ชีวประวัติ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม โดย..ธีรภัทโท

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 20 กรกฎาคม 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    ครูบาชอบตายแล้ว


    ปี พุทธศักราช ๒๔๗๒ พรรษาที่ ๕ ของ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่ท่านจำพรรษาที่วัดวัดป่าหนองวัวซอ ต.หนองวัวซอ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ในพรรษาปีนี้มีพระเณรร่วมจำพรรษาด้วยกัน ๘ รูป พระภิกษุ ๖ รูป สามเณร ๒ รูป ในพรรษาปีนี้หลวงปู่ท่านเกือบตายเพราะเหตุจากต้นไม้ยางหลวงโค่นลงมาทับกุฏิของท่าน จนทำให้กุฏิที่ท่านพักนั้นพังทั้งหลัง แต่องค์ท่านรอดตายจากเหตุการณ์นี้ไปได้อย่างหวุดหวิด..

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบเล่าเรื่องนี้ให้พระลูกเณรหลานฟังว่า “ ก่อนวันที่ต้นยางหลวงจะล้มลงมาทับกุฏิเรานั้น ตอนนั้นฝนมันจะตกติดต่อกันนานหลายวัน ตกอยู่จั่งซั่นเป็นอาทิตย์ กลางก็ตก กลางวันก็ตก จนน้ำห้วยหลวงหลากนอง "..

    " ตอนกลางวันนั้นเรานอนพักอยู่ในกุฏินั่งร้าน ขณะกำลังนอนหลับพอเซือบๆยู่นั้น(กำลังเคลิ้มหลับ) ปรากฏได้ยินเสียงแม่ออก(แม่ชีปา)เรียกเราอยู่ข้างนอกกุฏิ ”..

    “ ครูบาๆ ฟ้าวตื่นถะแม้(รีบตื่นเร็วๆ)พระนางมัทรีท่านมาคอยถวายผ้าอาบน้ำฝนให้ครูบา ตอนนี้พระนางมัทรีเพิ่นคอยอยู่ศาลา ครูบาฟ้าวตื่นเร็วๆพระนางมัทรีเพิ่นจะกลับแล้ว ”..

    “ เรากะฟ้าวตื่นฟางลุก(รีบตื่นขึ้นมาแบบงัวเงีย) บ่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาจากกุฏิตั้งแต่ตอนไหน เดินออกแบบคนละเมอรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงต้นยางหลวงมันล้มลงมาทับกุฏิเสียงดังโคร่มใหญ่ เสียงไม้ทับกุฏิดังก้องทีปก้องแดน เราสะดุ้งตื่นหันไปมองทางกุฏิ "..

    " โอ๊ย..กุฏิมุ่นแอ๊บแย๊บ(กุฏิพังยับเยิน) "..

    " ยืนเบิ่งกุฏิเจ้าของอยู่พักหนึ่ง คิดขึ้นมาได้ว่า เอ..เราได้ยินเสียงโยมแม่ชีร้องเรียกให้เราไปหานางมัทรีอยู่ที่ศาลานี่ ตอนออกมาจากกุฏิยังปรากฏเห็นหลังโยมแม่ชีเดินนำหน้าอยู่ไหวๆ เราสงสัยในเรื่องนี้มากจึงรีบเดินไปที่ศาลาเพื่อจะไปดูให้เห็นกับตาว่าพระนางมัทรีเพิ่นมาแท้บ้อ ”..

    “ พอไปถึงศาลากะบ่เห็นมีอีหยังเลย เห็นแต่ศาลาเปล่าๆแปลนๆอยู่อย่างนั้น อย่าว่าแต่บ่เห็นนางมัทรีเลย ผีซักตัวที่เฝ้าศาลากะบ่เห็น พอหายสงสัยจากตรงนั้นแล้วเราจึงเดินกลับมาเบิ่งกุฏิของตัวเอง ”..

    “ กุฏิที่พักเจ้าของพังหมดทั้งหลัง เห็นกุฏิพังยับแบบนี้แล้วก็ย้อนคิดไปว่า ถ้าเรายังนอนอยู่ในกุฏิตอนต้นไม้มันล้มลงมาทับ ป่านนี้กูจะบ่ได้เป็นมะลางครูบาชอบไปแล้ว(มะลางคือคนที่ตายไปแล้ว) "

    " เห็นต้นไม้ล้มทับกุฏิเจ้าของพังยับแบบนี้ ขนคีงเฮาลุกเลย(เราขนลุกเลย) เข้าไปค้นหาบริขารเจ้าของว่ามันยังมีอันใดเหลือพอที่จะใช้ได้บ้าง บาตรกับกลดพังหมดจนต้องได้เปลี่ยนบาตรเปลี่ยนกลดใหม่ บริขารส่วนมากได้เปลี่ยนใหม่เกือบจะทั้งหมด ”..

    “ ตอนเรากำลังค้นหาของอยู่ภายในซากกุฏินั้น ครูบาหลุยท่านได้ยินเสียงต้นไม้ล้ม ท่านเลยออกมาดู ท่านหลุยเห็นต้นไม้ล้มทับกุฏิของเราจนพังไปหมดทั้งหลัง แต่ท่านหลุยยังมองบ่เห็นเราในตอนนั้น ท่านเข้าใจว่าเราถูกต้นไม้ล้มทับตายอยู่ในกุฏิแล้ว ครูบาหลุยร้องเรียกพระเณรเสียงดังลั่นวัด ท่านร้องเรียกพระเณรให้พากันรีบมาดูเพื่อช่วยเหลือเรา ”..

    “ เรานั่งฟังท่านหลุยร้องเสียงหลงเสียงหลอด เราแอบดูท่านหลุยอยู่ในซากกุฏิเก่า ฟังท่านหลุยเว้าแล้วเราก็นึกขำจนต้องกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ในตอนนั้น ”..

    “ ท่านหลุยว่า ตายแล้วๆ ครูบาชอบตายแล้ว หมู่คณะเอ้ยฟ้าวรีบมาเบิ่งครูบาชอบเร็วๆ ครูบาชอบถูกต้นไม้ล้มทับตายแล้ว ครูบาชอบเอ้ยเจ้าคือสิมาตายไวตายวาแต่หนุ่มแต่น้อยแท้ ”..

    หลวงปู่ท่านเล่าตอนที่ท่านแอบซุ่มอยู่ภายในซากกุฏิ ท่านนังฟังหลวงปู่หลุยพูดถึงท่าน ท่านทั้งขำ และรู้ซึ้งถึงน้ำใจของหลวงปู่หลุยที่มีต่อท่าน ตอนหลวงปูท่านเล่าองค์ท่านทำเสียงเลียนแบบหลวงปู่หลุย ทำให้ผู้เขียนนึกถึงกิริยาอาการ และน้ำเสียงขององค์ท่านหลวงปู่หลุยตอนอยู่ กม.๒๗ ดอนเมือง ทำให้พลอยขำไปกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบด้วย ได้แต่ยกมือขอขมาสาธุอย่าให้ลูกหลานเป็นบาปกรรมที่นึกถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ไปในทางขบขัน..

    หลวงปู่ชอบ “ อาจารย์หลุยท่านพูดไปด้วย ค้นหาเราไปด้วย พอท่านเห็นเรานั่งหลบอยู่ในซากกุฏิเท่านั้นแหละ ท่านหลุยร้องใส่เราเสียงดังลั่นเลย โอ๊ยน้อ.. คนหนอคน คิดว่าท่านตายดับแนวไปแล้ว บ่ได้ยินเสียงคนเขาเอิ้นหาบ้อ มานั่งหลบนั่งลี้บ่ปากบ่จาอีหยังอยู่นี่ล่ะ สิตายแล้วซั่นบ้อจั่งบ่ตอบบ่จา(จะตายแล้วหรือถึงไม่พูดจาขานตอบ) ”..

    พอองค์ท่านหลวงปู่ชอบท่านเล่าถึงตอนนี้ หลวงปู่ท่านลุกขึ้นมานั่งมองมาทางผู้เขียนและพระเณรที่นั่งฟังองค์ท่าน หลวงปู่ท่านแสดงท่าทาง และน้ำเสียงที่หลวงปู่หลุยตะโกนใส่ท่าน หลวงปู่ท่านเล่าไปหัวเราะไป ท่านคงมองเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกหลังจากผ่านเหตุการณ์ของเรื่องนี้มา..

    ผู้เขียนเองก็เป็นพระเส้นตื้น ได้ยินได้ฟังอะไรที่เป็นเรื่องขำๆ ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ ได้แต่นั่งหัวเราะเมื่อฟังหลวงปู่ชอบท่านเล่าให้ฟัง นึกถึงความรู้สึกของหลวงปู่หลุยในขณะนั้นท่านคงรู้สึกจริงจังกับเหตุการณ์เป็นอย่างมาก ท่านเป็นห่วงในชีวิตและความปลอดภัยของหลวงปู่ชอบ ท่านคงคิดว่าหลวงปู่ชอบท่านถูกต้นไม้ล้มทับตายไปแล้วจริงๆ ท่านจึงได้ร้องเรียกให้หมู่เพื่อนพากันออกมาช่วยเหลือหลวงปู่ชอบ..

    แต่หลวงปู่ชอบในตอนนั้นท่านกลับหยอกล้อหลวงปู่หลุยในเวลาที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นกับความตาย จนเป็นเหตุให้หลวงปู่หลุยท่านต่อว่าหลวงปู่ชอบ..

    หลวงปู่ชอบท่านก็เข้าใจความรู้สึกห่วงใยที่หลวงปู่หลุยมีต่อท่าน หลวงปู่ท่านจึงไม่ขุ่นเคืองหรือโต้ตอบหลวงปู่หลุยเพื่อให้เพื่อนเสียน้ำใจ ท่านว่าตอนนั้นอาจารย์หลุยท่านเสียใจ ท่านคิดว่าเราถูกต้นไม้ทับตายไปแล้ว ตัวเราเองกลับหยอกล้อหมู่เพื่อนผิดเวลา..

    พิจารณาเองเถิด องค์ท่านหลวงปู่หลุย และองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ท่านทั้งสองรักและผูกพันกันมากแค่ไหน..

    หลวงปู่ท่านว่าเหตุการณ์ฝันดิบที่ท่านเห็นโยมแม่ชีปามาเรียกให้ท่านออกไปจากกุฏิเพื่อไปรับถวายผ้าอาบน้ำฝนจากพระนางมัทรีนั้น แท้จริงแล้วในวันนั้นโยมแม่ชีปาท่านพักอยู่ที่กุฏิ แม่ชีปาท่านไม่ได้ไปเรียกท่านให้ออกมาหาพระนางมัทรีเลย ท่านว่าเป็นเทวดาที่รักษาวัดเขามาช่วยชีวิตของท่านไว้ โดยเขาจำแลงเป็นโยมแม่ชีปามาเรียกให้ท่านออกไปจากกุฏิ..

    ท่านว่าถ้าเราบ่มีบุญบวชมากในชาตินี้ ป่านนี้เราคงตายดับแนวครูบาชอบไปแล้วตั้งแต่ปีนั้น..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2013
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    โอวาทธรรมครั้งแรกที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นสั่งสอน

    [​IMG]


    หลังจาก หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านขอนิสัยกับองค์ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แล้ว องค์ท่านหลวงปู่มั่นได้ให้โอวาทธรรมกับท่านว่า

    “ ท่านชอบเคยปฏิบัติทางด้านจิตภาวนามาเช่นไร ก็ให้ท่านชอบปฏิบัติต่อไปแบบนั้นอย่าได้หยุด แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงแสดงไว้นั้น มันก็รวมลงมาที่ใจของเราทั้งหมดนั่นแหละ ถ้าท่านชอบอยากจะรู้เห็นในธรรมเหล่านั้น ก็ให้ท่านค้นหาเอาที่ใจของท่านเอง "...

    " อ้ายเฒ่า พูดไปมากเท่าไร ก็ไม่เท่ากับท่านรู้เห็นเป็นธรรมด้วยตัวของท่านเอง หากว่าการปฏิบัติของท่านเกิดติดขัดมีปัญหาอะไร ก็ให้ท่านมาถามเราได้ทุกเมื่อ อ้ายเฒ่าผู้นี้แหละจะเป็นผู้ตอบข้อสงสัยในการปฏิบัติให้กับท่าน ”..

    ถึงจะเป็นโอวาทธรรมสั้นๆที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นได้แสดงให้ท่านฟัง หลวงปู่ชอบท่านบอกว่า เป็นธรรมโอวาทที่ท่านประทับใจมาก เพราะนี่คือโอวาทธรรมครั้งแรกที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นได้แสดงให้ท่านฟัง ในฐานะ " ลูกศิษย์กับอาจารย์ "..

    เมื่อองค์ท่านหลวงปู่มั่นให้โอวาทธรรมแก่ท่านจบแล้ว หลวงปู่มั่นท่านจึงบอกพระเณรให้พาท่านไปหาที่พัก หลวงปู่ชอบท่านจึงกราบลาองค์ท่านหลวงปู่มั่นเพื่อไปยังที่พัก..

    หมายเหตุ. คำว่า อ้ายเฒ่า เป็นคำพูดขององค์ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่องค์ท่านมักใช้พูดเป็นคำแทนตัว..

    ภาคผนวกของตอนนี้.- ที่พักของหลวงปู่ชอบตอนท่านมาพักอยู่ที่เสนาสนะป่าบ้านสามผงครั้งแรกนั้น ท่านว่า ที่พักของท่านเป็นกุฏินั่งร้านพื้นปูด้วยฟากไม้ไผ่อยู่ใต้ " ต้นหมากโก "(ต้นตะโก) ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีอยู่ประจำท้องถิ่นของภาคอีสานโดยทั่วไป..

    ผู้เขียนเข็นรถพาหลวงปู่ไปดูสถานที่พักเก่าตอนที่ท่านมาพักที่บ้านสามผงครั้งแรก..

    สภาพปัจจุบันของวัดสามผงตอนที่หลวงปู่ชอบท่านพาผู้เขียนไปดูนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอันมาก(หลวงปู่ชอบ) จนไม่เหลือเค้าเก่าโครงเดิมสมัยที่หลวงปู่ชอบท่านมาพักอยู่กับหลวงปู่มั่นที่นี่..

    หลวงปู่ชอบท่านถามถึงต้นไม้ต้นที่ท่านเคยพักอยู่ พระเณรวัดสามผงที่อยู่จำพรรษาในยุคปัจจุบันเขาก็ตอบท่านไม่ได้ เพราะต่างองค์ต่างก็เกิดไม่ทันสมัยที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นมาพักภาวนาอยู่ที่บ้านสามผง..

    เมื่อถามใครก็ไม่มีใครรู้เรื่อง องค์ท่านหลวงปู่ชอบจึงนั่งนิ่งอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นหลวงปู่ท่านได้ชี้มือไปทางศาลาการเปรียญของวัดสามผง ท่านบอกว่า ที่พักเก่าของท่านจะอยู่ห่างจากศาลาหลังนี้ไปประมาณสิบเมตร คือสถานที่เก่าที่ท่านเคยมาพักอยู่กับท่านอาจารย์ใหญ่มั่น..

    ผู้เขียนจึงเข็นรถพาหลวงปู่ไปดูสถานที่ตรงนั้น พอถึงจุดที่หลวงปู่ท่านเคยพัก ท่านชี้มือลงไปที่พื้นดินตรงนั้น ท่านบอกว่า หม่องนี้แหละ(ตรงนี้แหละ)คือที่พักเก่าของเรา..

    ผู้เขียนจึงหยุดรถเข็นเพื่อให้หลวงปู่ท่านอยู่ตรงนี้ระยะหนึ่ง แต่เนื่องจากวันนั้นร้อนอากาศร้อนอบอ้าวมาก ผู้เขียนเกรงว่าหลวงปู่ท่านจะร้อนมาก จึงขอโอกาสพาท่านเข้าไปพักคลายร้อนภายในอุโบสถของวัดสามผง..

    พอพูดถึงอุโบสถวัดสามผงแล้ว ส่วนตัวผู้เขียนดูแล้วเห็นเป็นศิลปะที่แปลกตามาก เพราะส่วนตัวไม่เคยเห็นศิลปะแบบนี้ในวัดแห่งใดมาก่อน ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันท่านบอกว่า เป็นศิลปะที่ผสมผสานกันระหว่างศิลปกรรมแบบไทยภาคอีสาน และศิลปกรรมแบบเวียดนามประยุกต์..

    อุโบสถหลังนี้สร้างขึ้นโดยช่างชาวเวียดนามที่อยู่ในจังหวัดนครพนม สร้างขึ้นมาในสมัยที่ พระคุณเจ้าหลวงปู่วัง ชินวังโส เป็นเจ้าอาวาส ปัจจุบันองค์ท่านหลวงปู่วังท่านได้มรณภาพไปนานหลายปีแล้ว..

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบท่านกล่วถึง หลวงปู่วัง ชินวังโส ว่า..

    " อาจารย์วังท่านมีอายุพรรษาน้อยกว่าเราอยู่หลายปี แต่เดิมท่านเป็นคนนักเลงใจร้อน พอบวชมาแล้วท่านอาจารย์ใหญ่มั่นได้กำราบปราบทิฐิของท่านจนราบคาบ จากนั้นท่านอาจารย์ใหญ่มั่นได้ให้ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร ช่วยอบรมสั่งสอน อาจารย์วังท่านมักจะออกเที่ยววิเวกกับท่านอาจารย์ฝั้นอยู่เสมอ เห็นอาจารย์ฝั้นที่ไหนก็มักจะเห็นอาจารย์วังอยู่ที่นั่น "..

    " ภูมิธรรมข้างในของอาจารย์วังนั้น ท่านหมดจดทุกอย่างแล้ว เสียดายที่อายุธาตุขันธ์ของท่านวังนั้นไม่ยืนยาว ท่านละโลกไปแล้ว ถ้าอาจารย์วังท่านยังอยู่ ท่านจะเป็นกำลังช่วยเหลือพระงานเผยแผ่พระธรรมของศาสนาได้อีกมาก งานประชุมเพลิงของอาจารย์วังเราก็ได้มาร่วมกับหมู่คณะเหมือนกัน "..

    หลวงปู่ชอบท่านพักอยู่ในอุโบสถวัดสามผงประมาณสามสิบนาที พอได้เวลาสมควรแล้วหลวงปู่ท่านก็พาผู้เขียนเดินทางออกจากวัดสามผงเพื่อมาดูสถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักกับแม่น้ำศรีสงคราม..

    ที่ตรงนี้ คือสถานที่ ที่หลวงปู่ชอบท่านแวะเข้ามาพักตอนที่ท่านถูกองค์ท่านหลวงปู่มั่นไล่ออกมาจากเสนาสนะบ้านสามผง..

    ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ พระคุณเจ้าหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ท่านได้สร้างเป็นวัดขึ้นมา ชื่อ วัดป่าศรีวิชัยวนาราม โดยมีท่านพระครูวิบูลธรรมภาร เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน(๒๕๓๖) ซึ่งท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอบ้านแพง อำเภอศรีสงคราม ฝ่ายธรรมยุต วัดป่าศรีวิชัยวนารามแห่งนี้จะอยู่ห่างจากวัดบ้านสามผงประมาณสี่กิโลเมตร..

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบสนทนากับท่านพระครูวิบูลธรรมภารประมาณสามสิบนาที หลวงปู่ชอบท่านบอกให้ผู้เขียนจดชื่อฉายาพรรษาของท่านพระครูวิบูลฯเอาไว้ เพราะหลวงปู่ท่านจะให้ผู้เขียนส่งฎีกานิมนต์ท่านพระครูวิบูลฯไปร่วมในงานมุทิตาจิตขององค์ท่าน..

    จากนั้นองค์ท่านหลวงปู่ชอบขอลาท่านพระครูวิบูลฯเพื่อเดินทางมาพักที่ วัดถ้ำยาภูลังกา อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม(ปัจจุบันขึ้นกับจังหวัดบึงกาฬ)..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2013
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่มั่นให้พระเณรมาตาม

    [​IMG]


    เช้าวันรุ่งขึ้นหลวงปู่ชอบท่านออกไปบิณฑบาตกับชาวไร่ที่เขาพักอยู่ใกล้ๆกับป่าที่ท่านพัก หลังจากฉันอาหารเสร็จแล้วท่านก็จัดบาตรบริขารเพื่อที่จะเดินทางกลับมายังบ้านหนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ขณะที่ท่านกำลังจัดเตรียมบริขารอยู่นั้น ท่านเห็นพระและสามเณรร้องเรียกหาท่าน ท่านจำได้ว่าพระที่มาเรียกท่านนั้นเป็นพระองค์ที่พาท่านเข้าไปกราบหลวงปู่มั่นเมื่อวันวาน..

    พระรูปนี้พูดกับท่านว่า " ครูบา ท่านอาจารย์ใหญ่บอกให้ผมรีบมาตามครูบาให้กลับไปพบท่านเดี๋ยวนี้ ท่านบอกผมกับสามเณรให้มาตามครูบาที่ป่าแก่งสงคราม ดีนะที่ผมกับสามเณรสิมมาพบท่านอยู่ที่นี่เสียก่อน ถ้าไม่พบครูบาที่นี่แล้ว ผมก็ไม่รู้จะไปตามหาท่านได้ที่ไหน ท่านอาจารย์ใหญ่สั่งกำชับมาว่าต้องตามหาท่านให้พบ และให้พาท่านกลับไปหาพ่อแม่ครูอาจารย์ให้ได้ "..

    พอหลวงปู่ชอบท่านได้ยินว่าองค์ท่านหลวงปู่มั่นสั่งให้ท่านกลับไปพบเช่นนี้ ท่านขนลุกซู่ และเกิดอัศจรรย์ในองค์ท่านหลวงปู่มั่นเป็นอย่างมาก ท่านรีบจัดบริขารของตนเองให้เสร็จ และเดินตามพระเณรเพื่อกลับไปพบกับองค์ท่านหลวงปู่มั่นอีกครั้ง..

    ระหว่างทางที่ท่านกับพระรูปนี้และสามเณรเดินมาด้วยกัน ท่านเรียนถามชื่อพระรูปนี้ว่า " ขอโอกาสท่านครูบา ท่านครูบามีชื่อว่าอีหยังข้าน้อย(ท่านมีชื่อว่าอะไรขอรับ) พระรูปนี้ตอบท่านว่า " ผมชื่อ พระเทสก์ เทสรังสี " (พระคุณเจ้าหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย) ท่านครูบาเทสก์ถามชื่อของหลวงปู่กลับว่า " ท่านครูบามีชื่อว่าอีหยังข้าน้อย " ท่านตอบว่า " ข้าน้อยชื่อว่า พระชอบ ฐานสโม "..

    หลวงปู่ท่านถามชื่อสามเณรที่มากับท่านครูบาเทสก์ว่า " สามเณรมีชื่อว่าอะไร " สามเณรองค์นี้ตอบท่านว่า " ข้าน้อยชื่อว่า สามเณรสิม (วงศ์เข็มมา)(พระคุณเจ้าหลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาป่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่)..

    หมายเหตุ.ครูบา ทางอีสานใช้เรียกนำหน้าชื่อพระที่ท่านยังมีอายุพรรษายังน้อย

    ( บอกเล่าท้ายตอน ) ตอนหลวงปู่ชอบท่านเล่าเหตุการณ์ตอนที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นให้พระเณรมาตามท่านกลับไปพบองค์อีกครั้งนั้น หลวงปู่ท่านพูดถึงตอนที่ท่านถามชื่อหลวงปู่เทสก์ เทสรังษี และ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ครั้งแรกนั้น ส่วนตัวผู้เขียนถึงกับตื่นเต้นในการพบรู้จักกันของทั้งสามองค์ท่านอย่างเป็นทางการ

    เหมือนกับหลวงปู่ชอบท่านย้อนอดีตที่มาของการรู้จักกันครั้งแรกของท่านกับหมู่คณะสหธรรมิกให้ฟัง ทีแรกตอนนี้ผู้เขียนกะว่าจะไม่นำลงในเฟสชีวประวัติขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วเรื่องนี้ควรจะนำลงไว้ให้ท่านผู้สนใจใคร่รู้ได้ศึกษาความเป็นมาของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งสามองค์ท่าน เพราะที่มาของความสัมพันธ์ครูบาอาจารย์ทั้งสามท่านผู้เขียนก็ไม่เคยปรากฏเห็นว่ามีการเปิดเผยรายละเอียดในเรื่องนี้มาก่อน จึงนำลงเพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ทราบถึงที่มาของครูบาอาจารย์ทั้งสามองค์ท่านเพื่อเป็นวิทยาทาน..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2013
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ต่างจากวันวาน

    [​IMG]


    หลวงปู่ชอบท่านกลับมาที่เสนาสนะป่าบ้านสามผงอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวานท่านโดน " ฟ้าผ่าแล้ง " จากองค์ท่านหลวงปู่มั่น(สำนวนที่หลวงปู่ชอบท่านเล่า) ซึ่งในตอนนั้นท่านเองก็ยังไม่ทราบว่าท่านเองจะโดนอะไรตามมาอีก ถ้า..ท่านอาจารย์มั่นดุเราอีกเหมือนกับเมื่อวานนี้ เราอาจเป็นบ้าเสียสติขึ้นมาได้..

    พอท่านเข้ามาพบกับองค์ท่านหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านให้พระเณรจัดเตรียมสถานที่เอาไว้ต้อนรับพระอาคันตุกะผู้มาเยือน ปูเสื่อกก และวางกระโถนไม้ไผ่เอาไว้พร้อม วางกาน้ำไว้ข้างกระโถนอย่างเรียบร้อยเสร็จสรรพ องค์ท่านหลวงปู่มั่นนั่งรออยู่ในที่พักของท่าน โดยองค์ท่านนุ่งห่มผ้าจีวรเฉวียงบ่าอย่างเรียบร้อย เมื่อองค์ท่านหลวงปู่มั่นท่านเห็นหลวงปู่ชอบท่านยิ้มให้กับหลวงปู่ชอบเพื่อเป็นเชิงต้อนรับ..

    หลวงปู่ชอบท่านว่า " รอยยิ้มและแววตา ของท่านอาจารย์มั่นที่แสดงออกมาให้เราเห็นในวันนั้น เราประทับใจในองค์ท่านมาก เราจำรอยยิ้มของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ในวันนั้นได้ดี รอยยิ้มของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นในวันนั้นเราไม่เคยลืมเลย เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เราจะฝังจิตติดใจเสมอ เหมือนกับเหตุการณ์นั้นๆพึ่งจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อวานนี้ "..

    หลวงปู่ชอบท่านพูดประโยคนี้จบลง องค์ท่านยกมือข้างขวา ซึ่งเป็นมือข้างเดียวที่หลวงปู่ท่านยกขึ้นได้ หลวงปู่ท่านยกมือขึ้นเหนือศรีษะและกล่าวคำว่า " สาธุ " ท่านหันมามองทางผู้เขียน และพระลูกเณรหลานที่นั่งฟังองค์ท่าน องค์ท่านหลวงปู่ชอบ " ยิ้มเปิดโลก "(รอยยิ้มที่ปราศจากกิเลส) ให้ผู้เขียนและพระลูกเณรหลานได้เห็น พระเณรทุกองค์ได้ยกมือกล่าวสาธุกับองค์ท่าน..

    ทำให้ผู้เขียนนึกคิดว่า รอยยิ้มและแววตาที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นแสดงต่อหลวงปู่ชอบในวันนั้น คงไม่ต่างอะไรกันกับรอยยิ้มและแววตาที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบแสดงออกมาให้พระลูกเณรหลานได้เห็นในวันนี้ ความประทับใจและความซาบซึ้งนั้น เป็นเรื่อง " ปัจเจกบุคคล " ยาก..ที่จะอธิบาย..

    เมื่อหลวงปู่ชอบท่านเข้ามายังที่พักขององค์ท่านหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านนั่งคุกเข่าพนมมือกล่าวคำ " ขอโอกาส " ต่อองค์ท่านหลวงปู่มั่นเพื่อจะขอกราบคารวะองค์ท่าน..

    (คำว่า ขอโอกาส เป็นสำนวนที่พระป่ากรรมฐานท่านจะใช้พูดเป็นประโยคขึ้นต้นที่จะพูดกับครูบาอาจารย์ เป็นคำพูดที่แสดงออกถึงความเคารพต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์)..

    องค์ท่านหลวงปู่มั่นท่านพนมมือเพื่อตอบรับการกราบคารวะจากหลวงปู่ชอบ กิริยาท่าทางขององค์ท่านหลวงปู่มั่นในวันนี้นั้น ดูแตกต่างจากเมื่อวันวานอย่างสิ้นเชิง..

    เมื่อวันวานนั้นจะขอกราบองค์ท่าน หลวงปู่มั่นท่านกลับดุด่า และขับไล่ให้ออกไปจากเสนาสนะป่าบ้านสามผง..

    แต่พอมาวันนี้ทุกอย่างนั้นกลับดู " เปลี่ยนไป " อย่างสิ้นเชิง..

    หลังจากหลวงปู่ชอบท่านกราบองค์ท่านหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านหลีกออกมานั่งยังที่ที่จัดเตรียมเอาไว้สำหรับต้อนรับพระอาคันตุกะ..

    องค์ท่านหลวงปู่มั่นถามท่านว่า “ ท่านมีชื่อว่าอะไร ” หลวงปู่ตอบท่านว่า “ กระผมชื่อชอบ ขอรับ ”..

    หลวงปู่มั่น " ท่านเป็นลูกศิษย์ของใคร "..

    หลวงปู่ชอบ " กระผมเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์พาขอรับ "..

    องค์ท่านหลวงปู่มั่นพูดถึงท่านพระอาจารย์พาว่า “ ท่านพาเป็นลูกศิษย์ของเรา เคยเข้ามาพักอยู่กับเราบ้างเป็นระยะ ”..

    องค์ท่านหลวงปู่มั่นถามทว่า “ ท่านบวชมานานแล้วหรือยัง ”..

    หลวงปู่ตอบองค์ท่านว่า “ กระผมบวชได้สี่พรรษาแล้ว ขอรับ ”..

    หลังจากองค์ท่านหลวงปู่มั่นถามถึงตรงนี้ หลวงปู่มั่นท่านก็นั่งนิ่งแล้วหลับตาลงไปชั่วขณะหนึ่ง..

    หลวงปู่ชอบท่านบอกว่า ตอนที่หลวงปู่มั่นท่านนั่งหลับตาอยู่นั้น ท่านก็นั่งหลับตาไปด้วยเช่นกัน ท่านนั่งนิ่งกำหนดระวังจิตของตนเพื่อจะฟังองค์ท่านหลวงปู่มั่นท่านจะพูดว่าอย่างไร..

    หลวงปู่มั่นท่านหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นท่านจึงลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยถามหลวงปู่ชอบว่า “ ท่านเดินทางมาหาเราถึงที่นี่ ท่านมีจุดมุ่งหมายอันใด ”..

    หลวงปู่ชอบท่านตอบหลวงปู่มั่นว่า “ เกล้ากระผมเดินทางมาที่นี่เพื่อจะมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์ ขอรับ เกล้ากระผมหวังที่จะให้ท่านพระอาจารย์เป็นผู้อบรมสั่งสอนชี้แนะแนวทางการปฏิบัติของเกล้ากระผมขอรับ นอกจากเหตุผลดั่งที่กล่าวมานี้เกล้ากระผมไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่นขอรับ ”..

    องค์ท่านหลวงปู่มั่นท่านนั่งหลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง ช่วงที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นท่านนั่งหลับตาอยู่นั้น หลวงปู่ชอบท่านว่า เป็นเวลาที่ท่านอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยท่านเกรงกลัวว่า องค์ท่านหลวงปู่มั่นจะไม่รับท่านเป็นลูกศิษย์ ท่านเกรงว่า องค์ท่านหลวงปู่มั่นจะดุด่าท่าน ตอนนั้นท่านคิดฟุ้งไปหมด แต่เวลานั้นท่านต้องข่มใจระวังจิตของตนเองเป็นอย่างมาก ท่านไม่อยากให้ความคิดที่ฟ่านฟุ้งของท่านไปกระทบกับธรรมขององค์ท่านหลวงปู่มั่น ตอนนั้นจึงเป็นช่วงเวลาที่ท่านลุ้นระทึกใจมากที่สุด..

    หลังจากองค์ท่านหลวงปู่มั่นหลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ท่านจึงลืมตาขึ้นมาและพูดกับ หลวงปู่ชอบว่า “ พอบอก พอสอนกันได้อยู่ เดี๋ยวเราจะให้พระเณรเขาจัดที่พักให้ ”..

    พอหลวงปู่ชอบท่านได้ยินองค์ท่านหลวงปู่มั่นพูดออกมาเช่นนี้ ท่านบอกว่า ตัวท่านในตอนนั้นเบาหวิวขึ้นมาในทันทีทันใดยังกับว่าตนเองจะลอยละลิ่วปลิวขึ้นฟ้าให้ได้ ท่านเกิดปีติในใจของตนเองอย่างล้นพ้นจนบอกไม่ถูก..

    ท่านจึงขอโอกาสเพื่อจะขอนิสัยกับองค์ท่านหลวงปู่มั่น องค์ท่านหลวงปู่มั่นท่านก็ให้ " นิสัย " กับท่าน ..

    หมายเหตุ.- คำว่า " นิสัย " คือการขอรับการสั่งสอนจากพระอุปัชฌาย์หรือครูบาอาจารย์ การขอนิสัยนั้นจะขอกับบุคคล ๒ ประเภทคือ ๑.พระอุปัชฌาย์ และ ๒.ผู้ที่เป็นพระอาจารย์..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2013
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    กรรมฐานตื่นรถ

    [​IMG]


    พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านเล่าเรื่องตลกของท่านให้ฟังเป็นเรื่องเกี่ยวกับรถยนต์..

    สมัยหลวงปู่ท่านป็นเด็กท่านไม่เคยเห็นรถยนต์มาก่อน สมัยนั้นรถยนต์กลไกในประเทศไทยยังไม่มีมากมายเกลื่อนถนนอย่างทุกวันนี้ อย่าว่าแต่บ้านนอกคอกนาเลย แม้แต่กรุงเทพในสมัยนั้นรถราม้าเหล็กแทบจะนับคันกันได้เลย ประสาอะไรกับบ้านนอกคอกนาจะมีรถยนต์มาแล่นลิ่วฉิวฝุ่นให้เห็นรอย..

    สมัยที่หลวงปู่ชอบท่านยังเป็นเด็กอยู่นั้น พาหนะที่ใช้ในการเดินทางอย่างดีที่สุดก็คือล้อเกวียน หรือไม่ก็ขี่ม้ากะจ้อนม้าแกลบซึ่งเป็นม้าพันธุ์พื้นเมือง อย่าว่าแต่รถยนต์เลย แค่จักรยานสองล้อบ้านโคกมนหรือบ้านหนองบัวบานก็ยังไม่มีซักคันเลยในสมัยนั้น..

    เวลาที่จะเดินทางไปไหนมาไหนแต่ละครั้ง ก็ใช้แต่รถ อ๊อตสะตีน คือเดินไปด้วยตีนเปล่านั่นเอง..

    พอหลวงปู่ท่านย้ายมาอยู่บ้านหนองบัวบาน ท่านเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เขาเล่าเรื่องรถยนต์ให้ฟัง ผู้เฒ่าผู้แก่บอกท่านว่าที่อุดรธานีมีรถยนต์คันหนึ่งเป็นรถยนต์ประจำตำแหน่งของเจ้าเมืองอุดรธานี เจ้าเมืองอุดรธานีในสมัยนั้นคือ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม..

    ถ้าอยากจะเห็นรถยนต์กับแสงไฟฟ้าก็ให้ไปดูที่อุดรธานี..

    หลวงปู่ชอบ “ แต่ก่อนมันบ่ค่อยมีอะไรให้ได้เบิ่งเหมือนทุกวันนี้ ตอนไปขายของอยู่อุดรก็พากันไปยืนเบิ่งแสงไฟฟ้า พอใกล้ๆสามทุ่มก็พากันกลับที่พัก พอยามหลวงเคาะระฆังดังเง็งๆบอกเวลา เขาก็ดับไฟฟ้าตามทาง พวกเราก็ต้องพากันรีบกลับที่พักเดี๋ยวจะมืดมองบ่เห็นทาง ไปยืนเล่นคุยกันอยู่ใต้แสงไฟสมัยนั้นกะบ่ต่างกับคนสมัยนี้ได้เบิ่งหนังฟังลำ ”..

    “ แต่ที่เราอยากจะเห็นมากที่สุดในตอนนั้นคือรถยนต์ ไปขายของอยู่อุดรคราวใดกะบ่ได้เห็นรถยนต์กับเขาจักเทื่อ(ไม่ได้เห็นกับเขาซักที) เห็นแต่รอยล้อของมัน ตัวแท้ๆเป็นยังไงกะบ่เคยได้เห็นกับเขาเลย เห็นรอยรถกะบ่ฮู้จักว่ามันเป็นรอยอีหยัง จนเพื่อนมันว่าให้ บักปึก(ไอ้โง่ ) รอยใหญ่ๆกว้างๆแบบนี้เขาเอิ้นว่าฮอยรถยนต์(เขาเรียกว่ารอยรถยนต์) มันไม่ใช่รอยเกวียนบักปึก ”..

    หลวงปู่เล่าจบท่านก็หัวเราะ ท่านคงนึกขำตัวท่านเมื่อในอดีต..

    หลังจากออกพรรษาที่ห้าตอนนั้นท่านอายุ ๒๘ ปี หลวงปู่ท่านเดินทางมาเที่ยววิเวกทางเมืองเลย-หล่มสัก สมัยนั้นเมืองเลยหล่มสักยังไม่มีทางรถยนต์เหมือนกับทุกวันนี้ มีแต่ทางคนเดินป่าหรือทางล้อทางเกวียนเป็นหลัก ทางรถยนต์ก็จะเป็นทางของรถซุงลากไม้ออกจากป่าเพื่อส่งโรงเลื่อย..

    หลวงปู่ชอบท่านเห็นรถยนต์ครั้งแรกที่ในป่า วันที่ท่านเห็นรถยนต์แรกนั้น ท่านว่าเดินตามทางของรถลากไม้ ท่านได้ยินเสียงกระหึ่มมาจากทางด้านหลัง ท่านหยุดฟังเสียงดูเพราะอยากจะรู้ว่ามันเป็นเสียงของอะไรกันแน่..

    ฟังเท่าไรท่านก็แยกไม่ออกว่ามันเป็นเสียงของอะไรกัน แต่เสียงที่ว่านี้มุ่งหน้ามาทางที่ท่านยืนอยู่ ทีแรกท่านเข้าใจว่าเป็นเสียงของสัตว์หมู่ใหญ่ที่ตกใจวิ่งหนีอะไรซักอย่างมา เสียงกระหึ่มป่าแบบนี้จะต้องเป็นเสียงของโขลงช้างป่า หรือไม่ก็ฝูงวัวป่าควายป่าแน่นอน เบื้องต้นท่านเข้าใจแบบนี้..

    หลวงปู่ชอบ “ เราแอบดูอยู่ข้างทาง เสียงมันดังเข้ามาทางเราเรื่อยๆ ฝุ่นนี่ฟุ้งกระจายทั่วป่า พอได้เห็นตัวเสียงแล้ว ที่ตนเองคิดว่าเป็นเสียงของสัตว์ใหญ่อย่างช้างป่าควายป่านี่ มันบ่แม่นแล้ว ความคิดแวบขึ้นมาในใจทันที "..

    " เอ..อันนี้บ้อเขาเอิ้นว่ารถ(เอ.. สิ่งนี้หรือที่เขาเรียกว่ารถ) พอคิดว่าเป็นรถยนต์เท่านั่นแหละ เราก็เดินออกไปหามันเลย พึ่งได้เห็นรถแท้ๆกะวันนั้นล่ะ ”..

    คนขับรถเขาเห็นพระเขาจึงหยุดรถถามท่าน คนขับรถซุงถามท่านว่าครูบาจะเดินทางไปที่ไหน ถ้าจะเข้าไปเมืองหล่มขอนิมนต์ท่านขึ้นรถไปกับผม..

    ท่านบอกเขาว่าท่านจะไปหล่มสัก คนขับรถลากซุงเขาจึงบอกให้เด็กท้ายรถมาช่วยถือบริขารของท่านขึ้นรถ..

    ท่านว่ารถลากไม้ซุงคันที่ท่านนั่งนั้นไม่มีประตูปิดเปิดเหมือนกับรถยนต์สมัยนี้ เวลาจะเข้าไปนั่งในรถก็มุดเข้าไปเลย ไม่ต้องมาเสียเวลาปิดเปิดประตู ที่นั่งก็เป็นไม้กระดานยาวๆ นั่งได้สามสี่คน ที่นั่งก็แข็งโป๊กเป็นไม้กระดาน ที่นั่งไม่ได้อ่อนนุ่มนิ่มเหมือนกับที่นั่งของรถยนต์ในสมัยนี้ ได้แค่นี้หลวงปู่ท่านก็ว่าสุดยอดของความสะดวกสบายแล้วในสมัยนั้น..

    นี่เป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ชอบท่านได้เห็นรถยนต์ของจริง และเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ท่านได้นั่งรถยนต์ ท่านมาสมหวังเรื่องนี้เมื่อตอนที่ท่านอายุ ๒๘ ปี..

    เรียนถามท่านว่า รถยนต์คันที่หลวงปู่นั่งนั้นเป็นรถยนต์ยี่ห้ออะไรหลวงปู่ท่านว่า ท่านไม่รู้ว่ารถอะไร รู้แต่ว่ามันเป็นรถลากไม้ซุง..

    ผู้เขียน " รถลากไม้นั่งสบายดีไหมครับหลวงปู่ "

    หลวงปู่ชอบ “ นั่งสบายดี หม่องนั่ง(ที่นั่ง) เขากะเอาไม้แป้นมาปูรองนั่ง ถนนหนทางก็เป็นหลุมเป็นบ่อ เวลารถแล่นไปกะเต้นด่องๆไปคือกบกระโดดนี่ หัวฟัดหัวเหวี่ยงไปตลอดทาง ขี่ฝุ่นไหง่ง้อง(ฝุ่นฟุ้งตลบ)เข้าในรถตลอด จักหัวพระหัวโยมแดงปานหัวฝรั่ง ”..

    พอเล่าจบหลวงปู่ท่านก็หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง เวลาที่องค์ท่านมองหน้าผู้เขียนหลวงปู่ท่านก็จะหัวเราะ จนต้องพักการสนทนากันไว้ชั่วคราวปล่อยให้องค์ท่านขำขันอย่างเต็มที่..

    ส่วนตัวผู้เขียนชอบดูตอนที่หลวงปู่ชอบท่านยิ้มหรือหัวเราะ เพราะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะขององค์ท่านเป็นธรรมชาติมาก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหลวงปู่ชอบจะเหมือนกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็ก ไม่มีมารยาใดๆแอบแฝงออกมาให้ได้เห็นเลย..

    รอยยิ้มขององค์ท่านหลวงปู่ชอบจะสามารถสัมผัสได้ด้วยใจของผู้ที่พบเห็น..

    จนองค์ท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และ องค์ท่านหลวงปู่ขาว อนาลโย ตั้งฉายายิ้มขององท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ว่า “ ยิ้มเปิดโลก ”..

    บรรยากาศการสนทนาระหว่างองค์ท่านหลวงปู่ชอบกับพระลูกเณรหลานในวันนั้นดูสนุกสนานมากเป็นพิเศษ เพราะนานทีปีหนที่จะเห็นหลวงปู่ท่านปล่อยฮาชุดใหญ่ออกมา ฮาชุดใหญ่ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบขนานแท้นั้นจะต้องมองเห็นฟันทั้งสี่ซี่ขององค์ท่าน(เพราะเหลืออยู่แค่นี้ในตอนนั้น)..

    ถ้าหลวงปู่ชอบท่านหัวเราะจนมองเห็นฟันทั้งสี่ซี่ขององค์ท่านเมื่อไหร่นั้น นั่นแหละคือฮาชุดใหญ่ของหลวงปู่ชอบขนานแท้..

    โดยปรกติแล้วหลวงปู่ท่านจะไม่ให้ความสนใจอะไรเกี่ยวกับรถยนต์ จะมีที่ท่านถามหาบ่อยที่สุดคือรถเข็นขององค์ท่านเท่านั้น เวลาที่ท่านจะเดินทางไปไหนมาไหนใครจะเอารถอะไรมารับมาส่งท่าน ท่านไม่เคยถามถึงรถยนต์ที่จะมารับมาส่งท่านเลย..

    ถึงใครจะเอารถยนต์มาถวายท่าน ไม่ว่ารถคันนั้นจะเป็นรถญี่ปุ่นหรือรถยุโรป หลวงปู่ท่านก็ไม่ได้ให้ความสนใจ หรือแสดงอาการดีใจออกมาให้ได้เห็น ท่านไม่สนใจที่จะถามถึงรถที่เขานำมาถวายเสียด้วยซ้ำ..

    มีรถลากไม้นี้แหละที่หลวงปู่ท่านบอกว่าขี่ดีกว่ารถยนต์ทุกคันที่ท่านเคยนั่งมา อาจเป็นเพราะความประทับใจส่วนตัวของท่านก็ได้ เพราะรถลากไม้เป็นรถคันแรกที่หลวงปู่ท่านได้เห็น และได้นั่ง..

    หลวงปู่ท่านยังพูดติดตลกว่า " รถคันนี้มันบุกตะลุยป่าตะลุยเขาดี ถ้าได้นั่งรถคันนี้แล้ว มั่นใจได้เลยว่า เสือช้างมันจะไม่กล้าเข้ามารบกวน เพราะเสือช้างมันจะกลัวเสียงของรถยนต์คันนี้ เสียงรถคันนี้มันดังมาก ดังจนหูดับ หูอื้อ ไปหลายวัน "..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หัวใจตกหล่ม

    [​IMG]


    ผู้เขียนเคยเรียนถามองค์ท่านหลวงปู่ชอบว่า ในชีวิตบวชของหลวงปู่มีบ้างไหมที่หลวงปู่คิดอยากจะสึก ท่านบอกว่ามีอยู่หลายครั้งที่ท่านคิดอยากจะสึก จนนับไม่ได้ว่ามีกี่ครั้งกันแน่ที่คิดอยากจะสึก จนนับไม่หวาดไม่ไหว ส่วนมากเรื่องที่คิดอยากจะสึกนั้นเกิดจากเรื่องของ “ กามคุณ ” ทั้งนั้น

    แต่มีครั้งหนึ่งที่หลวงปู่ท่านอยากจะสึกเพราะท่านไปชอบผู้หญิงคนหนึ่ง..

    ผู้หญิงคนที่ท่านนึกสมัครักชอบนี้เป็นคนทางอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ หลวงปู่ท่านได้เล่าถึงเรื่องนี้ให้ฟังว่า..

    ตอนนั้นหลวงปู่ท่านยังเป็นพระหนุ่มอายุประมาณ ๒๘-๒๙ ปี ท่านมาเที่ยววิเวกทางอำเภอหล่มสักและอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ท่านมาพบกับผู้หญิงคนนี้ที่บ้านหินฮาว อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์..

    ท่านพบกับผู้หญิงคนนี้ที่วัดบ้านหินฮาว ขณะที่ท่านกำลังเตรียมจะให้พรโยม พอท่านหันไปมองคนที่มาวัดในวันนั้น พอสายตาของท่านไปสบกับเขาเท่านั้นแหละ ท่านว่าเหมือนกับมีอะไรพุ่งเข้ามาชนหัวใจของตัวเอง จนท่านเกิดสับสน และมีความสนใจในผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาทันที หลังจากจ้องหน้าจ้องตากันอยู่สักพักหนึ่งท่านก็วางสายตาจากผู้หญิงคนนี้ไป..

    ตัวท่านเองก็ว่าไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ ท่านเกิดมีอาการประหม่าในใจของตนเองขึ้นมา ใจเป็นหวิวหวอดๆจนนึกแปลกใจในตนเอง พอรู้ว่าใจของตนเองเริ่มเอนเอียงไปในทางชอบพอเขาแล้ว ท่านจึงเร่งความเพียรเพื่อต่อสู้กับจิตใจของตนเอง หวังจะเอาชนะความฝักใฝ่ใจเสน่หาที่มีต่อเขานี้ไห้ได้..

    ตอนแรกๆก็พอที่จะสู้กับจิตใจของตนเองได้อยู่หรอก แต่หลังๆมานี่สิจิตใจมันทำท่าจะอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ จากแต่ก่อนขยันทำความความเพียรเดินจงกรมภาวนา แต่พอมาเจอกับเรื่องนี้เข้าใจมันก็เปลี่ยนเป็นมาขยันคิดขยันปรุงแต่งขึ้นมาแทน..

    ท่านว่า ท่านเคยคิดปรุงแต่งเรื่องที่จะสึกจนข้ามวันข้ามคืนก็เคยเป็นมาแล้ว คำบริกรรมภาวนา “ พุทโธ ” ที่ตนเองเคยฝึกฝนอบรมมานับตั้งแต่วันบวช ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันเลือนรางจางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พอเผลอสติเมื่อไรใจมันก็เปลี่ยนมาเป็นคิดถึงเขาเข้ามาแทนที่ทุกครั้ง จนท่านเกิดหงุดหงิดรำคาญใจตนเองเป็นอย่างมากในตอนนั้น..

    ระหว่างสัจจะในหัวใจที่ตนเองเคยตั้งเอาไว้ว่าจะบวชประพฤติพรหมจรรย์ไปจนถึงวันตาย กลับถูกข้างฝ่ายมารคอยยั่วยวนชวนให้สิกขาลาเพศออกไปเป็นฆราวาสครองเรือน ทางด้านฝ่ายธรรมนั้นก็คอยย้ำเตือนว่า ถ้าหากลาสิกขาออกมาครองเรือนนั้นมันเป็นทุกข์มาก ความคิดในใจของท่านตอนนั้นเกิดแตกแยกออกเป็นสองฝักสองฝ่ายอย่างชัดเจน..

    ฝ่ายกิเลสก็คอยยุยงให้สึกออกมาครองเรือน ข้างฝ่ายธรรมก็บอกให้ท่านหนีออกจากที่นี่ไปเสีย..

    ตอนนั้นท่านมีความคิดว่าเหตุเกิดที่ใดก็ต้องแก้ที่นั่น ท่านจึงปักหลักสู้กับจิตใจของตนเองอย่างเต็มที่ โดยอาศัยความเพียรที่ตนเองเคยฝึกฝนมาตั้งแต่ต้นเป็นเครื่องมือในการประหัตประหารกิเลสตัวนี้..

    ท่านเร่งทำความเพียรอดนอนผ่อนอาหารเดินจงกรมภาวนาสู้กับจิตใจของตนเองตั้งแต่วันยันรุ่ง..

    ดูผิวเผินเหมือนกับว่าตนเองจะหักหาญผ่านด่านกามคุณนี้ไปได้ พอร่างกายมันเหนื่อยล้าจากการอดนอนผ่อนอาหาร จิตใจที่เคยปรุงแต่งในเรื่องกามคุณนี้ก็พลอยอ่อนระโหยโรยแรงตามลงไปด้วย..

    เมื่อท่านเร่งความเพียรอย่างหนัก อดนอนผ่อนอาหารมาเป็นระยะเวลาแรมเดือนร่างกายของท่านก็ทนต่อการเคี่ยวเข็ญไม่ไหวจนเป็นเหตุให้ท่านเกิดป่วยทางกายเพิ่มขึ้นมาอีกทางหนึ่ง..

    ไข้ใจของตนเองยังไม่ทันจางซ่างซา ตนเองกลับต้องมาป่วยกายซ้ำหนักกันเข้าไปอีก จนคืนหนึ่งท่านได้อธิฐานจิตว่า..

    “ หากว่าข้าพเจ้ามีบุญวาสนาที่จะรู้เห็นธรรมในชาตินี้ ขอให้ข้าพเจ้าพบอุบายธรรมที่จะมาแก้ไขจิตใจของข้าพเจ้าให้พ้นจากเรื่องนี้ไปได้ "..

    " แต่ถ้าหากว่าข้าพเจ้าไม่มีบุญวาสนาที่จะรู้เห็นเป็นธรรมในชาตินี้แล้ว ขอให้ข้าพเจ้าหมดสิ้นหนทางที่จะมาแก้ไขปัญหาในใจนี้ของข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าก็จะขอลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสครองเรือน ”..

    พอหลวงปู่ท่านอธิฐานจิตเสร็จแล้ว ท่านก็นั่งภาวนาเพื่อทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆของเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นมาภายในจิตใจของท่าน จนท่านมาเจอเข้ากับตัว “ ความคิด ” ที่มันพาจิตของท่านคิดปรุงแต่งไปตามอารมณ์ของกิเลสกามคุณ..

    ก็เพราะตัว “ ความคิด ” นี้แหละที่มันมาคอยยั่วยุกามกิเลสในใจของตนให้แผลงฤทธิ์แสดงเดชออกมา..

    เหตุเกิดที่ใจก็ต้องแก้กันที่ใจ เมื่อท่านพิจารณาเห็นต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ในเบื้องต้นแล้ว ท่านจึงตัดสินใจออกจากสถานที่แห่งนี้ภายในคืนวันนั้น..

    ท่านว่า นี่เป็นวิธีในเบื้องต้นที่จะช่วยแก้ไขจิตใจของตนเองได้ พอท่านออกจากบ้านหินฮาวไปอยู่ที่อื่นได้ไม่ถึงสองเดือน ท่านก็สามารถตัดใจในเรื่อง “ พุทโธ พุดทอง ” ลงไปได้..

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบ “ ตอนนั้นเราตัดสินใจถูกแล้วที่หนีไปจากที่นั่น ถ้าเรายังขืนอยู่ที่นั่นอีกต่อไปป่านนี้เราได้เป็นทิดชอบ หรือได้เป็นลูกเขยเขาไปแล้ว "..

    " พวกท่านให้จำกันเอาไว้ ถ้าไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเกิดมีใจไปหลงรักผู้หญิงขึ้นมาแล้ว เมื่อมีมีสติระลึกขึ้นได้ในเวลาใดก็ให้รีบออกจากที่นั่นไปโดยทันทีอย่าได้รีรอ นึกได้ตอนกลางวันก็ให้หนีไปตอนกลางวัน นึกได้ตอนกลางคืนก็ให้หนีไปตอนกลางคืน "..

    " ให้ออกจากที่นั่นไปก่อน แล้วค่อยไปแก้จิตใจของตนเองอยู่ที่อื่น ถ้าบ่หนีไปที่อื่นแล้ว รับรองได้เลยว่าจะได้เป็นลูกเขยเขาแน่นอน ”..

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบเล่าเรื่องที่ท่านเคยรักผู้หญิงคนหนึ่งสมัยที่ท่านยังเป็นพระหนุ่ม เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนลูกศิษย์ สืบเนื่องในวันนั้นมีลูกศิษย์ของท่านองค์หนึ่งชื่อจำเนียร มาขอลาสึก หลวงปู่ท่านจึงยกเรื่องนี้มาเล่าให้พระลูกเณรหลานฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    จดหมายจาก หลวงปู่สิงห์ ขันติยาคโม

    [​IMG]


    หลังจากออกพรรษาของปี ๒๔๗๓ ได้ไม่นาน หลวงปู่ชอบท่านได้รับจดหมายจาก พระคุณเจ้าหลวงปู่สิงห์ ขันติยาคโม โดยหลวงปู่สิงห์ท่านเขียนจดหมายฝากพระรูปหนึ่งมามอบให้หลวงปู่ชอบที่วัดป่าหนองวัวซอ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี..

    ในจดหมายฉบับนั้นหลวงปู่สิงห์บอกให้ท่านไปพบที่ วัดบ้านพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น หลวงปู่ชอบท่านไม่มีปัจจัยเงินทองมาเป็นค่าพาหนะรถไฟในการเดินทางไปหาหลวงปู่สิงห์ที่จังหวัดขอนแก่น อีกอย่างท่านก็ไม่อยากจะไปรบกวนใครในเรื่องนี้ ท่านจึงเข้าไปกราบลาองค์ท่านหลวงปู่บุญ ปัญญาวุโธ และลาแม่ชีปาซึ่งเป็นโยมแม่ของท่านเพื่อเดินทางมาที่ขอนแก่น..

    และการกราบลาองค์ท่านหลวงปู่บุญ ปัญญาวุโธ ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของท่านอีกรูปหนึ่ง และการร่ำลาโยมแม่ชีปา แก้วสุวรรณ ผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้าผู้ให้กำเนิดท่านมา หลวงปู่ท่านว่า " นี่คือการที่เราได้เห็นท่านอาจารย์บุญ และโยมแม่ของเราเป็นครั้งสุดท้าย การออกจากเมืองอุดรครั้งนั้นของเรา เราออกจากถิ่นฐานที่เราเคยอาศัยเป็นเวลายาวนานถึงสิบห้าปี กลับมาหนองวัวซออีกครั้งกับท่านอาจารย์ขาว(อนาลโย) ท่านอาจารย์บุญก็ละขันธ์ไปแล้ว โยมแม่ชีก็สิ้นอายุขัยไปแล้ว "

    หลวงปู่ชอบท่านเดินทางด้วยเท้าเปล่าจากอำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี เพื่อไปพบกับองค์ท่านหลวงปู่สิงห์ ขันติยาคโม ที่วัดพระลับ จังหวัดขอนแก่น ท่านใช้เวลาในการเดินทางด้วยเท้าเปล่ากว่าจะถึงจังหวัดขอนแก่น ท่านใช้เวลาเดินทางถึงห้าวัน..

    เมื่อท่านมาพบกับหลวงปู่สิงห์ที่วัดบ้านพระลับแล้ว หลวงปู่สิงห์แจ้งให้ท่านทราบว่า อยากจะให้ท่านเข้ามาช่วยงานของ " กองทัพธรรม " เพราะตอนนั้นหลวงปู่สิงห์ท่านพึ่งประกาศตั้ง " กองทัพธรรม " ขึ้นมาได้ไม่กี่ปี โดยหลวงปู่สิงห์ท่านให้พระเณรกรรมฐานของทางภาคอีสานมารวมกันที่จังหวัดขอนแก่นก่อนเป็นแห่งแรก จากนั้นองค์ท่านได้จัดพระเณรออกเป็นหมวดหมู่กองคณะ กองคณะละห้าองค์บ้าง สิบองค์บ้าง โดยให้พระเณรแต่ละคณะพากันออกเที่ยววิเวก และเผยแผ่คำสอนที่ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนาให้แก่ญาติโยมพุทธบริษัทในเขตทางภาคอีสานก่อนเป็นแห่งแรก..

    หลวงปู่ชอบ " สมัยนั้นผู้คนทางภาคอีสานพากันนับถือผีฟ้าผีแถนกันมาก พระสงฆ์องค์เณรผู้เป็นเสาหลักต้นแบบของการปฏิบัติในพระศาสนาก็พากันประพฤติผิดเพี้ยนไปจากพระธรรมวินัย พากันเล่นวิชาคุณไสย์ เล่นการพนันบั้งไฟไก่ชน หนักเข้าถึงขั้นกินเหล้าเมายามั่วสุมสีกาก็มี ท่านเจ้าคุณอุบาลี(จันทร์ สิริจันโท) จึงปรึกษาเรื่องนี้กับท่านอาจารย์ใหญ่มั่น ท่านอาจารย์สิงห์ อาจารย์มหาปิ่น(ปัญญาพโล) เพื่อหาหนทางที่จะดำรงค์พระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวร "..

    " แต่ตอนนั้นท่านอาจารย์ใหญ่(มั่น) ท่านไม่พร้อมที่จะรับหน้าที่นี้ ท่านอาจารย์ใหญ่ท่านต้องการแยกตัวออกมาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นให้กับตนเองเสียก่อน ทางท่านเจ้าคุณอุบาลีจึงมอบหมายภาระของพระศาสนาในเรื่องนี้ให้กับท่านอาจารย์สิงห์และท่านอาจารย์มหาปิ่นเป็นผู้ดูแลกองทัพธรรม ชื่อ " กองทัพธรรม " นี้เป็นชื่อที่ท่านเจ้าคุณอุบาลีเป็นผู้ตั้งขึ้นมา โดยมีท่านอาจารย์สิงห์เป็นหลักใหญ่ในการดูแลพระเณรในกองทัพธรรม เราจึงได้เข้าไปร่วมและำจำพรรษากับท่านอาจารย์สิงห์ที่ขอนแก่น จากนั้นท่านก็พาเราไปจำพรรษาที่วัดป่าสาละวัน นครราชสีมา ออกจากท่านอาจารย์สิงห์แล้วเราก็ขึ้นไปจำพรรษาทางภาคเหนือ ขึ้นตามไปปฏิบัติกับท่านอาจารย์ใหญ่มั่นทางเมืองเชียงใหม่ ออกจากท่านอาจารย์ใหญ่เราก็เข้าไปอยู่เมืองพม่าอีกหลายปีถึงได้กลับมาเมืองไทย "..

    ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่องค์ท่านหลวงปู่สิงห์จะตั้งกองทัพธรรมขึ้นมานั้น หลวงปู่ชอบท่านเคยอยู่ปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงปู่สิงห์มาก่อนสมัยที่ท่านยังบวชเป็นสามเณร จนกระทั่งท่านบวชเป็นพระในพรรษาต้นๆ หลวงปู่สิงห์ท่านจึงมีความไว้ใจในตัวของท่านมาก ซึ่ง
    ก่อนหน้าเมื่อปี ๒๔๗๑ หลวงปู่ชอบท่านเคยเดินทางมาองค์ท่านหลวงปู่สิงห์ที่ขอนแก่น ครั้งนั้นท่านได้พบกับสหธรรมิกรุ่นน้องของท่านองค์หนึ่งชื่อ พระคำดี ปภาโส หลวงปู่ชอบท่านรู้จักกับหลวงปู่คำดีตั้งแต่สมัยที่ท่านยังเป็นพระภิกษุในฝ่ายมหานิกาย..

    หลวงปู่คำดีท่านมากราบและสนทนาธรรมกับองค์ท่านหลวงปู่สิงห์ หลวงปู่คำดีท่านเกิดความเลื่อมใสในธรรมที่องค์ท่านหลวงปู่สิงห์แสดง ท่านจึงกราบขออนุญาตหลวงปู่สิงห์ญัตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุติ แต่ตอนนั้นหลวงปู่สิงห์ท่านยังไม่อนุญาตให้หลวงปู่คำดีท่านญัตติเป็นพระธรรมยุติโดยทันที ท่านให้หลวงปู่คำดีฝึกหัดข้อวัตรปฏิบัติต่างๆในแบบพระป่ากรรมฐานเสียก่อน ท่านจึงมอบหมายให้หลวงปู่ชอบเป็นพระพี่เลี้ยงสอนข้อวัตรต่างๆให้กับหลวงปู่คำดี จึงทำให้ครูบาอาจารย์ทั้งสององค์ท่านมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ และต่อมาได้ตามกันมาจำพรรษาที่เมืองเลย..

    หลวงปู่ชอบท่านฝึกหัดข้อวัตรปฏิบัติต่างๆของพระป่ากรรมฐานให้กับหลวงปู่คำดี องค์ท่านหลวงปู่สิงห์มอบหมายให้หลวงปู่ชอบเป็นผู้จัดเตรียมบริขารต่างๆให้กับหลวงปู่คำดีทั้งหมด แต่พอวันที่หลวงปู่คำดีท่านญัตติเป็นพระธรรมยุติ ที่ วัดศรีจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น หลวงปู่ชอบท่านไม่ได้มาร่วมในวันที่หลวงปู่คำดีท่านญัตติ เนื่องจากท่านถูกมอบหมายให้เฝ้าวัด..

    ก่อนเข้าพรรษาหลวงปู่สิงห์ท่านได้รับจดหมายจากท่านเจ้าคุณอุบาลี(จันทร์ สิริจันโท) มีบัญชาให้ท่านลงมาพบที่วัดบรมนิวาสกรุงเทพมหานคร เพื่อปรึกษาเรื่องงานของพระศาสนา หลวงปู่สิงห์ท่านจึงให้หลวงปู่ชอบและพระอีกสามรูปติดตามองค์ท่านลงมากรุงเทพ โดยพากันนั่งรถไฟจากขอนแก่นมาลงที่สถานีรถไฟหัวลำโพง และนี่เป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ชอบท่านได้เข้ามากรุงเทพมหานคร..

    หลังจากกลับมาจากกรุงเทพ หลวงปู่สิงห์พาหลวงปู่ชอบและลูกศิษย์ที่ติดตามองค์ท่านไปพักภาวนาอยู่ที่ป่าช้าบ้านสาวัตถี อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พักอยู่ที่นี่ได้ไม่นานหลวงปู่สิงห์ท่านได้รับจดหมายจาก หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ว่าที่บ้านเหล่างาพระเณรกรรมฐานที่พักอยู่ที่นี่ถูกพวกมิจฉาทิฐิเบียดเบียน หลวงปู่สิงห์ท่านเป็นห่วงลูกศิษย์ ท่านจึงชวนหลวงปู่ชอบและหมู่คณะเดินทางไปสมทบกับคณะของหลวงปู่อ่อนที่บ้านเหล่างา..

    เมื่อองค์ท่านหลวงปู่สิงห์มาพักอยู่ที่บ้านเหล่างาแล้ว ท่านพิจารณาเห็นว่า เพื่อความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาของศรัทธาประชาชนที่นี่ ท่านจะสร้างวัดป่าขึ้นมาที่บ้านเหล่างา เพื่อใช้เป็นสถานที่อบรมธรรมะให้กับญาติโยมชาวบ้านเหล่างา และหมู่บ้านใกล้เคียง หลวงปู่สิงห์ท่านจึงสร้างเสนาสนะป่าช้าบ้านเหล่างาขึ้นมาเป็นวัด โดยตั้งชื่อวัดว่า " วัดป่าธรรมวิเวก " ปี ๒๔๗๔ หลวงปู่ชอบท่านจำพรรษาที่เจ็ดของท่านกับ พระคุณเจ้าหลวงปู่สิงห์ ขันติยาคโม ที่ วัดป่าธรรมวิเวก บ้านเหล่างา ตำบลเหล่างา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถูกต่อต้านจากพวกมิจฉาทิฐิ

    [​IMG]


    พุทธศักราช ๒๔๗๔ หลวงปู่ชอบท่านจำพรรษาร่วมกับ พระคุณเจ้าหลวงปู่สิงห์ ขันติยาคโม ที่ วัดป่าวิเวกธรรม ตำบลเหล่างา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ก่อนจะเข้าพรรษาปีนี้ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่คำดี ปภาโส หลวงปู่ซามา อาจุตโต หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ ถูกพวกจ้ำผี(คนทรงผี)กลั่นแกล้ง หลวงปู่สิงห์ท่านเป็นห่วงลูกศิษย์ท่านจึงชวนหลวงปู่ชอบเดินทางมาสมทบเพื่อจำพรรษา..

    มีจ้ำผีคนหนึ่งเป็นเขาเป็นหมอผีรักษาคนป่วยด้วยเวทย์มนต์คาถา ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือหมอผีคนนี้มาก แต่หมอผีคนนี้เขาไม่พอใจที่พระป่ากรรมฐานเข้ามาอยู่ที่นี่ ทำให้ชาวบ้านหันมานับถือพระป่ากรรมฐานเกือบหมดหมู่บ้าน เป็นเหตุให้ตนเองขาดลาภสักการะที่เคยได้จากการทรงเจ้าเข้าผีรักษาผู้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย เพราะหลวงปู่สิงห์ท่านจะสอนให้ผู้คนเลิกนับถือผีสาง ให้หันมานับถือพระรัตนะตรัยแทน ชาวบ้านทั้งหลายเห็นตามองค์ท่านหลวงปู่สิงห์ ต่างพากันมารับเอาพระไตรสรณะคมจากองค์ท่านหลวงปู่สิงห์ไปปฏิบัติ..

    จ้ำผีและบริวารที่ยังนับถือเขาอยู่พากันป่าวประกาศใส่ร้ายคณะพระป่ากรรมฐานต่างๆนาๆ บ้างก็ว่าพระป่ากรรมฐานพวกนี้เป็นพวกผีปอบจะมาสิงสู่เพื่อกินผู้คนที่นี่ บ้างก็ว่าพระป่าพวกนี้เป็นพระเถื่อนเลื่อนลอยไม่มีสังกัด ห้ามไม่ให้ใส่บาตรพระป่ากรรมฐานเหล่านี้ ถ้าใครไม่เชื่อฟังตามคำที่เขาบอกผีปู่ตาจะมาเล่นงานให้พบกับภัยพิบัติต่างๆนาๆ ชาวบ้านที่เชื่อเขาก็ทำตามคำที่พวกจ้ำผีบอก ส่วนชาวบ้านที่ไม่เชื่อเขาก็เข้าวัดตามปรกติ..

    องค์ท่านหลวงปู่สิงห์กำชับพระเณรทุกองค์ให้มีความอดทน อย่าไปโต้แย้งกับพวกหมอผี ถึงเขาจะกลั่นแกล้งยังไงก็ให้อดทนเอาไว้อย่าไปโต้ตอบเป็นอันขาด หลวงปู่สิงห์ท่านให้พระเณรแผ่เมตตาให้กับผู้ที่เขาหลงผิด หากผู้ใดมีวาสนาในทางธรรมแล้วจิตใจของเขาก็อ่อนน้อมเข้ามาในทางธรรมเอง หลวงปู่สิงห์ท่านจะย้ำเรื่องนี้กับพระเณรอยู่เสมอเพื่อป้องปรามไม่ให้พระเณรไปมีอารมณ์โต้ตอบกับพวกจ้ำผี..

    พวกจ้ำผีคอยกลั่นแกล้งหลวงปู่สิงห์และคณะพระเณรต่างๆนาๆ เวลาหลวงปู่สิงห์พาพระเณรออกบิณฑบาต พวกจ้ำผีก็จะออกมาดักด่าทอด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย หรือไม่ก็จะเอาท่อนไม้ก้อนหินขว้างปาข้ามหัวพระเณร หลวงปู่สิงห์ท่านจะเตือนสติพระเณรอยู่เสมอให้ทำตัวเหมือนกับคนเป็นใบ้ อย่าไปพูดโต้ตอบกับเขา ให้ทำตัวเหมือนกับคนหูหนวกไม่ต้องไปใส่ใจในคำพูดของคนเหล่านี้ พระเณรทุกองค์ก็ปฏิบัติตามคำสั่งขององค์ท่านหลวงปู่สิงห์..

    เมื่อเล่นงานพระเณรอยู่นอกวัดไม่สำเร็จผล พวกจ้ำผีก็พากันไปรบกวนพระเณรถึงในวัด ไปส่งเสียงรบกวนพระเณรในเวลาที่ท่านทำความเพียร เช่น ตีเกราะเคาะไม้ หรือไม่ก็เผาป่ารอบๆบริเวณวัดเพื่อที่จะให้ไฟลุกลามเข้าไปในวัด บางครั้งก็เข้าไปยิงปืนเพลิงในวัดเพื่อที่จะข่มขู่ให้พระเณรกลัว ทุกครั้งที่พวกมิจฉาทิฐิกลุ่มนี้ทำลงไป หลวงปู่สิงห์และพระเณรไม่เคยโต้ตอบใดๆเลย การกระทำของคนกลุ่มนี้กลับทำให้ชาวบ้านผู้มีใจเป็นธรรมไม่ยอมรับการกระทำของพวกจ้ำผี ชาวบ้านจึงหันมาเข้าวัดปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่สิงห์เพิ่มมากขึ้น ยิ่งทำให้หมอผีและบริวารเคียดแค้นพระกรรมฐาน..

    คืนหนึ่งหัวหน้าจ้ำผีได้เดินถือปืนเข้าไปในวัด ตอนนั้นหลวงปู่ชอบท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ข้างๆที่พัก จ้ำผีเห็นท่านเดินจงกรมเขาจึงถือปืนเดินตรงดิ่งเข้ามาหาท่าน แล้วขู่ด่าท่านว่า “ ไอ้หัวโล้นมึงกลัวตายไหม ” ท่านตอบเขาว่า “ จะกลัวตายหรือไม่กลัวตายสุดท้ายมันก็ต้องตายอยู่ดี โยมมาที่นี่มีประสงค์อะไรกับอาตมา ”..

    จ้ำผีบอกกับท่านว่ากูจะมายิงพวกมึง พอจ้ำผีพูดจบเขาก็ยกปืนขึ้นมาประทับบ่าเตรียมท่าพร้อมที่จะยิงมาทางท่าน ท่านว่าตอนนั้นท่านไม่ได้กลัวว่าเขาจะยิงท่าน แต่ในใจของท่านตอนนั้นมีอาการโกรธเขาขึ้นมา พอคุมสติของตนเองได้ท่านก็นึกถึงคำพูดขององค์ท่านหลวงปู่สิงห์ว่าอย่าไปโต้ตอบเขา ให้แผ่เมตตาให้กับผู้ที่มาเบียดเบียนเรา ให้เชื่อในผลกรรมของตนเอง เมื่อท่านระลึกได้เช่นนี้ท่านก็ปลงใจในเวรกรรมของตนเอง จากนั้นท่านก็เดินจงกรมต่อไปโดยไม่สนใจว่าหัวหน้าจ้ำผีจะยิงท่านหรือไม่..

    หัวหน้าจ้ำผีก็ยืนถือปืนเล็งมาทางท่านแต่ไม่ยิงสักที หลวงปู่ชอบท่านก็เดินจงกรมของท่านไปเรื่อยๆ ท่านหันมาดูกี่ครั้งจ้ำผีก็ยืนถือปืนเล็งอยู่อย่างนั้น จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงท่านก็นึกแปลกใจที่เขายังยืนอยู่ท่าเดิมเป็นนานสองนาน ท่านออกจากทางจงกรมล้างเท้าขึ้นไปบนกุฏิที่พัก มองมาที่จ้ำผีแล้วบอกเขาว่า โยมยืนอยู่ตั้งนานแล้วไม่เมื่อยบ้างหรือ สิ้นคำของท่านจ้ำผีก็ร้องให้ออกมา เขาวางปืนลงแล้วเดินเข้ามาหาท่านที่กุฏิ เขากราบท่านแล้วนั่งก้มหน้าร้องไห้โดยไม่ยอมพูดจาใดๆกับท่านเลย จากนั้นเขาก็กลับไปหยิบเอาปืนแล้วเดินออกไปจากวัดไป ท่านเองก็งุนงงสงสัยในอากับกิริยาของจ้ำผีคนนี้..

    วันต่อมาท่านนำเรื่องนี้ไปกราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่สิงห์ หลวงปู่สิงห์บอกท่านว่า ท่านชอบกับเขาไม่มีกรรมปาณาติบาตต่อกันมาแต่ในอดีต เขาจึงทำร้ายท่านไม่ได้ ท่านถามหลวงปู่สิงห์ว่าที่เขาไม่ยิงกระผมนั้นเป็นเพราะอะไร หลวงปู่สิงห์ตอบท่านว่า เป็นเพราะอำนาจศีลธรรมที่ท่านได้บำเพ็ญมาช่วยปกปักรักษา พอองค์ท่านหลวงปู่สิงห์พูดให้ท่านฟัง ท่านก็สิ้นสงสัยและมีความเชื่อมั่นในเรื่องของกรรมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม..

    ต่อมาทางจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียงได้เกิดโรคอหิวาตักโรคระบาดอย่างหนัก คนสมัยนั้นเขาเรียกว่าโรคห่า โรคห่าได้แพร่ระบาดอย่างหนักจนทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก คนตายแทบทุกวันชนิดว่าเผาหรือฝังแทบไม่ทัน เช้ามาเอาศพคนนี้เข้าวัด เย็นมาเอาศพคนนั้นเข้าวัด จนพระเณรในวัดกุสลามาติกาไม่เว้นแม้แต่ละวัน หลวงปู่สิงห์ท่านอาศัยเหตุการณ์นี้สอนลูกศิษย์ ท่านให้ลูกศิษย์พิจารณาดูศพเพื่อน้อมนำมาพิจารณาเป็นอสุภ ให้จิตมองเห็นความเป็นจริงจะได้คลายความลุ่มหลงลงไปได้..

    บรรดาคนที่ตายเพราะโรคห่าหัวหน้าจ้ำก็ตายไปกับเขาด้วย จ้ำผีป่วยไม่ถึงสัปดาห์เขาก็ตาย ศพของเขาได้นำมาวางไว้ที่เชิงตะกอนเพื่อรอที่จะทำการเผา แต่ขณะที่จะเผาศพจ้ำผีนั้นได้เกิดฝนตกลงมาอย่างหนักจนฟืนที่ใช้เผาจ้ำผีเปียกไม่สามารถที่จะเผาได้ ฝนก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกง่ายๆ ชาวบ้านที่นำศพเขามาเผาจึงเห็นตรงกันว่าวันนี้จะยังไม่เผารอให้ฝนหยุดตกเสียก่อนจึงค่อยเผาในวันพรุ่งนี้..

    ปรากฏว่าฝนได้ตกหนักตกเบาอยู่ต่อเนื่องกันนานหลายวัน ไม่สมารถที่จะทำการเผาศพของใครได้เลย ศพของจ้ำผีก็นอนเปียกอยู่บนกองฟอนอยู่อย่างนั้น ฝนตกหนักติดต่อกันนานหลายวันทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมหลายพื้นที่ ศพทั้งหลายที่นำมาเก็บไว้ในวัดรวมทั้งศพของจ้ำผีคนนี้ก็ได้ถูกน้ำพัดไป หลังจากน้ำลดลงแล้วชาวบ้านได้ไปตามหาศพที่ไหลไปกับสายน้ำ หาศพกลับคืนมาได้ไม่กี่ศพ ศพของจ้ำผีนั้นเป็นหนึ่งในจำนวนศพที่หาไม่เจอ จึงไม่ได้ทำการเผาหรือฝังเพราะหาศพไม่เจอ..

    หลังจากเหตุการณ์ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วม ปรากฏว่าโรคห่าพลอยหายไปกับสายน้ำด้วย โรคห่าที่ระบาดอย่างหนักจนทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากก่อนหน้านี้ พอฝนหยุดตกทุกอย่างก็กลับมาเป็นปรกติเหมือนกับว่าไม่เคยเกิดโรคนี้ขึ้นมาเลย หลวงปู่ชอบท่านว่านี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ที่น่าแปลกคือคนที่ตายส่วนมากนั้นจะเป็นพวกมิจฉาทิฐิที่เคยเบียดเบียนพระเณร ส่วนคนที่เข้าวัดปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงปู่สิงห์จะตายเสียส่วนน้อย ท่านว่านี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ของธรรม ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ติดตามหลวงปู่สิงห์ไปสร้างวัดป่าสาลวัน

    [​IMG]


    ต่อมาองค์ท่านหลวงปู่สิงห์ได้รับหนังสือจากท่านเจ้าคุณ พระธรรมปาโมกข์(อ้วน ติสโส)(สมณะศักดิ์ขององค์ท่านในสมัยนั้น) ท่านเจ้าคุณพระธรรมปาโมกข์มีบัญชาให้องค์ท่านหลวงปู่สิงห์ไปอบรมพุทธบริษัทที่เมืองนครราชสีมาเพื่อปลูกฝังศรัทธาของชาวเมืองนครราชสีมาให้มีความเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา..

    สืบเนื่องจาก พันตรีหลวงชาญนิยมเขต ข้าหลวงประจำจังหวัดนครราชสีมาได้ถวายที่ดินเพื่อสร้างวัดพระป่ากรรมฐานประจำจังหวัดนครราชสีมา ท่านเจ้าคุณพระธรรมปาโมกข์จึงได้มอบหมายให้องค์ท่านหลวงปู่สิงห์เป็นผู้สร้างวัด โดยท่านเจ้าคุณพระธรรมปาโมกข์ได้ตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่า วัดป่าสาลวัน..

    ปี ๒๔๗๕ ท่านเจ้าพระอุบาลีคุณูปมาจารย์(จันทร์ สิริจันโท) ท่านมรณภาพ หลวงปู่สิงห์และหลวงปู่มหาปิ่นจึงได้เดินทางไปร่วมงานท่านเจ้าคุณอุบาลีฯที่วัดบรมนิวาสกรุงเทพมหานคร โดยให้หลวงปู่ชอบและหลวงปู่ฝั้น อาจาโร เดินทางไปพร้อมกับทั้งสององค์ท่าน เนื่องจากตอนนั้นท่านเป็นพระอุปัฏฐากองค์ท่านหลวงปู่สิงห์ ส่วนหลวงปู่ฝั้นท่านเป็นพระอุปัฏฐากองค์ท่านหลวงปู่มหาปิ่น..

    กลับจากงานของท่านเจ้าคุณอุบาลีฯองค์ท่านหลวงปู่สิงห์พาหลวงปู่ชอบมาจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน พอออกพรรษาปี ๒๔๗๕ องค์ท่านหลวงปู่มหาปิ่นให้หลวงปู่ชอบ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ซามา อจุตโต ติดตามองค์ท่านเพื่อไปสร้างวัดป่าศรัทธารวม(วัดป่าหัวทะเล) ปี ๒๔๗๖ หลวงปู่ชอบท่านติดตามองค์ท่านหลวงปู่มหาปิ่นมาจำพรรษาที่วัดป่าศรัทธารวม

    พอออกพรรษาแล้วหลวงปู่ชอบท่านกราบลาองค์ท่านหลวงปู่มหาปิ่น ปัญญาพโล เพื่อกลับมาหาองค์ท่านหลวงปู่สิงห์ ขันติยาคโม ที่วัดป่าสาลวัน ท่านมากราบลาเพื่อขออนุญาตองค์ท่านหลวงปู่สิงห์ออกเที่ยววิเวกและไปจำพรรษายังสถานที่แห่งอื่น ซึ่งตอนนั้นที่วัดป่าสาลวันมีพระเณรเข้ามาปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงปู่สิงห์เป็นจำนวนมาก หลวงปู่ชอบท่านเห็นว่าที่นี่มีพระเณรเข้ามาปฏิบัติเพิ่มมากขึ้นแล้ว ท่านจึงอยากออกไปปฏิบัติอยู่ที่อื่นบ้าง ที่สำคัญท่านต้องการที่จะขึ้นเหนือไปตามหาองค์ท่านหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่..

    หลวงปู่สิงห์ถามท่านว่า ท่านชอบจะไปเที่ยววิเวกที่ไหน ท่านบอกกับองค์ท่านหลวงปู่สิงห์ว่ากระผมอยากจะไปเที่ยววิเวกทางภาคเหนือเพื่อตามหาท่านอาจารย์ใหญ่มั่นขอรับ องค์ท่านหลวงปู่สิงห์ถามว่าท่านชอบจะไปเที่ยววิเวกเมืองเหนือกับหมู่คณะท่านใด..

    ท่านตอบหลวงปู่สิงห์ว่าท่านจะเดินทางไปเพียงลำพังองค์เดียว ถ้าไปกับหมู่จะไม่สะดวกในการปฏิบัติเนื่องจากจะเป็นกังวลกับหมู่คณะ องค์ท่านหลวงปู่สิงห์จึงอนุญาตให้ท่านออกเที่ยววิเวกเพื่อไปตามหาองค์ท่านหลวงปู่มั่น..

    หลวงปู่ชอบท่านออกจากจังหวัดนครราชสีมาเดินทางมาเที่ยววิเวกเขตจังหวัดชัยภูมิ ท่านเที่ยววิเวกที่เขตจังหวัดชัยภูมิหลายสถานที่ สถานที่สำคัญที่คนทั่วไปรู้จักกันนั้นก็จะมีถ้ำวัวแดงเขตอำเภอภักดีชุมพลและถ้ำพญาช้างเผือกเขตอำเภอคอนสารเป็นต้น จากนั้นท่านเดินข้ามเขาเข้ามาเที่ยววิเวกทางเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ที่อำเภอน้ำหนาว อำเภอหล่มสัก และเขตอำเภอหล่มเก่า..

    ที่เขตอำเภอหล่มสักหลวงปู่ท่านมาพักอยู่ที่วัดร้าง บ้านหนองบัว ตำบลสักหลง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ วัดแห่งนี้เป็นวัดร้างตั้งแต่สมัยโบราณมีซากอิฐหักพังหล่นเกลื่อนอยู่ตามพื้นดิน ท่านสอบถามชาวบ้านที่นี่ว่าวัดแห่งนี้ร้างมานานแล้วหรือยัง ชาวบ้านบอกว่าวัดนี้ร้างมานานแล้วเขาเกิดมาก็เห็นวัดนี้เป็นร้างอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละ จึงไม่มีใครทราบที่มาของวัดแห่งนี้ว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร และท่านผู้ใดเป็นผู้ที่สร้างวัดขึ้นมา ได้แต่สันนิฐานกันเอาเองว่าวัดแห่งนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นมาในสมัยอยุธยาตอนกลาง

    ชาวบ้านที่นี่เขาจะไม่ค่อยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับวัดร้างแห่งนี้ เขาบอกว่าผีที่นี่ดุมาก เคยมีคนแอบมาขุดหาของเก่าแล้วถูกอำนาจลึกลับของที่นี่ทำร้ายจนถึงขั้นตายและกลายเป็นบ้าเสียจริตไปแล้วก็มี ชาวบ้านที่นี่เขาจึงเข็ดขยาดหวาดกลัวไม่กล้าที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับวัดร้างแห่งนี้เพราะกลัวภัยมืดลึกลับที่เฝ้าสมบัติของพระศาสนา..

    หลวงปู่ชอบท่านบอกกับชาวบ้านว่าอาตมาไม่ได้มาขุดหาสมบัติวัตถุใดๆของพระศาสนา อาตมามาหาความสงบให้กับจิตใจของตัวเองเท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้วอาตมาไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง หากการมาอยู่ที่นี่ของอาตมามีเหตุเภทภัยใดๆเกิดขึ้นกับอาตมา เราก็จะถือว่าเป็นกรรมของเราเอง ท่านแสดงเจตนาของท่านเช่นนี้ชาวบ้านเขาก็ไม่กล้าขัดท่าน แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะพาท่านเข้าไปพักยังวัดร้างแห่งนี้เพราะเขากลัวจะเป็นการทำผิดกับอำนาจลึกลับเจ้าของสถานที่..

    คืนแรกที่หลวงปู่ชอบท่านพักอยู่ที่วัดร้างบ้านหนองบัว ท่านว่าท่านไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะที่นี่มีงูมาก มีทั้งงูขนาดตัวเล็กเท่านิ้วก้อยไปจนถึงขนาดตัวใหญ่เท่าแขนของท่าน ส่วนมากพวกงูเหล่านี้จะเป็นงูมีพิษ งูพวกนี้จะอาศัยอยู่ตามซอกอิฐฐานโบสถ์เก่า พอตกกลางคืนอากาศเย็นสบายพวกงูจึงออกมาเลื้อยยั้วเยี้ยใกล้ๆกับบริเวณที่ท่านพัก งูบางตัวยังเลื้อยขึ้นมานอนที่บนตักขณะที่ท่านนั่งสมาธิ แต่ก็ไม่ได้ทำอันตรายฉกกัดท่าน เพียงแต่มันมาอาศัยตักของท่านพักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น ตัวท่านเองก็เป็นคนที่ไม่กลัวงูเพราะท่านคุ้นชินกับนิสัยของพวกอสรพิษเหล่านี้เป็นอย่างดี..

    ตอนหลวงปู่ชอบท่านภาวนาอยู่ที่วัดร้างบ้านหนองบัว ท่านบอกมีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่แต่งกายลักษณะคล้ายกับทหารสมัยโบราณเข้ามาปรากฏในนิมิตของท่าน เขามายืนจ้องมองท่านอยู่ข้างซากโบสถ์เก่า จากนั้นเขาก็นั่งพนมมืออยู่ข้างโบสถ์แสดงกิริยาความเป็นมิตรกับท่าน บุรุษลึกลับท่านนี้บอกกับท่านว่า พระคุณเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลกับงูพวกนี้ ข้าพเจ้าจะไล่งูพวกนี้ให้หนีไปเอง ขอพระคุณเจ้าปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่โดยสะดวกเถิด..

    จากนั้นเขาเอาไม้มาไล่งูที่อยู่รอบๆบริเวณแถวนั้นจนแตกหนีกระเจิงไปจนหมด..

    ท่านว่ามันก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน นับตั้งแต่คืนที่ชายลึกลับผู้นี้เอาไม้ไล่งูให้หนีไป วันต่อมาท่านก็ไม่เคยเห็นงูพวกนี้อีกเลย ทั้งที่แต่ก่อนไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนท่านมักจะเห็นงูอยู่ตลอดเวลา ขนาดเวลาที่ท่านเดินจงกรมท่านยังต้องคอยระวังตนเองจะเดินไปเหยียบงู..

    เมื่อท่านไม่เห็นงูออกมาเลื้อยเพ่นพ่านเหมือนแต่ก่อน ท่านสงสัยในเรื่องนี้มากจึงไปงัดก้อนหินก้อนอิฐที่งูมันเคยอาศัยอยู่ ไม่ว่าท่านจะงัดก้อนอิฐก้อนหินออกซักกี่ก้อนท่านก็ไม่เห็นงูเลยซักตัว และงูก็ไม่มาปรากฏตัวให้ท่านเห็นอีกเลยจนตราบถึงวันที่ท่านออกจากวัดร้างบ้านหนองบัว..

    หลวงปู่ชอบท่านออกจากบ้านหนองบัวอำเภอหล่มสักมุ่งหน้าไปทางตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเป้าหมายของท่านในทีแรกท่านจะเดินทางไปที่อำเภอศรีเทพเพื่อไปดูเมืองเก่าศรีเทพ แต่ท่านเปลี่ยนใจไม่ไปเมืองศรีเทพเพราะท่านได้พบกับองค์ท่านหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ หลวงปู่พรหมท่านกำลังจะเดินทางขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อตามหาองค์ท่านหลวงปู่มั่น..

    หลวงปู่พรหมชวนท่านให้เดินทางไปเชียงใหม่ด้วยกัน แต่หลวงปู่ชอบท่านยังอยากจะเที่ยววิเวกในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์อยู่ หลวงปู่ชอบท่านจึงปฏิเสธที่จะเดินทางไปกับหลวงปู่พรหมในตอนนั้น โดยท่านบอกกับหลวงปู่พรหมว่า ให้ท่านพรหมขึ้นไปก่อนส่วนผมจะตามท่านขึ้นไปในภายหลัง..

    หลวงปู่ชอบท่านถามหลวงปู่พรหมว่าใกล้ๆบริเวณแถวนี้มีถ้ำมีภูที่ไหนบ้างที่เหมาะแก่การพักภาวนา หลวงปู่พรหมแนะนำให้ท่านไปภาวนาอยู่ที่ถ้ำน้ำบัง ตำบลถ้ำนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์..

    หลวงปู่พรหมท่านว่าที่นี่เข็ดขะหยาดน่ากลัวมาก ถ้าขี้เกียจไม่ภาวนาเมื่อไหร่จะโดนเจ้าที่เจ้าถิ่นที่นั่นรบกวนทั้งวันทั้งคืน พระเณรเถรชีองค์ใดที่ทุศีลจะอยู่ที่ถ้ำน้ำบังนี้ไม่ได้ จะถูกพวกเจ้าพวกจอมที่ดูแลถ้ำใช้อำนาจลึกลับขับไล่ให้หนีออกไปจากที่นั่น แต่ถ้าพระเณรองค์ใดขยันเดินจงกรมภาวนาก็จะอยู่ที่นี่ได้อย่างสะดวกสบาย เทพภูมิที่นี่เขาจะชื่นชอบพระเณรที่ปฏิบัติตนอยู่ในธรรมนองคลองธรรมมาก..

    หลวงปู่ชอบท่านได้รับคำแนะนำจากหลวงปู่พรหม ท่านเกิดสนใจอยากจะไปภาวนาที่ถ้ำน้ำบัง ท่านจึงสอบถามเส้นทางที่จะเดินทางไปที่ถ้ำน้ำบังกับหลวงปู่พรหม..

    ตอนหลวงปู่ชอบท่านมาอยู่ที่ถ้ำน้ำบัง ท่านว่าสถานที่แห่งนี้สมัยนั้นมีความอาถรรพ์ลึกลับอยู่ในตัว กลางวันกลางคืนถ้าเดินจงกรมหรือนั่งภาวนา หรือในเวลาที่แผ่เมตตาท่องบทสวดมนต์สาธยายธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ดีดี มักจะมีเสียงมโหรีปี่พาทย์ประโคมให้ฟังอยู่เป็นระยะๆ หรือไม่ก็เป็นเสียงคนไชโยโห่ร้องจนอึกกะทึกไปทั่วถ้ำภูเงื้อมผาแถวนั้น..

    เรื่องแบบนี้ท่านว่าไม่เป็นเรื่องแปลกสำหรับผู้ปฏิบัติที่จะต้องได้พบเจอ และเมื่อได้ยินได้ฟังเสียงพวกนี้แล้วก็อย่าไปกลัวจนลนลาน ท่านว่านี่คือการแสดงออกซึ่งอนุโมทนาของเทพเจ้าเหล่าเทวดาที่อาศัยอยู่ในวิมานสถานที่แห่งนั้น เมื่อได้ยินเสียงแบบนี้ก็ให้แผ่เมตตาให้กับเขา เสียงเหล่านี้ก็จะจางหายไปเองในที่สุด..

    พอท่านพักอยู่ที่ถ้ำน้ำบังจนท่านคุ้นเคยกับสถานที่แล้ว ท่านอยากจะเปลี่ยนสถานที่ภาวนาและจำพรรษา ท่านถามชาวบ้านว่านอกจากที่นี่แล้วมีที่ไหนบ้างที่เหมาะจะจำพรรษา ชาวบ้านถ้ำน้ำบังบอกท่านว่าไม่ไกลจากที่นี่ไปเท่าไรนักมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งชื่อว่า ถ้ำนายม..

    ถ้ำนายมนี้จะอยู่ห่างจากหมู่บ้านมากพอสมควร ที่ถ้ำนายมตอนนี้มีตาผ้าขาวคนหนึ่งไปพักจำศีลภาวนาอยู่ในถ้ำได้ร่วมสองปีแล้ว ตอนนี้ตาผ้าขาวท่านนี้ก็ยังพักอยู่ที่ถ้ำนายม..

    หลวงปู่ชอบท่านมีความสนใจอยากจะไปภาวนาและจำพรรษาที่ถ้ำนายม ท่านสอบถามเส้นทางไปถ้ำนายมกับชาวบ้าน พอท่านรู้เส้นทางไปถ้ำนายมดีแล้ว ท่านจึงออกเดินทางไปที่ถ้ำนายมเพื่อจะไปจำพรรษาอยู่ที่นั่น..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เกือบตาบอดเพราะความเพียร

    [​IMG]


    ตอนจำพรรษาที่ถ้ำนายมหลวงปู่ท่านเร่งความเพียรอย่างอุกฤต นั่งภาวนาชนิดหามรุ่งหามค่ำโดยไม่สนใจวันคืน ท่านนั่งภาวนาข้ามวันข้ามคืนติดต่อกันหลายวันจนก้นแตก ทำให้ท่านนั่งภาวนาลำบาก เมื่อนั่งภาวนาไม่ได้ท่านก็หันมาเดินจงกรมแทน ท่านเดินจงกรมชนิดเอาเป็นเอาตายจนหนังที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้างเปิดออกมีอาการเจ็บแสบที่ฝ่าเท้าไม่ต่างอะไรกับถูกมีดกรีด เวลาเดินต้องเอาผ้ามาพันฝ่าเท้าเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด..

    ท่านพิจารณาถึงความเพียรของตนเองว่า เราทำความเพียรหนักมากจนเกินไปไม่มีความพอดีในการปฏิบัติ ร่างกายเลยสู้กับความเพียรไม่ไหว ถ้าขืนเร่งความเพียรอย่างหนักแบบนี้อีกต่อไปร่างกายมันจะทนไม่ไหว กิเลสยังไม่ตายแต่ร่างกายของเรามันแตกไปก่อนกิเลส ท่านจึงผ่อนความเพียรของตนเองลงเพื่อรักษาธาตุขันธ์..

    ช่วงที่ท่านผ่อนความเพียรลงนั้น พอฉันข้าวแล้วท่านจะมีอาการง่วงเหงาหาวนอนอย่างผิดปรกติ เวลาสวดมนต์ไหว้พระนั่งภาวนาจะเผลอสตินั่งหลับนกสัปหงกอยู่เป็นประจำ พอเผลอสติเมื่อไหร่อาการหลับนกหลับในก็จะมาเยือนทุกที ซึ่งแต่ก่อนอาการเหล่านี้จะไม่ค่อยเกิดขึ้นกับท่านมากนัก..

    ท่านหาอุบายวิธีต่างๆมาแก้ไขตนเองในเรื่องนี้ เช่นฉันพริกในเวลาที่เกิดอาการง่วง ตอนมันเผ็ดอาการง่วงก็หายไปชั่วขณะ แต่พอหมดฤทธิ์พริกหมดฤทธิ์เผ็ดอาการง่วงมันก็กลับมาเหมือนเดิม..

    ท่านจึงตั้งสัจจะไม่นอนเพื่อเป็นการดัดสันดานทรมานกิเลสตัวง่วงเหงาที่มันมาคอยรบกวนในการปฏิบัติของท่าน ท่านตั้งสัจจะว่า ถ้าหากข้าพเจ้าเผลอสติหลับไปในเวลาใดขอให้ข้าพเจ้าขาดใจตายไปพร้อมกับการขาดสติของข้าพเจ้าโดยทันที..

    หลวงปู่ชอบท่านเริ่มอดนอนครั้งสามวันถึงจะพักคืนหนึ่ง ต่อมาถึงเพิ่มเป็นเจ็ดวันถึงจะนอนพักผ่อนครั้งหนึ่ง พอเห็นว่าร่างกายและสติของตนเองมีความเข้มแข็งขึ้นมามากแล้วท่านจึงเพิ่มจำนวนวันในการอดนอนทำความเพียรขึ้นเป็นลำดับ..

    โดยเพิ่มการอดนอนทำความเพียรนานต่อเนื่องกันถึงสิบห้าวันถึงจะพักผ่อนครั้งหนึ่ง..

    ตอนอดนอนสิบห้าวันนั้นท่านว่ามันทรมานมาก นัยน์ตาทั้งสองข้างจะแดงมีอาการปวดจนน้ำตาไหลออกมาอยู่เรื่อยๆ มองดูแสงสว่างก็ไม่ได้เพราะจะทำให้ปวดลูกนัยน์ตา จนต้องหลบเข้าไปอยู่ในถ้ำเพื่ออาศัยความมืดภายของถ้ำช่วยประคองสายตา ถ้าไม่ทำเช่นนั้นแล้วเส้นเลือดที่นัยน์ตาจะแตกแก้วตาอาจจะบอดได้..

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบ “ ธุดงค์สิบสามข้อเราทำมาทั้งหมด ไม่มีข้อไหนจะหนักเท่ากับเนสัชชิก ข้อนี้จะหนักที่สุด ทรมานที่สุด อดข้าวเป็นเดือนยังไม่หนักเท่ากับอดนอนอาทิตย์เดียว "..

    " อดข้าวยังได้นอนพักพักสายตา แต่อดนอนจะได้พักสายตาก็ต่อเมื่อหลับตาภาวนาเท่านั้น อดนอนหลายวันตามันจะปวด น้ำตาจะไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา หนักๆเข้าเหมือนกับมีไฟมาจ่อสุมอยู่ในลูกตาตลอดเวลา "..

    " เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมพระจักขุบาลท่านถึงได้ตาบอดจากการทำความเพียรอดนอน ”..

    “ อดนอนนี่มหาโหดที่สุด ถ้าถือธุดงค์ข้อนี้แล้ว แต่แอบไปนอนในท่านั่ง ถ้าทำแบบนี้กิเลสมันก็ขี่หัวได้เหมือนเดิม นั่งผิงฝาหลับใครก็ทำได้หรอก ถ้าจะทำแบบนี้แล้วอย่ามาตั้งสัจจะให้เสียเวลา อย่ามาตั้งสัจจะให้อายพระพุทธรูป มันเป็นการหลอกตนเอง สุดท้ายแล้วก็ถูกกิเลสสับกะโหลกให้หลับอยู่คือเก่า ”..

    “ เราบ่เอาแบบนะนั้น ตั้งสัจจะไม่นอน แต่มานอนนั่งผิงฝา ตั้งสัจจะแบบนั้นเป็นการหลอกตนเองเฉยๆ ไม่มีประโยชน์ เราเอาขนาดว่าถ้าเผลอสติหลับไปเมื่อไหร่ก็ให้ขาดใจตายกันไปเมื่อนั้นเลย กิเลสมันก็กลัวตายเหมือนกันนี่ มันเลยบ่กล้าหลับ ปีนั้นซัดกันหนักเลย ตาจะบอด หรือตัวจะตายเพราะความเพียร เราแลกทั้งหมด ”..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    โอสถทิพย์เทวดา

    [​IMG]


    ความปรารถนาที่อยากจะรู้เห็นธรรมในชาตินี้โดยเร็วหลวงปู่ชอบท่านจึงเร่งความเพียรอย่างหนักชนิดเอาเป็นเอาตายเข้าแลก ท่านทำความเพียรเดินจงกรมภาวนาอดนอนอดอาหารต่อเนื่องกันนานหลายวันทำให้ร่างกายของท่านอ่อนล้าอ่อนแรงจนเป็นเหตุทำให้ท่านป่วยเป็นไข้..

    ทีแรกท่านเข้าใจว่าตนเองเป็นไข้หวัดธรรมดาฉันยาต้มสมุนไพรก็คงหาย ท่านฉันยาหมดไปหลายหม้อแล้วอาการไข้ที่เป็นอยู่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเบาบางสร่างซาลงไปได้ หนำซ้ำอาการไข้กลับมีท่าทีหนักหน่วงขึ้นไปทุกวันจนท่านนอนจับสั่น..

    ยิ่งถ้าอยู่ในร่มจะหนาวสั่นแบบผิดปรกติเหมือนกับว่าตัวเองไม่มีธาตุไฟอุ่นไอในร่างกาย เวลามันหนาวขึ้นมาแต่ครั้งท่านว่าหัวใจแทบจะหยุดเต้นไปเลยในตอนนั้น ต้องมาอาศัยนอนตากแดดบนก้อนหินหน้าถ้ำเพื่อบรรเทาความหนาวสั่น แต่ถ้าตากแดดนานๆจะมีเหงื่อซึมออกมามากอย่างผิดปรกติ..

    แต่อาการหนาวสั่นที่ว่านี้ท่านว่ามันไม่หนักเท่าอาการปวดหัว ท่านว่าปวดหัวเพราะพิษไข้นี้จะรุนแรงมาก เวลาพิษมันพุ่งขึ้นหัวเหมือนกับว่าหัวตัวเองจะระเบิดแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ ลูกนัยน์ตาเหมือนมันจะหลุดกระเด็นออกมาข้างนอก เวลาปวดหัวขึ้นมามากๆท่านต้องเอาสายรัดประคดมามัดรอบหัวของตนเองเอาไว้เพื่อบรรเทาอาการเวทนา..

    พอเห็นว่าอาการป่วยของตนเองนี้หนักมากแล้วท่านจึงเล่าให้ตาผ้าขาวฟัง ตาผ้าขาวบอกท่านว่าอาการแบบนี้คือไข้ป้าง(ไข้มาลาเรีย) ตั้งแต่นั้นมาท่านถึงได้รู้ว่าตนเองป่วยเป็นไข้ป่ามาลาเรีย..

    ตาผ้าขาวนายมจึงไปหายาสมุนไพรแก้พิษไข้ป่ามาต้มถวายให้ท่านฉันเพื่อบรรเทาพิษไข้ ท่านฉันยาสมุนไพรที่ตาผ้าขาวต้มมาถวายหมดไปหลายหม้ออาการไข้ก็ไม่ลดลง เวทนาอาการไข้ก็ยังรุมเร้าเข้าเล่นงานอยู่เหมือนเดิม จนท่านรำพึงในใจของตนเองว่า ถ้าจะตายเพราะป่วยครั้งนี้เราก็ไม่อาลัยในชีวิตของตนเองดอก เสียดายแต่ตนเองยังไม่พ้นทุกข์เท่านั้น..

    ท่านพิจารณาถึงเรื่องการรักษาตนเอง ถึงจะฉันยาไปเท่าไหร่อาการไข้ก็ไม่เห็นว่ามันจะสร่างซา หนำซ้ำมันกับทรุดหนักลงไปมากกว่าเดิมอีก ท่านจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจากนี้ไปเราจะไม่ฉันยาอะไรอีกแล้ว เราจะเอาจิตรักษาเท่านั้น ถ้าจะหายก็ให้มันหาย ถ้าไม่หายก็ให้มันตายกันไปเลย..

    ท่านจึงตั้งสัจจะอธิฐานว่า " ถ้าข้าพเจ้ามีวาสนาที่จะรู้เห็นธรรมในชาติปัจจุบันก็ขอให้ข้าพเจ้าหายจากป่วยไข้ในครั้งนี้ หากข้าพเจ้าเป็นผู้ไร้วาสนาที่จะรู้ธรรมในชาตินี้แล้ว ก็ขอให้ข้าพเจ้าสิ้นอายุขัยจากการป่วยในครั้งนี้ไปเลย "..

    เมื่อตั้งจิตอธิฐานแล้วท่านก็นั่งภาวนาดูจิตของตนเอง พอเวทนากับจิตของท่านขาดออกจากกัน จิตของท่านเกิดความสว่างไสวขึ้นมาอย่างประมาณไม่ได้ พอจิตพักอยู่ในความสงบจนอิ่มตัวแล้วท่านก็ถอนจิตออกมาดูข้างนอก..

    ท่านเห็นเทวดาตนหนึ่งนั่งอยู่นอกระเบียงชานที่พักของท่าน เทวดาตนนี้แสดงความเคารพท่านด้วยการยกมือพนมไหว้ เขาบอกกับท่านว่า " ข้าน้อยทราบว่าท่านไม่สบาย ข้าน้อยจึงเอาโอสถทิพย์มาถวายเพื่อรักษาท่าน "..

    ท่านถามว่าโยมจะรักษาอาตมาอย่างไร เขาบอกว่าจะเอายานี้ทาตามตัวของท่านแล้วอาการไข้ของท่านก็จะหายไปเอง ท่านถามว่าจะให้อาตมาทำอย่างไร เทวดาเขาบอกขอให้ท่านทรงจิตของท่านเอาไว้เท่านั้น ทุกอย่างเขาจะเป็นผู้รักษาท่านเอง จากนั้นเทวดาเขาก็เอายาทาที่หลังของท่าน..

    พอเทวดาเขาเอายาทาที่หลังของท่านเท่านั้น ท่านว่า เป็นที่น่าประหลาดอย่างยิ่ง ธาตุขันธ์ที่มันหนักหน่วงเพราะพิษไข้มาหลายวันพลันทุเลาโล่งขึ้นมาในทันที จนจิตของตนเองสามารถสัมผัสได้

    พอท่านถอนจิตออกจากสมาธิแล้ว พิษไข้ป่าที่เคยรุมเร้าอย่างหนักมาหลายวันจนตัวเองแทบจะตายก็หายไปเหมือนปลิดทิ้ง ร่างกายมีกำลังวังชาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่าตนเองไม่เคยได้ป่วยไข้มาก่อน ร่างกายก็มีความอิ่มเอิบจิตใจก็มีความเอิบอิ่มอย่างน่าอัศจรรย์..

    ท่านว่านี่เป็นครั้งแรกที่ท่านได้รับการถวาย " โอสถทิพย์ " จากเทวดา และเป็นครั้งแรกที่องค์ท่านได้เห็นปาฏิหาริย์แห่ง " โอสถทิพย์ " ตอนท่านจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำนายม..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อดีตขององค์ท่าน

    [​IMG]


    หลวงปู่ชอบท่านถามเทวดาผู้ที่มารักษาอาพาธของท่านว่า โยมเคยมีวาสนาสงเคราะห์กับอาตมามาก่อนหรือถึงได้มารักษาอาตมา

    เขาบอกท่านว่า ในอดีตสมัยต้นพระศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณะโคดม เทวดาท่านนี้เคยเป็นแม่ของท่านมาก่อน เมื่อทราบว่าท่านไม่สบายจึงลงมาดูแลรักษาอาการอาพาธของท่าน..

    หลวงปู่ชอบท่านจึงพิจารณาถึงเรื่องราวในอดีตขององค์ท่านกับเทวดาท่านนี้..

    ในชาตินั้นหลวงปู่ชอบท่านเกิดในสกุลพราหมณ์เมืองราชคฤห์ เป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูลจึงเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง มีนิสัยอันธพาลคบเพื่อนชั่วเป็นมิตร พ่อกับแม่กลัวว่าท่านจะดำรงวงศ์ตระกูลไม่ได้จึงพาท่านไปบวชในสำนักของพระโสณะกุฏิกัณณะ เพื่อที่จะให้พระมหาเถระอบรมบ่มนิสัย..

    ด้วยเป็นคนที่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เชื่อในคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ หลงเชื่อในคำยุยงของอลัชชีจึงหนีออกจากครูบาอาจารย์ไปอยู่กับพระเทวทัต หลังจากพระเทวะทัตถูกธรณีสูบจึงได้ลาสิกขาออกมาครองเรือน อายุสามสิบกว่าปีก็สิ้นอายุขัยในชาตินั้น..

    ตายจากชาตินั้นไปก็ได้ไปเกิดในตระกูลที่ต่ำกว่าเดิมเพราะผลกรรมจากความดื้อด้านของตนเอง ส่วนผู้เป็นแม่ได้ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพราะผลบุญที่ตนเองได้ทำไว้..

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบ “ เรื่องเวียนว่ายตายเกิดถ้าบ่หมดกิเลสแล้วบ่มีที่สิ้นสุดดอก มันจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่อย่างนี้ ได้เกิดในที่สูงก็เพราะบุญของตนเองส่งเสริม ได้เกิดในที่ต่ำก็เพราะผลบาปของตนเอง เรื่องภพชาตินี่มันประมาทไม่ได้ "..

    " อดีตเคยเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐีกินนอนอยู่ในหอปราสาท เพราะมานะทิฐิไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ บาปกรรมนี้จึงส่งผลให้ตนเองมาเกิดในตระกูลที่ต่ำลงไปกว่าเดิม ”.

    “ ชาตินั้นเกิดอยู่ในหอปราสาทนอนอู่เตียงทองคำ ชาตินี้ได้เกิดในกระท่อมนอนในกระด้งฟัดข้าว นี่แหละผลของบาปกรรมบ่เคารพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ บ่เคารพสมณะชีพราหมณ์ผู้ทรงศีลทรงธรรม โบราณท่านถึงได้ว่า ลูกบ่ฟังความพ่อแม่ผีสิแก่ลงหม้อนรก ศิษย์บ่ฟังคำครูสิเสื่อมพังเพม้าง(ความชั่วจะลากลงสู่ที่ต่ำ ศิษย์ที่ไม่เชื่อฟังในคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์จะพบกับความวิบัติ)”..

    “ เห็นหรือยังล่ะบาปกรรมมันเป็นเช่นไร ทำกรรมอะไรลงไปก็จะได้รับผลของกรรมนั้นๆ ทำกรรมดีก็ได้ไปอยู่ในที่ดี ทำกรรมชั่วก็ได้ไปอยู่ในที่ชั่ว ไม่มีใครหนีกรรมของตนเองพ้น ถ้าไม่อยากตกต่ำในชีวิตก็อย่าประมาทในธรรมเป็นอันขาด "..

    " ถ้าบ่อยากให้ไฟไหม้หัวใจก็ให้มีศีลมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ของหัวใจ เรื่องบุญบาปเราเชื่อสนิทใจตั้งแต่อยู่ถ้ำนายม ”..

    เรียนถามองค์ท่านว่า ทำไมเทวดาเขาถึงจำได้ว่าหลวงปู่เป็นลูกของเขามาก่อน ทั้งๆที่หลวงปู่ตายจากชาตินั้นไปแล้วหลวงปู่ก็ได้เวียนเกิดเวียนตายอีกตั้งหลายชาติ..

    องค์ท่านตอบว่า “ เพราะจิตมีความผูกพันต่อกัน เทวดาเขามีจิตที่ละเอียดกว่ามนุษย์ ถึงเราจะเปลี่ยนรูปร่างไปตามภพภูมิที่ตนเองเกิด แต่จิตมันไม่ได้เปลี่ยนรูปร่างไปด้วยกับเรา ทุกอย่างที่ผ่านมาจิตมันจะบันทึกเอาไว้หมด "..

    " เพราะกิเลสมันปิดกั้นจิตเอาไว้ คนเราจึงไม่รู้ที่มาที่ไปของตนเอง พอธรรมมันเปิดออกมาเท่านั้นล่ะ ทุกอย่างมันก็จะเปิดออกมาให้เราได้รู้ได้เห็นทั้งหมด กี่ชาติที่ผ่านมามันจะพรั่งพรูไหลออกมาจนนับไม่หวาดไม่ไหว ”..

    “ เทวดากับเราเห็นกันที่จิตไม่ได้เห็นกันด้วยตาเนื้อ ตาเนื้อเห็นกันมันจำผิดจำถูกกันได้ แต่ตาจิตตาใจมันจะเปิดออกมาอย่างชัดเจนอดีตปัจจุบันมันเห็นกันหมด อดีตปัจจุบันเคยมีความผูกพันกันอย่างไรมามันก็จะแสดงออกมาให้รู้ทันที "..

    " เรื่องของจิตนี้มันเป็นเรื่องพิสดารมาก จะสูงสุดหรือต่ำสุดมันก็อยู่ในจิตของเราดวงเดียวนี้แหละ ไม่ว่าจะเวียนเกิดเวียนตาย หรือสลายภพชาติ มันก็อยู่ที่จิตดวงเดียวนี่แหละ มันไม่ไปอยู่ที่อื่นหรอก ”..

    ตอนหลวงปู่ชอบท่านอยู่ที่ถ้ำนายมเทวดาผู้เคยเป็นแม่ของท่านเมื่อในอดีตเขาจะมาเยี่ยมท่านอยู่เสมอ บางครั้งเขาก็มาขอฟังธรรม บางครั้งก็มาอนุโมทนาในเวลาที่ท่านทำความเพียร..

    แต่เขาจะไม่มารบกวนในเวลาที่องค์ท่านกำลังทำกิจแห่งอริยะสงฆ์ เทวดาเขาจะถือเรื่องกิจแห่งอริยะสงฆ์นี้มาก เขากลัวจะเป็นบาปกรรมถ้าไปรบกวนในเวลานี้..

    ความเคารพในอริยะสงฆ์ของเทพเจ้าเหล่าเทวดา เขาจะยึดถือในเรื่องนี้ต่างกับมนุษย์เรามาก..

    ฟ้ากับเหวห่างต่างกันอย่างไร องค์ท่านหลวงปู่ชอบได้เปรียบไว้กับประพฤตินี้..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ตาผ้าขาวสง่า " อนาคามี "

    [​IMG]


    พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม องค์ท่านเล่าประวัติตาผ้าขาวถ้ำนายม ผู้บรรลุธรรม " พระอานาคมี "

    ตาผาขาวนายมท่านนี้มีชื่อว่า “ พ่อสง่า ” อายุหกสิบกว่าปี พ่อสง่าท่านเป็นคนบ้านนายม ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ พ่อสง่ามีลูกสาวลูกชายทั้งหมดสี่คน พอภรรยาตายพ่อสง่าอยากจะบวชเพื่ออุทิศบุญให้กับภรรยาคู่ชีวิตของท่าน แต่ลูกๆทุกคนไม่อยากให้พ่อบวชเพราะเป็นห่วง เกรงว่าพ่อจะลำบากเนื่องจากพ่อสง่ามีอายุมากแล้ว..

    เมื่อลูกไม่ให้บวชพ่อสง่าจึงประพฤติพรหมจรรย์โดยการถือศีลแปดฝึกฝนอบรมสมาธิทุกวันอยู่ที่บ้าน พ่อสง่าจะอยู่ปฏิบัติสลับกันไปมาระหว่างบ้านกับวัด วันธรรมดาก็จะปฏิบัติอยู่ที่บ้านของตนเอง วันพระก็จะไปปฏิบัติอยู่ที่วัดในหมู่บ้าน..

    พ่อสง่าท่านเป็นผู้ที่มีวาสนารู้ธรรมได้เร็วมาก ท่านปฏิบัติภาวนาอยู่ที่บ้านจนบรรลุธรรมเบื้องต้นเป็นพระโสดาบัน จากนั้นท่านเกิดความเบื่อหน่ายในการใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว อยากออกไปปฏิบัติตามป่าเขาโดยเพียงลำพัง ท่านจึงบอกลูกหลานว่าจะไปอยู่ถือศีลภาวนาอยู่ที่ถ้ำนายม..

    แรกๆเมื่อมาอยู่ที่ถ้ำนายมตาผ้าขาวสง่าท่านจะพักเพียงคืนสองคืนก็กลับมาที่บ้านครั้งหนึ่ง ต่อมาพอเข้าพรรษาท่านก็ขอลูกหลานมาจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำนายม เบื้องต้นลูกหลานก็คัดค้านเพราะเป็นห่วงพ่อ อยากให้พ่อจำพรรษาอยู่ที่วัดในหมู่บ้าน แต่ท่านไม่อยากจำพรรษาที่วัดในหมู่บ้านเพราะมีเหตุบางอย่างที่มันติดขัดกับธรรมอยู่ในใจของท่าน สุดท้ายลูกหลานก็ยอมให้พ่อไปถือศีลภาวนาจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำนายม..

    ตาผ้าขาวสง่ามาจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำนายมได้ไม่ถึงเดือน ลูกหลานก็พากันมาอ้อนวอนรบเร้าให้ท่านกลับไปอยู่ที่บ้านเพราะเป็นห่วงพ่อ ตาผ้าขาวท่านจึงขอกับลูกหลานว่าออกพรรษาพ่อถึงจะกลับบ้าน พ่อขอจำศีลภาวนาอยู่ที่นี่ให้พ้นพรรษาตามที่ได้ตั้งสัจจะวาจาไว้ ลูกหลานก็จนใจจำยอม ลูกหลานจะพากันมาเยี่ยมนำเสบียงมาส่งให้ท่านทุกสามสี่วันครั้งหนึ่ง..

    พอออกพรรษาตาผ้าขาวสง่าท่านก็ไม่ยอมกลับบ้าน ลูกหลานพากันมาอ้อนวอนให้กลับบ้านอย่างไรท่านก็ไม่ยอมกลับ เมื่อรบเร้าอ้อนวอนเท่าไหร่พ่อก็ไม่ยอมกลับ้าน ลูกชายกับลูกเขยจึงพากันจับตาผ้าขาวมัดมือมัดเท้าแบกท่านกลับบ้าน..

    หลวงปู่ชอบท่านเห็นเหตุการณ์นี้องค์ท่านถึงกับสลดใจ ต่างคนต่างภูมิจึงไม่รู้ข้างในจิตใจกัน ที่ตาผ้าขาวท่านไม่อยากอยู่บ้านเพราะท่านไม่อยากให้ลูกหลานญาติพี่น้องของท่านเป็นกรรม ซึ่งบางครั้งเขาอาจเผลอสติประมาทพลาดพลั้งท่านตามประสากิเลสของใจตนบงการ ตาผ้าขาวสง่าบอกท่านไว้ว่า ลูกหลานของข้าน้อยจะพากันมาเอาตัวข้าน้อยกลับบ้าน ถ้าวันใดลูกหลานมาคุมตัวข้าน้อยกลับบ้าน อายุขัยของข้าน้อยก็จะสั้นลง เมื่อหลวงปู่ชอบท่านเห็นเหตุการณ์นี้ องค์ท่านถึงกับสลดใจ..

    ตาผ้าขาวกลับไปอยู่บ้านได้สองสามวัน พอลูกหลานเผลอก็แอบหนีออกจากบ้านกลับมาที่ถ้ำนายมเพื่อมากราบลาองค์ท่านหลวงปู่ชอบเป็นครั้งสุดท้าย ตาผ้าขาวสง่ามากราบลาและบอกกับองค์ท่านว่า ชาตินี้ข้าน้อยบ่มีวาสนาที่จะได้บวชเหมือนกับอาจารย์ ข้าน้อยบ่ได้สร้างบารมีทางนี้มา จากนี้ไปบ่นานดอกอายุขัยของข้าน้อยก็จะสิ้นแล้ว ข้าน้อยจะตายด้วยโรคลมปัจจุบันเป็นเหตุให้ตนเองตกบ้านถูกไม้ค้ำเกวียนเสียบตาย..

    ตาผ้าขาวเล่าถึงอดีตกรรมของท่านให้หลวงปู่ชอบฟังว่า เหตุที่ชาตินี้ตนเองไม่ได้บวชเพราะอดีตชาติครั้งหนึ่งท่านเป็นผู้ที่มีมิจฉาทิฐิ ตำหนิพระสงฆ์องค์เณรว่าเป็นคนเกียจคร้านไม่อยากทำงานจึงหนีไปบวช ลูกชายของตนเองในชาตินั้นมีศรัทธาอยากจะออกบวช ตนเองไม่อนุญาตห้ามลูกไว้ไม่ให้บวช กรรมนี้จึงส่งผลมาในชาติปัจจุบันเป็นเหตุให้ตนเองถูกขัดขวางไม่ให้บวช..

    อีกชาติหนึ่งของตาผ้าขาว ท่านเคยเกิดเป็นนายเพชฌฆาต มีหน้าที่จับนักโทษประหารโยนลงเหว กรรมนี้จะเป็นเหตุให้ตนเองตกจากที่สูงตายในชาติปัจจุบัน ตาผ้าขาวบอกวันเวลาที่ตนเองจะตายให้องค์ท่านหลวงปู่ชอบฟังทั้งหมด ตาผ้าขาวมาพักอยู่กับท่านที่ถ้ำนายมหนึ่งคืน พอพ้นอีกวันลูกหลานก็พากันมาตามให้ตาผ้าขาวสง่ากลับบ้าน ตาผ้าขาวสง่ากราบลาองค์ท่านหลวงปู่ชอบกลับบ้านพร้อมกับลูกหลาน นั่นคือครั้งสุดท้ายที่หลวงปู่ชอบท่านได้เห็นตาผ้าขาวสง่าตอนท่านมีชีวิต..

    ตาผ้าขาวสง่าท่านกลับไปอยู่ที่บ้านได้ไม่นานนัก ท่านก็ตายตามวันเวลาที่ได้บอกกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบไว้ไม่มีผิด วันที่ท่านตาผ้าขาวสง่าตายนั้น ท่านเดินจงกรมอยู่ที่ระเบียงชานบ้านของตัวเอง เวลาประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆท่านเป็นลมหน้ามืดพลัดตกจากบ้านถูกไม้ค้ำเกวียนเสียบอกตาย วันเวลาการตายตรงกับที่ท่านได้บอกกับหลวงปู่ชอบไว้ว่า ท่านจะตายตอนพระเณรฉันเพล..

    หลวงปู่ชอบท่านบอกว่า ผู้ที่สำเร็จคุณธรรมเป็นพระอริยะบุคคลไม่ว่าชั้นใดก็ตาม ท่านจะอยู่ร่วมครองเรือนกับฆราวาสทั่วไปลำบาก การอยู่ครองเรือนย่อมจะมีกระทบกระทั่งกันทางอารมณ์ ผู้ที่มีภูมิธรรมท่านจะรู้จักละปลงปล่อยวางเป็น แต่ปุถุชนคนธรรมดาจะละวางไม่เป็น เมื่อมีเหตุกระทบกันจะทำให้เป็นบาปกรรมได้..

    ด้วยวิสัยของท่านผู้มีภูมิธรรม ท่านจะพิจารณาถึงอนาคตข้างหน้าของตนเอง หากท่านมีวาสนาทางเนกขัมมะบารมีท่านก็จะออกบวชเพื่ออยู่โปรดสัตว์โลก หากท่านพิจารณาเห็นตนเองไม่มีวาสนาบารมีในทางนี้ ท่านก็จะพิจารณาปลงสังขารละขันธ์ไปในที่สุด..

    หลังจากตาผ้าขาวสง่าผู้เป็นสหายธรรมขององค์ท่านจากไป หลวงปู่ชอบท่านจึงตัดสินใจเที่ยววิเวกขึ้นภาคเหนือเพื่อตามหาองค์ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต โดยจุดหมายปลายทางคือเมืองเชียงใหม่..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เสือดักทาง

    [​IMG]


    องค์ท่านหลวงปู่ชอบออกจากถ้ำนายม ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ เดินทางมุ่งหน้ามาทางอำเภอหล่มสัก–หล่มเก่า ท่านแวะพักตามสถานที่ต่างๆที่ท่านเคยพักมาก่อน เช่น บ้านสักหลง บ้านหินฮาว บ้านซำขี้นาค เป็นต้น พอออกจากเขตอำเภอหล่มเก่าท่านเดินทางเข้ามาเขตอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย หลวงปู่ชอบท่านมาพักอยู่ที่บ้านกกโพธิ์-วังก่ำเขตอำเภอด่านซ้ายประมาณหนึ่งอาทิตย์..

    พอตอนสายหลังจากบิณฑบาตฉันอาหารเสร็จแล้ว ท่านล่ำลาชาวบ้านญาติโยมจะออกเดินทางไปอำเภอด่านซ้าย ชาวบ้านไม่อยากให้ท่านไปทางด่านซ้ายเพราะจะผ่านป่าใหญ่ดงเสือ เกรงว่าท่านจะได้รับอันตรายจากสัตว์เสือเหล่านี้ได้..

    แต่หลวงปู่ชอบท่านอยากจะไปทางด่านซ้ายเพราะเป็นทางเดียวที่จะลัดขึ้นไปภาคเหนือได้สะดวกกว่าเส้นทางอื่น ท่านจึงเดินลัดตัดเขาจากบ้านกกโพธิ์-วังก่ำมาอำเภอด่านซ้าย เพราะความไม่คุ้นเคยเส้นทางท่านจึงหลงทางอยู่ในป่าจนตะวันตกดินก็ยังหาทางออกไม่เจอ จนมืดค่ำท่านจึงติดโคมเทียนเพื่อส่องแสงสว่างในการเดินทาง..

    ราวสองทุ่มขณะที่ท่านกำลังกรองน้ำในลำห้วยเพื่อที่จะฉัน ท่านได้ยินเสียงเสือร้องคำรามอยู่ด้านหน้าเส้นทางที่ท่านจะไป เสือร้องคำรามข่มป่าอยู่เป็นระยะ ฟังจากเสียงแล้วดูเหมือนเสือมันจะอยู่ไม่ไกลจากท่านเท่าไรนัก ท่านจึงเดินย้อนกลับหลังเพื่อหลีกเว้นเส้นทางที่จะเจอกันกับเสือ..

    ตอนเสือร้องคำรามท่านมีอาการหวั่นใจในอำนาจของเสือ แต่ยังมีสติบังคับจิตใจตนเองไม่ให้ลนลานพานกลัวเสือจนไม่เป็นกะบวนท่า ระหว่างที่เดินย้อนกลับหลังเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการพบหน้ากันกับเสือนั้น ท่านได้มาพบกับเสืออีกตัวหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ พอเจอหน้าประจันกันกับเสืออีกตัวเข้าอย่างจังท่านมีอาการขาสั่นจนก้าวไม่ออก เสือตัวนี้เปล่งเสียงคำรามข่มขู่จ้องหน้าแสดงท่าพร้อมที่จะกระโจนใส่ท่านได้ทุกเมื่อ..

    ไม่นานเท่าไรนักเสืออีกตัวก็เดินร้องคำรามเสียงมาทางด้านหลังของท่าน เสือทั้งสองตัวพากันดักหน้าดักหลังจนท่านมองไม่เห็นหนทางว่าตัวเองจะรอดพ้นจากอันตรายนี้ไปได้ องค์ท่านได้แต่ปลงใจในกรรมของตนเอง น้อมจิตระลึกถึงศีลธรรมที่ตนเองเคยบำเพ็ญมา ทำให้จิตใจขององค์ท่านเกิดความกล้าหาญในธรรมขึ้นมาบ้าง..

    องค์ท่านอธิฐานในใจตนเองว่า ถ้าข้าพเจ้าเคยมีกรรมเคยทำร้ายเสือสองตัวนี้มาก่อน หากเขาจะทำร้ายเข่นฆ่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอรับผลกรรมที่ตนเองได้ทำไว้ จะไม่ถือโทษอาฆาตพยาบาทกับเสือสองตัวนี้ ขอให้พ้นเวรกรรมกันนับตั้งแต่ชาตินี้เป็นต้นไป หากจะตายข้าพเจ้าขอตายไปพร้อมกับสรณะทั้งสาม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น..

    หลังจากองค์ท่านปลงใจในกรรมแล้ว หลวงปู่ชอบท่านยืนหลับตาภาวนาโดยที่มือยังถือโคมไฟอยู่ ท่านว่าพอกำหนดจิตภาวนาไม่ถึงนาทีจิตดิ่งพรวดเข้าสู่ " อัปนาสมาธิ " ทันที จิตตั้งมั่นแน่วแน่อยู่กับความสงบสว่างไสว จิตเป็นหนึ่งแน่ขึ้นมาแทนที่ความหวาดกลัว..

    ท่านยืนสงบนิ่งอยู่ในสมาธิเป็นเวลานานจนเลยสองยามจิตจึงถอนออกมาจากสมาธิ พอจิตถอนออกจากสมาธิแล้วท่านก็ไม่พบกับเสือสองตัวนี้เลย ท่านเองก็ไม่ทราบว่าเสือสองตัวนี้มันไปทางไหน หลังจิตถอนออกจากสมาธิแล้วท่านไม่มีความรู้สึกกลัวเสือสองตัวนี้เลย ซึ่งต่างจากก่อนหน้านั้นที่ตนเองกลัวเสือจนขาสั่น..

    ท่านได้เห็นอำนาจของคุณศีลคุณธรรมเวลาที่แสดงปาฏิหาริย์ออกมา จนองค์ท่านเชื่อมั่นในอำนาจของคุณศีลธรรมอย่างสนิทใจ..

    หลวงปู่ชอบท่านจุดเทียนไขขึ้นมาอีกเล่มเพื่อส่องแสงสว่างในการเดินทาง องค์ท่านรีบเร่งเดินทางออกจากป่าใหญ่ดงเสือ จนเวลาสายท่านจึงเดินทะลุป่ามาถึง บ้านโคกงาม เขตอำเภอด่านซ้าย..

    องค์ท่านเข้าไปบิณฑบาตที่บ้านโคกงาม หลังฉันอาหารแล้วท่านเดินทางมาที่อำเภอด่านซ้าย ถึงอำเภอด่านซ้ายเวลาบ่ายสองท่านแวะเข้าไปขอพักที่ " วัดพระธาตุศรีสองรัก " สมัยนั้นพระธาตุศรีสองรักเป็นวัดที่มีพระเณรจำพรรษาอยู่..

    ปัจจุบันพระธาตุศรีสองรักไม่มีพระเณรจำพรรษามานานหลายปีแล้ว ทางราชการและชาวบ้านจึงยก " พระธาตุศรีสองรัก " ขึ้นเป็นโบราณสถาน เป็นศูนย์รวมใจของประชาชนคนท้องถิ่นและชาวจังหวัดเลยจนตราบเท่าปัจจุบันนี้..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มุ่งสู่ภาคเหนือตามหาองค์ท่านหลวงปู่มั่น

    [​IMG]


    หลวงปู่ชอบท่านออกจากอำเภอด่านซ้ายมาทางจังหวัดพิษณุโลก การเดินทางเป็นไปอย่างเร่งรีบที่สุดเพราะท่านไม่รู้ว่าเชียงใหม่นั้นอยู่ไกลแค่ไหนเนื่องจากตอนนั้นท่านยังไม่เคยขึ้นมาภาคเหนือ ท่านจึงต้องรีบเดินทางมาให้ถึงเชียงใหม่ก่อนฤดูหน้าฝน ท่านเดินทางจากด่านซ้ายมาถึงลำพูนใช้เวลาสิบสามวัน..

    ท่านมาพบกับ หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ที่อ ำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ท่านถามหลวงปู่พรหมว่าได้พบท่านอาจารย์ใหญ่มั่นหรือยัง หลวงปู่พรหมบอกยังไม่ได้พบกับองค์ท่านหลวงปู่มั่นเนื่องจากท่านแวะจำพรรษาที่อื่น หลวงปู่ชอบท่านจึงชวนหลวงปู่พรหมเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อตามหาองค์ท่านหลวงปู่มั่นด้วยกัน..

    ท่านเล่าแบบขำๆ ท่านกับหลวงปู่พรหมต่างไม่เคยมาเชียงใหม่เหมือนกัน กลัวจะหลงทางเพราะความไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ท่านพากันเดินเลาะเลียบนับไม้หมอนทางรถไฟใช้เวลาสองวันจึงมาถึงเชียงใหม่ เข้าไปพักที่วัดเจดีย์หลวง..

    วัดเจดีย์หลวงสมัยนั้นเป็นศูนย์กลางการปกครองธรรมยุติภาคเหนือตอนบน พระกรรมฐานสมัยนั้นเดินทางมาเที่ยววิเวกเชียงใหม่จะเข้าไปพักที่วัดเจดีย์หลวงก่อนเป็นแห่งแรก เพราะวัดเจดีย์หลวงเป็นทั้งที่พัก และแหล่งข่าวของพระกรรมฐานสมัยนั้น ท่านทั้งสองมาพักที่นี่เพื่อจะถามข่าวของหลวงปู่มั่นว่าองค์ท่านพักอยู่ที่ไหน เมื่อทราบว่าองค์ท่านหลวงปู่มั่นพักอยู่ที่บ้านป่าเมี่ยงจึงพากันเดินทางมากราบองค์ท่านที่นี่..

    หลวงปู่มั่นให้ท่านทั้งสองพักอยู่ที่นี่ก่อนเนื่องจากตอนนั้นมีพระเณรเข้ามาปฏิบัติกับองค์ท่านจำนวนมาก หลวงปู่มั่นให้ช่วยดูแลความประพฤติของพระเณรเพื่อแบ่งเบาภาระขององค์ท่าน..

    ต่อมาหลวงปู่เทสก์ท่านเข้ามาบ้านป่าเมี่ยงหลวงปู่มั่นจึงมอบหมายให้หลวงปู่เทสก์ดูแลหมู่คณะพระเณรแทนองค์ท่าน หลวงปู่มั่นท่านจะออกไปภาวนาที่ถ้ำดอกคำ..

    องค์ท่านหลวงปู่มั่นเดินทางไปพักภาวนาที่ถ้ำดอกคำมีพระเณรและตาผ้าขาวติดตามไปหกองค์ พระเณรที่ติดตามองค์ท่านหลวงปู่มั่นไปถ้ำดอกคำครั้งนั้นมี หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม พระเขื่อง พระอินตา(ลาสิกขาบท) สามเณรนั้นท่านจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร..

    ตาผ้าขาวที่ตามไปด้วยชื่อวงษ์ท่านเป็นคนอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาตาผ้าขาวงษ์ท่านบวชเป็นพระภิกษุที่วัดโรงธรรมสามัคคี จังหวัดเชียงใหม่..

    หลวงปู่ชอบท่านเล่าเรื่องตอนติดตามองค์ท่านหลวงปู่มั่นไปภาวนาที่ถ้ำดอกคำให้ฟังว่า..

    “ เราไปถ้ำดอกคำครั้งแรกเพราะท่านอาจารย์ใหญ่ให้ติดตามไป ถ้ำดอกคำสมัยนั้นเป็นที่สับปายะเหมาะแก่การภาวนามาก ภาวนาอยู่นี่ทั้งวันทั้งคืนไม่เหน็ดเหนื่อย จิตดื่มด่ำกับการภาวนาเป็นอย่างยิ่ง ท่านใดติดขัดอาจารย์ใหญ่ท่านก็จะชี้แจงให้ฟังทันที องค์ท่านจะไม่ทิ้งปัญหาของลูกศิษย์ไว้ให้เสียเวลา การภาวนาของเราจึงรุดหน้าขึ้นตามลำดับตอนอยู่ถ้ำดอกคำ ถ้ำดอกคำเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีบุญคุณกับเราทางด้านภาวนา ”..

    “ ตอนอยู่ถ้ำดอกคำอาจารย์ใหญ่ท่านจะให้พระเณรนอนแต่หัวค่ำ พอตกดึกท่านจะให้ลุกขึ้นมาเดินจงกรมภาวนา ท่านจะไม่ให้พระเณรนอนขี้เซาเหมือนหมูเหมือนหมา องค์ท่านจะย้ำบอกพระเณรเสมอว่า เวลาดึกๆพวกเทวดาเขาจะพากันมาฟังธรรมกับท่านอยู่เสมอ เวลาเทวดามาเห็นพระเณรนอนเรี่ยราดเขาจะตำหนิติ มันดูไม่น่าเลื่อมใสในวงศ์เทพเทวดาเขา ”..

    “ คนเราเวลานอนหลับสติมันจะไม่มี บางองค์นอนหลับกรนเสียงดังผ้าผ่อนท่อนสบงหลุดลุ่ยไปกองอยู่ที่เท้าก็มี ดูไม่เรียบร้อยกับสมณะเพศ มันเป็นเรื่องอยากที่คนเราจะมาแก้ไขตนเองในเวลานอนหลับ เพราะเวลาหลับคนเราจะไม่มีสติ ท่าทางการนอนจึงออกมาในทางที่ไม่งาม ท่านอาจารย์ใหญ่จึงแก้ไขเรื่องนี้โดยให้พระเณรนอนแต่หัวค่ำ ตกดึกท่านก็จะให้ลุกขึ้นมาเดินจงกรมนั่งภาวนาตามแต่ใครจะสะดวกในการทำความเพียรแบบไหน ”..

    “ เราก็นอนแต่หัวค่ำตามท่านอาจารย์ใหญ่บอก พอเวลาสามสี่ทุ่มก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาสวดมนต์ไหว้พระเดินจงกรมภาวนาจนยันเช้า ถ้าไม่ทำเช่นนี้เวลาเทวดาผ่านมาเห็นเขาจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านอาจารย์ใหญ่ "..

    " เราปฏิบัติของเราแบบนี้มาตลอดตามที่อาจารย์ใหญ่ท่านสอนจนติดเป็นนิสัยส่งผลมาถึงปัจจุบันนี้แหละ เฒ่าสิตายทุกวันนี้ก็ยังพาลูกหลานเดินจงกรมภาวนาอยู่ นิสัยคนเราถ้าฝึกฝนอยู่เป็นประจำจะกลายเป็นนิสัยยะวัตรติดตัวไปจนตาย ”..

    “ อยู่กับอาจารย์ใหญ่เราไม่เคยถูกเทวดาฟ้ององค์ท่านในเรื่องนี้ หมู่คณะบางองค์เอาแต่นอนเทวดามาเห็นเขาก็ไปบอกท่าน อาจารย์ใหญ่จะเรียกพระเณรองค์นั้นไปสอบถาม ถ้าเป็นไปตามที่เทวดาเขาบอกท่านก็จะให้ปรับปรุงตัวเองใหม่ ทำให้พระเณรเกิดความละอายใจแก่ไม่กล้านอนมากต้องตื่นขึ้นมาทำความเพียร จึงเป็นผลดีต่อการปฏิบัติของพระเณรองค์นั้นไป อาจารย์ใหญ่ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญอะไรมากเพราะมีเทวดาช่วยเป็นหูเป็นตาแทนท่าน ”..

    “ อยู่ถ้ำดอกคำมีเทพเทวดาพากันมาขอฟังธรรมกับท่านอาจารย์ใหญ่ทุกวัน ส่วนมากเขาจะมาตอนกลางคืน บางคืนก็มาจำนวนหลายพัน บางคืนก็มาจำนวนหลายหมื่น บางครั้งก็พากันมาหลายแสนจนมืดฟ้ามัวดินไปหมด ทั้งผืนดินแผ่นฟ้าอากาศเต็มไปด้วยเทพเทวดาที่เขามากราบเยี่ยมขอฟังธรรมกับท่านอาจารย์มั่นที่ถ้ำดอกคำ ”..

    “ เทวดาเวลาที่เขามาฟังธรรมบางครั้งจะแต่งตัวเหมือนกับราชาสมัยโบราณ เวลามาหาพระเทวดาเขาจะไม่ประดับเพชรนิลจินดา ถ้าผู้ที่เป็นหัวหน้าแต่งชุดขาว พวกบริวารก็จะแต่งชุดขาวเหมือนกัน ถ้าหัวหน้านุ่งห่มผ้าสีอะไร พวกบริวารก็จะนุ่งห่มผ้าสีนั้นเหมือนกัน เวลาเทวดามาท่านอาจารย์มั่นจะเกิดสว่างไสวไปทั่วบริเวณถ้ำดอกคำ แสงสว่างนวลใสเหมือนเอาเทียนไขเป็นหมื่นเป็นแสนเล่มมาจุดรอบบริเวณถ้ำดอกคำ ”..

    “ ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ก็เคยมาขอฟังธรรมกับท่านอาจารย์มั่นที่ถ้ำดอกคำ ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่พากันมาจากเขาจุมพต ครั้งนั้นเทวดาพากันมาหาท่านอาจารย์มั่นมากเป็นพิเศษ พากันมาหลายแสนองค์จนเต็มพื้นดินพื้นฟ้าไปหมด เขามาขอให้ท่านอาจารย์มั่นแสดงธรรมเรื่อง “นะรักกันตัง”..

    " ตอนนั้นเราไม่รู้ว่านะรักกันตังคือเรื่องอะไร วันต่อมาเข้าไปทำข้อวัตรอาจารย์มั่น เรียนถามท่านว่า ธรรมบทนะรักกันตังนี้เป็นเทศนาที่กล่าวถึงเรื่องอะไร ”..

    “ พ่อแม่ครูจารย์ท่านบอก นะรักกันตัง คือเรื่องที่กล่าวถึงกุศลมูลและอกุศลมูล คือเรื่องราวเกี่ยวกับบาปบุญนรกสวรรค์ ท่านว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไม่มีกล่าวในตำราทั่วไป เป็นคุณสมบัติพิเศษเฉพาะพ่อแม่ครูจารย์มั่นเท่านั้น ยากที่จะหาผู้ใดมาเสมอเหมือนองค์ท่านได้ ไม่มีลูกศิษย์องค์ใดของท่านที่มีความรู้ละเอียดลึกซึ้งเท่ากับท่านอาจารย์ใหญ่มั่น "..

    " อาจารย์มั่นท่านเป็นเอกอริยะบุรุษกึ่งพุทธกาล พระอริยะสงฆ์เมืองไทยไม่มีองค์ใดที่บารมีมากเท่ากับท่านอาจารย์มั่น พระกรรมฐานเมืองไทยส่วนมากล้วนสืบหน่อต่อแนวจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นทั้งนั้น ”..


    https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม กับลูกศิษย์ รูปนี้ถ่ายเมื่อปี 2531 ที่สนามบินไคตั๊ก เกาะฮ่องกง


    [​IMG]
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ถ่ายรูปที่สวนดอกทิวลิป รัฐอินลินอย สหรัฐอเมริกา ถ่ายรูปร่วมกับ หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู หลวงพ่อบุญกู้ อภิวัฑโณ วัดศรีมหาธาตุ กทม. เมื่อปี 2533 รูปนี้ถ่ายโดย อ.เฉลียว สิงห์ทองลา
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม กับ หลวงปู่หลุย จันทสาโร รูปนี้ถ่ายที่ แกรนด์ติ้งไอร์แลนด์ ประเทศสิงค์โปร์ ภาพนี้ถ่ายโดย คุณสิริ ผสมพงษ์


    [​IMG]
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ไปกราบเยี่ยมคารวะ หลวงปู่เทสก์ เทสรังษี ที่ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2535 รูปนี้ถ่ายโดย ตี๋ รุ่งธรรม..
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]
    รูปนี้ถ่ายขณะที่หลวงปู่ชอบท่านแสดงธรรมให้ลูกศิษย์ฟัง เนื่องในวันวิสาขบูชา ปี 2536 ใจความแห่งเทศนาว่า " อยากพ้นทุกข์ก็ให้ทำเอา พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ประทานให้เราไม่ได้ ถ้าอยากได้ก็ให้ลงมือทำด้วยตนเอง ความเกียจคร้านบ่เคยทำให้ใครเป็นอริยะ มีแต่จะทำให้คนนั้นเป็นอะริแย่ คือแย่ลงไปเรื่อยๆหาความดีให้ตนเองไม่ได้ "


    [​IMG]
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม นำลูกศิษย์เวียนเทียนเนื่องในวันอาสาฬหบูชา ปี 2535 ณ วัดป่าโคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย ถ่ายโดย ออมสิน สร้อยตา..
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    " ถ้าใจมีธรรมเป็นที่อยู่แล้ว จะอยู่ที่ไหนก็อยูได้ ไม่มีความเดือดร้อน แต่ถ้าใจนั้นไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่แล้ว ต่อให้นั่งนอนอยู่ในปราสาททองก็ไม่มีความสุข เพราะไฟกิเลสมันเผาผลาญหัวใจให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่มิเว้นวาย " หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    " ทุกข์ในภพชาติสำหรับเรา ต่อจากนี้ไปไม่มีอีกแล้ว มันจบแล้ว การเดินทางในสายทุกข์ของเรามันสิ้นสุดแล้วในชาตินี้ ชีวิตธาตุขันธ์ที่เหลืออยู่ทุกวันนี้ ก็อยู่เพราะเมตตาสงเคราะห์สัตว์โลกผู้ที่มีวาสนาร่วมกันเท่านั้น ธาตุขันธ์แตกดับวันไหน วันนั้นก็จบกันหมดทุกอย่าง " หลวงปู่ชอบ ฐานสโม 7 พฤศจิกายน 2536..
     

แชร์หน้านี้

Loading...