว่าไปทุบส้วมทิ้งซะ แกสร้างส้วมไว้ใต้โบสถ์ท่านบอกว่าโบสถ์เป็นสถานที่ศักดิ์ศิทธิ์อย่าเอาสิ่งสกปรกไปไว้ในเขตนั้น หลวงพี่ลักษณ์กลับไปทุบส้วมเสร็จ อุปสรรคต่าง ๆ หมดกลี้ยง สร้างโบสถ์เสร็จฉลองได้ ก็คิดดูซิบังอยู่นิดเดียวเท่านั้น
    ทั้ง ๆ ที่ท่านคล่องตัวในทิพยจักขุญานมากนะ แต่ท่านก็ไม่รู้ พอถามหลวงพ่อ เสร็จก็นิมนต์หลวงพ่อไปฉลอง เพราะข้างล่างท่านทำเป็นที่พักใต้โบสถ์ ใต้ถุนทำเป็นที่พัก พระวัดท่าซุงไปที่ฉันเพลเสร็จก็พักผ่อนอยู่ที่นั่น หลวงพ่อ รับแขกอยู่ข้างบน พอบ่าย ๒ หลวงพ่อบอก เฮ้ย !รวมพลขึ้นรถเว้ยจะกลับแล้ว พวกเราวิ่งกันช้าไม่ได้ใช่มั้ย ใต้ถุนโบสถ์นั้นมันครือ ๆ กับหัวหัวแค่นี้ แต่ปรากฏว่าทางประตู คานแบบลดลงมาคืบหนึ่ง แล้วลองคิดดูมันก็หน้าผากพอดี ๆ วิ่งเข้าไปหาชนิดไม่ต้องยั้งเลย เสียงดังเปี๊ยะ ใครตีกูว่ะ ? ดาวขึ้นว่อนเลย เอามือคลำดู แตกยาวเป็นนิ้วเลยนั่นแหละไปวันที่ ๙ เมษา ปรากฏว่าวันที่ ๑๔ เมษาตอนเพล มันถึงแสดงอาการ
    วันที่ ๑๔ เมษาเป็นเวรครัวอยู่กับเณรตวง พองานครัวจัดอาหารอยู่ก่อนเพล หิ้วเข่งที่ใส่จานที่เขาใส่กับข้าวตอนวันพระ พอถึงเวลาเราถ่ายรวม ๆ ลงปิ่นโตอาหารอย่างเดียวกัน เทรวมกัน ๆ แล้วแบ่งวง แบ่งเสร็จจะเหลือถ้วยเยอะ สองคนกับเณรตวงหิ้วไปจะไปล้าง
    พอหิ้วขึ้นมันรู้สึกแผ่นดินมันหมุ่นไปหมด บอกเณรตวงว่า เณร....ถ้าอยู่ ๆ หลวงพี่ล้มนี่เอ็งเอาเข่งให้อยู่นะ อย่าให้ของแตกหลวงพี่ล้มฟาดลงไปก็ไม่เป็นไร กลัวของสงฆ์เสียหาย เณรตวงก็ครับ ๆ เลยกัดฟันหิ้วจนกระทั่งถึงบอกว่าเณรล้างไม่ไหวนะอยู่ ๆ มันเป็น ช่วยบอกพระเวรด้วยกันอีกสององค์ บอกว่าให้ช่วยจัดเรื่องเพลที เราเองตะเกียกตะกายขึ้นไปจนกระทั่งถึงกุฎิ มันเริ่มอาเจียน ว่าเป็นถังเลย มีเท่าไรอยู่ในท้องมันออกหมด กระดูกคอ ๒ ข้อ
    พอมันชนตรงนี้แรงสะบัดมันทำให้กระดูก ๒ ข้อนั้นหลุด แล้วมันไปค้ำอยู่เราเลยหน้าไม่ได้ แล้วไม่ได้สังเกตตัวเอง มันอยู่ในลักษณะนี้แล้วไปเบียดประสาทการทรงตัง ทำให้เหมือนยังกับว่าเราอยู่บนที่โคลงไปโคลงมา แบบอาการเมารถเมาเรือก็อาเจียนไปถึงเขาหามไปหาหมอยังมีสติบอกหมอช่วยเช็คดูด้วยมันเป็นเชื้อไทฟอยด์หรือเปล่า อยู่ ๆ มันจะอาเจียนกะทันหัน หมอเขาก็ครับ ๆ คือรู้ทุกอย่าง สั่งหมอได้แต่บังคับตัวเองไม่ได้ ขยับตัวนิดมันจะพลิกเป็นตุ๊กตาล้มลุกไปเลย ขยับนิดเดียวมันวูบไปเลย พอแตะติดมันก็หยุด ถ้าหากว่ายืนขึ้นก็หมุนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะติดข้างฝาหรือแตะอะไรได้มันถึงจะหยุด เขาก็ให้แต่ยาปรับความดันมากิน ล่อซะ ๖ วันเต็ม ๆ ให้น้ำเกลือไม่เข้าสักอย่าง อาการก็เป็นอย่างที่ว่ามาแล (หัวเราะ)

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ตอนนี้ไม่มีกำเริบแล้วเหรอ กระดูก ?
    ตอบ : เห็นเขาชอกว่าอย่าโดนซ้ำ ถ้าโดนซ้ำคราวนี้อาจตายได้ เพราะว่าคอมันหักซะทีหนึ่งแล้วนี่ ยังดีที่มันยังไม่เบียดประสาทขาด ถ้าเบียดประสาทขาดก็เรียบร้อย เขาบอกว่าถ้าเบียดประสาทหายใจก็เท่งทึงเสียตั้งแต่แรกแล้ว มันไปเบียดประสาททรงตัว
    ถาม : ทำไมตั้งหลายวันกว่ามันจะออกอาการ ?
    ตอบ : ไม่รู้ เรามันอึดผิดมนุษย์มะนาหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือมันทำงานไป ก้ม ๆ เงย ๆ จนกระทั่งมันเบียดเข้าพอดี วันที่ ๙ เมษา ไปออกอาการวันที่ ๑๔ ถ้านับหัวนับท้ายชนกันก็ ๖ วัน โดน ๖ วันอยู่โรงพยาบาล ๖ วัน ไปรักษาตัว ๖ วัน ลงด้วย ๖ หมดเลย ก็ขนาดเจอท่านปู่นายบัญชี ท่านก็บอกว่าอีก ๖ วันหาย จริง ๆ ด้วย วันที่ ๖ พอดีเป๊ะเลย เราก็สบายใจ อยากเป็นอะไรก็เป็น
    ตอนนั้นอาการแย่มากมองดูแค่นี้มองไม่ออกหรอกว่าใครเป็นใคร ใช้จำเสียงเอา กินยาปรับความดันเสียหูอื้อตาลาย ทุกคนเขาบอกว่าน้ำในช่องหูมันเสียระดับของมัน ความจริงคนละเรื่องเลย แล้วเห็นเราแตกมันเอ็กซเรย์แต่หัว ถ้าลงมาคอนิดเดียวก็เห็นแล้ว กรรมมันบังล่อเสียจนกระทั่ง ๑๘ วันเต็ม ๆ
    ถาม : .........(ไม่มีเสียง)...........
    ตอบ : การถวายอติเรกต่อในหลวงฟังดูเหมือนกับ........ยังไง ? ติดอ่างท่านจะใช้ อติเรก วัสสะสะตัง ชีวะตุ อติเรก วัสสะสะตัง ชีวะตุ ทีฆายุโกโหตุ อโรโคโหตุ ทีฆายุโกโหตุ อโรโคโหตุ เพราะว่าตอนสมัยรัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่ ๔ ท่านเก่งบาลี ท่านชอบลองพระ พอถึงเวลาเลิกงาน ท่านขอพรเล่นเอาพระอึ้งเลย ก็เริ่มเลย อติเรก วัสสะสะสตัง ชีวะตุ ทีฆายุโกโหตุ อโรโคโหตุ ขอให้อายุยืนเป็นร้อยปี ควาวนี้มันต่อไม่ได้ มันก็ต้องซ้ำ เทศน์ของเก่า อติเรก วัสสะสะตัง วีวะตุ ทีฆายุโกโหตุ อโรโคโหตุ ขอให้เป็นผู้มีอายุยืนปราศจากโรคภัย มันต้องซ้ำเพราะว่าไปต่อไม่ได้ ฟังเหมือนยังกับติดอ่าง เขาลองกันขนาดนั้น
    เรื่องสนุก ๆ สมัยนั้นเยอะ อ่าน ๆ ดู รัชกาลที่ ๔ กับเจ้าคุณธรรมกิตติ ก็งัดข้อกันประจำ เพราะต่างคนต่างเก่ง สมัยก่อนเขาสอบบาลี เขาสอบปากเปล่าหน้าพระที่นั่ง พระเข้าไป ก็ อาสเน นิสินโน อันว่านั่งเหนืออาสนะ เจ้าคุณธรรมกิตติเขาบอกฝ่านไม่ได้ นั่งเหนืออาสนะ ตูดต้องลอยเหนือพื้น (หัวเราะ) พระเขาก็แปลใหม่ อาสเน นิสินโน อันว่านั่งในอาสนะ รัชกาลที่ ๔ ตรวจ ผ่านไม่ได้ นั่งในอาสนะมันต้องฉีกผ้ามุดเข้าไป ( หัวเรา) ตกลงใครซวย คนแปลซวย นักปราชญ์เขาขัดคอกัน
    ถาม : แล้วนั่งบนอาสนะ ?
    ตอบ : สมัยนั้นเขานึกไม่ทันแปลปากเปล่า แปลปากเปล่านี่ สมเด็จพระสังฆราชสา ปุสเทโว ท่านแปลปากเปล่า ๙ ประโยค ท่านอยากจะใช้ชีวิตทางโลก ท่านก็สึก รัชกาลที่ ๔ สั่งจับขัง จับขังคุกเลย เอาผ้าไตรวางไว้หน้าประตู ถ้าออกมาก็ต้องบวช ถ้าอยากสึกอยู่ในคุกต่อไป ท่านเลยต้องออกมาบวช พอบวชเสร็จท่านก็.. เราสึกมาระยะหนึ่ง ความรู้มันจะแน่นหรือเปล่าไม่รู้เข้าแปลใหม่ แปลได้ ๙ ประโยคอีก เขาเลยเรียกมหาสา ๑๘ ประโยค
    ตอนหลังก็เลยเป็นสมเด็จพระสังฆราชสา ปุสเทโว มีองค์เดียวในประวัติศาสตร์ ๑๘ ประโยค เก่งขนาดนั้นนะ รัชกาลที่ ๔ ท่านเสียดาย สึกไปจะได้ประโยชน์อะไรกับทางโลกนักหนา เอาทางธรรมดีกว่า จนท่านได้เป็นพระสังฆราช
    เรื่องรัชกาลที่ ๔ ท่านเยอะ โดยเฉพาะงัดข้อกับสมเด็จวัดระฆัง หลวงพ่อโตวัดระฆังต่างคนต่างเป็นนักปราชญ์ใช่มั้ย ? ถึงเวลาท่านสร้างวังสระปทุม ที่ปัจจุบันเป็นวัด สระปทุมวนาราม มี หลวงพ่อพระเสริม พระพุทธรูปที่ได้จากลาว สร้างขึ้นมาสนมกำนัลก็เพลิดเพลินจำเริญใจ พายเรือเที่ยวในสระบัว สมเด็จพระพุฒาจารย์แจวเรือเข้าไปรับบาตร
    รัชกาลที่ ๔ ท่านก็ประเภทว่าภูมิใจสร้างวังได้สวย ก็ .....เป็นไงขรัวโต งามมากมั้ย ? สมเด็จพุฒาจารย์โตท่านบอก งามมากมหาบพิตร งามประดุจราชรถ โห! รัชกาลที่ ๔ โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย ต่งคนต่างรู้กัน เพราะมันมีบาลีอยู่บทหนึ่งว่า เอตถะ ปัสสะถิมัง โลกัง จิตตัง ราชะรถูปมัง แปลความว่า สูเจ้าทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ที่งามประดุจราชรถ ซึ่งคนเขลาทั้งหลายหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่ ( หัวเราะ) ท่านบอกงามมากมหาบพิตร งามประดุจราชรถ รัชกาลที่ ๔ โกรธไฟแลบเลย แต่ท่านเป็นบัณฑิตท่านรู้ว่าโดนลองของ พอถึงเวลาท่านเลิกโกรธ ก็นิมนต์เข้ามาใหม่ ลองกันหนัก ๆ อย่างนี้
    บางทีโกรธขึ้นมาท่านสั่งถอดออกจากตำแหน่งเลย ยึดพัดยึดอะไรเกลี้ยงเลย ท่านก็เดินฉับ ๆ ของท่านกลับ สังฆการี วิ่งมานิมนต์บอกว่า ทรงหายกริ้วแล้วเอาพัดมาถวายคืน ท่านบอกไม่ได้ อันนี้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้เท่านั้นไม่ใช่คุณ อาตมาไม่รับ รัชกาลที่ ๔ ท่านนิมนต์เข้าวังไปรับพัดเสียผ้าไตรซะอีกชุดหนึ่ง (หัวเราะ) เปล่าเขาเล่นกันนะ แล้วเสร็จแล้วองค์อื่นทำตามไม่ได้
    เจ้าคุณธรรมกิตติเลียนแบบทีหนึ่งโดนเลย เกือบจะสั่งเฆี่ยนไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่เป็นพระ ก็ตอนที่เจ้าจอมประสูติเจ้าฟ้า ท่านเองพอดีเป็นวันทรงศีล วันพระ สมเด็จวัดระฆังท่านก็เทศน์ไปเรื่อย ไปเรื่อยท่านก็อยากรู้เต็มทีว่าลูกผู้หญิงลูกผู้ชาย ผุดลุกผุดนั่ง จะไปดูหน้าก็ไม่ได้ดูสักที เทศน์ไม่รู้จบน่ะ จนกระทั่งท่านทำใจ เอาล่ะเดี๋ยวฟังเทศน์จบแล้วค่อยไปดูก็ได้ ใจเย็นลงตั้งใจฟังเทศน์ ท่านก็เอวังด้วยประการละฉะนี้ แหม! เจ็บใจมากวันพระหน้านิมนต์ใหม่ ตั้งใจเต็มที่เลยทรงผ้าไปเพื่อเตรียมฟังเทศน์โดยเฉพาะ ท่านขึ้นธรรมาสน์เสร็จ ใด ๆ มหาบพิตรรู้ดีอยู่แล้ว เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้ รัชกาลที่ ๔ ท่านก็อะไร ? วันพระที่แล้วนี่อยากจะไปดูหน้าลูกไม่ได้ดูสักที วันพระนี่ตั้งใจฟังเทศน์จบเอาง่าย ๆ ตอนที่ไม่อยากฟังเทศน์ซะยาวเลย ท่านบอกว่าการฟังเทศน์เพื่อชำระจิตใจให้มันบริสุทธิ์ ให้มันเยือกเย็น มหาบพิตรใจร้อนอยู่ก็ต้องเทศน์ให้มันเย็นให้ได้ถึงจะเลิก แต่วันนี้ดีอยู่แล้วจะไปเทศน์ทำไม (หัวเราะ)
    เจ้าคุณธรรมกิตติเลียนแบบมั่ง ขึ้นธรรมาสน์ถึงใด ๆ มหาบพิตรก็รู้อยู่แล้ว เกือบโดนจับเฆี่ยน ท่านบอกท่านยกให้ขรัวโตองค์เดียว ท่านรู้ว่าสมเด็จวัดระฆังท่านเป็นพระดีขนาดไหน สิ่งต่าง ๆ ทีท่านให้มาเป็นข้อคิดเป็นอะไรล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นปริศนาธรรมแล้วก็เป็นเรื่องที่ว่าเจตนาที่จะสงเคราะห์ท่านโดยเฉพาะ ท่านรับได้ โกรธแค่ไหนท่านก็รับได้ แต่องค์อื่นอย่ามาเลียบแบบ เลียนแบบแล้วจะจับสั่งเฆี่ยนทั้งที่เป็นพระ (หัวเราะ)

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : หมายถึงท่านไม่นับถือองค์ไหนเลยหรือ ?
    ตอบ : ไม่ใช่ว่าไม่นับถือ นับถืออยู่ แต่ว่า ... ลักษณะอย่างนี้ยกให้องค์เดียว จนกระทั่งคนเขาลือกันว่าขรัวโตเป็นปาปมุติ ปาปมุติหมายถึงผู้พ้นจากบาปทั้งปวงแล้ว หมายถึงพระอรหันต์เท่านั้น ทำอะไรก็ไม่ผิด ขนาดสั่งเนรเทศออกจากแผ่นดินนี่
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านนอนเขลงอยู่ในโบสถ์ไม่ไปไหนหรอก สังฆการีไปถึงก็บอกนิมนต์ไปได้เลยครับเพราะว่าไม่ให้อยู่ในแผ่นดินแล้ว ท่านบอกว่านี่ไม่ใช่แผ่นดิน นี่เป็นเขตสงฆ์ เขาเรียกว่า เขตสีมา มันเป็นเขตของสงฆ์ ไม่ใช่เป็นเขตของพระเจ้าแผ่นดินม่านเพาะฉะนั้นท่านอยู่ของท่านได้ จนกระทั่งต้องยอมยอโทษให้ ก็จริงของท่าน พระราชทานให้เป็นพุทธาวาสไปแล้วใช่มั้ย ? มันไม่ใช่เขตในรับผิดชอบของท่านแล้ว ไม่ใช่เขตการปกครองของท่านแล้ว เป็นเขตของวัด เขตของพระนอนตีพุงสบาย ไล่ไม่ไปหรอก คนดีซะอย่าง
    สมัยเก่า ๆ ลองไปอ่านดู ที่เลวก็ไม่มีที่ติเลย บทลงโทษพระโทษอะไรนี่ว่าทำไมเขาลงโทษกันรุนแรงถึงขนาด บางทีถึงกับจับเฆี่ยนคือที่ผิดจริง ๆ ปราชิกก็มี รัชกาลที่ ๔ น่ะท่านมีเจ้าฟ้าอยู่องค์โต คือพระองค์เจ้ายอดยิ่งเยาวลักษณ์ โดนถอดออกเพราะว่าไปท้องกับวัดไหนจำไม่ได้ เขาเล่นปีนตึกหากัน ตอนแรก ๆ หมอตรวจก็บอกว่าเป็นโรคท้องมาน ท้องมานนี่ท้องมันจะโตไปเรื่อย ๆ ลักษณะคล้ายกับอาหารไม่ย่อยหรืออะไรอย่างนั้น มานไปมานมาคลอด กลายเป็นว่าท้องกุมาร ก็เลยโดนถอดจากยศ โดนลงโทษ
    รุ่นนั้น รู้สึกท่านจะเป็นพี่สาวใหญ่ของกรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชสมัยรัชกาลที่ ๕ แล้วก็มี ยิ่งเยาวลักษณ์ พักตร์พิมลพรรณ เกษมสันต์โสภาค มนุสสนาคมานพ บรรจบเบญจมา พระองค์เจ้ามนุสสนาคมานพ ก็คือกรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นสมเด็จพระสังฆราชสมัยรัชกาลที่ ๕ จนกระทั่งถึงที่ ๖ เล่นเอาพี่สาวใหญ่เลย โดนจับถอดยศ กลายเป็นหม่อมยิ่งเฉย ๆ
    เรื่องโบราณ ๆ ต้องมีของโบราณ ๆ อยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นจำยาก ถ้าไม่มีของโบราณอยู่บ้างจำไม่ค่อยได้ ชื่อสมัยนั้นเขาเพราะนะ คล้อง ๆ กันหมด ยิ่งเยาวลักษณ์ พักตร์พิมลพรรณ เกษมสันต์โสภาค มนุสสาคมานพ บรรจบเบญจมา ของรัชกาลที่ ๕ ก็มี จันทราสรัสวาร เยาวมาล์นฤมล ยุคลทิฆัมพร นภาจรจำรัสศรี มาลินีนภดารา นิภานภดล เขาเรียกพวกเจ้าฟ้า อยู่บนฟ้าหมด นิภาก็ฟ้า นิภานภดล แปลว่าสว่างถึงฟ้าเลย จันทราสรัสวาร พระจันทร์ก็อยู่บนฟ้า
    ของรัชกาลที่ ๕ ท่านก็มีจุฬาลงกรณ์ จันทรมณฑล จาตุรณรัศมี ภานุรังษีสว่างวงศ์ เคยได้ยินมั้ย ? ลูกแม่เดียวกันก็จะชื่อคล้อง ๆ กัน จุฬาลงกรณ์ จันทรมณฑล จาตุรณรัศมี ภานุรังษีสว่างวงศ์ แล้ว รัชกาลที่ ๖ ก็ มหาวชิราวุธ จุฑาธุชธราดิลก ประชาธิปกศักดิเดชน์ ๓ องค์ ๒ รัชกาล แต่สมเด็จย่าของเรา ๒ องค์ ๒ รัชกาล (หัวเราะ) ถึงว่าสมเด็จย่านี่นับแล้วจะเป็นผู้หญิงที่มีบุญมากที่สุด จากสามัญชนมีลูกเป็นพระเจ้าแผ่นดินสองพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีนั้นท่านพูดง่าย ๆ ก็คือเชื้อพระวงศ์ แต่ว่าสมเด็จย่านี่เป็นสามัญชน จากนางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏ ขึ้นไปเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี แล้วสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีท่านมากกว่า อันนี้มี ๒ องค์เป็นทั้งคู่
    เรื่องของการสืบสันติวงศ์นี่ขึ้นอยู่กับบุญบารมีเหมือนกัน พอสิ้นรัชกาลที่ ๗ ไม่ใช่คิวของในหลวง รัชกาลที่ ๘ ที่ ๙ เลย เพราะว่าตอนนั้น เขาเรียกว่าสายตรงไล่ตามอาวุโสลงมา อาวุโสสูงสุดก็คือเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลก ประชานารถ ท่านทิวงคตเสียก่อนมาลูกชายใครล่ะ ? พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์แม่เป็นแหม่ม เลยไม่ได้ตัดไป ถัดมาก็ต้อง กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย กรมหลวงนครราชสีมา ทิวงคตหมด แล้วก็สมเด็จเจ้าฟ้ายุคคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ท่านก็ทิวงตคต ต้องใช้คำว่าทิวงคต ทิวงคตลูกคือใครล่ะ ? ชายใหญ่ ชายกลาง ชายเล็ก ชายใหญ่ก็พระองค์เจ้าภานุพันธ์ยุคคล พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพรนี่ชายกลาง พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการนี่ชายเล็ก นี่สายตรงนะท่านมีสิทธิ์เป็นก่อนนะ แต่ ๓ องค์นี่ไม่ล่ะ มันเล่นปฎิวัติขนาดถอดพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าเป็นก็แย่สิ ท่านก็สละสิทธิ์
    พอสละสิทธิ์มา พระองค์เจ้าวรานนทวัชนี่ท่านประพฤติองค์เป็นเพลย์บอยเลย ใครก็ไม่ศรัทธาอยู่แล้ว เลยหลุดไปอีกองค์ แล้วก็มาถึงกรมหลวงสงขลานครินทร์ ท่านเองทิวงคตก็เหลือลูก จริง ๆ แล้วลูกของท่านนี่จากสามัญชนนี่เป็นหม่อมเจ้าเท่านั้น ทำความดีเลื่อนขึ้นมาเป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ไม่ใช่พระเจ้าวรวงศ์เธอ เป็นแค่วรวงศ์เธอพระองค์เจ้า เลยขอสมเด็จย่าไป ก็ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลไป พอรัชกาชที่ ๘ ไปต้องพระแสงปืนสวรรคต มาถาม ไม่ต้องแล้ว คนเก่าปฎิเสธหมด คราวที่แล้วให้ออก คราวนี้ฆ่าเลย ต้องมาถึงสมเด็จย่าอีก
    สมเด็จย่าถึงได้บอกว่าเอาลูกฉันไปฆ่าคนหนึ่งแล้ว ยังจะเอาอีกเหรอ แต่ว่าเพื่อประเทศชาติท่านก็สละให้ คิดดูว่าจากที่ไม่มีอยู่ในคิวสืบสันตติวงศ์ ยังไง ๆ ก็มาไม่ถึง เป็นได้ เป็นซะ ๕๐ กว่าปีด้วยเรื่องของบุญเรื่องของบารมี ถึงได้บอกว่าแข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้ เรื่องของในรั้วในวังต้องใกล้ ๆ หน่อย ไม่งั้นจำยากไล่ลำดับยาก ใกล้รั้วใกล้วัง บางทีผ่าน ๆ บอกว่า ตรงนี้ ยังงี้ โยมเขาก็ถามว่ารู้ได้ไง บอกว่าเคยแก้ผ้าวิ่งอยู่แถวนี้ เขาคิดว่าเด็ก ๆ เราอยู่แถวนี้ (หัวเราะ) มันก็จริง ๆ เด็ก ๆ เราอยู่แถวนั้นแต่เด็ก ตอนไหนเราไม่บอก
    สิ้นรัชกาลที่ ๑ คนเขาบอกว่า มันยังอยู่หน้าศึกหน้าสงคราม รัชกาลที่ ๒ ท่านอ่อน ท่านไม่เก่ง คือท่านไปถนัดเรื่องของ ศีลปะต่าง ๆ แทน คนก็โหยหาเลยว่าจะมีใครมาเก่งแบบนี้อีกหนอ มีรัชกาลที่ ๕ สิ้นรัชกาลที่ ๕ นี่ จีน พรหามณ์ แขก ร้องให้กันระงมเลย ขนาดคนจีนเขาร้องไห้กันทั้งสำเพ็ง บอกว่าฮ้องเต้ดี ๆ อย่างงี้ได้ที่ไหน พอองค์ใหม่ขึ้นมาอาจจะไม่ให้อยู่
    พอสิ้นรัชกาลที่ ๕ ก็มีรัชกาลที่ ๙ เพราะฉะนั้นมันเป็นช่วงเป็นจังหวะ องค์อื่น ๆ ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญนะ เหมาะสมตามวาระตามเวลาทั้งหมด แต่ว่า วาระนั้น เวลานั้นเรื่องเด่น ๆ อย่างอื่นมันไม่มี อย่างรัชกาลที่ ๓ ท่านเหนื่อย ๓ รัชกาลเลย เพราะว่า ท่านทำงานแทนพ่อหมดถึงขนาดพ่อมีเวลาไปนั่งแกะสลักประตูวัด รัชกาลที่ ๒ เขาถือว่าฝีมือช่างนี่เยี่ยมยุทธเลย แกะสลักประตูวัด....วัดสุทัศน์หรือเปล่า ? ที่ท่านแกะสลักเสร็จท่านโยนเครื่องมือทิ้งน้ำไปเลย เพราะไม่มีใครเลียนแบบได้อีกแล้ว แล้วมารัชกาลของท่านเองท่านก็ต้องเหนื่อยต่อ เพราะช่วงนั้นพวกอังกฤษเริ่มยึดครองด้านตะวันออกไกลอีก
    แล้วท่านต้องเหนื่อยแทนรัชกาลทที่ ๔ อีกหาเงินให้เข้าท้องพระคลังหลวงเพื่อให้น้องรัชกาลที่ ๔ จะได้ไม่ต้องลำบากเพราะว่าน้องบวชพระอยู่ ทำมาหากินไม่เป็น ใคร ๆ ก็บอกตอนแรกว่ารัชกาลที่ ๓ แย่งสมบัติน้อง แต่ความจริงไม่ใช่ ถ้าท่านไม่รับรัชกาลที่ ๔ ขึ้นมาอาจตาย เพราะรัชกาลที่ ๔ ท่านอ่อน ใจของท่านเรียกว่าอ่อนโยนไม่เข้มแข็ง ไม่เป็นที่เชื่อถือของบรรดาเสาวกามาตย์ทั้งหมดในช่วงนั้น
    ถ้าหากว่ารัชกาลที่ ๔ ขึ้น เหล่าพวกขุนพลศึกแม่ทัพต่าง ๆ ที่จะคิดแทนทำแทนเจ้านายตัวเองมีก็อยากจะต้องการให้กรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ขึ้นครองราชย์ อาจปฎิวัติรัฐประหารแล้ว รัชกาลที่ ๔ ท่านจะรอดมั้ยล่ะ ? เพราะว่าท่านเองท่านทำงานแทนพ่อมาตลอด คนเขาเห็นฝีมือ เขาเชื่อถือยกท่านขึ้นเป็น ท่านเป็นพระมหากษัตริย์องค์เดียวของราชวงศ์จักรีเถลิงถวัลย์ราชสมบัติโดยไม่ได้สวมมหามงพิชัยมงกุฏ พอพราหมณ์ทั้งหมดยกมหาพิชัยมงกุฏถวาย ท่านวางไว้ข้างพระองค์บอกว่าเก็บไว้ให้น้องเขา แล้วคนจะเอาจะทำอย่างนั้นทำไม ?ท่านได้แต่รักษาสมบัติไว้แทนน้องเท่านั้นเอง แล้วท่านได้ช่วยหาเงินเข้าพระคลังหลวงอย่างชนิดที่เรียกว่าเหลือเฟือเลย บอกว่าขอไว้แค่สามหมื่นชั่งเศษ ๆ เอาไว้บำรุงวัดที่ท่านช่วยสร้างไว้ ๓๐ ๔๐ วัดที่เหลือนั้นยกให้หมดเลย ท่านเหนื่อยแทน รัชกาลที่ ๔ ตอนนั้นท่านเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าอยู่ ก็เข้ามาถวายบังคมความยินดีตามแบบคราวนี้มันอาจมีบรรดาเจ้าใหญ่นายโตเคลื่อนไหวรุนแรงพึงพับไป ท่านก็ตกใจจนตัวสั่น รัชกาลที่ ๓ บอกไม่ต้องกลัว ถ้าท่านยังอยู่ม่มีใครทำอะไรได้ รัชกาลที่ ๔ ท่านไปบวชเป็นพระ คล้าย ๆ กับว่าหนี ราชภัย
    สมัยก่อนไปบวชนี่ถือว่าพ้นจากโทษทั้งปวงแล้ว เป็นคนของพระศาสนาไป คราวนี้ที่ท่านตั้งธรรมยุติขึ้นมา อันดับแรกก็คือว่า ต้องการจะเห็นสงฆ์ที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยแบบพระมอญขึ้นมาบ้าง อันดับที่สองก็คือว่าถ้ามีคนเขานับถือตามเป็นจำนวนมาก ก็มีกำลังพอที่จะต่อรองกับรัชกาลที่ ๓ ท่านได้ มีเพาเวอร์ของตัวเองบ้าง นั่นเป็นส่วนลึก ๆ อยู่ในใจ เพราะฉะนั้นองค์เดียวเหนื่อย ๓ รัชกาล แต่ว่าคนไม่ค่อยเห็นความดีท่านหรอก
    ปัจจุบันนี้ยังเหนื่อยต่อเป็นพระสยามเทวาธิราชอยู่ รัชกาลที่ ๓ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นไม่ใช่เหนื่อยแค่ ๓ รัชกาลนะ สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า ๘ รัชกาลแล้ว

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : พระสยามเทวาธิราชนี่เป็นใครค่ะ ?
    ตอบ : พระสยามเทวาธิราชส่วนใหญ่จะเป็นบูรพามหากษัติริย์ยาธิราชและเชื้อพระวงศ์ที่ท่านขึ้นไปได้ดีอยู่ข้างบนแล้วก็ยังห่วงใยประเทศชาติอยู่ รับหน้าที่ดูแลรักษาด้วยกัน เรียกรวม ๆ ว่าพระสยามเทวาธิราช จริง ๆ มีบานเลย ฟังนิทานย้อนยุคหน่อย อตีตากำลังฮิต ว่าเรื่องเก่า ๆ ว่าไปเรื่อยเลย คนอื่นมันไม่รู้มันเถียงไม่ได้หรอก
    ถาม : แล้วเรื่องแหม่มแอนนา ?
    ตอบ : แหม่มแอนนาสมัยรัชกาลที่ ๔ แต่จริง ๆ คือสมัยรัชกาลที่ ๒ เลย เพราะว่าจ้างมาเป็นพี่เลี้ยงสอนภาษาให้ แต่ว่าที่เขาเขียนเดอะคิงส์แอนด์ไอน่ะ คิงส์นั้นหมายถึงรัชกาลที่ ๔
    ถาม : เขาเขียนธรรมเนียมไม่ชัดเจน
    ตอบ : สายตาของเขา เขาใช้สายตาของเขา เขาใช้ขนบธรรมเนียมประเพณีของเขา โลกทัศน์ของเขามามอง มันก็จะเห็นอย่างนั้น เขาเองเขาก็ไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งว่าของเราเป็นยังไง ก็แบบเดียวกับเราไปดูพวกกระเหรี่ยงลำบากยากจนเสียเหลือคณา ที่ไหนได้อยู่อย่างเป็นสุขเสียด้วยซ้ำไป เขารู้จักพอ
    ถาม : ............(ไม่ได้ยินเสียง)............
    ตอบ : พระคาถาชินบัญชร เป็นการเร่งบารมี เร่งเจ้ากรรมนายเวรมันเร่งอย่างไง ?
    ถาม : จากหนักก็เป็นเบาอย่างนี้น่ะคะ ?
    ตอบ : คือว่าถ้าเราภาวนาคาถาเป็นประจำ ก็คือสมาธิภาวนา คนที่มั่นคงในทาน ศีล ภาวนานี่ กฎของกรรมตามได้ไม่เกิน ๒๕ เปอร์เซ็นต์ หลวงพ่อบอกไว้ชัดเลย เพราะฉะนั้นมันสำคัญว่าเราทำจริงจังและต่อเนื่องมั้ย ทำทิ้ง ๆ ก็ช่วยอะไรไม่มากหรอก ต้องให้ต่อเนื่องด้วย
    ถาม : ผมก็เข้าใจว่า ( ฟังไม่ชัด) เพราะว่าช่วงนี้ผมก็กำลังตกงานอยู่ด้วย
    ตอบ : ก็เอาสิ ใครเขาว่าอะไร ถ้าเป็นอาตมาตกงานนี่นั่งภาวนาคาถาเงินล้านสักวันหนึ่ง พันสองพันจบไปเลย สบายกว่าเยอะ อยู่ที่เราเองชอบแบบไหนเอาแบบนั้น เพราะว่าคาถาทุกบทคือเครื่องทำใจให้เป็นสมาธิ ผลของสมาธินั้นเป็นอันดับแรก ถ้ากำลังใจเป็นสมาธิใจก็สบาย ถ้าใจดีใจสบายทุกอย่างมันดีหมด ถ้าไปดิ้นรนไปอยากได้ใคร่มีมันร้อนรนกระวนกระวาย เรื่องมรรคเรื่องผลมันตัดไป เรามีหน้าที่ภาวนา ก็ภาวนาของเราไป ผลจะเกิดยังไงก็แล้วแต่เขา
    ถาม : (ฟังไม่ชัด ) หนีไปอยู่ที่ป่าช้า
    ตอบ : จริง ๆ แล้ว การที่เราอยู่กับคน ถ้าเราสามารถทำใจได้ ถ้าชนะแล้ว ก็ชนะเลย แต่ถ้าเราหลบไปที่ใดที่หนึ่งแบบพระธุดงค์เข้าป่าไป ถ้าใจสงบกลับมากระทบมันอาจกำเริบใหม่ได้ ลักษณะนั้นเราทำถูกที่เราหลบซะก่อน เรารู้ว่ามันไม่ไหวมันจะเกินกำลังของเราแล้ว
    สาเหตุมันเกิดจากการที่เรารับอารมณ์ไปสะสมอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว มันนิดหน่อย ๆ เรายังรับได้ ๆ แต่ความจริงพอสะสมไป ๆ เหมือนฟางเส้นสุดท้ายแล้ว ที่ภาษิตฝรั่งเขาว่าฟางเส้นสุดท้ายทำให้อูฐหลังหัก บรรทุกไปตั้งหลายร้อยกิโลมันยังบรรทุกได้ เอาฟางใส่เข้าไปอีกเส้นเดียวมันล้มแผละเลย ของเรามันต้องระวังตัวเองเอาไว้ เรื่องของการรับอารมณ์นี่อย่าให้มันรับเข้ามา เรารู้อยู่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ดี กระทบตาให้มันอยู่แค่ตา กระทบแค่หูให้มันอยู่แค่หู ให้เราทำความดี
    ถาม : (ไม่มีเสียง)
    ตอบ : เรื่องของบุญกฐินหลวงพ่อเคยบอกเอาไว้ว่า ใครเป็นเจ้าภาพกฐินตั้งแต่ ๓ ปี ติดกันขึ้นไปให้สังเกตตัวเองไว้ ความเป็นอยู่จะคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา อันนี้พิสูจน์มาแล้ว เพราะว่าจะเป็นเจ้าภาพกฐินทุก ๆ ปี ติดกันมาตั้งแต่ก่อนบวช จนกระทั่งบวชมาสิบกว่าปีแล้วรู้สึกว่าทำอะไรคล่องตัวดี
    ถาม : หมายถึงในปัจจุบันด้วยนะคะ ?
    ตอบ : จ้ะ ชาติปัจจุบันนี้เลย ความคล่องตัวมันจะเกิดขึ้นเอง ถ้าเราไม่มีความสามารถจะเป็นประธานกฐินเองก็ร่วมกับคนอื่นเขา จะปัจจัยหรือว่าเป็นสิ่งของก็ได้ อย่างพระพุทธเจ้าสมัยท่านเกิดเป็นมหาทุคคตะ เจ้านายจะทอดกระฐิน ท่านเองท่านอยากจะร่วมบุญด้วย มีแค่เข็มกับด้ายเท่านันเอง ร่วมในกฐินแล้วท่านตั้งความปรารถนาขอให้ท่านสำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตด้วย อย่าคิดว่าทำแค่นั้นนะ ปรากฏว่าได้อย่างที่ต้องการ
    บุญกฐินเป็นบุญสังฆทานพิเศษ เหตุที่เรียกว่า เป็นสังฆทานพิเศษ เพราะจำกัดจำเขตที่ทำปีหนึ่งจะมีเวลาทำบุญกฐินได้แค่เดือนเดียว คือแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ จนถึงกลางเดือน ๑๒ วันลอยกระทง เพราะฉะนั้นบุญกฐินก็เลยถวายเป็นบุญพิเศษ เป็นสังฆทานที่มีอานิสงส์ใหญ่มาก
    หลวงพ่อท่านบอกว่าบุคคลที่ทำบุญกฐินถ้าเกิดใหม่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ หมดบุญจากนั้นลงมาเป็นพระมหากษัตริย์ ๕๐๐ ชาติ เป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ ได้ลงไปเรื่อย ๆ ยังไม่ทันจะหมดบุญจากกฐินเข้านิพพานกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสก็ทำถ้าไม่มีโอกาสก็รวมกันหลาย ๆ คน ไม่จำเป็นต้องมาก บุญกฐินสำคัญที่สุดตรงผ้าไตร ถ้าเรามีน้อยสบงผืนหนึ่งก็ได้ มีมากหน่อยก็จีวรสักผื่นหนึ่งถ้าหากว่ามีครบไตรได้ก็ดี ถ้ามีมากกว่านั้นพระเข้ามีกี่องค์ถวายให้ครบองค์เป็นมหากฐิน
    เพราะฉะนั้นกฐินสำคัญตรงผ้าไตร กว้างคืบยาวคืบพระท่านเรียกว่าผ้าไตรแล้ว ผ้าสบงมันเกินคืบแน่ ๆ ก็คือจีวรในพระพุทธศาสนาดังนั้น ผู้ที่ถวายจีวรในพระพุทธศาสนาถ้าเป็นผู้หญิงเกิดใหม่จะมีเครื่องมหาลดาปสาธน์แบบนางวิสาขามหาอุบาสิกา เครื่องมหาลดาปสาธน์นี่เป็นเสื้อคลุมทั้งตัว ที่มีมงกุฏเป็นรูปนกยูงระแพน หางลงมาข้างล่างต่อลงมาเป็นเสื้อคลุมทั้งตัว ท่านใช้คำว่า ร้อยด้วยแก้วมณี เฉพาะแก้วก็คือเพชร แก้วมณีคือเพชร เฉพาะเพชรอย่างเดียว ๑๖ ทะนาน บุญไม่ดีจริงคอหักตายไปเลย ถ้าเป็นผู้ชาย ถ้าได้บวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอท่านตรัสเอหิภิกขุจะมีจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ลอยมาสวมตัวให้เลย ได้ทั้งหญิงได้ทั้งผู้ชาย เกิดเป็นผู้หญิงก็ได้บุญอันนี้ เกิดเป็นผู้ชายก็ได้บุญอันนี้
    เพราะฉะนั้นการถวายจีวรในพระพุทธศาสนาจะมีกุศลขนาดนี้ แล้วถ้ายิ่งเป็นจีวรในช่วงกฐินด้วย กฐินสมัยก่อนผ้ามีน้อย ส่วนใหญ่ท่านจะคัดเลือกบุคคล คือ ภิกษุที่มีผ้าเก่าที่สุดเพื่อที่จะมอบผ้าใหม่ผืนนั้นให้กับท่านไป
    แต่ว่าในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ผ้าจะได้มากอย่างวัดท่าซุงสมัยก่อน หลวงพ่อท่านถวายองค์ละไตรเลย อย่างของอาตมาที่นิมนต์เขามาทุกวัดก็ถวายครบทุกองค์ เพราะฉะนั้นแต่ละปี ๆ จะสั่งผ้าไตรจีวรจากร้านประจำ สั่งกันมาทีหนึ่งหลายลัง ทางด้านร้านประจำเขาจะมาส่งจีวรถึงที่แล้วคิดราคาเดิมทุกปีไม่มีขึ้น เขาถือว่าเป็นลูกค้าประจำ ปีที่แล้วก็สั่งไป ๕๐ ชุด

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ถ้าจบกฐินแล้ว (ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : ไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าอนิสงส์กฐินจริง ๆ มันอยู่ที่คนทำซะมาก พระนี่พอรับกฐินแล้วจะมีอานิสงส์ตรงที่ว่าสามารถจะผ่อนคลายสิกขาบท คือ ศีลพระ ได้หลายข้อ อย่างเช่นว่า เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา ถ้าก่อนจะได้อานิสงส์กฐินนี่จะไปไหนต้องแจ้งก่อนทุกครั้ง
    บางคนจะไปในที่ ๆ ตนเองคิดว่ามันไม่น่าจะบอกคนอื่นก็จะอึดอัดใจ ไม่อยากบอกใคร อย่างนี้สามารถฉันโภชนาได้ คณะโภชนาก็คืออาหารที่เจ้าภาพเขาออกชื่อ ถ้าเจ้าภาพนี่เขาออกชื่อนี่จะไปฉันเกิน ๓ องค์ไม่ได้ ถ้าเกิน ๓ องค์ เขาปรับอาบัติศีลขาดหมดเลย เพราะว่าสมัยก่อนพระมีเยอะ พอเจ้าภาพออกชื่ออย่างเช่นว่าถ้านางวิสาขามหาอุบาสิกา บอกพรุ่งนี้จะเลี้ยงข้าวมธุปายาส พระไปซะ ๕๐๐ องค์ อยากกินของดี เลยต้องสั่งห้ามคณะโภชนา คือเจ้าของออกชื่ออาหาร ไม่ว่าจะเป็นแกงหมู แกงเป็ด แกงไก่ ถ้าบอกชื่อขึ้นมานี่ห้ามฉันเกิน ๓ องค์ ถ้า ๔ องค์ขึ้นไปเรียกว่า คณะโภชนา โดนปรับอาบัติทุกองค์ ถือว่ารบกวนเขามาก
    เพราะฉะนั้นพวกเราถ้านิมนต์พระฉันนี่ ให้บอกว่านิมนต์ฉันเช้า นิมนต์ฉันเพล อย่าไปออกชื่ออาหาร ถ้าออกชื่ออาหารพระไม่ได้ฉันหรอก ให้ฉันปรัมโภขนาได้ ปรัมโภชนานี่หมายความว่าเราฉันจากที่ของเราก่อนแล้วไปในที่นิมนต์ฉันต่อได้ เพราะว่าบางเจ้า อย่างทางวัดท่าซุง ถ้าเจอผู้ใหญ่จันทร์นิมนต์นี่หน้ามืดทุกทีแหละ เพราะผู้ใหญ่จันทร์นี่สองโมงครึ่งยังไม่ได้ฉันเช้าเลย แกจะลากยาวของแกไปเรื่อยแหละ พอคนเตือนก็ ฮึ้ม ! มันจะหิวอะไรนักหนาเชียว ก็ตัวเองกินข้าวเย็น ตื่นเช้าขึ้นมาฟาดกาแฟไปอีกต่างหาก ส่วนพระแขวนท้องมาอย่างน้อย ๑๘ ชม. แล้วเขาไม่ได้นึกถึงตรงจุดนี้
    เพราะฉะนั้นถ้าได้อานิสงส์กฐิน เราฉันไปก่อนจะเป็นข้าวต้ม หรือกาแฟ หรือโอวัลติน ไปก่อนได้ แล้วไปฉันต่อที่โน่น แต่ถ้าหากว่าไม่ได้อานิสงส์กฐินแล้ว ไปฉันอย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านปรับอาบัติ ศีลขาดเพราะว่าไปฉันของเขาได้น้อย เดี๋ยวเจ้าภาพเขาจะเสียใจ มันทำลายศรัทธาเขา
    ผ้าที่เกิดขึ้นในที่นั้นสามารถเก็บไว้เป็นของตัวเองได้ คือหมายความว่า ผ้าที่ได้ในช่วงนั้น ถ้าเราได้อานิสงส์กฐิน เราเก็บไว้ใช้เองได้ ถ้าหากว่าไม่ได้อานิสงส์กฐินได้มาต้องวิกัป คือทำเป็น ๒ เจ้าของ หมายความว่า เป็นเจ้าของร่วมกับคนอื่น หากเขาต้องการใช้เขาเอาไปได้ ไม่อย่างนั้นแล้วกลัวจะเป็นการสะสมเพราะสมัยนั้นถ้าหากว่าเศรษฐีเขาถวายใช่มั้ย ? อย่างผ้าสาฏกผืนหนึ่งราคาต่ำสุด ๒๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ๘๐๐,๐๐๐ บาทสมัยโน้นน่ะ สมัยนี้ ๘๐๐,๐๐๐ ก็ไม่ได้หรอก กลัวว่าพระจะสะสมของดี ๆ เยอะไป ก็เลยห้ามไว้เหล่านี้ เป็นต้น
    เพราะฉะนั้นจะผ่อนคลายสิกขาบทนี้ได้ ศีลทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านจะหย่อนให้ คือ เครียดมาทั้งพรรษาแล้ว ออกพรรษาได้อานิสงส์กฐิน ผ่อนให้หน่อยหนึ่งจนถึงกลางเดือนสี่ เป็นอันว่าเริ่มกลับเข้าไปเข้างวดตามเดิม อานิสงส์กฐินนี่ถ้าจำพรรษามาตลอดพรรษาแล้ว ไม่ได้กรานกฐินจะได้อานิสงส์นี้เดือนเดียว แต่ถ้าได้กรานกฐิน ก็เพิ่มให้จนถึงกลางเดือนสี่ ก็เท่ากับว่าได้ไปห้าเดือนเต็ม ๆ เพราะฉะนั้นอานิสงส์กฐินมีมาก คนทำได้เยอะแต่ขณะเดียวกันก็ช่วยให้พระสงส์ได้ผ่อนคลายจากระเบียบอันเข้มงวดลงไปบ้าง แล้วอีกอย่างหนึ่งเป็นทานที่จำกัดเวลา ก็เลยมีอานิสงส์มากเป็นพิเศษ
    หลวงพ่อท่านให้สังเกต ก็ลองสังเกต จริงอย่างท่านว่าทุกอย่าง ท่านบอกว่าใครได้เป็นเจ้าภาพกฐินติดกันตั้งแต่ ๓ ปีขึ้นไป สังเกตความเป็นอยู่ของตัวเองจะคล่องขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เราเองถ้าไม่ได้สังเกตก็ไม่รู้สึก แต่ถ้าสังเกตแล้วจะรู้ อย่างคนคนอื่นลำบากทำไมเราไปของเราเรื่อย ๆ จะเป็นอย่างนั้น ที่วัดก็ตั้งใจทอดกฐินถวายหลวงพ่อปีละ ๙ วัดทุกครั้ง แต่ส่วนมากมันเกินปีที่ผ่านมาเจอไป ๒๒ วัด คือพอเขาได้ยินแล้ว เขาเองกฐินไม่มีเขาก็จะมาขอ พอมาขอก็เอา ถึงเวลานิมนต์เขามา พอเรารับกฐินได้เท่าไหร่ก็หารกันไปเลย
    ตอนนั้นนะกลายเป็นว่า ถ้าเป็นกฐินของมาตมานี่ ตัวเองแทบจะไม่ได้รับเลย (หัวเรา) คราวที่แล้วเจ้าภาพหลวงพี่สพฤกษ์ ท่านเป็นเจ้าภาพ ท่านจะนิมนต์พระมานั่งเรียงกันไปเลย แล้วเจ้าภาพแต่ละคนถวายเฉพาะของใครของมันเลย แต่ว่าโดยมารยาทแล้วถ้าถวายเสร็จนี่เขาจะถวายกลับคืนไห้กับเจ้าของวัด เราต้องประกาศเลยว่า อันนี้ถวายขาดเป็นสิทธิ์ให้เขาเอากลับได้เลย ไม่อย่างนั้นถ้าเขาคืนมาเขาจะไม่ได้อะไร เพราะฉะนั้นเจ้าภาพแต่ละคนมีแต่ประเคนไปเองเลย แล้วเขาเองเขารับเสร็จก็หอบกลับวัดไปได้เลย
    หลายคนเขาแปลกใจว่าเรารับกฐินแล้วทำไมไม่ได้สตางค์อะไรมากมายเหมือนคนอื่นเขา บอกไม่ขาดทุนก็บุญแล้ว (หัวเราะ) เพราะว่ายังต้องเลี้ยงโยมเลี้ยงอะไรอีก มันจะมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าจากความตั้งใจคือเดือนตุลาคม ซึ่งมักจะเป็นช่วงกฐิน จะเป็นเดือนมรณภาพของหลวงพ่อ แล้วเป็นเดือนที่จัดงานวันเกิดหลวงพ่อด้วย ทั้งเกิดและทั้งตายเดือนเดียวกัน ตั้งใจตั้งแต่ออกไปอยู่ทองผาภูมิว่าจะทำถวายหลวงพ่อทุกปี แล้วก็สามารถทำมาได้ทุกปีเหมือนกันนะ
    ถาม : แล้วชาวบ้านแถวนั้นไปทำบุญเยอะมั้ยคะ ?
    ตอบ : แรก ๆ ชาวบ้านจะมีอยู่ ๔ หมู่บ้าน เขาไปกับชนิดยกหมู่บ้านเลย เพราะว่าเป็นชนกลุ่มน้อย คือ มอญ ทวาย กะเหรี่ยง เหล่านี้ พวกนี้เขาศรัทธามากแล้วมาอยู่ได้ ๒ ปีครึ่ง ทางการเขา ไม่ต้องการให้กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ป่า เพราะว่าเป็นการทำลายป่าเลยกวาดล้างทั้งหมด ไปรวมกันที่หน้าอำเภอ ไปจัดศูนย์อพยพหน้าอำเภอประมาณ ๘๐๐ หลังคาเรือน รอบ ๆ ที่เราเคยบิณฑบาตได้ ๔ หมู่บ้านหมดเกลี้ยงไปเลยไม่อย่างนั้นถึงเวลาเขามาทำบุญนี่กินกันปางตายเลยล่ะ
    เพราะว่าเขามานี่เขาจะมาปิ่นโตบ้านแต่ละเถา ๆ หิ้วกันมาเลย ไอ้เราตักของเขาอย่างละช้อนเดียวมันก็ค่อนบาตรแล้ว ฉันกันไหวซะเมื่อไหร่ล่ะ ศรัทธาของพวกนี้เขาดีมาก ประเทศชาติของเขาไม่สงบเขาก็หนีมาพึ่งอาศัยบ้านของเรา แต่น่าสงสารเขาว่าของเขามาถึงต้องการที่อยู่ก็ต้องไปหักล้างถางพงหาพื้นที่ที่ไม่มีใครอยู่
    พื้นที่ที่ไม่ไม่มีใครอยู่ส่วนใหญ่บ้านเราตอนนี้ไม่เป็นป่าสงวนก็เป็นอุทยานหมด เลยต้องมีการเอาเขาไปรวมที่นั่น ถึงเวลาใครต้องการแรงงานช่วงนี้ก็ต้องไปเซ็นรับรองเขาออกมา จ่ายค่าหัวคนละ ๑,๕๐๐ จะเอาเขาไปทำงานได้ปีหนึ่ง ๑,๕๐๐ บาท ต่อคนต่อปี แต่ว่าเอาเช้าแล้วตอนเย็นต้องไปส่งคืน ยกเว้นหน่วยราชการอย่างพวกป่าไม้หรือว่าทางอำเภอเอาไปอยู่ประจำได้แต่ว่าห้ามเพ่นพ่าน จะต้องจัดที่อยู่ให้เขาโดยเฉพาะเลย
    ถ้าหากว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไปต้องการแรงงานไปรับเซ็นออกมา เย็นเขาไปส่งเซ็นเข้าไป กลัวว่าพวกนี้เขาจะหลบเข้าเมือง เลยต้องเข้มงวดกันหน่อย ตรงนั้นก็เลยกลายเป็นเมืองมอญ เมืองพม่าไปเลย ที่ชอบใจที่สุดเป็นพวกขายกับข้าว เพราะรถปิ๊กอัพกับข้าววิ่งเข้าไปออกมารถเปล่าเลย (หัวเราะ) ๗๐๐ - ๘๐๐ หลังคาเรือนน่ะ วิ่งของไปเต็ม ๆ ออกมารถเปล่าเลย
    ถาม : พวกนั้นมาม่า ยังไม่ค่อยรู้จักกันเลย
    ตอบ : มันเป็นของดีของเขา ท่านนาวินไปพระบรมธาตุอินแขวน ลงจากพระธาตุเดินมาถึง ท่านนาวินสั่งมาม่าต้มยำให้ บอกว่า คุณ.... ที่วัดน่ะฉันอาทิตย์ละ ๗ วันเท่านั้นแหละ ของดีของเขา มันก็เลยกลายเป็นว่าของดีแล้วแพงด้วยคนทำมาม่าเขาก็ภูมิอกภูมิใจ อุตสาห์มาถามว่าอร่อยไหม (หัวเราะ) บอกที่อาตมาอยู่เนี้ย บางอาทิตย์นั้นฉันไม่มากหรอกฉันแค่ ๗ วันเท่านั้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : อาการตัวลอยมันเป็นเพียงอาการเฉย ๆ หรือว่า
    ตอบ : มันลอยไปจริง ๆ อาตมากล้ายืนยัน เพราะตัวเองเกือบจะโดนพัดลมฟันตายมาแล้ว ภาวนาไป ๆ มันรู้สึกมีอะไรวับ ๆ อยู่ข้างเอว ก็เลยลืมตาขึ้นมาดู พัดลมเพดานมันยาวลงมาประมาณ ๒ ศอก ไอ้เราลอยขึ้นมามันวับ ๆ อยู่ข้างเอว พอลืมตาเห็นตกใจสมาธิหลุด หล่นดังพลั่ก ตั้งแต่นั้นมาเป็นบทเรียน ว่าถ้าภาวนานี่ต้องปิดพัดลมก่อนอันตรายมาก
    ถาม : ถ้าโดน เป็นอะไรรึเปล่า ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าโดนกำลังฌานมันน่าจะคุ้มได้นะ แต่เราเองอย่าไปเสี่ยงกันได้ก็กันไว้ก่อน
    ถาม : แต่ฟังเหมือนกับยังได้ยินเสียงภายนอก ?
    ตอบ : ตัวนั้นมันเป็นแค่อุปจารสมาธิ เท่านั้น มันได้ยินเป็นปกติอยู่แล้ว แต่เรากำลังเพลินก็ไม่ได้สนใจ พอมันรู้สึกบึบ ๆ อยู่ข้างเอวเลยลืมตาดู (หัวเราะ) ลอยจริง ๆ มีหลายทีมันลอยในลักษณะว่าพุ่งขึ้นไป เราก็กลัวไง มันเลยไปแปะติดกับเพดานอย่างกับจิ้งจก นอนภาวนา มันลอยไป มันแปะติดอยู่ คราวนี้มันแปะแรงไปจมูกมันบี้หายใจไม่ออก เฮ้ย ! กูจะหายใจได้มั้ยวะนี่ ? (หัวเราะ) สนุกดี บางทีมันหมุนไปรอบ ๆ ห้อง เราปิดประตู ปิดหน้าต่างหมด มันไปไหนไม่ได้มันก็หมุนเลาะข้างฝาไปเรื่อย คือเรารู้สึกเบื่อหรือรำคาญมันก็กลับที่เดิมเป๊ะเลย
    ถาม : เหมือนกับเรานอนปกติ ?
    ตอบ : เหมือนทุกอย่างเลย อยู่ท่าไหนมันลงท่านั้น ลงที่เดิมเป๊ะไม่มีพลาดเลย อย่างกับมันจำได้
    ถาม : แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ที่เดิมนี่แสดงว่าเรานอนดิเนใช่ไหม ?
    ตอบ : มิสิทธิ์เหมือนกัน แต่ว่าลอยไปข้างนอก ประเภทไม่ได้ปิดประตูไม่ได้ปิดหน้าต่าง ถ้าลอยไปข้างนอกก็รักษาสมาธิให้ดี ถ้าสมาธิคลายมันจะหล่น คราวนี้ต้องเดินกลับ หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่ามีพระวัดบางนมโคองค์หนึ่งลอยไปกลางทุ่ง ๒ กม. ลืมตาขึ้นมาตกใจเลยหล่นพลั่ก เดินกลับ ๒ กม.กว่า นี่เดินแย่เหมือนกันนะ
    ถาม : หลวงพี่เล่านี่ประเภทลอยแต่ภายในออกหรือเปล่า ?
    ตอบ : กายในลอยออกไปอย่างเดียวก็มี พวกนั้นจะอยู่ในลักษณะว่าถอดมโนมยิทธิเต็มกำลัง ลักษณะนั้นถึงเวลาไปได้ไกลก็กลับ เพราะว่าไม่รู้ว่าจะไปยังไงต่อ บางทีมันเผลอหลุดออกไปไม่ทันได้ภาวนา ไม่ทันได้พิาจราณา มันออกไปมืดตื๋อเลย เปะปะ ๆ ไปพักหนึ่งไปไหนไม่ถูกก็กลับ
    ถาม : อยู่คนเดียวนี่มันก็โล่งดี แต่เวลาออกไปฝึก เวลาเดินไปตามห้างนี่ ไหลทุกทีครับ ?
    ตอบ : นั่นสติเราตามไม่ทัน สติเราไม่ทันมัน เราปล่อยให้ตัวกิเลสมันกำเริบขึ้นมาก่อน ถ้าตัวกิเลสมันกำเริบขึ้นมาก่อน สติเราไปยับยั่งมันนี่ไม่ทันแล้วกำลังเขาเหนือกว่าเรา เขาคล่องกว่าเยอะ ในเมื่อเขาคล่องกว่าเยอะ ถ้าเวลาไหลตามมันไปก็เป็นอันว่าเสร็จ กว่าจะรู้ตัวบางทีไปเป็นชั่วโมง เป็นชั่วโมงนี่ถือว่าเร็วแล้วนะ บางคน ๓-๔ วัน กว่าจะรู้ตัว มันจูงจมูกไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
    ถาม : มันไหลแล้วเราตามยากหรือ ?
    ตอบ : คือ กำลังมันเหนือกว่าเราอยู่แล้ว ความชำนาญในทางไม่ดีมันมากกว่าอยู่แล้ว ถ้าหากเปิดโอกาสให้มันนี่เป็นอันว่าเราเสร็จมัน บางคนก็พังเป็นเดือนเลย
    ถ้าหากว่าเราถนัดตามห้างก็เอาตามห้าง อาตมาเองถนัดตามป้ายรถเมล์ เห็นหน้าคนที่รอรถเมล์น่ะ โอ้โห !มันทุกข์สาหัสทุกคนเลย หน้านิ่วคิ้วขมวดดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก ชะโงกแล้วชะโงกอีก เมื่อไหร่รถคันที่ตัวเองจะมา จนกระทั่งบางทีเขาไปตั้งข้อสังเกตว่า รอคันไหนคันนั้นมันจะไม่มา ( หัวเราะ) หน้าตาไม่มีใครมีความสุขเลย ไปนั่งดูได้
    คราวนี้มันอยู่ที่เราชอบแบบไหน ชอบพิจารณาทุกข์หรือชอบแบบพิจารณาความเป็นจริงของร่างกาย เลือก ๆ เอาว่าแล้วแต่เราถนัด ของอาตมานี่ถนัดป้ายรถเมล์ ชอบมากเลย
    ถาม : ร้อน ๆ นะครับ ?
    ตอบ : ดูแล้วสงสาร ยิ่งถ้าขึ้นรถเมล์ไปด้วย แสงชัยเคยไปร้องไห้บนรถเมล์มาแล้ว ขึ้นไปถึง พอเห็นเขา โอ้โห ! โลกนี้ทำไมมันทุกข์ขนาดนี้ แต่คราวนี้มันอายเขาพยายามกลั้นไว้ ถนัดที่ไหนก็ที่นั้นแหละสนามรบของเรา รบกับกิเลส รบในเมืองถ้าชนะแล้วชนะเลย รบในป่านี่สงบลงไม่แน่ว่าจะชนะเขา ออกมาอาจจะแพ้ก็ได้
    ถาม : หมายถึงว่า เหมือนเปรียบกับอารมณ์ ๒ อย่าง มันจะเห็นชัดเจนเลย มันอยู่ที่ว่า การ...(ฟังไม่ชัด)... เนี่ย ออกตัวไหลเป็นก้อนอยู่ในประสาท แต่คิดว่าไหลแล้วเนี่ย ตอนเย็นอาบน้ำท่าเดินออกไปเลย ไปถึงโดนซัดตูมเลย....(ฟังไม่ชัด)...
    ตอบ : ระวังไว้ให้ดี แต่ว่าอย่างว่าแหละโอกาสพลาดมันเยอะ พระนี่ขนาดมีศีลเป็นเครื่องคุ้มยังพลาดแล้วพลาดอีก เพราะฉะนั้นชีวิตฆราวาสนี่ กิเลสโอกาสที่มันจะกินเรามีมากกว่านะ ต้องระวังให้ดี เผลอเมื่อไหร่ อย่าคิดว่ามันจะเลี้ยงเรา มันกลัวเราหนี มันตีตายใส่โซ่เลย (หัวเราะ)
    ถาม : ตอนเป็นฆราวาสในการทำงาน ทำงานในการเป็นพระกับทำงานเป็นฆราวาสนี่ ได้สัมผัสที่ต้องเจอกับผู้คนต่าง ...?
    ตอบ : เหมือนกัน แต่ว่าทำงาน ตัวอารมณ์กระทบ คือ ตัวปฎิฆะกับโทสะ มันจะมีมากกว่า เหตุที่มีมากกว่า เพราะว่าในความเป็นพระนี่คนเขารู้อยู่แล้วว่าเราอยู่ในฐานะอันสูงเขาก็ไม่พยายามที่จะขัดคอขัดใจเรา
    เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเป็นฆราวาส ตัวปฎิฆะที่จะก่อให้เกิดโทสะจะมีเยอะกว่า แต่ถ้าของพระมันกลายเป็นว่ามีศีลเป็นกรอบกำหนดอยู่ มันจะกระทบกับตัวราคะมากกว่า จากคนที่เราไม่เคยสนใจเขาเลยอาจจะไปแอบมองเขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันต่างกันคนละจุด แต่ถ้าอยู่ในลักษณะของการสู้กับมันคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าจุดที่จะโดนมันมาคนละจุดกัน แต่ว่าบางคนนี่วิสัยเดิมของเขามาจากพื้นฐานของโทสะถึงบวชเป็นพระแล้วก็จะมีเรื่องของโทสะมากวนอยู่เรื่อย
    ถาม : เรื่องของโทสะจะเข้ามากวนอยู่เรื่อยใช่มั้ย ?
    ตอบ : ใช่ ถ้าวิสัยเดิมของเขามาจากโทสะมันก็จะมีเรื่องของโทสะมากวนอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้ว่าจุดอ่อนเราอยู่ตรงนั้น แล้วอีกอย่างจะตัดตัวไหน ตัวนั้นมักจะมาลอง ยิ่งตัดยิ่งเยอะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : อย่างพระที่อื่นเข้าป่าแล้วภาวนา แล้วก็บรรลุ แต่ว่าทำไมสายเราอย่างหลวงพ่อนี่ไม่เคยพาเราไปบ้าง ?
    ตอบ : ใครว่าไม่บรรลุ บรรลุ ก็ไปภาวนาสิไม่มีใครห้ามแต่อาจจะ ๕๐ ปี แต่ขณะเดียวกันว่าเราสู้กับงานอาจจะเหลือแค่ ๒๐-๓๐ ปี การที่เรากระทบกระทั่งกับคนรอบข้าง ถ้าเราเป็นผู้ที่ตั้งใจลดละเลิกทั้งหลายจริง ๆ มันก็จะมีเครื่องทดสอบอยู่ตลอดเวลา เราจะรู้ระดับกำลังใจของเรา เราก็จะสามารถที่จะแก้ไขไปได้ตลอด มีการพิจารณาทบทวนอยู่เสมอ ๆ
    ไอ้ตรงนี้เรายังสู้ไม่ได้นี่หว่า คราวหน้าต้องระวังให้มากกว่านี้ อะไรทำนองนี้ เป็นต้น แต่ถ้าเราไปภาวนาในป่า ตัวกระทบอย่างนี้ไม่มี บางทีกิเลสของมันอาจจะโดนกดไว้เฉย ๆ มันไม่ได้ตาย พอเราออกมากระทบปังเดียวเท่านั้นเอง ไอ้ ๔๐- ๕๐ ปี ที่เสียเวลาภาวนาเป็นอันว่าหมดเกลี้ยงเลย
    ถาม : แต่ก็เหมือนเดิมนี่ทำ ๓ ครั้ง
    ตอบ : ตอนนั้นถ้าพิจารณาสักหน่อยจะชัดมากเลย นั่นแหละมโนมยิทธิเต็มกำลัง (หัวเราะ) คือมันจะเผลอ ๆ ตอนที่ใจของเรามันไม่ได้นึกอยากไปแต่ความตั้งใจเดิมของเรามันเคยมีอยู่แล้วว่า ถ้ามันไปได้พอถึงเวลามันลงตัวโป๊ะมันก็ไปเลย
    ถาม : ผมก็ภาวนา นะ มะ พะ ธะ เหมือนกันครับ ?
    ตอบ : แต่คราวนี้ของเรานี่มันไม่ได้ภาวนาพิจารณาให้มันมั่นคง โดยเฉพาะตัวพิจารณา พอขาดการพิจารณามันไม่ชัดเจนไม่สว่าง บางทีมันมืดตื้อเหมือนอย่างกับงมถ้ำ คลำไปคลำมาไปไหนไม่ถูกกลับดีกว่า
    ถาม : มันเหมือนกับมันพุ่งไม่สิ้นสุดน่ะ ผมก็ เอ๊ะ!จะไปไหนหว่า แต่ความรู้สึกจับได้ว่าหลวงพ่อท่านมาด้วย จะรู้สึกเลยว่าหลวงพ่อท่านมาก็แค่นั้นเอง
    ตอบ : คราวหน้าก็ไม่ต้องกลัวสิ ตั้งใจว่าพระอยู่ที่ไหนเราไปตรงนั้นน่ะ (หัวเราะ)
    ถาม : กลัวแบบตื่นเต้นน่ะครับนึกอะไรไม่ทัน
    ตอบ : คราวนี้เข้าใจแล้วยังว่าคำว่า ไม่กลัว ๆ เราไม่กลัวแต่ปาก พอออกไปอย่างนั้นจริง ๆ มันเสียว ๆ ใช่มั้ย ? นั่นแหละตัวกลับเลยล่ะ เพื่อนเขาเคยไปวัดท่าซุงรึยัง ?
    ถาม : ยังครับ
    ตอบ : ไปซะหน่อย แล้วก็ไปเดินซะ เดินวนให้รอบวัด ถ้าปัญญามีพอมันจะเลิกสงสัยในพระรัตนตรัยไปตลอดชีวิตเลย
    ถาม : เดินรอบวัดนี่นะครับ ?
    ตอบ : นั่นแหละจะได้รู้ไว้ วัดท่าซุงปี ๒๕๒๘ นะ ๒๕๒๘ หลวงพ่อก่อสร้างไปประมาณ ๓๐๐ ล้านบาท แต่ว่าเขาตีราคามูลค่าสิ่งของให้ราว ๆ ๔,๐๐๐ ล้านบาท เหตุที่เขาตีราคาขนาดนั้นเพราะว่า อย่างศาลา ๒ ไร่ นี่เขาตีราคา ๑๒๐ ล้านบาท หลวงพ่อท่านก็เลยสร้างไม่ไหว ท่านลงทุนทำเองทั้งหมด แค่ ๗ ล้านกว่าบาทก็อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นราคามาตรฐานของเขากับราคาแท้จริงที่หลวงพ่อทำมันเลยต่างกันมาก
    คราวนี้เราลองคิดดูว่า ๔,๐๐๐ ล้านบาทนี่ ถ้ามันเป็นงบประมาณของกระทรวงหนึ่งมันก็กระจ้อยเลย ใช่ไหม ? แต่ว่าหลวงตาแก่บ้านนอกองค์หนึ่งสามารถสร้างศรัทธาญาติโยมได้ถึงขนาดนั้น เดินดูมัน เข้าไปถ้ามันไม่หลงตายซะก่อน สักชั่วโมงกว่า ๒ ชั่วโมง มันคงทั่ว ถึงเวลานั้นมันจะได้เลิกสงสัยว่า สังโฆอัปมาโณ เป็นยังไง ? คุณของพระสงฆ์เป็นยังไง ถ้าปัญญามันมีมันจะคิดออกไปเอง ตอนเหนื่อยลิ้นห้อยมันจะรู้เอง
    ถาม : น้ำฝาดเป็นยังไงคะ คำว่าผ้าย้อมน้ำฝาด
    ตอบ : น้ำฝาดนี่มันมาจากภาษาบาลีว่า กาสาวะ แปลว่า น้ำฝาด คือ น้ำต้มจากเปลือกไม้ หรือว่าน้ำต้มจากเเก่นไม้
    ถาม : แล้วส่วนใหญ่สมัยก่อนนี่เอาผ้าจีวรพระย้อมมาจากน้ำต้มมาจากแก่นอะไร ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่เป็นไม้ขนุนหรือไม่ก็อย่างเหง้าไม้อย่างขมิ้น แต่ว่ามีอยู่องค์หนึ่งคือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านไปอยู่ที่ฉัตทันตสระ หาแก่นขนุนมาต้มทำย้อมจีวรไม่ได้ ท่านก็เลยใช้ดินลูกรังเอามาต้มทำย้อมจีวรผ้าเลยแดงแจ๋ผิดชาวบ้านเขา ถึงเวลาที่ท่านเข้ามากราบพระพุทธเจ้า บรรดาพระใหม่ ๆ ไม่รู้จักนี่ไง... ดูหลวงตาองค์นั้นสิน่ากลัวจังเลย ผอมมีแต่เอ็นสะพรั่งไปทั้งตัว นุ่งห่มจีวรสีอย่างกับเลือด พระพุทธเจ้าได้ยินต้องเรียกประชุมเลย บอกนี่เธอไม่รู้จักหรือ ? พระอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนานะ ถ้าไม่นับพระพุทธเจ้า โดนนินทาซะเต็มเปาเลย ของท่านท่านไปอยู่ในป่าสบายใจท่านน่ะ อยู่กับช้างเป็นร้อย ๆ เชือก
    ถาม : อธิษฐานยังไงถึงจะมีพระอรหันต์องค์แรก ?
    ตอบ : สมัยก่อนท่านกับพระสุพัททะ เป็นพี่น้องกันแบ่งที่นากันทำ ถึงเวลาต่างคนต่างทำในที่ของตัวเอง ของท่านจะไถนาท่านก็ทำบุญ จะหว่านข้าวท่านก็ทำบุญ ข้าวตั้งท้องท่านก็ทำบุญ เกี่ยวข้าวท่านก็ทำบุญ นวดข้าวก็ทำบุญ ข้าวขึ้นยุ้งท่านก็ทำบุญ
    ตอบ : ส่วนท่านสุภัททะนี้ท่านเล่นไปเอาข้าวขึ้นยุ้ง แล้วท่านก็ทำบุญทีเดียว ของท่าน ๆ เริ่มแรกเอาก่อนเลยก็เลยกลายเป็นพระอรหันต์องค์แรก ส่วนท่านสุภัททะเป็นองค์สุดท้าย เพราะฉะนั้นทำไว้เยอะดีกว่า
    ถาม : นั่นอันนั้นเป็นชาติแรกที่ท่านเริ่มพระพุทธศานาหรือครับหรือว่าไม่ใช่ ?
    ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ว่าผลกุศลที่ทำให้ท่านบรรลุเป็นองค์แรกนั้นเกิดจากตรงจุดนี้อย่างที่ท่านทำนี่มันน่าจะบรรลุได้ทุกจังหวะเลย (หัวเราะ) เพราะท่านทำบุญตลอด พระสุภัททะที่ท่านเป็นองค์สุดท้าย พระพุทธเจ้าพอได้ยินว่ามาท่านก็เลยบอกให้เข้ามา เพราะว่าเป็นองค์สุดท้ายที่ต้องสงเคราะห์ เทศน์สงเคราะห์เสร็จก็เป็นปัจฉิมโอวาทเลยใช่ไหม ?
    อามันตะยามิโวภิกขเว ปฎิเวทยามิโวภิกขเว ขะยะวะยะธัมมาสังขารา อัปมาเทนะสัมปาเทถะ แปลว่าเอาประโยคสุดท้ายแล้วกันนะ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ชีวิตนี้ห้ามประมาทในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะถ้าประมาทในการทำความดี มันจะลงอบายภูมิมากกว่า

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เรื่องจีวร ทำไมครั้งแรกต้องย้อมน้ำฝาดเป็นสีส้มค่ะ ?
    ตอบ : คือว่าสมัยก่อนนี่บุคคลที่นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดเขาถือว่าเป็น อนาคาริก คือผู้ที่ไม่มีบ้านเรือน ลักษณะแบบคนพเนจร จรจัดไม่มีเวลามาหาของดี ๆ ที่จะมาประดับมาตกแต่งอะไรกัน พระพุทธเจ้าต้องการลดต้นลงมาให้ต่ำที่สุดเลย เพื่อให้คนที่ถึงเวลาแล้วคนชึ้นต่ำสุดจะได้คิดว่า เออ.... อย่างน้อย ๆ พระสมณโคดมก็เป็นพวกเดียวกับเรา จะได้กล้าเข้ามาหาท่านประโยชน์ของเขาจะได้ไม่เสียไป
    ถาม : แสดงว่าเป็นความนิยมของคนสมัยก่อน ?
    ตอบ : แล้วอีกอย่างหนึ่ง สมัยก่อนนี่คนโกนหัวเขาถือว่าเป็นกาลกิณี คนโกนหัวหรือผมสั้น ๆ นี่เขาถือว่าเป็นกาลกิณี ที่ไม่มีใครยอมคบด้วย แต่สังเกตจนกระทั่งในตอนนี้พวกอินเดียก็ยังไว้ผมมวยทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย ไว้ผมยาว ๆ ใช่มั้ย ? คราวนี้เมื่อเขาถือว่าเป็นกาลกิณีอย่างครั่งนั้น พระพุทธเจ้าท่านปลงดกศาไปเลย พูดง่าย ๆ ว่าตัดหนทางถอยของตัวเอง กลายเป็นคนที่เขาไม่ยอมคบกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วนี่ ถ้ากลับไปครองราชย์ไม่มีใครเขาเอา ถึงเวลาจะได้ลุบขึ้นหน้าอย่างเดียวไม่ต้องไปพะวงหลัง
    ถาม : ทำตอนนอนซะเรื่อยเลย
    ตอบ : เอาเถอะ ถึงทำตอนนอนมันก็ค่อย ๆ สะสมตัว อย่างเมื่อเช้ามันยังไปได้ใช่ไหม ? เพียงแต่ว่ามันยังไม่ชัด แสดงว่ามันเริ่มมีผลแล้ว ต่อไปทำแบบนั้นแหละ ตัวอยากลืมมันให้ได้ สำคัญตรงนั้น ตัวอยากมีอยู่ในใจมันจะกันอยู่มันไปไม่ได้ ถ้าเราลืมตัวอยากมันเสียตั้งหน้าตั้งตาทำถึงเวลากำลังมันพอมันไปเลย เดี๋ยวพอมันคล่อง ๆ จะรู้ไม่ทันภาวนาก็ไป แค่นึกมันก็ไป ไม่ยาก ๆ
    ถาม : ทำก่อสร้างปั๊บไปนั่งเสกมาเลย จะได้นับตังค์
    ตอบ : (หัวเราะ) นั่นเขาจำกัดเวลานะ เพราะว่าพวกอภิญญานี่ถ้าเราไม่จำกัดเวลาทำไม่ได้ แบบเดียวที่หลวงพ่อตั้งใจให้น้ำแข็งหมดทั้งแม่น้ำน่ะทำไม่ได้หรอก ตกตูมท่วมหัวเลย ต้องเฉพาะจุด เรื่องของพวกนี้ก็เหมือนกัน ถ้าจำกัดเวลาไว้อย่างเช่นว่า ๕ ปี ๑๐ ปี อะไรอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นมันฝืนกฏของกรรมมากเกินไป
    อย่างพระเรวัตตะ น้องเล็กของพระสารีบุตรท่านไปอยู่ป่าตะเคียน พอพระพุทธเจ้าเสด็จไปท่านเนรมิตเรือนยอด ๕๐๐ หลัง รอไว้เลย ปราสาทดี ๆ นี่เอง เสร็จแล้วหลวงตาแก่ ๒ องค์นั่งนินทาพระอรหันต์ บอกว่าพระเรวัตตะมัวแต่ก่อสร้างอยู่คงปฎิบัติอะไรได้ไม่เท่าไหร่หรอก ที่พระพุทธเจ้ามาเยี่ยมเพราะเห็นแก่หน้าพระสารีบุตรที่เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวามากกว่า พระพุทธเจ้าท่านก็รู้ เดี๋ยวเถอะจะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร ? ก็แอบเกล้งบันดาลให้เขาลืมขวดน้ำมัน
    สมัยก่อนเขาเดินทางต้องมีน้ำมันทาเท้าไม่งั้นเดินมาก ๆ เท้ามันแตก หลวงตาแก่ ๒ องค์นึกขึ้นมาได้ก็ย้อนกลับไปเอา ตายแล้วหว่า ! ตอนเข้ามานี่แหม ถนนหนทางมันอย่างกับเมืองฟ้าเมืองสวรรค์กลับเข้าไปอีกทีมีแต่ป่ารกทึบมีแต่หนามเต็มไปหมด กว่าจะตะเกียกตะกายเข้าไปถึง ไปเอาขวดน้ำมันของตัวเองกลับมา
    พอกลับถึงเชตวันมหาวิหาร นางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านก็ไปถวายทานอยู่เป็นประจำอยู่แล้วใช่ไหม ? บังเอิญไปถามหลวงตาเข้าว่าที่อยู่ของพระเรวัตตะน่ารื่นรมย์ไหม ? หลวงตาแก่ก็บอกว่าไม่เห็นจะได้เรื่องเลยอย่างกับป่าช้าผีดิบ มีแต่หนามมีแต่อะไรรกไปหมด พอไปถามพระองค์อื่น พระองค์อื่นบอกว่าอย่างกับอุทยานของพระเจ้าอยู่หัว ตกลงก็ขัดกัน นางวิสาขาท่านเป็นฉลาด ท่านก็คงคิดว่าอาจจะเป็นการเนรมิตด้วยฤทธิ์ ด้วยอภิญญา กราบทูลถามพระพุทธเจ้าท่านก็ยืนยันให้
    ถาม : .........(ไม่มีเสียง)...........
    ตอบ : มันก็เป็นของแปลกเขาเรียกว่าเลือดผา มันจะไหลออกมาจากตามผาสูง ๆ สีมันแดงเหมือนเลือด พวกเลียงผา พวกลิง ค่าง ถ้ามันเจอมันกินเกลี้ยง มันบำรุงกำลัง บำรุงร่างกายมันดีมันเหมาะสำหรับคนแก่ ๆ เพราะว่าท่านบ๊อบมันลองดี มันดีดยิ่งกว่าม้าอีก
    ถาม : มันจะเกี่ยวกับเรื่องเพศนี่ ไม่เกี่ยว ?
    ตอบ : คือมันกระตุ้นให้ร่างกายมันทำงานมากขึ้นเหมาะสำหรับคนแก่ ประเภทหง่อมแล้วอย่างนั้นน่ะ
    ถาม : อย่างนี้ถ้าเอามาผลิตขายก็รวยเลยสิครับ ?
    ตอบ : ไม่ต้องผลิตหรอก ส่วนใหญ่เขาก็ไปเก็บ ๆ มาขายกัน คราวที่แล้วไปพม่าซื้อมาทีเดียวครึ่งชั่ง ชั่งหนึ่ง ๓ ปอนด์ ล่อไปซื้อปอนด์ครึ่งหมดร้านมันก็ ๖,๐๐๐ แต่คราวนี้ชั่วพม่ามันเท่ากับ ๓ ปอนด์
    ถาม : เท่ากับบ้านเรากี่กิโล ?
    ตอบ : ๒.๒ ปอนด์เท่ากับกิโลหนึ่ง ๓ ปอนด์ก็กิโลกว่า เล่นมันซะเกือบครึ่งกิโล
    ถาม : แล้วหลวงพี่เอาไปแจกไหนหมดแล้ว ?
    ตอบ : เปล่า แม่ชีเขาฝากซื้อว่าจะให้โยมแม่เพราะว่าอายุมากแล้ว ๘๐ กว่าแล้ว คราวนี้เขาไม่ได้ฝากซื้อเยอะขนาดนั้นหรอก เราเห็นก็เลยเอาของมันมาหมดนั่นแหละ
    ถาม : แล้วอานุภาพมันอยู่ได้นานขนาดไหนครับ ?
    ตอบ : ตราบใดที่เรายังไม่กินมันอยู่ได้เรื่อย ๆ เพราะว่ามันแห้งแล้วถึงเวลาจะกินก็ชงน้ำร้อน
    ถาม : กินทีหนึ่งอยู่ได้กี่วันครับ ความแข็งแรง ?
    ตอบ : ไม่เคยลอง ต้องถามคนลอง อาตมาไม่เอาด้วยคน นั่งมองเขาฉันกันคราวนั้นไปกับ ๕-๖ องค์ไปพม่า เที่ยวกันครึกครื้นเลย คราวนี้ไปซื้อเลือดผามาแล้วเขาอยากลองกัน นั่งฉันไปแป๊บเดียวหน้าแดง (หัวเราะ) แสดงว่ามันเร่งความดันได้ ระดับความดันโลหิตมันต้องขึ้นมากเลยไม่งั้นมันไม่หน้าแดงอย่างนั้น
    ถาม : เกี่ยวกับเรื่องพระภูมิเทวดา ถ้าเผื่อแบบเราพูดเฉย ๆ เราพูดออกไปว่าเรามีโอกาสเราจะสร้างศาลให้ท่าน ใช้วิธีของท่านและสถานที่ตรงนั้น แล้วพอดีเลยเมื่อวันจันทร์หรือวันอังคารไม่ได้คุยกับผู้ปกครองเลยไม่ทราบว่ายังไง ท่านก็บอกว่าชื่อผู้ปกครองแล้วท่านก็บอกว่าไอ้ที่พูดไว้นี่ทำซะที
    ตอบ : ถ้าเขาทรงก็รีบทำได้แล้วจ้ะ ถ้าขืนช้าละเดี๋ยวเขาคิดดอกเบี้ยแล้วจะยุ่งกันใหญ่
    ถาม : คือ ท่านบอกว่าที่ในเริเวณนี้ดินดี เจ้าของที่ท่านก็บอกว่า ท่านก็อยากสงเคราะห์เรา แต่ว่าให้เราทำซะ
    ตอบ : ก็ขนาดนั้นแล้วยังไม่ทำอีกหรือ ? มาบอกขนาดนั้นนี่แสดงว่าเต็มใจเต็มที่แล้วนะ
    ถาม : ก็ไม่ได้คิดอะไร หนูกลับจากเขาวงจากนั้นท่านก็มา เป็นเพราะก่อนหน้านี้เราจิตไม่ถึงหรือเป็นเพราะอะไรท่านถึงไม่มาบอก ?
    ตอบ : มันยังไม่ถึงเวลาจ้ะ บางอย่างเช่น อากาศเทวดาท่านจะสงเคราะห์ก่อน แต่ถ้าภายใน ๒ ปีนี้ไม่ได้ตั้งศาลให้ท่านพ้น ๒ ปี ไปก็เป็นอันว่าเลิก
    ถาม : ท่านถึงได้มาเร่งเรา ?
    ตอบ : จ้ะ เดี๋ยวมันจะเลยเวลา ของพรรค์นี้ยิ่งเร็วยิ่งดี วาระและเวลามันมีอยู่เดี๋ยวรถขบวนสุดท้ายเลยไปก็พอดีกันนะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : แล้วเราจะตั้งศาลนี่ อ่านหนังสือหลวงพ่อท่านยังไงนะคะ ท่านบอกว่าไม่ต้องใช้ผ้า ไม่ต้องมีอุปกรณ์ ไม่ต้องมีเครื่องเซ่น หมายถึงข้าวปลาอาหาร ไม่ต้องถวายนะคะตอนนั้น เพราะว่าถือว่าทำแล้วต้องเป็น ....สละประจำแล้วต้องทำอย่างนั้นตลอดไป
    ตอบ : ตอนเชิญท่านควรจะมีพวกเครื่องสังเวย อย่างเช่นว่า บายศรี หัวหมู ไก่ ปลาแป๊ะซะ พวกนั้น แต่ว่าหลังจากนั้นแล้วมันอยู่ที่เราว่าจะบูชาท่านแบบไหน ถ้าไม่อะไรจริง ๆ ก็ ๑๐ นิ้ววันทาเอา แต่ว่าตอนที่ทำพิธีใหญ่นั้นควรจะมีให้ครบตามพิธีเขา
    ถาม : ต้องมีพราหมณ์หรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : ไม่ต้องจ้ะจริง ๆ แล้วไม่ต้องมีใครเลย
    ถาม : ใช้เทปหลวงพ่อได้เลยใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : จ้ะ เราตั้งเองทำเองได้ยิ่งดี
    ถาม : แล้วต้องมีรูปหลวงพ่อตั้งอยู่ด้วยไหมคะ ?
    ตอบ : ไม่มีไม่เป็นไร แต่ว่าที่พวกเราทำบวงสรวงแล้วมักจะตั้งรูปหลวงพ่อไว้ ก็คือว่าเอาครูบาอาจารย์นำหน้า จริง ๆ แล้วเราตั้งเองทำเองได้ยิ่งดี เพราะว่าจุดมุ่งหมายของท่านก็คือต้องการความเคารพจากเรา เราทำเองด้วยความเต็มใจ คือ เคารพแน่นอนแล้วอย่างนี้
    ถาม : แต่สถานที่นี่ไม่ใช่บ้าน เป็นสถานที่ ๆ เราไปทำกิจการขายของ
    ตอบ : นั่นก็สำคัญ อยากจะรวยก็รีบทำซะ มาเตือนขนาดนั้นแล้ว
    ถาม : พอดีหนูเกิดบนพระนารายณ์ที่วัดเขาวง ไว้น่ะค่ะว่าจะอยู่ ... ๓ วัน แล้วหนูไปตั้งแต่วันศุกร์ คือ วันศุกร์นี่หนูถือศีล ๘ ที่บ้านน่ะค่ะ ใส่เทปหลวงพ่อตั้งแต่ตี ๔ แล้ววันอาทิตย์กลับมานี่จะถือว่าครบ ๓ วันไหมคะ วันอาทิตย์กลับแต่ว่ามาลาศีล ๘ วันจันทร์เช้า
    ตอบ : อย่างนั้นครบจ้ะ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้อยู่ที่นั่นจนครบ เรารักษาครบ
    ถาม : แต่จริง ๆ แล้วไปอยู่ที่นั่นจนครบ... ?
    ตอบ : ก็เราตกลงกับว่ายังไง ? เรื่องของเทวดาเขาตรงไปตรงมา เราบอกว่าจะอยู่ที่นั่น ๓ วัน แต่ถ้าเราจะรักษา ๓ วัน เป็นอันว่าจบแล้ว เราตกลงกับท่านว่ายังไงก็ตามนั้น เริ่มต้นใหม่ก็ได้ เผื่อเหนียวไว้เอามันซะ ๗ วันก็ได้
    ถาม : ถวายหลวงพี่ต้า ว่าเป็นเจ้าภาพพระ ๔ ศอกที่น้ำหนาวน่ะค่ะ หลวงพี่เขาบอกว่าทำไมต้องทำบุญครั้งเดียว ก็อธิบายให้เขาไปแต่ไม่ทราบว่าตัวเองอธิบายหรือเปล่า ว่าถ้ามีโอกาสก็ให้ทำไปได้เรื่อย ๆ ในการชำระหนี้สงฆ์ คือ ถ้าเราทำเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ก็นานจนกว่าจะเต็ม
    ตอบ : มันนานจ้ะ พระก็ลำบากในการสร้างเพราะต้องหาเงินส่วนอื่นมาก่อน ถ้าสามารถทำได้ครั้งเดียวโดยไม่เดือดร้อนก็ควรทำครั้งเดียวไปเลย
    ถาม : แล้วยังมีผู้อื่นร่วมที่รับไว้ได้ใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : รับไว้ได้ เพราะว่าพระชำระหนี้สงฆ์ถ้าปิดทองนี่คณะกี่คนก็ได้
    ถาม : เป็นพระปูน ...?
    ตอบ : พระปูนอย่างดียวจะปิดทองไหมจ้ะ
    ถาม : ถ้ามีโอกาสก็จะทำค่ะ
    ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ปิดทองก็ได้คนเดียว ถ้าปิดทองนี่คณะกี่คนก็ได้หมด คือ จะมีอานิสงส์ในการชำระหนี้สงฆ์ จริง ๆ แล้วน่าจะรอให้มีอาคารถาวรที่จะตั้งพระได้อย่างเป็นหลักเป็นฐานเสียก่อน เพราะว่าไม่อย่างนั้นก็สร้าง ๆ รื้อ ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าหากว่าปิดทองนี่หน้าตัก ๔ ศอกนี่มีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ได้คนเดียว แต่ถ้าหากว่าหน้าตัก ๔ ศอกนี่ปิดทอง หมู่คณะใหญ่แค่ไหนก็มีอานิสงส์เท่ากันหมด
    ถาม : อยากจะเรียนถามหลวงพ่อแล้วกลางคืนกลับไปฝันว่าโดดลงเหวลึก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ แต่ไม่ทราบว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : ฝันอย่างนี้มันทดสอบกำลังใจ ความเป็นจริงมันมี ๒ อาการ อาการแรกตอนนั้นจิตของเราอาจจะอยู่ในระดับปฐมฌานหยาบ เพราะว่าคนที่อารมณ์จิตมันจะหลับได้มันจะต้องเทียบเท่าปฐมฌานหยาบมันถึงจะหลับ คราวนี้ถ้ามันหยาบเกินไปมันเกาะไม่ติดมันจะพลัดลง พอมันพลัดลงนี่ถ้าหากว่าเรานั่งอยู่มีสติสมบูรณ์พร้อมนี่มันจะวูบเหมือนอย่างกับว่าเราตกจากที่สูง
    แต่คราวนี้ลักษณะนั้นเราหลับอยู่ พอมันวูบลงมาก็เหมือนกับว่าเราตกเหว มันก็เลยพลอยฝันตามไปด้วย ส่วนอีกอย่างหนึ่งมันเป็นความฝันจริง ถ้าความฝันจริง ๆ ตกเหวไม่ตายก็ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก ตกเหวไม่ตายนี่เราตื่นซะก่อนก็หายแล้ว ( หัวเราะ)
    ถาม : เรามาถามเรื่องของคนอื่นก็เลยทำให้เก็บไปคิด กำลังใจมันตกอะไรอย่างนี้มั้ง ?
    ตอบ : ไม่ต้องไปตกหรอก ของพรรค์นี้มันเป็นกรรมใครกรรมมัน คนอื่นทำเราไม่ได้รับแทนหรอก ของเราตั้งหน้าตั้งตาทำความดีของเราต่อไป สิ่งที่ไม่ดีที่เคยทำมาก็ลืมมันให้หมดไม่ต้องไปนึกถึง พระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วว่าอย่าไปตามระลึกถึงของเก่า ตั้งหน้าตั้งตานึกถึงความดีในปัจจุบันนี้ทำมันเรื่อยไป
    ถาม : ลูกลานอยู่ไกลขอธรรมะ ?
    ตอบ : ให้ข้อเดียวจ้ะ ว่าตั้งหน้าทำความดีอย่าประมาท พอแล้วไม่ต้องเอาอะไรมากมาย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์อยู่หัวข้อเดียวเท่านั้นน่ะ (หัวเราะ) ไปเปิดตำราอ่านได้ ทั้งหมดรวม ๆ แล้วมันเหลือนิดเดียว ศรัทธาหนึ่ง ถ้าไม่ศรัทธานี่มันไม่คิดทำความดีใช่ไหม.... อันที่สองก็สติ สตินี่แก่นธรรมแท้ ๆ เลย ตามล่าหาแก่นธรรมน่ะให้มันไปหาเอาเถอะถ้ามันยังไม่มีสติ อันดับสามก็คืออย่าประมาท สตินี่ควบคุมปัญญา ปัญญาควบคุมสติ แล้ว ๒ อย่างสรุป รวมกันได้ว่าทุกอย่างจงทำโดยไม่ประมาท อย่าคิดว่าเป็นความดีเล็กน้อยแล้วไม่ทำ
    ความชั่วแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ส่งผลให้เกิดทุกข์เกิดโทษ ขณะเดียวกันความดีแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งให้เราไปสู่สุคติได้ จริง ๆ แล้วเหลืออยู่นิดเดียว สิ่งที่ทำตอนแรก ๆ มันเหมือนกับเหวี่ยงแหทีหนึ่งเอาปลาทั้งทะเล แต่พอทำไปทำมามันจะรวบ ๆ เข้า จนในที่สุดเหลืออยู่นิดเดียวบอกว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา เออ ไม่เถียง พอแล้ว เพียงแต่ว่าอย่าให้มันเถียงได้อีกแล้วกัน ต้องคอยระวังเอาไว้เสมอ
    หลวงพ่อท่านบอกอารมณ์สุดท้ายของท่านก่อนมรณภาพเพียง ๒ วัน บังเอิญได้ยินว่าอยู่ใกล้ก็เลยได้ยิน ท่านบอกว่าไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก เอากำลังใจเกาะพระนิพพานไว้ที่เดียวแหละ ทำอะไร ๆ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจมันมายมาย เอากำลังใจเกาะนิพพานไว้ที่เดียว อะไรเกิดขึ้นกับเราก็ ช่างมัน การเกิดแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ท่านบอกไว้สั้นแค่นี้เอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : มีดหมอของหลวงพ่อชนิดของเรากับอย่างของหลวงพ่อเดิมที่ท่านบอกว่าต้องใช้ตะปูโลงศพ ต่างกันอย่างไรครับ ?
    ตอบ : สมัยหลังเขาเลิกทำกันแล้ว ตามตำรามหาศาตราคม วัตถุมันหายาก ต้องเอาเหล็กยอดเจดีย์อย่างนี้... สมัยนี้ไปรื้อเจดีย์เจ้าของเขาไล่เอาเท่านั้นแหละ รวมกว่าจะได้แต่ละอย่างมันนาน แต่ว่าคนสมัยก่อนกำลังใจเขาสูงจะทำให้ได้ของดีจริง ๆ เอาอุตสาห์ไปขวนขวายหามา ได้ของครบแล้วไม่ได้หมายความว่าจะทำได้เลย ได้ของครบแล้วต้องรอวันดี รอช่างที่มีฝีมืออีก จะต้องนุ่งขาวห่มขาวก่อนงานก็ต้องภาวนาไป ๗ วัน แล้วคอยมานั่งหลอมนั่งตีกัน
    ของสมัยก่อนทำยาก คนเขาทุ่มเทกำลังใจให้จริง ๆ ส่วนใหญ่ทำชิ้นเดียวเพื่อเป็นของคู่ตัวสมัยหลัง ๆ นี้มีคนจำนวนมากต่อมากด้วยกัน หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละองค์ไม่ใช่ลูกศิษย์จะน้อย ๆ ใช่ไหม ? อย่างต่ำ ๆ คงหลายร้อยหลายพันคน ถ้าขืนไปทำวิธีนั้นก็ตายกันพอดี ต้องใช้วิธีเหมาโหลเอา
    เอาที่เขาผลิตออกมาแต่ว่ามาทำตามกรรมวิธี มันสำคัญอยู่ตรงที่ว่าพระหรือว่าพรหมหรือว่าเทวดาท่านจะสงเคราะห์มั้ย ถ้าท่านจะสงเคราะห์ของนั้นทำมาจากอะไรก็มีอานุภาพทั้งนั้น แต่ถ้าท่านไม่สงเคราะห์ต้องใช้กำลังตัวเองอย่างที่ขุนแผนทำ ใช้กำลังฌานสมาบัติของตัวเอง ใช้คาถาอภิญญาของตัวเองเข้าไปมันก็ต้องหาวัตถุที่มันเป็นสื่อได้ง่าย
    อย่างประเภทเหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลมอะไรอย่างนี้ เอาทั้งทีให้มันสุด ๆ ไปเลย อย่างนั้นถ้าคุมไม่อยู่เจ้าของมีอันตรายด้วย มีดหมอสมัยก่อนสมกับคำว่า มีดหมอจริง ๆ เพราะว่าท่านใช้รักษาโรค มาถึงยุคหลวงพ่อเดิม ท่านทำเป็นหลายขนาดให้ติดตัวไว้ เพราะว่าของท่านมีทั้งประเภทติดตัวเป็นมหาอำนาจ ป้องกันภัย รักษาโรคได้สารพัดสารเพ มีหลายขนาดตั้งแต่เล็ก ๆ ติดกระเป๋าหรือไม่ก็ขนาดประเภท ๕ นิ้ว ๗ นิ้ว กำลังใช้งานหรือประเภทให้สุด ๙ นิ้วไปเลยก็มี
    สมัยก่อนพวกเสือปล้นหนังเหนียวมันเยอะ แต่ว่าจะกลัวมีดหมอหลวงพ่อเดิม มีดหมอหลวงพ่อเดิมจิ้มเข้าไปเมื่อไหร่เหนียวไม่เหนียวก็ไม่เหลือ กลายเป็นว่าพอมายุคหลัง ๆ นี่เป็นของนิยมทั่วไปเป็นสาธารณะ แต่ว่าสมัยก่อนนี่ทำก็ทำเล่มเดียว
    อย่างของหลวงปู่ปานท่านใช้รักษาโรคก็อีโต้ดี ๆ นี่เองเคยเห็นมั้ยอีโต้ธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดาตรงคนใช้ (หัวเราะ) พอปลุกเสกอะไรตามวิธีกรรมแล้วเทวดาท่านรักษาด้วยและบุคคลที่ทรงความดีอย่างหลวงปู่ปานกำลังท่านสูง บารมีท่านสูง เพราะฉะนั้นถือว่าคนที่ได้ของดีแสนดีไปแต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็เท่านั้นแหละ ภาษาของแสงชัยเขาบอก
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...