ด่วน..เหรียญหลวงพ่อคำปันวัดนาแส่ง สมเด็จองค์ปฐมวัดโขงขาว

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย wasan112, 22 พฤษภาคม 2016.

  1. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    เหรียญรุ่นแรกครูบาคำปัน ปภากโร วัดนาเเส่ง ลำปาง
    เหรียญรุ่นแรกครูบาคำปัน ปภากโร วัดนาแส่ง บล็อก หน้าแก่ สุดยอดเหรียญประสบการณ์กระสุ่น M 16 ไม่ระคายผิว ครับ
    ราคา 1499 เหรียญนี้ผมได้ให้ครูบาคำปันเสกก่อนท่านเสีย 1 เดือนถือว่าได้พุทธคุณเต็มๆบาท จัดส่งฟรี สนใจสอบถามได้ครับ
    [​IMG]
    DSC09130.JPG

    DSCF9311.JPG DSCF9310.JPG

    ชื่อบัญชี นาย วสันต์ ปิงสอน เลขที่บัญชี 5130066332 ธนาคาร กรุงไทย สาขา ลอง โทร 0819517866
     
  2. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    พระสมเด็จองค์ปฐมวัดโขงขาว

    สมเด็จ องค์ปฐม รุ่น 1 วัดโขงขาว หลวงพ่อฤาษีลิงดำ อธิษฐานจิตหลวงพ่อฤาษีลิงดำ อธิษฐานจิต หลายวาระ ในปี 2533 2534 คราวนำกฐินมาทอดที่วัดโขงขาว
    เท่ากับว่ารุ่นนี้เป็นสมเด็จองค์ปฐมรุ่นแรก พุทธาภิเษก 3 ครั้ง คือ ปี 2532 ,2533 ,2534
    และสร้างก่อนรุ่น 1 วัดท่าซุง


    พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) และ พระครูปิยรัตนาภรณ์(พระอาจารย์บุญรัตน์)


    ท่านพระครูปิยรัตนาภรณ์ (พระบุญรัตน์ กันตจาโร) ที่ได้เล่าถึงอุปการคุณของพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่มีต่อวัดโขงขาวไว้ดังนี้

    วัดโขงขาว ตำบลบ้านแหวน อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นวัดมาตั้งแต่โบราณกาล ไม่อาจนับได้ว่ากี่ปี แต่ก็มีคำเล่ากล่าวสืบๆ กันมาว่า สร้างก่อน พระนางเจ้าจามเทวี สวรรคต เพราะว่าเจ้าแม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากจึงสร้างวัดไว้เป็นอนุสรณ์ ดังจะเห็นได้ว่าวัดในลำพูน-เชียงใหม่ จะมีวัดติดวัด วัดโขงขาวเป็นวัดเล็กๆ ซึ่งมีหมู่บ้านที่อุปถัมภ์ไม่กี่หลังคาเรือน มีทุ่งนาล้อมรอบในสมัยก่อนเป็นวัดที่ห่างไกลความเจริญ ถนนหนทางก็ไม่ดีมีแต่เส้นทางเดินเล็กๆ พอสัญจรไปมาเท่านั้น ถาวรวัตถุภายในวัดก็มีแต่พระวิหารหลังเล็กๆ เก่ามาก จำนวน ๑ หลัง ด้านหลังพระประธานจะมี "โขง" ถ้าแปลตามภาษาภาคกลางว่า "ซุ้ม" โขง หรือ ซุ้ม นี้คนโบราณคงจะเอาสีขาวมาทาก็เลยตั้งนามวัดว่า "วัดโขงขาว" ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงปัจจุบัน และก็มีพระเจดีย์ติดต่อกับซุ้มออกไป นี่เป็นของโบราณมาตั้งแต่สร้างวัด และก็มีศาลารอบพระวิหารอยู่ ๒ ข้างเท่านั้น นอกจากนั้นก็มีกุฏิที่พักสงฆ์เป็นเรือนไม้จำนวน ๑ หลังเก่าแก่มาก นอกจากที่กล่าวมานี้ไม่มีอะไร เพราะชาวบ้านที่อุปถัมภ์วัดแถวนี้ยากจนหาเช้ากินค่ำไปวันๆ เท่านั้น
    วัดโขงขาวนี้มีเจ้าอาวาสปกครองมาโดยตลอดมิได้ขาด สภาพความเป็นอยู่ของวัดลำบากมาก ถาวรวัตถุก็ทรุดโทรมไปตามสภาพของกาลเวลา ผู้คนที่สัญจรไปมาผ่านวัดมักจะพูดเป็นทำนองเดียวกันว่า อีกไม่ช้าเท่าไหร่ วัดโขงขาวคงจะกลายเป็นวัดร้างไปแน่นอน คณะสงฆ์ส่วนใหญ่ และชาวบ้านถิ่นนั้นมีความวิตกกังวลในเรื่องนี้มาก เพราะหมดหนทางที่จะช่วยเหลือได้
    พอดีประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เดือนสิงหาคม ฤดูฝนกลางพรรษา ฝนตกมาก ในขณะนั้น อาตมาภาพได้รับนิมนต์ไปงานศพแห่งหนึ่งในเมืองเชียงใหม่ทั้งวัน พอเผาศพเสร็จแล้วเจ้าภาพก็นำมาส่งที่วัด พอรถเลี้ยวเข้ามาตามถนนกลางทุ่งนา ก็มีรถสวนทางมาพอดี คนในรถก็ลงมาจากรถมาถามว่า เจ้าอาวาสวัดโขงขาว อยู่ในรถใช่ไหมครับ คนขับรถก็บอกเขาไปว่าอยู่ในรถ เขาขึ้นรถแล้วกลับรถเข้ามาพร้อมกันที่วัด มาถึงวัดแล้วเขาก็กราบเรียนว่า ผมมาจากกรุงเทพฯ เป็นลูกศิษย์ของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร วัดท่าซุง อุทัยธานี คณะนี้มาประมาณ ๕ คน ถ้าจำไม่ผิด อาตมาก็เลยถามว่า โยมมีธุระอะไร เขาก็กราบเรียนว่า มานมัสการท่าน และมาดูวัด เขาก็เล่าต่อไปว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำบอกให้มา เพราะว่าเป็นวัดเก่าและวัดนี้มีความผูกพันกับหลวงพ่อมาตั้งแต่สมัยก่อนโน้น อาตมาก็ลืมมิได้ถามชื่อญาติโยมคณะนั้นไว้ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็มีคณะศิษยานุศิษย์ลูกหลานพระเดชพระคุณมาทำบุญ เรื่อยๆ จนมาถึง พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็มีคณะ คุณอำนาจ มณีน่วม บางรัก กรุงเทพฯ ร้านเตียง้วนเฮียง คุณแม่นิภา ผลิตผลการดี คุณสกล อาชวพร นำพาลูกหลานญาติมิตรสหาย คณะศิษย์พระเดชพระคุณท่านพ่อฯ มาวัดโขงขาวในรูปถวายสังฆทาน - ทอดผ้าป่า - ทอดกฐิน ทางวัดก็เลยรื้อกุฏิไม้หลังเก่าออกสร้างกุฏิหลังใหม่ขึ้นแทนตามคำสั่งของพระ เดชพระคุณท่านพ่อฯ ท่านก็ฝากเงินมาถวายทำการก่อสร้างวัดอยู่ตลอด ของใช้ภายในวัดพระเดชพระคุณท่านพ่อฯ ก็ให้คณะศิษย์นำมาถวายโดยมิได้ขาด เพราะว่าที่วัดไม่มีของใช้เท่าที่ควร เมื่อสร้างกุฏิเสร็จแล้ว พระเดชพระคุณท่านพ่อฯ ก็สั่งให้สร้างหอฉัน - โรงครัว เมื่อสร้างเสร็จ พ.ศ.๒๕๒๔ พระเดชพระคุณท่านพ่อฯ ก็สั่งให้สร้างศาลา เสร็จแล้วก็สร้างกุฏิถวายพระเดชพระคุณท่านพ่อฯ ๑ หลัง สร้างเรียบร้อยแล้ว ประมาณเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๒๕ ก็ได้กราบอาราธนานิมนต์พระเดชพระคุณท่านพ่อฯ มาที่วัด วันนั้นอากาศหนาวมาก ญาติโยมชาวอำเภอหางดง และอำเภอเมืองเชียงใหม่มาคอยกราบนมัสการท่านพ่อเป็นจำนวนมาก พอพระเดชพระคุณท่านพ่อฯ เดินทางมาถึง แล้วก็กราบอาราธนาขึ้นศาลา สถานที่ถวายการรับรอง เมื่อพระเดชพระคุณท่านพ่อฯ กราบพระประธานแล้ว พระเดชพระคุณท่านพ่อฯ ก็เล่าว่าเมื่อกี้นี้ หลวงปู่ชุ่ม ซึ่งเป็นพี่ชายของฉันมาบอกว่า ขอให้บูรณะวิหารวัดนี้ให้เป็นพระอุโบสถด้วยนะ และช่วยสร้างวัดนี้ให้มีความเจริญรุ่งเรืองด้วยนะ และหลวงพ่อท่านก็เล่าต่อไปว่า วัดนี้เป็นวัดที่ท่านแม่เคยมาสร้างไว้มีความผูกพันกันมา วัดนี้สำคัญมาก พระเดชพระคุณท่านพ่อฯ เรียกอาตมาภาพเข้าไป ท่านบอกว่า

    "บุญรัตน์ ลูกเอ้ย เคยเกิดเป็นลูกพ่อมาได้หลายชาติหลายปางแล้วนะลูกนะ ขอให้ลูกช่วยเป็นกำลังของพระศาสนาด้วย อย่าได้เข้าป่าตามที่ลูกคิดไว้นะพ่อจะเอากฐินมาทอดตั้งแต่นี้เป็นต้นไปทุกปี นะ"

    ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๕ เป็นต้นมา พระเดชพระคุณท่านพ่อฯ ก็ได้นำคณะศิษย์ลูกหลานมาทอดกฐินทุกปีตามที่พระเดชพระคุณท่านปรารภไว้ ทางวัดก็ได้สร้างถาวรวัตถุตามที่ท่านพ่อได้สั่งให้ทำ เช่น กุฏิพักสงฆ์หลายหลัง - ที่พักญาติโยม - ห้องกรรมฐาน - แทงค์น้ำ ซื้อที่ดินถวายวัดให้กว้างขวางขึ้น เพราะว่าที่ดินเก่าของวัดมีไม่กี่ไร่ พอมาถึง พ.ศ.๒๕๓๒ ท่านพ่อนำคณะลูกศิษย์ลูกหลานมาทอดกฐิน พระเดชพระคุณท่านพ่อฯ สั่งว่า ให้สร้างศาลาอีก ๑ หลัง ให้กว้างหน่อยทำเป็น ๒ ชั้น บรรจุคนได้มากหน่อย อาตมาภาพก็กราบเรียนท่านว่า เกล้าฯ ไม่ทราบว่าจะหาเงินที่ไหนมาสร้างขอรับ พระเดชพระคุณท่านก็บอกว่า "ไม่เป็นไรเรื่องเงินพ่อจะหามาให้ ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าพ่อไม่ช่วยลูกแล้วพ่อจะช่วยใคร" พระเดชพระคุณท่านพ่อฯ ให้กำลังใจดีมาก หลังจากทอดกฐินแล้ว ก็เริ่มสร้างศาลาโดยใช้เวลาก่อสร้าง ๒ ปีเศษ สิ้นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างทั้งหมด ๑๕ ล้านบาทเศษ ทางวัดก็กราบเรียนถวายพระเดชพระคุณฯ ขออนุญาตตั้งนามศาลาอันเป็นมงคลว่า "ศาลาพระราชพรหมยานไพศาลภาวนานุสิฐ" เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์แด่พระเดชพระคุณท่านฯ

    ปี พ.ศ.๒๕๓๔ ท่านพ่อก็ได้นำคณะศิษย์ลูกหลานมาทอดกฐินท่านก็สั่งการว่า "บุญรัตน์ ลูกเอ้ย ปีนี้ขอให้สร้างพระพุทธรูปปางลีลา-รูปเหมือนหลวงพ่อปาน-รูปเหมือนพ่อตั้ง ประดิษฐานที่หน้าศาลานี้เพื่อไว้ให้ลูกหลานสักการบูชาในขณะที่พ่อไม่อยู่ และให้สร้างรูปท่านแม่จามเทวี พร้อมรูปเจ้าแม่กวนอิมไว้ เผื่อลูกหลานพ่อมาจะได้ระลึกถึง เมื่อสร้างเสร็จแล้วปีต่อไปให้สร้างศาลารอบพระอุโบสถ บูรณะพระอุโบสถให้เสร็จนะ แล้วทำการผูกพัทธสีมา เพื่อให้ถูกต้องตามพระวินัยสืบต่อไปนะลูก ส่วนกำแพงรอบวัดนั้นให้ทำหลังจากฝังลูกนิมิตแล้วนะ" ตามที่กล่าวมานี้เป็นคำสั่งของพระเดชพระคุณท่านพ่อฯ ได้สั่งการเอาไว้ อาตมาภาพในฐานะที่เป็นลูก ก็ต้องเจริญรอยตามที่พระเดชพระคุณท่านฯ สั่งไว้ทุกประการ
    ขอย้อนหลังไปปี พ.ศ.๒๕๓๓ พระเดชพระคุณท่านฯ มาทอดกฐินที่วัด เวลาตอนเช้าท่านพ่อได้พาลูกหลานเดินชมวัด พอมาถึงหน้าพระวิหาร ท่านพ่อได้เล่าว่า "ชาติก่อนหน้านี้ เขาได้นำเอาศพพ่อมาฝังไว้ใต้พระสถูปเจดีย์แห่งนี้ พร้อมด้วยข้าวของของพระบุญรัตน์นี่แหละ เพราะเหตุนี้จึงได้นำกฐินมาทอดทุกปี วัดนี้มีความสำคัญกับหลวงพ่อมากนะ" ตามที่ได้กล่าวมานี้เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกมากมาย ไม่อาจนำมาพรรณนาเป็นภาษาอักษรได้หมดสิ้น จึงนับได้ว่าพระเดชพระคุณท่านพ่อฯ ได้มีพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ไพศาลต่อวัดโขงขาวเป็นอย่างมาก สมดังคำหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก - หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร ได้เล่าไว้ว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นพระทองแท้ มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ มีบุญบารมีอันสูงส่งหาใครเปรียบมิได้ รู้ใจคนเก่ง มีสมาธิธรรมอันสูงส่ง มีเจโตอันแจ่มใสชัดเจนมาก

    เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ อาตมาได้ไปกราบท่านพ่อที่ซอยสายลมประมาณเดือนมกราคม พอก้มกราบเท้าท่าน ๓ ครั้ง เงยหน้าขึ้นมา พระเดชพระคุณท่านบอกว่า "บุญรัตน์ ลูกเอ้ย ให้ลาพระพุทธภูมิเสียนะลูก เอานิพพานดีกว่าไม่ต้องมาเกิดอีกแล้วนะ" อาตมาจึงคิดได้ว่า พระเดชพระคุณท่านพ่อรู้ใจเราอย่างถูกต้องได้ดี ก็กราบเรียนท่านว่า "ขอรับครับผม" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา อาตมาก็ลาพระพุทธภูมิปรารถนาเอาพระนิพพานเป็นที่สุด ต่อมาประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๒๗ เหมือนกัน ก็ไปกราบพระเดชพระคุณท่านที่วัดท่าซุง ท่านบอก "ดีแล้วลูก เอานิพพานเป็นที่มั่นหมายไม่ต้องมาเกิดอีกแล้วนะลูก นิพพานัง ปรมังสุขังนะ" อาตมาได้ยินท่านพูดแล้วก็ดีใจ ชื่นใจมาก และก็ได้ปฏิบัติเจริญรอยตามคำสั่งของท่านพ่อทุกประการ

    ในการจากไปของพระเดชพระคุณท่านพ่อฯ ครั้งนี้ จากไปเพียงสรีระสังขารเท่านั้น ส่วนคุณงามความดียังอยู่ทุกประการ บุญกุศลใดที่บรรดาลูกหลาน ศิษยานุศิษย์ได้ทำบุญอุทิศถวายพระเดชพระคุณท่านพ่อฯ ในครั้งนี้ ขอจงโปรดรับโมทนาอันเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ไพศาล ขอให้ลูกหลานท่านพ่อจงได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด

    บูชาองค์ละ 999 ไม่รวมส่งค่าจัดส่ง 50 บาทครับของแท้ต้องมีรอยตะไบใต้ฐานครับ

    องค์ที่ 1

    DSCF9328.JPG DSCF9329.JPG DSCF9330.JPG [

    องค์ที่ 2
    DSCF9331.JPG DSCF9332.JPG DSCF9333.JPG

     
  3. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    พระนาคปรกอาจารย์เณรวิเศษสิงห์คำ

    [FONT=Ms Sans Serif,Tahoma]อาจารย์เณร ท่านบรรชา

    ก่อนอื่นจะเริ่มอย่างไรดี ขอเริ่มจากรูปท่านของท่าน

    รูปนี้ท่านถ่ายตอนอายุประมาณสิบกว่าปี ยังไม่ถึง ยี่สิบ

    เพราะถ้าถึง ยี่สิบจะต้องอุปสมบท แต่ต่อมาท่านไม่อุปสมบท จึงเรียกว่า อาจารย์เณร บ้าง หรือ หลวงพ่อเณรบ้าง

    และต้อมาท่านได้ลาสิกขาออกมา ย้อนหลังไปเมื่อสามสิบปีกว่าก่อน ทางเหนื่อ ช่วงประมาณปี ๑๗ ไม่มีใครไม่รู้จัก สามเณรเสก หรือชื่อจริงว่า สามเณรวิเศษณ์ สิงห์คำ วัดสันป่าสัก อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ตอนนั้นท่านอายุสิบกว่าขวบ ยังเป็นเณร เล็กๆ อยู่เลย แต่ท่านโด่งดังมากโดยเฉพาะ ตระกรุด กุมารทองดิน ๗ ป่าช้า และวัวธนู ว่ากันว่ามีผีมาสอนวิชาให้ท่าน ตอนท่านเป็นเณรที่ศาลาเก่าไม่มีใครกล้าเข้าไป แต่ท่านไปนอนคนเดียวและท่านเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร นอกเหนือจากนี้ท่านยังเป็นลูกศิษย์ของพ่อหนานมา ที่ขนาดที่ผีเขา ถ้าเอ่ยเพียงชื่อพ่อหนานมา ผีจะออกเลย สมัยนั้นพ่อผมเล่าว่า คนต่างหลั่งไหล ไปบูชาตระกรุดเณรเสก โดยเฉพาะหนุ่มๆและนักเลงหัวไม้ได้มาต่างเอามาลองกัน แต่ไม่มีใครได้เลือดเลย เสียดายที่ผมยังหาตระกรุดของท่านไม่ได้ เนื่องจากตระกรุดทางเหนือจะทำด้วยทองแดงและร้อยด้ายแดง ทำให้แยกได้ยากต้องได้ที่มาชัวร์จริงๆเท่านั้น ที่ได้มาให้ชมกันนี้เป็นกุมารทองของท่านที่ว่ากันว่าเฮี้ยนนัก เพราะวัสดุที่ทำไม้ว่าจะเป็นดินผงกระดูกผี ๗ป่าช้าและมวลสารทางมากนิยมอื่นๆท่านใส่ไว้เต็มที่ ใครมีต่างหวงครับและวิญญาณกุมารก็ยังอยู่ครับ ปัจจุบันท่านอายุได้ร่วมห้าสิบปีแล้ว เป็นฆราวาสครับแต่ไม่ได้สร้างอีกแล้วครับ กุมารทองของท่านปัจจุบันคนรู้จักน้อย และท่านสร้างไว้น้อยด้วยครับถ้เจอก็เก็บไว้เถอะครับ นี่แหละครับอีกหนึ่งของดีที่สร้างถุกต้องตามตำราการสร้างกุมารทองปลุกเสกจาก เกจิ อายุเพียงสิบกว่าขวบ แต่ขลังนัก และเฮี้ยนจริงๆ .....

    ปัจจุบันท่านอายุประมาณ หกสิบครับเรื่องของท่านอาจารย์เณร เริ่มขึ้นมาจากท่านเป็นสามเณรอยู่ที่วัดสันป่าสัก สันป่าตอง

    โดยลักษณะของท่านไม่เหมือนสามเณรอื่น คือ ท่านชอบปลีกวิเวก

    และ ชอบศึกษาเรื่องคาถาอคมไสยเวท โดยไปฝกาตัวกับอาจารย์หลายท่าน ทั้งพระ และ ฆราวาส ซึ่งตอนนั้นท่านอายุได้เพียงสิบกว่าขวบเท่านั้น

    และ ศาลาที่วัดปกติไม่มีใครกล้าเข้าไปนอนเพราะผีที่นั่นดุมาก

    แต่ท่านเข้าไปนอนคนเดียว และ มีเรื่องร่ำรือว่า ผีที่อยู่ที่นั่นได้สอนวิชาให้ท่านอีกด้วย


    [​IMG]

    [​IMG]

    รูปนี้ท่านถ่ายตอนอายุประมาณสิบกว่าปี ยังไม่ถึง ยี่สิบ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    เปิดให้บูชา 999 บาทหายากสร้างน้อย
    DSCF9312.JPG DSCF9313.JPG

    [/FONT]
     
  4. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    พระสมเด็จหลังในหลวง

    ปิดแล้วครับ

    เปิดให้บูชา 499 บาท

    DSCF9314.JPG DSCF9315.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2016
  5. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    แม่เป๋อ พ่อเป๋อล้านนามหาเสน่า

    ปิดแล้วครับ

    แม่เป๋อ

    คืออะไร ประวัติอีเป๋อ ความว่า อีเป๋อเป็นสาวสวย ผิวพรรณดี ลุกแม่ค้าขายของอยู่ในตลาด มักจะออกไปช่วยแม่ขายของตามโอกาส และทุกครั้งที่เป๋อออกไปขายของช่วยแม่มักจะขายดี ขายจนหมด ลูกค้าที่เข้าอุดหนุนซื้อของส่วนมากจะเป็นผู้ชายทั้งหนุ่มและแก่ และมักจะขายได้กำไรดีเพราะบรรดาเหล่าลูกค้ามักจะไม่มีใครรับเงินทอนกัน เพราะอะไรนั้นหรือหลายท่านคงสงสัยกันแล้วมีอยู่วันหนึ่งเป๋อออกไปขายของให้ แม่ที่ตลาด ลูกค้าไม่ค่อยมีจึงเผลอนั่งหลับ จนไม่รู้ตัวว่าผ้าถุงเปิด จนชายหนุ่ม ชายแก่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าจึงได้เขามามุงที่ร้านขายของอีเป๋อ จนแน่นร้าน เพื่อจะรอฉวยโอกาสดูของดีของอีเป๋อ ไม่มีใครสนใจซื้อของหรอกครับ แม่อีเป๋อไปทำธุระกลับมาที่ร้านสงสัยว่าทำไมคนแน่นร้านก็ได้เข้าไปในร้านของ ตนพบลูกสาวนอนหลับอยู่ เมื่อชายหนุ่ม และชายแก่เห็นว่าแม่อีเป๋อมาที่ร้านกลัวว่าจะโดนแม่อีเป๋อด่าว่ามาแอบดูของ ดีอีเป๋อ จึงแกล้งซื้อของกันแบบไม่เอาเงินทอนกันหลายคนจนของหมดร้าน อีเป๋อรู้สึกตัวตื่นของก็ขายไปหมดแล้ว แม่อีเป๋อรู้จึงบอกให้อีเป๋อว่าคนซื้อของจนหมดเพราะมาแอบดูของดี หลังจากนั้นอีเป๋อ เริ่มรู้วิธีขายของให้ได้กำไรงาม จึงไปช่วยแม่ขายของแล้วแกล้งนั่งหลับ ให้คนชายหนุ่ม คนแก่เข้ามาซื้อของ มีอาจารย์ที่มีวิชาทางไสยมาเห็นเข้าจึงได้จัดสร้างอีเป๋อ ให้พ่อค้าแม่ขายได้บูชากัน อ้างคุณว่าช่วยให้ค้าขายดี

    พอหลังๆครูบาอาจารย์ มีวิชาอาคมแก่กล้า และใช้สื่ออาถรรพ์ในการอัญเชิญพรายมาสถิตเป็นแม่เป๋อ มหาเสน่ห์ มวลสารอาถรรพ์ที่พระอาจารย์ใช้ในการจัดสร้างที่เปิดเผยได้แก่ ดิน 7 ป่าช้า, ผงเถ้ากระดูกคน ,น้ำมันพรายที่ลนมากจากศพผีตายโหง, ว่านดอกทอง , ว่านช้างผสมโขลง , ว่านเขาหลง , น้ำมันช้างผสมโขลง , และผงอาถรรพ์ต่างๆไม่เป็นที่เปิดเผยอีกมาก เมื่อได้มวลสารต่างๆมาแล้วพระอาจารย์จะบริกรรม สวดท่องคาถา ระหว่างทำพิธี ทำการบด ผสม ดินป่าช้า ผงเถ้ากระดูก และว่านเสน่ห์ มวลสารอาถรรพ์ต่างๆให้ละเอียด จากนั้นจะนำมาเทขึ้นรูปเป็นแม่เป๋อ มหาเสน่ห์ ทำการปลุกเสก ลงคาถาอาคมกำกับแม่เป๋อทุกตน ให้ช่วยเหลือผู้ที่นำไปบูชา โดยมิให้มีผลเสียใดๆ

    แม่เป๋อ เสน่ห์ยาแฝด วิชามนดำ อาจารย์ผู้มีอาคมทางวิชาเขมร จะสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ต้องการหาแฟน หากิ๊ก ให้มีคนรักหลง หรือ ผู้ที่มีปัญหาครอบครัว สามีไปมีบ้านเล็ก บ้านน้อย ใช้ดลใจคนที่ชอบที่ คุยด้วยบ่อยครั้ง ให้มารักหลงไหล มีใจให้ผู้บูชาแม่เป๋อ มหาเสน่ห์ บางท่านทำกิจการค้าขาย ก็จะนำแม่เป๋อ ไว้ในที่เก็บเงิน เพื่อเรียกเงิน เรียกทอง เรียกลูกค้าให้เข้ามาซื้อของ ให้มาใช้บริการดียิ่งนักบางคนพกพาเน้นโชคลาภ ถูกหวย รวยเบอร์ เสี่ยงดวงก็ได้เช่นกัน

    วิธีบูชาแม่เป๋อ มหาเสน่ห์

    แม่เป๋อ นั้นหากต้องการให้เขาช่วย หรือขออะไรให้ได้ผลเร็วไว จะต้องมีการบูชาทุกวันโกน หรือก่อนวันพระ หรือเซ่ยเหล้าทุกวันยิ่งดี วันโกนควรจัดวาง เหล้าขาว 1 แก้ว, น้ำเปล่า, ของยำ ,ของกิน ,ผลไม้ ,พวงมาลัยสด 1 พวง, แล้วแต่จะจัดหาให้ จุดธูป 1 ดอก ท่องคาถาเรียกแม่เป๋อ ให้มารับมากินของเซ่น ของถวาย แล้วให้อธิฐานขอ เรื่องต่างๆที่ต้องการให้ช่วย

    ตัวอย่างคำขอ

    1.ขอให้ข้าให้ค้าขายดี มีคนซื้อของสั่งของเยอะๆ ได้เงินได้ทองเยอะๆแล้วจะนำเหล้าขาว ของกิน มาให้กินอีก มามา อยู่ด้วยกันมาช่วยกันเถิด 2. ขอให้ข้าพเจ้ามีแต่คนรัก คนหลง อยู่ที่ใดเหยียบที่ใดมีแต่คนรัก คนหลง ใครเห็นข้าพเจ้าอยากอยู่ใกล้ข้าพเจ้า ทนอยู่ที่ใดไม่ได้คิดถึงแต่ข้าพเจ้าด้วย ต้องมาหาข้าพเจ้าด้วยเถิด หมายเหตุ** ควรตั้งใจให้สงบ อย่าฟุ้งซ่านแล้วท่องคาถา 3 จบ 7 จบ แล้วขอสิ่งที่ต้องการแล้วพกพาติดตัวไปไหนมาไหนจะได้ผลดีขึ้น

    เปิดให้บูชาพร้อมกันทั้งคู่ 3999 บาทรวมส่ง 50 บาท

    DSCF9323.JPG DSCF9324.JPG DSCF9325.JPG DSCF9326.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2016
  6. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    รกแมวมหาเมตา

    รกแมวมหาเมตาปลุกเสกเดียวโดยครูบาครอง 3 เดือนเต็มแรงสุดๆ

    เปิดให้บูชา 999 บาท
    DSCF9316.JPG DSCF9317.JPG

     
  7. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    ครูบาศรีมรรย์ วัดบ่อเต่า รุ่นเพชรชาตรี 58

    ปิดแล้วครับ

    ครูบาศรีมรรย์ วัดบ่อเต่า รุ่นเพชรชาตรี 58


    เป็นชุดพระเครื่องอีกรุ่นที่น่าใช้น่าบูชา วัตถุประสงค์ของการจัดสร้างพระเครื่องรุ่นนี้เพื่อการบูรณะกุฎิสงฆ์ ชนวนมวลสารที่ใช้ในการสร้างพระเครื่องรุ่นนี้ถือว่ามีมากมายทั้งแผ่นจารโลหะ ของครูบาศรีมรรย์ เนื้อพระนวะโลหะกลับดำสวยมาก เข้มขลังสุดๆครับ
    2artst1.jpg 2artst2.jpg 2artst3.jpg


    ขอบคุณ

    ข้อมูลจากเวปพระล้านนา



    12115859_906364262771923_8565808683838959391_n.jpg 12075067_906364279438588_4562573439255075910_n.jpg
    DSCF9334.JPG DSCF9335.JPG


    เปิดให้บูชา 999 บาท ค่าจัดส่ง 50 บาทเนื้อนวะหายาก แจกพระธาตุทุกรายการครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF9336.JPG
      DSCF9336.JPG
      ขนาดไฟล์:
      34.4 KB
      เปิดดู:
      116
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2016
  8. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    ประคำผงยา

    มีทั้งหมด 27 ลูกเก่ามาก

    เปิดให้บูชา 999 บาท

    DSCF9341.JPG DSCF9343.JPG
     
  9. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    พระธาตุได้ตกทอดมา

    พึ่งได้มาครับพระธาตุสวยเก่า

    DSCF9346.JPG DSCF9347.JPG DSCF9348.JPG

    เป็นโลหิตธาตุ มีสองสีครับ
     
  10. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    รูปถ่ายหลัง ตะกรุดพวง หลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอร์

    เทพเจ้าบ้านปราสาทเยอร์
    พระครูประสาธน์ขันธ์คุณ “หลวงพ่อมุม อินฺทปญฺโญ”
    วัดปราสาทเยอร์เหนือ อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ
    นครพนม มี เจ้าคุณปู่จันทร์ อุดรธานี มี หลวงปู่ขาว เชียงใหม่ มี หลวงปู่แหวน สกลนคร มี หลวงปู่ฝั้น สุรินทร์ มี หลวงปู่ดุลย์ โคราช มี หลวงพ่อพุธ ร้อยเอ็ด มี หลวงปู่ศรี อุบลราชธานี มีหลวงพ่อชา หนองคาย มีหลวงปู่เทสก์ ศรีสะเกษมีหลวงพ่อมุม ฯลฯ

    หัวใจแห่งศรัทธาจังหวัดละดวง หรือมากกว่านั้น

    นี่ยังไม่นับไปถึงภาคใต้ ตะวันออก ตะวันตกและกลาง ที่มีดวงใจโต ๆ คับอกชาวพุทธแต่ละจังหวัดชั่วนิรันดร์

    ความเคารพเลื่อมใสในหลวงพ่อมุม ของชาวศรีสะเกษนั้นเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว นี่ไม่ได้กล่าวเกินเลย แต่มันเป็นความจริงที่ใคร ๆ สามารถพิสูจน์ได้

    คุณเกียรติ สำราญ ผู้จัดการสีรุ้งคาร์แคร์ เยื้องวัดเจียงอี ในเมืองศรีสะเกษ เป็นผู้หนึ่งที่ศรัทธาในหลวงพ่อมุมตั้งแต่ยังเด็กจนล่วงเข้ากลางคน เขาแขวนเหรีญรุ่นแรกหลวงพ่อมุมตั้งแต่อายุราว 12 ขวบ จนทุกวันนี้ 38 หรือ 39 เข้าให้แล้ว

    20 กว่าปีที่หลวงพ่อมุมไม่เคยห่างคอ

    ไม่เคยมีของคณาจารย์อื่นใดนอกจากหลวงพ่อมุมอีกต่างหาก

    คุณเกียรติเล่าว่า เดิมไม่รู้จักหลวงพ่อมุม วันหนึ่งมีรายการชกมวยใกล้บ้าน ไปป้วนเปี้ยนหาช่องจะดูมวย พบเพื่อนเด็กคนหนึ่งอยากดูมวยแต่ไม่มีเงิน จึงร้องขายเหรียญหลวงพ่อมุมที่แขวนอยู่ในคอ คุณเกียรตินึกอยากได้โดยไม่ทราบว่าทำไม และได้กลับไปบ้านขโมยเงินแม่มาซื้อเหรียญหลวงพ่อมุมจากเพื่อนในราคา 20 บาท พอกลับบ้านถูกแม่จับได้และตี ฐานทำตัวไม่สุจริต

    เหรีญหลวงพ่อมุมที่ซื้อจากเพื่อนนั้นคือ เหรียญรุ่นแรก สร้างราวๆ ปี 2507-2508 เหรียญนั้นได้ช่วยชีวิตและร่างกายของคุณเกียรติหลายครั้ง เฉพาะที่ประทับใจคือคราวเกิดอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ชนกองหิน

    เรื่องมีอยู่ว่า คุณเกียรติและเพื่อนอีก 2 คน ซ้อนมอเตอร์ไซค์คันเดียวกันคือซ้อนสาม คุณเกียรตินั่งท้ายสุด มอเตอร์ไซค์เสียหลักพุ่งเข้าชนกองหินที่พวกก่อสร้างตึกได้กองไว้ข้างทาง คุณเกียรติตัวลอยขึ้นสูงอย่างน่ากลัวแล้วหล่นพลั่กสู่พื้นแน่นิ่งไป ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าคุณเกียรติไม่รอด เพราะสถานการณ์ที่เห็นนั้นน่ากลัวกว่าเพื่อนอีกสองคนซึ่งล้มไปธรรมดา แต่ปรากฏว่าคุณเกียรติกลับลุกขึ้นได้ ส่วนเพื่อนอีกสองคนสลบเหมือด

    จริงๆแล้วการเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งของแต่ละคนถ้าหากมีการรอดพ้นอันตรายมาได้ก็ไม่
    น่าจะถือว่าเป็นไปโดยปาฏิหาริย์ หรือความศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียว อุบัติเหตุหลายครั้งแม้ไม่มีของศักดิ์สิทธิ์ติดตัวก็เคยมีผู้รอดปลอดภัย อย่างเหลือเช
    ื่อมาแล้ว ผู้เชื่อในวิทยาศาสตร์จึงไม่ยอมรับ และผู้เชื่อในไสยศาสตร์หรือศาสตร์แห่งอภินิหารก็ไม่อาจกล่าวได้เต็มปาก เนื่องจากว่าวิทยาศาสตร์จะเถียงเอา

    แต่สิ่งที่วิทยาศาสตร์งุนงงถกเถียงไม่ได้ก็มีอยู่

    คุณเกียรติเล่าว่า วัตถุมงคลของหลวงพ่อมุมนั้นมีข้อห้ามอยู่ 2 ประการคือ 1. ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วย 2. ห้ามกอบน้ำจากห้วยหนองบึง หรือปลักควายมาดื่มกินด้วยฝ่ามือทั้งสอง ถ้าฝ่าฝืนข้อห้ามแล้วจะเกิดอะไรขึ้นคุณเกียรติไม่รู้เหมือนกัน

    วันหนึ่งไปเที่ยวสระบุรีได้ลงเล่นน้ำในหนองแห่งหนึ่ง เล่นเพลินจนลืมข้อห้ามนี้ ได้กอบน้ำในหนองที่ตนเองลงว่ายเล่นใส่ปาก เมื่อขึ้นบนฝั่งปรากฏว่าพระเครื่องของหลวงพ่อมุมหลายองค์หลุดหายหมด เหลือแต่สร้อยคอเปล่าๆ พระหลุดไปทุกองค์ได้อย่างไรไม่รู้

    เหรียญรุ่นแรกที่ได้จากเพื่อนเด็กหน้าสนามมวยก็หายไปด้วยในคราวนี้ เดือดร้อนต้องหาใหม่มาแทนของที่หายไป

    เกียรติคุณของหลวงพ่อมุม ของชาวศรีสะเกษ ไม่ได้อยู่ที่ความขลังในวัตถุมงคลอย่างเดียว ทุกคนที่ศรัทธาในองค์ท่านล้วนเชื่อว่าท่านคืออริยสงฆ์องค์หนึ่ง วัตรปฏิบัติของท่านไม่ได้ดุเดือดเลือดพล่านเหมือนของขลังของท่านที่โลดทะยาน ไปบนถนนข
    องมีดและปืน ซึ่งคนทั่วไปให้ความเชื่อมั่นว่าถ้าหากจะต้องเสี่ยงภัยจากอาวุธยุทโธปกรณ์ แล้ว มีหลวงพ่อมุมติดตัวเป็นอุ่นใจได้ องค์ท่านเป็นพระที่อยู่อย่างเรียบง่าย มีเมตตาต่อคนทั้งหลายเสมอกัน ไม่โอ้อวดแสดงฤทธิ์ เยือกเย็น ใจดี และหมดโกรธ

    เซียนน้อย สำราญ นักสะสมพระเครื่องชื่อเด่นในศรีสะเกษ ได้เล่าว่า เพื่อนของเขาคนหนึ่งเดินทางไปหาหลวงพ่อมุม สมัยที่ถนนเปื้อนโคลน ไปด้วยรถจักรยาน เขาไปกับเพื่อนอีกคนซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานหลวงพ่อมุม ไปเพื่อจะขอท่านทำตะกรุดให้ ถนนที่มุ่งไปสู่วัดแฉะลื่นจนไม่สามารถจะขี่จักรยานได้ถึงขั้นต้องช่วยกันแบก จักรยานเ
    ดินไป

    ถึงวัดแล้วก็พบว่าหลวงพ่อมุมนั่งรออยู่กับโยมคนหนึ่ง ท่านทำตะกรุดให้เดี๋ยวนั้น ทำเสร็จแล้วส่งมอบให้และบอกว่าให้เอาไปลองดู

    เท่ากับเป็นการแสดงความเชื่อมั่นในตะกรุดของท่านเอง

    โยมที่นั่งอยู่กับหลวงพ่อมุมได้บอกว่า จริงๆแล้วหลวงพ่อมีนิมนต์จะไปงานบุญอะไรสักอย่าง แต่ท่านบอกให้รอก่อน มีแขกมาหาสองคน สงสารเขา อุตส่าห์มาลำบาก ก็ปรากฏว่าคนทั้งสองแบกจักรยานมาอย่างลำบากจริง ๆ

    นี่ก็ถือเป็นญาณหยั่งรู้ของพระอริยเจ้าได้เช่นกัน

    พูดถึงการลองของหรือลองวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ต่างๆ เท่าที่ทราบมักไม่ค่อยมีใครยินดีให้ลอง ท่านว่าเป็นการประมาทในครูบาอาจารย์ เว้นตู้ไม่ศรัทธา มีความรู้สึกหมิ่นแคลน ไม่เชื่อถืออยู่ในใจ ท่านอาจทราบโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ท่านก็มักจะอนุญาตให้ลองได้ บางทีเพื่อนเซียนน้อยอาจรู้สึกอย่างนั้นในใจก็ได้

    มีเรื่องหนึ่งซึ่งทุกคนทราบดีว่า ถ้าใครไปเจิมรถกับท่านแล้ว รถมักจะต้องมีอุบัติเหตุเสียก่อน คือพอท่านเจิมเสร็จเป็นอันว่าไม่ช้านานรถจะต้องชน หรือพลิกคว่ำสักครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นรถจะปลอดภัยจากอุบัติเหตุ มีรถใหม่ๆหลายคันต้องพลิกคว่ำเสียเงินซ่อมไปมากมาย แม้ว่าคนรถจะปลอดภัยก็ตาม

    รู้จึกมักแนะนำกันว่า ถ้าหากหลวงพ่อมุมเจิมรถให้แล้ว เวลาออกจากวัดให้หาต้นกล้วยสักคันหนึ่งแล้วขับรถที่เพิ่งเจิมเข้าชนเป็นการ แก้เคล็ด นับว่าเป็นวิธีการที่แยบคายดี

    หลวงพ่อมุมเป็นพระที่มีอภินิหารมาก ลูกศิษย์ของท่านมักกลายเป็นผู้ประกาศเกียรติคุณของท่านโดยไม่รู้ตัว คือไปเกิดเรื่อง ไปประสบภัยแล้วปลอดภัย ทำให้ชื่อเสียงของท่านขจรไกลยิ่งขึ้น

    อาจารย์เบิ้ม หรืออาจารย์สุวัฒน์ พบร่มเย็น ได้เล่าถึงสมัยที่ตัวท่านเองเป็นทหารอาสา รบที่ประเทศลาว สมัยลาวยังไม่แตก ท่านเล่าว่ามีเพื่อนทหารร่วมกองร้อยคนหนึ่ง สังเกตดูแล้วเห็นว่ามีลักษณะพิเศษกว่าคนอื่นๆ ผิวกายของเขาดำเป็นเงา ทำให้เชื่อว่าเขาต้องมีอะไรดีอยู่ในตัว ครั้นคุ้นเคยกันแล้วจึงทราบว่าเขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมุม พกเหรียญเล็ก ๆ ในคอ 1 เหรียญ คาดตะกรุดโทนที่เอว 1 ดอก และก่อนมาออกสนามรบที่นี่ หลวงพ่อมุมได้อาบน้ำว่านให้ 7 วัน

    ครั้งหนึ่งเกิดการปะทะกัน เขาลุกขึ้นจากเบิมยิงใส่พวกญวนที่กำลังตีโอบเข้ามา อาจารย์เบิ้มเห็นกับตาว่า มีลูกอาร์พีจีพุ่งเข้าชนกลางลำตัวของเขาถึงกับล้มลง ในใจคิดว่าไม่รอด เพราะว่าเสียงระเบิดของลูกอาร์พีจีนั้นบอกให้รู้ว่าอย่างน้อย ๆ เขาต้องขาดเป็นสองท่อน อย่างมากๆก็หาซากไม่เจอ

    แต่ครู่เดียวเขากลับลุกขึ้นมาได้และยิงใส่พวกญวน ศึกสงบ และเมื่อสิ้นเสียงปืนแล้วเขาถูกหามเข้าโรงพยาบาล เพราะว่ามีเลือดออกทางหูและจมูก แต่ตลอดตัวเขาไม่มีริ้วรอยบาดเจ็บอะไรเลย พอออกจากโรงพยาบาลแล้วก็กลับเข้ามารบอีก

    อาจารย์เบิ้มเล่าว่า ทหารรับจ้างทุกคนมักมีของดีและมักมีอาจารย์ของตนทั้งนั้น และได้เห็นความขลังของแต่ละคนว่ามีอยู่ระดับไหน บางคนไม่เป็นอะไรเลย บางคนรอดตายแต่พิการ ส่วนอาจารย์เบิ้มเองมีลูกสะกดปรอทของอาจารย์รอด ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า คาดเอว 4 ลูก และมีของดีของหลวงปู่โต๊ะเต็มตัว ท่านก็ปลอดภัยแคล้วคาดเป็นอันดีตลอดมา

    อาจารย์เบิ้มได้บอกว่าเห็นลูกศิษย์หลวงพ่อมุมคนนั้นแล้วทำให้เชื่อถือในหลวงพ่อมุมเป
    ็นอย่างยิ่ง ท่านจึงสามารถจำชื่อหลวงพ่อมุมได้แม่นจนทุกวันนี้

    เซียนน้อยได้บอกว่า คุณชลอ อินทรนัฏ อยู่บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด ได้เล่าเรื่องต่อไปนี้ให้ฟัง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจมาก

    มีนายตำรวจยศพันตำรวจโทท่านหนึ่ง (ขอสวนนาม) สมัยที่ยังประจำการอยู่ที่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ได้จับตัวคนอันตรายคนหนึ่งซึ่งจะกล่าวให้ชัดเจนในที่นี้ไม่ได้ เอาเป็นว่าคนๆนี้จะต้องตายเท่านั้นจึงสมควร

    พ.ต.ท.ท่านนั้นได้ชักปืนออกยิงใส่ศีรษะของชายคนนั้นถึง 3 นัด แต่กระสุนด้านหมด จึงฉุกใจคิดได้ว่า คนๆนี้ต้องมีอะไรดี และได้รุกเร้าถามว่ามีอะไรดีในตัว เพราะว่าค้นตลอดตัวแล้วไม่พบว่ามีพระเครื่องหรือวัตถุมงคลสักชิ้นเดียว คน ๆ นั้นไม่ยอมบอก คงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

    “ถ้ารับว่ามีของดีในตัวและเอาออกมาให้ดูจะปล่อยไป” นายพันตำรวจโทบอกและย้ำอีกว่า “รับรองไม่ฆ่า ให้เอาออกมาให้ดูเท่านั้น”

    คนๆนั้นจึงคายพระเครื่ององค์เล็กๆออกมาจากในปาก

    เป็นเหรียญหลวงพ่อมุม ไม่ทราบรุ่นไหน (เขาว่าเป็นรุ่น 1)

    นายพันตำรวจโทรับเหรียญมาดูแล้วเกิดใจอ่อนยวบ ทั้งๆที่ปากว่าจะปล่อยแต่ใจไม่คิดปล่อย ในตอนแรกก็คิดปล่อยตัวคนๆนั้นจริง ๆ

    คนๆนั้นเมื่อถูกปล่อยตัวแล้ว ได้หลบหนีออกไปจากพื้นที่จังหวัดนครพนมไปอยู่ที่เพชรบูรณ์ และกลับเนื้อกลับตัวทำมาหากินเป็นชาวไร่มะขามหวาน กระทั่งปัจจุบันนี้มีฐานะมั่นคงดี และทุกๆปีจะส่งมะขามหวานมาเป็นของฝากแก่นายพันตำรวจโทท่านนั้นโดยสม่ำเสมอ นับว่าสำนึกในบุญคุณที่ปล่อยตัวเขา

    นายพันตำรวจโทท่านนั้นทุกวันนี้สะสมแต่หลวงพ่อมุมจนลืมบ้าน มีศรัทธาในหลวงพ่อมุมเกินกว่าครูบาอาจารย์อื่นๆ เพราะว่าได้ประสบกับตนเอง

    อีกรายหนึ่ง ถ้าหากไปสอบถามชาวเมืองศรีสะเกษที่ศรัทธาหลวงพ่อมุม จะทราบตัวเจ้าของเรื่องทันที แต่เมื่อจะบันทึกลงหนังสือพิมพ์อย่างนี้ คงต้องงดออกชื่อและฐานะของเขา

    เรื่องมีอยู่ว่าเขาจะต้องเก็บนักเลงหัวไม้หรืออันธพาลคนหนี่ง ก็สุดจะเรียกไป คนที่ต้องถูกเก็บนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ในร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนมีไฟส่องสว่างพอเห็นตัวเขาได้ชัด

    เรียกว่าเป็นเป้าบินได้สบาย ๆ

    ผู้ลงมือเก็บได้ขับรถเข้ามาจอดตรงหน้าร้าน และเปิดกระจกรถลง แย่งปืนคาร์บินออกมาเล็งใส่ในระยะหวังผลที่หมดโอกาสพลาด

    ปรากฏว่าเขาเหนี่ยวไกไปแล้วสองสามนัด กระสุนไม่ถูกเป้า คนถูกเก็บก็ไม่รู้ตัวว่าถูกยิง ต่างได้ยินเสียงระเบิดของปืน และคงคิดว่าเป็นเสียงปะทัด ทุกอย่างจึงเป็นปกติไม่มีอะไรแตกตื่นกัน

    ผู้ยิงได้ส่งลูกน้องลงไปสอบถามกับเจ้าตัวว่ามีอะไรดี เขาไม่บอก แต่ก็สามารถเห็นได้ว่ามีเหรียญหลวงพ่อมุมแขวนอยู่ใต้คอ คนที่จะถูกเก็บพอถูกถามก็เริ่มรู้ตัว รีบลุกขึ้นแล้วเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

    ประสบการณ์ทางป้องกันตัว หรือช่วยเหลือผู้คนอย่างนี้มีมากมายเหลือจะบันทึกได้หมด คนศรีสะเกษเล่าสู่กันปากต่อปาก จนบางเรื่องเลือนรางไป ไม่อาจทราบชัดว่าเรื่องเหล่านั้นเกิดกับใคร คนไหน อย่างแท้จริง ถ้าเก็บมาเล่าต่อก็ซ้ำๆกัน และยากจะแยกแยะออก เป็นเฉพาะเหตุการณ์ของใครต่อใครได้ แต่เมื่อรวมความแล้วล้วนแต่เกิดขึ้นด้วยอภินิหารหรืออะไรก็สุดแต่จะเรียกของ หลวงพ่อม
    ุม

    และเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่งที่ครูบาอาจารย์อย่างหลวงพ่อมุมที่คนทั้งบ้านทั้ง
    เมืองรู้จักและศรัทธาเต็มหัวใจกลับหาตัวผู้ทราบประวัติองท่านได้อย่างลึก ซึ้งไม่มี ท่านจึงเป็นครูบาอาจารย์ที่มีความเป็นมาของท่านมัวซัวเหมือนมีหมอกขึงม่าน กั้นไว้ ไม่อาจมองเห็นหรือทราบชัด

    หลายคนไม่เชื่อว่าท่านเป็นชาวบ้านปราสาทเยอร์ แต่ในประวัติที่มีผู้ได้บันทึกไว้บอกว่าท่านเกิดที่บ้านปราสาทเยอร์ ข้อขัดแย้งนี้มีน้ำหนักมากพอๆกัน

    เหตุผลของฝ่ายที่ไม่เชื่อว่าท่านเป็นชาวบ้านปราสาทเยอร์ คือท่านเป็นคนผิวขาวเกินไป ผิดวิสัยของชาวปราสาทเยอร์ที่ผิวคล้ำดำ เพราะว่าโดยมากถือเชื้อสายค่อนไปทางเขมร แต่หลวงพ่อมุมต่างเขาอื่นอยู่คนเดียว ถ้าหากว่าท่านเกิดที่บ้านปราสาทเยอร์จริง บิดามารดาของท่านก็คงจรมาจากที่อื่นเป็นคนต่างถิ่น ไม่ใช่คนบ้านปราสาทเยอร์ เหตุผลนี้น่าฟังอยู่เหมือนกัน

    ในประวัติที่ทางวัดบันทึกไว้อย่างสั้นที่สุดน้อยที่สุดก็ไม่บอกว่าท่านเป็นใคร มาจากไหน บิดา มารดาเป็นใคร

    เหลือเชื่อที่ไม่มีใครบันทึกไว้เลย

    ถามไถ่ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันที่เคยอยู่ร่วมกัน หลวงพ่อมุมสมัยที่องค์ท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังไม่อาจบอกได้

    ประวัติหลวงพ่อมุมที่ทางวัดบันทึกไว้ คงเริ่มบันทึกแต่สมัยที่ท่านมาอยู่วัดบ้านปราสาทเยอร์เป็นต้นมา ก่อนหน้านั้นไม่มีการบันทึก ไม่มีประวัติหรือรายละเอียดใด ๆ ของหลวงพ่อมุมแม้แต่น้อย

    คงกล่าวแต่เพียงว่าท่านมาอยุ่ที่วัดปราสาทเยอร์แล้วได้ดำรงตำแหน่งเป็นครูใหญ่คนแรกข
    องโรงเรียนบ้านประอาง เมื่อ พ.ศ. 2459-2474 เป็นเวลา 15 ปี นี่คือส่วนที่ลึกที่สุดของประวัติท่าน ต่อจากนั้นก็เริ่มบันทึกเรื่องราวของท่านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เรื่อยมาจนมรณภาพ

    การจะเขียนถึงประวัติของท่านจึงเป็นเหมือนคนตาบอดตาฟางคลำหาเป้าซึ่งข้อผิดพลาดย่อมม
    ีได้ แต่จะลองคลำดู ผิดหรือถูกก็ทิ้งไว้เป็นภาระของผู้รู้ตามแก้ไขภายหลังก็แล้วกัน

    ชาติกำเนิดของหลวงพ่อมุม อินฺทปัญโญ ดูจะสับสนอยู่ไม่น้อย ไม่มีใครยืนยันชัดเจนว่าท่านเป็นชาวบ้านปราสาทเยอร์จริงหรือไม่ ผู้เชื่อว่าท่านเป็นชาวบ้านปราสาทเยอร์ก็มี ไม่เชื่อก็มี พื้นเพดั้งเดิมของท่านจึงคลุมเครือ ไม่อาจลงเป็นหลักได้

    กระทั่งวันเดือนปีเกิดก็หาผู้บันทึกไว้อย่างแน่ชัดไม่ได้ แต่ก็มีผุ้ระบุว่าท่านเกิดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2430 โดยเกิดที่บ้านปราสาทเยอร์นี่เอง เป็นบุตรของนายมากและนางอิ่ม นามสกุล บุญโญ มีพี่น้องร่วมอุทร 5 คน ท่านเป็นคนสุดท้อง

    วันเดือนปีที่ปรากฏนี้ก็ไม่มีผู้สนับสนุนว่าถูกต้อง แต่ในรูปเหมือนหล่อด้วยโลหะเท่าองค์จริงที่ประดิษฐานอยู่ประจำวัดปราสาท เยอร์ ทุกวันนี้มีจารึกว่าถูกสร้างขึ้นอยู่ด้วยคือ “อายุครบ 90 ปี 4 มี.ค. 2520" บางทีวันที่ 4 มีนาคม จะเป็นวันเกิดของท่านก็ไม่รู้

    ชีวิตวัยเด็กของท่านนั้นหนังสืออนุสรณ์งานศพบันทึกว่า ท่านได้รับการศึกษาอักษรไทยจากเจ้าอธิการปริม จนอ่านออกเขียนได้ และได้ศึกษามูลกัจจายนะสูตรจนสอบได้นักธรรมตรี ในสนามหลวงและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นครูใหญ่สอนหนังสือไทยในโรงเรียนวัด บ้านปราสาท
    เยอร์เหนือคนแรก ระหว่าง พ.ศ. 2459-2474 รวมเวลาที่เป็นครูใหญ่ 15 ปี ขณะที่เป็นครูใหญ่นั้นคำนวณอายุจาก พ.ศ. ที่ได้รับแต่งตั้งถอยหลังไปถึงปีเกิดคือ พ.ศ.2430 ท่านมีอายุ 29 ปี

    อีกแห่งหนึ่งบอกว่าท่านเริ่มบวชเป็นสามเณรขณะอายุ 12 ปี ที่วัดปราสาทเยอร์ใต้ กับหลวงพ่อบุญมานี้ ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปว่าท่านเป็นอาจารย์ยองหลวงพ่อมุมจริง เหรียญของท่านก็มีผู้นิยมสะสมไว้เหมือนกัน และที่มีวัดปราสาทเยอร์ได้นั้นก็เพราะว่ามีวัดปราสาทเยอร์เหนือด้วย วัดทั้งเหนือและใต้อยู่คนละฟากกัน ถ้าพูดลอยๆว่าวัดปราสาทเยอร์ ขอให้เข้าใจว่าหมายถึงวัดปราสาทเยอร์เหนือ ที่หลวงพ่อมุมเป็นเจ้าอาวาสจนมรณภาพ

    หลังจากบวชเณรแล้วท่านได้ออกธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ ในการธุดงค์นี้ประวัติทุกแห่งบันทึกไว้ใกล้เคียงกันว่าท่านไปแสวงหาโมกขธรรม หาครูบาอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทวิชาอาคมตามประเพณีนิยมของผู้ถือบวชสมัยนั้น ท่านธุดงค์ไปไกลถึงประเทศเขมร พม่า และลาว รวมทั้งมาเลซีย

    ที่ประเทศลาว ท่านได้พบกับสำเร็จลุน แห่งจำปาศักดิ์ ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาวิทยาคมจนแตกฉาน หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับบ้านเกิดและได้พำนักอยู่วัดปราสาทเยอร์ได้ก่อน แต่ขณะนั้นวัดปราสาทเยอร์เหนือไม่มีเจ้าอาวาส ร้างผู้ครองวัดนาน 5 ปี ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันนิมนต์ท่านมาอยู่ครองวัดปราสาทเยอร์เหนือ ท่านก็รับและได้ครองวัดปราสาทเยอร์เหนือเรื่อยมาจนมรณภาพ

    เริ่มครองวัดปราสาทเยอร์เหนือเมื่อปี 2464 หลังจากที่ได้เป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดปราสาทเยอร์มาก่อน 5 ปี ระหว่าง 5 ปี ที่ทำหน้าที่สอนหนังสือเด็กนักเรียนนั้น ชาวบ้านคงได้สังเกตเห็นจริยาวัตรและปฏิปทาของท่านจนแน่ใจและมั่นศรัทธาแล้ว ถึงได้นิม
    นต์ท่านมาครองวัดปราสาทเยอร์เหนือ เพราะว่าวัดนี้ได้ร้างเจ้าอาวสตั้งแต่ปีแรกที่ท่านกลับ้านเกิด คือปี 2459 แต่ชาวบ้านก็ปล่อยวัดร้างเรื่อยมา จนในที่สุดได้ตัดสินใจอาราธนาท่านดังกล่าว

    หลวงพ่อมุมได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรในวันที่ 5 ธันวาคม 2499 คือเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นตรีในราชทินนาม พระครูประสาธน์ขันธคุณ และได้รับเลื่อนชั้นเป็นพระสังฆาธิการ พระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในนามเดิมเมื่อปี 2510

    เกียรติประวัติของหลวงพ่อมุม ที่ควรกล่าวถึงคือ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2514 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินต้น เป็นการส่วนพระองค์ ณ วัดปราสาทเยอร์เหนือ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษที่พระเจ้าอยู่หัวพระราช ทานกฐินต้
    นในจังหวัดศรีสะเกษเป็นครั้งแรก และวัดปราสาทเยอร์ก็เป็นวัดแรกด้วย

    เกียรติคุณของหลวงพ่อมุมนั้นมีมากมาย ทั้งในด้านการปกครองและพัฒนาพระศาสนา ซึ่งคงไม่ต้องกล่าวถึงในที่นี้ และเกียรติคุณด้านอาคมขลัง ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั้งจังหวัดศรีสะเกษและคนถิ่นอื่นทั่วไป

    ประสบการณ์ด้านวัตถุมงคลของหลวงพ่อมุมไม่อาจกล่าวถึงได้ไหว เพราะว่ามีมากมายหลายเรื่อง เล่าสู่กันฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้เบื่อ ทุกวันนี้ท่านเป็นยอดนิยมอันดับหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษที่ยังไม่ถูกครูบา อาจารย์อื่น
    ใดมาช่วงชิงตำแหน่งได้

    อภินิหารของท่านมีอยู่หลายเรื่อง คนศรีสะเกษซาบซึ้งตรึงใจมากที่สุด แม้กระทั่งวันที่ท่านมรณภาพก็ได้เกิดปรากฏการณ์พิเศษที่ควรบันทึกไว้

    คุณเกียรติ สำราญ ได้เล่าว่า เมื่อปี 2522 เขาได้บวชเป็นพระอยู่ที่วัดเจียงอี วันหนึ่งทราบข่าวว่าหลวงพ่อมุมอาพาธ เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ จึงไปกราบนมัสการเยี่ยมท่าน ขณะที่ไปถึงนั้นได้เห็นสภาพของหลวงพ่อมุมแล้วสลดใจมาก ท่านนอนนิ่งเงียบ หลับตาหายใจระรวย มีสายยางโยงทั่วไป ผอมหนังหุ้มกระดูก คุณเกียรติเข้าไปกราบท่านแล้วกระซิบที่ข้างหูว่า ตนเองมากราบเยี่ยมโดยไม่คิดว่าท่านจะทราบหรือไม่

    ปรากฏว่าท่านกระดิกฝ่ามือทำนองโบกมือกวักขึ้นลง แสดงอาการตอบรับว่าทราบแล้วนอนนิ่งเงียบอยู่อย่างเดิม

    คุณเกียรติบอกว่าได้ถอยออกมาจากเตียงที่ท่านนอน แล้วลงนั่งพิจารณาท่านอยู่เป็นเวลานาน รู้สึกสลดสังเวชและสงสารท่านเป็นกำลัง นั่งพิจารณาไปจนกระทั่งเกิดง่วง จึงลุกขึ้นไปกราบลาท่าน และกระซิบที่ข้างหูเหมือนดิม ว่ากระผมจะกราบลาแล้ว ท่านก็กวักมือโบกขึ้นลงรับทราบแล้วนิ่งเงียบไม่ลืมตาเหมือนเดิม

    คุณเกียรติบอกว่า แม้ท่านจะมีทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่จิตของท่านแน่วแน่มั่นคง ไม่ได้มีอาการหวั่นไหวในอาพาธ ท่านรับรู้ทุกอย่างไม่ว่าใครจะทำอะไร พูดอะไร เป็นแต่ท่านควบคุมบังคับกายสังขารของท่านไม่ได้ เพราะว่ามันอ่อนแอแล้ว

    วันรุ่งขึ้นตอนเช้ามืด คุณเกียรติเตรียมตัวจะออกบิณฑบาต ขณะนั้นเกิดเหตุไม่คาดฝัน คือมีพายุพัดกระหน่ำใส่วัด จนกระทั่งมะพร้าวหล่นตูมตาม พัดรุนแรงจนหน้าต่างกุฏิเปิดเปิงและพายุนั้นก็ทราบภายหลังว่าพัดแต่ในวัด เจียงอีเท่า
    นั้น

    พอพายุสงบก็มีโทรศัพท์มาถึงวัดแจ้งข่าวว่าหลวงพ่อมุมมรณภาพแล้ว

    มีรายละเอียดทางแพทย์บันทึกไว้ว่าท่านสิ้นลมเมื่อเวลา 05.20 น. ของเช้าวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2522 ณ โรงพยาบาลศรีสะเกษ ศพของท่านตั้งบำเพ็ญกุศล 100 วัน จึงพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 28-29 มีนาคม 2524 คือเสร็จจาก 100 วันแล้วได้เก็บศพของท่านต่อมาอีกนับปี

    เกี่ยวกับปรากกฏการณ์พิเศษในเช้ามืดของวันที่ท่านมรณภาพ ที่คุณเกียรติได้ประสบในรูปของพายุนั้น ใช่แต่คุณเกียรติคนเดียวจะได้พบ แต่ลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงพ่อมุมในท้องที่ต่าง ๆ กันก็ประสบเหมือนกัน แต่ละแห่งที่เกิดพายุในเวลาเดียวกันคือตอนเช้ามืดนั้น อยู่ไกลกันข้ามจังหวัดก็มี

    “วันที่ 9 กันยายน 2522 เวลาประมาณ 06.00 น. หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ตื่นนอนเล็กน้อยที่บ้านพักอุบลฯ ได้มีลมฝนโหมกระหน่ำพัดบ้านข้าพเจ้าอย่างรุนแรง ซึ่งบรรยากาศไม่น่าจะมีลมฝนมาก่อน เดชะบุญ หน้าบ้านและหลังบ้านข้าพเจ้า มีต้นมะม่วงบังเอาไว้ มิฉะนั้นบ้านคงหักพังลงอย่างแน่นอน ลมฝนกระหน่ำอยู่ประมาณ 20 นาทีก็หายไป เสมือนหนึ่งไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย สิ่งที่น่าแปลกใจมากที่สุดคือบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ไม่มีลมพัดเลย ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสังหรณ์ใจอยากจะรีบกลับอำเภออยู่ตลอดเวลา ตอนเย็นข้าพเจ้าได้เดินทางกลับ และได้แวะที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ จึงได้ทราบว่าหลวงพ่อได้มรณภาพเสียแล้ว ปรากฏกากรณ์เช่นนี้มีอยู่หลายแห่ง แต่มิได้เกิดขึ้นทั่ว ๆไป นี้แสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีบุญบารมีสูง ย่อมแสดงปาฏิหาริย์ให้ศิษยานุศิษย์และผู้เคารพนับถือรู้ว่าในขณะนี้ได้มีการ เปลี่ยนแ
    ปลงเกิดขึ้นแล้ว”

    อีกท่านหนึ่งได้บันทึกคำอาลัยไว้เหมือนกัน ท่านผู้นี้คือ นายอภิวัฒน์ วงศ์สวัสดิ์ ครูใหญ่โรงเรียนบ้านปราสาทเยอร์

    “วันที่ 8 กันยายน 2522 ก่อนวันมรณภาพของท่าน ข้าพเจ้าได้ไปกราบคารวะ และเยี่ยมอาการอาพาธของหลวงปู่ที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ ท่านอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถได้ยินฟังอะไรแล้ว เหลือเพียงลมหายใจถี่บ้างห่างบ้าง อาการอาพาธของหลวงปู่คงไม่มีโอกาสอยู่กับพวกเราแน่นอน

    จากนั้นข้าพเจ้าได้เลยไปทำธุรกิจต่อในวันเดียวกันที่จังหวัดสุรินทร์ และพักค้างคืนที่จังหวัดสุรินทร์ในวันนั้นตอนเช้าอากาศแจ่มใส แต่ได้เกิดพายุพัดมาอย่างรุนแรงเหมือนปาฏิหาริย์ทำให้ประตูหน้าต่างที่เปิด ไว้ปิดมาเ
    องเพราะแรงลม สักครู่ก็หายไป ข้าพเจ้าระลึกได้ว่าหลวงปู่คงมรณภาพแน่ รีบเดินทางกลับศรีสะเกษ และทุกอย่างก็เป็นความจริง”

    เท่าที่ทราบ พายุตอนเช้ามืดได้เกิดขึ้นแก่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อหลายคน หลายสถานที่ต่าง ๆกัน นับว่าเป็นเรื่องประหลาดอย่างยิ่ง

    เป็นการอธิษฐานฤทธิ์ครั้งสุดท้ายที่ท่านฝากไว้กับมวลศิษย์เป็นการสั่งลาก็อาจกล่าวได


    หรือจะเป็นโดยเหตุบังเอิญ ที่บังเอิญพร้อม ๆ กันหลายคนหลายแห่ง

    ปัจจุบันนี้ วัตถุมงคลของหลวงพ่อมุมได้รับความนิยมเป็นอันมากในจังหวัดศรีสะเกษ ยังไม่มีใครมาลบความนิยมนี้ลงได้ เหรียญรุ่นแรกที่สร้างเมื่อปี 2507-08 นั้นมีราคาแพงที่สุด ซื้อขายกันหลายพัน สภาพไม่ค่อยสวยก็สามหรือสี่พัน ถ้าสวย ๆ ไม่ต้องพูดถึง

    ที่นิยมรองลงมาได้แก่ พระกริ่ง ศก. ซื้อขายกันในราคาใกล้เคียงเหรียญรุ่นแรก ทราบว่ามีสองเนื้อคือ เนื้อทองเหลือง หรือบางคนเรียกว่าทองฝาบาตรกับเนื้อทองแดง ค่านิยมพอ ๆกัน แต่เนื้อทองเหลืองมีภาษีดีกว่า

    แหวนรุ่นแรกของท่านก็ขึ้นชื่อไม่น้อย แต่ความนิยมไม่อยู่ที่แหวน ภปร. ซึ่งสร้างรุ่นหลัง นั่นเห็นจะเป็นเพราะว่าแหวนรุ่นหลังนี้สร้างด้วยเนื้อที่ดีกว่า มีทั้งเนื้อเงิน และทองคำ ส่วนรุ่นแรกได้ยินว่ามีแต่เพียงเนื้ออัลปาก้าและทองแดงเท่านั้น
    วัตถุมงคลของหลวงพ่อมุมมีมากมายหลายรุ่น ถ้าไม่เลือกจะถือของท่านเพื่ออวดกันแล้ว รุ่นไหนก็ดีเท่ากัน ขอเพียงให้เป็นของ ๆ ท่านเป็นพอ
    ชื่อว่าหลวงพ่อมุมแล้วนอนใจได้...

    -----------------------------------------------------------

    ข้อมูลจากนิตยสารศักดิ์สิทธิ์ ฉบับที่ 248-249 ปีพ.ศ.2536

    DSCF9337.JPG DSCF9338.JPG


    เปิดให้บูชา 499 บาทหายากประสบการณ์สูง
     
  11. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    พระผงรุ่นแรกหลวงพ่อเณรบุญชุ่ม

    พระผงองค์นี้ได้มาเดิมๆตลับเงินเก่าด้านในมีเกศาครูบุญชุ่มเหรียญยังพอหาได้พระผงพึ่งเคยเจอครูบาจารมือหายากมากๆ เกศาได้ตอนออกถ้ำที่ลำปางเลยนำมาใส่เป็นของหายากมากๆ
    DSCF9349.JPG DSCF9352.JPG

    เปิดให้บูชา 4999 บาทหายากมากๆสายตรงไม่ควรพลาดครับ
     
  12. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    นาคบ่วงบาศ์ แห่งนครล้านนา สำริด

    นาคบ่วงบาศ์ แห่งนครล้านนา
    นาคบ่วงบาศ หรือ งูกินหาง จัดเป็นยอดเครื่องราง ด้านโชคลาภ และ ป้องกันภัย "มีกินไม่มีหมด ไม่มีอด"

    ขนาดงูยังกินหางตัวเอง กินแบบไม่สนว่าเป็นหางตัวเอง

    เชื่อ กันว่า "กินให้หมด" เมื่อเป็นอาหาร ก็ กินให้หมดไม่ให้เหลือ โดยไม่รู้ว่าที่กิน คือ หางตัวเอง

    จึงเรียกว่า "กินไม่หมด" ตามตำนาน โบราณไทยใหญ่ และ ล้านนา " นาคบาศ " คือ

    "ศรของอินทรชิต" ที่ยิงเข้าไปเป็นงูรัดศัตรู ซึ่งภายหลังพญานาคราชได้มครอบครองไว้ และ พรานบุญไปขอยืม บ่วงบาศนี้ จากพญานาค และเนื่องจากพรานบุญเคยช่วยเหลือพญานาคราชไว้ พญานาคราชได้ให้สัญาว่า ขอก็จะให้ ทั้งที่เป็นของสำคัญ และกลัวพรานบุญไม่คืน แต่ก็ให้ไป เพราะต้องรักษาคำพูด พรานบุญจึงสามารถจับกินรีได้ และนำ"บ่วงบาศ"นั้นไปคืน พญานาคราช นาคบาศยังเป็นบ่วงเชือกที่แข็งที่สุด พญาครุตเจ้าแห่งนก ก็ยังกลัว บ่วงบาศนี้เช่นกัน .

    ตามตำราครูบาอาจาร์ย ท่านว่า สามารถชนะทุกอย่าง หรือ ชนะหมด เสริมดวง ป้องกันภัย และคุณไสย และ "เมตตามหานิยม"

    ,"ค้าขาย แม่น ขายหมาน" ,"มีกิ๋น บ่มีอด" ,"มีเสน่ห์ต่อผู้อื่น" และเป็นที่ขนานนามจากคนโบราณหลายๆรุ่นคน .. เรื่องการเสี่ยงโชค ว่านักเสี่ยงโชค ตามโรงบ่อนเบี๊ย มีพกไว้ในผ้าห่อเก็บซ่อนไว้ในถุงย่าม

    เค้ามีเคร็ดบอกผม มา ถ้าเอามือคลำจับด้านนอกย่าม วางเบาๆ ถ้าดิ้น หรือ สั่น เป็นอันต้องเทหมดหน้าตัก ตานั้นเป็นต้องรวย....

    บ้างบอกพกเข้าบ่อนไก่ เอาแช่แล้วเอาน้ำล้างหน้าไก่เป็นต้องได้ชัยชนะทุกครา..

    บ้างบอกเอาแช่ทำเป็นน้ำมนต์แก้เคร็ด สะเดาะเคราะห์กรรม แก้อาเภยภัยร้ายได้...

    บ้างผมเห็นแม่ค้าชาวไทยใหญ่มีบูชาในขันหน้าร้านเกือบทุกที่ บูชา สลับ นางกวัก ก็ยังมี....

    .สิ่งเหล่านี้ต้องมีคาถากำกับ..

    .สำหรับใช้เสี่ยงโชค : โอม เอ หิ พญานาคะสุปัณณานัง สิทธิชะนาจิตตัง อุ มะอะ โชคลาภจงบังเกิดมี..ผ้าห่อใส่ย่ามแล้วท่องคาถา แล้วจะบังเกิดผล

    .คาถาใช้สำหรับค้าขาย : เอหิ พญานาคะสุปัณณานัง พุทโธภะคะวา พุทธังสิทธิชะนาจิตตัง อิติปิโสภะคะวา พุทธมัดใจ โมเรียกมา บ่วงทัพพะนาคา เยติ โอมประสิทธิเม...

    .ท่องพร้อมกันกับวางไว้บนพาน พร้อมดอกไม้หอม น้ำเปล่าบริสุทธิ์ ท่องก่อนเปิดประตูร้านค้าหรือก่อนออกจากบ้าน ทำแล้วเชื่อว่าเป็นได้ผลกันในสมัยนั้นมาปัจจุบัน พ่อเลี้ยงรวยสุด เค้าก็ยังทำต่อๆกันมา..สืบรุ่นสู่รุ่น

    ..ใช้สำหรับแก้เคราะห์กรรมและกันภัย : เอ หิ พญานาคะสุปัณณานัง สิทธิชะนาจิตตัง อิติปิโส ภะคะวา พุทธังปิด สังฆังปิด สังฆังปิด คือความเชื่อตามทัศนะคติของคนโบราณภาคเหนือตอนบนชาวไทยใหญ่ ที่เค้าถือและปฎิบัติ สืบต่อๆกันมาสู่รุ่นปัจจุบันก็ยังมีเห็นกันอยู่..

    นาคบ่วงบาศ ยังมีเล่าขาน และ ถูกบันทันทึกในปั๊บปักษา (กระดาษใบลานเขียนยันต์) เชื่อและศรัทธาต่อต่อกันมา..พระพุทธองค์เผชิญกับเหล่ามาร ในขณะที่กำลังจะตรัสรู้ ได้มีพญานาคเข้ามาขัดขวางเหล่ามารไว้ ดวงกลมเหมือนห่วงนาคบาศ์ ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ ทำให้เหล่ามารแพ้พ่ายไปนั่นเอง....

    ดังนั้นที่บอกว่า คุ้มภัย ได้สอดคล้องกัน และยังเป็นสิ่งช่วยปราบเหล่ามารทั้งหลาย หากผู้ใดมีไว้บ้านใดแล้ว จะมีกินไม่มีหมด ถ้าเล่นก็บ่มีเสีย มีได้ตลอดทุกครา..

    สามารถแบ่งแยกเนื้อได้เป็น หลายเนื้อด้วยกัน มีดังนี้

    1.เนื้อดินเผาเครือบ
    2.เนื้อหินแกะ
    3.เนื้อดินเจ็ดป่าช้าปั้น
    4.เนื้อผงพุทธคุณหรือผงคลุกรัก
    5.เนื้อเขาแกะ
    6.เนื้องาแกะ
    7.เนื้อไม้แกะ
    8.เนื้อสำริด
    9.เนื้อโลหะอื่นๆ เป็นต้น

    ขอเสนอแค่ที่ค้นรูปเจอ และมีขนาดแตกต่างกันไป ..

    ส่วนมากที่พบเห็น ผิวเค้าจะฟูแทบทุกชิ้น เพราะเกิดจากการบูชาจริงๆ ขนาดถูกวางไว้บนหิ้งยังมองเห็นผิวที่เปลื่ยนไป อย่างเห็นได้ชัดเจรน ..

    "นาคราช" ยังถูกนำมาใช้เป็นอุปเท่ห์ วัด วิหาร อุโบสถ เชื่อว่าไม่ให้เหล่ามาร มิ ได้กล้าเข้ามากล่ำกลายและยังมีเครื่องรางที่ใช้นาคหรืองูใหญ่ เป็นอุเทห์ ตามพระตคาถา เช่น ผ้ายันต์ป้องภัย

    กะลาแกะหนุนดวงแก้เคราะห์กรรม
    หรือเครื่องรางอื่นๆที่นำเอานาคหรืองูใหญ่มาเป็นอุปเทห์ ไม่ว่า หน้าวิหาร อุโบสถ หลังวิหาร บนหลังคาหน้า-หลัง วิหาร อุโบสถ

    ล้วนเกิดขึ้นจากความเชื่อเหล่านี้กันทั้งนั้น นับพันปีมาแล้ว ไม่เชื่อลองดูและคิดพิจารณา สิ ! ครับ

    นาคบาศ กิน บ่ เสี๊ยง หรืองูกินหาง ถือ เป็นเครื่องรางโบราณที่นับถือ กันว่า มีคุณครอบด้าน กินบ่เสี๊ยง กินไม่หมด ภัยไม่มี เป็นของมงคลที่ใช้ เชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งกันแก้อาถรรพ์ต่างๆ มีศาสตร์โบราณ ทั่วโลกต่างยอมรับอำนาจอันลี้ลับนี้ เครื่องรางชนิดนี้

    ซึ่งได้กล่าวขานกันมาแบบไม่มีลืม แม้เด็กเล็กถึงผู้ใหญ่ สะกด คำว่า "งูกินหาง" เป็น

    ข้อมูลท้องถิ่น พื้นบ้านชาวไทยใหญ่ และชาวล้านนา : ตู่ สาละวิน

    การันตีชิ้นงานคุณภาพ
    by
    tou salawin
    DSCF9363.JPG DSCF9362.JPG

    เปิดให้บูชา 4999 บาทหายากชิ้นนี้แปลกมากมีเส้นขึ้นด้านหลัง
     
  13. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    กำไลทองสำริดสนิมหยก

    กำไลทองสำริดชิ้นนี้ขุดได้ที่เชียงรายอายุ500ปีขึ้นไปทองออกสีดอกบวบสวยมีสนิมหยกเนื้อเดียวกับพระเชียงแสนเก่ามากๆ
    DSCF9364.JPG DSCF9365.JPG DSCF9378.JPG

    เปิดให้บูชา 6999 บาทหายากสวยเดิมหายาก
     
  14. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    พระพิมพ์รัศมีเนื้อชิน

    กรุวัดพระธาตุแช่แห้งจังหวัดน่าน

    DSCF9360.JPG DSCF9359.JPG

    เปิดให้บูชา 4999 บาทหายากมากๆ

     
  15. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    พระปิดตาใบพายอาจารย์เจ็กหลวงพ่อเจ๊ก วัดเขาแดงตะวันตก จ.พัทลุง

    พระปิดตามใบพายหลวงพ่อเจ๊ก วัดเขาแดงตะวันตก พัทลุง.... ชาติภูมิ หลวงปู่เจ็ก ฐิตธัมโม นามเดิม เจ็ก มะนาวี เกิดเมื่อ วันพุธ ขึ้น 9ค่ำเดือน10 รศ.121 วันที่10 กันยายน พศ.2445 ณ. บ้านเจ็นตก ต.ตำนาน เมืองพัทลุง โยมบิดา ชื่อ นายแดง มะนาวี โยมมารดา ชื่อ นางชุม มะนาวี มีพี่น้องรวม 6 คน หลวงปู่เจ็กเป็นบุตรคนที่ 2 เมื่อ หลวงปูเจ็ก อายุได้ 10ขวบ ก็ได้ บรรพชาเป็นสามเณร ณ.วัดจินตาวาส (เจ็นออก)ต.ตำนาน เมืองพัทลุง เพื่อเล่าเรียน ก ข ก กา และ คุณพระนอโม ขอมไทย ต่างๆ จาก พระอธิการชุม โอภาโส เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ตำนาน ต.ตำนาน เมืองพัทลุง และได้ศึกษาวิชา กับ พระอธิการขำ (พระครูถาวรกรณีย์) เจ้าอาวาสวัดจินตาวาส (เจ็นออก) ต.ตำนาน เมืองพัทลุง จนสิ้นวิชา พระอธิการขำ ก็ได้นำไปฝากเรียนสรรพเวทย์วิทยาต่อกับ หลวงปู่ทอง วัดประจิมทิศาราม (เจ็นตก) ผู้มีสรรพเวทย์วิเศษขลัง รวมทั้งด้านสมุนไพรใบยารักษาชีวิตคนให้พ้นจากสรรพโรคา ตอมา ทางบ้านท่าน ขอร้องให้สึกมาช่วย งานทางบ้าน ท่านก็ได้สนใจในทางงานช่างทั้งปวง งานปั้น งานแกะสลัก ทำเครื่องดนตรีพื้นบ้าน และการฝึกรำ มโนราห์ จนทางบ้านท่านฐานะมั่นคงดีแล้ว หลวงปู่เจ็ก จึงได้ขอทางโยมพ่อโยมแม่บวชอีกครั้งหนึ่ง..เมื่ออายุได้ 23ปี อุปสมบท หลวงปู่เจ็ก ฐิตธัมโม ท่านเป็นผู้เลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา อย่างลึกซึ้งอยู่แล้ว จึงได้ขอทางโยมพ่อโยมแม่บวชอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออายุได้ 23ปี หลวงปูเจ็ก ฐิตธัมโม ได้เข้าอุปสมบท ณ พระอุโบสถวัดจินตาวาส (เจ็นออก)ต.ตำนาน เมืองพัทลุง เมื่อวันศุกร์ แรม6ค่ำ เดือน3ปีชวด เวลา15.32น. ตรงกับวันที่ 13 กพ. พศ.2467 โดยมี หลวงพ่อดำ อินทสโร เจ้าอาวาสวัดท่าแค เป็น องค์อุปัชฌาย์ พระครูวินัยธร ชู วัดควนอินทรนิมิตร เป็นพระกรรมวาจา พระอธิการขำ (พระครูถาวรกรณีย์) เจ้าอาวาส วัดจินตาวาส (เจ็นออก) เป็นอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ฐิตธัมโมภิกขุ ต่อมา หลวงปู่เจ็กก็ได้เรียนสรรพเวทย์วิทยาชั้นสูงต่อกับ หลวงปู่ทอง วัดประจิมทิศาราม (เจ็นตก) ผู้มีสรรพเวทย์วิเศษขลัง รวมทั้งด้านสมุนไพรใบยารักษาชีวิตคนให้พ้นจากสรรพโรคา หลวงปู่ทอง วัดประจิมทิศาราม (เจ็นตก) เป็นผู้มี วาจาสิทธิ์ สรรพเวทย์วิเศษขลัง รวมทั้งด้านสมุนไพรใบยารักษาชีวิตคนให้พ้นจากสรรพโรคา เก่งกล้าในวิชาต่อกระดูกเป็นที่เล่าขาน วิชา อักษรเสกเลขยันต์ มหาอุตม์ คงกระ พันชาตรี วิชาสร้างตะกรุดเครื่องรางของขลังสารพัน อันวิเศษ ตลอดจนการหลอมโลหะแปรธาตุ หลวงปู่ทอง วัดประจิมทิศาราม (เจ็นตก) ได้เมตตาถ่ายทอดให้จนหมดสิ้นกระบวนสรรพวิทยา และได้เมตตาสั่งสอน ทดสอบกวดขันจน ไช้ได้ตามคำภีร์วิเศษ จนชำนาญดีทุกวิชา เมื่อหลวงปู่ทอง วัดประจิมทิศาราม (เจ็นตก) มรณะภาพลง เมื่อ พศ.2490 หลวงปู่เจ็ก ฐิตธัมโม ก็ยังได้ศึกษาสรรพเวทย์วิเศษขลัง ต่อจาก หลวงปู่เมฆ ปุณณสโร ผู้ล่องหนหายตัวได้(หลวงปู่เมฆ ปุณณสโร เจ้าอาวาสวัดประจิมทิศาราม (เจ็นตก)องค์ต่อมา ซึ่งมีศักดิ์เป็นศิษย์ผู้พี่ของท่าน ) หลังจากนั้ หลวงปู่เจ็ก ฐิตธัมโม ก็ยังได้เดินทาง ไปยังวัดต่าง ที่มีพระอาจารย์ทรงคุณสรรพเวทย์วิเศษขลัง เพื่อแลกเปลี่ยนวิชาความรู้อันวิเศษ ซึ่งกันและกัน เช่น พระอาจารย์ดิษฐ์ วัดปากสระ พระครูสิทธิยาภิรัต (เอียด ) วัดดอนศาลา พระครูกาเดิม (ปาน) วัดเขียนบางแก้ว เขาซัยสน หลวงปู่เล็ก ปุญญโก วัดประดู่เรียง ควนขนุน พระครูจรูญกรณีย์ (ตุด) วัดคูหาสวรรค์ หลวงปู่หมุน ยสโร วัดเขาแดงตะวันออก หลวงพ่อศรีแก้ว กุลคุโณ วัดไทรใหญ่ ควนเนียง สงขลา และพ่อท่านสีนวน วัดบ้านด่าน หัวไทร นครศรี เป็นต้น หลวงปู่เจ็ก ฐิตธัมโม ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดจินตาวาส (เจ็นออก) จนประมาณ พศ.2478 ก็ ได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ ณ.วัดประดู่ทอง 2ปี ต่อมาปี 2480 นายปั้นทองมาก และชาวบ้าน วัดเขาแดงตะวันตก มานิมนต์ท่าน หลวงปูเจ็ก ไปจำพรรษาที่ วัดเขาแดงตะวันตก ซึ่งมี พ่อท่านแจ้ง สุภาจาโร สหธรรมิกของหลวงปู่ จำพรรษา อยู่ก่อนแล้ว..ท่านจึงได้ย้ายมาจำพรรษาที่ วัดเขาแดงตะวันตก จวบจนสิ้น อายุขัยของท่าน เมื่อ พศ. 2528 หลวงปู่เจ็ก ฐิตธัมโม ได้ อาพาธด้วยโรคชรามีอาการมือบวมเท้าบวม ทางศิษย์ก็ได้หาทางรักาาจนท่าน มีอาการดีขึ้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พศ. 2528 หลวงปู่เจ็กก็ไม่ยอมฉันอาหารและยาทมุกชนิด จนในคืนวันที่ 3 ธันวาคม พศ. 2528 เวลา21.20 น. ท่านก็ได้ละสังขารอย่างสงบ ศิริอายุได้83ปี2เดือน23วัน 60พรรษา หลวงปู่เจ็ก ฐิตธัมโม เป็นผู้ทรงคุณวิเศษขลัง ในหลายๆด้าน เก่งกล้าในวิชาต่อกระดูกเป็นที่เล่าขาน วิชาคงกระพันชาตรี วิชาสร้างตะกรุดเครื่องรางของขลังสารพัน ปรากฎคุณอันวิเศษ ตลอดจนการหลอมโลหะแปรธาตุ และยังได้เลื่องลือทางด้านยาสมุนไพร ช่วยชีวิตผุ้คน ยาสมุนไพรที่ลือชื่อของท่าน เช่น ยาแก้ยาสั่ง ยาแก้พิษงูทุกชนิด ยาแก้โรคผิวหนัง โด้ เปื่อย เรื้อน กลากเกลื้อน เน่าเปื่อยพุพอง หนองเน่า ทั้วปวง.. และน้ำมันต่อกระดูกอันวิเศษ กระดูกบั่น ลั่น ร้าวหัก แหลกแตก ก็ประสานได้สิ้น ไม่ต้องพิการ หรือตัดด้วน เลยสักราย

    DSCF9379.JPG DSCF9381.JPG

    เปิดให้บูชา 19999 บาทหายากจริงของจริง

     
  16. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    เหรียญหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน รุ่น 1 โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัยจัดสร้าง ปี 2530

    <big>เหรียญหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน รุ่น 1 โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัยจัดสร้าง ปี 2530
    </big>
    พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
    พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) เกิดที่หมู่บ้านชนบท ตำบลหนองหญ้าเซ้ง อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี เมื่อเดือน 3 ปีระกา ตรงกับวันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2464 เมื่อท่านอายุได้ 4 ปี บิดา-มารดาได้ถึงแก่กรรม ญาติที่อยู่ ณ หมู่บ้านโคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จึงมารับท่านไป อุปการะ ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2479 อายุได้ 15 ปี ท่านจึงได้ขอร้องให้ญาติซึ่งเป็น ผู้ปกครองของท่าน พาไปบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดอินทร์สุวรรณ บ้าน โคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยมีท่าน พระครูวิบูลย์ธรรมขันธ์ เจ้าคณะอำเภอสว่างแดนดิน เป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์เป็นพระบรรพชาจารย์ และสามเณรพุธได้ อาศัยอยู่จำพรรษากับท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์นั่นเอง ท่านได้รับเมตตา จากพระอาจารย์ให้ได้ศึกษาทางด้านปริยัติธรรมด้วย และในพรรษาแรกนี้เอง สามเณรพุธสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี ปี พ.ศ. 2480 หลังจากออกพรรษา เป็นเหตุบังเอิญให้ในขณะนั้นที่ท่าน เจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง) ได้เดินธุดงค์มายังจังหวัดสกลนคร ในฐานะเจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยภาค 4แทนท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ท่าน เจ้าคุณพระอริยคุณาธาร ได้เกิดความเมตตาต่อสามเณรพุธเป็นอย่างมาก สามเณรพุธจึงมีโอกาสได้ติดตามท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธารธุดงค์ออก จากอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ไปยังจังหวัดอุบลราชธานี ในสมัยนั้น ทางคมนาคมยังไม่สะดวก ต้องเดินด้วยเท้าไปตามทางเกวียน ผ่านป่าเขาต่างๆ ท่านเล่าว่าต้องใช้เวลาถึง 31วัน จึงเดินเท้ามาถึง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดอุบลราชธานี ได้เข้าพักที่วัดบูรพา และฝากตัว เป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์พร (พี่ชายของพระอาจารย์บุญ ชินะวังโส) ท่านพระอาจารย์พรเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ซึ่งในขณะนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ได้มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบูรพาด้วย สามเณรพุธจึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์เสาร์ และเริ่มรับ การอบรมทางด้านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นครั้งแรก แต่เดิมทีในสมัยแรก ที่ท่านบรรพชาเป็นสามเณรนั้น ท่านได้บรรพชาในสังกัดมหานิกายคณะ ที่วัดบูรพา อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี แห่งนี้ นอกจากจะได้รับการ อบรมทางด้านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ท่านยังได้ศึกษาทางด้านพระ ปริยัติธรรมอีกด้วย และสามารถสอบได้นักธรรมเอก เมื่อมีอายุเพียง 18 ปี ต่อมา ปี พ.ศ. 2483 ท่านพระอาจารย์เสาร์ได้พาสามเณรพุธ เดินธุดงค์ จากจังหวัดอุบลราชธานีเข้ามายังกรุงเทพฯ และพาไปฝากตัวกับท่านเจ้าคุณ ปัญญาพิศาลเถระ (หนู) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ให้ช่วยอบรมสั่งสอน สามเณรพุธจึงได้ศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี และสามารถสอบได้เปรียญ ๔ ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณรนั่นเอง สามเณรพุธได้จำพรรษาเรื่อยมา ณ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร แห่งนี้ จนอายุได้ครบบวช ในปี พ.ศ. 2485 ท่านจึงได้รับการอุปสมบท โดยมีท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) พระอาจารย์ของท่านเป็น พระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า "ฐานิโย" หลวงพ่อพุธ เคยได้รับแการแนะนำในเรื่องการปฏิบัติกรรมฐานจากหลวงพ่อฝั้น สมัยที่อยู่วัดบูรพา ต่อมา ในปี พ.ศ. 2496 ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ จนถึงปี พ.ศ. 2510 ในปี พ.ศ. 2500 นี้เอง ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นตรี ที่ พระครูพุทธิสารสุนทร และ ต่อมา ในปี พ.ศ. 2509 ได้รับพระราชทาน สมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ในนามเดิม และในปีถัดมา พ.ศ. 2511 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นเอก ในนามเดิม
    ต่อมา ในปี พ.ศ. 2511 ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ท่านจึงมาจำพรรษาที่วัดหลวง อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ท่านดำรงตำแหน่ง เป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่เป็นเวลา 2 ปี ในปี พ.ศ. 2512 ได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์อีกครั้ง เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระชินวงศาจารย์ ในปี พ.ศ. 2513 ได้มีการตั้งโรงเรียนพระสังฆาธิการขึ้นที่ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ทางเจ้าคณะภาค ได้ขอให้ท่านมาเป็น กรรมการบริหารโรงเรียนพระสังฆาธิการในส่วนภูมิภาค ท่านจึงย้ายมาเป็น เจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านได้ทำประโยชน์ ทั้งต่อพระบวรพุทธศาสนา และ ต่อสังคม เป็นอเนกอนันต์ โดยสม่ำเสมอเรื่อยมา หลวงพ่อพุธเป็นพระนักปฏิบัติกรรมฐาน และเชี่ยวชาญในเรื่องการเทศน์สอนแก่บุคคลทั่วไป ในปี พ.ศ. 2535 ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชสังวรญาณ ท่านนับว่าเป็นเป็นพระที่บูชาได้อย่างสนิทใจ ในเรื่องวัตถุมงคล ในสมัยท่านมีชีวิตอยู่ได้ออกคำสั่งเด็ดขาดว่าห้ามจำหน่ายวัตถุมงคลใดในวัด ป่าสาลวัน ถ้าแจกฟรีทำได้ ซึ่งหลวงพ่อเพิ่ม เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันก็ได้ยึดถือเป็นธรรมเนียมมาอย่างเคร่งครัด หลวงพ่อพุธ มรณภาพเมื่ออายุได้ 78 ปี 15 พ.ค. 2542

    เปิดให้บูชา 499 บาท
    DSCF9405.JPG DSCF9407.JPG



     
  17. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่ขาน ฐานวโร

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]หลวงปู่ขาน ฐานวโร
    วัดป่าบ้านเหล่า กิ่งอ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย
    [/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif]นามเดิม ทองขาน สุขา กำเนิด15 มิถุนายน 2478 ที่บ้านโนนปอแดง ต. โนนสัง อ.โนนสัง จ.อุดรธานี(ปัจจุบัน เป็นจ.หนองบัวลำภู) ท่านเป็นบุตรคนที่9 ของ คุณพ่อหนู คุณแม่ห่อน สุขา มีพี่น้องทั้งหมด10 คน

    1. พระสอน (มรณภาพ)
    2.นายพร(ถึงแก่กรรม)
    3. นางสอ(ถึงแก่กรรม)
    4.นางสังข์(ถึงแก่กรรม)
    5นางวัง(ถึงแก่กรรม)
    6นางเวิน(ถึงแก่กรรม)
    7นางเหวิ่น(ถึงแก่กรรม)
    8นายหว่าน(ถึงแก่กรรม)
    9หลวงปู่ขาน ฐานวโร
    10 นางก้าน (มารดาของพระอาจารย์เสถียร สมาจาโร)

    ชีวิตช่วงเยาว์วัยท่านเรียนจบชั้นป.4 ได้ออกช่วยบิดามารดาทำไร่สวน

    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

    หลวงปู่บรรพชาเมื่ออายุ 15 ปี ต่อมาได้อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดป่าชะบาวัน บ้านกุดฉิม ใน อ.โนนสัง เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2500 เวลา 15.43 น. โดยมีพระครูศาสนูปกรณ์ วัดโยธานิมิตร เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่อุ่น ชาคโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการเพ็ง อิติโสภโณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายา ฐานวโร แปลว่า ที่ตั้ง อันประเสริฐ
    [/FONT] [FONT=Tahoma, MS Sans Serif] หลวงปู่ได้พำนักที่วัดป่าโคกสำโรง ซึ่งมีหลวงพ่อชม โฆสิโก เป็นเจ้าอาวาส พอออกพรรษาหลวงปู่ขานได้เดินทางปฏิบัติ ธรรมกับหลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล ตลอดระยะเวลลาที่อยุ่วัดถ้ำกลองเพล หลวงปู่ได้ปฏิบัติภาวนาอย่างเข้มข้น หลังจากนั้นหลวงปู่ได้จาริกไป ที่ต่างๆ เช่น วัดป่าแก้วชุมพล ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่จวน กุลเชษโฐ ที่ถ้ำจันทร์ หนองคาย หลังจากนั้นได้ธุดงไปยังถ้ำพระ ที่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี พบหลวงปู่ลี กุสลธโร ทั้ง 2 ท่านต่างภาวนาอย่างไม่ลดละต่อกิเลส จนหลวงปู่ขาน ได้พบกับวิมุตติธรรมอันประเสริฐ อันเป็นเครื่องยุติการเดินทางใน 3 โลกธาตุ หลวงปู่ ได้กลับไปนมัสการพระอาจารย์ท่านต่างๆ และได้พาญาติพี่น้องของท่านอพยพ มาอยู่ที่บ้านเหล่าเชียงราย เนื่องจากบ้านโนนปอแดง อยู่ในพื้นที่สร้างเขื่อนอุบลรัตน์ สำหรับวัดป่าบ้านเหล่าหรือดอยกู่แก้วเคยเป็นวัดในสมัยพระเจ้ากือนา กษัตริย์ อาณาจักรเชียงแสนมาก่อน [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]ปฏิปทา[/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif]
    หลวงปู่มักจะสอนพระเณรให้รู้จักพึ่งตนเอง มีความอดทน และทำเป็นตัวอย่างมากกว่าสอนด้วยปากเปล่า และหลวงปู่ไม่รับนิมนต์กิจ ที่ไหนไกลจากบ้านเหล่าเลย อีกทั้งท่านยังเป็นพระที่มีขันติธรรม แม้ท่านป่วยก็ไม่บ่น แสดงอาการอ่อนแอให้ใครเห็นเลย

    มรณภาพ
    หลวงปู่มรณภาพด้วยอาการไตวายเรื้อรัง เมื่อวันที่ 31 กรกฏาคม 2549 เวลา 21.34 น. สิริรวม 71 ปี 1 เดือน 17 วัน 50 พรรษา
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]ธรรมโอวาท
    ๑. ไปไหนไม่เท่ากับอยู่วัด อยู่วัดไหนก็ ไม่เท่าอยู่วัดตัวเอง
    ๒. คนมีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ จะได้ไม่นิ่งนอนใจในชีวิต
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]ภาพพระธาตุ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][​IMG][/FONT]​
    <table border="0" cellpadding="1" cellspacing="1" width="100%"> <tbody><tr> <td>
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]ตัดทอนและเรียบเรียงจาก: หนังสือชีวประวัติหลวงปู่ขาน ฐานวโร และ ภาพหลวงปู่จาก http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=1183[/FONT]​
    </td></tr></tbody></table>เปิดให้บูชา 799 บาทหายาก
    DSCF9408.JPG DSCF9410.JPG
     
  18. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    เหรียญพระพุทธชินราช2521วัดชีปะขาวสวย

    เหรียญพระพุทธชินราช2521วัดชีปะขาวสวย

    เปิดให้บูชา 199 บาท


    DSCF9415.JPG DSCF9416.JPG
     
  19. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    เหรียญพระแก้วจุฬามณี วัดพิกุลทอง ต.ห้วยสะแก อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์

    เหรียญ พระแก้วจุฬามณี วัดพิกุลทอง ต.ห้วยสะแก อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เนื้อทองแดง หนึ่งในพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง อีกองค์หนึ่งแห่งเมืองมะขามหวาน จ.เพชรบูรณ์ เหรียญนี้สภาพสวยเดิมๆ ดูง่าย..น่าบูชา

    เปิดให้บูชา 100 บาท

    DSCF9411.JPG DSCF9412.JPG
     
  20. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,174
    ค่าพลัง:
    +161
    เหรียญหลวงพ่อเปิ่น

    เหรียญหลวงพ่อเปิ่น

    เปิดให้บูชา 100 บาท

    DSCF9413.JPG DSCF9414.JPG
     

แชร์หน้านี้

Loading...