ชีวิตคืออะไร? เราเกิดมาทำไม? ความสุขคืออะไร? ข้อคิดของสองปราชญ์สองศตวรรษ...พุทธทาส -

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 20 พฤษภาคม 2007.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    โดย บัญชา พงษ์พานิช plearnstan@gmail.com



    [​IMG]"ชีวิตคืออะไร ? เราเกิดมาทำไม ? ความสุขคืออะไร ?"

    ในจดหมายฉบับลงวันที่ 1 เมษายน 2479 จดหมายส่งความสุขปีใหม่ของท่านอาจารย์พุทธทาสซึ่งถึงมืออาจารย์สัญญาตรงกับวันเกิดครบรอบ 29 ปีพอดีในวันที่ 5 เมษายน แล้วรีบตอบทันทีในวันนั้นว่า

    "ผมได้อ่านและตริตรองโดยตลอดแล้ว รู้สึกปลาบปลื้มเปนที่ยิ่ง อัน ส.ค.ส.ชนิดนี้ มีคุณค่าเหนือประการอื่นทั้งหลาย" นับว่าเป็นสองใน 180 ฉบับที่พอจะหยิบยกมาเป็นข้อคิดในวาระนี้...ว่าเมื่ออายุ 30 ปี สองปราชญ์นี้ท่านคิดอ่านวางคติกันไว้อย่างไร จึงได้ยิ่งใหญ่ด้วยกันได้อย่างนี้

    "เราจะได้คำตอบอันเดียวกันทั้งสามปัญหา...คำตอบอย่าง Buddhist แท้นั้น ชีวิตคือ Compound thing อันหนึ่ง ซึ่งหมุนกลิ้งไปตามอำนาจของส่วนผสมหนึ่งๆ ของมันเอง ซึ่งปรุงแต่งมันขึ้น และเป็นปัจจัยให้มันตั้งอยู่ Compound thing นี้ คงผสมกันอยู่ได้และหมุนกลิ้งไป ก็เพราะมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรมหนุนหลัง มันเต็มด้วยความทุกข์ทรมานทั้งอย่างเปิดเผยและอย่างลี้ลับ ก็เพราะการที่มันต้องกลิ้งไปตามเหตุตามปัจจัย และเพราะอวิชชาเปนต้น เปนเครื่องตีโต้ให้มันกระท้อนไปมาเหมือนลูกตะกร้ออยู่เสมอ มันจะเปนสุขจริงๆ ได้ ก็ต่อเมื่อมันหยุดหมุนหยุดกระเด็นไปมาโดยหมดเครื่องหนุนหลังและผลักใส และในที่สุด Compound thing นั้นแยกสลายออกจากกัน ไม่กลับผสมกันได้อิกดุจเรือนที่รื้อลงเสียแล้ว ไม่มีใครประกอบให้เป็นเรือนขึ้นอิก ฉะนั้น. ทั้งหมดนี้คือลักษณภาพโดยสิ้นเชิงของชีวิต การที่เราเกิดมาก็เพราะเราไม่รู้ (อวิชชา) ต่อเรื่องชีวิต เพราะฉะนั้น เราเกิดมาก็เพื่อเรียนให้รู้เรื่องชีวิตแล้วหยุดเกิดหรือ "กลิ้ง""

    โดยท่านพุทธทาสลงท้ายในจดหมายว่า

    "ขออภัยเถิด ให้อาตมาตกลงเอาเปนว่าคุณอยู่ในพวกแรก คือยังต้องหมุนกลิ้งไป และเพื่อให้ความสุขปีใหม่เกิดแก่คุณจริงๆ คุณจึงต้องพยายามกลิ้งให้ดีกว่าปีเก่า"

    ชีวิตของเรายังจะต้องหมุนกลิ้งต่อไป...แต่พยายามกลิ้งให้งดงาม...จนหยุดกลิ้งได้
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=1><TBODY><TR bgColor=#ffe9ff><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "เปนธรรมดาที่ท่านวินิจฉัยถูกแล้วว่าผมยังอยู่ในจำพวกที่ต้องหมุนกลิ้งไป...ผมมาคำนึงนึกพิจารณาในตัวเอง (inspiration) แล้วจับได้ว่า อันในตัวผมนี้ มี born character อยู่อย่างหนึ่งซึ่งทำให้ผมต้องกลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนอย่างที่ท่านว่าเปนเหมือนคน 2 คนคอยตีโต้ให้ผมกระดอนไปกระเด็นมาอย่างนั้น สิ่งนั้นในตัวผมคือความมักใหญ่ใฝ่สูง หรือจะจำกัดความหมายลงไปได้ว่า เปนความอยากเก่ง ผมมีความอยากเก่งไปทุกทาง...เมื่อไรผมเก่งได้ ผมก็พอใจ แต่เมื่อไรผมเก่งไม่ได้ ก็โทมนัส...ถึงกับปลงอนิจจํตัวเองว่า good for nothing อาการมีเช่นนี้ผมรู้ดีว่า ก่อให้เกิดทุกข์และเปนทุกข์อย่างคมเฉียบ ปัญหามีว่า ผมจะตัดทุกข์นี้ได้อย่างไร. จริงอยู่ the perfect truth ที่ท่านให้มาในเรื่องชีวิตนั้น เปนทางแท้ แต่กระนั้นผมก็ยังมีวิจิกิจฉา อัน ambition หรือความอยากเก่งของผมนี้ เข้าใจว่ามีคุณอยู่คือทำให้เก่งจริงได้ และเมื่อเก่งจริงแล้ว ก็ย่อมเปนประโยชน์ใหญ่แก่คนทั้งหลายและตัวผมเอง หากผมปราบความอยากเก่งเสีย ประโยชน์รับก็ย่อมไม่มี เช่นนี้ผมจะไปทางไหนดี ความ "อยากเก่ง" เช่นนี้ เปนเพราะอะไรหุนหลัง อวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือกรรม? ข้อที่คิดวนไปวนมานี้ให้ผมเกือบๆ หลงไปในทางที่ว่า จริงละกระมังที่พระพุทธสาสนาสอนให้คน stagnant คืออยู่นิ่ง ไม่เคลื่อนไม่ไหวไม่เดินหน้า สอนให้คนไม่ทำประโยชน์ ขอความกรุณาท่านโปรดให้ความสว่างแก่ทางของผมด้วย" เป็นคำตอบรับพร้อมกับการปรึกษาต่อของท่านอาจารย์สัญญาในจดหมาย

    ในเรื่องนี้ ท่านพุทธทาสได้ชี้แนวไว้อย่างน่าทึ่งถึงขั้น Meta-Physics (สำหรับพวกเรา) ว่า

    "ถ้าเราเป็นนักแสวงสุข เราต้องค้นหาคำตอบของชีวิตตามแนวแห่งศาสนาอย่างเดียวเท่านั้น เพราะถ้าเราค้นอย่างนักชีววิทยา ได้คำตอบมาว่า ชีวิตคือความยังเปนอย่างสดชื่นและเจริญงอกงามของ protoplasm ที่ประกอบกันเข้าเปนเซลล์ของร่างกายดั่งนี้ เราจะเห็นได้ว่าไม่เกื้อกูลแก่การพ้นทุกข์ทางใจแต่อย่างใดเลย แม้ในทางตรรกวิทยาและมานุษยวิทยาก็อย่างเดียวกัน เพราะวิทยาเหล่านี้นักปราชญ์แผนปัจจุบันมุ่งกล่าวเท่าที่เปน physics คือรู้สึกได้ด้วยตาหูจมูกลิ้นกายเท่านั้น ส่วนทางพุทธสาสนากล่าวเพ่งถึงส่วนที่เปน Meta-physics คือจะรู้จักได้เฉพาะด้วยใจหรือปัญญาอย่างเดียว จึงได้คำตอบสมบูรณ์เพียงพอแก่การที่จะเปลื้องตัวความทุกข์ (ซึ่งเปนธรรมชาติประเภท Meta Physics เหมือนกัน) นั้นได้...เมื่อเรารู้ว่าชีวิตคืออะไรดังนี้แล้ว เราจะพบได้อิกว่า ชีวิตของเรายังจะต้องหมุนกลิ้งต่อไป หรือเราอาจหยุดมันเสียได้ และเรียกได้ว่าเรารู้จักสิ่งที่เรียกกันว่า "ตัวเรา" ดี ถ้าเรายังมีความรู้สึกว่าเราเปนเรา และชีวิตของเราจะต้องหมุนกลิ้งไป (เพราะเรายังมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ยังไม่อาจตัดมันในขณะนี้) เราก็ต้องยอมกลิ้ง แต่พยายามกลิ้งให้งดงาม เหมือนตัวละครที่พยายามทำบทบาทของตนให้เรียบร้อยที่สุด เพราะว่าการกลิ้งที่งดงามนั้นช่วยให้เราหยุดกลิ้งได้เร็วเข้า แต่ถ้าเราเห็นความสามารถหรืออุปนิสัยของตัวเองว่าอาจทำให้หยุดกลิ้งได้ในบัดนี้ เราก็กระทำไปอิกทางหนึ่ง ซึ่งเปนทางของสมณะอันแท้จริง และหยุดกลิ้งได้ในชาติทันตาเห็นนี้, ซึ่งเรียกว่าบรรลุอรหันต์"

    โดยท่านพุทธทาสได้บอกอย่างง่ายๆ ว่า

    "สรุปอย่างสั้นๆ ก็คือเรามีชีวิตล่วงไปวันหนึ่งๆ ด้วยการบรรเทาความอยากในสิ่งที่ยั่วอยากให้น้อยลงทุกทีๆ ถึงปีใหม่ ก็สะสางเทคนิคของมันให้ดียิ่งขึ้นทุกปี ความสุขปีใหม่ก็เปนอันหวังได้อย่างแน่ มิฉะนั้นชีวิตนี้จะยุ่งเหยิง หมักหมม ซับซ้อน หนักเข้าไปทุกปีเหมือนกัน แล้วเราก็ยากที่จะแจ่มใสและรู้จักชีวิตได้ มันจำเปนเพราะถ้าเรารู้จักชีวิตดี เราก็รู้จัก act ของการครองชีวิตได้ดีเช่นเดียวกับถ้าเรารู้จักเครื่องยนต์ของรถเราเลอียดลออ เราก็ใช้รถนั้นได้ดีตามความประสงค์ของเราเหมือนกัน"

    "สำหรับถ้าคุณยังไม่มีก็จะได้มี ถ้ามีอยู่ก่อนแล้ว ก็จะได้มากยิ่งขึ้น"

    ท่านพุทธทาสลงท้ายในจดหมายถึงอาจารย์สัญญาพร้อมกับการชี้แนะให้เปิดเผยให้เป็นสาธารณะว่า "ความสุขปีใหม่ดังกล่าวมานี้มาสำหรับถ้าคุณยังไม่มีก็จะได้มี ถ้ามีอยู่ก่อนแล้ว ก็จะได้มากยิ่งขึ้น เพราะผู้ที่เปน very Buddhist Layman อย่างคุณ ควรต้องมีความสุขอย่างที่เปน Buddhist แท้ สุขอย่างวิทยาศาสตร์เปนต้นนั้น เอาไว้ประดับรั้วบ้านเล่นเพลินๆ แหละเหมาะมาก และถ้าคุณเห็นสมควรจะเปิดเผยความสุขที่ส่งมานี้ให้เปนสาธารณะแก่เพื่อนฝูง เปนการทำบุญปีใหม่อิกส่วนหนึ่งด้วย ก็คงจะมีสุขมากขึ้นอิก"

    ในขณะที่อาจารย์สัญญาก็สนองทันทีว่า

    "จดหมายของท่านนี้มีค่าสูงนัก ผมจึงอยากให้แพร่หลายเปนข้อเสนอแก่นักธรรมนักคิดทั่วไป จึงคิดว่าจะส่งไปลงหนังสือพิมพ์พุทธธรรมซึ่งจะออกเปนพิเศษและเปนเล่มแรกของแนวใหม่ในวันวิสาขบูชาที่จะถึงนี้ เชื่อแน่ว่าท่านจะอนุญาตเพราะได้กล่าวไว้เปนปริยายแล้วในหนังสือนั้น"

    ผมจึงขอโอกาสในวาระระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2549-2550 นี้ ที่ควรจะได้หาคติชีวิตของสองปราชญ์ทางธรรมและทางโลกที่อายุลุ 100 ปี ต่อเนื่องกัน คือเมื่อ 29 พฤษภาคม 2549 ของท่านพุทธทาสภิกขุ และเมื่อ 5 เมษายน 2550 ของอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ที่พวกเราที่สวนโมกข์มีโอกาสดี ได้เข้าสืบค้นศึกษาหลักฐานเอกสารต้นฉบับต่างๆ รวมทั้งบันทึกส่วนตัว จดหมายลายมือต่างๆ ของทั้ง 2 ท่าน ที่เก็บรักษาไว้ที่สวนโมกขพลาราม ไชยา สุราษฎร์ธานี ที่บ้านอาจารย์สัญญา และที่หอจดหมายเหตุแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาขยายให้แพร่หลายเป็นคติชีวิตกันยิ่งๆ ขึ้น โดยขอผนวกเอาวาระ 75 ปีสวนโมกข์ ซึ่งเวียนมาบรรจบพอดีในวันวิสาขบูชานี้ ที่หากนับทางจันทรคติคือวันที่ 31 พฤษภาคม หรือหากนับตามวันทางสุริยคติที่วิสาขบูชาเมื่อปีแรกตั้งสวนโมกข์ พุทธศักราช 2475 ก็จะเป็นวันที่ 12 พฤษภาคม นี้พอดี. โดยจดหมายจริงทั้ง 180 ฉบับ สวนโมกขพลาราม, คณะธรรมทาน, กองทุนศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์, หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ และมูลนิธิซิเมนต์ไทย ได้รวบรวมจัดพิมพ์เผยแผ่อย่างสมบูรณ์แล้วในชื่อหนังสือ 100 ปี ร้อยจดหมาย พุทธทาส - สัญญา.

    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01way02200550&day=2007/05/20&sectionid=0137
     
  2. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    พระพุทธเจ้าทรงเกิดเป็นเจ้าชาย มีปราสาทสามฤดู มีทุกอย่างสารพัด
    ทว่า สิ่งเหล่านั้น ไม่นำสุขแท้มาให้ สุดท้ายท่านสละหมดทุกอย่างและ
    ได้ค้นพบ "ทางแห่งความสุขแท้" คือ "พระนิพพาน"


    ทว่า คนรวยหลายคนบนโลก ยังไม่ได้รวยขนาดมีปราสาทสามฤดู
    แต่กลับยังเดินทางหาความสุขแบบผิดวิธี เมื่อไรจะได้สติคิดได้หนอ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...