ชีวประวัติยอดอุบาสิกา ท่านก.เขาสวนหลวง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Mikas, 21 พฤศจิกายน 2005.

  1. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    [​IMG]
    ก. เกิดกอบกิจเกื้อ กูลธรรม
    เขา พรหมจรรย์นำ นักสู้
    สวน สงัดตัดบาปกรรม ดับทุกข์ โทษเฮย
    หลวง ว่างเปล่าสงบรู้ จิตแจ้งพุทธธรรม
    ท่าน ก. เขาสวนหลวง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในบรรดาท่านที่สนใจธรรมปฏิบัติ มีนามเต็มว่า อุบาสิกา กี นานายน เกิดเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๔๔๔ ปีฉลู ที่ตำบลท่าแจ อ.เมืองฯ จ.ราชบุรี บิดาชื่อ นายฮก นานายน มารดาชื่อ นางบุญมี นานายน มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดา ๕ คน และร่วมบิดา แต่ต่างมารดา ๓ คน
    ในวาระคล้ายวันเกิดของท่าน ก. เขาสวนหลวง ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ท่านได้เล่าเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวว่า เกิดมาทำไม ดังต่อไปนี้
    เมื่ออายุประมาณ ๓-๔ ขวบ มารดาได้สอนให้สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน ถ้าเผลอตัวหลับไปโดยไม่ได้สวดมนต์ ต้องลุกขึ้นสวดมนต์เสียก่อน จึงจะนอนต่อไป
    พออายุ ๖ ขวบ มารดาท้องแก่แล้วยังต้องทำงานหนัก เช่น หาบน้ำจากแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ บ้าน รู้สึกมีความสงสารมารดาขึ้นมา จึงได้บอกแก่มารดาว่าจะช่วยหาบน้ำบ้าง มารดาจึงได้ตัดไม้กระบอกให้ และได้หาบน้ำด้วยไม้กระบอกนั้นทุกวัน
    อายุประมาณ ๗ ขวบ ได้ไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ ได้รับเงินค่าขนมวันละ ๑ อัฐ ก็ไม่ได้นำไปซื้อขนมกินเลย แต่ได้ไปซื้อดอกไม้มาบูชาพระพุทธรูปทุกวัน
    ต่อมาได้ค่าขนมเพิ่มขึ้นเป็นวันละ ๑ ไพ จึงซื้อข้าวที่เขาขายกระทงละ ๑ ไพ นำไปใส่บาตรทุกวัน เมื่อได้กลับมาอยู่บ้านเดิม (จังหวัดราชบุรี) มารดาซึ่งเคยรักษาศีลอุโบสถก็สอนไม่ให้ทำบาป และไม่เคยพาลูกไปเที่ยวดูการละเล่นเลย และไม่ชอบแต่งตัวด้วย
    เมื่ออายุ ๑๑-๑๒ ได้หัดอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน จนอ่านออก ชอบอ่านหนังสือคำกลอน ซึ่งเป็นคำสุภาษิต และเรื่องพระโพธิสัตว์สร้างบารมี
    พออายุ ๑๘ ปี มารดาป่วยหนัก ต้องคอยดูแลทั้งกลางวันและกลางคืน จนมารดาถึงแก่กรรมด้วยความสงบ
    ได้เริ่มรักษาศีลอุโบสถเมื่ออายุ ๒๔ ปี การท่องบทสวดมนต์แปลทำให้ได้ประโยชน์มาก การใช้เครื่องนุ่งห่มก็ไม่ใช้ผ้าสี มีความสนใจอ่านหนังสือธรรมะที่เป็นข้อปฏิบัติอยู่เสมอ
    ครั้งหนึ่งได้ไปที่วัดเขาวัง (พ.ศ. ๒๔๖๘) มีผู้ปฏิบัติไปทำความเพียรกันอย่างเคร่งครัด ด้วยการถือเนสัชชิ คือ ไม่นอนตลอดคืน จึงอยากจะทดลองดูบ้าง แต่คิดจะอยู่เพียงครึ่งคืน เพราะยังไม่เคยอดนอนตลอดคืน ได้กำหนดภาวนาว่า พุทโธติดต่ออยู่ ทั้งอิริยาบถนั่ง ยืน เดิน ขณะกำลังเดินไปมาท่ามกลางอากาศโปร่ง ได้แหงนขึ้นดูดวงจันทร์ที่ปราศจากเมฆหมอกในตอนดึก ความรู้สึกภายในจิตมันอุทานออกมาว่า พระพุทโธ เป็นผู้ตื่น ไม่มีกิเลสภายในจิตใจ เบิกบานอย่างนี้เอง ในขณะนั้นจิตมีความซาบซึ้งเกิดความปีติเบิกบานอยู่ภายใน เพราะได้เห็นดวงจันทร์ที่ปราศจากราศี เป็นสื่อมาเทียบกับจิตใจในขณะนั้นด้วย เวลาดึกจนเที่ยงคืนล่วงแล้ว ก็ไม่มีความง่วงเหงาหาวนอนเลย มีแต่ความชุ่มชื่น เบิกบานอยู่ภายใน มีความปีติถึงกับได้ก้มลงกราบกับพื้นดิน แล้วก็ค่อยๆ เดินบ้าง นั่งบ้าง จนตลอดรุ่ง เป็นอันว่าได้ถือเนสัชชกิได้เป็นครั้งแรก และได้อรรถรสในพระพุทธคุณบท พุทโธ ด้วยใจจริงเป็นครั้งแรก และเป็นเหตุให้ถือเนสัชชิได้ในเวลาต่อๆ มา
    อีกครั้งหนึ่งได้ไปพักที่วัดเขาวังกับอุบาสิกาผู้หนึ่ง เมื่ออยู่ได้ ๕-๖ วัน อุบาสิกาผู้นั้นได้กลับก่อน อยู่คนเดียวมีความปลอดโปร่งมาก ได้นั่งทำความสงบ พอง่วงก็ออกไปเดินรับอากาศข้างนอกห้อง หายง่วงก็กลับมานั่งทำความสงบใหม่ ทำอยู่อย่างนี้เรื่อยมา พอคืนที่ ๙ ขณะที่กำลังทำความสงบอยู่ในมุ้ง ได้เผลอสัปหงกไป แล้วกลับมามีความรู้สึกโพลงแจ้งขึ้น มีความรู้แจ้งกระจ่างในพระธรรมเจ็ดคัมภีร์ตั้งต้นจาก กุสลาธัมมา คัมภีร์ที่หนึ่งพรึ่บเดียวถึงคัมภีร์ที่เจ็ดเป็นความรู้แจ้งแทงตลอด พอความรู้ หยุดเพียงแค่นั้นจึงได้ลืมตาขึ้น ก็เห็นภายในมุ้งมีความสง่างเหมือนแสงเดือนส่อง เกิดความสงสัยว่าเป็นแสงอะไรจึงได้เปิดมุ้งออกมาดูข้างนอก ซึ่งมีแสงสลัวๆ ได้เปิดประตูไปดูนอกห้อง เห็นมืดไปหมด จึงย้อนเข้ามาดูในห้องใหม่อีก ก็มืดไปตามเดิม
    การทำข้อปฏิบัติชนิดที่ไม่รู้หลักเกณฑ์มาก่อน เมื่อได้รับการอบรมให้เหมาะสม ก็มักจะมีการโพลงแจ้งขึ้นมาเอง และก็ได้มีข้อสังเกตของตัวเอง ซึ่งพอจะจับเค้าได้ในภายหลังว่า ความสงสัยในเรื่องความสว่างความมืดข้างนอกมันเป็นมายา ทำให้เสียหลักความรู้สึกภายในไปโดยไม่รู้สึกตัว การปฏิบัติที่มีความสันโดษต่อปัจจัยตามมีตามได้ทำให้ไม่ตกเป็นทาสของอามิสในโลก มีความเป็นอิสระตามฐานะของตนตลอดมา
    เมื่ออายุ ๒๖ ปี สมัยนั้นวัดมหาธาตุเป็นป่าเงียบสงัด จึงได้ชวนกันไปทำความเพียรที่นั่น ไปกัน ๔ คน ได้ไปพักที่ศาลา ห่างจากเชิงตะกอนประมาณ ๒๐ วา เพื่อฝึกให้เอาชนะความกลัวผี ในเวลากลางคืนได้ค่อยกระเถิบเข้าไปหาเชิงตะกอนคืนละเล็กละน้อย จนกระทั่งหลายคืนต่อมาก็ได้เข้าไปถึงเชิงตะกอน ประจวบกับเป็นเวลาเดือนหงาย จึงทำให้มองเห็นเศษกระดูกสีขาวปนอยู่กับถ่าน เรี่ยราดอยู่ตามเชิงตะกอน เมื่อได้พิจารณาดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะน่ากลัวที่ตรงไหน เลยทำให้ไม่มีความหวาดกลัวเหมือนแต่ก่อน
    ต่อมาประมาณ ๑๐ วัน กลางวันวันหนึ่งได้เข้าไปนั่งทำความสงบที่ใต้ธรรมมาสน์ ซึ่งทำเหมืองตู้เก็บของมีประตูปิดเปิดได้ พอนั่งอยู่สักพักใหญ่เหงื่อออกท่วมตัวจึงต้องออกมา เพราะมีความมุ่งที่จะทำความเพียรจัดไปอย่างเดียว และเป็นการทดลองทำเอง มีวิธีการหลายอย่าง ต่อมาก็ได้มานั่งอยู่ข้างนอกอย่างเอาจริงเอาจัง ตั้งอกตั้งใจ เพียรอยู่ในท่าสมาธิ ตั้งตัวตรง มีความมุ่งแต่จะให้จิตสงบอย่างรุนแรง สักพักใหญ่เมื่อจิตไม่สงบจึงคิดว่า ทำมาหลายวันแล้ว จิตก็ไม่สงบเลย เลิกเพียรเอาจริงเอาจังเสียทีเถิด มีความรู้ที่จิตไว้อย่างเดียวดีกว่า พร้อมกับชักมือและเท้าออกจากท่าสมาธิ ขณะนั้นเท้าข้างหนึ่งยังอยู่ในท่าชันเข่า รู้ลักษณะจิตคล้ายลูกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งช้าเข้า ช้าเข้า จนหยุดกึก แล้วก็เกิดความรู้ที่ประคับประคองขึ้นมาเอง ค่อยๆ ยกเท้าเข้าซ้อนกันและมือก็วางซ้อนกันในท่าสมาธิ ทั้งจิตก็มีความรู้ สงบอย่างแนบแน่น ได้มีความรู้แจ้งในสภาพธรรมที่มีลักษณะเกิดดับเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ และเห็นสภาพที่ไม่มีการเกิดดับเปลี่ยนแปลงในภายใน พ้นจากการเกิดตาย ยากแก่ที่จะอธิบายด้วยคำพูดให้ชัดเจน เพราะเป็นการรู้แจ้งในสภาพธรรมด้านใน ซึ่งเป็นสิ่งปัจจัตตังโดยเฉพาะ
    ต่อมาก็ได้ค่อยๆ ลุกไปเอนพักผ่อน ลักษณะจิตนั้นก็ยังปรากฏอยู่ มันเป็นความสงบที่ทรงอยู่ได้เองในภายในลึกๆ ต่อมาจึงค่อยคลายเป็นความปกติ จึงได้เป็นข้อสังเกตว่า การทำด้วยความอยากจัดทำให้จิตวุ่นวายไม่สงบ เมื่อมีความรู้จิตอย่างเหมาะสมแล้ว ความรู้ภายในก็จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะการรู้แจ้งภายในมีเป็นทุน จึงทำให้รู้ข้อเท็จจริงถูกผิดในระยะต่อมาได้เรื่อยๆ และเป็นข้อที่จะให้รู้ได้ว่า ขณะที่จิตปล่อยหมดนี่เอง จึงเป็นการรู้สภาพธรรมอย่างชัดแจ้ง เพราะเป็นการรู้เอง เห็นเองในภายใน จะไปอยากรู้อยากเห็นเอาเองก็ไม่ได้
    เพราะฉะนั้นหลัก สัพเพ ธัมมา อนัตตา ของพระพุทธเจ้าจึงไม่ให้มีความยึดถือสภาพธรรม ทั้งสังขารและวิสังขารว่าเป็นตัวตน ตั้งแต่นั้นมาก็รู้ข้อเท็จจริงและคลายออกจากความยึดถือไปตามลำดับ
    ครั้งหนึ่งมีผู้มาบอกว่ามีอาจารย์เป็นสมเด็จ และทำให้คนสำเร็จเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอรหันต์ก็มี จึงได้พูดกับเขาว่า กิเลสมันอยู่ที่ตัวเรา อาจารย์จะมาทำให้หมดกิเลสไม่ได้ เราต้องปฏิบัติละกิเลสด้วยตัวเองจึงจะได้ ฉันไม่ไปหรอก ถ้าอยากจะสำเร็จแบบนั้นก็ไปเถอะ คนที่มาชวนก็เลยไม่ไป การตื่นผู้สำเร็จ ตื่นเครื่องราง ของศักดิ์สิทธิ์ ตื่นหมอดู ล้วนเชื่อถืออย่างไม่รู้เหตุผล
    ต่อมาได้ประกอบการค้าอยู่ในตลาด ซึ่งเป็นที่ชุมนุมชน การค้าก็ก้าวหน้าขึ้นมาเอง แต่ก็ไม่คิดขยายกิจการเพราะไม่หวังร่ำรวย ทำตามความจำเป็นเท่านั้นเพื่อสนองคุณบิดาซึ่งยังมีชีวิตอยู่ จึงไม่มีโอกาสปลีกตัวไปทำความสงบเหมือนเมื่อครั้งทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ เหตุการณ์เหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลง เป็นไปตามคติธรรมดา
    ระยะต่อมา บิดาป่วยหนัก ได้พยายามพูดธรรมะให้ท่านเข้าใจขึ้นเรื่อย และได้หัดให้ท่านนั่งกัมมัฏฐานบ้างครั้งหนึ่ง ขณะท่านป่วยหนัก ได้อธิบายธรรมะให้ท่านฟัง อาการป่วยของท่านในขณะนั้นก็ได้บรรเทาไป ท่านจึงสนใจในการปฏิบัติธรรม
    ภายหลังท่านได้ถึงแก่กรรมด้วยความสงบ
    การประพฤติปฏิบัติสนองคุณมารดาบิดา ก็ได้ไปสมกับหน้าที่ของบุตรเป็นการผ่อนใช้หนี้เก่าตามสมควรแล้ว ต่อจากนี้ไม่มีกังวลห่วงใย ก็หาทางออกสำหรับตน เป็นการออกไปเป็นอิสระ ไม่มีเครื่องพัวพันใดๆ ที่จะทำให้ย้อนกลับมาหามันอีก ออกไปสู่บรรยากาศว่างเปล่า ปลอดโปร่ง สดชื่นตามธรรมชาติเงียบสงัด ภายในรุ่งอรุณ เหนือขุนเขา เมื่ออายุ ๔๔ ปี ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๘๘
    ท่านไม่เคยแสดงอาการเจ็บป่วยหรืออ่อนแอให้ใครเห็น ขนาดท่านขอร้องอย่าให้คนทางกรุงเทพฯ หรือที่ไกลๆ ไปพบท่านเลย เพราะท่านไม่สบาย แต่คนกลับพากันไปมากขึ้น แต่เมื่อไปแล้วท่านก็ให้พบ โดยไม่มีอาการว่าไม่สบาย ผู้ที่ไปพบก็มีแต่ความชื่นใจ ปีติกลับมา แต่ท่านก็ต้องทรมานต่อการปวดหลัง เพราะกระดูกสันหลัง ที่เอวท่านหลุดจากกันและท่านร้อยในท้อง ดิฉันเคยเข้าไปเยี่ยมถามอาการท่าน ท่านเล่าถึงอาการท่านให้ฟัง แต่ท่านก็ไม่สนใจที่จะไปรักษา
    ในพรรษานั้น (๒๕๒๐) ท่านพยายามฝึกศิษย์ที่อยู่ประจำที่เขาสวนหลวงให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง ท่านไม่ขึ้นเทศน์ แต่ให้ผู้ปฏิบัติขึ้นไปนั่งตอนกลางคืนในวันพระที่ศาลาที่ท่านพักคือศาลา ธรรมโอสถ
    ในพรรษานี้ท่านได้ให้พี่เจือ (อุบาสิกาเจือพันธ์ กาลกฤษณ์) สร้างที่เก็บร่างของท่านเมื่อท่านสิ้นแล้ว โดยท่านอนุญาตให้พี่เจือหาสถานที่ที่เหมาะสม และจัดการสร้างพี่เจือเลือกที่บนเขา ซึ่งต้องเดินขึ้นมาจากโรงครัวพอที่ทุกคนจะขึ้นได้สบาย ส่วนที่เป็นที่เก็บร่างทำด้วยหินอ่อนสีเทา หากนั่งที่ลานหน้าหอประชุมจะมองเห็นได้ชัด พวกเราใจหาย เมื่อท่านสั่งให้สร้าง และท่านจัดการกิจการทุกๆ อย่าง โดยมอบหน้าที่ให้แต่ละคนรับไปทำ และท่านดูอยู่ภายนอก เมื่อท่านละสังขารแล้วจะได้อยู่กันได้ต่อไป
    ต้นเดือนกันยายน ๒๕๒๑ ท่าน ก. ได้เข้ารับการรักษาตา ที่จังหวัดปทุมธานี
    วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ ท่านก็ได้ละสังขารที่จังหวัดปทุมธานี รวมอายุ ๗๗ ปี
    สิ่งที่ประทับใจศิษย์ทุกคน ที่จะงดบันทึกเอาไว้ไม่ได้คือ พิธีทำการบรรจุสรีระของท่าน ทำกันด้วยธรรม ไม่มีการทำพิธีกรรม ไม่มีการสวดกลางคืน เมื่อบรรจุร่างท่านเรียบร้อยแล้ว ศิษย์ทั้งหลายนยืนกันตามไหล่เขาเป็นระยะ เป็นระเบียบเรียบร้อย และทำความเคารพด้วยการนั่งสมาธิด้วยความสงบ เป็นพิธีง่ายๆ ซึ่งไม่เคยมีใครทำ แต่ก็ดูศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง สำหรับท่านที่ดับไม่เหลือแล้ว อย่าง คุณแม่ ท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง ซึ่งเกินจะพรรณนาในความเมตตากรุณาที่มีต่อศิษย์ทุกคน
     
  2. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    เมื่อปล่อยวาง สิ่งใด จิตใจว่าง
    เป็นแนวทาง ดับทุกข์ได้ ใฝ่ฝึกฝน
    ไม่ยึดถือ ขันธ์ห้า ว่าตัวตน
    เป็นการพ้น ทุกข์ภัย ไม่วุ่นวาย

    ท่าน ก. เขาสวนหลวง
     
  3. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    สัจธรรม ความว่าง ทางอันเอก
    จิตวิเวก เงียบสงัด สลัดทิ้ง
    คลายกำหนัด สัตว์บุคคล พ้นทุกข์จริง
    เห็นทุกสิ่ง ดับไม่เหลือ สิ้นเชื้อเอย
    ท่าน ก. เขาสวนหลวง
     
  4. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    เมื่อจิตนิ่ง ทิ้งสังขาร ญาณหยั่งรู้
    สงบอยู่ รู้ว่าง ระหว่างขันธ์
    พระพุทธะ รู้จริง สิ่งสำคัญ
    ปล่อยวางขันธ์ เฉพาะหน้า ไม่อาลัย
    ตัดสังโยชน์ โทษร้าย ไม่เกี่ยวเกาะ
    รู้เฉาะ ความว่าง สว่างไสว
    ความรู้จิต บริสุทธิ์ พุทธเกิดใน
    จิตผ่องใส เป็นพระธรรม สิ่งดำรง
    สภาพรู้ และสิ่ง ที่ยืนรู้
    ธรรมทั้งคู่ ไม่ใช่ตัว อย่ามัวหลง
    "สัพเพ ธัมมา" ท่านว่าตรง
    รวมความลง เป็น "อนัตต์" ใช่อัตต์เอย

    ท่าน ก. เขาสวนหลวง
     
  5. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    จิตสงบ ระงับได้ ไม่ปรุงแต่ง
    ความรู้แจ้ง เห็นจริง สิ่งทั้งหลาย
    จิตระงับ ดับลง ปลงร่างกาย
    ใช้หญิงชาย คนสัตว์ แจ้งชัดใจ
    มีความรู้ อย่างติดต่อ ข้อสังเกต
    ดับกิเลส ดับทุกข์ได้ ไม่หลงไหล
    เป็นผู้มี ความสงบ อบรมใจ
    ดับทุกข์ได้ แท้จริง ทุกสิ่งเทียว
    จิตรู้จิต ไม่เที่ยวเกาะ เพราะไม่หมาย
    สิ่งทั้งหลาย ดับไฟ ไม่แลเหลียว
    จิตรู้จิต เป็นกลาง ไว้อย่างเดียว
    ไม่ท่องเที่ยว รักชัง สิ่งทั้งปวง

    ท่าน ก. เขาสวนหลวง
     
  6. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    ขันธ์ห้าคือ กายใจ ให้น่าคิด
    มันมีพิษ ร้ายแรง แอบแฝงอยู่
    เลี้ยงงูพิษ คิดว่า น่าอุ้มชู
    ถูกมันขู่ ฟ่อฟ่อ อ้อตัวเรา
    กระชากคอ งูเห่า อย่ากลัวกัด
    เอามีดตัด อัตตา หาไฟเผา
    ด้วยวิปัส- สนาญาณ ผลาญตัวเรา
    ให้ว่างเปล่า จากใจ อย่าไว้มัน
    ปฏิบัติ เจาะจง ประสงค์ฆ่า
    ตัวอัตตา เล็กใหญ่ ในเบญจขันธ์
    คืออัตตา นุทิฎฐิ ตัวสำคัญ
    มันกางกั้น ไม่ให้ ได้นิพพาน
    ทั้งผู้ดู ผู้รู้ ผู้จำแนก
    มันหลงแบก ตัวตน กลสังขาร
    ดับตัวตน หนีอำนาจ มัจจุมาร
    พระนิพพาน ประกฎ หมดหมายเอย

    ท่าน ก. เขาสวนหลวง
     

แชร์หน้านี้

Loading...