ดูรูปนักบวชหญิง 2 รูปนี้แล้วรู้สึกอย่างไรคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เจสุน ลาโม, 7 ตุลาคม 2006.

  1. เจสุน ลาโม

    เจสุน ลาโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2006
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +218
    รูปนักบวชหญิง 2 คนนี้ดูแล้วรู้สึกไงบ้างคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. เจสุน ลาโม

    เจสุน ลาโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2006
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +218
    แง้ ไม่มีใครตอบเรยยยยย
     
  3. Pure

    Pure Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +50
    รู้สึกอยากจะถามว่า
    ไปทำอะไรมาถึงได้หน้าตามอมแมมอย่างนี้..
    รู้สึกเหมือนกันป่าวล่ะ
     
  4. buddha bless

    buddha bless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +878
    Don't understand ... งง
     
  5. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,518
    ค่าพลัง:
    +27,187
    รู้สึก... หนาว
    ใส่หลายชั้นต้องอากาศหนาวแหงๆ
     
  6. NuJanBaBor

    NuJanBaBor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +1,861
    เป็นอะไรที่บอกไม่ถูกค่ะ
     
  7. ทิดหนึ่ง

    ทิดหนึ่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +768
    รู้สึก....
    รู้สึก..ปลง...ครับ..เอ่อ..
     
  8. phanit

    phanit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2006
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +984
    อืม นักบวชหรอ ...............
     
  9. ง้วนดิน

    ง้วนดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,362
    ค่าพลัง:
    +11,047
    งง...
    ถามทามมายอ่า

    คนนึงหน้าขาว
    คนนึงหน้าแดง
    ยืนอยู่คนละที่
    ถ่ายคนละที
    แต่สองภาพมาต่อกันสนิท
    เหมือนเป็นรูปเดียว
    เหมือนยืนอยู่ด้วยกัน
    ช่ายเป่าอะ

    ("ง้วนดิน" มั่ว..แหะ..แหะ..)
     
  10. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    ร่างรัฐธรรมนูญ
    ในระบอบการปกครองแบบพุทธะ
    และระบบเศรษฐกิจพอเพียง

    ปรัชญาการปกครองระบอบพุทธะ




    <DIR><DIR>
    1. หลักดุลยภาพแห่งอำนาจ.............มีสมดุลและเสถียรภาพในการปกครองทั้งระบอบสูงสุด
    2. หลักเอกภาพแห่งองค์รวม.............มีเอกภาพในการบริหารสูงสุดภายใต้ความหลากหลายสูงสุด
    3. หลักอิสรภาพแห่งองค์ย่อย............สร้างและให้อิสระภาพส่วนบุคคลตรงทางมากกว่าเสรีนิยม
    4. หลักความเท่าเทียมในธรรม...........สร้างและให้โอกาสในธรรมพอเพียงมากกว่าสังคมนิยม
    5. หลักธรรมคืออำนาจสูงสุดคัด..........เลือกและบริหารด้วยธรรม, กกหมายจากกฏแห่งกรรม



    </DIR></DIR>
    หลักดุลยภาพแห่งอำนาจ
    อำนาจสูงสุดแห่งรัฐธรรมนูญมาจากธรรม.........................................บุคคลผู้บรรลุธรรมสามารถปรับได้
    อำนาจสูงสุดในการเลือกพระมหากษัตริย์อยู่ที่ประชาชน ................. เลือกโดยการ "ไม่เลือก"
    อำนาจสูงสุดในการปกครองอยู่ที่พระมหากษัตริย์ ........................... ปกครองโดยการ "ไม่ปกครอง"
    อำนาจสูงสุดในการบริหารอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ................................. บริหารโดยการ "ไม่บริหาร"
    อำนาจสูงสุดในการควบคุมอยู่ที่พระสังฆราช ................................... ควบคุมโดยการ "ไม่ควบคุม"

    อรรถาธิบาย
    รัฐธรรมนูญหาใช่อำนาจสูงสุด...........................................
    เพราะอำนาจสูงสุดมาจากผู้บรรลุธรรมสูงสุดเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญและแก้ไขได้ตามยุคสมัย
    .........
    ประชาชนหาใช่ผู้เลือกพระมหากษัตริย์ .............................
    เพราะธรรมหรือสถานการณ์จะบีบบังคับให้ประชาชนเป็นผู้เลือกเองอย่างเป็นธรรมชาติ?
    .........
    พระมหากษัตริย์หาใช่ผู้ปกครอง ........................................
    เพราะทรงกระทำให้เป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการปกครองจึงมิต้องทรงปกครอง
    ........
    นายกรัฐมนตรีหาใช่ผู้บริหารประเทศ ...............................
    เพราะใช้ระบบที่ดีในการบริหารประเทศจึงมิต้องบริหารประเทศ
    ........
    พระสังฆราชหาใช่ผู้ควบคุม .............................................
    เพราะทรงสร้างพระศาสนาและให้ธรรมควบคุมแทนจึงมิต้องควบคุมประชาชน
    ........

    ขยายความ
    เมื่อพระสังฆราชทำนุบำรุงพระศาสนา, สอนธรรม ให้ประชาชนเข้าใจธรรม แยกแยะคนดีชั่ว สถานการณ์จะบีบบังคับโดยธรรมชาติ ทำให้ประชาชนรู้จักหาวิธีทางออกด้วยเมตตาและปัญญา จะไม่เปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศด้วยกำลังหรือการเข่นฆ่ากันเองแบบแนวคิด "มาร์กซิส" ทำให้ประชาชน "เลือกพระมหากษัตริย์" โดยไม่ยึดติดเปลือกภายนอก พิจารณาจากความดีภายใน ก็จะได้พระมหากษัตริย์ที่ดีมีคุณธรรมพร้อมสมบูรณ์เพื่อทำนุบำรุงประเทศในระยะยาว จึงไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยล้าหลัง ถอยกลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชแน่นอน เพราะหากพระมหากษัตริย์ทรงไม่อยู่ใน "ทศพิธราชธรรม" บำเพ็ญ "ทศบารมี" ก็ไม่อาจครองบัลลังก์ได้ ในขณะเดียวกันหากประชาชนไม่สนันสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนาแล้ว ประเทศจะมีกรรม ได้คนเลวมาปกครองประเทศ หรือหากพูดกันตามหลักเตุผล คือ พระพุทธศาสนาสอนให้คนดีมีปัญญา หากคนในชาติขาดการทำนุบำรุง ก็จะขาดปัญญาและคนดี สุดท้ายประเทศจะได้คนเลวที่เก่งไม่จริงขึ้นมาปกครอง

    ซึ่งพระมหากษัตริย์จะทรงสิทธิ์ในการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาล โดยไม่จำกัดว่าจะต้องสี่ปีครั้ง เนื่องจากจะก่อให้เกิดภาวะการลงทุนและการกันความเสี่ยงทางการเมือง ด้วยการโกงกิน เพื่อกักตุนไว้ในยามที่สมัยหน้าอาจไม่ได้รับเลือก พระองค์สามารถวินิจฉัยความผิดเด็ดขาดของรัฐบาลได้ทั้งชุด และสามารถถอดถอนได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ ทั้งยังไม่จำกัดเวลา จะทรงกระทำเมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้จะทรงกระทำโดยไม่กระทำ กล่าวคือ ประชาชนจะต้องเป็นผู้แสดงเจตจำนงค์ร่วมอันมีพลังขับดันเพียงพอก่อน พระองค์จึงทรงใช้พระราชอำนาจโดยการพิจารณา "ธรรม" หรือสถานการณ์นั้นๆ จากการเคลื่อนไหวของประชาชน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพระราชวินิจฉัย

    นายกและคณะรัฐบาลมิได้มาจากการเสนอหน้า หรือก่อตัวขึ้นด้วยเงินหรืออำนาจเก่า อันเป็นข้อเสียของระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน แต่มาจากการที่ประชาชนร่วมเสนอชื่อเข้ามาส่วนหนึ่งตามความปราถนาและจากพระมหากษัตริย์ทรงแสวงหาร่วมกัน เมื่อได้กลุ่มบุคคลอันเป็นที่ต้องการของทั้งพระมหากษัตริย์และประชาชนแล้ว ประชาชนจะทำการคัดเลือกเป็นจำนวนห้าเท่าในตำแหน่งสำคัญๆ และสามเท่าในตำแหน่งรองๆ และเท่าเดียวในตำแหน่งระดับล่าง (ทรงลงพระปรมาภิธัยเท่านั้น) จากนั้นจะทำการเสนอชื่อให้แด่พระมหากษัตริย์ ซึ่งจะทรงคัดเลือกให้เหลือเพียงตำแหน่งละหนึ่งคน เช่นนี้ จึงขจัดปัญหาการเสนอชื่อผู้ชนะการเลือกตั้งด้วยการโกงกินแบบมัดมือชกดังในอดีต โดยที่ไม่สนใจพระราชอำนาจแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ ให้ประชาชนเป็นผู้เลือกก่อน พระให้อำนาจคืนแก่ประชาชนก่อน และให้พระมหากษัตริย์ทรงวินิจฉัยทีหลังเพราะทรงสิทธิ์ขาดในการตัดสินพระทัย เช่นนี้ แม้นประชาชนจะแตกแยกเป็นหมู่เหล่า ขาดเขลาไม่รู้กลโกง แต่สุดท้ายก็ทรงขจัดปัญหาได้

    นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นผู้หนึ่งผู้ใด หรือทั้งหมด สามารถลงจากตำแหน่งและเลือกใหม่ได้โดยไม่ต้องรอสี่ปี เพื่อความรวมดเร็วแต่ต้องเป็นไปตามกระบวนการร่วมกันระหว่างประชาชนและพระมหากษัตริย์ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ระบบนี้จึงพึ่งพาพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องค้ำจุนสองทาง คือ ทางด้านประชาชนคือการให้ปัญญาพิจารณาคนดีมีคุณธรรม และทางด้านพระมหากษัตริย์ก็ทรงเป็นประมุขผู้ทรงคุณธรรมและเกิดจากคุณธรรม เป็นระบบการคัดสรรค์คนดี คัดทิ้งคนเลว



    หลักเอกภาพแห่งองค์รวม

    เอกภาพหนึ่งเดียวสามขาหยั่ง ชาติ


    , ศาสน์, กษัตริย์



    ชาติ............................................ผู้นำคือนายกรัฐมนตรี โดยมีประชาชนคานสมดุล
    ศาสน์.........................................ผู้นำคือพระสังฆราช โดยมีพุทธบริษัทสี่คานสมดุล
    กษัตริย์.......................................ผู้นำคือพระมหากษัตริย์ โดยมี "ธรรม" คานสมดุล



    อรรถาธิบาย
    ธรรมนำชาติ....................ประชาชนในชาติและนายกรัฐมนตรีถูกหลอมรวมและคัดเลือกโดยหลักธรรม
    ธรรมนำศาสน์.................พระสังฆราชและพระศาสนาเป็นผู้เผยแพร่และสืบสานหลักธรรมแห่งพุทธะ
    ธรรมนำกษัตริย์...............พระมหากษัตริย์ทรงบำเพ็ญ "ทศพิธราชธรรม" มาจากธรรมและไปสู่ธรรม
    สามขาหยั่งหลอมรวมเป็นหนึ่ง เป็นเอกภาพโดยธรรม จึงก่อเกิด "รัฐธรรมนูญ" ที่แท้จริง



    ขยายความ
    ธรรมหลอมรวมองค์ทั้งสามเป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกภาพโดยธรรม หาใช่อำนาจเงิน, อำนาจจากตำแหน่ง, อำนาจเก่าถ่ายทอดรุ่นสืบรุ่น ฯลฯ จึงเป็นระบอบธรรมชาติที่สมบูรณ์กลมกลืนกับธรรม ไม่ขัดแย้ง สามารถดำรงอยู่ได้นานแสนนาน ด้วยเหตุนี้เอง "ธรรม" หรือ "พุทธะ" จะทำหน้าที่โดยสมบูรณ์เพื่อคัดเลือกโดยธรรมชาติหรือเปลื่ยนแปลงโดยธรรมชาติ สามขาหยั่งนี้จะขาดการหล่อเลี้ยงโดยธรรมเสียมิได้ หากประชาชนขาดธรรม ก็จะเลือกคนเลว ระบบปั่นป่วนทันที พุทธศาสนาจึงเป็นหัวใจหลักให้ได้คนดีมีฝีมือเข้ามาบริหารประเทศ สามขาหยั่งจึงหลอมเป็นหนึ่งเดียวโดยธรรมด้วยเหตุนี้เอง ด้วยเหตุนี้จึงกล้ากล่าวได้ว่า "รัฐธรรมนูญ" นี้ เป็น "ธรรมนูญ" ของรัฐที่แท้จริง เพราะมีรากฐานมาจากพระธรรมอันเป็น "สัจจะ" จากพระพุทธศาสนา และมีความเป็นเสรีนิยมและสังคมนิยมขั้นสูงสุดในตัว



    หลักเอกภาพจะใช้พุทธศาสนาเป็นรากฐาน, วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือ ผ่านการสื่อสารต่างๆ เพื่อหลอมรวมให้องค์ประกอบทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน เนื่องจากหลักพระพุทธศาสนามีความอนุรักษนิยมอยู่ในตัว คือ คำนึงถึงทางสายกลางและความสมดุล ไม่เกิดปัญหาการบีบบังคับให้เลือกแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยของชาติตะวันตก ทั้งยังมีความเจริญในความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง คือ ไม่เกิดปัญหาการวิ่งหนีเงา (ดอกเบี้ยเงินกู้) และวิ่งไล่จับเงา (วัตถุนิยม) ดังระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม




    หลักอิสรภาพแห่งองค์ย่อย
    ธรรมให้อิสรภาพแก่ผู้รักษาธรรม...... ผู้เข้าถึงธรรมได้อิสรภาพสูงสุด คือ ผู้ปกครองธรรมตำแหน่งต่างๆ
    ธรรมไม่ให้อิสรภาพแก่อธรรม...........ธรรมควบคุมอธรรม ผู้มีธรรมตกต่ำย่อมต้องถูกธรรมนูญควบคุม

    ด้วยอิสรภาพที่ขาดการควบคุมที่ดี ก็ไม่ดี (จุดเสียของเสรีนิยม) อิสรภาพจึงต้องถูกควบคุมโดยธรรม และธรรมให้อิสรภาพแก่ทุกคน (เสรีภาพสูงสุด) บุคคลใดเข้าถึงธรรม ย่อมได้รับอิสรภาพสูงสุด

    อรรถาธิบาย
    หลักอิสระภาพในธรรม...................... "ธรรม" คือ กลไกลสำคัญในการขับเคลื่อนโดยอิสระ
    "ธรรม" เป็นสิ่งสูงสุด บุคคลเมื่อเข้าถึงธรรม สามารถเลือกตำแหน่งทางสังคมได้ทั้งสงฆ์และฆารวาส
    มิใช่ธรรมควบคุมคนเสมอไป เมื่อคนเข้าถึงธรรม (อรหันต์) ย่อมได้อิสรภาพสูงสุดในธรรม
    ...........
    หลักอิสระภาพในสังคม...................... สังคมและสังคมย่อย ย่อมมีความหลากหลายใน "ธรรม"
    สังคมและสังคมย่อยย่อมต้องมีความหลากหลายเป็นธรรมดา แต่ในแก่นนั้นมีธรรมเดียวกัน
    มิใช่ขาดเอกภาพทางสังคม (ปัจเจกนิยม) หรือขาดความหลากหลายทางสังคมย่อย (คอมมิวนิสตร์)
    ...........
    หลักอิสระภาพในมนุษยชน................บุคคลมีอิสรภาพสูงสุดในการใดๆ อันเนื่องด้วย "ธรรม"
    บุคคลมีสิทธิ์เต็มที่ใน "ธรรม" ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้ มีอิสรภาพที่จะเข้าถึงธรรม และเลือกธรรม
    มิใช่เสรีภาพในการผลิตอย่างไม่เป็นธรรม (ทุนนิยม) หรือเสรีการบริโภคอย่างไม่เป็นธรรม (วัตถุนิยม)
    ...........

    ขยายความ
    ผู้บรรลุธรรมสูงสุดได้อิสรภาพสูงสุด จึงอยู่เหนือบทบัญญัติแห่งธรรมนูญนี้ เลือกตำแหน่งใดๆ ทางสังคมก็ได้ หากมีจำนวนมากก็ให้ร่วมกันเลือกเพียงหนึ่ง บุคคลผู้ไม่บรรลุธรรม ต้องอยู่ภายใต้ธรรม กลไกลของระบอบการปกครองนี้ เป็นไปตามหลักธรรมชาติโดยอิสระ มนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใดจะใช้อำนาจใดๆ เข้าครอบงำเหนือกว่ามิได้ ย่อมต้องถูกประชาชนเข้ายึดอำนาจคืนในที่สุด ด้วยกฏแห่งกรรมอันเป็นหลักธรรม ทั้งนี้ บุคคลจะมีอิสระในการเลือกในเวลาอันควรแก่การได้เลือกอย่างเหมาะสมกับตนเอง การใช้อำนาจเงินจ้างงานให้แรงงานต้องทำงานทั้งวัน ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ครอบครัวแทบไม่เห็นหน้ากัน แม่ลูกไม่มีเวลาเลี้ยงกัน แม้นแต่ให้นมกันก็ไม่มีเวลานั้น เป็นความล้มเหลวอย่างยิ่งของระบอบการปกครองแบบเก่าที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ที่ยึดหลักมนุษยชน การปกครองระบอบพุทธะนี้ จะให้อิสรภาพแก่แรงงาน ให้สามารถใช้เวลาเพื่อปฏิบัติธรรมได้ ลางานเพื่อปฏิบัติธรรมได้ตามควร เช่น ทุกเดือนจะลาได้สามวัน และต้องมีใบรับรองการปฏิบัติธรรมจากสถานปฏิบัติธรรม ซึ่งจะทำให้คลายความเครียดพัฒนาสมองและจิตใจ ประสิทธิภาพการทำงานจะดีขึ้น ทั้งนี้ยังลดปัญหาอาชญากรรมได้อีกด้วย ดังนี้ การให้อิสรภาพในธรรมของแต่ละบุคคลจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และพัฒนาเป็นเสรีภาพสูงที่สุดเหนือประชาธิปไตยในปัจจุบัน ด้วยการพิจารณา "ธรรม" บุคคลผู้บรรลุธรรมจึงได้อิสระภาพสูงสุดนั้นไป และสามารถควบคุม "ธรรมนูญ" ได้ภายใต้ระบบการยืดหยุ่นที่เปิดให้แก้ไขได้

    ในขณะเดียวกัน ต้องดุลยภาพแห่งความมีอิสระ กล่าวคือ มีการจำกัดอิสระภาพ เช่น สถานดัดสันดานที่ยืดหยุ่นได้มากกว่าเรือนจำ เพื่อแก้ไขปัญหาความยุ่งยากในการลงโทษทางกฏหมาย กล่าวคือ ปัจจุบัน การตัดสินลงโทษผู้ทำผิด มีต้นทุนการดูแลสูง และเป็นภาระแก่สังคม ทั้งผู้กระทำผิดยังไม่สำนึกตน ไม่มีทางออก สังคมไม่ยอมรับ จนต้องกลับไปทำผิดแบบเดิม เด็กก้าวร้าวเพราะพ่อแม่เลี้ยงไม่เป็นและเห็นว่าเด็กฆ่ากันไม่ต้องติดคุก เยาวชนจึงถูกหลอกไปใช้เป็นเครื่องมือฆ่าคน สถานดัดสันดานนี้ สามารถรองรับดัดสันดานผู้กระทำผิดได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางกฏหมาย กล่าวคือ ให้สังคมเป็นผู้ตัดสินได้ กลุ่มคนแวดล้อมในเหตุการณ์เกินครึ่งสามารถยื่นส่งตัวบุคคลผู้กระทำผิดเข้าสถานดัดสันดาน ซึ่งผู้ควบคุมสถานดัดสันดานจะพิจารณาเองว่าใช้เวลาดัดสันดานนานเท่าใด ทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้แต่เด็กทำผิด หรือสุนัขไล่กัดคนก็ต้องควบคุมเช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น ทั้งนี้ ผู้ปกครองจะสูญเสียสิทธิ์ในการปกครองดูแลชั่วคราว เป็นกรรมที่ดูแลไม่ดี ไม่ว่าลุกหรือสัตว์เลี้ยงก็ตาม กฏหมายจึงเข้าถึงตัวคนง่ายขึ้น โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการซับซ้อน ทั้งนี้ หากผู้ถูกยื่นเข้าสถานดัดสันดานไม่พอใจ สามารถยื่นเรื่องขอให้วินิจฉัยใหม่ได้ ระบบนี้จึงมีดุลยภาพและรวดเร็วกว่า ทั้งนี้ สถานดัดสันดาน จะช่วยขัดเกลานิสันแบบพิเศษ เช่น การฝึกแบบรักษาดินแดนให้มีระเบียบวินัย อย่างเข้มงวด หรือการเรียนเพื่อปรับพฤติกรรมอย่างยิ่งยวดในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ใช่การนำคนมาทรมานแต่อย่างใด เพียงแต่ตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ว่าเด็กจะก่อพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อใด จะถูกปรับพฤติกรรมก่อนพัฒนาเป็นอาชญากร

    หลักความเท่าเทียมในธรรม
    เท่าเทียมในธรรมแห่งบุคคล.............บุคคลย่อมมีอิสรภาพในโอกาสแห่งการเข้าถึงธรรมเท่าเทียมกัน
    เท่าเทียมในธรรมแห่งสังคม.............สังคมย่อมต้องเอื้อต่อธรรมที่เท่าเทียมกันแม้นแตกต่างหลากหลาย
    เท่าเทียมในธรรมแห่งผู้ปกครอง.......ผู้ปกครองในสังคมย่อมต้องบริหารเพื่อความเท่าเทียมในธรรม
    เท่าเทียมในธรรมแห่งรัฐธรรมนูญ....รัฐธรรมนูญย่อมต้องเอื้อต่อความเท่าเทียมในธรรม

    อรรถาธิบาย
    เท่าเทียมธรรมแห่งบุคคล.................
    ความเท่าเทียมกันในการผลิตและการบริโภคของระบบทุนนิยม นั้นไม่ใช่การเท่าเทียมที่แท้จริง เป็นแค่คำอ้าง แท้แล้วคือการหลอกลวง ให้คนยอมรับ เพื่อนายทุนจะได้มีโอกาสครองอำนาจเหนือความเท่าเทียม จึงก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมทั้งการผลิตและการบริโภค และลัทธิวัตถุนิยม ความเท่าเทียมในธรรมต่างหาก ที่จะเปิดโอกาสในคนทั้งหมดฉลาดและเป็นคนดี เป็นระบบที่ผลิตคนดีป้อนสังคม
    .........
    เท่าเทียมในธรรมแห่งสังคม.............
    ความเท่าเทียมกันในสังคมแบบสังคมนิยมและคอมมิวนิสตร์ ก็เป็นการเท่าเทียมกันที่ไม่จริง หลอกลวงประชาชน เพราะไม่เท่าเทียมในธรรม คนในประเทศขาดความเท่าเทียมกันในการเลือกวิถีทางในการดำรงชีวิต ส่วนระบอบประชาธิปไตยเทียมของชาวตะวันตก ก็มีข้อเสียอย่างยิ่งที่เปิดโอกาสให้ความเท่าเทียมทำลายระบบสังคม กล่าวคือ บุคคลหลงวัตถุนิยม เป็นปัจเจกบุคคล จนสังคมล่มสลาย ขัดจากธรรมชาติแห่งมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมสูงสุด ทั้งสองระบบล้วนมิใช่ทางสายกลาง
    .........
    เท่าเทียมในธรรมแห่งผู้ปกครอง.......
    บุคคลย่อมมีโอกาสเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกผู้ปกครองด้วยตนเอง การทำความดีให้ปรากฏจนได้รับการคัดเลือกและเสนอชื่ออย่างเท่าเทียม โดยไม่ต้องมีอุปสรรคด้านใด ไม่ว่าจะเป็นด้วยเพศ, วัย, ศาสนา, พื้นเพ ฯลฯ เนื่องด้วยปัจจุบันและอนาคต สำคัญกว่าอดีต การพิจารณาถ่ายทอดอำนาจจากสายเลือดสู่สายเลือด เป็นประชาธิปไตยเทียม ไม่ว่าจะเป็นการปกครองระดับใดก็ตาม การใช้ทุนเพื่อเปิดทางให้เข้าสู่เวทีการคัดเลือกผู้ปกครองก็เทียมเช่นกัน ระบอบการปกครองแบบพุทธะนี้จึงแก้จุดอ่อนทั้งหมดของระบอบประชาธิปไตยเทียมในปัจจุบัน ทั้งยังควบคุมผู้ปกครองให้ปกครองอย่างเทียมโดยธรรม เป็นสมดุลแห่งการคานอำนาจโดยธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุดในปัจจุบัน ทำให้ได้บุคลากรด้านการปกครองที่เป็นคนดีมีปัญญาสูงสุดมารับใช้ชาติบ้านเมือง
    ........
    เท่าเทียมในธรรมแห่งรัฐธรรมนูญ...............................
    รัฐธรรมนูญนี้ ตราไว้เพื่อสร้างความเท่าเทียมในธรรม หากมีจุดอ่อนข้อบกพร่อง สามารถพัฒนาได้ตลอดเวลาด้วยเป้าหมายเดิม คือ เสริมสร้างความเท่าเทียมในธรรมให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ป้องกันมิให้มารร้ายเข้ามาทำลายระบบ คนดีจะปกครองประเทศ ประเทศจึงเจริญรุ่งเรืองได้ ซึ่งปัจจุบัน คนดีมักยอมและไม่เสนอหน้า มักคิดใคร่ครวญหลายมุมรอบด้านกว่า จึงพูดช้า หรือไม่ทันได้พูดออกมา คนเลวยิงแย่งแสดงตนว่าเก่งกาจก่อน สุดท้ายเมื่อไม่คิดให้รอบคอบก็ผิดพลาดมากมายดังที่เห็น จึงจักกล่าวว่า คนที่ไม่พูด, เงียบ และยอม คือ คนโง่เสียมิได้ แท้แล้วคนดีจะมีปัญญาสูงแต่เล่ห์เหลี่ยมต่ำกว่าคนเลวเสมอ สามารถพิสูจน์หลักการนี้ได้ จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอีคิวและไอคิวกับระดับคุณธรรม (เอ็มคิว) จะพบว่ามีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด อันจะเป็นการไขความลับว่า คนไร้คุณธรรมจะปัญญาต่ำกว่าทั้งอีคิวและไอคิว แต่มีเล่ห์กลฉ้อฉลให้คนเห็นว่าตนเก่งกว่า ท่าดีทีเหลวไปเท่านั้นเอง
    ........

    ขยายความ
    หากบุคคลขาดปัจจัยสี่และปัจจัยธรรมที่พอเพียง เช่น นอกเหนือจาก อาหาร, ที่อยู่อาศัย, ยารักษาโรค แล้วจะไม่มีทางได้มีโอกาสเข้าถึงธรรมได้เท่าเทียมกัน ผู้ปกครองจะต้องสร้างและให้โอกาสเข้าถึงธรรมของแต่ละบุคคล เช่น เวลาว่าง, การเดินทางไปปฏิบัติธรรม ปัจจัยสนับสนุนโครงการสะสมบุญบารมีตามธรรมแห่งพระโพธิสัตว์หรือเทพต่างๆ เมื่อเขาต้องการสละตนเพื่อสังคม ระบบสังคมแบบนี้เอื้อต่อการผลิตคนดีมีปัญญา เป็นวัตถุดิบในการพัฒนาคนพัฒนาชาติ อันจะกลับมาปกครองประเทศให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป การคิดว่าต้องเดินตามรอยรัฐธรรมนูญฝรั่งจึงจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นความคิดที่โง่งมของคนที่ยึดติดในกรอบ ไม่มีจินตนาการ ดังไอน์สไตน์กล่าวว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" และพระพุทธเจ้าทรงสอนเสมอว่า "ไม่ให้ยึดติดในสิ่งใดๆ ให้ใช้สติปัญญษใคร่ครวญ" ดังนี้ รัฐธรรมนูญจึงอยู่ในกรอบแคบๆ ไม่มีผู้ใดสามารถคิดทะลุกรอบได้ ดังที่ป่าวประกาศสอนกันทั่วไป

    นอกจากนี้ บุคคลยังสามารถลาเพื่อจาริกแสวงบุญ ทั้งยังสามารถเสนอโครงการจาริกแสวงบุญเพื่อขอปัจจัยสนับสนุนจากผู้ปกครองประเทศได้ ด้วยการผ่านขั้นตอนการพิจารณาโดยธรรม เพื่อคัดอธรรมออกไปจากระบบ การเปิดโอกาสความเท่าเทียมในธรรม จะทำให้ได้ผู้บรรลุธรรมจำนวนมาก มาสร้างประเทศให้เจริญรุ่งเรืองทั้งที่ห่มเหลืองและไม่ห่มเหลือง ทั้งนี้ ประเทศเจริญรุ่งเรืองได้ด้วยพระอรหันต์ทั้งที่ห่มเหลืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครูบาผู้ปกครองพุทธบริษัทให้ร่มเย็น หรือพระมหากษัตริย์ผู้บรรลุธรรมผู้ทรงปกป้องดูแลอาณาประชาราช มิให้ทรราชแผ่นดินมาโกงกิน กัดกร่อนประเทศชาติได้

    การคิดว่าฝรั่งต้องดีกว่าระบอบการปกครองของไทยเสมอไปนั้นเป็นการยึดติดหลงผิดและโง่เขลาหากศึกษาประวัติการปกครองของสุวรรณภูมิพบว่าเป็นระบบการปกครองที่เก่าแก่ที่สุดและสูงสุดถูกต้องที่สุดเพราะก่อเกิดตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระองค์แรกทรงตรัสแสดงและสร้างไว้ส่วนการปกครองที่หลอกลวงประชาชนเพื่อเสริมอำนาจแห่งนายทุนนั้นเป็นการปกครองของยักษ์มารที่เริ่มมีประวัติศาสตร์มาทีหลังการปกครองของไทยมากมายนักปัจจุบันหากเปรียบเทียบความสำเร็จในการปกครองประเทศระบอบประชาธิปไตยของฝรั่งเหลวแหลกกว่าระบอบการปกครองของไทย

    ที่กล่าวได้เช่นนี้ยกตัวอย่างอดีตเราใช้กฏแห่งกรรมเป็นปรัชญารากฐานของกฏหมายและใช้กฏแห่งกรรมเป็นตัวสร้างวัฒนธรรมอีกบรรทัดฐานหนึ่งสองบรรทัดฐานนี้เอื้อกันหนึ่งเป็นโครงสร้างหลักอีกหนึ่งเป็นโครงสร้างค้ำจุนส่งเสริมจึงมีความมั่นคงและยืดหยุ่นในตัวหากสอบถามชาวบ้านจะพบว่าแม้นเขาไม่ได้ท่องจำตัวบทกฏหมายแต่ทุกคนรู้ปรัชญากฏหมายนี้และทำผิดน้อยกว่าฝรั่งมังค่ามากในขณะรัฐบาลอเมริกันปัจจุบันมีคนรู้กฏหมายน้อยมากคนที่รู้กฏหมายก็จะใช้กฏหมายกดขี่ข่มเหงผู้ไม่รู้ส่วนวัฒนธรรมไม่มีส่วนในการสร้างเสริมกฏหมายให้ศักดิ์สิทธิ์มั่นคงเลยแม้นแต่น้อย

    นี่คือผลการพัฒนาประเทศทำให้ประชาชนมีความรู้ในปรัชญากฏหมายได้มากที่สุดในโลกจึงจะกล่าวว่าคนไทยโง่มิได้เป็นอันขาดนอกจากนี้ในด้านการปกครองพุทธศาสนาก็ได้สอนการปกครองผ่านการฟังเทศนาและศึกษาธรรมโดยตรงและการเรียนรู้ทางสังคม, ตัวแบบสังคม, ค่านิยม, วัฒนธรรมต่างๆตลอดเวลาทั้งในและนอกห้องเรียนเป็นการปกครอง, หลักการบริหาร, การเลือกคน, การใช้คนและหลักการตลาดในตัวที่ถูกต้องที่สุดอาทิเช่นพรหมวิหารสี่ได้แก่การให้เมตตาแก่ผู้อยู่ภายใต้การปกครอง, การให้เมตตาหรือบริการด้วยหัวใจที่เมตตาอันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่แม้นแต่นักการตลาดที่ถือว่าเก่งที่สุดในโลกก็ไม่อาจเทียบได้เลยแม้นแต่น้อยนี่เพียงยกตัวอย่างเท่านั้นเพราะในพระไตรปิฏกมีถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์วิชาขั้นสูงบางอย่างสามารถอ่านวาระจิตลูกค้าได้โดยไม่ต้องทำวิจัยเป็นต้นดังนี้จึงถือว่าพระพุทธศาสนาพัฒนาประเทศได้สูงสุดในทุกด้านเพียงแต่ฝรั่งมังค่าตีค่าเราไปผิดๆชนชั้นกลางผู้หลงผิดหลงเชื่อเพราะเห็นความเจริญในวัตถุที่ดูแปลกใหม่จนเร่งรัดรีบก่อการยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เจ็ดทั้งๆที่พระองค์กำลังทรงวางรากฐานอย่างดี

    ปัจจุบันทุนนิยมล่มสลายแล้วประเทศอเมริกันก็จะล่มสลายตามเป็นเครื่องพิสูจน์ให้คนทั้งโลกเห็นความล้มเหลวของระบอบปล่อยเสรีแบบไม่ดูแลแต่ใช้ชื่อสวยหรูโฆษณาว่าประชาธิปไตยเพื่อให้คนเลือกแทนระบอบเดิมทว่าเป็นประชาธิปไตยเทียมหากจะเทียบกับระบอบพุทธะในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้วยังมีเสรีภาพน้อยกว่าเสียอีกทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าการปกครองของไทยมิใช่แบบสมบูรณาญาสิทธิราชดังที่ฝรั่งเข้าใจผิดมานานเพราะการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชได้อิทธิพลจากพราหมฮินดูในบางสมัยเท่านั้นที่ปกครองโดยคิดว่าตนเป็นเทพเป็นพรหมลิขิตชีวิตคนได้จะทำอะไรก็ได้แต่การปกครองระบอบพุทธะนั้นเกิดจากพระพุทธศาสนาต่างหากและใช้หลักการปกครองเดียวกันกับหลักการสะสมบารมีของพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนามิใช่เทพตามลัทธิฮินดูแล้วดัดแปลงหลักการปกครองให้เหมาะสมคือ "ทศพิธราชธรรม" นั่นเอง

    หลักธรรมคืออำนาจสูงสุด
    ธรรมเป็นองคาพยพดั่งสิ่งมีชีวิตมีโครงร่างและขับเคลื่อนได้คือ
    โครงสร้างการปกครองประกอบโดยธรรม.......... ออกแบบโครงสร้างการปกครองโดยหลักธรรม
    กลไกลการปกครองขับเคลื่อนโดยธรรม............. ใช้หลักธรรมควบคุมและขับเคลื่อนโครงสร้างนั้น

    อรรถาธิบาย
    โครงสร้างการปกครองออกแบบโดยธรรมชาติที่สอดคล้องกับพระพุทธศาสนากล่าวคือมีสถาบันพระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์เป็นเครื่องค้ำจุนประเทศหรือก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นเองพระมหากษัตริย์มิได้อยู่ในฐานะสมมุติเทพอย่างพราหมณ์ฮินดูแต่ทรงคุณธรรมและสละทั้งปวงเพื่อบำเพ็ญทศบารมีดั่งพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนาในขณะที่รัฐสภาเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ในการบริหารและปกครองประเทศโดยตรงโดยจำลองแบบการปกครองจากสวรรค์ในพระพุทธศาสนาคือแบ่งการปกครองในชั้นต่างๆออกเป็นสวรรค์ชั้นต่างๆเช่นชั้นจาตุมหาราชิกาจะประกอบไปด้วยท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ซึ่งจะทำหน้าที่ในการบริหารประเทศส่วนชั้นดุสิตนั้นเป็นองค์กรอิสระที่ไม่หวังผลกำไรก่อตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยสนับสนุนสังคมโดยการรองรับการจุติมาเกิดของพระโพธิสัตว์ที่อาจเกิดมาจนเมื่อเขาอยากสะสมบุญบารมีสามารถสละตนทำงานเพื่อสังคมได้อย่างเต็มที่ด้วยสภาดุสิตนี้เองหรือแม้แต่ระบบการปกครองสงฆ์บางครั้งพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าไม่ทรงลงมาเกิดบนโลกคณาสงฆ์จะมีพระอรหันต์คอยช่วยค้ำจุนเป็นราชครูดูแลราชการงานแผ่นดินโดยการสอนและติติงได้โดยอำนาจการปกครองสูงสุดเบื้องต้นจะอยู่ที่พระมหากษัตริย์แต่หากพระโพธิสัตว์ไม่จุติลงมาก็ต้องปล่อยตำแหน่งว่างไว้แล้วให้กลไกลอื่นเดินแทนเช่นพระสังฆราชทำหน้าที่ร่วมกับฆารวาสผู้บรรลุธรรมและมีความรู้ด้านการปกครองเป็นผู้กระทำแทนพระมหากษัตริย์เพื่อป้องกันมิให้มารสวรรค์ที่ทำบุญมากมาจุติเกิดเป็นพระมหากษัตริย์ดังเช่นประวัติศาสตร์ในจีนก็มีคือ"โจโฉ"เป็นต้นประเทศจึงปกครองโดยคนดีไม่ว่างเว้นไปได้และป้องกันคนเลวไม่สามารถเข้ามาทำลายระบอบพุทธะนี้ลงได้ประชาชนอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดไปไม่ว่าใครจากเบื้องบนลงมาจุติก็ตาม

    ขยายความ
    สถาบันที่ปรึกษาสูงสุด (เหล่าทีมพระมหาโพธิสัตว์)
    โดยปกติแล้ว มักไม่พบบ่อยนัก เพราะผู้จุติมาเกิดจากชั้นนี้ เป็นพระมหาโพธิสัตว์ และมักจุติมาโดยไม่มีใครรู้นัก อาจไม่ห่มเหลืองก็ได้ การบันทึกลักษณะของพระมหาโพธิสัตว์องค์ต่างๆ ไว้ เพื่อรอการจุติมาเพื่ออัญเชิญท่านปกครองสถาบันนี้ หน้าที่ของสถาบันนี้ คือ "ราชครูสูงสุด" เหนือทั้งพระมหากษัตริย์และพระโพธิสัตว์ ปกครองด้วยการเป็นครูแห่งแผ่นดินของทั้งสงฆ์และฆารวาส ไม่มีอำนาจด้านการปกครองใดๆ นอกจากนี้ยังหมายรวมถึงพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมขั้นนี้แล้วกลับมาเกิดใหม่อีกด้วย ไม่ว่าท่านจะดำรงห่มสีใด ให้ท่านเป็นราชครูได้ในสีนั้น หรือหากไม่มีราชครูสูงสุดให้อัญเชิญท่านขึ้นเป็นราชครูสูงสุด หากไม่มีผู้บรรลุธรรมโลกอุดรมาเกิด ก็ให้พระพรหมต่างๆ ทำหน้าที่ในสถาบันนี้ สังเกตุได้คือ จะมีพรหมวิหารสี่และวิชาทำนาย ไม่ว่าจะเป็นครูผู้ทรงภูมิในศาสตร์ต่างๆ จนสามารถมีวิสัยทัศน์เห็นอนาคตได้, โหราศาสตร์โบราณ, โหราศาสตร์สมัยใหม่, วิชาการพยากรณ์ทางวิทยาศาสตร์หรือสถิติ พระพรหมต่างๆ ล้วนสามารถมาจุติได้ทุกรูปแบบ ให้อัญเชิญท่านมา

    สถาบันพุทธเกษตร (พระมหากษัตริย์)
    เป็นสถาบันที่เพาะปลูก "พระพุทธะ" โดยค้นหาพระโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีสูงสุด อัญเชิญขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ท่านจะปกครองประเทศโดยทศพิธราชธรรม ประเทศก็สงบร่มเย็น และเจริญรุ่งเรืองด้วยผลบุญของท่านนี้เอง เช่นนี้ เป็นมาแต่ครั้งโบราณกาล เช่น การอัญเชิญพระนางจามเทวีขึ้นครองเมืองลำพูนโดยเหล่าพราหมณ์, การอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ต่างๆ เสด็จขึ้นครองราช ส่วนการครองราชด้วยการไม่ได้รับเชิญ มักจนลงอย่างน่าเอน็จอนาถ เป็นประวัติศาสตร์ที่พบเห็นเรื่อยมาของไทย เช่นนี้เอง พระมหากษัตริย์จึงทรงสนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างดี ประชาชนจะอยู่อย่างมีความสุขถ้วนหน้า แม้นไม่ฟุ้งเฟื้อบ้าวัตถุนิยมก็ตามที อาชญากรรมก็ลดน้อยลงด้วยในที่สุด

    สถาบันพุทธศาสนา (พระนิพพาน)
    ซึ่งก็คือสถาบันสงฆ์นั่นเอง ทั้งนี้ได้รวมเอาเถรวาทและมหายานเป็นหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดการแตกแยกและได้รวมศาสนาอื่นๆ ตามความถูกต้องของพระมหาโพธิสัตว์ที่ได้จุติไปเกิดสร้างพระศาสนานั้นๆ ไว้ โลกจึงไม่แยกแตกด้วยศาสนา สงครามศาสนาจึงไม่เกิดอีก ดังเช่นที่กำลังจะเกิด การปกครองสงฆ์ได้จำลองแบบจากพระไตรปิฏก กล่าวคือ พระสังฆราชสูงสุดมีหนึ่งพระองค์ มีอัครสาวกเบื้องขวาและซ้ายช่วยดูแล และสามารถรับหน้าที่แทนได้ในยามที่ปฏิบัติภาระกิจมิได้ มีพระอุปถากที่คอยดูแลดั่งพระอานนท์ ทั้งนี้พระสังฆราชอาจมิใช่พระมหาโพธิสัตว์หรือพระโพธิสัตว์ก็ได้ แต่ให้จำลองแบบเช่นนี้ แล้วแยกส่วนปกครองเป็น ฝ่ายปกครอง, ฝ่ายอภิธรรมปิฏก, ฝ่ายวินัยปิฏก, ฝ่ายสุตตันตปิฏก กล่าวคือ ฝ่ายปกครองดูแลความเรียบร้อยของวัดวาอารามต่างๆ ทั้งหมด ฝ่ายอภิธรรมปิฏกดูแลความถูกต้องของการเผยแพร่หลักธรรมทั้งนอกและในพระไตรปิฏก ฝ่ายวินัยปิฏกดูแลความประพฤติของสงฆ์และพุทธบริษัททั้งมวลได้ทั้งหมด และฝ่ายสุตตันตปิฏก ดูแลด้านวิธีการเผยแพร่ไม่ว่าจะเป็นการเทศนา, การสร้างสื่อวิดีทัศน์ต่างๆ ล้วนต้องคิดขึ้นทั้งสิ้น แล้วให้ฝ่ายวินัยและฝ่ายอภิธรรมตรวจก่อนเสมอ ทั้งนี้ สถาบันนี้ได้รวมฆารวาสเข้ามาเป็นหน่วยงานที่ช่วยเหลือสถาบันสงฆ์ในด้านต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พระสงฆ์ได้ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานแท้จริง พระสงฆ์ไม่จำเป็นต้องมีมาก แต่ต้องมีคุณภาพอย่างแท้จริง เพราะการเทศนาเพียงรูปเดียวที่ดีงาม ก็สามารถทั่วถึงผ่านสื่อต่างๆ ได้ทั้งโลกแล้ว แต่การที่มีพระสงฆ์มาก แต่ทำผิดบาป จักทำลายพระพุทธศาสนาให้เสื่อมเสีย ไร้คนศรัทธา และพระธรรมบิดเบือนจนทำลายรากฐานระบอบการปกครองแบบพุทธะนี้ได้ในที่สุด งานบุญงานสร้างต่างๆ จึงต้องอาศัยฆารวาสเป็นผู้กระทำแทน มิควรให้พระสงฆ์เสียเวลา เพียงพระสงฆ์ใช้ปัญญานำทางเท่านั้น ทั้งนี้ ควรมีโรงทานโรงเจและศูนยืกระจายสินค้า (ปัจจัยสี่พื้นฐาน) ให้มาก เป็นแหล่งอาหารแทนศูนย์การค้าที่บริหารโดยฆารวาส และนำคนพิการต่างๆ มารับใช้พระศาสนาให้หมดเพื่อชดใช้กรรมเก่า โดยให้ใช้ตรงกรรม เช่น ตาบอดให้ช่วยงานด้านการสร้างดวงตาธรรม, แขนขาดใช้ช่วยด้านสร้างแขนพระ, หูหนวกไปช่วยหยิบจับเทปธรรมะแจกคน คนเป็นบ้าอย่างน้อยให้ได้เห็นได้ยินพระศาสนาตลอดเวลา

    สถาบันการปกครองแห่งชาติ (รัฐบาล)
    จำลองแบบจากการปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาโดยท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่หากท่านจุติมาให้ดูลักษณะไม่ว่าจะใช้ศาสตร์ทำนายใดๆจะทราบได้ว่าท่านจุติมาอาจด้วยเพื่อสะสมบุญหรือประการใดก็ตามหากท่านไม่จุติมาให้เป็นการครองตำแหน่งโดย "คณะบุคคล"ที่ทรงภูมิความรู้ด้านนั้นๆโดยมีพระอรหันต์เป็นผู้ตัดสินชี้ขาดในด่านสุดท้ายซึ่งหากยามนั้นโลกมีพระอรหันต์องค์เดียวหรือไม่มีเลยก็จำเป็นต้องยืนพื้นระบบเก่าที่ร่างไว้ห้ามเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาดทั้งนี้บุคคลจะปกครองในตำแหน่งใดๆได้นั้นต้องบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นโสดาบันเป็นอย่างต่ำจะเป็นมารหรือมิจฉาฑิฐิดื้อดึงมาปกครองประเทศมิได้ซึ่งการทดสอบนี้ไม่ยากทั้งการถ่ายออร่า, การทดสอบทางจิตวิทยา, เครื่องจับเท็จฯลฯจึงไม่ยากที่จะสรรหาหากระบบเปิดทางแก่คนดีสังคมก็จะได้คนดีมาปกครองประเทศเอง

    สถาบันองค์กรเอกชน (สวรรค์ยามา)
    เป็นองค์กรอิสระปกติจะถือกำเนิดขึ้นด้วยการสะสมทุนใครรวยก็ได้รับทุนแต่ระบอบการปกครองแบพุทธะจะถือว่าทรัพย์สินทั้งหมดเป็น"อนัตตา"ใครจะถือครองมิได้แล้วจัดสรรค์ตามควรกล่าวคือผู้ใดต้องการสร้างองค์กรธุรกิจให้สนับสนุนคนดีที่มีความรู้ความสามารถโดยไม่ต้องยึดติดในนามสกุลเทพชั้นนี้จึงจะจุติลงมาเกิดและสะสมบุญได้โดยไม่ถูกมารสวรรค์ผู้มีบุญมากแต่หลงผิดรังแกดังในระบบทุนนิยม (มารสวรรค์เกิดมารวยเสมอ) ดังนี้รัฐบาลมิใช่ผู้ลงทุนแต่เป็นผู้สนับสนุนทุนอย่างเท่าเทียมกันจึงเป็นสังคมนิยมสูงสุดและประชาธิปไตยสูงสุดและปกครองโดยเสรีภาพสูงสุดด้วยเหตุนี้เองใครจะทำได้มากหรือน้อยนั้นก็ต้องเข้าระบบตรวจสอบคุณภาพความดีงามของผลงานผลงานได้ได้รับปัจจัยสนับสนุนให้ทำดีมากแต่มิใช่ปัจจัยกระตุ้นความโลภโมโทสันดังนี้ระบบเงินก็ไม่จำเป็นเพราะใช้ระบบมาตรวัดความดีซึ่งเงินจะมีข้อเสียคือสะสมได้เมื่อสะสมมากเข้าก็หลงเหลิงแล้วใช้อำนาจเงินต่ออำนาจการเมืองแล้วข่มเหงผู้ต่ำต้อยกว่าดังในระบบทุนนิยมได้สร้างขึ้นมาแล้วล่มสลายลงอย่างน่าเศร้าใจเช่นนี้จะมีแต่คนดีมาเกิดแย่งกันทำความดีรัฐบาลตรวจโครงการแล้วสนับสนุนเป็นพี่เลี้ยงควบคุมไม่ต้องทำเอง (กลไกลแบบเอกชนทุนนิยม) แต่ทว่าแข่งกันทำดีเพื่อสังคมมิใช่สะสมเพื่อสนองความเห็นแก่ตัว (ปัจเจกนิยมและวัตถุนิยม) ประเทศจึงพัฒนาด้วยมือเทพผู้มาสะสมบุญบารมีซึ่งจุดนี้เองเป็นจุดแตกต่างจากระบบทุนนิยมที่ใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเครื่องเร่งนายทุนให้สร้างกำไรและใช้หลักการผลิตจำนวนมากเพื่อลดต้นทุนทว่าในความเป็ฯจริงมันสวนทางกันคือการผลิตให้มากเกินไปก็ถึงแก่จุดลดลงแห่งผลได้แต่ทว่าดอกเบี้ยเงินกู้มิได้ลดลงเมื่อกำไรลดลงจึงต้องออกล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจไปยังประเทศใหม่ๆนั่นเองแต่ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงนี้จะอาศัยการสนับสนุนและวัดผลโดยรัฐบาลมีการกระตุ้นให้เร่งทำความดีแข่งขันกันด้วยกลไกลทางวัฒนธรรมซึ่งคนดีจะมีพลังการเสียสละสูงกว่าคนเลวสามารถนั่งทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อช่วยเหลือคนได้ทั้งยังมีสติปัญญาดีกว่ามากมายประเทศชาติจึงเจริญอย่างรวดเร็วและถูกทางด้วยคนดีแบบนี้เองดังนี้จึงเกิดสมดุลแห่งการสร้างสรรค์ (ผลิตสิ่งดีงามแก่สังคม) และการจัดสรรค์ (เท่าเทียมพอเพียง) ประเทศจึงพัฒนาแท้จริง

    สถาบันพัฒนาสังคม (จำลองแบบโลก)
    นิยามของโลกคือระบบคัดแยกและเปลี่ยนแปลงภพใหม่คือให้โอกาสในการเรียนรู้พัฒนาและเลือกทางเดินตามที่ต้องการก่อนที่จะคัดไปสู่ส่วนสถาบันต่างๆทั้งนี้พวกเขามีอิสรภาพในการเลือกเองรัฐบาลสนับสนุนทุกอย่างเตรียมไว้ให้แล้วหากเขาพัฒนาตนเองได้ถึงระดับและผ่านเกณฑ์การวัดไม่ว่าเคยทำเลวมาก่อนหรือเป็นคนดีมาก่อนไม่สำคัญปัจุบันสำคัญที่สุดคนเราย่อมเคยทำดีและทำเลวมาแล้วทั้งสิ้นสถาบันนี้ประกอบด้วยสถาบันแม่และลูกซึ่งจะให้การอบรมแม่ให้เลี้ยงดูลูกและได้อยู่ด้วยกันหนึ่งปีเต็ม (ลูกไม่เกินสองคน) เพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ครอบครัวลดปัญหาอาชญากรรมและต้นทุนสังคมสถาบันการศึกษาแบบทั่วไปและแบบจำเพาะพิเศษเช่นเทพที่มาจุติเพื่อทำหน้าที่เฉพาะเช่นกลุ่มเทพวิษณุกรหรือนักวิศวะนั่นเองกลุ่มแพทย์เป็นต้นซึ่งต้องแยกโรงเรียนเรียนแบบพิเศษส่วนการศึกษาแบบทั่วไปไม่เน้นต้องไปรู้วิทยาศาสตร์มากแล้วไม่ได้ใช้แต่ควรรู้ในแบบที่ตนจะนำไปใช้ประกอบอาชีพได้ตรงทางซึ่งก็แน่นอนว่าชาวนาย่อมมีมากกว่าเทพพิเศษอยู่แล้วสถาบันพัฒนาสังคมนี้จะมีทุกระดับวัยเมื่อชราวัยลงก็จะเข้าสู่สถาบันพิเศษมารับใช้ชาติโดยบำเพ็ญเนกขัมมะคือออกจากครอบครัวสละการครองเรือนสู่การทำงานเพื่อสังคมอย่างเต็มที่โดยมีรัฐบาลเลี้ยงดูไม่ทอดทิ้ง

    สถาบันความมั่นคง (จำลองแบบนรก)
    ด้วยการรวมกันระหว่างทหารและตำรวจจึงสามารถแยกแยะผู้ที่จุติมาเกิดจากนรกหรือแม้นแต่มารสวรรค์ได้เช่นนี้เป็นการป้องกันมิให้มารนรกและมารสวรรค์มาทำลายระบอบการปกครองแบบพุทธะอีกด้วยการปล่อยให้อยู่ภายใต้สถาบันพัฒนาสังคมไปก่อนจากนั้นเมื่อทำผิดก็มีบันทึกไว้ทำโทษตามควรแล้วปล่อยกลับไปสู่สถาบันพัฒนาสงัคมให้กลับตัวกลับใจหากไม่สำนึกก็แยกเข้าสถานกักกันพิเศษที่ออกแบบไว้ให้พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ร่วมกันตลอดไปโดยไม่ลำบากเกินไปเพราะมารนรกไปเกิดเป็นสารพัดสัตว์จึงได้บุญมาเมื่อเกิดจะได้รับปัจจัยเยอะเป็ฯคนรวยและเลวจึงต้องสร้างระบบไว้แยกคนพวกนี้ออกและต้องให้มันพอใจในปัจจัยนั้นมันจึงไม่แหกคุกและไม่ออกไปทำลายคนดีและระบบอบพุทธะให้แยกตามแต่ละมูลฐานความผิดพวกเขาต้องดูแลกันเองใครมีบุญสะสมมามากกว่าจะจะตั้งตัวเป็นใหญ่ในนั้นเองปลูกข้าวปลูกผักกินเองและทำงานรับใช้ชาติตามกรรมแต่จะได้รับพระธรรมอย่างทั่วถึงถือว่าเกิดมาชดใช้กรรมบนโลกและอย่าไปอยู่ร่วมกับคนดีเพราะจะข่มเหงทำลายระบอบการปกครองแบบพุทธะและคนดีเสียสิ้นการแยกพวกเขาไว้ต่างหากนี้หากทำผิดไม่มากก็เข้าๆออกๆหากเข้าๆออกๆบ่อยจนไม่สามารถอยู่ในสังคมปกติได้ก็ต้องอยู่ประจำในเขตแดนนี้เป็นเขตห้ามมีอาวุธหทารและตำรวจเป็นผู้ควบคุมเข้มพวกเขาจึงทำได้เพียงใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมคนเลวเท่านั้นและปัจจัยสี่ต้องมีพอเพียงให้พวกเขาพอใจไม่ต่อต้านเสมือนขังหมูไว้ในเล้านี่คือกรรมที่พวกเขามาสร้างระบบทุนนิยมขังคนดีไว้ไม่ให้ได้เห็นพระธรรมไม่มีเวลาเข้าศึกษาพระพุทธศาสนาสถานกักกันนี้ไม่มีการทรมานจะทำให้พวกเขาอยากอยู่กันเองและทำร้ายกันเองตามกรรมนรกจึงเกิดเองจากพวกเขาให้แยกกักกันตามระดับความผิดตามภพภูมินรกต่างๆพวกเขาหากสำนึกผิดค่อยให้กลับคืนสู่สังคมได้คนดีทำผิดก็ต้องมาอยู่สถานกักกันแม้นว่าจะสูงส่งขนาดไหนก็ตาม

    สถาบันมารสวรรค์ (ไว้ดักทางมารสวรรค์)
    มารสวรรค์จะมีความบ้าอำนาจ, บ้ายศ, หลงตนเองและมีบุญบารมีมากดังนี้เมื่อจุติเกิดมาหากกดและข่มเข้าไว้ย่อมเป็นไปมิได้ยามที่โลกไม่มีผู้มีบุญมาจุติมารสวรรค์อาจทำการยึดครองระบอบการปกครองแล้วทำลายระบบพุทธะนี้ลงให้สร้างสถาบันนี้ไว้ดักมารสวรรค์และสมุนของมันทั้งหมดโดยทำให้ดูน่าหลงใหลศรัทธาน่าเชื่อถือมากๆมีวัตถุปัจจัยมากๆสรวงสวรรค์ฮาเร็มมากๆซึ่งแน่นอนว่ามันมีบุญมันย่อมได้สิ่งนี้และเลือกสิ่งนี้แน่นอนเมื่อมันมาจุติก็ต้องให้มันเข้าระบบมันก็จะไม่ไปแย่งตำแหน่งอื่นให้ตั้งตำแหน่งสวยหรูยิ่งใหญ่ที่สุดเช่น "จักรพรรดิ์เหนือกษัตริย์"แล้วให้อัญเชิญมันดำรงตำแหน่งตำแหน่งนี้ไม่ต้องทำอะไรให้กษัตริย์ส่งส่วยให้อย่างเดียวแล้วแยกพวกมารสวรรค์และบริวารไว้ต่างหากมันก็จะไม่เข้ามาทำลายระบบอย่าไปต่อกรกับมารสวรรค์หากบุญบารมีน้อยกว่าเพราะมันมีอิทธิฤทธิ์มากและบุญมากสู้ยังไงก็ไม่ไหวต้องให้มันมีวิมานอยู่อยู่ให้เป็นที่เป็นทางเสวยบุญไปก็จะยุติการก่อสงครามและการทำลายระบอบการปกครองแบบพุทธะลงได้ยากที่มารสวรรค์แอบหนีมาจุติโดยที่พระมหาโพธิสัตว์อาจลงมาจุติไม่ทันการณ์ก็จะชลอได้จนกว่าพระมหาโพธิสัตว์จะจุติมาปราบ
     
  11. 12punna

    12punna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +3,198
    ผมว่า คุณเจ้าของกระทู้ น่าจะ ถามในทำนองว่า เก่ง ? มี ฤทธิ์ ?
    มากกว่า



    ว่าแต่กระทู้หัวข้อด้านบนผม ทำไม ทำนองการเขียน คล้าย
    คนที่ใช้ชื่อ หนุมารส่งสาร อะไรนี้เลย หนุมารส่งสารหายไป
    ฤษีแปลงสารมาแทน ฮ่า ฮ่า
     
  12. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    งั้นถามละกันครับว่า..นักบวชประทศไหนครับ.../ แต่เดาๆเอาอยูแถวเอเชียป่ะ
     
  13. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +1,936
    หน้าตาคล้ายกันมากครับ

    อย่างกับคนๆเดียวกันเลย
     
  14. ง้วนดิน

    ง้วนดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,362
    ค่าพลัง:
    +11,047
    นักบวชทิเบตเป่าอะ...พ่อมดโลจิ

    รอ...รอ...ม่าไหร่เจ้าของทู้จามาเหลยอะ
     
  15. koisung

    koisung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +3,469
    เราว่าเราจำได้ เราเคยคุยกันแล้วหนิ...ใน msn ง่ะ

    เหอ เหอ

    ไปดีก่า....ชะแว๊บ
     
  16. weirchai

    weirchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    396
    ค่าพลัง:
    +1,410
    นักบวชหรอ ยังกับชุดใส่กันหนาวเลย น่าจะอยู่แถวโซนเอเชีย
     
  17. Seel

    Seel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    260
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,604
    อาการธรรมดาของโลก
     
  18. kook1519

    kook1519 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +3,159
    รู้สึกได้ว่า
    นักบวช 2 คน ก็คือคนธรรมดา
    อาจจะวิเศษ แต่ก็ยังคงตัดเรื่องทางโลกไม่ได้
    คือเราดูแล้ว ไม่ได้เกิดศรัทธา แต่มองว่า
    อืม เขาก็คือ ผู้หญิงคนนึง...

    (แหะ แหะ ทะเลาะกันหรือป่าวก็ม่ายรู้ ทำไมตาบูดๆๆ อ๊ะ)
    บอกตามความรู้สึกเลยน๊ะ
    คนซ้ายน๊ะ เรากลัว รู้สึกแปลกๆ
    คนขวา น๊ะธรรมดา
     
  19. buddha bless

    buddha bless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +878
    เฉลยเถิด.....จะเกิดผล...ครับ
     
  20. คุณ 4

    คุณ 4 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +5,159
    ดูแล้ว คิดถึงคุณมิงตรอนอ่ะ
    ใช่คนทางด้านขวาหรือป่าว
     

แชร์หน้านี้

Loading...