เรื่องเด่น ฌาน... ความสุขในพระพุทธศาสนา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Phanudet, 9 มิถุนายน 2009.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    พี่เค้ง น่าจะมีวิหารธรรมส่วนใหญ่ด้วยอานาปานสติ

    ทีนี้ อานาปานสตินั้น มีวิปัสนูอยู่ตัวหนึ่ง ปรากฏบ่อย คือ อากาสาฯ

    ตรงอากาสาฯ กับ เหม่อลอย จะคล้ายๆ กัน ตรงที่มันอยู่ข้างนอก แต่
    อากาสาฯ นั้น พี่เค้งจะสังเกตเห็นว่า ยังไง๊ยังไงมันมีที่ตั้ง แต่จะบอก
    ว่าตั้งตรงไหนนี่ พูดยาก ....ตรงนี้ ก็เป็นสุญญตาแต่ก็มีที่ตั้ง พวก
    มีตาดีส่งเข้ามายังเห็นได้อยู่

    ...แต่หากเอาจิตตรงนั้นน้อมเข้ามาที่กายโดยไม่ใช้การดึง พี่เค้ง
    จะสังเกตสภาวะรู้เนื้อรู้ตัวมีขึ้น แต่ไม่ปรากฏที่ตั้งของจิตที่รู้อยู่ในกาย
    มันแยกอยู่ห่างๆ (ตรงไหนก็ไม่รู้ ไปดูเอง ซึ่งมักผันแปร บางท่าน
    บอกว่ามันกว้างๆ )

    ตรงนี้เขาก็ว่ากันว่าพักได้ พักสบาย เวทนาปรากฏก็ดึงจิตไปไม่ได้
    ก็กล่าวกันว่า กายส่วนหนึ่ง จิตส่วนหนึ่ง เวทนาส่วนหนึ่ง

    หากเข้าตรงนี้ได้ พี่เค้งก็ลองเพิกการหมาย การรู้ของจิตดูอีก พี่เค้ง
    ก็จะเห็นว่า ยังไง๊ยังไงมันก็ยังเห็น ยังแยกแยะสิ่งที่ปรากฏได้ ตรงนี้
    จะผลิกไปเห็นสัญญากันเต็มๆแล้ว ไม่ใช่สัญญาแบบอ่านหนังสือ
    แล้วนะ เพราะมันเป็นการระลึกได้ของความเป็นปรมัตถ์ที่กระทบ
    อยู่เท่านั้น

    พอผลิกไปผลิกมา ก็จะไม่เห็นมีอะไร ไม่มีสาระอะไร ดูเท่าไหร่
    ก็ไม่เกิดปัญญา .....จึงรู้ว่า เอาไว้อาศัยระลึกแค่นั้นแหละ ที่มีประโยชน์
    คือฝึกสติให้มันไวขึ้น หากยึดในรู้ ไม่ใช่เอาไว้อาศัยระลึก งานจะสั้น
    ทุกอย่างก็สั้นลงไปด้วย

    ทีนี้ พี่เค้งชอบงานสั้นๆ หรือ งานยาวๆ หละ ......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2010
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ท่านกบฏอาจานนิวรณ์ครับ ท่านกำลังสับสนคำพูดตัวเองอยู่นะ
    ท่านบอกว่าเอาสมาธิที่มีออกรู้สติปัฏฐาน ทำไมต้องออกรู้หละ???
    อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติรู้ไม่ได้หรือ??? ถึงต้องออกรู้???

    ในสติปัฏฐานนั้นต้องเริ่มต้นที่ฐานกาย(อานาปานสติ)เท่านั้น
    ท่านกบฏนิวรณ์ ท่านอย่าพยายามมั่วให้เข้ากับทิฐิตนเองเท่านั้น
    แม้ท่านอาจารย์หลวงปู่ดูลย์ต้นตำหรับดูจิต ท่านเองก็ผ่านฐานกายมาก่อนนะ
    รู้ไว้ด้วยว่า คนที่อ้างตัวว่าเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์
    กำลังมั่วนิ่มว่า สติปัฏฐานนั้นไม่จำเป็นที่ต้องเริ่มจากฐานกายก่อน
    การที่เริ่มจากฐานกายนั้น ย่อมกระเทือนถึงทุกฐานอยู่แล้ว
    การเริ่มต้นจากฐานจิตนั้น เป็นไปได้ไง ในเมื่อยังไม่รู้จักจิตที่แท้จริง
    ที่สอนก็เป็นสัญญาล้วน ที่เกิดจากความคิดที่ตกผลึกเท่านั้นนะ กบฏอาจานนิวรณ์

    ;aa24
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2010
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ขอโทษจริงๆครับ อนุโมทนาทั้งสองท่านแหละครับ เพราะผมกำลังเล็งที่สัญญาพอดีครับ และเขาก็พยายามชี้ให้เห็นแต่มันยังไม่ตรงเพราะอะไร ก็ตามนั้นแหละครับ
    อนุโมทนาลุงขันธ์เช่นกันครับ
    (แต่ผมเองแหละที่เป็นคนกดอนุโมทนากับข้อความนั้นของลุงแหละครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2010
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    คุณกบฏธรรมภูติ คุณมองอานาปานสติ เป็น กายาได้เท่านั้นหรือ

    พระท่านว่า อานาปานสตินั้น จะดูมุมไหนก็ได้ ไม่ใช่เป็น กายา ทางเดียว

    หากรู้แค่ มีลมหายใจเข้า มีลมหายใจออก อันนี้ก็เรียกว่า รู้กาย

    หากคนๆนั้น ดูความไม่เที่ยงแปรปรวนของลมหายใจเข้าออก อันนี้ก็เรียกว่า รู้อยู่ที่เวทนา

    หากคนๆนั้น ดูสิ่งที่เข้าไปรู้ลม อันนี้เขา ดูอยู่ที่จิต ซึ่งจะมี รู้กับไม่รู้

    หากคนๆนั้น ดูอยู่ที่จุดที่ลมกระทบไม่ใช่7จุดนะ ความร้อนเย็นของลม การเสื่อมในการรู้
    ลม อันนี้เรียกว่า ดูธรรม และตรงนี้เป็นสุญญตาวิหารได้ด้วย (สุญญตา จึงหมายถึง
    สภาวะที่รู้พ้นการเห็นเป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ -- สุญญตาของทิฏฐิอื่นจะเป็นขันธ์1 อาสัญญี)

    ดังนั้น อานาปานสติ กรรมฐานเดียวสามารถผลิกไปทำสติปัฏฐาน ฐานไหนก็ได้

    และเพราะว่าผลิกไปรู้ฐานไหนก็ได้ จึงกล่าวว่า ปิดอกุศลได้ทุกชนิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2010
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมมองในแง่ของทุกวิหารธรรมแหละครับ เวลาจะเข้าภูมิวิปัสสนา ออกทางปัญญานั่นแหละครับ ผมไม่รู้ว่าอุปกิเลสนั้นคืออะไรเพราะผมไม่สนใจมันตั้งแต่แรก เพราะจิตตั้งมั่นรู้ในอารมณ์ของรูปฌานอยู่อย่างนั้น หาก จิตที่ไม่เป็นฌาน ยังคงต้องเจอกับอุปกิเลส แต่จิตที่เป็นฌาน แล้ว รู้ได้แล้วว่าอารมณ์ที่เป็นหนึ่งนั้นคืออะไร นั้นอย่างสูงแต่ ตามลำดับ อารมณ์สัญญาทั้งหลายอันมี วิตก วิจารย์ ปิติ สุข เอกัตคตา สงัดจากอารมณ์อื่น อันได้แก่นิวรณ์ธรรม จิตจะตั้งมั่น ไม่สอดส่ายเพราะยังสติ สัมปัชชัญญะ อย่างดีเยี่ยม เพราะอารมณ์ทั้งหลายและสัญญาทั้งหลายดับลง ซึ่งในความเป็นจริง การทำให้จิตสงัดจากอารมณ์ได้ตั้งแต่แรกก่อนจะเข้าปฐมฌานนั้นเป็นทางที่ต้องทำ(ดับนิวรณ์) เพราะถ้าว่ากันตามแนวปฏิบัติของแต่ละท่านแล้ว ขณะทำฌานจึงไม่น่าจะเกิดกิเลสหรือนิวรณ์ธรรมใดๆเกิดขึ้นหมายถึงอยู่ในฌานตั้งแต่ปฐมจนถึงจตุตถฌาน เพราะคือการเพ่งลดรูปอารมณ์ทั้งหลายที่สติหยั่งถึง แต่ผู้มีวสีทั้งหลายไม่จำเป็น ต้องครบองค์ เขากำหนดกันทีเดียว เอกัตคตา สุขและปราศจากนิวรณ์ธรรมเลย เพราะสติท่านหยั่งถึงแล้วว่าสิ่งไหนคืออารมณ์ที่รู้อยู่เพียงอย่างเดียวในสัญญารมณ์นั้นจึงมีอยู่กับผู้ทรงฌาน และนิวรณ์ธรรมตลอดจนอุปกิเลสจะไม่มีขณะทรงฌาน เพราะเหตุที่รู้ความแตกต่างของกิเลสทั้งหลาย ที่แฝงอยู่ในนิวรณ์ธรรม เมื่อออกสู่ทางปัญญามีสตินำ พิจารณาการกระทบ ซึ่งเป็นสัญญา และเป็นสุญญตวิหารธรรมในที่สุดเพราะ นิวรณ์ธรรมอันมีกิเลสและอุปกิเลสทั้งหลายดับลงไปแล้ว และมีก็ย่อมรู้ว่ามีเพราะสัญญาอารมณ์นั้นเป็นความรู้อันมีได้เฉพาะผู้ทรงฌาน เพราะสติสัมปัชชัญญะที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เมื่อออกสู่ปัญญาจึงพิจารณาธรรมได้ตามเป็นจริง
    ส่วนอรูปฌาน นั้นไม่รู้ว่าทำไงถ้าบอกว่าเพ่งในสัญญาทั้งหลายอันว่าด้วย อากาศ วิญญาณ ความว่างเปล่า ความมีเหมือนความไม่มีการเพ่งสัญญานั้น ยิ่งยากกว่าเพราะอารมณ์นั้นละเอียดเหลือเกิน ยิ่งหากจะก้าวสู่การทำอรูปฌานแล้วผู้นั้นย่อมสติกล้ากว่าคนปกติแน่นอน นิวรณ์ธรรมดับไปเนิ่นนานแล้ว รึเปล่าครับ ไม่รู้เหมือนกันครับ
    แบบนี้ไหมครับที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2010
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ท่านกบฏอาจานนิวรณ์จอมมั่วนิ่มครับ
    ท่านเอาอะไรมาพูด ถ้าลมหายใจไม่ใช่กายสังขาร แล้วให้ลมหายใจเป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรมรึ???
    เลิกมั่วได้แล้วที่ถามไปตอบด้วย อย่าพยายามเปิดประเด็นเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น
    ท่านพูดว่า"ดูความไม่เที่ยงแปรปรวนของลมหายใจเข้าออก อันนี้ก็เรียกว่า รู้อยู่ที่เวทนา"
    รู้ยังไงครับที่ว่า รู้อยู่ที่เวทนามันเกิดที่ลมหายใจตอนไหนนะ ไหนลองตอบแบบมั่วๆมาก็ได้? อาจารย์ดูจิตสอนมารึ?
    มีที่ไหนในโลกที่ดูความไม่เที่ยงแปรปรวนของลมหายใจเข้าออกเป็นเวทนา
    ถ้าไม่แปรปรวนแล้ว คือหยุดหายใจ เวทนาก็ดับใช่มั้ย??? สำนักดูจิตสอนวิธีดับเวทนาโดยวิธีนี้นี่เอง

    ท่านกบฏอาจานนิวรณ์จอมมั่วนิ่มครับ โอ้วจอร์จมันยอดมาก
    พูดมาเป็นคุ้งเป็นแคว ลำดับกาย เวทนา จิต ธรรม มั่วไปหมด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนอ่านจึงไม่เข้าใจ

    การปฏิบัติภาวนาอานาปานสตินั้น ถ้ายังปฏิบัติจนเข้าถึงสภาวะกายในกายเป็นภายในไม่ได้
    ก็เลิกคิดที่จะพลิกไปทำกรรมฐานในสติปัฏฐาน ฐานอื่นเลย

    ท่านไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ว่า การจะเข้าถึงกายในกายเป็นภายในได้นั้น
    ต้องผ่าน เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมด้วยเช่นกัน
    ฉะนั้นเลิกเอาความคิดที่ตกผลึกมาพูดให้คนอ่านสับสนอีกได้แล้วนะ

    ถามนะ ท่านรู้จักสูญญตวิหารธรรมแล้วหรือ???
    ท่านพูดว่า
    หากคนๆนั้น ดูอยู่ที่จุดที่ลมกระทบไม่ใช่7จุดนะ ความร้อนเย็นของลม การเสื่อมในการรู้
    ลม อันนี้เรียกว่า ดูธรรม และตรงนี้เป็นสุญญตาวิหารได้ด้วย (สุญญตา จึงหมายถึง
    สภาวะที่รู้พ้นการเห็นเป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์"
    ถามว่าใครเป็นผู้พ้นจากการเห็นเป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์หละ???
    การเสื่อมในการรู้เป็นยังไง???

    ;aa24
     
  7. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    ใจที่ไม่ยอมเข้าสู่ความสงบ เพราะมีอารมณ์เครื่องยั่วยวน
    ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่างก็ไหลเข้ามาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
    แล้วไหลผ่านเข้าไปถึงใจ กลายเป็นธรรมารมณ์ขึ้นมา
    ใจจึงมีความกระเพื่อมรับอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
    ทำให้ใจเกิดสุข เกิดทุกข์ พาให้ดีใจและเสียใจ
    พาให้เพลิดเพลินและเศร้าโศกอยู่เป็นประจำ
    ไม่มีโอกาสได้เห็นความสงบอันแท้จริงของใจ
    ใจที่ได้รับการอบรมจนเกิดความสงบขึ้นในจิตใจ
    กายจะเบา จิตเบา ทุกส่วนในร่างกายและจิตใจรู้สึกว่าเบาไปตามๆ กัน
    กายกับใจก็ปรากฏว่าเป็นคนละส่วน ขณะที่จิตหยั่งลงสู่ความสงบ
    แม้กายจะปรากฏตัวอยู่ในท่านั่ง แต่ความรู้ของจิตปรากฏว่ากายไม่มีเลย
    คงปรากฏแต่จิตล้วนๆ รู้เด่นอยู่เฉพาะตัว คือเป็นเอกเทศหนึ่งจากกาย
    ที่แสดงความสงบและสว่างอยู่ภายในตัวเองเท่านั้น
    ไม่ปรากฏเรื่องกายและเรื่องอื่นๆ มาแฝงเลย


    อุปทานความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์อันละเอียดที่ยังหมักหมมอยู่ในใจ
    ปัญญาจะทำหน้าที่ถอดถอนกิเลสขึ้นมาเป็นลำดับ
    ยกไตรลักษณ์เป็นเครื่องพิจารณาความเป็นจริงของความเปลี่ยนแปลง
    และหาทางปลดเปลื้องอุปาทานเความยึดมั่นในกาย
    เป็นเครื่องกดถ่วงใจให้จมดิ่งลงไปอันมีทุกข์เป็นผล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 มกราคม 2010
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ก็บอกแล้วว่าคุณธรรมภูติหนะเป็นกบฏ กบฏต่อธรรมะ

    คำว่า กาย ทางบาลีเขาหมายถึง การประชุมกัน ซึ่งก็มาจากสักกายทิฏฐิ พวกกบฏก็มัวแต่คิดว่าคือรูปกาย
    ทางธรรมะเขาพิจารณากาย หรือการประชุมกันเป็นกายนี้มันปรากฏด้วยทิฏฐิ พอทิฏฐิแล่นไปความคิดอื่น
    การเห็นการประชุม การมีอย่ของลมก็หายไป แต่พวกกบฏนี่เข้าใจไปว่าทิ้งกายเนื้อไปจับกายอะไรสักอย่าง
    ที่ผ่องใสเพราะอวิชชา แล้วไปจับเอากายนู้นกายนี้เป็นกาย แทนที่จะเจริญสติเพื่อละสักกายทิฏฐิ ก็วิ่ง
    ไปนู้น

    คำว่าเวทนา นี่ก็เหมือนกัน ทางพุทธเขาให้เอามาพิจารณาสาวหาเหตหาผล พวกกบฏก็คิดอยู่ถ่ายเดียวว่า
    ต้องดับสูนย์ไป หายไป แทนที่อานาปานสติจะทำให้ไม่คิดถึงการทำกาละ พวกกบฏเอะอะก็ลำเลิกความตาย
    เข้าว่าธรรม แทนที่จะเจริญสติดูเพื่อระงับอภิชญาโทมนัสก่อนๆลง ก็นู้น ไปดับเวทนาเหลือขันธ์1

    คุณกลับไปดูให้ดีๆเลย ว่าลมหายใจมันสั้นยาวไม่เท่ากันเพราะอะไร เพราะมันขัดเคืองคับแค้นเป็นทุกข์ป่วยไข้
    ใช่ไหมมันถึงสั้นยาวไม่เท่ากัน และพอมันสั้นยาวไม่เท่ากันใจเกิดอะไร พอใจ ไม่พอใจ หรือ เป็นกลางๆใช่ไหม
    นั่น ก็ดูไปสิ สาวขึ้นไปหาเหตุ เจอเหตุก็ทราบทั่วถึงผล และเพราะทราบถึงผลจึงเกิดความรู้เกิดปัญญาเข้าใจ
    เหตุและผล ไม่ใช่เอะอะก็ ตาย ท่าเดียว ดับเวทนาตายท่าเดียว

    มุมการเห็นจิต เห็นรู้ไม่รู้ คือ เห็นความไม่เที่ยงในจิตผู้รู้เพื่อเจริญสติมันก็
    ละคลายการยึดถือจิต วางลงได้ก็พบจิตตั้งมั่น กับ พบสมาธิไม่มีที่ตั้งได้กับเขาบ้าง แต่
    ถ้าเป็นกบฏก็ยึดจิตท่าเดียว แถมบอกว่าเป็นกูซะอีก

    มามุมของธรรม คุณจะไปผลิก ธรรมานุสติปัฏฐาน ธรรมบรรพ ธาตุบรรพ อยาตนะบรรพ
    ขันธ์บรรพ นิวรณ์บรรพ ก็ได้ ดูสิสอดคล้องไหม แต่ถ้าเป็นกบฏละก้อ ผลิกหมด ปฏิเสธ
    หน้าตาเฉยแหละว่าไม่ใช่ธรรมบรรพ

    เสื่อมถอยจากการรู้ ก็ โดนนิวรณ์ครอบงำไง ไม่ใช่7จุด เพราะมันเป็นอยาตนะ6 ไง แต่
    ถ้าเป็นแบบกบฏจะเน้นแต่มโนทวาร เห็นเป็นนิมิตลำแสง จนถึงสว่างๆด้วยอวิชชาแล้วก็ยึด
    รู้ตรงนี้แค่นั้น ดีไม่ดีก็ประกาศว่าตรงนี้เป็นนิพพาน ประกาศจิตติดนิมิตเป็นนิพพานไปเสียอีก

    มาดูความหมายของสุญญตากันต่อ
    ต้องอธิบายอีกไหม ดูดีๆ จะเห็นว่า อารมณ์ที่ใช้ระลึกก็ล้วนอยู่ในธรรมบรรพตั้งแต่ชั้นตน จนถึงสูงสุด
    แต่ถ้าเป็นฝ่ายกบฏนี่คงเป็นพวก นิ่งไม่รับรู้ สูญญา สูญญาณ เหลือแต่จิต กระมัง ก็อันเดียวกับที่ชอบ
    ปรารภถึงกาละหรือดับเวทนาแบบผิดๆนั่นแหละ

    นี่ว่างๆ ไปหาพี่นุสิ เขามีไฟล์เสียงของหลวงปู่ที่พำนักอยู่สวนทิพย์ ที่ดูเหมือนคุณกบฏธรรมภูติก็รู้
    จัก ท่านกล่าวไว้เสียงดังฟังชัดว่า "ใครเห็นจิตไม่เกิด ไม่ดับ เป็นมิจฉาทิฏฐิ" แล้วย้ำว่า "นิพพาน
    ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่นิพพาน ปรมัตถ์ธรรมพระพุทธองค์แยกไว้เป็นสี่ รูป จิต เจตสิก นิพพาน ดังนั้น
    จิตไม่ใช่นิพพาน" แต่พวกกบฏนี่ได้ยินแล้วจะเอาคำว่า จิตสังขารมากร่อนความหมาย ไปนิยามปรมัตถ์
    ขึ้นใหม่เองหน้าตาเฉย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2010
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ท่านจอมกบฏลวงโลกนิวรณ์ครับ ผมหนะกบฏต่อธรรมที่ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์เท่านั้น
    ส่วนท่านนั้นพยายามกบฏต่อพระพุทธพจน์ทุกเมื่อที่มีโอกาส

    ในมหาสติปัฏฐานที่กล่าวถึงอานาปานสตินั้นอยู่ในหมวดไหน???กายหรือเวทนา???
    รู้จักคำว่าสักกายทิฐิหรือยัง สักกายทิฐิหมายถึง ความเห็นที่รู้จักกายที่ถูกต้อง
    การละสักกายทิฐินั้น ก็คือการละความเห็นเรื่องกายที่ผิดได้

    ในพระพทุธพจน์ที่กล่าวไว้ว่า พิจารณากายในกายนั้นเพื่ออะไร??? รู้จักนามกายที่เป็นธรรมอันเอกมั้ย???

    ปล.หัดตอบบ้างนะ อย่าพยายามพูดไปเรื่อยๆ เผื่อถูกเผื่อผิดอีกเลย...

    ;aa24
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ท่านจอมกบฏลวงโลกนิวรณ์ครับ ผมหนะกบฏต่อธรรมที่ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์เท่านั้น
    ส่วนท่านนั้นพยายามกบฏต่อพระพุทธพจน์ทุกเมื่อที่มีโอกาส

    ท่านพูดว่า"ดูความไม่เที่ยงแปรปรวนของลมหายใจเข้าออก อันนี้ก็เรียกว่า รู้อยู่ที่เวทนา"

    ถามว่าเวทนาใช่เกิดขึ้นที่กายที่จิตใช่มั้ย??? หรือรู้ลมหายใจที่แปรปรวนคือรู้เวทนาหรือ???

    เดี๋ยวจะมาต่อ ไม่ต้องรีบนะจอมกบฏลวงโลก

    ;aa24
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    เรื่องของ อานาปานสติ นั้นมีความหมายดังนี้ นายขันธ์ จะพูดให้ฟัง จะได้ไม่ต้องเถียงกัน
    ทั้ง นิวรณ์ และ ธรรมภูติ

    จะอธิบาย คำว่า อานาปานสติ แบบขั้นเทพ ให้ฟัง

    อานาปานสติ คือ เอาใจมาวางไว้ที่ ลมหายใจเป็นหลัก ทีนี้ ธรรมชาติของจิตเมื่อเอาใจมาวางที่จุดใดจุดหนึ่ง จนสงบดีพอ ใจจะไม่ไปที่อื่น เมื่อนั้นย่อมรู้ความเป็นไปทั้งหมด ที่เกิดกับจิตนี้

    เมื่อ มันมีความเป็นไปต่างๆ เกิดขึ้นตามสภาพความจริง ถามว่าจิตจะรู้ได้ไหมว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับตน
    ตอบว่า จิตมันก็ต้องทราบตามความจริง แม้ไม่ต้องบอกจิตก็ต้องทรา่บอยู่แล้ว
    ดังนั้น การรู้นั้นไม่ถือว่า เป็นวิปัสสนา คือ ไม่เอาจิตวิ่งออกไปพิจารณา ค้นคว้า หาสัจธรรมเพิ่มเติม เป็นการรู้ตามสภาพความจริงเท่าที่ปัญญาได้ผ่านการอบรมมาแล้ว

    เน้นว่า เท่าที่ปัญญาได้ผ่านการอบรม ด้วย มหาสติที่มองเห็นสัจธรรมมาแล้ว

    การเห็น อาการของจิต จึงไปได้เท่าที่ จิตเคยเห็นสภาพนั้นเป็นไตรลักษณ์ จึงปล่อยได้

    ซึ่งจิตจะไปได้ ละเอียดกว่าเดิม ก็เป็นไปได้ด้วย 2 กรณี คือ ดิ่งนิ่งลงไป ดับสภาพจิตที่คงอยู่นั้น กับ วางด้วยปัญญา

    ในกรณีหลังนั้น บุคคลนั้นก็ต้องเห็นแล้ว ว่า สภาพที่ตนรับรู้อยู่ เป็น อนัตตา ปล่อยสภาพนั้น จะปรากฎ สภาพที่ละเอียดขึ้นไปเอง เนื่องจากทิ้งของหยาบ ของละเอียดย่อมปรากฎ
    แต่ในกรณีแรก ไม่ต้องคิดอะไร ดำดิ่งสงบลงไป แล้วรู้อยู่ที่ตรงสภาวะที่ตนดำรงไว้พอ ไม่อาจจะก้าวหน้าไปกว่า สภาวะที่เคยพบพานมา เพราะว่า ไม่มีมหาสติปล่อยวาง สภาวะที่ตนดำรงนั้น

    ก็จะเห็นได้ว่า อานาปานสติ ต้องอาศัย วิปัสสนา และ มหาสติ มาเป็นทุน

    นี่จึงเรียกว่า ปัญญา อบรม สมาธิ และ สมาธิ อบรมปัญญา

    ดังนั้นแล้ว ถามว่า อานาปานสติ คือ อะไร ตอบว่า อานาปานสติ คือ การทำสัมมาสมาธิที่เยี่ยมยอด และเป็น สมถะที่อาศัยปัญญาและมหาสติที่ฝึกมาดีแล้ว

    ทีนี้ในส่วนของ กสิณ ที่สามารถทำฌาณให้เกิดได้ เขาเอาจิตไปผูกไว้ที่กสิณเท่านั้น กระทำจิตให้นิ่งลงไป ด้วยการ มอง อุคหนิมิต และ ปฏิภาคนิมิต ดังนั้น ปัญญาที่จะเท่าทันจิตนี้ไม่ต้องมี เพราะจิตรวมตัวไปสู่ ปฏิภาคนิมิตแทนแล้ว อาการจะวิ่งออกนอก ในทางจิตจึงไม่มี

    แม้เป็น สัมมาสมาธิ แต่ก็ไม่ฉลาดเท่าทัน ในกิเลส และ อาสวะ และไม่ต้องอาศัยภาวนามยปัญญา

    พระศาสดาจึงบอกว่า อานาปานสติ คือ ยอดแห่งพระกรรมฐานด้วยเหตุนี้

    นี่จำเอาไว้ ไปบอกต่อ จะได้เข้าใจกัน
     
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    มาว่ากันในส่วนของพุทโธ เร็วๆ

    ก็ เป็น การทำสัมมาสมาธิ คือ รวบรวมกำลังจิต มาท่องพุทโธเร็วๆ จนจิตรวมตัว ก็ไม่ต้องอาศัย การปล่อยวาง เจตสิกตัวใด ด้วยปัีญญา จิตก็รวมตัวกันนิ่งเด่น เป็น สัมมาสมาธิขึ้นมาได้ เหมาะสำหรับ คนที่ยังไม่ได้เจริญ มหาสติ มหาปัญญา จนชำนาญ

    แต่ สำหรับ คนที่เจริญมหาสติ มหาปัญญาจนชำนาญ ก็ปล่อยวาง ได้ด้วยการละนิวรณ์ธรรม เพราะเห็น เจตสิก และ จิตที่เกิดดับ กับตน

    นี่เอาไปพิจารณา
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    เมื่อใคร ที่เจริญ อานาปานสติ สงบจิตไป ด้วยปัญญาได้แล้ว
    จะไปสงบจิต ทางด้าน สมถะ ก็ย่อมได้

    แต่ ใครที่สงบจิตทางด้านสมถะ คือ ไม่ต้องเอาองค์ความรุ้ใดๆ มา สงบตัวด้วยการพุ่งตรงไปยัง กสิณ หรือ นิมิตที่ตนผูกไว้ ก็ได้

    แต่ สุดท้ายแล้ว คนทำสมถะมาก่อน นี่ พอมาฝึกปัญญา แล้ว จะทำสมาธิแบบเดิมก็ได้ ไม่มีใครว่า
    คนที่ เจริญปัญญามาแล้ว จะมาฝึกสมถะแบบกสิณ ก็ไม่มีใครว่า แต่อาจจะมีปัญหาคือ จิตมันมีปัญญามันไว มันก็ชอบไปสังเกตุ จิต แทนที่จะพุ่งตรงไปที่ กสิณ

    ส่วนคน ฝึกกสิณมาแล้ว จะไปสังเกตุ จิต มันก็ไม่สังเกตุ จิตมันคอยแต่จะรวมตัว


    แต่ปัญหาก็คือ ทุกๆ คนจะต้องฝึกสมถะให้เป็นในระดับหนึ่ง เพื่อให้มีอินทรีย์ ตั้งมั่น

    ปราศจากนิวรณ์ แล้วเจริญปัีญญา การดูเฉยๆ ไม่อาจจะทำให้เกิดสัมมาสมา่ธิได้ เพราะไม่มีอินทรีย์ตั้งมั่น และ ปัญญาที่มองเห็นตัวละเอียดกว่าเดิมไม่ได้ฝึก และฝึกไม่ได้ เพราะ ไม่มีสมถะเพียงพอ

    จะได้เพียงเท่าที่ อินทรีย์ตนเคยบ่มเพาะมาเท่านั้น
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ท่านจอมกบฏลวงโลกนิวรณ์ครับ ผมหนะกบฏต่อธรรมที่ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์เท่านั้น
    ส่วนท่านนั้นพยายามกบฏต่อพระพุทธพจน์ทุกเมื่อที่มีโอกาส

    ท่านครับ ทำไมต้องสาวขึ้นไปหาเหตุหละ???
    ในเมื่อเรา(จิต)นั้น ปฏิบัติภาวนาสติปัฏฐานอยู่ เราย่อมต้องรู้เหตุแห่งทุกข์นั้นอยู่แล้วใช่มั้ย???
    เมื่อรู้เหตุแห่งทุกข์ ยังต้องสาวไปหาอะไรอีก ขึ้นอยู่กับว่ามีกำลัง สติ สมาธิ ปัญญา ในการละเหตุใช่มั้ย???

    "เห็นความไม่เที่ยงในจิตผู้รู้เพื่อเจริญสติมันก็
    ละคลายการยึดถือจิต วางลงได้ก็พบจิตตั้งมั่น"

    ใครเห็นความไม่เที่ยงในจิตผู้รู้???
    เพื่อเจริญสติให้ใครหรืออะไร???
    ใครเป็นผู้ละคลายการยึดมั่นในจิต???
    ใครละวางได้ก็พบจิตตั้งมั่น???

    ปล.หัดตอบบ้างนะ อย่าพยายามพูดไปเรื่อยๆ เผื่อถูกเผื่อผิดอีกเลย...



    ;aa24
     
  15. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ไม่มีตัวมีตน จะพิจารณาสักหมืนล้านรอบก็ไม่มีสาระใดน่าถือครอง มันมีเหตุมีปัจจัยให้เป็นเช่นนั้น เช่น เห็นว่ามันเป็นเราเพราะมีจิตรู้สึกชอบ เป็นสุขเมื่อได้พบเห็น จึงยึดว่านี่เรานั่นเรายังไม่ใช่ทางแห่งความหลุดพ้น แต่การปฏิบัติเพื่อให้ละได้นั้นต้องอาศัยมหาปัญญา มหาสติ(มาจากข้อความลุงขันธ์) จริงๆ ได้มาจากอธิศีล อธิสมาธิ ที่เป็นนั่นแค่การเริ่มต้น(การเห็นจิต และสร้างมโนนิมิตขึ้น) ถ้ายังมีสุข ทุกข์ ชอบไม่ชอบในสิ่งที่พบเห็นอยู่ ทั้งภายในภายนอกนั้น ยังไม่ใช่ทาง เพราะความเป็นเราก็ย่อมไม่มีเมื่อทราบว่าความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายนั้นดับลง จิตปราศจากกิเลสเพียงธุลี ดังนั้น การเห็นจิตว่าเป็นเราถ้าเห็นเพื่อระลึกรู้โดยสติจึงเป็นเพียงการเริ่มต้น แต่ถ้าเห็นแล้วเกิดความชอบไม่ชอบ เกิดความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เราเป็นนั่นแล้ว ยังชื่อว่าไม่ถึงภูมิปัญญา
    อนุโมทนาด้วยครับ ลุงขันธ์
    แล้วเขาจะเถียงกันทำไมอะครับ ลุง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2010
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ท่านจอมกบฏลวงโลกนิวรณ์ครับ ผมหนะกบฏต่อธรรมที่ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์เท่านั้น
    ส่วนท่านนั้นพยายามกบฏต่อพระพุทธพจน์ทุกเมื่อที่มีโอกาส

    ท่านครับ มันเสื่อมรู้ซะที่ไหนหละ? แล้วรู้ได้ยังไงว่าถูกนิวรณ์(จอมลวงโลก)ครอบงำหละ???
    ถ้าจิตเสื่อมรู้จริงๆต้องบอกไม่ได้สิว่าถูกอะไรครอบงำอยู่ใช่มั้ย???

    "ถ้าเป็นแบบกบฏจะเน้นแต่มโนทวาร เห็นเป็นนิมิตลำแสง จนถึงสว่างๆด้วยอวิชชาแล้วก็ยึด
    รู้ตรงนี้แค่นั้น ดีไม่ดีก็ประกาศว่าตรงนี้เป็นนิพพาน ประกาศจิตติดนิมิตเป็นนิพพานไปเสียอีก"

    ท่านครับ อย่ามาใส่ความกล่าวร้ายกันแบบมั่วๆสิ ข้อความข้างบนนั้น ผมไปพูดไว้ที่ไหน ยกมาอ้างอิงด้วย
    ท่านจอมกบฏลวงโลกนิวรณ์ครับ นิสัยที่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่นเลิกได้แล้วนะ

    ;aa24
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    คุณกบฏธรรมภูติ ก็พูดไปเถอะนะ

    เพราะพูดออกมาเท่าไหร่ มันก็ไปลงในส่วนที่ผมระบุเอาไว้แล้วนั่นแหละ

    ดังนั้น คุณจะพูดอะไรมา ก็กลับไปอ่านโพสเดิม ก็ได้คำตอบเอง
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>นิวรณ์*, วิมุตติ </TD></TR></TBODY></TABLE>


    อันนี้ เอามาฝากคุณวิมุตติ เพื่อสดับคำว่า ธรรมภายนอกเก็บไว้อีกปริเฉทหนึ่ง

    จะก้มกราบกรานอะไร ดูให้มันดีๆ เด้อ

    [​IMG]
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ท่านจอมกบฏลวงโลกนิวรณ์ครับ ผมหนะกบฏต่อธรรมที่ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์เท่านั้น
    ส่วนท่านนั้นพยายามกบฏต่อพระพุทธพจน์ทุกเมื่อที่มีโอกาส

    ท่านครับ ท่านลองอ่านพระสูตรที่มีท่านอื่นยกมาสักร้อยรอบพันหน ก็จะรู้ว่าแตกต่างกันยังไง
    "เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม
    เปรียบเหมือนปราสาทของมิคารมารดาหลังนี้
    ว่างเปล่าจากช้าง โค ม้า และลา
    ว่างเปล่าจากทองและเงิน ว่างจากการชุมนุมของสตรีและบุรุษ
    มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะภิกษุสงฆ์เท่านั้น
    ฉันใด ดูกรอานนท์ ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล"

    ผมถามแล้วช่วยตอบด้วยหละ "สุญญตาหมายถึงสภาวะที่ว่างจากความเป็นตัวตนหรืออัตตา"
    รู้ได้อย่างไรว่าวางจากความเป็นตัวตนหละ???
    แสดงว่าความเป็นตัวตนมีอยู่ก่อนใช่มั้ย???
    ใครที่ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นตัวตน(ขันธ์๕)ออกไปจนว่างหละ???
    อย่าบอกหนะว่าตัวหนังสือบอกไว้อย่างนั้น

    คำว่าสูญ หมายความว่า ของที่มีอยู่ก่อนแล้วสูญหายไปใช่มั้ย???
    ส่วนคำว่าศูนย์นั้น ความหมายแตกต่างไปคนละเรื่องนะ ใช้แทนกันไม่ได้

    จากพระสูตรบอกไว้ชัดว่า มีไม่ว่างอยู่อย่างเดียว
    มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะภิกษุสงฆ์เท่านั้น
    มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะภิกษุสงฆ์เท่านั้น
    มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะภิกษุสงฆ์เท่านั้น
    ถามว่าความเป็นภิกษุสงฆ์นั้น เป็นกันที่ไหน
    ที่กายอันมีศีรษะโล้น ห่มผ้าเหลืองเท่านั้นหรือจิตที่บริสุทธิปราศจากกิเลสหละ???

    สภาวะที่ว่างหรือปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง คือราคะ โทสะ โมหะ
    ถามว่าอะไรที่มีสภาวะที่ว่างหรือปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง คือราคะโทสะโมหะหละ???
    สภาวะว่างเปล่าหรือปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง คือราคะโทสะโมหะเกิดขึ้นลอยได้รึ???
    สภาวะว่างเปล่า เป็นคุณลักษณะ เกิดขึ้นเองลอยไม่ได้ ต้องมีสิ่งรองรับความว่างเปล่านั้น จึงจะถูกต้องสิ

    จิตไม่ใช่พระนิพพาน และพระนิพพานก็ไม่ใช่จิตแน่นอน
    เอาหลักฐานมาด้วยว่า ผมพูดไว้ที่ไหนว่าพระนิพพานคือจิต อย่ามั่วสิท่าน
    ผมถามว่า ถ้าบรรลุพระนิพพานแล้ว พระนิพพานปรากฏขึ้นที่ไหน???
    อย่าบอกนะว่าเกิดลอยๆ หรือตั้งอยู่ที่หัวตอ เพราะบอกไม่ได้...

    ปล.หัดตอบบ้างนะ อย่าพยายามพูดไปเรื่อยๆ เผื่อถูกเผื่อผิดอีกเลย...

    ;aa24

     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ท่านจอมกบฏลวงโลกนิวรณ์ครับ ผมหนะกบฏต่อธรรมที่ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์เท่านั้น
    ส่วนท่านนั้นพยายามกบฏต่อพระพุทธพจน์ทุกเมื่อที่มีโอกาส

    ท่านครับ ผมอนุโมทนาให้ท่านด้วยใจจริง โอ้วจอร์จท่านยอดมาก
    ท่านจะเลี่ยงไม่ตอบท่านก็บอกตรงๆก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล
    แต่จะบอกว่าที่ท่านโพสท์ไว้นั้น ตอบกระจ่างแล้ว
    ถ้าก็จ่างจริงแล้ว ผมจะมีคำถามอีกรึ???

    ท่านเองก็กลับไปอ่านของท่านเองใหม่เถอะว่าที่โพสท์หนะ รู้เรื่องมั้ย?
    ไม่ตอบไม่เป็นไร แต่ขอเถอะอย่าทำให้พระพุทธพจน์เสียหายไปมากกว่านี้อีกเลย...

    ;aa24
     

แชร์หน้านี้

Loading...